title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 28
181k
| raw
stringlengths 39
181k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดไทม์ไลน์ซ่อมถนนกำแพงเพชร 6 | วันพุธที่ 26 มกราคม 2565
การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดไทม์ไลน์ซ่อมถนนกําแพงเพชร 6
พร้อมเปิดให้บริการได้ภายในเดือนมีนาคมนี้
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม แจ้งความคืบหน้าในการดําเนินการแก้ไขปรับปรุงและการพิจารณารูปแบบการจัดการจราจรในช่วงปรับปรุงซ่อมแซมถนนกําแพงเพชร 6 เลียบทางรถไฟช่วงดอนเมือง - หลักสี่ โดยได้มีการประชุมหารือร่วมกับสํานักงานเขตดอนเมือง สน.ดอนเมือง เห็นควรให้มีการจัดทําป้ายเตือน ป้ายปิดเพื่อเบี่ยงเส้นทางจราจร รวมทั้งติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างให้เพียงพอ โดยเฉพาะบริเวณจุดกลับรถบริเวณ AOT กับถนนเชิดวุฒากาศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการสัญจรของประชาชน เร่งให้มีการจัดทําป้ายประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบล่วงหน้า เนื่องจากถนนดังกล่าวมีปริมาณการจราจรค่อนข้างมากในช่วงเช้าและเย็น
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อํานวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า รฟท. ได้รับการยืนยันจาก บมจ. อิตาเลียนไทย ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง (ช่วงบางซื่อ - รังสิต) จะสามารถดําเนินการเข้าพื้นที่เพื่อปรับปรุงและปิดเส้นทางการจราจรบางส่วนในจุดที่ 1 ได้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 นี้ โดยในวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ได้เข้าสํารวจตําแหน่งเพื่อกําหนดขอบเขตที่จะทําการซ่อมแซมแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ส่วน บมจ. อิตาเลียนไทย อยู่ระหว่างดําเนินงานเตรียมการประชาสัมพันธ์จัดทําป้ายเตือน ป้ายเบี่ยงเส้นทางตามมติของที่ประชุมที่ได้หารือร่วมกับรฟท. และสํานักงานเขตดอนเมือง สน.ดอนเมือง รวมทั้งจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนเข้าดําเนินการ เพื่อความปลอดภัยของผู้สัญจรในระหว่างการก่อสร้าง
ทั้งนี้รฟท. ต้องขอภัยในความไม่สะดวกของพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในเส้นทางดังกล่าว โดยจะดําเนินการดูแลให้การซ่อมแซมเป็นไปอย่างเรียบร้อย โดยคาดว่าจะสามารถดําเนินการแล้วเสร็จได้ครบทุกจุดภายใน 2 เดือน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
จุดที่ 1 จากบริเวณช่วงสะพานรถยนต์ กม.22+642 จนถึงแยก กม.23+800 ระยะทาง 1.158 กม. มี 4 ช่องจราจร ปิดซ่อมแซมครั้งละ 2 ช่องจราจร ใช้ระยะเวลาซ่อมบํารุง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. - 2 มี.ค. 65 โดยจะทําการรื้อผิวแอสฟัลต์ (Asphalt) ออก และทําการปรับชั้นทางตลอดแนวให้เรียบเสมอกันก่อนจะคืนผิว แอสฟัลติก (Asphaltic) เพื่อให้สภาพถนนเรียบและสัญจรได้อย่างปลอดภัย
จุดที่ 2 จากบริเวณช่วง สน.ดอนเมืองจนถึงแยกนายใช้ ระยะทาง 1 กม. มี 4 ช่องจราจร ใช้ระยะเวลาซ่อมบํารุง 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 3 - 9 มี.ค. 65 จะซ่อมแซมผิวจราจรตามช่องจราจรเฉพาะจุดที่ปูดนูน เป็นลูกคลื่นให้เรียบและเปิดผิวจราจร แอสฟัลต์ (Asphalt) และช่องจราจรที่ติดกับเกาะกลางแบริเออร์ที่มีผิวจราจรทรุดตัว ฝั่งสน.ดอนเมือง ทําการปรับชั้นทางตลอดแนวเกาะกลาง
จุดที่ 3 บริเวณใต้สถานีดอนเมืองตลอดแนว ระยะทาง 800 เมตร มี 4 ช่องจราจร ใช้ระยะเวลาซ่อมบํารุง 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 - 16 มี.ค. 65 จะซ่อมแซมผิวจราจรตามช่องจราจรเฉพาะจุดที่ปูดนูนและเป็นลูกคลื่น ให้เรียบตลอดแนวและเปิดผิวจราจร แอสฟัลต์ (Asphalt) ด้านที่ติดกับเกาะกลางฝั่งสน.ดอนเมือง เพื่อทําการปรับชั้นทางตลอดแนวเกาะกลาง
จุดที่ 4 จากสถานีการเคหะถึงหน้าสํานักงานเขตดอนเมือง ระยะทาง 1.5 กม. มี 4 ช่องจราจร ใช้ระยะเวลาซ่อมบํารุง 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 17 - 26 มี.ค. 65 จะซ่อมแซมผิวจราจรตามช่องจราจรตลอดแนว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดไทม์ไลน์ซ่อมถนนกำแพงเพชร 6
วันพุธที่ 26 มกราคม 2565
การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดไทม์ไลน์ซ่อมถนนกําแพงเพชร 6
พร้อมเปิดให้บริการได้ภายในเดือนมีนาคมนี้
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม แจ้งความคืบหน้าในการดําเนินการแก้ไขปรับปรุงและการพิจารณารูปแบบการจัดการจราจรในช่วงปรับปรุงซ่อมแซมถนนกําแพงเพชร 6 เลียบทางรถไฟช่วงดอนเมือง - หลักสี่ โดยได้มีการประชุมหารือร่วมกับสํานักงานเขตดอนเมือง สน.ดอนเมือง เห็นควรให้มีการจัดทําป้ายเตือน ป้ายปิดเพื่อเบี่ยงเส้นทางจราจร รวมทั้งติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างให้เพียงพอ โดยเฉพาะบริเวณจุดกลับรถบริเวณ AOT กับถนนเชิดวุฒากาศ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการสัญจรของประชาชน เร่งให้มีการจัดทําป้ายประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับทราบล่วงหน้า เนื่องจากถนนดังกล่าวมีปริมาณการจราจรค่อนข้างมากในช่วงเช้าและเย็น
นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อํานวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวว่า รฟท. ได้รับการยืนยันจาก บมจ. อิตาเลียนไทย ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบก่อสร้างโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง (ช่วงบางซื่อ - รังสิต) จะสามารถดําเนินการเข้าพื้นที่เพื่อปรับปรุงและปิดเส้นทางการจราจรบางส่วนในจุดที่ 1 ได้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 นี้ โดยในวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ได้เข้าสํารวจตําแหน่งเพื่อกําหนดขอบเขตที่จะทําการซ่อมแซมแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ส่วน บมจ. อิตาเลียนไทย อยู่ระหว่างดําเนินงานเตรียมการประชาสัมพันธ์จัดทําป้ายเตือน ป้ายเบี่ยงเส้นทางตามมติของที่ประชุมที่ได้หารือร่วมกับรฟท. และสํานักงานเขตดอนเมือง สน.ดอนเมือง รวมทั้งจัดเตรียมอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนเข้าดําเนินการ เพื่อความปลอดภัยของผู้สัญจรในระหว่างการก่อสร้าง
ทั้งนี้รฟท. ต้องขอภัยในความไม่สะดวกของพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในเส้นทางดังกล่าว โดยจะดําเนินการดูแลให้การซ่อมแซมเป็นไปอย่างเรียบร้อย โดยคาดว่าจะสามารถดําเนินการแล้วเสร็จได้ครบทุกจุดภายใน 2 เดือน โดยมีรายละเอียด ดังนี้
จุดที่ 1 จากบริเวณช่วงสะพานรถยนต์ กม.22+642 จนถึงแยก กม.23+800 ระยะทาง 1.158 กม. มี 4 ช่องจราจร ปิดซ่อมแซมครั้งละ 2 ช่องจราจร ใช้ระยะเวลาซ่อมบํารุง 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. - 2 มี.ค. 65 โดยจะทําการรื้อผิวแอสฟัลต์ (Asphalt) ออก และทําการปรับชั้นทางตลอดแนวให้เรียบเสมอกันก่อนจะคืนผิว แอสฟัลติก (Asphaltic) เพื่อให้สภาพถนนเรียบและสัญจรได้อย่างปลอดภัย
จุดที่ 2 จากบริเวณช่วง สน.ดอนเมืองจนถึงแยกนายใช้ ระยะทาง 1 กม. มี 4 ช่องจราจร ใช้ระยะเวลาซ่อมบํารุง 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 3 - 9 มี.ค. 65 จะซ่อมแซมผิวจราจรตามช่องจราจรเฉพาะจุดที่ปูดนูน เป็นลูกคลื่นให้เรียบและเปิดผิวจราจร แอสฟัลต์ (Asphalt) และช่องจราจรที่ติดกับเกาะกลางแบริเออร์ที่มีผิวจราจรทรุดตัว ฝั่งสน.ดอนเมือง ทําการปรับชั้นทางตลอดแนวเกาะกลาง
จุดที่ 3 บริเวณใต้สถานีดอนเมืองตลอดแนว ระยะทาง 800 เมตร มี 4 ช่องจราจร ใช้ระยะเวลาซ่อมบํารุง 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 - 16 มี.ค. 65 จะซ่อมแซมผิวจราจรตามช่องจราจรเฉพาะจุดที่ปูดนูนและเป็นลูกคลื่น ให้เรียบตลอดแนวและเปิดผิวจราจร แอสฟัลต์ (Asphalt) ด้านที่ติดกับเกาะกลางฝั่งสน.ดอนเมือง เพื่อทําการปรับชั้นทางตลอดแนวเกาะกลาง
จุดที่ 4 จากสถานีการเคหะถึงหน้าสํานักงานเขตดอนเมือง ระยะทาง 1.5 กม. มี 4 ช่องจราจร ใช้ระยะเวลาซ่อมบํารุง 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 17 - 26 มี.ค. 65 จะซ่อมแซมผิวจราจรตามช่องจราจรตลอดแนว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50917 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีรถไฟขนส่งทุเรียน-มะพร้าวเที่ยวปฐมฤกษ์ถึงจีนแล้ว เตรียมผลักดันเพิ่มการส่งออกสินค้าทางการเกษตรไทย พร้อมกำชับทุกหน่วยงานอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ | วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีรถไฟขนส่งทุเรียน-มะพร้าวเที่ยวปฐมฤกษ์ถึงจีนแล้ว เตรียมผลักดันเพิ่มการส่งออกสินค้าทางการเกษตรไทย พร้อมกําชับทุกหน่วยงานอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีรถไฟขนส่งทุเรียน-มะพร้าวเที่ยวปฐมฤกษ์ถึงจีนแล้ว เตรียมผลักดันเพิ่มการส่งออกสินค้าทางการเกษตรไทย พร้อมกําชับทุกหน่วยงานอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ รองรับการขยายตัวด้านการส่งออกสินค้าของไทยในอนาคต
วันนี้ (1 เมษายน 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแล วางแผนปฏิบัติการดําเนินงานให้รถไฟนําร่องส่งออกสินค้าทางการเกษตร อาทิ ทุเรียนและมะพร้าวได้ขนส่งไปยังประเทศจีนผ่านเส้นทางรถไฟจีน-ลาวประสบความสําเร็จด้วยดีให้ทันช่วงเวลาในฤดูกาลที่ผลไม้เมืองร้อนเริ่มทยอยออกผลผลิต ความสําเร็จจากรถไฟขนส่งทุเรียน-มะพร้าวเที่ยวปฐมฤกษ์ที่เดินทางถึงจีนแล้ว เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 ถือเป็นก้าวสําคัญในการขนส่งสินค้าระบบรางทางเลือกใหม่ของไทยที่สามารถย่นระยะเวลาการเดินทาง ลดการสัมผัสเชื้อโรค ลดต้นทุนในการขนส่ง รวมถึงเพิ่มโอกาสและมูลค่าผลผลิตให้เกษตรกรในการขยายตลาดผู้บริโภค โดยหวังให้เกิดการระบายสินค้าในประเทศออกสู่ตลาดได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาผลไม้ล้นตลาดในประเทศไทยและเร่งสร้างมูลค่าการส่งออกให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากสถิติของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศพบว่า สินค้าประเภทผลไม้ของไทยครองส่วนแบ่งทางการตลาดในจีนสูงเป็นอันดับ 1 โดยมูลค่าการส่งออก 2 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากในปี 2563 ที่มูลค่าการส่งออกกว่า 1.02 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 1.6 แสนล้านบาทในปี 2564 ซึ่งรัฐบาลเล็งเห็นถึงศักยภาพของผลไม้ไทย อาทิ ทุเรียน มังคุด มะพร้าว ส้มโอ หรือมะม่วง ที่ยังคงได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวจีนอย่างต่อเนื่อง จึงเร่งหาแนวทางเพิ่มเติมในการผลักดันสินค้าทางการเกษตรไทยออกสู่ตลาดจีนในช่วงฤดูกาลผลผลิตนี้เพื่อรองรับอุปทานส่วนเกินจากผู้บริโภคในประเทศไทยและอุปสงค์จากผู้บริโภคต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น โดยประเทศไทยประสบความสําเร็จในการขนส่งทุเรียนและมะพร้าวด้วยเส้นทางรถไฟจีน-ลาวเที่ยวแรกจํานวน 3 ตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเดินทางออกจากสถานีต้นทางมาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ไปยังสถานีหนองคาย ก่อนส่งต่อไปยังสถานีท่านาแล้ง สปป.ลาว และถึงปลายทายด่านโมฮาน มณฑลยูนนาน ประเทศจีนแล้วเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 และผ่านมาตรการตรวจสอบสินค้าตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero Covid) ของรัฐบาลจีนอย่างเคร่งครัด
นายธนกรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การขนส่งสินค้าระบบรางผ่านเส้นทางรถไฟจีน-ลาวครั้งนี้ใช้เวลาเดินทางเพียง 4-5 วัน เนื่องจากมีระยะทางที่สั้นกว่าการขนส่งผ่านรถบรรทุกและเรือ ทั้งนี้ ด่านโมฮานนี้ยังเป็นแหล่งตรวจรถบรรทุกที่ยังมีการใช้บริการที่ไม่มากเพียง 200 คันต่อวันเท่านั้น ซึ่งถือเป็นเส้นทางใหม่ที่เหมาะแก่การระบายสินค้าจากไทยได้รวดเร็วกว่าในเส้นทางอื่นที่ยังติดขัดในเรื่องระยะทาง และมาตรการการตรวจสอบสินค้าที่ใช้เวลา ส่งผลให้การขนส่งล่าช้า ซึ่งอาจทําให้ผลไม้เน่าเสียกลางทางได้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าการเริ่มต้นใช้ระบบรางเพื่อการขนส่งสินค้าจากประเทศไทยถึงประเทศจีนเกือบเต็มรูปแบบนี้ จะสามารถสนับสนุนการส่งออกสินค้าทางการเกษตรของไทยให้ดียิ่งขึ้น โดยกําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาความพร้อมด้านต่าง ๆ ทั้งมาตรการด้านพิธีศุลกากร รวมถึงการอํานวยความสะดวกแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาระบบการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานสอดรับนโยบายการนําเข้า-ส่งออกของประเทศคู่ค้า และพร้อมต่อการรองรับอุปสงค์จากตลาดผักและผลไม้ไทย แต่ไม่ละเลยการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อเป็นอีกช่องทางสําคัญในยุคสมัยเทคโนโลยีออนไลน์นี้ ทั้งนี้ ต้องการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดผลกระทบของพี่น้องประชาชนจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีรถไฟขนส่งทุเรียน-มะพร้าวเที่ยวปฐมฤกษ์ถึงจีนแล้ว เตรียมผลักดันเพิ่มการส่งออกสินค้าทางการเกษตรไทย พร้อมกำชับทุกหน่วยงานอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ
วันศุกร์ที่ 1 เมษายน 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีรถไฟขนส่งทุเรียน-มะพร้าวเที่ยวปฐมฤกษ์ถึงจีนแล้ว เตรียมผลักดันเพิ่มการส่งออกสินค้าทางการเกษตรไทย พร้อมกําชับทุกหน่วยงานอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ยินดีรถไฟขนส่งทุเรียน-มะพร้าวเที่ยวปฐมฤกษ์ถึงจีนแล้ว เตรียมผลักดันเพิ่มการส่งออกสินค้าทางการเกษตรไทย พร้อมกําชับทุกหน่วยงานอํานวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ รองรับการขยายตัวด้านการส่งออกสินค้าของไทยในอนาคต
วันนี้ (1 เมษายน 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแล วางแผนปฏิบัติการดําเนินงานให้รถไฟนําร่องส่งออกสินค้าทางการเกษตร อาทิ ทุเรียนและมะพร้าวได้ขนส่งไปยังประเทศจีนผ่านเส้นทางรถไฟจีน-ลาวประสบความสําเร็จด้วยดีให้ทันช่วงเวลาในฤดูกาลที่ผลไม้เมืองร้อนเริ่มทยอยออกผลผลิต ความสําเร็จจากรถไฟขนส่งทุเรียน-มะพร้าวเที่ยวปฐมฤกษ์ที่เดินทางถึงจีนแล้ว เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 ถือเป็นก้าวสําคัญในการขนส่งสินค้าระบบรางทางเลือกใหม่ของไทยที่สามารถย่นระยะเวลาการเดินทาง ลดการสัมผัสเชื้อโรค ลดต้นทุนในการขนส่ง รวมถึงเพิ่มโอกาสและมูลค่าผลผลิตให้เกษตรกรในการขยายตลาดผู้บริโภค โดยหวังให้เกิดการระบายสินค้าในประเทศออกสู่ตลาดได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาผลไม้ล้นตลาดในประเทศไทยและเร่งสร้างมูลค่าการส่งออกให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จากสถิติของกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศพบว่า สินค้าประเภทผลไม้ของไทยครองส่วนแบ่งทางการตลาดในจีนสูงเป็นอันดับ 1 โดยมูลค่าการส่งออก 2 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากในปี 2563 ที่มูลค่าการส่งออกกว่า 1.02 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 1.6 แสนล้านบาทในปี 2564 ซึ่งรัฐบาลเล็งเห็นถึงศักยภาพของผลไม้ไทย อาทิ ทุเรียน มังคุด มะพร้าว ส้มโอ หรือมะม่วง ที่ยังคงได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวจีนอย่างต่อเนื่อง จึงเร่งหาแนวทางเพิ่มเติมในการผลักดันสินค้าทางการเกษตรไทยออกสู่ตลาดจีนในช่วงฤดูกาลผลผลิตนี้เพื่อรองรับอุปทานส่วนเกินจากผู้บริโภคในประเทศไทยและอุปสงค์จากผู้บริโภคต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น โดยประเทศไทยประสบความสําเร็จในการขนส่งทุเรียนและมะพร้าวด้วยเส้นทางรถไฟจีน-ลาวเที่ยวแรกจํานวน 3 ตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเดินทางออกจากสถานีต้นทางมาบตาพุด จ.ระยอง เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ไปยังสถานีหนองคาย ก่อนส่งต่อไปยังสถานีท่านาแล้ง สปป.ลาว และถึงปลายทายด่านโมฮาน มณฑลยูนนาน ประเทศจีนแล้วเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 และผ่านมาตรการตรวจสอบสินค้าตามนโยบายโควิดเป็นศูนย์ (Zero Covid) ของรัฐบาลจีนอย่างเคร่งครัด
นายธนกรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การขนส่งสินค้าระบบรางผ่านเส้นทางรถไฟจีน-ลาวครั้งนี้ใช้เวลาเดินทางเพียง 4-5 วัน เนื่องจากมีระยะทางที่สั้นกว่าการขนส่งผ่านรถบรรทุกและเรือ ทั้งนี้ ด่านโมฮานนี้ยังเป็นแหล่งตรวจรถบรรทุกที่ยังมีการใช้บริการที่ไม่มากเพียง 200 คันต่อวันเท่านั้น ซึ่งถือเป็นเส้นทางใหม่ที่เหมาะแก่การระบายสินค้าจากไทยได้รวดเร็วกว่าในเส้นทางอื่นที่ยังติดขัดในเรื่องระยะทาง และมาตรการการตรวจสอบสินค้าที่ใช้เวลา ส่งผลให้การขนส่งล่าช้า ซึ่งอาจทําให้ผลไม้เน่าเสียกลางทางได้ นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าการเริ่มต้นใช้ระบบรางเพื่อการขนส่งสินค้าจากประเทศไทยถึงประเทศจีนเกือบเต็มรูปแบบนี้ จะสามารถสนับสนุนการส่งออกสินค้าทางการเกษตรของไทยให้ดียิ่งขึ้น โดยกําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ปัญหาความพร้อมด้านต่าง ๆ ทั้งมาตรการด้านพิธีศุลกากร รวมถึงการอํานวยความสะดวกแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการ เพื่อพัฒนาระบบการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยให้มีประสิทธิภาพ มีมาตรฐานสอดรับนโยบายการนําเข้า-ส่งออกของประเทศคู่ค้า และพร้อมต่อการรองรับอุปสงค์จากตลาดผักและผลไม้ไทย แต่ไม่ละเลยการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อเป็นอีกช่องทางสําคัญในยุคสมัยเทคโนโลยีออนไลน์นี้ ทั้งนี้ ต้องการฟื้นฟูกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดผลกระทบของพี่น้องประชาชนจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ผ่านมา | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53167 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมเดินทางร่วมการประชุมอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เชื่อมั่นพร้อมสนับสนุนให้สหรัฐฯ มีบทบาทสร้างสรรค์ในภูมิภาค | วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมเดินทางร่วมการประชุมอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เชื่อมั่นพร้อมสนับสนุนให้สหรัฐฯ มีบทบาทสร้างสรรค์ในภูมิภาค
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมเดินทางร่วมการประชุมอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เชื่อมั่นพร้อมสนับสนุนให้สหรัฐฯ มีบทบาทสร้างสรรค์ในภูมิภาค
วันที่ 8 พ.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ต่อกรณีที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีกําหนดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 - 13 พฤษภาคม 2565 ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นโดยการทาบทามของสหรัฐฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ ทั้งนี้ ความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2520 และได้ยกระดับเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์เมื่อปี 2558 โดยทั้งสองฝ่ายดําเนินความร่วมมืออย่างครอบคลุมทั้ง 3 เสาของประชาคมอาเซียน ทั้งด้านการเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรม เพื่อสนับสนุนการบูรณาการและการพัฒนา ในภูมิภาคให้ก้าวหน้า
นายธนกรกล่าวว่า สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าทางด้านเศรษฐกิจที่สําคัญเป็นอันดับ 2 และเป็นแหล่งเงินทุนอันดับ 1 ของอาเซียน ทั้งนี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 สหรัฐฯ ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกอาเซียน รวมเป็นเงินมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งบริจาควัคซีนให้แก่ประเทศในภูมิภาคแล้วกว่า 91 ล้านโดส โดยเชื่อมั่นว่าการเดินทางร่วมการประชุมของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ จะนํามาซึ่งความร่วมมือระหว่างอาเซียน-สหรัฐฯ เพื่อขับเคลื่อนการฟื้นฟูและการเติบโตอย่างยั่งยืนของภูมิภาค ในยุคหลังโควิด-19 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมเดินทางร่วมการประชุมอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เชื่อมั่นพร้อมสนับสนุนให้สหรัฐฯ มีบทบาทสร้างสรรค์ในภูมิภาค
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมเดินทางร่วมการประชุมอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เชื่อมั่นพร้อมสนับสนุนให้สหรัฐฯ มีบทบาทสร้างสรรค์ในภูมิภาค
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ พร้อมเดินทางร่วมการประชุมอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เชื่อมั่นพร้อมสนับสนุนให้สหรัฐฯ มีบทบาทสร้างสรรค์ในภูมิภาค
วันที่ 8 พ.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ต่อกรณีที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมีกําหนดเข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 - 13 พฤษภาคม 2565 ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา โดยการประชุมดังกล่าวจัดขึ้นโดยการทาบทามของสหรัฐฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ ทั้งนี้ ความสัมพันธ์อาเซียน-สหรัฐฯ เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2520 และได้ยกระดับเป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์เมื่อปี 2558 โดยทั้งสองฝ่ายดําเนินความร่วมมืออย่างครอบคลุมทั้ง 3 เสาของประชาคมอาเซียน ทั้งด้านการเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรม เพื่อสนับสนุนการบูรณาการและการพัฒนา ในภูมิภาคให้ก้าวหน้า
นายธนกรกล่าวว่า สหรัฐฯ เป็นคู่ค้าทางด้านเศรษฐกิจที่สําคัญเป็นอันดับ 2 และเป็นแหล่งเงินทุนอันดับ 1 ของอาเซียน ทั้งนี้ ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 สหรัฐฯ ได้ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศสมาชิกอาเซียน รวมเป็นเงินมากกว่า 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมทั้งบริจาควัคซีนให้แก่ประเทศในภูมิภาคแล้วกว่า 91 ล้านโดส โดยเชื่อมั่นว่าการเดินทางร่วมการประชุมของนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ จะนํามาซึ่งความร่วมมือระหว่างอาเซียน-สหรัฐฯ เพื่อขับเคลื่อนการฟื้นฟูและการเติบโตอย่างยั่งยืนของภูมิภาค ในยุคหลังโควิด-19 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54333 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา รับข้อเรียกร้องสวัสดิการเด็กเล็ก ย้ำเด็กและเยาวชนเป็นอนาคตสำคัญ รัฐบาลให้ความสำคัญและดูแลเต็มที่ | วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565
รมต.อนุชา รับข้อเรียกร้องสวัสดิการเด็กเล็ก ย้ําเด็กและเยาวชนเป็นอนาคตสําคัญ รัฐบาลให้ความสําคัญและดูแลเต็มที่
รมต.อนุชา รับข้อเรียกร้องสวัสดิการเด็กเล็ก ย้ําเด็กและเยาวชนเป็นอนาคตสําคัญ รัฐบาลให้ความสําคัญและดูแลเต็มที่
วันนี้ (17 พฤษภาคม 2565) เวลา 08.15 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบปะและร่วมหารือตามข้อเรียกร้องนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) และมาตรการด้านป้องกันและเยียวยาเด็กเล็กอายุ 0-6 ปี จากสถานการณ์โควิด-19 โดยมี นางสุนี ไชยรส ผู้แทนคณะทํางานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กสู่ถ้วนหน้า 301 องค์กร นําคณะร่วมหารือด้วย
คณะทํางานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กสู่ถ้วนหน้า 301 องค์กรได้มีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร่งดําเนินการจัดสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กอายุ 0-6 ปี แบบถ้วนหน้า เดือนละ 600 บาท/คน ให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชน (กดยช.) โดยเริ่มดําเนินการในปี 2565 ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม และการดูแลเด็กเล็กอายุ 0-6 ปี ที่ครอบครัวได้รับผลกระทบ เช่น รายได้ลดมากกว่า 81% รายจ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 50% เป็นหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น เด็กเล็กเข้าไม่ถึงบริการด้านสวัสดิการและสาธารณสุข ขณะที่ศูนย์เด็กเล็กหลายแห่งปิด ส่งผลต่อการเกิดภาวะขาดสารอาหาร ทุโภชนาการ และพัฒนาการทางร่างกายช้ากว่าที่ควร แม้ที่ผ่านมารัฐบาลโดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มีโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดตั้งแต่ปี 2558 และขยายความคุ้มครองแก่เด็กเล็กมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อคุ้มครองเด็กแรกเกิด 0-6 ปี ในวงเงิน 600 บาท/เดือน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนและส่งเสริมการเลี้ยงดูเด็กเล็กอย่างมีคุณภาพในสถานการณ์ปัจจุบัน
นอกจากนี้ คณะยังได้เสนอมาตรการป้องกันและช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวเด็กเล็กที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 2 ระดับ คือ 1) มาตรการเชิงรุก โดยครอบครัวและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องได้รับการดูแลป้องกันจากสถานการณ์โรคระบาดดังกล่าว เช่น การได้รับวัคซีนทั่วถึง 2) มาตรการลดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเด็กเล็กจากการที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก/สถานดูแลเด็กเล็กถูกปิด โดยควรได้รับการสนับสนุนด้านโภชนาการที่เหมาะสม เป็นต้น
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงต่อพัฒนาการของเด็กทุกช่วงวัยโดยเฉพาะเด็กแรกเกิดที่ต้องได้รับการดูแลเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด อย่างเช่นการจัดสรรงบประมาณเพื่อคุ้มครองเด็กแรกเกิด 0-6 ปี ในวงเงิน 600 บาท/เดือน สําหรับข้อเรียกร้องที่ได้รับวันนี้ตนจะนํากราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี และหารือ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อเร่งดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีย้ําว่าเด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มที่ประเทศต้องให้ความสําคัญทุกระดับ เพราะพวกเขาเปรียบดังอนาคตและพลังสําคัญของประเทศชาติ ตนเชื่อมั่นว่าในนามของรัฐบาลจะมีการแก้ปัญหาและสนับสนุนอย่างเหมาะสม เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต
................................ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.อนุชา รับข้อเรียกร้องสวัสดิการเด็กเล็ก ย้ำเด็กและเยาวชนเป็นอนาคตสำคัญ รัฐบาลให้ความสำคัญและดูแลเต็มที่
วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565
รมต.อนุชา รับข้อเรียกร้องสวัสดิการเด็กเล็ก ย้ําเด็กและเยาวชนเป็นอนาคตสําคัญ รัฐบาลให้ความสําคัญและดูแลเต็มที่
รมต.อนุชา รับข้อเรียกร้องสวัสดิการเด็กเล็ก ย้ําเด็กและเยาวชนเป็นอนาคตสําคัญ รัฐบาลให้ความสําคัญและดูแลเต็มที่
วันนี้ (17 พฤษภาคม 2565) เวลา 08.15 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พบปะและร่วมหารือตามข้อเรียกร้องนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กถ้วนหน้า ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ (กดยช.) และมาตรการด้านป้องกันและเยียวยาเด็กเล็กอายุ 0-6 ปี จากสถานการณ์โควิด-19 โดยมี นางสุนี ไชยรส ผู้แทนคณะทํางานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กสู่ถ้วนหน้า 301 องค์กร นําคณะร่วมหารือด้วย
คณะทํางานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กสู่ถ้วนหน้า 301 องค์กรได้มีข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เร่งดําเนินการจัดสวัสดิการเงินอุดหนุนเด็กเล็กอายุ 0-6 ปี แบบถ้วนหน้า เดือนละ 600 บาท/คน ให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชน (กดยช.) โดยเริ่มดําเนินการในปี 2565 ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม และการดูแลเด็กเล็กอายุ 0-6 ปี ที่ครอบครัวได้รับผลกระทบ เช่น รายได้ลดมากกว่า 81% รายจ่ายเพิ่มขึ้นกว่า 50% เป็นหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้น เด็กเล็กเข้าไม่ถึงบริการด้านสวัสดิการและสาธารณสุข ขณะที่ศูนย์เด็กเล็กหลายแห่งปิด ส่งผลต่อการเกิดภาวะขาดสารอาหาร ทุโภชนาการ และพัฒนาการทางร่างกายช้ากว่าที่ควร แม้ที่ผ่านมารัฐบาลโดยกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มีโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดตั้งแต่ปี 2558 และขยายความคุ้มครองแก่เด็กเล็กมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อคุ้มครองเด็กแรกเกิด 0-6 ปี ในวงเงิน 600 บาท/เดือน แต่ก็ยังไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนและส่งเสริมการเลี้ยงดูเด็กเล็กอย่างมีคุณภาพในสถานการณ์ปัจจุบัน
นอกจากนี้ คณะยังได้เสนอมาตรการป้องกันและช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวเด็กเล็กที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 2 ระดับ คือ 1) มาตรการเชิงรุก โดยครอบครัวและผู้ที่เกี่ยวข้องต้องได้รับการดูแลป้องกันจากสถานการณ์โรคระบาดดังกล่าว เช่น การได้รับวัคซีนทั่วถึง 2) มาตรการลดผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตเด็กเล็กจากการที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก/สถานดูแลเด็กเล็กถูกปิด โดยควรได้รับการสนับสนุนด้านโภชนาการที่เหมาะสม เป็นต้น
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วงต่อพัฒนาการของเด็กทุกช่วงวัยโดยเฉพาะเด็กแรกเกิดที่ต้องได้รับการดูแลเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้สนับสนุนและให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด อย่างเช่นการจัดสรรงบประมาณเพื่อคุ้มครองเด็กแรกเกิด 0-6 ปี ในวงเงิน 600 บาท/เดือน สําหรับข้อเรียกร้องที่ได้รับวันนี้ตนจะนํากราบเรียนท่านนายกรัฐมนตรี และหารือ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อเร่งดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป พร้อมกันนี้ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีย้ําว่าเด็กและเยาวชนเป็นกลุ่มที่ประเทศต้องให้ความสําคัญทุกระดับ เพราะพวกเขาเปรียบดังอนาคตและพลังสําคัญของประเทศชาติ ตนเชื่อมั่นว่าในนามของรัฐบาลจะมีการแก้ปัญหาและสนับสนุนอย่างเหมาะสม เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต
................................ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54628 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ปลื้ม เว็บไซต์ระดับโลก จัดให้ ‘กระบี่’ เป็นเมืองต้อนรับผู้เดินทางได้ดีที่สุด ชี้ สัญญาณดีหนุนท่องเที่ยวไทย ยัน พร้อมเปิด Test and Go 1 ก.พ.นี้ | วันเสาร์ที่ 29 มกราคม 2565
นายกฯ ปลื้ม เว็บไซต์ระดับโลก จัดให้ ‘กระบี่’ เป็นเมืองต้อนรับผู้เดินทางได้ดีที่สุด ชี้ สัญญาณดีหนุนท่องเที่ยวไทย ยัน พร้อมเปิด Test and Go 1 ก.พ.นี้
นายกฯ ปลื้ม เว็บไซต์ระดับโลก จัดให้ ‘กระบี่’ เป็นเมืองต้อนรับผู้เดินทางได้ดีที่สุด ชี้ สัญญาณดีหนุนท่องเที่ยวไทย ยัน พร้อมเปิด Test and Go 1 ก.พ.นี้
เมื่อวันที่ 29 ม.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แสดงความยินดีกับจังหวัดกระบี่ ที่ได้รับรางวัล Traveller Review Awards 2022 ถูกจัดอันดับจากเว็บไซต์ Booking.com ผู้นําด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสําหรับการเดินทางระดับโลก ให้เป็นจังหวัดที่ให้การต้อนรับผู้เดินทางได้ดีที่สุดในประเทศไทย ผ่านการรวบรวมข้อมูลกว่าหลายล้านรีวิวของลูกค้า โดยสําหรับเมืองท่องเที่ยวในประเทศไทย นอกจากจังหวัดกระบี่แล้ว ยังมีจังหวัดตราด เชียงราย เชียงใหม่ นครราชสีมา ด้วยตามลําดับ ที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนถูกจัดอันดับด้านการต้อนรับผู้เดินทางได้ดีด้วยเช่นกัน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สําหรับการจัดอันดับดังกล่าว สอดรับกับแนวทางการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวของไทย และเชื่อว่าจะส่งเสริมงานด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยที่ผ่านมา จังหวัดกระบี่ เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติให้ความสนใจ และนับตั้งแต่เปิดแคมเปญ Krabi Even More Amazing“เที่ยวกระบี่ ดีกว่าเดิม” ก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางเยือนกระบี่อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับหลายจังหวัด ที่นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเดินทางเข้ามาตามมาตรการเปิดรับ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของไทย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการ หน่วยงานราชการ และประชาชน ที่ช่วยกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว และขอเป็นกําลังใจให้ทุกภาคส่วนได้พัฒนางานด้านการท่องเที่ยวและบริการต่อไป เชื่อว่าอัตลักษณ์ความเป็นมิตรที่ดีของคนไทย จะสามารถความประทับใจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้เป็นอย่างดี
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยืนยันความพร้อม ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เข้ามาในประเทศไทยในรูปแบบ Test and Go โดยจะเริ่มอีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ. นี้ โดยทุกภาคส่วนได้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางเข้าประเทศทุกด้าน เชื่อว่าเป็นสัญญาณที่ดีสําหรับประเทศไทย ที่จะใช้โอกาสนี้ฟื้นฟูการท่องเที่ยว ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ใต้ภายใต้มาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ที่รัดกุม
......................... | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ปลื้ม เว็บไซต์ระดับโลก จัดให้ ‘กระบี่’ เป็นเมืองต้อนรับผู้เดินทางได้ดีที่สุด ชี้ สัญญาณดีหนุนท่องเที่ยวไทย ยัน พร้อมเปิด Test and Go 1 ก.พ.นี้
วันเสาร์ที่ 29 มกราคม 2565
นายกฯ ปลื้ม เว็บไซต์ระดับโลก จัดให้ ‘กระบี่’ เป็นเมืองต้อนรับผู้เดินทางได้ดีที่สุด ชี้ สัญญาณดีหนุนท่องเที่ยวไทย ยัน พร้อมเปิด Test and Go 1 ก.พ.นี้
นายกฯ ปลื้ม เว็บไซต์ระดับโลก จัดให้ ‘กระบี่’ เป็นเมืองต้อนรับผู้เดินทางได้ดีที่สุด ชี้ สัญญาณดีหนุนท่องเที่ยวไทย ยัน พร้อมเปิด Test and Go 1 ก.พ.นี้
เมื่อวันที่ 29 ม.ค. น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แสดงความยินดีกับจังหวัดกระบี่ ที่ได้รับรางวัล Traveller Review Awards 2022 ถูกจัดอันดับจากเว็บไซต์ Booking.com ผู้นําด้านเทคโนโลยีดิจิทัลสําหรับการเดินทางระดับโลก ให้เป็นจังหวัดที่ให้การต้อนรับผู้เดินทางได้ดีที่สุดในประเทศไทย ผ่านการรวบรวมข้อมูลกว่าหลายล้านรีวิวของลูกค้า โดยสําหรับเมืองท่องเที่ยวในประเทศไทย นอกจากจังหวัดกระบี่แล้ว ยังมีจังหวัดตราด เชียงราย เชียงใหม่ นครราชสีมา ด้วยตามลําดับ ที่สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนถูกจัดอันดับด้านการต้อนรับผู้เดินทางได้ดีด้วยเช่นกัน
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สําหรับการจัดอันดับดังกล่าว สอดรับกับแนวทางการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวของไทย และเชื่อว่าจะส่งเสริมงานด้านการท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น โดยที่ผ่านมา จังหวัดกระบี่ เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติให้ความสนใจ และนับตั้งแต่เปิดแคมเปญ Krabi Even More Amazing“เที่ยวกระบี่ ดีกว่าเดิม” ก็มีนักท่องเที่ยวเดินทางเยือนกระบี่อย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับหลายจังหวัด ที่นักท่องเที่ยวเริ่มทยอยเดินทางเข้ามาตามมาตรการเปิดรับ
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทุกองคาพยพที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของไทย ไม่ว่าจะเป็น ผู้ประกอบการ หน่วยงานราชการ และประชาชน ที่ช่วยกันเป็นเจ้าบ้านที่ดี สร้างความประทับใจแก่นักท่องเที่ยว และขอเป็นกําลังใจให้ทุกภาคส่วนได้พัฒนางานด้านการท่องเที่ยวและบริการต่อไป เชื่อว่าอัตลักษณ์ความเป็นมิตรที่ดีของคนไทย จะสามารถความประทับใจ ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้เป็นอย่างดี
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ยืนยันความพร้อม ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ เข้ามาในประเทศไทยในรูปแบบ Test and Go โดยจะเริ่มอีกครั้งในวันที่ 1 ก.พ. นี้ โดยทุกภาคส่วนได้เตรียมความพร้อมรองรับการเดินทางเข้าประเทศทุกด้าน เชื่อว่าเป็นสัญญาณที่ดีสําหรับประเทศไทย ที่จะใช้โอกาสนี้ฟื้นฟูการท่องเที่ยว ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ใต้ภายใต้มาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ที่รัดกุม
......................... | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51028 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ยุทธศาสตร์ชาติไฟเขียว 406 โครงการสำคัญประจำปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติปี 2566-2570 ตอบโจทย์ความต้องการในระดับพื้นที่ | วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน 2564
คกก.ยุทธศาสตร์ชาติไฟเขียว 406 โครงการสําคัญประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติปี 2566-2570 ตอบโจทย์ความต้องการในระดับพื้นที่
คกก.ยุทธศาสตร์ชาติไฟเขียว 406 โครงการสําคัญประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติปี 2566-2570 ตอบโจทย์ความต้องการในระดับพื้นที่ นายกฯ ย้ํารัฐบาลเร่งเดินหน้า เพื่อพลิกโฉมประเทศไทย
วันนี้ (16 ก.ย.64) เวลา 09.30 น. ณ ห้อง PMOC ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติประเทศไทยจําเป็นต้องมีแผนหลักที่จะเดินไปข้างหน้าในระยะเวลา 5 ปี อย่างสอดประสานต่อเนื่อง ด้วยการบูรณาการทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ที่ต้องการ คือ การเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ลดความเหลื่อมล้ํา ลดความยากจน ทําให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ด้วยการพลิกโฉมประเทศไทย ภายในระยะเวลาที่รัฐบาลยังทําหน้าที่อยู่และส่งมอบความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน ต่อไปในอนาคต
โอกาสนี้ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการสําคัญประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ปี 2566 – ปี 2570) รวมจํานวน 406 โครงการ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 รวมทั้งกระบวนการงบประมาณที่ต้องรองรับการดําเนินการโครงการสําคัญประจําปีงบประมาณ 2566 เพื่อนําไปสู่ผลสัมฤทธิ์ในการจัดทําโครงการสําคัญของประเทศตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติในห้วงปี 2566 – 2570 ได้อย่างเป็นรูปธรรมบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดําเนินงานศูนย์อํานวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ํา โดยได้มีการกําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดําเนินการตามแนวทางอย่างเคร่งครัด และบูรณาการเพื่อให้กลุ่มคนจนเป้าหมายและกลุ่มคนเปราะบางได้รับความช่วยเหลือและพัฒนาที่เหมาะสมต่อไป
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ในที่ประชุมนายกรัฐมนตรีย้ําความสําคัญของการจัดทําโครงการสําคัญที่ต้องตอบโจทย์ความต้องการในระดับพื้นที่ ภายใต้การบูรณาการทั้งจากส่วนกลางและหน่วยงานระดับพื้นที่จะเป็นปัจจัยแห่งความสําเร็จ รวมทั้งต้องมีการรายงานผลสัมฤทธิ์การดําเนินงานของหน่วยงานที่มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด เพื่อป้องกันความซ้ําซ้อนและลดความไม่โปร่งใส นําไปสู่ความคุ้มค่าของการใช้เงินงบประมาณต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คกก.ยุทธศาสตร์ชาติไฟเขียว 406 โครงการสำคัญประจำปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติปี 2566-2570 ตอบโจทย์ความต้องการในระดับพื้นที่
วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน 2564
คกก.ยุทธศาสตร์ชาติไฟเขียว 406 โครงการสําคัญประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติปี 2566-2570 ตอบโจทย์ความต้องการในระดับพื้นที่
คกก.ยุทธศาสตร์ชาติไฟเขียว 406 โครงการสําคัญประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติปี 2566-2570 ตอบโจทย์ความต้องการในระดับพื้นที่ นายกฯ ย้ํารัฐบาลเร่งเดินหน้า เพื่อพลิกโฉมประเทศไทย
วันนี้ (16 ก.ย.64) เวลา 09.30 น. ณ ห้อง PMOC ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ครั้งที่ 2/2564 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติประเทศไทยจําเป็นต้องมีแผนหลักที่จะเดินไปข้างหน้าในระยะเวลา 5 ปี อย่างสอดประสานต่อเนื่อง ด้วยการบูรณาการทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ แต่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ที่ต้องการ คือ การเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ลดความเหลื่อมล้ํา ลดความยากจน ทําให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีรายได้สูง ด้วยการพลิกโฉมประเทศไทย ภายในระยะเวลาที่รัฐบาลยังทําหน้าที่อยู่และส่งมอบความมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน ต่อไปในอนาคต
โอกาสนี้ คณะกรรมการฯ ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบโครงการสําคัญประจําปี 2566 ที่ส่งผลต่อการบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (ปี 2566 – ปี 2570) รวมจํานวน 406 โครงการ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2564 รวมทั้งกระบวนการงบประมาณที่ต้องรองรับการดําเนินการโครงการสําคัญประจําปีงบประมาณ 2566 เพื่อนําไปสู่ผลสัมฤทธิ์ในการจัดทําโครงการสําคัญของประเทศตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติในห้วงปี 2566 – 2570 ได้อย่างเป็นรูปธรรมบนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์ต่อไป
นอกจากนี้ ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการดําเนินงานศูนย์อํานวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ําว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับการแก้ไขปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ํา โดยได้มีการกําชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดําเนินการตามแนวทางอย่างเคร่งครัด และบูรณาการเพื่อให้กลุ่มคนจนเป้าหมายและกลุ่มคนเปราะบางได้รับความช่วยเหลือและพัฒนาที่เหมาะสมต่อไป
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ในที่ประชุมนายกรัฐมนตรีย้ําความสําคัญของการจัดทําโครงการสําคัญที่ต้องตอบโจทย์ความต้องการในระดับพื้นที่ ภายใต้การบูรณาการทั้งจากส่วนกลางและหน่วยงานระดับพื้นที่จะเป็นปัจจัยแห่งความสําเร็จ รวมทั้งต้องมีการรายงานผลสัมฤทธิ์การดําเนินงานของหน่วยงานที่มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด เพื่อป้องกันความซ้ําซ้อนและลดความไม่โปร่งใส นําไปสู่ความคุ้มค่าของการใช้เงินงบประมาณต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45886 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรชาวสวนปาล์มขอบคุณรองนายกฯ พลเอก ประวิตร เพิ่มรายได้ดันปาล์มน้ำมันขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจชั้นแนวหน้า รองนายกฯ ย้ำ รัฐบาลมุ่งมั่นให้ชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น | วันอังคารที่ 26 เมษายน 2565
เกษตรชาวสวนปาล์มขอบคุณรองนายกฯ พลเอก ประวิตร เพิ่มรายได้ดันปาล์มน้ํามันขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจชั้นแนวหน้า รองนายกฯ ย้ํา รัฐบาลมุ่งมั่นให้ชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
เกษตรชาวสวนปาล์มขอบคุณรองนายกฯ พลเอก ประวิตร เพิ่มรายได้ดันปาล์มน้ํามัน ขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจชั้นแนวหน้า รองนายกฯ ย้ํา รัฐบาลมุ่งมั่นให้ชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มมากขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
วันนี้ (26 เมษายน 2565) เวลา 08.15 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายสุพิท มีแก้ว ประธานชมรมคนปลูกปาล์มน้ํามันแห่งประเทศไทย และแกนนําเกษตรกรชาวสวนปาล์ม จากพื้นที่จังหวัดปทุมธานี นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร พังงา สุราษฎร์ธานี และกระบี่ เข้าพบพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเรื่องปาล์มน้ํามัน โดยได้ยื่นหนังสือ 4 เรื่องประกอบด้วย 1. ขอให้จัดทําโครงสร้างราคาที่เป็นธรรมสําหรับปาล์มน้ํามันทั้งระบบ 2. ขอให้ติดตั้งมิเตอร์วัดปริมาณน้ํามันปาล์มเพื่อวัดเปอร์เซ็นต์การผลิตจากโรงงาน 3. ขอให้ควบคุมราคาน้ํามันผ่านแดน ไม่ให้มีการตกหล่นหรือลักลอบนําเข้ามาใช้ในประเทศ และ 4. ขอให้เร่งสัมปทานบรรเทาราคาปุ๋ย พร้อมขอบคุณรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ํามันแห่งชาติ (กนป.) ที่เพิ่มรายได้ดันปาล์มน้ํามันขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจชั้นแนวหน้า โดยมี พลตํารวจเอก ดร.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์มทั้งระบบ เข้าร่วมด้วย
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน กนป. ได้ย้ํากับตัวแทนเกษตรกรชาวสวนปาล์มกว่า 20 รายที่เข้าพบหารือเรื่องปาล์มน้ํามันว่า ปัญหาปาล์มน้ํามันเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ต้องมุ่งมั่นตั้งใจในการแก้ไขปัญหา ซึ่งรัฐบาลได้ดําเนินการมาตลอด 7 ปี และประสบความสําเร็จในปีที่ผ่านมา เป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจาก 5 หมื่นล้านบาท เป็น 1.1 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการสต๊อกส่วนเกินที่สอดคล้องกับฤดูกาลผลิต การส่งออกน้ํามันปาล์มเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ํามัน การแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ํามันที่ไม่เป็นไปตามกลไกตลาดโลก มาตรการด้านอุปสงค์และอุปทาน และให้เป็นไปตามโครงสร้างที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย อีกทั้งเร่งรัดติดตั้งมิเตอร์ปาล์มน้ํามัน การเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ํามันเพื่อเพิ่มความต้องการใช้ภายในประเทศและส่งออกเป็นสินค้าสําเร็จรูป 8 ชนิด รวมทั้งมอบหมายคณะทํางานดูแลเรื่องการยกร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อนําไปใช้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ติดขัดอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ด้วยความมุ่งมั่นให้พี่น้องชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
ด้านพลตํารวจเอก ดร.ธรรมศักดิ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา การยกระดับรายได้ของชาวสวนปาล์ม ได้ผลสําเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยมูลค่าปาล์มทะลายเพิ่มจาก 5 หมื่นล้านบาทในปี 2562 เป็น 7 หมื่นล้านบาท ในปี 2563 และ 1.1 แสนล้านบาทในปี 2564 รวม 3 ปี 2.3 แสนล้าน และปี 2565 คาดว่าจะมีเม็ดเงินเป็นรายได้ตกถึงชาวสวนปาล์มอีก ไม่น้อยกว่า 1.2 แสนล้านบาท โดยที่รัฐไม่ต้องใช้เงินประกันรายได้เลยแม้แต่สตางค์เดียว ในขณะที่ผลิตผลการเกษตรอื่นกําลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โควิดและสภาวะเศรษฐกิจ แต่ราคาปาล์มน้ํามันกลับวิ่งตามราคาตลาดโลก ทั้งที่โดนปรับลดส่วนผสมในไบโอดีเซลลงเท่าตัว จาก บี10 เป็น บี5 และการบริโภคน้ํามันปาล์มภายในประเทศที่ลดลงจากผลกระทบของการสั่งปิดร้านอาหารป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด แต่พลเอกประวิตรกลับตัดสินใจผลักดันการส่งออกในราคาที่แข่งขันได้ สร้างความต้องการให้กับน้ํามันปาล์มส่งออกมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพื่อบริหารสต๊อกและส่งผลให้ราคาปาล์มทะลายของไทยขึ้นตามราคาตลาดโลกอย่างต่อเนื่องโดยไม่ถูกกดราคาเหมือนปีก่อน ๆ
นอกจากนี้ พลเอก ประวิตร ยังสั่งการให้แก้ไขปัญหาทั้งระบบตั้งแต่ระดับต้นน้ํา คือลดการตัดปาล์มดิบและการซื้อขายปาล์มที่ไม่เป็นธรรมให้มีมาตรฐานดีขึ้น ระดับกลางน้ําคือการปรับปรุงอัตราการสกัดน้ํามันปาล์มดิบให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและปลายน้ําคือหาแนวทางการแปรรูปน้ํามันปาล์มดิบและผลพลอยเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ 8 ชนิดที่ กนป. ได้มีมติเห็นชอบและรายงานต่อคณะรัฐมนตรีแล้วและคาดว่าไม่เกินปี 2568 จะมีการนําน้ํามันปาล์มไปใช้ผลิตสินค้าใหม่ ๆ เหล่านั้น เพื่อใช้ในประเทศและส่งออกไปยังตลาดโลก โดยไม่ต้องห่วงว่าหากมีการลดส่วนผสมน้ํามันปาล์มในไบโอดีเซล แล้วจะทําให้ราคาปาล์มน้ํามันตกต่ําเพราะนี่เป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว ประธาน กนป. ยังเร่งรัดให้มีการจัดทําโครงสร้างราคาที่มีความล่าช้า เร่งรัดให้ติดตั้งมิเตอร์เพื่อการตรวจสอบระดับสต๊อกน้ํามันปาล์มและการปรับปรุงระบบการตรวจสอบระดับสต๊อกให้ทันสมัยและถูกต้อง การแก้ปัญหาการลักลอบการนําเข้าน้ํามันปาล์ม การต่ออายุมาตรการสนับสนุนการส่งออกน้ํามันปาล์ม และการคงสัดส่วนสูตรผสมน้ํามันไบโอดีเซลที่ 5% หรือ บี5 ชั่วคราวช่วงวิกฤตยูเครนเท่านั้น
เรื่องสําคัญเร่งด่วนอีกประการ คือ การยกร่าง พรบ.ใหม่สําหรับปาล์มน้ํามัน ที่กําลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นอนาคตปาล์มน้ํามัน จึงมีอนาคตที่สดใสสมกับที่ได้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของไทยในช่วงที่อยู่ในการกํากับดูแลของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
............................... | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เกษตรชาวสวนปาล์มขอบคุณรองนายกฯ พลเอก ประวิตร เพิ่มรายได้ดันปาล์มน้ำมันขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจชั้นแนวหน้า รองนายกฯ ย้ำ รัฐบาลมุ่งมั่นให้ชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
วันอังคารที่ 26 เมษายน 2565
เกษตรชาวสวนปาล์มขอบคุณรองนายกฯ พลเอก ประวิตร เพิ่มรายได้ดันปาล์มน้ํามันขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจชั้นแนวหน้า รองนายกฯ ย้ํา รัฐบาลมุ่งมั่นให้ชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
เกษตรชาวสวนปาล์มขอบคุณรองนายกฯ พลเอก ประวิตร เพิ่มรายได้ดันปาล์มน้ํามัน ขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจชั้นแนวหน้า รองนายกฯ ย้ํา รัฐบาลมุ่งมั่นให้ชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มมากขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
วันนี้ (26 เมษายน 2565) เวลา 08.15 น. ณ ห้องรับรอง 1 ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล นายสุพิท มีแก้ว ประธานชมรมคนปลูกปาล์มน้ํามันแห่งประเทศไทย และแกนนําเกษตรกรชาวสวนปาล์ม จากพื้นที่จังหวัดปทุมธานี นครศรีธรรมราช ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร พังงา สุราษฎร์ธานี และกระบี่ เข้าพบพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเรื่องปาล์มน้ํามัน โดยได้ยื่นหนังสือ 4 เรื่องประกอบด้วย 1. ขอให้จัดทําโครงสร้างราคาที่เป็นธรรมสําหรับปาล์มน้ํามันทั้งระบบ 2. ขอให้ติดตั้งมิเตอร์วัดปริมาณน้ํามันปาล์มเพื่อวัดเปอร์เซ็นต์การผลิตจากโรงงาน 3. ขอให้ควบคุมราคาน้ํามันผ่านแดน ไม่ให้มีการตกหล่นหรือลักลอบนําเข้ามาใช้ในประเทศ และ 4. ขอให้เร่งสัมปทานบรรเทาราคาปุ๋ย พร้อมขอบคุณรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการนโยบายปาล์มน้ํามันแห่งชาติ (กนป.) ที่เพิ่มรายได้ดันปาล์มน้ํามันขึ้นแท่นพืชเศรษฐกิจชั้นแนวหน้า โดยมี พลตํารวจเอก ดร.ธรรมศักดิ์ วิชชารยะ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในฐานะประธานอนุกรรมการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของปาล์มน้ํามันและน้ํามันปาล์มทั้งระบบ เข้าร่วมด้วย
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีในฐานะประธาน กนป. ได้ย้ํากับตัวแทนเกษตรกรชาวสวนปาล์มกว่า 20 รายที่เข้าพบหารือเรื่องปาล์มน้ํามันว่า ปัญหาปาล์มน้ํามันเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน ต้องมุ่งมั่นตั้งใจในการแก้ไขปัญหา ซึ่งรัฐบาลได้ดําเนินการมาตลอด 7 ปี และประสบความสําเร็จในปีที่ผ่านมา เป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นจาก 5 หมื่นล้านบาท เป็น 1.1 แสนล้านบาท โดยรัฐบาลให้ความสําคัญกับการบริหารจัดการสต๊อกส่วนเกินที่สอดคล้องกับฤดูกาลผลิต การส่งออกน้ํามันปาล์มเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาปาล์มน้ํามัน การแก้ไขปัญหาราคาปาล์มน้ํามันที่ไม่เป็นไปตามกลไกตลาดโลก มาตรการด้านอุปสงค์และอุปทาน และให้เป็นไปตามโครงสร้างที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย อีกทั้งเร่งรัดติดตั้งมิเตอร์ปาล์มน้ํามัน การเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์ปาล์มน้ํามันเพื่อเพิ่มความต้องการใช้ภายในประเทศและส่งออกเป็นสินค้าสําเร็จรูป 8 ชนิด รวมทั้งมอบหมายคณะทํางานดูแลเรื่องการยกร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อนําไปใช้แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่ติดขัดอยู่ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ด้วยความมุ่งมั่นให้พี่น้องชาวสวนปาล์มมีรายได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น มีความเป็นอยู่ดีขึ้น
ด้านพลตํารวจเอก ดร.ธรรมศักดิ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา การยกระดับรายได้ของชาวสวนปาล์ม ได้ผลสําเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยมูลค่าปาล์มทะลายเพิ่มจาก 5 หมื่นล้านบาทในปี 2562 เป็น 7 หมื่นล้านบาท ในปี 2563 และ 1.1 แสนล้านบาทในปี 2564 รวม 3 ปี 2.3 แสนล้าน และปี 2565 คาดว่าจะมีเม็ดเงินเป็นรายได้ตกถึงชาวสวนปาล์มอีก ไม่น้อยกว่า 1.2 แสนล้านบาท โดยที่รัฐไม่ต้องใช้เงินประกันรายได้เลยแม้แต่สตางค์เดียว ในขณะที่ผลิตผลการเกษตรอื่นกําลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โควิดและสภาวะเศรษฐกิจ แต่ราคาปาล์มน้ํามันกลับวิ่งตามราคาตลาดโลก ทั้งที่โดนปรับลดส่วนผสมในไบโอดีเซลลงเท่าตัว จาก บี10 เป็น บี5 และการบริโภคน้ํามันปาล์มภายในประเทศที่ลดลงจากผลกระทบของการสั่งปิดร้านอาหารป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด แต่พลเอกประวิตรกลับตัดสินใจผลักดันการส่งออกในราคาที่แข่งขันได้ สร้างความต้องการให้กับน้ํามันปาล์มส่งออกมากอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพื่อบริหารสต๊อกและส่งผลให้ราคาปาล์มทะลายของไทยขึ้นตามราคาตลาดโลกอย่างต่อเนื่องโดยไม่ถูกกดราคาเหมือนปีก่อน ๆ
นอกจากนี้ พลเอก ประวิตร ยังสั่งการให้แก้ไขปัญหาทั้งระบบตั้งแต่ระดับต้นน้ํา คือลดการตัดปาล์มดิบและการซื้อขายปาล์มที่ไม่เป็นธรรมให้มีมาตรฐานดีขึ้น ระดับกลางน้ําคือการปรับปรุงอัตราการสกัดน้ํามันปาล์มดิบให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นและปลายน้ําคือหาแนวทางการแปรรูปน้ํามันปาล์มดิบและผลพลอยเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ 8 ชนิดที่ กนป. ได้มีมติเห็นชอบและรายงานต่อคณะรัฐมนตรีแล้วและคาดว่าไม่เกินปี 2568 จะมีการนําน้ํามันปาล์มไปใช้ผลิตสินค้าใหม่ ๆ เหล่านั้น เพื่อใช้ในประเทศและส่งออกไปยังตลาดโลก โดยไม่ต้องห่วงว่าหากมีการลดส่วนผสมน้ํามันปาล์มในไบโอดีเซล แล้วจะทําให้ราคาปาล์มน้ํามันตกต่ําเพราะนี่เป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว ประธาน กนป. ยังเร่งรัดให้มีการจัดทําโครงสร้างราคาที่มีความล่าช้า เร่งรัดให้ติดตั้งมิเตอร์เพื่อการตรวจสอบระดับสต๊อกน้ํามันปาล์มและการปรับปรุงระบบการตรวจสอบระดับสต๊อกให้ทันสมัยและถูกต้อง การแก้ปัญหาการลักลอบการนําเข้าน้ํามันปาล์ม การต่ออายุมาตรการสนับสนุนการส่งออกน้ํามันปาล์ม และการคงสัดส่วนสูตรผสมน้ํามันไบโอดีเซลที่ 5% หรือ บี5 ชั่วคราวช่วงวิกฤตยูเครนเท่านั้น
เรื่องสําคัญเร่งด่วนอีกประการ คือ การยกร่าง พรบ.ใหม่สําหรับปาล์มน้ํามัน ที่กําลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นอนาคตปาล์มน้ํามัน จึงมีอนาคตที่สดใสสมกับที่ได้เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ของไทยในช่วงที่อยู่ในการกํากับดูแลของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
............................... | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53912 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย มอบหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ และเจลแอลกอฮอล์ ให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย | วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564
ปลัดฯ กอบชัย มอบหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ และเจลแอลกอฮอล์ ให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ปลัดฯ กอบชัย มอบหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ และเจลแอลกอฮอล์ ให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
วันนี้ (12 กรกฎาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบหน้ากากอนามัย KN-95 จํานวน 20,000 ชิ้น เจลแอลกอฮอล์ 75% จํานวน 28 ลัง ให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อใช้สําหรับการรองรับผู้ป่วยโควิด-19 โดยมีผศ.(พิเศษ)นพ.สุรินทร์ อัศววิทูรทิพย์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการ ด้านภาพลักษณ์องค์กร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้การต้อนรับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย มอบหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ และเจลแอลกอฮอล์ ให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม 2564
ปลัดฯ กอบชัย มอบหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ และเจลแอลกอฮอล์ ให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ปลัดฯ กอบชัย มอบหน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ และเจลแอลกอฮอล์ ให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
วันนี้ (12 กรกฎาคม 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม มอบหน้ากากอนามัย KN-95 จํานวน 20,000 ชิ้น เจลแอลกอฮอล์ 75% จํานวน 28 ลัง ให้แก่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อใช้สําหรับการรองรับผู้ป่วยโควิด-19 โดยมีผศ.(พิเศษ)นพ.สุรินทร์ อัศววิทูรทิพย์ ผู้ช่วยผู้อํานวยการ ด้านภาพลักษณ์องค์กร โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ให้การต้อนรับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43689 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ | วันอังคารที่ 22 มีนาคม 2565
ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
วันที่ 22 มีนาคม 2565 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอ ซึ่งเป็นการปรับปรุงการกําหนดตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ ซึ่งเป็นข้อมูลข่าวสารที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคําสั่งไม่ให้เปิดเผย หากเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือเศรษฐกิจของประเทศ เป็นต้น ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงระดับตําแหน่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐในปัจจุบัน
ทั้งนี้ตามเดิมกําหนดให้ข้าราชการที่ดํารงตําแหน่งตั้งแต่ระดับ 6 ขึ้นไป เป็นผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ เปลี่ยนเป็น ให้ข้าราชการที่ดํารงตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงาน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่หัวหน้างานประเภทวิชาการระดับชํานาญการ ประเภทอํานวยการ ประเภทบริหาร หรือเทียบเท่ากับตําแหน่งดังกล่าวขึ้นไป เป็นผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ เพิ่มหน่วยงานและกําหนดตําแหน่งข้าราชการฝ่ายปกครอง ข้าราชการสํานักงานศาลรัฐธรรมนูญ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ให้เป็นผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ ซึ่งเดิมไม่ได้กําหนดไว้ และได้ตัดตําแหน่งปลัดสุขาภิบาลและประธานสภาตําบลออก เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจมีคำสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
วันอังคารที่ 22 มีนาคม 2565
ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
วันที่ 22 มีนาคม 2565 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีเสนอ ซึ่งเป็นการปรับปรุงการกําหนดตําแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ ซึ่งเป็นข้อมูลข่าวสารที่หน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐอาจมีคําสั่งไม่ให้เปิดเผย หากเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือเศรษฐกิจของประเทศ เป็นต้น ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงระดับตําแหน่งของเจ้าหน้าที่ของรัฐในปัจจุบัน
ทั้งนี้ตามเดิมกําหนดให้ข้าราชการที่ดํารงตําแหน่งตั้งแต่ระดับ 6 ขึ้นไป เป็นผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ เปลี่ยนเป็น ให้ข้าราชการที่ดํารงตําแหน่งประเภททั่วไประดับชํานาญงาน ซึ่งปฏิบัติหน้าที่หัวหน้างานประเภทวิชาการระดับชํานาญการ ประเภทอํานวยการ ประเภทบริหาร หรือเทียบเท่ากับตําแหน่งดังกล่าวขึ้นไป เป็นผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ เพิ่มหน่วยงานและกําหนดตําแหน่งข้าราชการฝ่ายปกครอง ข้าราชการสํานักงานศาลรัฐธรรมนูญ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ให้เป็นผู้มีอํานาจมีคําสั่งให้เปิดเผยข้อมูลข่าวสารฯ ซึ่งเดิมไม่ได้กําหนดไว้ และได้ตัดตําแหน่งปลัดสุขาภิบาลและประธานสภาตําบลออก เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่น | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52817 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ขานรับนโยบายภาครัฐ ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยให้นานที่สุด ช่วยเอสเอ็มอีไทยบริหารต้นทุนการเงิน เพื่อเดินหน้าธุรกิจเต็มกำลัง | วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565
ธพว. ขานรับนโยบายภาครัฐ ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยให้นานที่สุด ช่วยเอสเอ็มอีไทยบริหารต้นทุนการเงิน เพื่อเดินหน้าธุรกิจเต็มกําลัง
จากที่ กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 0.50% เป็น 0.75% ต่อปี เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2565 ธพว. พร้อมจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ให้นานที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสามารถบริหารต้นทุนการเงินได้
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า จากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 0.50% เป็น 0.75% ต่อปี เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา แม้ ธพว. จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจาก ธพว. เป็นสถาบันการเงินของรัฐเพื่อการพัฒนาเอสเอ็มอีไทย ที่มีความใกล้ชิดและเข้าใจสถานการณ์ของเอสเอ็มอีเป็นอย่างดี รวมถึงเป็นการขานรับนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง ที่มอบหมายให้สถาบันการเงินช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจ ดังนั้น ธพว. พร้อมจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ให้นานที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสามารถบริหารต้นทุนการเงินได้
โดยก่อนหน้านี้ ธพว. ได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้ามาแล้วอย่างต่อเนื่อง ผ่านกระบวนการแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทําให้ลูกค้าได้รับผลกระทบไม่มาก ขณะเดียวกัน ยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ําและคงที่ ช่วยเสริมสภาพคล่องและบริหารจัดต้นทุนทางการเงิน เช่น “สินเชื่อ 3D” อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.5% ต่อปี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ และ “สินเชื่อธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” (BCG Loan) อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.99% ต่อปี เป็นต้น ประกอบกับสนับสนุนด้าน “การพัฒนา” ควบคู่ไปด้วย ภายใต้โครงการ “SME D Coach” ที่ปรึกษาธุรกิจครบวงจร ช่วยประคับประคองให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีปรับตัวและเดินหน้าธุรกิจได้ต่อเนื่อง | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธพว. ขานรับนโยบายภาครัฐ ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยให้นานที่สุด ช่วยเอสเอ็มอีไทยบริหารต้นทุนการเงิน เพื่อเดินหน้าธุรกิจเต็มกำลัง
วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565
ธพว. ขานรับนโยบายภาครัฐ ประกาศตรึงอัตราดอกเบี้ยให้นานที่สุด ช่วยเอสเอ็มอีไทยบริหารต้นทุนการเงิน เพื่อเดินหน้าธุรกิจเต็มกําลัง
จากที่ กนง. มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 0.50% เป็น 0.75% ต่อปี เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2565 ธพว. พร้อมจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ให้นานที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสามารถบริหารต้นทุนการเงินได้
นางสาวนารถนารี รัฐปัตย์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า จากที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติ 6 ต่อ 1 เสียง ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 0.50% เป็น 0.75% ต่อปี เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา แม้ ธพว. จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนการเงินที่เพิ่มขึ้น แต่เนื่องจาก ธพว. เป็นสถาบันการเงินของรัฐเพื่อการพัฒนาเอสเอ็มอีไทย ที่มีความใกล้ชิดและเข้าใจสถานการณ์ของเอสเอ็มอีเป็นอย่างดี รวมถึงเป็นการขานรับนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง ที่มอบหมายให้สถาบันการเงินช่วยเหลือประชาชนและภาคธุรกิจ ดังนั้น ธพว. พร้อมจะตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ให้นานที่สุด เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสามารถบริหารต้นทุนการเงินได้
โดยก่อนหน้านี้ ธพว. ได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้ามาแล้วอย่างต่อเนื่อง ผ่านกระบวนการแก้ไขหนี้อย่างยั่งยืนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทําให้ลูกค้าได้รับผลกระทบไม่มาก ขณะเดียวกัน ยังมีผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ําและคงที่ ช่วยเสริมสภาพคล่องและบริหารจัดต้นทุนทางการเงิน เช่น “สินเชื่อ 3D” อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.5% ต่อปี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ และ “สินเชื่อธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม” (BCG Loan) อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.99% ต่อปี เป็นต้น ประกอบกับสนับสนุนด้าน “การพัฒนา” ควบคู่ไปด้วย ภายใต้โครงการ “SME D Coach” ที่ปรึกษาธุรกิจครบวงจร ช่วยประคับประคองให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีปรับตัวและเดินหน้าธุรกิจได้ต่อเนื่อง | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57950 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เริ่มใช้เกณฑ์ตรวจวัดควันดำจากท่อไอเสียใหม่ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป | วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2565
กรมการขนส่งทางบก เริ่มใช้เกณฑ์ตรวจวัดควันดําจากท่อไอเสียใหม่ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
กรมการขนส่งทางบก เริ่มใช้เกณฑ์ตรวจวัดควันดําจากท่อไอเสียใหม่ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แนะ!!! เจ้าของรถและผู้ประกอบการขนส่ง ตรวจเช็กสภาพรถให้มีค่าควันดําตามเกณฑ์ใหม่ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา PM 2.5
นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ออกประกาศกําหนดมาตรฐานค่าควันดําของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยการอัด ปรับปรุงการกําหนดมาตรฐานค่าควันดําของรถยนต์ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อลดการปล่อยควันดําให้น้อยลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมมลพิษ แก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากแหล่งกําเนิดมลพิษประเภทรถยนต์ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล มีผลบังคับใช้วันที่ 13 เมษายน 2565 ดังนั้น กรมการขนส่งทางบก จึงได้ดําเนินการปรับปรุงมาตรฐานการตรวจวัดค่าควันดําจากท่อไอเสียของรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกและกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ให้สอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐานค่าควันดําและวิธีการตรวจวัดที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกําหนด โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ กรณีการตรวจวัดควันดําด้วยเครื่องวัดควันดําระบบวัดความทึบแสง ขณะเครื่องยนต์ไม่มีภาระ ค่าควันดําสูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 จากเดิม ร้อยละ 45 และหากตรวจวัดควันดําด้วยเครื่องวัดควันดําระบบกระดาษกรอง ขณะเครื่องยนต์ไม่มีภาระ ค่าควันดําสูงสุดไม่เกินร้อยละ 40 จากเดิม ร้อยละ 50 ซึ่งเกณฑ์การตรวจควันดําใหม่ เริ่มมีผลบังคับใช้กับการตรวจวัดควันดํารถที่มาดําเนินการตรวจสภาพรถก่อนจดทะเบียน หรือตรวจสภาพรถก่อนชําระภาษีประจําปีที่สํานักงานขนส่ง และสถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) ทุกแห่งแล้ว
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับปรุงมาตรฐานการตรวจวัดค่าควันดําดังกล่าวนอกจากมีผลบังคับใช้กับสํานักงานขนส่ง และสถานตรวจสภาพรถแล้ว ยังนําไปใช้กับการตรวจควันดําบนถนนสายหลักและสายรองทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการดําเนินการตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบกได้ดําเนินการมาอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง จัดผู้ตรวจการออกตรวจวัดควันดําจากท่อไอเสียของรถบรรทุกและรถโดยสาร ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และเพิ่มความถี่ในการปฏิบัติงานออกตรวจวัดควันดําทั่วประเทศ โดยเฉพาะบนถนนสายหลักและสายรองที่เข้า-ออกกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากตรวจวัดควันดําด้วยระบบวัดความทึบแสง แล้วมีค่าควันดําเกินร้อยละ 30 หรือตรวจวัดควันดําด้วยระบบกระดาษกรอง แล้วมีค่าควันดํา เกินร้อยละ 40 จะถูกเปรียบเทียบปรับสูงสุด 5,000 บาท และสั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ “ห้ามใช้” จนกว่าเจ้าของรถจะนํารถไปแก้ไขสภาพเครื่องยนต์ไม่ให้มีค่าควันดําเกินกําหนด และนํามาตรวจสภาพอีกครั้งจนผ่านการตรวจวัดจึงจะนําไปใช้งานได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการขนส่งและเจ้าของรถ ควรให้ความสําคัญกับการบํารุงรักษาเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอ รวมถึงการปรับพฤติกรรมการขับขี่ที่อาจก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เกิดจากยานพาหนะ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมการขนส่งทางบก เริ่มใช้เกณฑ์ตรวจวัดควันดำจากท่อไอเสียใหม่ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
วันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2565
กรมการขนส่งทางบก เริ่มใช้เกณฑ์ตรวจวัดควันดําจากท่อไอเสียใหม่ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
กรมการขนส่งทางบก เริ่มใช้เกณฑ์ตรวจวัดควันดําจากท่อไอเสียใหม่ ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป แนะ!!! เจ้าของรถและผู้ประกอบการขนส่ง ตรวจเช็กสภาพรถให้มีค่าควันดําตามเกณฑ์ใหม่ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหา PM 2.5
นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ออกประกาศกําหนดมาตรฐานค่าควันดําของรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบจุดระเบิดด้วยการอัด ปรับปรุงการกําหนดมาตรฐานค่าควันดําของรถยนต์ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น เพื่อลดการปล่อยควันดําให้น้อยลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมมลพิษ แก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จากแหล่งกําเนิดมลพิษประเภทรถยนต์ และเป็นไปตามมาตรฐานสากล มีผลบังคับใช้วันที่ 13 เมษายน 2565 ดังนั้น กรมการขนส่งทางบก จึงได้ดําเนินการปรับปรุงมาตรฐานการตรวจวัดค่าควันดําจากท่อไอเสียของรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบกและกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ให้สอดคล้องตามเกณฑ์มาตรฐานค่าควันดําและวิธีการตรวจวัดที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกําหนด โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ กรณีการตรวจวัดควันดําด้วยเครื่องวัดควันดําระบบวัดความทึบแสง ขณะเครื่องยนต์ไม่มีภาระ ค่าควันดําสูงสุดไม่เกินร้อยละ 30 จากเดิม ร้อยละ 45 และหากตรวจวัดควันดําด้วยเครื่องวัดควันดําระบบกระดาษกรอง ขณะเครื่องยนต์ไม่มีภาระ ค่าควันดําสูงสุดไม่เกินร้อยละ 40 จากเดิม ร้อยละ 50 ซึ่งเกณฑ์การตรวจควันดําใหม่ เริ่มมีผลบังคับใช้กับการตรวจวัดควันดํารถที่มาดําเนินการตรวจสภาพรถก่อนจดทะเบียน หรือตรวจสภาพรถก่อนชําระภาษีประจําปีที่สํานักงานขนส่ง และสถานตรวจสภาพรถ (ตรอ.) ทุกแห่งแล้ว
รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า การปรับปรุงมาตรฐานการตรวจวัดค่าควันดําดังกล่าวนอกจากมีผลบังคับใช้กับสํานักงานขนส่ง และสถานตรวจสภาพรถแล้ว ยังนําไปใช้กับการตรวจควันดําบนถนนสายหลักและสายรองทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการดําเนินการตามมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบกได้ดําเนินการมาอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง จัดผู้ตรวจการออกตรวจวัดควันดําจากท่อไอเสียของรถบรรทุกและรถโดยสาร ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และเพิ่มความถี่ในการปฏิบัติงานออกตรวจวัดควันดําทั่วประเทศ โดยเฉพาะบนถนนสายหลักและสายรองที่เข้า-ออกกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หากตรวจวัดควันดําด้วยระบบวัดความทึบแสง แล้วมีค่าควันดําเกินร้อยละ 30 หรือตรวจวัดควันดําด้วยระบบกระดาษกรอง แล้วมีค่าควันดํา เกินร้อยละ 40 จะถูกเปรียบเทียบปรับสูงสุด 5,000 บาท และสั่งห้ามใช้รถด้วยการพ่นข้อความ “ห้ามใช้” จนกว่าเจ้าของรถจะนํารถไปแก้ไขสภาพเครื่องยนต์ไม่ให้มีค่าควันดําเกินกําหนด และนํามาตรวจสภาพอีกครั้งจนผ่านการตรวจวัดจึงจะนําไปใช้งานได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการขนส่งและเจ้าของรถ ควรให้ความสําคัญกับการบํารุงรักษาเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์อยู่เสมอ รวมถึงการปรับพฤติกรรมการขับขี่ที่อาจก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์ เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ที่เกิดจากยานพาหนะ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53619 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ พลิกโฉมสารวัตรเกษตรมิติใหม่ ต้องแนะนำให้ความรู้เกษตรกร-ร้านค้า | วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2565
‘รมช.มนัญญา’ พลิกโฉมสารวัตรเกษตรมิติใหม่ ต้องแนะนําให้ความรู้เกษตรกร-ร้านค้า
‘รมช.มนัญญา’ พลิกโฉมสารวัตรเกษตรมิติใหม่ ต้องแนะนําให้ความรู้เกษตรกร-ร้านค้า พร้อมปล่อยขบวนส่งสารวัตรเกษตร อาสาสมัคร 1,800 คนทั่วประเทศ เดินหน้าตรวจสกัดร้านค้าปุ๋ย–ยา ปลอม ก่อนฤดูการเพาะปลูก
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีปล่อยขบวนสารวัตรเกษตร ออกปฏิบัติงานควบคุมปัจจัยการผลิตให้มีคุณภาพ รับฤดูกาลผลิตใหม่ ของสํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่3ขอนแก่น กรมวิชาการเกษตร ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุดรธานี ตําบลเมืองเพีย อําเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ว่า การส่งเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรออกตรวจสอบโรงงานผลิตปุ๋ย เมล็ดพันธุ์พืช และสารเคมีทางการเกษตรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างเข้มงวด เพื่อให้ประชาชน และเกษตรกรได้ใช้ปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพตรงตามที่ได้มีการขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรไว้ เพื่อรณรงค์ให้ผู้ประกอบการผลิตปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ
"สารวัตรเกษตรในยุคนี้ เป็นการพลิกโฉมการปฏิบัติหน้าที่จากรูปแบบเดิม เพราะจะเข้าไปดูแล ให้คําแนะนํา สิ่งไหนที่ผิด สิ่งไหนที่ถูก เพื่อให้เกษตรกรได้มีความรู้ความเข้าใจ และใกล้ชิดกับเกษตรกรและผู้ประกอบการมากขึ้น สารวัตรเกษตรแบบใหม่จะต้องทําให้เกษตรกรอยากเข้าหาขอความรู้ คําแนะนําต่างๆ ได้ และขอฝากเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรทั่วประเทศให้ทําหน้าที่อย่างเต็มที่ ร่วมใจกันออกตรวจเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน“ รมช.มนัญญา กล่าว
นายระพีภัทร์จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า งานควบคุมตามพระราชบัญญัติเป็นภารกิจสําคัญอีกอย่างหนึ่งที่สารวัตรเกษตร ของกรมวิชาการเกษตรต้องดําเนินการรับผิดชอบกํากับดูแลงานตาม พ.ร.บ. ต่างๆ ถึง6ฉบับ ในพื้นที่จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน11จังหวัดมีร้านจําหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรกว่า6,000ร้านค้า มีพนักงานเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรในเขตพื้นที่นี้เพียง43คน กลุ่มควบคุมตามพระราชบัญญัติ สํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่3จึงริเริ่มโครงการสารวัตรเกษตรอาสา ซึ่งเป็นการนําผู้นําชุมชน เกษตรกร และภาคส่วนต่างๆ มารับการอบรมและร่วมเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแส เพื่อให้สามารถกํากับดูแลงานด้านนี้ ได้ดียิ่งขึ้นปัจจุบันมีสารวัตรเกษตรอาสาใน11จังหวัดนี้ รวม1,813คน กรมวิชาการเกษตรจึงได้ขยายโครงการนี้ให้สํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรและศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรในสังกัดทั่วประเทศ
สําหรับ11จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ มุกดาหาร สกลนคร นครพนม หนองคาย หนองบัวลําภู บึงกาฬ เลย และอุดรธานีอย่างไรก็ตาม ในช่วงปี2564ที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตรได้มีการตรวจตามเบาะแส ตามข้อร้องเรียน สําหรับผู้ประกอบการที่ขออนุญาตและไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติปุ๋ย วัตถุอันตรายและพันธุ์พืชสามารถมีการจับกุมและดําเนินคดีข้อมูล ณ วันที่ 28ก.ย.64รวม4จังหวัด4คดี รวมมูลค่า5,770 250บาท และในปี2563จํานวน6จังหวัด15คดี มูลค่า51ล้านบาท | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘รมช.มนัญญา’ พลิกโฉมสารวัตรเกษตรมิติใหม่ ต้องแนะนำให้ความรู้เกษตรกร-ร้านค้า
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2565
‘รมช.มนัญญา’ พลิกโฉมสารวัตรเกษตรมิติใหม่ ต้องแนะนําให้ความรู้เกษตรกร-ร้านค้า
‘รมช.มนัญญา’ พลิกโฉมสารวัตรเกษตรมิติใหม่ ต้องแนะนําให้ความรู้เกษตรกร-ร้านค้า พร้อมปล่อยขบวนส่งสารวัตรเกษตร อาสาสมัคร 1,800 คนทั่วประเทศ เดินหน้าตรวจสกัดร้านค้าปุ๋ย–ยา ปลอม ก่อนฤดูการเพาะปลูก
นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีปล่อยขบวนสารวัตรเกษตร ออกปฏิบัติงานควบคุมปัจจัยการผลิตให้มีคุณภาพ รับฤดูกาลผลิตใหม่ ของสํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่3ขอนแก่น กรมวิชาการเกษตร ณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรอุดรธานี ตําบลเมืองเพีย อําเภอกุดจับ จังหวัดอุดรธานี ว่า การส่งเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรออกตรวจสอบโรงงานผลิตปุ๋ย เมล็ดพันธุ์พืช และสารเคมีทางการเกษตรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่างเข้มงวด เพื่อให้ประชาชน และเกษตรกรได้ใช้ปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพตรงตามที่ได้มีการขึ้นทะเบียนกับกรมวิชาการเกษตรไว้ เพื่อรณรงค์ให้ผู้ประกอบการผลิตปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพ
"สารวัตรเกษตรในยุคนี้ เป็นการพลิกโฉมการปฏิบัติหน้าที่จากรูปแบบเดิม เพราะจะเข้าไปดูแล ให้คําแนะนํา สิ่งไหนที่ผิด สิ่งไหนที่ถูก เพื่อให้เกษตรกรได้มีความรู้ความเข้าใจ และใกล้ชิดกับเกษตรกรและผู้ประกอบการมากขึ้น สารวัตรเกษตรแบบใหม่จะต้องทําให้เกษตรกรอยากเข้าหาขอความรู้ คําแนะนําต่างๆ ได้ และขอฝากเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรทั่วประเทศให้ทําหน้าที่อย่างเต็มที่ ร่วมใจกันออกตรวจเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน“ รมช.มนัญญา กล่าว
นายระพีภัทร์จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า งานควบคุมตามพระราชบัญญัติเป็นภารกิจสําคัญอีกอย่างหนึ่งที่สารวัตรเกษตร ของกรมวิชาการเกษตรต้องดําเนินการรับผิดชอบกํากับดูแลงานตาม พ.ร.บ. ต่างๆ ถึง6ฉบับ ในพื้นที่จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน11จังหวัดมีร้านจําหน่ายปัจจัยการผลิตทางการเกษตรกว่า6,000ร้านค้า มีพนักงานเจ้าหน้าที่สารวัตรเกษตรในเขตพื้นที่นี้เพียง43คน กลุ่มควบคุมตามพระราชบัญญัติ สํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่3จึงริเริ่มโครงการสารวัตรเกษตรอาสา ซึ่งเป็นการนําผู้นําชุมชน เกษตรกร และภาคส่วนต่างๆ มารับการอบรมและร่วมเฝ้าระวัง แจ้งเบาะแส เพื่อให้สามารถกํากับดูแลงานด้านนี้ ได้ดียิ่งขึ้นปัจจุบันมีสารวัตรเกษตรอาสาใน11จังหวัดนี้ รวม1,813คน กรมวิชาการเกษตรจึงได้ขยายโครงการนี้ให้สํานักวิจัยและพัฒนาการเกษตรและศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรในสังกัดทั่วประเทศ
สําหรับ11จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดกาฬสินธุ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ มุกดาหาร สกลนคร นครพนม หนองคาย หนองบัวลําภู บึงกาฬ เลย และอุดรธานีอย่างไรก็ตาม ในช่วงปี2564ที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตรได้มีการตรวจตามเบาะแส ตามข้อร้องเรียน สําหรับผู้ประกอบการที่ขออนุญาตและไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติปุ๋ย วัตถุอันตรายและพันธุ์พืชสามารถมีการจับกุมและดําเนินคดีข้อมูล ณ วันที่ 28ก.ย.64รวม4จังหวัด4คดี รวมมูลค่า5,770 250บาท และในปี2563จํานวน6จังหวัด15คดี มูลค่า51ล้านบาท | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55047 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาชอปกัน ! เกษตรกร Happy เฟส 2 สั่งออนไลน์ สดจากสวน ส่งฟรีถึงบ้าน | วันอังคารที่ 17 สิงหาคม 2564
มาชอปกัน ! เกษตรกร Happy เฟส 2 สั่งออนไลน์ สดจากสวน ส่งฟรีถึงบ้าน
....
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดโครงการ “เกษตรกร Happy” เฟส 2 เชิญชวนประชาชนบริโภคผลไม้ไทย และสนับสนุนพี่น้องชาวสวนในการจําหน่ายผลไม้ในช่วงโควิด-19 ที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกและการจําหน่ายในประเทศ เช่น เงาะโรงเรียนนาสาร มังคุดนครศรี ลําไยพะเยา ฯลฯ
.
โดยการดําเนินการในเฟสที่ 1 ประสบความสําเร็จอย่างมาก ช่วยให้ราคาในตลาดมังคุดปรับตัวสูงขึ้น และมียอดขายกว่า 20,000 ตัน ผู้สนใจสามารถสั่งซื้อผลไม้คุณภาพดี ส่งตรงจากสวนได้ที่www.thailandpostmart.comพร้อมจัดส่งฟรีถึงบ้านโดยไปรษณีย์ไทย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มาชอปกัน ! เกษตรกร Happy เฟส 2 สั่งออนไลน์ สดจากสวน ส่งฟรีถึงบ้าน
วันอังคารที่ 17 สิงหาคม 2564
มาชอปกัน ! เกษตรกร Happy เฟส 2 สั่งออนไลน์ สดจากสวน ส่งฟรีถึงบ้าน
....
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดโครงการ “เกษตรกร Happy” เฟส 2 เชิญชวนประชาชนบริโภคผลไม้ไทย และสนับสนุนพี่น้องชาวสวนในการจําหน่ายผลไม้ในช่วงโควิด-19 ที่ได้รับผลกระทบจากการส่งออกและการจําหน่ายในประเทศ เช่น เงาะโรงเรียนนาสาร มังคุดนครศรี ลําไยพะเยา ฯลฯ
.
โดยการดําเนินการในเฟสที่ 1 ประสบความสําเร็จอย่างมาก ช่วยให้ราคาในตลาดมังคุดปรับตัวสูงขึ้น และมียอดขายกว่า 20,000 ตัน ผู้สนใจสามารถสั่งซื้อผลไม้คุณภาพดี ส่งตรงจากสวนได้ที่www.thailandpostmart.comพร้อมจัดส่งฟรีถึงบ้านโดยไปรษณีย์ไทย
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44827 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวปาฐกถาพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในงาน Global Compact Network Thailand – (GCNT) Forum 2021 | วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564
คํากล่าวปาฐกถาพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในงาน Global Compact Network Thailand – (GCNT) Forum 2021
คํากล่าวปาฐกถาพิเศษ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ในงาน Global Compact Network Thailand – (GCNT) Forum 2021
หัวข้อ “บทบาทผู้นํา มุ่งสู่การลงมือแก้ไขปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(Leadership for Climate Actions)”
คํากล่าวปาฐกถาพิเศษ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ในงาน Global Compact Network Thailand – (GCNT) Forum 2021
หัวข้อ “บทบาทผู้นํา มุ่งสู่การลงมือแก้ไขปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(Leadership for Climate Actions)”
วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
คุณกีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจําประเทศไทย
คุณศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย
ผู้แทนภาคเอกชนทุกท่าน
สวัสดีครับ
· ผมเชื่อว่าทุกท่านที่เข้าร่วมงานในวันนี้ ตระหนักดีถึงความสําคัญของ
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนับวันมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
World Economic Forum จัดให้ปัญหาclimate change และความล้มเหลวของประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหานี้ เป็นความเสี่ยงในลําดับต้น ๆ ของโลก และล่าสุด คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รายงานว่า
หากอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเพียง 2 องศาเซลเซียส จะทําให้น้ําท่วมมากขึ้นอีกร้อยละ 170 และประชาชนทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีความเปราะบางสูง เช่น ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา จะได้รับผลกระทบจากระดับน้ําทะเลที่อาจเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย
ทั่วโลก 1.1 เมตร ในปี ค.ศ. 2100 ซึ่งเราจะเห็นว่าภัยธรรมชาติเกิดบ่อยครั้งขึ้น
ทั่วโลก และนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย ประเทศไทยเองก็ประสบภัยธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง ขณะนี้ รัฐบาลเองก็กําลังเร่งแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย
ในหลายพื้นของไทย
· คงต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงจากปัญหา climate change โดย Climate Central (ไคลม์เมท เซ็นทรัล) จัดให้กรุงเทพมหานครเป็นหนึ่ง
ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงจากน้ําท่วมพื้นที่ตามแนวชายฝั่งและการทรุดตัวของดิน
และเมื่อปี 2563 Global Climate Risk 2020 (โกลบัล ไคลม์เมท ริสค์ 2020) จัดให้ไทยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบระยะยาวจาก climate change มากเป็นลําดับที่ 9 ของโลก
· ในอนาคต ประเทศไทยอาจยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ําทะเล การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ
หรือปรากฏการณ์สภาพอากาศรุนแรง เช่น อุทกภัย ภัยแล้ง หรือวาตภัย ที่ยากต่อการ
คาดการณ์ล่วงหน้าได้ ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทําให้ประเทศมีต้นทุนในการบริหารจัดการ
หรือแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงควรมีการเตรียมการเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
อย่างรอบด้าน เป็นระบบ และมีความยั่งยืน
· สําหรับผม ปัญหา climate change เป็นเรื่องใกล้ตัวมาก และต้องมี
การดําเนินการแก้ไขปัญหาในทุกระดับ โดยในระดับประเทศ การลดและบริหารจัดการ
ความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และการปรับตัวต่อ climate change เป็นสิ่งที่ต้องดําเนินการอย่างจริงจัง ขณะที่ในระดับระหว่างประเทศ ไทยจําเป็นต้องร่วมมือกับประชาคมโลก
ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
· เวทีสหประชาชาติใช้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความตกลงปารีสเป็นแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกัน
ซึ่งผมเป็นผู้มอบสัตยาบันสารเข้าเป็นภาคีความตกลงปารีสให้กับเลขาธิการสหประชาชาติด้วยตนเองเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559 ที่นครนิวยอร์ก และตระหนักถึงภาระหน้าที่
อันใหญ่หลวงนี้
· ความตกลงปารีสกําหนดเป้าหมายร่วมกันของประเทศต่าง ๆ ในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้ต่ํากว่า 2 องศาเซลเซียส หรือดียิ่งกว่านั้น คือ การควบคุมไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยให้ความสําคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างเงินทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือการดําเนินการของประเทศต่าง ๆ
· เพื่อแก้ปัญหา climate change ที่มีความเร่งด่วนมากขึ้นกลุ่มประเทศ
พัฒนาแล้วและประเทศกําลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ได้พยายามผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ กําหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการตั้งเป้าโดยประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนาเองก็มีความเคลื่อนไหวในการตั้งเป้าเช่นกัน อาทิ เกาหลีใต้ที่กําหนดว่าจะเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050 ส่วนจีนคาดว่าจะบรรลุในปี ค.ศ. 2060 นอกจากนี้ เพื่อนบ้านไทยในอาเซียน เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ได้กําหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์แล้ว โดยจะพยายามบรรลุให้ได้ในปี ค.ศ. 2060 และ ค.ศ. 2070 ตามลําดับ ดังนั้น ไทยในฐานะประเทศที่ให้ความสําคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างสมดุลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG จึงจําเป็นต้องเพิ่มการดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เข้มข้นขึ้นเช่นกัน
· อย่างไรก็ดี มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหา climate change โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการลดและควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จําเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ค่อนข้างสูงเพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางการผลิตและพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งมักส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศกําลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน
· ที่ผ่านมา ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมทําให้เกิดกระแสต่อต้านสินค้าบางประเภทแล้ว เช่น กรณีการต่อต้านน้ํามันปาล์มที่ผลิตในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย
ในสหภาพยุโรป เนื่องจากเห็นว่า การปลูกปาล์มทําให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่ามากขึ้น
และปัจจุบัน อียูอยู่ระหว่างร่างระเบียบมาตรการการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน หรือที่เรียกกันว่า CBAM (ซีแบม) ซึ่งอาจกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของมาตรการกีดกัน
ทางการค้า และอาจต้องมีการฟ้องร้องกันภายใต้กรอบ WTO ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2566 ครอบคลุมสินค้า 5 ประเภท ได้แก่ ซีเมนต์ พลังงานไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม และมีแนวโน้มที่จะขยายไปยังสินค้าอื่น ๆ ในอนาคต ขณะเดียวกัน เริ่มมีกระแสในสหรัฐฯ และแคนาดาที่อาจพิจารณาใช้มาตรการในลักษณะคล้ายคลึงกันด้วย
ทุกท่านครับ
· การแก้ไขปัญหา climate change แม้จะก่อให้เกิดภาระทางเศรษฐกิจและเพิ่มต้นทุนการผลิต แต่ผมอยากให้มองว่าเป็นโอกาสที่ไทยจะ “ผลิกโฉมประเทศ”
สู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า อันจะนํามาซึ่งการเติบโตที่สมดุล ยั่งยืน และเป็นมิตร
ต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ที่สําคัญ คือ เป็นโอกาสที่จะสร้างพลวัตใหม่ให้แก่เศรษฐกิจของเรา และจะเป็นประโยชน์สําหรับภาคธุรกิจทุกขนาด
· ดังนั้น ไทยต้องเร่งพัฒนาองค์ความรู้และเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขปัญหา climate change และปัญหาสิ่งแวดล้อมในภาพรวม โดยสามารถเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ และใช้ประโยชน์จากกองทุนระหว่างประเทศในการดําเนินโครงการที่เกี่ยวข้อง
ทั้งในด้านการลดการปล่อยก๊าซฯ และการปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบควบคู่ไปกับ
การสร้างภูมิคุ้มกัน
· นอกจากนี้ ไทยยังสามารถใช้ประโยชน์จากกลไกที่มีอยู่เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ํา ผ่านโครงการทวิภาคีเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ และโครงการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้ภาคเอกชนสามารถเข้าถึงเงินทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาใช้ในการลดการปล่อยก๊าซฯ ภายในองค์กรได้ ที่ผ่านมา ไทยได้ประโยชน์จากโครงการกลไกเครดิตร่วม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2558 และกําลังพิจารณาขยายความร่วมมือไปยังประเทศอื่น ๆ อาทิ สวิตเซอร์แลนด์
· เมื่อคํานึงถึงทิศทางของโลก ผมเห็นว่า ภาคเอกชนไทยจําเป็นต้องปรับตัวครับ และถึงแม้ว่าการปรับตัวจะมีค่าใช้จ่าย แต่ผมขอย้ําว่า การไม่ปรับตัวจะทําให้มีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีว่า ภาคเอกชนไทยหลายบริษัทเริ่มปรับตัวแล้วก่อนหน้านี้ โดยรัฐบาลให้คํามั่นว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดผลกระทบน้อยที่สุด
· ขณะนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างการจัดทํายุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนา
ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ําซึ่งกําหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด
ในปี 2573 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์โดยเร็วที่สุดภายใน
ครึ่งหลังของศตวรรษนี้ โดยภาคพลังงานและขนส่งยังคงเป็นภาคส่วนหลักในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงพลังงาน ได้จัดทําเป้าหมายการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี
ค.ศ. 2065 ด้วย
· นอกจากนี้ รัฐบาลได้บรรจุประเด็น climate change ในนโยบาย
ระดับประเทศ ภายใต้กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ซึ่งจะให้ความสําคัญกับวิถีชีวิตที่ยั่งยืน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน โดยมีหมุดหมายที่สําคัญ คือ หมุดหมายที่ 10 การพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ํา และหมุดหมายที่ 11 การลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็น 2 หมุดหมายที่ตอบสนองต่อประเด็น climate change โดยตรง
· ขณะเดียวกัน รัฐบาลอยู่ระหว่างการยกร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกมิติ ทั้งการจัดเก็บข้อมูลก๊าซเรือนกระจก การลดก๊าซฯ การปรับตัว และการส่งเสริมหน่วยงานและองค์กรท้องถิ่นในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในระดับประเทศ
ท่านผู้มีเกียรติครับ
· การส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ซึ่งเน้นการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจใน 3 มิติ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว อันเป็นการต่อยอดจากหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการพัฒนาของไทยที่เน้นสร้างการเจริญเติบโตที่สมดุล ยั่งยืน และเป็นมิตร
ต่อสิ่งแวดล้อม น่าจะช่วยเร่งรัดให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 13 เรื่อง Climate Action รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
· ขณะเดียวกัน ผมเห็นว่าการแก้ปัญหาโดยใช้ธรรมชาติเป็นพื้นฐาน เป็นอีกแนวทางสําคัญในการแก้ปัญหา climate change ได้ โดยเฉพาะสําหรับประเทศที่มีองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ โครงการปลูกป่าชายเลน ซึ่งนอกจากจะช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก ยังสามารถป้องกัน
การกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งได้อีกด้วย โดยขณะนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะปลูกต้นไม้ 100 ล้านต้นภายในปี 2565 ผมจึงขอเชิญชวนภาคเอกชนมีส่วนร่วมในโครงการนี้ รวมทั้งการริเริ่มโครงการอื่น ๆ ที่มุ่งใช้จุดแข็งในเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรธรรมชาติของไทยเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้
· นอกจากนี้ รัฐบาลยังพยายามส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ปรับตัวตามทิศทางบรรทัดฐานใหม่ ๆ ในเวทีระหว่างประเทศ โดยที่ผ่านมา รัฐบาลช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมทําความเย็นในการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอนที่ทําลายชั้นบรรยากาศและปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และล่าสุด รัฐบาลมุ่งผลักดันเรื่องอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ไทยสามารถเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและเปลี่ยนผ่านไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้ โดยรัฐบาลตั้งเป้าที่จะให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด รวมทั้งมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 15 ล้านคัน หรือ 1 ใน 3 ของยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2578
· ผมขอยืนยันว่า รัฐบาลจะดําเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ
การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็น การติดตามประเมินการดําเนินงานตามแผน
ที่กําหนดไว้ เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทย ปรับตัวและก้าวผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ําตามทิศทางของไทยและของประชาคมโลกได้อย่างมั่นใจ
· ผมเห็นว่า ภาคเอกชนไทยสามารถมีบทบาทอย่างมากในการเป็นผู้นําเพื่อแก้ปัญหา climate change และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนกระบวน
การผลิตและบริการ ภาคเอกชนหลายบริษัทให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเป็นอย่างมาก
ในการนําร่องโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการการจัดทําฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่มีผลิตภัณฑ์ในโครงการเกือบ 300 ผลิตภัณฑ์ และโครงการของสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยและภาคี ในการร่วมส่งเสริมการใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกในการก่อสร้างและเป็นวัตถุดิบสําหรับผลิตภัณฑ์คอนกรีต ซึ่งถือเป็นทางเลือกในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่น้อยกว่า ประการสําคัญ การกําหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของบริษัทต่าง ๆ ได้ขยายไปเป็นเครือข่ายไทยแลนด์คาร์บอนนิวทรัลแล้ว
· โครงการต่าง ๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า บทบาทนําของภาคเอกชนมีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนให้ไทยประสบความสําเร็จในการแก้ไขปัญหา climate change ผมจึงขอขอบคุณภาคเอกชนทุกท่าน ณ ที่นี้ และหวังว่าท่านจะช่วยต่อยอดให้กับภาคเอกชนรายอื่น ๆ ควบคู่ไปกับการสร้างพันธมิตรกับภาควิชาการและภาคประชาสังคม เพื่อให้เรามีการดําเนินการในด้านนี้อย่างแข็งขันยิ่งขึ้นอีก
ทุกท่านครับ
· ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ไทยจะเข้าร่วมการประชุม COP (ค๊อบ) 26 ที่เมืองกลาสโกว์ ซึ่งผมหวังว่า ที่ประชุมจะสามารถหาข้อสรุปร่วมกันในประเด็นสําคัญต่าง ๆ ที่จะช่วยในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา climate change อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงเรื่องการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ และการกําหนดเป้าหมายระดมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อนําไปสู่การดําเนินการตามความตกลงปารีสได้อย่างแท้จริง และสร้างความชัดเจนในการดําเนินการสําหรับประเทศต่าง ๆ ต่อไป
· เมื่อเดือนที่แล้ว ผมมีโอกาสกล่าวต่อเวทีสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 76
ในหลาย ๆ ประเด็นที่มีความสําคัญต่อโลก และได้ใช้โอกาสเหล่านั้น ย้ําความสําคัญ
ของอนาคตที่เรามุ่งหวัง และความมุ่งมั่นของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความสมดุลของ
สรรพสิ่ง จึงขอเรียกร้องให้ทุกท่านร่วมกันสร้างโลกที่ดีกว่าเพื่อส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป โดยผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้สมาชิก GCNT (จีซีเอ็นที) จะได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหา climate change อย่างยั่งยืน ตลอดจนเป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นแรงขับเคลื่อนให้ภาคส่วนอื่น ๆ ดําเนินการตามต่อไป
· สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทยสําหรับการจัดงานในวันนี้ ผมเชื่อมั่นว่า ทุกท่านจะได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กับองค์กรของท่าน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลง
สภาพภูมิอากาศและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ขอบคุณครับ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวปาฐกถาพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในงาน Global Compact Network Thailand – (GCNT) Forum 2021
วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564
คํากล่าวปาฐกถาพิเศษ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในงาน Global Compact Network Thailand – (GCNT) Forum 2021
คํากล่าวปาฐกถาพิเศษ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ในงาน Global Compact Network Thailand – (GCNT) Forum 2021
หัวข้อ “บทบาทผู้นํา มุ่งสู่การลงมือแก้ไขปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(Leadership for Climate Actions)”
คํากล่าวปาฐกถาพิเศษ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ในงาน Global Compact Network Thailand – (GCNT) Forum 2021
หัวข้อ “บทบาทผู้นํา มุ่งสู่การลงมือแก้ไขปัญหาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
(Leadership for Climate Actions)”
วันจันทร์ที่ 11 ตุลาคม 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
คุณกีต้า ซับบระวาล ผู้ประสานงานสหประชาชาติประจําประเทศไทย
คุณศุภชัย เจียรวนนท์ นายกสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย
ผู้แทนภาคเอกชนทุกท่าน
สวัสดีครับ
· ผมเชื่อว่าทุกท่านที่เข้าร่วมงานในวันนี้ ตระหนักดีถึงความสําคัญของ
ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งนับวันมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น
World Economic Forum จัดให้ปัญหาclimate change และความล้มเหลวของประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหานี้ เป็นความเสี่ยงในลําดับต้น ๆ ของโลก และล่าสุด คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รายงานว่า
หากอุณหภูมิของโลกเพิ่มขึ้นเพียง 2 องศาเซลเซียส จะทําให้น้ําท่วมมากขึ้นอีกร้อยละ 170 และประชาชนทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีความเปราะบางสูง เช่น ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรา จะได้รับผลกระทบจากระดับน้ําทะเลที่อาจเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย
ทั่วโลก 1.1 เมตร ในปี ค.ศ. 2100 ซึ่งเราจะเห็นว่าภัยธรรมชาติเกิดบ่อยครั้งขึ้น
ทั่วโลก และนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นด้วย ประเทศไทยเองก็ประสบภัยธรรมชาติอยู่บ่อยครั้ง ขณะนี้ รัฐบาลเองก็กําลังเร่งแก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย
ในหลายพื้นของไทย
· คงต้องยอมรับว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงสูงจากปัญหา climate change โดย Climate Central (ไคลม์เมท เซ็นทรัล) จัดให้กรุงเทพมหานครเป็นหนึ่ง
ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงจากน้ําท่วมพื้นที่ตามแนวชายฝั่งและการทรุดตัวของดิน
และเมื่อปี 2563 Global Climate Risk 2020 (โกลบัล ไคลม์เมท ริสค์ 2020) จัดให้ไทยเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบระยะยาวจาก climate change มากเป็นลําดับที่ 9 ของโลก
· ในอนาคต ประเทศไทยอาจยังได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ําทะเล การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิ
หรือปรากฏการณ์สภาพอากาศรุนแรง เช่น อุทกภัย ภัยแล้ง หรือวาตภัย ที่ยากต่อการ
คาดการณ์ล่วงหน้าได้ ซึ่งความไม่แน่นอนดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทําให้ประเทศมีต้นทุนในการบริหารจัดการ
หรือแก้ไขปัญหาดังกล่าว จึงควรมีการเตรียมการเพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
อย่างรอบด้าน เป็นระบบ และมีความยั่งยืน
· สําหรับผม ปัญหา climate change เป็นเรื่องใกล้ตัวมาก และต้องมี
การดําเนินการแก้ไขปัญหาในทุกระดับ โดยในระดับประเทศ การลดและบริหารจัดการ
ความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และการปรับตัวต่อ climate change เป็นสิ่งที่ต้องดําเนินการอย่างจริงจัง ขณะที่ในระดับระหว่างประเทศ ไทยจําเป็นต้องร่วมมือกับประชาคมโลก
ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
· เวทีสหประชาชาติใช้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความตกลงปารีสเป็นแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกัน
ซึ่งผมเป็นผู้มอบสัตยาบันสารเข้าเป็นภาคีความตกลงปารีสให้กับเลขาธิการสหประชาชาติด้วยตนเองเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2559 ที่นครนิวยอร์ก และตระหนักถึงภาระหน้าที่
อันใหญ่หลวงนี้
· ความตกลงปารีสกําหนดเป้าหมายร่วมกันของประเทศต่าง ๆ ในการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกให้ต่ํากว่า 2 องศาเซลเซียส หรือดียิ่งกว่านั้น คือ การควบคุมไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส โดยให้ความสําคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการสร้างเงินทุนหมุนเวียนเพื่อช่วยเหลือการดําเนินการของประเทศต่าง ๆ
· เพื่อแก้ปัญหา climate change ที่มีความเร่งด่วนมากขึ้นกลุ่มประเทศ
พัฒนาแล้วและประเทศกําลังพัฒนาที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ได้พยายามผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ กําหนดเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
และเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ซึ่งแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการตั้งเป้าโดยประเทศพัฒนาแล้ว แต่ในกลุ่มประเทศกําลังพัฒนาเองก็มีความเคลื่อนไหวในการตั้งเป้าเช่นกัน อาทิ เกาหลีใต้ที่กําหนดว่าจะเป็นกลางทางคาร์บอนในปี ค.ศ. 2050 ส่วนจีนคาดว่าจะบรรลุในปี ค.ศ. 2060 นอกจากนี้ เพื่อนบ้านไทยในอาเซียน เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย ได้กําหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์แล้ว โดยจะพยายามบรรลุให้ได้ในปี ค.ศ. 2060 และ ค.ศ. 2070 ตามลําดับ ดังนั้น ไทยในฐานะประเทศที่ให้ความสําคัญกับการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างสมดุลและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG จึงจําเป็นต้องเพิ่มการดําเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้เข้มข้นขึ้นเช่นกัน
· อย่างไรก็ดี มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหา climate change โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการลดและควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จําเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ค่อนข้างสูงเพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางการผลิตและพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งมักส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศกําลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน
· ที่ผ่านมา ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมทําให้เกิดกระแสต่อต้านสินค้าบางประเภทแล้ว เช่น กรณีการต่อต้านน้ํามันปาล์มที่ผลิตในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย
ในสหภาพยุโรป เนื่องจากเห็นว่า การปลูกปาล์มทําให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่ามากขึ้น
และปัจจุบัน อียูอยู่ระหว่างร่างระเบียบมาตรการการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน หรือที่เรียกกันว่า CBAM (ซีแบม) ซึ่งอาจกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของมาตรการกีดกัน
ทางการค้า และอาจต้องมีการฟ้องร้องกันภายใต้กรอบ WTO ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะเริ่มบังคับใช้ในปี 2566 ครอบคลุมสินค้า 5 ประเภท ได้แก่ ซีเมนต์ พลังงานไฟฟ้า ปุ๋ย เหล็กและเหล็กกล้า และอะลูมิเนียม และมีแนวโน้มที่จะขยายไปยังสินค้าอื่น ๆ ในอนาคต ขณะเดียวกัน เริ่มมีกระแสในสหรัฐฯ และแคนาดาที่อาจพิจารณาใช้มาตรการในลักษณะคล้ายคลึงกันด้วย
ทุกท่านครับ
· การแก้ไขปัญหา climate change แม้จะก่อให้เกิดภาระทางเศรษฐกิจและเพิ่มต้นทุนการผลิต แต่ผมอยากให้มองว่าเป็นโอกาสที่ไทยจะ “ผลิกโฉมประเทศ”
สู่เศรษฐกิจสร้างคุณค่า อันจะนํามาซึ่งการเติบโตที่สมดุล ยั่งยืน และเป็นมิตร
ต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ที่สําคัญ คือ เป็นโอกาสที่จะสร้างพลวัตใหม่ให้แก่เศรษฐกิจของเรา และจะเป็นประโยชน์สําหรับภาคธุรกิจทุกขนาด
· ดังนั้น ไทยต้องเร่งพัฒนาองค์ความรู้และเพิ่มขีดความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อแก้ไขปัญหา climate change และปัญหาสิ่งแวดล้อมในภาพรวม โดยสามารถเสริมสร้างความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ และใช้ประโยชน์จากกองทุนระหว่างประเทศในการดําเนินโครงการที่เกี่ยวข้อง
ทั้งในด้านการลดการปล่อยก๊าซฯ และการปรับตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบควบคู่ไปกับ
การสร้างภูมิคุ้มกัน
· นอกจากนี้ ไทยยังสามารถใช้ประโยชน์จากกลไกที่มีอยู่เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ํา ผ่านโครงการทวิภาคีเพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีต่าง ๆ และโครงการแบ่งปันคาร์บอนเครดิตร่วมกัน ซึ่งจะช่วยให้ภาคเอกชนสามารถเข้าถึงเงินทุนและเทคโนโลยีจากต่างประเทศมาใช้ในการลดการปล่อยก๊าซฯ ภายในองค์กรได้ ที่ผ่านมา ไทยได้ประโยชน์จากโครงการกลไกเครดิตร่วม ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างไทยกับรัฐบาลญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2558 และกําลังพิจารณาขยายความร่วมมือไปยังประเทศอื่น ๆ อาทิ สวิตเซอร์แลนด์
· เมื่อคํานึงถึงทิศทางของโลก ผมเห็นว่า ภาคเอกชนไทยจําเป็นต้องปรับตัวครับ และถึงแม้ว่าการปรับตัวจะมีค่าใช้จ่าย แต่ผมขอย้ําว่า การไม่ปรับตัวจะทําให้มีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่ายินดีว่า ภาคเอกชนไทยหลายบริษัทเริ่มปรับตัวแล้วก่อนหน้านี้ โดยรัฐบาลให้คํามั่นว่าจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นไปอย่างราบรื่นและเกิดผลกระทบน้อยที่สุด
· ขณะนี้ รัฐบาลอยู่ระหว่างการจัดทํายุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนา
ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ําซึ่งกําหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด
ในปี 2573 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์โดยเร็วที่สุดภายใน
ครึ่งหลังของศตวรรษนี้ โดยภาคพลังงานและขนส่งยังคงเป็นภาคส่วนหลักในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงพลังงาน ได้จัดทําเป้าหมายการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี
ค.ศ. 2065 ด้วย
· นอกจากนี้ รัฐบาลได้บรรจุประเด็น climate change ในนโยบาย
ระดับประเทศ ภายใต้กรอบแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 ซึ่งจะให้ความสําคัญกับวิถีชีวิตที่ยั่งยืน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายอย่างรอบด้าน โดยมีหมุดหมายที่สําคัญ คือ หมุดหมายที่ 10 การพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ํา และหมุดหมายที่ 11 การลดความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งเป็น 2 หมุดหมายที่ตอบสนองต่อประเด็น climate change โดยตรง
· ขณะเดียวกัน รัฐบาลอยู่ระหว่างการยกร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมประเด็นด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในทุกมิติ ทั้งการจัดเก็บข้อมูลก๊าซเรือนกระจก การลดก๊าซฯ การปรับตัว และการส่งเสริมหน่วยงานและองค์กรท้องถิ่นในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
เพื่อยกระดับการขับเคลื่อนการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ในระดับประเทศ
ท่านผู้มีเกียรติครับ
· การส่งเสริมโมเดลเศรษฐกิจบีซีจี ซึ่งเน้นการใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจใน 3 มิติ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว อันเป็นการต่อยอดจากหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวทางการพัฒนาของไทยที่เน้นสร้างการเจริญเติบโตที่สมดุล ยั่งยืน และเป็นมิตร
ต่อสิ่งแวดล้อม น่าจะช่วยเร่งรัดให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน เป้าหมายที่ 13 เรื่อง Climate Action รวมถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
· ขณะเดียวกัน ผมเห็นว่าการแก้ปัญหาโดยใช้ธรรมชาติเป็นพื้นฐาน เป็นอีกแนวทางสําคัญในการแก้ปัญหา climate change ได้ โดยเฉพาะสําหรับประเทศที่มีองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น รวมทั้งความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติ อาทิ โครงการปลูกป่าชายเลน ซึ่งนอกจากจะช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจก ยังสามารถป้องกัน
การกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งได้อีกด้วย โดยขณะนี้ รัฐบาลมีเป้าหมายที่จะปลูกต้นไม้ 100 ล้านต้นภายในปี 2565 ผมจึงขอเชิญชวนภาคเอกชนมีส่วนร่วมในโครงการนี้ รวมทั้งการริเริ่มโครงการอื่น ๆ ที่มุ่งใช้จุดแข็งในเรื่องภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรธรรมชาติของไทยเพื่อรับมือกับความท้าทายนี้
· นอกจากนี้ รัฐบาลยังพยายามส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ปรับตัวตามทิศทางบรรทัดฐานใหม่ ๆ ในเวทีระหว่างประเทศ โดยที่ผ่านมา รัฐบาลช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมทําความเย็นในการลดและเลิกใช้สารไฮโดรคลอโรฟลูออโรคาร์บอนที่ทําลายชั้นบรรยากาศและปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง และล่าสุด รัฐบาลมุ่งผลักดันเรื่องอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เพื่อให้ไทยสามารถเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและเปลี่ยนผ่านไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้ โดยรัฐบาลตั้งเป้าที่จะให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ร้อยละ 30 ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด รวมทั้งมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 15 ล้านคัน หรือ 1 ใน 3 ของยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2578
· ผมขอยืนยันว่า รัฐบาลจะดําเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ
การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานที่จําเป็น การติดตามประเมินการดําเนินงานตามแผน
ที่กําหนดไว้ เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทย ปรับตัวและก้าวผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ําตามทิศทางของไทยและของประชาคมโลกได้อย่างมั่นใจ
· ผมเห็นว่า ภาคเอกชนไทยสามารถมีบทบาทอย่างมากในการเป็นผู้นําเพื่อแก้ปัญหา climate change และสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนกระบวน
การผลิตและบริการ ภาคเอกชนหลายบริษัทให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเป็นอย่างมาก
ในการนําร่องโครงการต่าง ๆ อาทิ โครงการการจัดทําฉลากลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ที่มีผลิตภัณฑ์ในโครงการเกือบ 300 ผลิตภัณฑ์ และโครงการของสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทยและภาคี ในการร่วมส่งเสริมการใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกในการก่อสร้างและเป็นวัตถุดิบสําหรับผลิตภัณฑ์คอนกรีต ซึ่งถือเป็นทางเลือกในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่น้อยกว่า ประการสําคัญ การกําหนดเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของบริษัทต่าง ๆ ได้ขยายไปเป็นเครือข่ายไทยแลนด์คาร์บอนนิวทรัลแล้ว
· โครงการต่าง ๆ เหล่านี้แสดงให้เห็นว่า บทบาทนําของภาคเอกชนมีส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนให้ไทยประสบความสําเร็จในการแก้ไขปัญหา climate change ผมจึงขอขอบคุณภาคเอกชนทุกท่าน ณ ที่นี้ และหวังว่าท่านจะช่วยต่อยอดให้กับภาคเอกชนรายอื่น ๆ ควบคู่ไปกับการสร้างพันธมิตรกับภาควิชาการและภาคประชาสังคม เพื่อให้เรามีการดําเนินการในด้านนี้อย่างแข็งขันยิ่งขึ้นอีก
ทุกท่านครับ
· ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้ ไทยจะเข้าร่วมการประชุม COP (ค๊อบ) 26 ที่เมืองกลาสโกว์ ซึ่งผมหวังว่า ที่ประชุมจะสามารถหาข้อสรุปร่วมกันในประเด็นสําคัญต่าง ๆ ที่จะช่วยในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหา climate change อย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงเรื่องการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศ และการกําหนดเป้าหมายระดมทุนเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อนําไปสู่การดําเนินการตามความตกลงปารีสได้อย่างแท้จริง และสร้างความชัดเจนในการดําเนินการสําหรับประเทศต่าง ๆ ต่อไป
· เมื่อเดือนที่แล้ว ผมมีโอกาสกล่าวต่อเวทีสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 76
ในหลาย ๆ ประเด็นที่มีความสําคัญต่อโลก และได้ใช้โอกาสเหล่านั้น ย้ําความสําคัญ
ของอนาคตที่เรามุ่งหวัง และความมุ่งมั่นของการเปลี่ยนผ่านไปสู่ความสมดุลของ
สรรพสิ่ง จึงขอเรียกร้องให้ทุกท่านร่วมกันสร้างโลกที่ดีกว่าเพื่อส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป โดยผมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่วันนี้สมาชิก GCNT (จีซีเอ็นที) จะได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์และความมุ่งมั่นในการพยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อนําไปสู่การแก้ไขปัญหา climate change อย่างยั่งยืน ตลอดจนเป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นแรงขับเคลื่อนให้ภาคส่วนอื่น ๆ ดําเนินการตามต่อไป
· สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทยสําหรับการจัดงานในวันนี้ ผมเชื่อมั่นว่า ทุกท่านจะได้แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์กับองค์กรของท่าน ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลง
สภาพภูมิอากาศและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนต่อไป
ขอบคุณครับ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46836 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ร่วมกับ KTB และ BEM พัฒนาระบบชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT แบบไร้สัมผัส ด้วยเทคโนโลยี “EMV Contactless” | วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2565
รฟม. ร่วมกับ KTB และ BEM พัฒนาระบบชําระค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT แบบไร้สัมผัส ด้วยเทคโนโลยี “EMV Contactless”
เปิดทดลองใช้บริการ 29 มกราคมนี้ ชีวิตสบาย แตะ-จ่าย ด้วยบัตรใบเดียว
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) และบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) หรือ BEM พัฒนาระบบชําระค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงและสายสีน้ําเงิน ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้การสัมผัส หรือระบบ “EMV Contactless” เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยก้าวสู่สังคมไร้เงินสด โดยมีกําหนดจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการในวันที่ 29 มกราคม 2565
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผวก.รฟม. กล่าวว่า ตามที่ รฟม. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ให้ดําเนินการพัฒนาระบบตั๋วร่วมให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน นั้น รฟม. ได้ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย และ BEM ในการนําเทคโนโลยีแบบไร้การสัมผัส หรือ EMV Contactless มาใช้กับระบบตั๋วร่วม ในรูปแบบการชําระค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงและสายสีน้ําเงิน โดยธนาคารกรุงไทยดําเนินการพัฒนาระบบชําระค่าโดยสารรถไฟฟ้า และ BEM ดําเนินการปรับปรุงและติดตั้งระบบที่ประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติภายในสถานีรถไฟฟ้า MRT ทั้งสองสาย ซึ่ง รฟม. ได้ติดตามกํากับดูแลการดําเนินงานดังกล่าวให้มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและมีความพร้อมในการเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการระบบในวันที่ 29 มกราคม 2565 นี้ ซึ่งจะช่วยอํานวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT ทําให้ประชาชนสามารถเชื่อมต่อการเดินทางสาธารณะหรือบริการอื่นๆ ได้ด้วยบัตรเพียงใบเดียว ตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการไปสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society / Smart City) และการเตรียมความพร้อมประเทศด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมดิจิทัลในอนาคต ตลอดจนทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ ได้ง่ายและทั่วถึง เพื่อให้ใช้บริการต่างๆ ของภาครัฐได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการรองรับสถานการณ์และการปรับตัวให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตในรูปแบบ New Normal ช่วยลดการสัมผัสในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยตระหนักถึงความสําคัญของระบบคมนาคมขนส่งของประเทศที่เป็นกิจกรรมสําคัญทางเศรษฐกิจ เชื่อมโยงทุกวิถีการใช้ชีวิต นํามาสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ธนาคารจึงได้วางยุทธศาสตร์โดยกําหนดให้การคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะการขนส่งมวลชนเป็น 1 ใน 5 ระบบนิเวศหลัก (Ecosystems) ที่ธนาคารมุ่งเน้นในการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนายกระดับการบริการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่ประชาชน และในอนาคตมีแผนเชื่อมต่อไปยังระบบขนส่งมวลชนอื่น เพื่อการบูรณาการตั๋วร่วมอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อขานรับนโยบายรัฐบาล BEM จึงได้เร่งดําเนินการปรับปรุงและติดตั้งระบบที่ประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติภายในสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินและสายสีม่วงเพื่อรองรับการชําระค่าโดยสารผ่านบัตร EMV Contactless ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความ สะดวก รวดเร็วให้กับผู้โดยสาร โดย BEM ได้มีการจัดหาระบบและติดตั้งหัวอ่านบริเวณประตูอัตโนมัติ พร้อมทั้งปรับปรุงอุปกรณ์ และระบบ network เพื่อให้รองรับการใช้บัตร EMV Contactless รวมทั้งสิ้น 53 สถานี และจัดให้มีการฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้อง โดยระบบพร้อมเปิดให้ทดลองใช้ EMV Contactless ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2565 ซึ่งผู้โดยสารสามารถเดินทางโดยใช้บัตรเครดิตวีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ดของธนาคารทุกธนาคาร โดยไม่ต้องลงทะเบียน และสามารถตรวจสอบรายการเดินทาง ผ่านทางเว็บไซต์ www.mangmoomemv.com หรือ เว็บไซต์ www.bemplc.com ซึ่งภายในปลายปี 2565 BEM จะขยายการบริการให้ครอบคลุมโดยสามารถรองรับการใช้บัตรเดบิตและบัตรประเภทอื่นๆ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้โดยสาร ให้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินมีผู้โดยสารกว่า 2 แสนคนต่อวัน และรถไฟฟ้าสายสีม่วงมีผู้โดยสารกว่า 3.7 หมื่นคนต่อวัน
ทั้งนี้ Europay Mastercard and Visa หรือ EMV คือ มาตรฐานทางการชําระเงินที่ปลอดภัยและ ใช้กันทั่วโลกมากกว่า 80 ประเทศ บัตร EMV เป็นบัตรชําระเงินอัจฉริยะ (บัตรชิป หรือ บัตร IC) ที่เก็บรักษาข้อมูลไว้ในแผงวงจร (Integrated Circuits - IC) แทนแถบแม่เหล็ก ซึ่งจะสร้างข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่ทําธุรกรรม การคัดลอกหรือปลอมแปลงบัตร จึงเป็นไปได้ยาก การทําธุรกรรมด้วยระบบชิปจึงมีความปลอดภัยสูงสุด พร้อมลดความเสี่ยงด้านการทุจริตปลอมแปลงบัตร สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลโทร. 0 2624 5200 หรือติดตามทางช่องทางต่างๆ ได้ที่เฟซบุ๊ก MRT Bangkok Metro / ทวิตเตอร์ MRT Bangkok Metro / อินสตาแกรม: mrt_bangkok และ โมบายแอปพลิเคชัน Bangkok MRT “เดินทางปลอดภัย สะดวก รวดเร็ว ด้วยรถไฟฟ้า MRT” และติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. (www.mrta.co.th) และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ร่วมกับ KTB และ BEM พัฒนาระบบชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT แบบไร้สัมผัส ด้วยเทคโนโลยี “EMV Contactless”
วันพฤหัสบดีที่ 27 มกราคม 2565
รฟม. ร่วมกับ KTB และ BEM พัฒนาระบบชําระค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT แบบไร้สัมผัส ด้วยเทคโนโลยี “EMV Contactless”
เปิดทดลองใช้บริการ 29 มกราคมนี้ ชีวิตสบาย แตะ-จ่าย ด้วยบัตรใบเดียว
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) และบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) หรือ BEM พัฒนาระบบชําระค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงและสายสีน้ําเงิน ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้การสัมผัส หรือระบบ “EMV Contactless” เพิ่มความสะดวกให้กับผู้ใช้บริการ ยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยก้าวสู่สังคมไร้เงินสด โดยมีกําหนดจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการในวันที่ 29 มกราคม 2565
นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผวก.รฟม. กล่าวว่า ตามที่ รฟม. ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ให้ดําเนินการพัฒนาระบบตั๋วร่วมให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน นั้น รฟม. ได้ร่วมกับ ธนาคารกรุงไทย และ BEM ในการนําเทคโนโลยีแบบไร้การสัมผัส หรือ EMV Contactless มาใช้กับระบบตั๋วร่วม ในรูปแบบการชําระค่าโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงและสายสีน้ําเงิน โดยธนาคารกรุงไทยดําเนินการพัฒนาระบบชําระค่าโดยสารรถไฟฟ้า และ BEM ดําเนินการปรับปรุงและติดตั้งระบบที่ประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติภายในสถานีรถไฟฟ้า MRT ทั้งสองสาย ซึ่ง รฟม. ได้ติดตามกํากับดูแลการดําเนินงานดังกล่าวให้มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องและมีความพร้อมในการเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการระบบในวันที่ 29 มกราคม 2565 นี้ ซึ่งจะช่วยอํานวยความสะดวกสบายให้แก่ผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT ทําให้ประชาชนสามารถเชื่อมต่อการเดินทางสาธารณะหรือบริการอื่นๆ ได้ด้วยบัตรเพียงใบเดียว ตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการไปสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society / Smart City) และการเตรียมความพร้อมประเทศด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่สังคมดิจิทัลในอนาคต ตลอดจนทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีต่างๆ ได้ง่ายและทั่วถึง เพื่อให้ใช้บริการต่างๆ ของภาครัฐได้อย่างสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการรองรับสถานการณ์และการปรับตัวให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตในรูปแบบ New Normal ช่วยลดการสัมผัสในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงไทย ในฐานะธนาคารพาณิชย์ของรัฐ พร้อมพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อขับเคลื่อนนโยบายของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง โดยตระหนักถึงความสําคัญของระบบคมนาคมขนส่งของประเทศที่เป็นกิจกรรมสําคัญทางเศรษฐกิจ เชื่อมโยงทุกวิถีการใช้ชีวิต นํามาสู่การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ธนาคารจึงได้วางยุทธศาสตร์โดยกําหนดให้การคมนาคมขนส่ง โดยเฉพาะการขนส่งมวลชนเป็น 1 ใน 5 ระบบนิเวศหลัก (Ecosystems) ที่ธนาคารมุ่งเน้นในการนําเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาพัฒนายกระดับการบริการ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแก่ประชาชน และในอนาคตมีแผนเชื่อมต่อไปยังระบบขนส่งมวลชนอื่น เพื่อการบูรณาการตั๋วร่วมอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
ดร.สมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อขานรับนโยบายรัฐบาล BEM จึงได้เร่งดําเนินการปรับปรุงและติดตั้งระบบที่ประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติภายในสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินและสายสีม่วงเพื่อรองรับการชําระค่าโดยสารผ่านบัตร EMV Contactless ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความ สะดวก รวดเร็วให้กับผู้โดยสาร โดย BEM ได้มีการจัดหาระบบและติดตั้งหัวอ่านบริเวณประตูอัตโนมัติ พร้อมทั้งปรับปรุงอุปกรณ์ และระบบ network เพื่อให้รองรับการใช้บัตร EMV Contactless รวมทั้งสิ้น 53 สถานี และจัดให้มีการฝึกอบรมพนักงานที่เกี่ยวข้อง โดยระบบพร้อมเปิดให้ทดลองใช้ EMV Contactless ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2565 ซึ่งผู้โดยสารสามารถเดินทางโดยใช้บัตรเครดิตวีซ่าหรือมาสเตอร์การ์ดของธนาคารทุกธนาคาร โดยไม่ต้องลงทะเบียน และสามารถตรวจสอบรายการเดินทาง ผ่านทางเว็บไซต์ www.mangmoomemv.com หรือ เว็บไซต์ www.bemplc.com ซึ่งภายในปลายปี 2565 BEM จะขยายการบริการให้ครอบคลุมโดยสามารถรองรับการใช้บัตรเดบิตและบัตรประเภทอื่นๆ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้โดยสาร ให้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินมีผู้โดยสารกว่า 2 แสนคนต่อวัน และรถไฟฟ้าสายสีม่วงมีผู้โดยสารกว่า 3.7 หมื่นคนต่อวัน
ทั้งนี้ Europay Mastercard and Visa หรือ EMV คือ มาตรฐานทางการชําระเงินที่ปลอดภัยและ ใช้กันทั่วโลกมากกว่า 80 ประเทศ บัตร EMV เป็นบัตรชําระเงินอัจฉริยะ (บัตรชิป หรือ บัตร IC) ที่เก็บรักษาข้อมูลไว้ในแผงวงจร (Integrated Circuits - IC) แทนแถบแม่เหล็ก ซึ่งจะสร้างข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่ทําธุรกรรม การคัดลอกหรือปลอมแปลงบัตร จึงเป็นไปได้ยาก การทําธุรกรรมด้วยระบบชิปจึงมีความปลอดภัยสูงสุด พร้อมลดความเสี่ยงด้านการทุจริตปลอมแปลงบัตร สอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลโทร. 0 2624 5200 หรือติดตามทางช่องทางต่างๆ ได้ที่เฟซบุ๊ก MRT Bangkok Metro / ทวิตเตอร์ MRT Bangkok Metro / อินสตาแกรม: mrt_bangkok และ โมบายแอปพลิเคชัน Bangkok MRT “เดินทางปลอดภัย สะดวก รวดเร็ว ด้วยรถไฟฟ้า MRT” และติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ รฟม. (www.mrta.co.th) และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทร. 0 2716 4044 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50941 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานรัฐสภา พร้อมปลัด พม. ร่วมมอบหน้ากากอนามัยและนมผงสำหรับเด็กให้กลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด - 19 ที่ จ.อุดรธานี | วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565
ประธานรัฐสภา พร้อมปลัด พม. ร่วมมอบหน้ากากอนามัยและนมผงสําหรับเด็กให้กลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด - 19 ที่ จ.อุดรธานี
ประธานรัฐสภา พร้อมปลัด พม. ร่วมมอบหน้ากากอนามัยและนมผงสําหรับเด็กให้กลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด - 19 ที่ จ.อุดรธานี
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 65 เวลา 09.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี อําเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และ ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(ปลัด พม.) และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ได้ร่วมลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อมอบหน้ากากอนามัยสําหรับผู้ใหญ่ จํานวน10,000 ชิ้นและหน้ากากอนามัยสําหรับเด็ก จํานวน 2,000 ชิ้น ให้กับนายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เพื่อส่งต่อให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนําไปแจกจ่ายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางสําหรับป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด - 19 อีกทั้งได้มอบนมผงสําหรับเด็กในโครงการ "พม. ปันสุข" เพื่อนําไปช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางที่ขาดแคลน โดยเฉพาะครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว โดยมีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ช่วยแจกจ่ายอย่างทั่วถึงต่อไป
นางพัชรี กล่าวว่า หากกลุ่มเปราะบางและประชาชนประสบปัญหาทางสังคมและได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโควิด - 19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และอาสาสมัครพัฒนาสังคมฯ (อพม.) ในพื้นที่ ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมช่วยเหลืออย่างเต็มที่ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประธานรัฐสภา พร้อมปลัด พม. ร่วมมอบหน้ากากอนามัยและนมผงสำหรับเด็กให้กลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด - 19 ที่ จ.อุดรธานี
วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565
ประธานรัฐสภา พร้อมปลัด พม. ร่วมมอบหน้ากากอนามัยและนมผงสําหรับเด็กให้กลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด - 19 ที่ จ.อุดรธานี
ประธานรัฐสภา พร้อมปลัด พม. ร่วมมอบหน้ากากอนามัยและนมผงสําหรับเด็กให้กลุ่มเปราะบางเดือดร้อนจากโควิด - 19 ที่ จ.อุดรธานี
เมื่อวันที่ 14 พ.ค. 65 เวลา 09.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี อําเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา และ ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(ปลัด พม.) และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ได้ร่วมลงพื้นที่จังหวัดอุดรธานี เพื่อมอบหน้ากากอนามัยสําหรับผู้ใหญ่ จํานวน10,000 ชิ้นและหน้ากากอนามัยสําหรับเด็ก จํานวน 2,000 ชิ้น ให้กับนายสยาม ศิริมงคล ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี เพื่อส่งต่อให้พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนําไปแจกจ่ายช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางสําหรับป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด - 19 อีกทั้งได้มอบนมผงสําหรับเด็กในโครงการ "พม. ปันสุข" เพื่อนําไปช่วยเหลือครอบครัวกลุ่มเปราะบางที่ขาดแคลน โดยเฉพาะครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว โดยมีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ช่วยแจกจ่ายอย่างทั่วถึงต่อไป
นางพัชรี กล่าวว่า หากกลุ่มเปราะบางและประชาชนประสบปัญหาทางสังคมและได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโควิด - 19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง และสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และอาสาสมัครพัฒนาสังคมฯ (อพม.) ในพื้นที่ ทั้งนี้ กระทรวง พม. พร้อมช่วยเหลืออย่างเต็มที่ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54632 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ภาวะ LONG COVID ผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพ | วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565
ภาวะ LONG COVID ผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพ
#LONGCOVID | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ภาวะ LONG COVID ผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพ
วันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2565
ภาวะ LONG COVID ผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพ
#LONGCOVID | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52018 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. อนุชา ขอให้ใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพเอเปค แสดงศักยภาพต่อประชาคมโลก เน้นย้ำเร่งผลักดันการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ทุกระดับ เพื่อต่อยอดฟื้นฟูและพัฒนาประเทศยุคดิจิทัล | วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565
รมต. อนุชา ขอให้ใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพเอเปค แสดงศักยภาพต่อประชาคมโลก เน้นย้ําเร่งผลักดันการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ทุกระดับ เพื่อต่อยอดฟื้นฟูและพัฒนาประเทศยุคดิจิทัล
รมต. อนุชา ขอให้ใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพเอเปค แสดงศักยภาพต่อประชาคมโลก เน้นย้ําเร่งผลักดันการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ทุกระดับ เพื่อต่อยอดฟื้นฟูและพัฒนาประเทศยุคดิจิทัล
วันนี้ (9 มีนาคม 2565) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 203 กรมประชาสัมพันธ์ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์เพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1/2565 (ผ่านระบบ Video Conference) โดยมี นายรณภพ ปัทมะดิษ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พลโท สรรเสริญ แก้วกํานิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และคณะอนุกรรมการฯ เข้าร่วม
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญกับการดําเนินการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค 2565 โดยกําหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมย้ําให้ทุกหน่วยงานใช้โอกาสในการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยเพื่อผลักดันและส่งเสริมผลประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและประชาชนคนไทยในทุกด้าน พร้อมเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนชาวไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความภาคภูมิใจและร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับผู้นําจากทั่วโลกที่จะเข้าร่วมการประชุมตลอดปีนี้ ทั้งนี้ ในการประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าด้านการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นรูปธรรมจากคณะอนุกรรมการฯ แต่ละหน่วยงาน อาทิ กรมประชาสัมพันธ์ กรมสารนิเทศ บริษัทไปรษณีย์ไทย จํากัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเน้นย้ําว่า การที่ไทยเป็นเจ้าภาพเอเปคในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสําคัญที่สุดของไทยในทุกด้าน ขอให้คนไทยใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด โดยเฉพาะในการประชุมผู้นําจาก 21 เขตเศรษฐกิจในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะได้เห็นท่าทีและพลังของสมาชิกที่สําคัญ ดังนั้น การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการประชุมเอเปคจึงเป็นเรื่องจําเป็นและสําคัญยิ่งสําหรับกลุ่มเป้าหมายทั้งคนไทยและคนต่างชาติ โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ฯ เน้นการสื่อสารประโยชน์ของเอเปคที่คนไทยได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อม และสื่อสารประชาสัมพันธ์เรื่องที่คนสนใจ ใกล้ตัว และเข้าถึง เข้าใจง่าย เช่น การท่องเที่ยว อาหาร และการบริการ เพื่อดึงดูดความสนใจประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมและเห็นโอกาสจากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งประชาสัมพันธ์ความพร้อมของมาตรการด้านสาธารณสุขในการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 สร้างความเชื่อมั่นแก่ชาวต่างชาติในช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค 2565 ด้วย
“การที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค 2565 เป็นโอกาสที่สําคัญของไทยที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ เพื่อรองรับการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง โดยเฉพาะในโลกยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นยุคที่เป็นโอกาสของมวลมนุษย์ในด้านการค้า การลงทุนผ่านระบบออนไลน์ ดังนั้น การประชุมเอเปคจึงมีคุณค่ามากที่จะทําให้คนไทย และคนรุ่นใหม่ได้ศึกษาตลาดขนาดใหญ่ผ่านระบบดิจิทัล การดําเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนจึงมีความสําคัญมาก ต้องสร้างความตระหนักรู้เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใช้ และนําสิ่งที่ได้จากการประชุมมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ ประชาชนจะได้รู้สึกมีส่วนร่วมจากการประชุมครั้งนี้ ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์ คือ “ตระหนัก เข้าใจ ใช้ประโยชน์ มีส่วนร่วม” สิ่งนี้จะช่วยต่อยอดสู่การพัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ เช่น การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว เป็นต้น” รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าว
.............................. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต. อนุชา ขอให้ใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพเอเปค แสดงศักยภาพต่อประชาคมโลก เน้นย้ำเร่งผลักดันการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ทุกระดับ เพื่อต่อยอดฟื้นฟูและพัฒนาประเทศยุคดิจิทัล
วันพุธที่ 9 มีนาคม 2565
รมต. อนุชา ขอให้ใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพเอเปค แสดงศักยภาพต่อประชาคมโลก เน้นย้ําเร่งผลักดันการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ทุกระดับ เพื่อต่อยอดฟื้นฟูและพัฒนาประเทศยุคดิจิทัล
รมต. อนุชา ขอให้ใช้ประโยชน์จากการเป็นเจ้าภาพเอเปค แสดงศักยภาพต่อประชาคมโลก เน้นย้ําเร่งผลักดันการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ทุกระดับ เพื่อต่อยอดฟื้นฟูและพัฒนาประเทศยุคดิจิทัล
วันนี้ (9 มีนาคม 2565) เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 203 กรมประชาสัมพันธ์ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์เพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1/2565 (ผ่านระบบ Video Conference) โดยมี นายรณภพ ปัทมะดิษ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พลโท สรรเสริญ แก้วกํานิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และคณะอนุกรรมการฯ เข้าร่วม
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญกับการดําเนินการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค 2565 โดยกําหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ พร้อมย้ําให้ทุกหน่วยงานใช้โอกาสในการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยเพื่อผลักดันและส่งเสริมผลประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและประชาชนคนไทยในทุกด้าน พร้อมเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนชาวไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความภาคภูมิใจและร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับผู้นําจากทั่วโลกที่จะเข้าร่วมการประชุมตลอดปีนี้ ทั้งนี้ ในการประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าด้านการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นรูปธรรมจากคณะอนุกรรมการฯ แต่ละหน่วยงาน อาทิ กรมประชาสัมพันธ์ กรมสารนิเทศ บริษัทไปรษณีย์ไทย จํากัด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเน้นย้ําว่า การที่ไทยเป็นเจ้าภาพเอเปคในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสําคัญที่สุดของไทยในทุกด้าน ขอให้คนไทยใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด โดยเฉพาะในการประชุมผู้นําจาก 21 เขตเศรษฐกิจในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะได้เห็นท่าทีและพลังของสมาชิกที่สําคัญ ดังนั้น การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการประชุมเอเปคจึงเป็นเรื่องจําเป็นและสําคัญยิ่งสําหรับกลุ่มเป้าหมายทั้งคนไทยและคนต่างชาติ โดยมอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ฯ เน้นการสื่อสารประโยชน์ของเอเปคที่คนไทยได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อม และสื่อสารประชาสัมพันธ์เรื่องที่คนสนใจ ใกล้ตัว และเข้าถึง เข้าใจง่าย เช่น การท่องเที่ยว อาหาร และการบริการ เพื่อดึงดูดความสนใจประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมและเห็นโอกาสจากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งประชาสัมพันธ์ความพร้อมของมาตรการด้านสาธารณสุขในการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 สร้างความเชื่อมั่นแก่ชาวต่างชาติในช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค 2565 ด้วย
“การที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค 2565 เป็นโอกาสที่สําคัญของไทยที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ เพื่อรองรับการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง โดยเฉพาะในโลกยุคดิจิทัล ซึ่งเป็นยุคที่เป็นโอกาสของมวลมนุษย์ในด้านการค้า การลงทุนผ่านระบบออนไลน์ ดังนั้น การประชุมเอเปคจึงมีคุณค่ามากที่จะทําให้คนไทย และคนรุ่นใหม่ได้ศึกษาตลาดขนาดใหญ่ผ่านระบบดิจิทัล การดําเนินการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ประชาชนจึงมีความสําคัญมาก ต้องสร้างความตระหนักรู้เพื่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใช้ และนําสิ่งที่ได้จากการประชุมมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพ ประชาชนจะได้รู้สึกมีส่วนร่วมจากการประชุมครั้งนี้ ซึ่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์การประชาสัมพันธ์ คือ “ตระหนัก เข้าใจ ใช้ประโยชน์ มีส่วนร่วม” สิ่งนี้จะช่วยต่อยอดสู่การพัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ เช่น การค้า การลงทุน การท่องเที่ยว เป็นต้น” รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าว
.............................. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52360 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ไม่นิ่งนอนใจติดตามโควิด-19 ใกล้ชิด หารือ ศบค. พฤหัสนี้ ขอบคุณคนไทยมีวินัยป้องกันเต็มที่ ขณะที่ต่างประเทศยอดติดเชื้อยังพุ่ง | วันอังคารที่ 18 มกราคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ไม่นิ่งนอนใจติดตามโควิด-19 ใกล้ชิด หารือ ศบค. พฤหัสนี้ ขอบคุณคนไทยมีวินัยป้องกันเต็มที่ ขณะที่ต่างประเทศยอดติดเชื้อยังพุ่ง
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ไม่นิ่งนอนใจติดตามโควิด-19 ใกล้ชิด หารือ ศบค. พฤหัสนี้ ขอบคุณคนไทยมีวินัยป้องกันเต็มที่ ขณะที่ต่างประเทศยอดติดเชื้อยังพุ่ง
วันที่ 18 มกราคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และการดํารงชีวิตของประชาชนในแต่ละวัน ในขณะที่ประเทศไทยยังคงมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และเริ่มมากขึ้นหลังจากช่วงเทศกาลปีใหม่ อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณคนไทยทุกคนที่ส่วนใหญ่ยังปฏิบัติมาตรการดูแลตนเองแบบครอบจักรวาล ซึ่งไทยแตกต่างจากหลายประเทศ เพราะยังคงสามารถควบคุมการแพร่ระบาด และผู้เสียชีวิตอยู่ในระดับต่ํา
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ในวันที่ 20 มกราคมนี้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเตรียมเสนอการปรับพื้นที่โซนสีของแต่ละจังหวัด เป็นไปเพื่อกําหนดมาตรการสําหรับกิจการ/กิจกรรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอมิครอน รวมทั้งจะมีการประเมินสถานการณ์มาตรการเข้าประเทศ และความปลอดภัยของคนในประเทศ โดยล่าสุด (18 ม.ค.65) พบผู้ป่วยรายใหม่ 6,397 ราย จําแนกเป็น
ผู้ป่วยจากในประเทศ 6,232 ราย
ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 165 ราย
ผู้ป่วยสะสม 1 14,376 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 6,637 ราย หายป่วยสะสม 65,409 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
ผู้ป่วยกําลังรักษา 81,952 ราย
เสียชีวิต 18 ราย
ส่วนการให้บริการวัคซีน COVID-19 (18 ม.ค. 65) ประเทศไทยฉีดวัคซีนสะสมแล้ว 110,663,601 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 ฉีดสะสม 51,831,786 โดส เข็มที่ 2 ฉีดสะสม 47,676,337 โดส เข็มที่ 3 ฉีดสะสม 10,507,085 โดส เข็มที่ 4 ฉีดสะสม 648,393 โดส
................................... | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ไม่นิ่งนอนใจติดตามโควิด-19 ใกล้ชิด หารือ ศบค. พฤหัสนี้ ขอบคุณคนไทยมีวินัยป้องกันเต็มที่ ขณะที่ต่างประเทศยอดติดเชื้อยังพุ่ง
วันอังคารที่ 18 มกราคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ไม่นิ่งนอนใจติดตามโควิด-19 ใกล้ชิด หารือ ศบค. พฤหัสนี้ ขอบคุณคนไทยมีวินัยป้องกันเต็มที่ ขณะที่ต่างประเทศยอดติดเชื้อยังพุ่ง
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ไม่นิ่งนอนใจติดตามโควิด-19 ใกล้ชิด หารือ ศบค. พฤหัสนี้ ขอบคุณคนไทยมีวินัยป้องกันเต็มที่ ขณะที่ต่างประเทศยอดติดเชื้อยังพุ่ง
วันที่ 18 มกราคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง และการดํารงชีวิตของประชาชนในแต่ละวัน ในขณะที่ประเทศไทยยังคงมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสสายพันธุ์โอมิครอน ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และเริ่มมากขึ้นหลังจากช่วงเทศกาลปีใหม่ อย่างไรก็ตาม ต้องขอบคุณคนไทยทุกคนที่ส่วนใหญ่ยังปฏิบัติมาตรการดูแลตนเองแบบครอบจักรวาล ซึ่งไทยแตกต่างจากหลายประเทศ เพราะยังคงสามารถควบคุมการแพร่ระบาด และผู้เสียชีวิตอยู่ในระดับต่ํา
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ในวันที่ 20 มกราคมนี้ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเตรียมเสนอการปรับพื้นที่โซนสีของแต่ละจังหวัด เป็นไปเพื่อกําหนดมาตรการสําหรับกิจการ/กิจกรรมต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอมิครอน รวมทั้งจะมีการประเมินสถานการณ์มาตรการเข้าประเทศ และความปลอดภัยของคนในประเทศ โดยล่าสุด (18 ม.ค.65) พบผู้ป่วยรายใหม่ 6,397 ราย จําแนกเป็น
ผู้ป่วยจากในประเทศ 6,232 ราย
ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 165 ราย
ผู้ป่วยสะสม 1 14,376 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 6,637 ราย หายป่วยสะสม 65,409 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565)
ผู้ป่วยกําลังรักษา 81,952 ราย
เสียชีวิต 18 ราย
ส่วนการให้บริการวัคซีน COVID-19 (18 ม.ค. 65) ประเทศไทยฉีดวัคซีนสะสมแล้ว 110,663,601 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 ฉีดสะสม 51,831,786 โดส เข็มที่ 2 ฉีดสะสม 47,676,337 โดส เข็มที่ 3 ฉีดสะสม 10,507,085 โดส เข็มที่ 4 ฉีดสะสม 648,393 โดส
................................... | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50618 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมราชทัณฑ์ ชี้แจงข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมติดเชื้อโควิด-19 จากสถานกักขัง | วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2564
กรมราชทัณฑ์ ชี้แจงข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมติดเชื้อโควิด-19 จากสถานกักขัง
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ระบุกําลังรอผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในผู้ต้องขังที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม และเร่งสอบสวนไทม์ไลน์ของผู้ต้องขังแล้ว
วันที่ 15 สิงหาคม 2564 นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่าเรือนจําอําเภอธัญบุรี ได้รับตัวนายธนพัฒน์ กาเพ็ง ไว้เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 และได้ดําเนินการตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ด้วย ATK (Antigen Test Kit) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 โดยผลการตรวจเป็นลบ ไม่พบเชื้อโควิดแต่อย่างใด ทั้งนี้ การควบคุมตัวผู้ต้องขังในคดีเกี่ยวกับการชุมนุมทั้งหมดจํานวน 8 ราย นั้น ทางเรือนจําได้จัดสถานที่ควบคุมไว้อย่างเป็นสัดส่วนและชัดเจน โดยมิได้อยู่รวมกับผู้ต้องขังอื่น ซึ่งต่อมานายธนพัฒน์ฯ ได้รับการประกันตัว เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2564 ทางเรือนจําจึงได้ตรวจหาเชื้อโควิดอีกครั้งเป็นการเบื้องต้นก่อนปล่อยตัว และพบว่า นายธนพัฒน์ฯ ติดเชื้อโควิด -19 หลังจากนั้นทางเรือนจํา จึงได้ตรวจหาเชื้อโควิด -19 ในผู้ต้องขังที่อยู่ร่วมห้องเดียวกันกับนายธนพัฒน์ฯ ทั้งหมด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการตรวจเพื่อความชัดเจน และหากผลเป็นประการใดจะได้แจ้งให้ทราบอีกครั้ง
ซึ่งในกรณี นายธนพัฒน์ฯ ติดเชื้อโควิด -19 ทางเรือนจําได้ดําเนินการตามแนวทางการปล่อยตัวผู้ต้องขังในภาวะที่มีการแพร่ระบาดอย่างชัดเจน โดยประสานไปยังโรงพยาบาลแม่ข่าย แจ้งให้ญาติทราบถึงผลการตรวจโควิด - 19 แต่เนื่องจากญาติอยู่ต่างจังหวัดไม่สามารถมารับตัวได้ จึงประสานไปยังทนายความของนายธนพัฒน์ฯ และได้แจ้งความประสงค์ขอรับตัวนําส่งศูนย์พักคอยวัดสิงห์ เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร เรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้กรมราชทัณฑ์อยู่ระหว่างการสอบสวนโรคผู้ต้องขังภายในสถานที่ดังกล่าว โดยละเอียดอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ได้ความชัดเจนเกี่ยวกับไทม์ไลน์การติดเชื้อของผู้ต้องขังดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามกรมราชทัณฑ์ มิได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และยังคงดําเนินการตาม มาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมราชทัณฑ์ ชี้แจงข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมติดเชื้อโควิด-19 จากสถานกักขัง
วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2564
กรมราชทัณฑ์ ชี้แจงข้อกล่าวหาผู้ชุมนุมติดเชื้อโควิด-19 จากสถานกักขัง
อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ระบุกําลังรอผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในผู้ต้องขังที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุม และเร่งสอบสวนไทม์ไลน์ของผู้ต้องขังแล้ว
วันที่ 15 สิงหาคม 2564 นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่าเรือนจําอําเภอธัญบุรี ได้รับตัวนายธนพัฒน์ กาเพ็ง ไว้เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 และได้ดําเนินการตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมถึงตรวจหาเชื้อโควิด – 19 ด้วย ATK (Antigen Test Kit) เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2564 โดยผลการตรวจเป็นลบ ไม่พบเชื้อโควิดแต่อย่างใด ทั้งนี้ การควบคุมตัวผู้ต้องขังในคดีเกี่ยวกับการชุมนุมทั้งหมดจํานวน 8 ราย นั้น ทางเรือนจําได้จัดสถานที่ควบคุมไว้อย่างเป็นสัดส่วนและชัดเจน โดยมิได้อยู่รวมกับผู้ต้องขังอื่น ซึ่งต่อมานายธนพัฒน์ฯ ได้รับการประกันตัว เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2564 ทางเรือนจําจึงได้ตรวจหาเชื้อโควิดอีกครั้งเป็นการเบื้องต้นก่อนปล่อยตัว และพบว่า นายธนพัฒน์ฯ ติดเชื้อโควิด -19 หลังจากนั้นทางเรือนจํา จึงได้ตรวจหาเชื้อโควิด -19 ในผู้ต้องขังที่อยู่ร่วมห้องเดียวกันกับนายธนพัฒน์ฯ ทั้งหมด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างรอผลการตรวจเพื่อความชัดเจน และหากผลเป็นประการใดจะได้แจ้งให้ทราบอีกครั้ง
ซึ่งในกรณี นายธนพัฒน์ฯ ติดเชื้อโควิด -19 ทางเรือนจําได้ดําเนินการตามแนวทางการปล่อยตัวผู้ต้องขังในภาวะที่มีการแพร่ระบาดอย่างชัดเจน โดยประสานไปยังโรงพยาบาลแม่ข่าย แจ้งให้ญาติทราบถึงผลการตรวจโควิด - 19 แต่เนื่องจากญาติอยู่ต่างจังหวัดไม่สามารถมารับตัวได้ จึงประสานไปยังทนายความของนายธนพัฒน์ฯ และได้แจ้งความประสงค์ขอรับตัวนําส่งศูนย์พักคอยวัดสิงห์ เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร เรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้กรมราชทัณฑ์อยู่ระหว่างการสอบสวนโรคผู้ต้องขังภายในสถานที่ดังกล่าว โดยละเอียดอย่างเร่งด่วน เพื่อให้ได้ความชัดเจนเกี่ยวกับไทม์ไลน์การติดเชื้อของผู้ต้องขังดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามกรมราชทัณฑ์ มิได้นิ่งนอนใจต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และยังคงดําเนินการตาม มาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44785 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. มั่นใจ การออกแบบสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT | วันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565
รฟม. มั่นใจ การออกแบบสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT
พร้อมรับมือปัญหาน้ําท่วมฉับพลันในกรุงเทพฯ
ตามที่ สื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ ได้มีการเผยแพร่ข่าวกรณีน้ําท่วมพื้นที่ทางใต้ของกรุงโซลประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงค่ําวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 ซึ่งมีฝนตกหนักกว่า 141.5 มิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นการตกหนักสุดในรอบ 80 ปี ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น
ในการนี้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ขอเรียนชี้แจงว่า โครงการรถไฟฟ้าภายใต้การกํากับดูแลของ รฟม. ที่ก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นั้น โดยสภาพพื้นที่เป็นพื้นที่ราบลุ่ม ซึ่งแตกต่างจากพื้นที่ทางใต้ของกรุงโซลฯ ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ลาดเชิงเขา จึงประสบปัญหาน้ําท่วมฉับพลัน อย่างไรก็ตาม รฟม.ได้คํานึงถึงการป้องกันปัญหาน้ําท่วมฉับพลันไว้ตั้งแต่การออกแบบ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ทางขึ้น - ลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ถูกออกแบบให้มีความสูงมากกว่าค่าระดับน้ําท่วมสูงสุดจากสถิติในรอบ 200 ปี นอกจากนี้ ยังจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันน้ําท่วม โดยมีความสูงเพิ่มเติมอีก 1.00 เมตร (Flood Protection Board) ซึ่งจะสูงราว 2.50 เมตร จากค่าระดับถนนเฉลี่ยในกรุงเทพฯ ที่พร้อมติดตั้งได้ตลอดเวลา
2. เมื่อติดตั้งแผ่นป้องกันน้ําท่วมดังกล่าวแล้ว โอกาสที่น้ําจะรั่วเข้าสถานีมีน้อยมาก และ รฟม. ยังได้จัดเตรียมเครื่องสูบน้ําบริเวณทางขึ้น - ลง ของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT เพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินอีกขั้นหนึ่ง พร้อมทั้งได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอุโมงค์ สถานี และผนังสถานี ในช่วงน้ําหลากทุกวัน
ดังเห็นได้จากเหตุการณ์น้ําท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2554 ที่ รฟม. ได้ใช้ประโยชน์จากการออกแบบระบบป้องกันน้ําท่วมดังกล่าว ทําให้โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ไม่ได้รับผลกระทบ และยังสามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติ
รฟม. ขอยืนยันว่า การออกแบบโครงการรถไฟฟ้าภายใต้การกํากับการของ รฟม. เป็นการออกแบบที่คํานึงถึงความปลอดภัยในเหตุการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งอ้างอิงตามมาตรฐานสากล และกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน แห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทรศัพท์ 0 2716 4044
“30 ปี รฟม. เชื่อมต่อเส้นทางสู่ความยั่งยืน Completing Connection, Mission for All” | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. มั่นใจ การออกแบบสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT
วันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565
รฟม. มั่นใจ การออกแบบสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT
พร้อมรับมือปัญหาน้ําท่วมฉับพลันในกรุงเทพฯ
ตามที่ สื่อมวลชนและสื่อสังคมออนไลน์ ได้มีการเผยแพร่ข่าวกรณีน้ําท่วมพื้นที่ทางใต้ของกรุงโซลประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงค่ําวันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 ซึ่งมีฝนตกหนักกว่า 141.5 มิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นการตกหนักสุดในรอบ 80 ปี ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น
ในการนี้ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ขอเรียนชี้แจงว่า โครงการรถไฟฟ้าภายใต้การกํากับดูแลของ รฟม. ที่ก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นั้น โดยสภาพพื้นที่เป็นพื้นที่ราบลุ่ม ซึ่งแตกต่างจากพื้นที่ทางใต้ของกรุงโซลฯ ที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นพื้นที่ลาดเชิงเขา จึงประสบปัญหาน้ําท่วมฉับพลัน อย่างไรก็ตาม รฟม.ได้คํานึงถึงการป้องกันปัญหาน้ําท่วมฉับพลันไว้ตั้งแต่การออกแบบ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. ทางขึ้น - ลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ถูกออกแบบให้มีความสูงมากกว่าค่าระดับน้ําท่วมสูงสุดจากสถิติในรอบ 200 ปี นอกจากนี้ ยังจัดเตรียมอุปกรณ์ป้องกันน้ําท่วม โดยมีความสูงเพิ่มเติมอีก 1.00 เมตร (Flood Protection Board) ซึ่งจะสูงราว 2.50 เมตร จากค่าระดับถนนเฉลี่ยในกรุงเทพฯ ที่พร้อมติดตั้งได้ตลอดเวลา
2. เมื่อติดตั้งแผ่นป้องกันน้ําท่วมดังกล่าวแล้ว โอกาสที่น้ําจะรั่วเข้าสถานีมีน้อยมาก และ รฟม. ยังได้จัดเตรียมเครื่องสูบน้ําบริเวณทางขึ้น - ลง ของสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT เพื่อรองรับเหตุการณ์ฉุกเฉินอีกขั้นหนึ่ง พร้อมทั้งได้จัดให้มีเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอุโมงค์ สถานี และผนังสถานี ในช่วงน้ําหลากทุกวัน
ดังเห็นได้จากเหตุการณ์น้ําท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ เมื่อปี 2554 ที่ รฟม. ได้ใช้ประโยชน์จากการออกแบบระบบป้องกันน้ําท่วมดังกล่าว ทําให้โครงการรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT ไม่ได้รับผลกระทบ และยังสามารถให้บริการประชาชนได้ตามปกติ
รฟม. ขอยืนยันว่า การออกแบบโครงการรถไฟฟ้าภายใต้การกํากับการของ รฟม. เป็นการออกแบบที่คํานึงถึงความปลอดภัยในเหตุการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งอ้างอิงตามมาตรฐานสากล และกฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้ว ติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน แห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทรศัพท์ 0 2716 4044
“30 ปี รฟม. เชื่อมต่อเส้นทางสู่ความยั่งยืน Completing Connection, Mission for All” | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57843 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5.5 Super Summer Sale ธอส. ขนบ้านมือสองประมูลขายออนไลน์ โปรดับร้อนลดสูงสุด 40% พิเศษ!! ทำนิติกรรมภายในกำหนดลดเพิ่ม 10% | วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565
5.5 Super Summer Sale ธอส. ขนบ้านมือสองประมูลขายออนไลน์ โปรดับร้อนลดสูงสุด 40% พิเศษ!! ทํานิติกรรมภายในกําหนดลดเพิ่ม 10%
ธอส. จัดงานประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. 5.5 Super Summer Sale ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA เริ่มประมูลพร้อมกันทุกรายการในวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น.
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดงานประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. 5.5 Super Summer Sale ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA คัดทรัพย์ใหม่คุณภาพดีทําเลเด่นรวมถึงเดินทางสะดวกมากมายรวมกว่า 354 รายการ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงทรัพย์ในส่วนภูมิภาค ด้วยราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงสุดถึง 40% จากราคาปกติ ราคาต่ําสุดเพียง 130,000 บาทเท่านั้น พิเศษ!! ผู้ชนะการประมูลจะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 10% หากทําสัญญาและทํานิติกรรมภายใน 31 สิงหาคม 2565 เริ่มประมูลพร้อมกันทุกรายการในวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น.
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยได้อย่างสะดวกมากขึ้น จึงได้จัดงาน “ประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. 5.5 Super Summer Sale” ในวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. โดยคัดทรัพย์สภาพดีในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงในภูมิภาค รวมกว่า 345 รายการ ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด และอาคารพาณิชย์ ราคาเริ่มต้นประมูลให้ส่วนลดสูงสุด 40% จากราคาปกติ แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 64 รายการ โดยมีรายการทรัพย์ราคาเริ่มต้นประมูลต่ําสุดอยู่ที่เพียง 335,000 บาท ได้แก่ ทรัพย์ประเภทห้องชุด ชั้น 9 ขนาดเนื้อที่ 31.58 ตารางเมตร ในโครงการบ้านสวนแจ้งวัฒนะอี เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ และทรัพย์เด่นที่น่าสนใจ อาทิ ทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 19.9 ตารางวา ในโครงการหมู่บ้านกลางเมืองพระราม 9 เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ ราคาประมูลเริ่มต้นที่ 4,420,000 บาท โดยเป็นทรัพย์ที่เส้นทางคมนาคมตัดผ่าน เดินทางสะดวก และห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 15 นาทีเท่านั้น และทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 99.9 ตารางวา ในโครงการหมู่บ้านภัทรีดาอเวนิว อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ราคาประมูลเริ่มต้นที่ 3,655,000 บาท โดยเป็นทรัพย์ที่มีการออกแบบสไตล์ลอฟท์ และมีสิ่งอํานวยความสะดวกภายในโครงการครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์, สระว่ายน้ํา, ฟิตเนส และ Co-Working Space เหมาะสําหรับครอบครัวที่มีความต้องการหลากหลาย
ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาคมีจํานวนกว่า 282 รายการ โดยรายการทรัพย์ที่มีราคาเริ่มต้นประมูลต่ําสุดเพียง 130,000 บาท เท่านั้น ได้แก่ บ้านเดี่ยว 1 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 106 ตารางวา ในโครงการกุดปลาดุก อ.กุดชุม จ.ยโสธร ส่วนทรัพย์ที่ราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงที่สุด 40% จากราคาปกติ 2,000,000 บาท ลดเหลือเพียง 1,200,000 บาทเท่านั้น ได้แก่ ทรัพย์ประเภทบ้านแฝด 2 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 63 ตารางวา ในโครงการฟอร์จูนริววิ้ง อ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว
ทั้งนี้ผู้ชนะการประมูลจะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทําสัญญาและทํานิติกรรมภายใน 31 สิงหาคม 2565 และยังสามารถใช้ “ผลิตภัณฑ์สินเชื่อสําหรับทรัพย์ NPA” อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นานสูงสุด 24 เดือน และสามารถเข้าอยู่อาศัยได้ในระหว่างผ่อนดาวน์เพียงชําระเงินประกันการเข้าอยู่อาศัยไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาประมูลได้อีกด้วย
สําหรับ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศและติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ Application : GHB ALL และ www.ghbank.co.th | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-5.5 Super Summer Sale ธอส. ขนบ้านมือสองประมูลขายออนไลน์ โปรดับร้อนลดสูงสุด 40% พิเศษ!! ทำนิติกรรมภายในกำหนดลดเพิ่ม 10%
วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565
5.5 Super Summer Sale ธอส. ขนบ้านมือสองประมูลขายออนไลน์ โปรดับร้อนลดสูงสุด 40% พิเศษ!! ทํานิติกรรมภายในกําหนดลดเพิ่ม 10%
ธอส. จัดงานประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. 5.5 Super Summer Sale ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA เริ่มประมูลพร้อมกันทุกรายการในวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น.
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดงานประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. 5.5 Super Summer Sale ผ่าน Application : G H Bank Smart NPA คัดทรัพย์ใหม่คุณภาพดีทําเลเด่นรวมถึงเดินทางสะดวกมากมายรวมกว่า 354 รายการ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงทรัพย์ในส่วนภูมิภาค ด้วยราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงสุดถึง 40% จากราคาปกติ ราคาต่ําสุดเพียง 130,000 บาทเท่านั้น พิเศษ!! ผู้ชนะการประมูลจะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 10% หากทําสัญญาและทํานิติกรรมภายใน 31 สิงหาคม 2565 เริ่มประมูลพร้อมกันทุกรายการในวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น.
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยได้อย่างสะดวกมากขึ้น จึงได้จัดงาน “ประมูลออนไลน์บ้านมือสอง ธอส. 5.5 Super Summer Sale” ในวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 ระหว่างเวลา 12.00-13.00 น. โดยคัดทรัพย์สภาพดีในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงในภูมิภาค รวมกว่า 345 รายการ ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุด และอาคารพาณิชย์ ราคาเริ่มต้นประมูลให้ส่วนลดสูงสุด 40% จากราคาปกติ แบ่งเป็นทรัพย์ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 64 รายการ โดยมีรายการทรัพย์ราคาเริ่มต้นประมูลต่ําสุดอยู่ที่เพียง 335,000 บาท ได้แก่ ทรัพย์ประเภทห้องชุด ชั้น 9 ขนาดเนื้อที่ 31.58 ตารางเมตร ในโครงการบ้านสวนแจ้งวัฒนะอี เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ และทรัพย์เด่นที่น่าสนใจ อาทิ ทรัพย์ประเภททาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 19.9 ตารางวา ในโครงการหมู่บ้านกลางเมืองพระราม 9 เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ ราคาประมูลเริ่มต้นที่ 4,420,000 บาท โดยเป็นทรัพย์ที่เส้นทางคมนาคมตัดผ่าน เดินทางสะดวก และห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 15 นาทีเท่านั้น และทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 99.9 ตารางวา ในโครงการหมู่บ้านภัทรีดาอเวนิว อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ราคาประมูลเริ่มต้นที่ 3,655,000 บาท โดยเป็นทรัพย์ที่มีการออกแบบสไตล์ลอฟท์ และมีสิ่งอํานวยความสะดวกภายในโครงการครบครัน อาทิ คลับเฮ้าส์, สระว่ายน้ํา, ฟิตเนส และ Co-Working Space เหมาะสําหรับครอบครัวที่มีความต้องการหลากหลาย
ขณะที่ทรัพย์ในภูมิภาคมีจํานวนกว่า 282 รายการ โดยรายการทรัพย์ที่มีราคาเริ่มต้นประมูลต่ําสุดเพียง 130,000 บาท เท่านั้น ได้แก่ บ้านเดี่ยว 1 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 106 ตารางวา ในโครงการกุดปลาดุก อ.กุดชุม จ.ยโสธร ส่วนทรัพย์ที่ราคาเริ่มต้นประมูลลดสูงที่สุด 40% จากราคาปกติ 2,000,000 บาท ลดเหลือเพียง 1,200,000 บาทเท่านั้น ได้แก่ ทรัพย์ประเภทบ้านแฝด 2 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 63 ตารางวา ในโครงการฟอร์จูนริววิ้ง อ.เมืองสระแก้ว จ.สระแก้ว
ทั้งนี้ผู้ชนะการประมูลจะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 10% จากราคาที่ปิดประมูล เพียงทําสัญญาและทํานิติกรรมภายใน 31 สิงหาคม 2565 และยังสามารถใช้ “ผลิตภัณฑ์สินเชื่อสําหรับทรัพย์ NPA” อัตราดอกเบี้ย 0% ต่อปี นานสูงสุด 24 เดือน และสามารถเข้าอยู่อาศัยได้ในระหว่างผ่อนดาวน์เพียงชําระเงินประกันการเข้าอยู่อาศัยไม่ต่ํากว่า 1.5% ของราคาประมูลได้อีกด้วย
สําหรับ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมประมูลสามารถดาวน์โหลด Application : G H Bank Smart NPA สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศและติดตามข้อมูลข่าวสารได้ที่ Application : GHB ALL และ www.ghbank.co.th | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54150 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดสลากเห็นชอบเพิ่มปริมาณสลากดิจิทัลอีก 2 ล้าน รวมเป็น 7 ล้านฉบับ งวดแรก 1 สค 65 พร้อมขยายจุดจำหน่ายสลาก 80 ไปยังสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ | วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2565
บอร์ดสลากเห็นชอบเพิ่มปริมาณสลากดิจิทัลอีก 2 ล้าน รวมเป็น 7 ล้านฉบับ งวดแรก 1 สค 65 พร้อมขยายจุดจําหน่ายสลาก 80 ไปยังสถานีบริการน้ํามันทั่วประเทศ
อธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วยกรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล และ ผอ.สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร่วมแถลงข่าวการดําเนินมาตรการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาด้วยการจําหน่ายสลากผ่านแอปเป๋าตัง และโครงการจุดจําหน่ายสลาก 80
วันนี้ (23 มิถุนายน 2565) เวลา 15.00 น. ที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วย พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร่วมกันแถลงข่าวการดําเนินมาตรการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาด้วยการจําหน่ายสลากผ่านแอปเป๋าตัง และโครงการจุดจําหน่ายสลาก 80
นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้พิจารณาแล้ว มีมติให้เพิ่มปริมาณสลากจําหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม หรือสลากดิจิทัล อีก 2 ล้านฉบับ ในงวดวันที่ 1 สิงหาคม 2565 โดยจะเริ่มจําหน่ายตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2565 และจะติดตามผลการจําหน่ายสลากอย่างใกล้ชิด หากผลการตอบรับขายหมดในเวลารวดเร็วเช่นที่ผ่านมา ก็จะพิจารณาเพิ่มปริมาณสลากในงวดถัดไปอีก 2 ล้านฉบับ เพื่อให้ค่อยเป็นค่อยไป และรักษาสมดุลระหว่างสลากใบและระบบดิจิทัล ประชาชนสามารถซื้อสลากหมายเลขที่ต้องการได้ในราคา 80 บาท โดยมีระยะเวลาในการเลือกซื้อได้นานขึ้น ผู้ขายสลากดิจิทัลก็มีโอกาสจําหน่ายหมดสลากได้หมด โดยไม่ส่งผลกระทบรุนแรงกับผู้ขายสลากใบ ส่วนสลากที่จะนํามาเพิ่มในระบบดิจิทัลนั้น จะมาจากสลากในระบบซื้อจอง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสลากของตัวแทนจําหน่ายที่ถูกยกเลิกสัญญาเนื่องจากนําสลากไปขายต่อ
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มปริมาณสลากดิจิทัล จะพิจารณาความต้องการของประชาชนผู้ซื้อสลาก และต้องพิจารณาถึงระยะเวลาในการขายสลากดิจิทัล ที่ควรจะมีเวลาในการขายตั้งแต่วันแรกจนถึงที่ขายหมด ประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้มีเวลามากพอที่จะสร้างกลไกราคาให้อยู่ที่ 80 บาท ทั้งนี้ ปริมาณสลากที่เหมาะสมในการเพิ่มแต่ละครั้งไม่เกิน 2 ล้านฉบับและจํานวนสูงสูดที่จะเพิ่มไม่เกิน 20 ล้านฉบับ ภายในสิ้นปีนี้
สําหรับโครงการจุดจําหน่ายสลาก 80 ที่สํานักงานสลากฯ เริ่มดําเนินการมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว ปัจจุบัน มีจุดจําหน่ายสลาก 80 ทั้งหมด 754 จุด ทั่วประเทศ และยังมีบางส่วนอยู่ระหว่างทําสัญญา ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไปจะมีจุดจําหน่ายสลาก 80 ทั่วประเทศ 1,077 จุด และภายในปีนี้ สํานักงานฯ จะนําร่องขยายจุดจําหน่ายสลาก 80 ซึ่งจําหน่ายสลากผ่านแอปเป๋าตัง ไปที่สถานีบริการน้ํามันทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า 2,000 จุด และหากได้รับการตอบรับที่ดี จะขยายเพิ่มต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บอร์ดสลากเห็นชอบเพิ่มปริมาณสลากดิจิทัลอีก 2 ล้าน รวมเป็น 7 ล้านฉบับ งวดแรก 1 สค 65 พร้อมขยายจุดจำหน่ายสลาก 80 ไปยังสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ
วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2565
บอร์ดสลากเห็นชอบเพิ่มปริมาณสลากดิจิทัลอีก 2 ล้าน รวมเป็น 7 ล้านฉบับ งวดแรก 1 สค 65 พร้อมขยายจุดจําหน่ายสลาก 80 ไปยังสถานีบริการน้ํามันทั่วประเทศ
อธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วยกรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล และ ผอ.สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร่วมแถลงข่าวการดําเนินมาตรการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาด้วยการจําหน่ายสลากผ่านแอปเป๋าตัง และโครงการจุดจําหน่ายสลาก 80
วันนี้ (23 มิถุนายน 2565) เวลา 15.00 น. ที่สํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร ในฐานะประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล พร้อมด้วย พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อํานวยการสํานักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร่วมกันแถลงข่าวการดําเนินมาตรการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาด้วยการจําหน่ายสลากผ่านแอปเป๋าตัง และโครงการจุดจําหน่ายสลาก 80
นายลวรณ แสงสนิท ประธานกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ได้พิจารณาแล้ว มีมติให้เพิ่มปริมาณสลากจําหน่ายผ่านแพลตฟอร์ม หรือสลากดิจิทัล อีก 2 ล้านฉบับ ในงวดวันที่ 1 สิงหาคม 2565 โดยจะเริ่มจําหน่ายตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2565 และจะติดตามผลการจําหน่ายสลากอย่างใกล้ชิด หากผลการตอบรับขายหมดในเวลารวดเร็วเช่นที่ผ่านมา ก็จะพิจารณาเพิ่มปริมาณสลากในงวดถัดไปอีก 2 ล้านฉบับ เพื่อให้ค่อยเป็นค่อยไป และรักษาสมดุลระหว่างสลากใบและระบบดิจิทัล ประชาชนสามารถซื้อสลากหมายเลขที่ต้องการได้ในราคา 80 บาท โดยมีระยะเวลาในการเลือกซื้อได้นานขึ้น ผู้ขายสลากดิจิทัลก็มีโอกาสจําหน่ายหมดสลากได้หมด โดยไม่ส่งผลกระทบรุนแรงกับผู้ขายสลากใบ ส่วนสลากที่จะนํามาเพิ่มในระบบดิจิทัลนั้น จะมาจากสลากในระบบซื้อจอง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากสลากของตัวแทนจําหน่ายที่ถูกยกเลิกสัญญาเนื่องจากนําสลากไปขายต่อ
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มปริมาณสลากดิจิทัล จะพิจารณาความต้องการของประชาชนผู้ซื้อสลาก และต้องพิจารณาถึงระยะเวลาในการขายสลากดิจิทัล ที่ควรจะมีเวลาในการขายตั้งแต่วันแรกจนถึงที่ขายหมด ประมาณ 7-10 วัน เพื่อให้มีเวลามากพอที่จะสร้างกลไกราคาให้อยู่ที่ 80 บาท ทั้งนี้ ปริมาณสลากที่เหมาะสมในการเพิ่มแต่ละครั้งไม่เกิน 2 ล้านฉบับและจํานวนสูงสูดที่จะเพิ่มไม่เกิน 20 ล้านฉบับ ภายในสิ้นปีนี้
สําหรับโครงการจุดจําหน่ายสลาก 80 ที่สํานักงานสลากฯ เริ่มดําเนินการมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว ปัจจุบัน มีจุดจําหน่ายสลาก 80 ทั้งหมด 754 จุด ทั่วประเทศ และยังมีบางส่วนอยู่ระหว่างทําสัญญา ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไปจะมีจุดจําหน่ายสลาก 80 ทั่วประเทศ 1,077 จุด และภายในปีนี้ สํานักงานฯ จะนําร่องขยายจุดจําหน่ายสลาก 80 ซึ่งจําหน่ายสลากผ่านแอปเป๋าตัง ไปที่สถานีบริการน้ํามันทั่วประเทศ ไม่น้อยกว่า 2,000 จุด และหากได้รับการตอบรับที่ดี จะขยายเพิ่มต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56049 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เดินหน้าเสริมทรายชายหาดจอมเทียน ลดปัญหาการกัดเซาะ คืนสภาพชายหาดสวยงาม ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ | วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม 2564
กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เดินหน้าเสริมทรายชายหาดจอมเทียน ลดปัญหาการกัดเซาะ คืนสภาพชายหาดสวยงาม ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ
...
โครงการเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียน อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เป็นโครงการต่อเนื่องของกรมเจ้าท่า ในการบูรณะชายฝั่งในพื้นที่ภาคตะวันออกและเป็นแหล่งธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ภายหลังจากกรมเจ้าท่าประสบความสําเร็จในการเสริมทรายชายหาดพัทยา จึงได้มีนโยบายเสริมทรายชายหาดบริเวณหาดจอมเทียน เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีผลกระทบเรื่องการกัดเซาะค่อนข้างรุนแรง หากไม่เร่งดําเนินการจะมีการกัดเซาะเข้ามาถึงชายฝั่งที่ดินของประชาชนในพื้นที่มากขึ้น
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า สภาพพื้นที่ชายหาดจอมเทียนประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พื้นที่ชายหาดถดถอยและลดขนาดลงไปทุกปี ไม่เพียงพอต่อความต้องการรองรับจํานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่ภาคพิเศษเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.ได้ประสานขอให้กรมเจ้าท่าดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน อีกทั้งการรายงานจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ปี พ.ศ.2552 ได้ศึกษาและจัดทําแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่อ่าวไทยตะวันออกและจัดให้พื้นที่ชายหาดจอมเทียนเป็นพื้นที่กัดเซาะรุนแรง ต้องได้รับการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ในปี พ.ศ. 2557 กรมเจ้าท่า ได้ทําการว่าจ้างสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ําจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดําเนินการสํารวจออกแบบเพื่อเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรีโดยมีพื้นที่ศึกษาตลอดแนวชายหาดจอมเทียน ความยาว 6.2 กิโลเมตร ตั้งแต่บริเวณหน้าร้านอาหารลุงไสวถึงบริเวณแนวโขดหินหน้าสวนน้ําพัทยาปาร์ค วอเตอร์เวิล์ด ระยะที่ 1 มีความยาว 3,575 เมตร และระยะที่ 2 มีความยาว 2,855 เมตร กรมเจ้าท่า ได้ทําการว่าจ้าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ดําเนินโครงการเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียนระยะที่ 1 มีระยะเวลาการดําเนินโครงการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 – เดือนพฤศจิกายน 2565 (900 วัน) โดยแหล่งทรายที่จะนํามาใช้เสริมบริเวณชายหาดจอมเทียนนํามาจากทิศตะวันตกของเกาะรางเกวียน ห่างจากชายหาดจอมเทียนไปทางทะเลประมาณ 15 กิโลเมตร ปัจจุบันเริ่มเสริมทรายชายหาด ตั้งแต่โรงแรมจอมเทียนชาเล่ต์จนถึงโรงแรมยู จอมเทียน พัทยา มีผลการดําเนินงานคิดเป็นร้อยละ 4.39 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ ภายหลังโครงการเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียนแล้วเสร็จ จะช่วยบูรณะฟื้นฟูชายหาดจอมเทียนให้กลับมาสวยงาม และเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง จะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวชายหาดจอมเทียน สร้างรายได้สู่ชุมชนและประเทศ ให้สอดรับกับนโยบายภาครัฐในการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการท่องเที่ยวและการสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เดินหน้าเสริมทรายชายหาดจอมเทียน ลดปัญหาการกัดเซาะ คืนสภาพชายหาดสวยงาม ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ
วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม 2564
กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม เดินหน้าเสริมทรายชายหาดจอมเทียน ลดปัญหาการกัดเซาะ คืนสภาพชายหาดสวยงาม ฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ
...
โครงการเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียน อําเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เป็นโครงการต่อเนื่องของกรมเจ้าท่า ในการบูรณะชายฝั่งในพื้นที่ภาคตะวันออกและเป็นแหล่งธุรกิจภาคการท่องเที่ยว ภายหลังจากกรมเจ้าท่าประสบความสําเร็จในการเสริมทรายชายหาดพัทยา จึงได้มีนโยบายเสริมทรายชายหาดบริเวณหาดจอมเทียน เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีผลกระทบเรื่องการกัดเซาะค่อนข้างรุนแรง หากไม่เร่งดําเนินการจะมีการกัดเซาะเข้ามาถึงชายฝั่งที่ดินของประชาชนในพื้นที่มากขึ้น
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า สภาพพื้นที่ชายหาดจอมเทียนประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้พื้นที่ชายหาดถดถอยและลดขนาดลงไปทุกปี ไม่เพียงพอต่อความต้องการรองรับจํานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่ภาคพิเศษเพื่อการท่องเที่ยวที่ยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.ได้ประสานขอให้กรมเจ้าท่าดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน อีกทั้งการรายงานจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ปี พ.ศ.2552 ได้ศึกษาและจัดทําแผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งพื้นที่อ่าวไทยตะวันออกและจัดให้พื้นที่ชายหาดจอมเทียนเป็นพื้นที่กัดเซาะรุนแรง ต้องได้รับการแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน ในปี พ.ศ. 2557 กรมเจ้าท่า ได้ทําการว่าจ้างสถาบันวิจัยทรัพยากรทางน้ําจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดําเนินการสํารวจออกแบบเพื่อเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรีโดยมีพื้นที่ศึกษาตลอดแนวชายหาดจอมเทียน ความยาว 6.2 กิโลเมตร ตั้งแต่บริเวณหน้าร้านอาหารลุงไสวถึงบริเวณแนวโขดหินหน้าสวนน้ําพัทยาปาร์ค วอเตอร์เวิล์ด ระยะที่ 1 มีความยาว 3,575 เมตร และระยะที่ 2 มีความยาว 2,855 เมตร กรมเจ้าท่า ได้ทําการว่าจ้าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) เป็นผู้ดําเนินโครงการเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียนระยะที่ 1 มีระยะเวลาการดําเนินโครงการตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 – เดือนพฤศจิกายน 2565 (900 วัน) โดยแหล่งทรายที่จะนํามาใช้เสริมบริเวณชายหาดจอมเทียนนํามาจากทิศตะวันตกของเกาะรางเกวียน ห่างจากชายหาดจอมเทียนไปทางทะเลประมาณ 15 กิโลเมตร ปัจจุบันเริ่มเสริมทรายชายหาด ตั้งแต่โรงแรมจอมเทียนชาเล่ต์จนถึงโรงแรมยู จอมเทียน พัทยา มีผลการดําเนินงานคิดเป็นร้อยละ 4.39 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ ภายหลังโครงการเสริมทรายป้องกันการกัดเซาะชายหาดจอมเทียนแล้วเสร็จ จะช่วยบูรณะฟื้นฟูชายหาดจอมเทียนให้กลับมาสวยงาม และเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง จะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวชายหาดจอมเทียน สร้างรายได้สู่ชุมชนและประเทศ ให้สอดรับกับนโยบายภาครัฐในการฟื้นฟูและพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการท่องเที่ยวและการสร้างการเติบโตอย่างมีคุณภาพต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43918 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มการลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงานไทย-ซาอุดีอาระเบีย ชัดเจนผลสำเร็จเป็นรูปธรรมการฟื้นฟูความสัมพันธ์ เพิ่มงาน เพิ่มรายได้ คุ้มครองแรงงานไทย | วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มการลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงานไทย-ซาอุดีอาระเบีย ชัดเจนผลสําเร็จเป็นรูปธรรมการฟื้นฟูความสัมพันธ์ เพิ่มงาน เพิ่มรายได้ คุ้มครองแรงงานไทย
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มการลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงานไทย-ซาอุดีอาระเบีย ชัดเจนผลสําเร็จเป็นรูปธรรมการฟื้นฟูความสัมพันธ์ เพิ่มงาน เพิ่มรายได้ คุ้มครองแรงงานไทย
วันนี้ (29 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมกรณีที่วานนี้ (28 มีนาคม 2565) กระทรวงแรงงานของไทยได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านแรงงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมซาอุดีอาระเบีย โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของไทย และ นายอะห์หมัด บิน สุไลมาน อัลรอยิฮี (H.E. Eng. Ahmad Sulaiman ALRajhi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมซาอุดีอาระเบีย ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงาน จํานวน 2 ฉบับ ด้วยกัน ได้แก่ 1. ความตกลงว่าด้วยการจัดหาแรงงานระหว่างกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และ 2. ความตกลงว่าด้วยการจัดหาแรงงานในบ้านระหว่างกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
นายธนกรฯ กล่าวว่า ความตกลงที่ได้ลงนามนี้ ให้ความสําคัญกับการจัดหาแรงงานไทยไปทํางานในประเทศซาอุดีอาระเบียอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ปกป้องคุ้มครองสิทธิของแรงงานและนายจ้าง รวมถึงการบังคับใช้กฎระเบียบ สัญญาจ้างงานระหว่างกันที่เป็นธรรม แรงงานได้รับค่าจ้าง สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ซึ่งการลงนามครั้งนี้ เป็นผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจากการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25-26 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา เนื่องจากฝ่ายซาอุดีอาระเบียมีความต้องการแรงงานไทย และความร่วมมือนี้จะเป็นประโยชน์กับพี่น้องชาวไทยที่ต้องการเดินทางไปทํางานที่ซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นผลประโยชน์ร่วมกันจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
โฆษกประจําสํานักนายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญกับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพราะเชื่อมั่นว่ายังมีโอกาสและช่องทางเพิ่มการทํางานร่วมกันในอีกหลายมิติ ซึ่งจะส่งผลประโยชน์ให้กับประเทศ และประชาชนไทยอีกมาก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีไม่เพียงต้องการให้ประชาชนไทย และแรงงานที่ตรงกับความต้องการของซาอุดีอาระเบียมีงานทํา มีรายได้เท่านั้น แต่ต้องการให้พี่น้องแรงงานชาวไทยได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย ได้รับการคุ้มครอง ได้พัฒนาทักษะซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้แรงงานไทย และประเทศไทยอีกด้วย ทั้งนี้ ขอบคุณกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขานรับนโยบายรวดเร็วเห็นผลสําเร็จเป็นรูปธรรม | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มการลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงานไทย-ซาอุดีอาระเบีย ชัดเจนผลสำเร็จเป็นรูปธรรมการฟื้นฟูความสัมพันธ์ เพิ่มงาน เพิ่มรายได้ คุ้มครองแรงงานไทย
วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มการลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงานไทย-ซาอุดีอาระเบีย ชัดเจนผลสําเร็จเป็นรูปธรรมการฟื้นฟูความสัมพันธ์ เพิ่มงาน เพิ่มรายได้ คุ้มครองแรงงานไทย
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มการลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงานไทย-ซาอุดีอาระเบีย ชัดเจนผลสําเร็จเป็นรูปธรรมการฟื้นฟูความสัมพันธ์ เพิ่มงาน เพิ่มรายได้ คุ้มครองแรงงานไทย
วันนี้ (29 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมกรณีที่วานนี้ (28 มีนาคม 2565) กระทรวงแรงงานของไทยได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ด้านแรงงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมซาอุดีอาระเบีย โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานของไทย และ นายอะห์หมัด บิน สุไลมาน อัลรอยิฮี (H.E. Eng. Ahmad Sulaiman ALRajhi) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมซาอุดีอาระเบีย ได้ร่วมลงนามในข้อตกลงความร่วมมือด้านแรงงาน จํานวน 2 ฉบับ ด้วยกัน ได้แก่ 1. ความตกลงว่าด้วยการจัดหาแรงงานระหว่างกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และ 2. ความตกลงว่าด้วยการจัดหาแรงงานในบ้านระหว่างกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนาสังคมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย
นายธนกรฯ กล่าวว่า ความตกลงที่ได้ลงนามนี้ ให้ความสําคัญกับการจัดหาแรงงานไทยไปทํางานในประเทศซาอุดีอาระเบียอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ปกป้องคุ้มครองสิทธิของแรงงานและนายจ้าง รวมถึงการบังคับใช้กฎระเบียบ สัญญาจ้างงานระหว่างกันที่เป็นธรรม แรงงานได้รับค่าจ้าง สวัสดิการและสิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ซึ่งการลงนามครั้งนี้ เป็นผลสําเร็จอย่างเป็นรูปธรรมจากการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25-26 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา เนื่องจากฝ่ายซาอุดีอาระเบียมีความต้องการแรงงานไทย และความร่วมมือนี้จะเป็นประโยชน์กับพี่น้องชาวไทยที่ต้องการเดินทางไปทํางานที่ซาอุดีอาระเบีย ถือเป็นผลประโยชน์ร่วมกันจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
โฆษกประจําสํานักนายกฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสําคัญกับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพราะเชื่อมั่นว่ายังมีโอกาสและช่องทางเพิ่มการทํางานร่วมกันในอีกหลายมิติ ซึ่งจะส่งผลประโยชน์ให้กับประเทศ และประชาชนไทยอีกมาก ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีไม่เพียงต้องการให้ประชาชนไทย และแรงงานที่ตรงกับความต้องการของซาอุดีอาระเบียมีงานทํา มีรายได้เท่านั้น แต่ต้องการให้พี่น้องแรงงานชาวไทยได้รับการดูแลอย่างปลอดภัย ได้รับการคุ้มครอง ได้พัฒนาทักษะซึ่งจะเพิ่มโอกาสให้แรงงานไทย และประเทศไทยอีกด้วย ทั้งนี้ ขอบคุณกระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ขานรับนโยบายรวดเร็วเห็นผลสําเร็จเป็นรูปธรรม | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53034 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2565 เชื่อมั่นศักยภาพการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมของไทย | วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก 2565 เชื่อมั่นศักยภาพการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมของไทย
พร้อมสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืน และคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ประเทศไทย ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก 2565 (Global Summit of Women) แสดงถึงความเชื่อมั่นของนานาประเทศต่อไทยในการส่งเสริมบทบาทของสตรีในภาคธุรกิจและเศรษฐกิจ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
การประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก 2565 กําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 25 มิถุนายน 2565 ณ กรุงเทพฯ ภายใต้หัวข้อหลัก “Women: Creating Opportunities in the New Reality” โดยประเทศไทยจะได้ให้การต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 1,000 คนจากกว่า 60 ประเทศ ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะเป็นการประชุมระดับนานาชาติขนาดใหญ่ครั้งแรกที่จัดขึ้นแบบพบปะ (face-to-face) ในรอบ 2 ปี และเป็นโอกาสให้ไทยแสดงศักยภาพในอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) และการเป็นประเทศเป้าหมาย (world destination) ทั้งในด้านการจัดประชุมระดับนานาชาติ และการท่องเที่ยวของไทย ภายหลังเปิดประเทศ และเตรียมพร้อมสําหรับการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของการจัดงานระหว่างประเทศ โดยคาดว่าการประชุมดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้กว่า 80 ล้านบาท
ทั้งนี้ สํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) ระบุว่า แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่อุตสาหกรรม MICE ในประเทศไทยยังสามารถสร้างรายได้กว่า 33.2 พันล้านบาท และสร้างงานมากกว่า 46,000 ตําแหน่งในปีที่ผ่านมา โดยนอกเหนือจากกิจกรรมระดับนานาชาติ 23 งานที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสปน. ในปี 2565 แล้ว การประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022) ซึ่งกําหนดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 ที่กรุงเทพฯ จะเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่จะดึงดูดความสนใจของโลกมายังประเทศไทย
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “นายกรัฐมนตรีตอบรับการเป็นประธาน และกล่าวปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก ในวันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2565 นี้ โดยเวทีสุดยอดผู้นําสตรีโลกนี้ เป็นโอกาสที่ไทยจะใช้แสดงศักยภาพ ความมุ่งมั่น ความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม และสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย โดยเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน และคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม” | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำสตรีโลก 2565 เชื่อมั่นศักยภาพการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมของไทย
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก 2565 เชื่อมั่นศักยภาพการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมของไทย
พร้อมสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยที่ยั่งยืน และคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่ประเทศไทย ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก 2565 (Global Summit of Women) แสดงถึงความเชื่อมั่นของนานาประเทศต่อไทยในการส่งเสริมบทบาทของสตรีในภาคธุรกิจและเศรษฐกิจ ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
การประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก 2565 กําหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 25 มิถุนายน 2565 ณ กรุงเทพฯ ภายใต้หัวข้อหลัก “Women: Creating Opportunities in the New Reality” โดยประเทศไทยจะได้ให้การต้อนรับผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 1,000 คนจากกว่า 60 ประเทศ ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะเป็นการประชุมระดับนานาชาติขนาดใหญ่ครั้งแรกที่จัดขึ้นแบบพบปะ (face-to-face) ในรอบ 2 ปี และเป็นโอกาสให้ไทยแสดงศักยภาพในอุตสาหกรรมไมซ์ (MICE) และการเป็นประเทศเป้าหมาย (world destination) ทั้งในด้านการจัดประชุมระดับนานาชาติ และการท่องเที่ยวของไทย ภายหลังเปิดประเทศ และเตรียมพร้อมสําหรับการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของการจัดงานระหว่างประเทศ โดยคาดว่าการประชุมดังกล่าวจะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้กว่า 80 ล้านบาท
ทั้งนี้ สํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) ระบุว่า แม้ว่าประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่อุตสาหกรรม MICE ในประเทศไทยยังสามารถสร้างรายได้กว่า 33.2 พันล้านบาท และสร้างงานมากกว่า 46,000 ตําแหน่งในปีที่ผ่านมา โดยนอกเหนือจากกิจกรรมระดับนานาชาติ 23 งานที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสปน. ในปี 2565 แล้ว การประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC 2022) ซึ่งกําหนดขึ้นระหว่างวันที่ 18-19 พฤศจิกายน 2565 ที่กรุงเทพฯ จะเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่จะดึงดูดความสนใจของโลกมายังประเทศไทย
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “นายกรัฐมนตรีตอบรับการเป็นประธาน และกล่าวปาฐกถาพิเศษในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดผู้นําสตรีโลก ในวันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน 2565 นี้ โดยเวทีสุดยอดผู้นําสตรีโลกนี้ เป็นโอกาสที่ไทยจะใช้แสดงศักยภาพ ความมุ่งมั่น ความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม และสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย โดยเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ยั่งยืน และคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม” | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55896 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานรพ.เขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จังหวัดระยอง | วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2565
องคมนตรี ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานรพ.เขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จังหวัดระยอง
องคมนตรี ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานสําคัญของ โรงพยาบาลเขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จังหวัดระยอง พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่ร่วมกันดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่
องคมนตรี ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานสําคัญของ โรงพยาบาลเขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษาจังหวัดระยอง พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่ร่วมกันดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่
วันนี้ (25 สิงหาคม 2565 ) ที่โรงพยาบาลเขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จังหวัดระยอง พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี รองประธานกรรมการมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 คณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจการปฏิบัติงานและติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานสําคัญของโรงพยาบาล พร้อมมอบของเยี่ยมให้กับผู้ป่วย
นายแพทย์ณรงค์กล่าวว่า โรงพยาบาลเขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จังหวัดระยอง เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง มีหน่วยบริการปฐมภูมิ (รพ.สต./สอน.) ในเขตรับผิดชอบ จํานวน 6 แห่ง ดําเนินงานตามวิสัยทัศน์ คือ “โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติเพื่อประชาชนสุขภาพดีภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วม ภายในปี 2567” มีผลงานการดําเนินที่สําคัญหลายด้าน อาทิ การส่งเสริมและคุ้มครองผู้บริโภค โดยให้ความรู้แก่ผู้มารับบริการในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล, จัดสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน GREEN & CLEAN Hospital โดยผ่านเกณฑ์การประเมิน ระดับดีมากและมุ่งสู่การเป็นโรงพยาบาลสีเขียว รมณียสถาน, คลินิกผู้สูงอายุให้บริการดูแลค้นหาปัญหาหรือกลุ่มอาการที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ (Geriatric syndrome) มีการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ป่วย โดยจัดสภาพแวดล้อมที่บ้านและจัดห้องสุขนิรันดร์ในโรงพยาบาล, จัดโครงการพาหมอไปหาผู้ป่วย ในกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยระยะกลาง และผู้พิการด้านการเคลื่อนไหวในพื้นที่, จัดตั้งศูนย์สาธิตและยืมอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการฟื้นฟูสมรรถภาพ, บูรณาการร่วมกันกับภาคีเครือข่าย ทั้ง 6 รพ.สต./สอน. ดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและโรคหัวใจ เพื่อลดความแออัด ลดการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป และออกให้บริการการแพทย์เฉพาะทางร่วมกับกรมการแพทย์ ดูแลประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
นอกจากนี้ ยังจัดโครงการรวมดวงใจโรงพยาบาลชุมชนเฉลิมพระเกียรติทําความดีเพื่อประชาชนเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีครบรอบ 67 พรรษา 2 เมษายน 2565 ตรวจคัดกรองมะเร็งลําไส้ 143 ราย พบผิดปกติ 1 ราย คัดกรองมะเร็งปากมดลูก138 ราย พบผิดปกติ 5 ราย ได้รับการส่งต่อรักษาตามแนวทาง
********************************** 25 สิงหาคม 2565 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานรพ.เขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จังหวัดระยอง
วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม 2565
องคมนตรี ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานรพ.เขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จังหวัดระยอง
องคมนตรี ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานสําคัญของ โรงพยาบาลเขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จังหวัดระยอง พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่ร่วมกันดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่
องคมนตรี ติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานสําคัญของ โรงพยาบาลเขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษาจังหวัดระยอง พร้อมให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานที่ร่วมกันดูแลสุขภาพประชาชนในพื้นที่
วันนี้ (25 สิงหาคม 2565 ) ที่โรงพยาบาลเขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จังหวัดระยอง พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข องคมนตรี รองประธานกรรมการมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล พร้อมด้วยนายแพทย์ณรงค์ อภิกุลวณิช ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 คณะผู้บริหาร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจการปฏิบัติงานและติดตามความก้าวหน้าการพัฒนางานสําคัญของโรงพยาบาล พร้อมมอบของเยี่ยมให้กับผู้ป่วย
นายแพทย์ณรงค์กล่าวว่า โรงพยาบาลเขาชะเมาเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา จังหวัดระยอง เป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด 30 เตียง มีหน่วยบริการปฐมภูมิ (รพ.สต./สอน.) ในเขตรับผิดชอบ จํานวน 6 แห่ง ดําเนินงานตามวิสัยทัศน์ คือ “โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติเพื่อประชาชนสุขภาพดีภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วม ภายในปี 2567” มีผลงานการดําเนินที่สําคัญหลายด้าน อาทิ การส่งเสริมและคุ้มครองผู้บริโภค โดยให้ความรู้แก่ผู้มารับบริการในการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างสมเหตุผล, จัดสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน GREEN & CLEAN Hospital โดยผ่านเกณฑ์การประเมิน ระดับดีมากและมุ่งสู่การเป็นโรงพยาบาลสีเขียว รมณียสถาน, คลินิกผู้สูงอายุให้บริการดูแลค้นหาปัญหาหรือกลุ่มอาการที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ (Geriatric syndrome) มีการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง เพื่อเตรียมความพร้อมให้ผู้ป่วย โดยจัดสภาพแวดล้อมที่บ้านและจัดห้องสุขนิรันดร์ในโรงพยาบาล, จัดโครงการพาหมอไปหาผู้ป่วย ในกลุ่มผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยระยะกลาง และผู้พิการด้านการเคลื่อนไหวในพื้นที่, จัดตั้งศูนย์สาธิตและยืมอุปกรณ์เครื่องช่วยความพิการฟื้นฟูสมรรถภาพ, บูรณาการร่วมกันกับภาคีเครือข่าย ทั้ง 6 รพ.สต./สอน. ดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและโรคหัวใจ เพื่อลดความแออัด ลดการส่งต่อไปยังโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป และออกให้บริการการแพทย์เฉพาะทางร่วมกับกรมการแพทย์ ดูแลประชาชนในพื้นที่ห่างไกล
นอกจากนี้ ยังจัดโครงการรวมดวงใจโรงพยาบาลชุมชนเฉลิมพระเกียรติทําความดีเพื่อประชาชนเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระราชสมภพสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีครบรอบ 67 พรรษา 2 เมษายน 2565 ตรวจคัดกรองมะเร็งลําไส้ 143 ราย พบผิดปกติ 1 ราย คัดกรองมะเร็งปากมดลูก138 ราย พบผิดปกติ 5 ราย ได้รับการส่งต่อรักษาตามแนวทาง
********************************** 25 สิงหาคม 2565 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58455 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ให้หน่วยบริการทุกแห่งเตรียมพร้อมดูแลประชาชนช่วงสงกรานต์ และบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 | วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2565
สธ. ให้หน่วยบริการทุกแห่งเตรียมพร้อมดูแลประชาชนช่วงสงกรานต์ และบริการฉีดวัคซีนโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้หน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งเตรียมความพร้อมดูแลประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ และให้ผู้บริหารในพื้นที่ประจําการดูแลสถานการณ์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้หน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งเตรียมความพร้อมดูแลประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ และให้ผู้บริหารในพื้นที่ประจําการดูแลสถานการณ์พร้อมทั้งเปิดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับผู้ที่ต้องการในทุกโรงพยาบาลและรพ.สต. เพื่อขยายการรับวัคซีนให้มากที่สุด ลดความเสี่ยงติดเชื้อและเสียชีวิตของผู้สูงอายุ
วันนี้ (7 เมษายน 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มีข้อสั่งการไปยังหน่วยบริการสาธารณสุขทุกแห่ง เตรียมความพร้อมให้บริการประชาชนในช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ 11–17 เมษายน 2565 เนื่องจากมีผู้ที่เดินทางกลับภูมิลําเนาจํานวนมาก โดยนอกจากการเตรียมการรองรับในกรณี
เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน ทั้งการรักษา ระบบส่งต่อ ห้องผ่าตัด กําลังคน ยาและเวชภัณฑ์ยา ได้ให้โรงพยาบาลรวมถึงรพ.สต.ในพื้นที่ใช้โอกาสนี้ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับผู้สูงอายุและลูกหลานที่เดินทางกลับภูมิลําเนาและต้องการฉีดวัคซีนหรือครบระยะการรับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อขยายการรับวัคซีนให้มากที่สุด โดยให้กรมควบคุมโรคประสานกับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดจัดส่งวัคซีนไปให้เพียงพอ ส่วนผู้บริหารในพื้นที่ ทั้งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ให้อยู่ประจําในพื้นที่เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“ขอฝากพี่น้องประชาชนในช่วงสงกรานต์นี้ หากตนเองหรือผู้สูงอายุที่บ้านยังไม่ได้รับวัคซีนหรือวัคซีนเข็มกระตุ้น ขอให้ไปฉีดวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งทั่วประเทศ เนื่องจากผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เสียชีวิตกว่า 90% เป็นกลุ่ม 608 ซึ่งหากมีการฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้ได้มากขึ้น จะช่วยปิดความเสี่ยงและลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้” นายอนุทินกล่าว
************************************** 7 เมษายน 2565 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ให้หน่วยบริการทุกแห่งเตรียมพร้อมดูแลประชาชนช่วงสงกรานต์ และบริการฉีดวัคซีนโควิด 19
วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2565
สธ. ให้หน่วยบริการทุกแห่งเตรียมพร้อมดูแลประชาชนช่วงสงกรานต์ และบริการฉีดวัคซีนโควิด 19
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้หน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งเตรียมความพร้อมดูแลประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ และให้ผู้บริหารในพื้นที่ประจําการดูแลสถานการณ์
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้หน่วยบริการสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งเตรียมความพร้อมดูแลประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ และให้ผู้บริหารในพื้นที่ประจําการดูแลสถานการณ์พร้อมทั้งเปิดบริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับผู้ที่ต้องการในทุกโรงพยาบาลและรพ.สต. เพื่อขยายการรับวัคซีนให้มากที่สุด ลดความเสี่ยงติดเชื้อและเสียชีวิตของผู้สูงอายุ
วันนี้ (7 เมษายน 2565) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มีข้อสั่งการไปยังหน่วยบริการสาธารณสุขทุกแห่ง เตรียมความพร้อมให้บริการประชาชนในช่วง 7 วันอันตรายเทศกาลสงกรานต์ ตั้งแต่วันที่ 11–17 เมษายน 2565 เนื่องจากมีผู้ที่เดินทางกลับภูมิลําเนาจํานวนมาก โดยนอกจากการเตรียมการรองรับในกรณี
เกิดอุบัติเหตุฉุกเฉิน ทั้งการรักษา ระบบส่งต่อ ห้องผ่าตัด กําลังคน ยาและเวชภัณฑ์ยา ได้ให้โรงพยาบาลรวมถึงรพ.สต.ในพื้นที่ใช้โอกาสนี้ให้บริการฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้กับผู้สูงอายุและลูกหลานที่เดินทางกลับภูมิลําเนาและต้องการฉีดวัคซีนหรือครบระยะการรับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อขยายการรับวัคซีนให้มากที่สุด โดยให้กรมควบคุมโรคประสานกับสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดจัดส่งวัคซีนไปให้เพียงพอ ส่วนผู้บริหารในพื้นที่ ทั้งนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อํานวยการโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป ให้อยู่ประจําในพื้นที่เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
“ขอฝากพี่น้องประชาชนในช่วงสงกรานต์นี้ หากตนเองหรือผู้สูงอายุที่บ้านยังไม่ได้รับวัคซีนหรือวัคซีนเข็มกระตุ้น ขอให้ไปฉีดวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่งทั่วประเทศ เนื่องจากผู้ติดเชื้อโควิด 19 ที่เสียชีวิตกว่า 90% เป็นกลุ่ม 608 ซึ่งหากมีการฉีดวัคซีนในกลุ่มนี้ได้มากขึ้น จะช่วยปิดความเสี่ยงและลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นได้” นายอนุทินกล่าว
************************************** 7 เมษายน 2565 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53403 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผยศาลสั่งปิด 50 ยูอาร์แอลประเดิมเปิดสัปดาห์แรกปี 65 | วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565
ดีอีเอส เผยศาลสั่งปิด 50 ยูอาร์แอลประเดิมเปิดสัปดาห์แรกปี 65
ดีอีเอส เผยศาลสั่งปิด 50 ยูอาร์แอลประเดิมเปิดสัปดาห์แรกปี 65
โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมืองเผยประเดิมต้นปี65มีคําสั่งศาลปิดกั้นและลบเนื้อหาผิดกฎหมาย50ยูอาร์แอลย้ํากระทรวงดิจิทัลฯทํางานเชิงรุกต่อเนื่องหวังขจัดปัญหาข้อความเท็จให้หมดจากสังคมโซเชียล
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าจากแนวโน้มปัญหาการโพสต์ข้อความเท็จที่ยังมีการแพร่กระจายบนช่องทางโซเชียลต่างๆจํานวนมากสร้างความตื่นตระหนกความสับสนให้กับประชาชนและกระทบต่อความมั่นคงของชาตินายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯได้เร่งติดตามปัญหาเชิงรุกมีการมอนิเตอร์สถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศทุกวัน
ทั้งนี้สถานการณ์ข่าวปลอมและการดําเนินการตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯระหว่างวันที่27ธ.ค.64 – 2ม.ค.65พบว่ามีการดําเนินการกับผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯจํานวน19ยูอาร์แอลแบ่งเป็นเฟซบุ๊ก11ยูอาร์แอลยูทูบ6ยูอาร์แอลและทวิตเตอร์2ยูอาร์แอล
ทางด้านการดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดดีอีเอสได้ประสานหน่วยงานเจ้าของเรื่องมาร้องทุกข์ดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดแล้วโดยในช่วงสัปดาห์ดังกล่าวศาลสั่งปิดกั้นและลบเนื้อหาที่ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯแล้ว2คําสั่งจํานวน50ยูอาร์แอลโดยเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความมั่นคง
“ขอฝากความห่วงใยให้แก่พี่น้องประชาชนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ให้ระมัดระวังและไตร่ตรองข้อมูลให้รอบด้านหากโพสต์ข้อความที่เป็นเท็จสร้างข่าวปลอมในระบบคอมพิวเตอร์รวมถึงผู้ที่แชร์ข้อความนั้นถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย”นางสาวนพวรรณกล่าว
************ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เผยศาลสั่งปิด 50 ยูอาร์แอลประเดิมเปิดสัปดาห์แรกปี 65
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565
ดีอีเอส เผยศาลสั่งปิด 50 ยูอาร์แอลประเดิมเปิดสัปดาห์แรกปี 65
ดีอีเอส เผยศาลสั่งปิด 50 ยูอาร์แอลประเดิมเปิดสัปดาห์แรกปี 65
โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมืองเผยประเดิมต้นปี65มีคําสั่งศาลปิดกั้นและลบเนื้อหาผิดกฎหมาย50ยูอาร์แอลย้ํากระทรวงดิจิทัลฯทํางานเชิงรุกต่อเนื่องหวังขจัดปัญหาข้อความเท็จให้หมดจากสังคมโซเชียล
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าจากแนวโน้มปัญหาการโพสต์ข้อความเท็จที่ยังมีการแพร่กระจายบนช่องทางโซเชียลต่างๆจํานวนมากสร้างความตื่นตระหนกความสับสนให้กับประชาชนและกระทบต่อความมั่นคงของชาตินายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯได้เร่งติดตามปัญหาเชิงรุกมีการมอนิเตอร์สถานการณ์ทั้งในและต่างประเทศทุกวัน
ทั้งนี้สถานการณ์ข่าวปลอมและการดําเนินการตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯระหว่างวันที่27ธ.ค.64 – 2ม.ค.65พบว่ามีการดําเนินการกับผู้กระทําความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯจํานวน19ยูอาร์แอลแบ่งเป็นเฟซบุ๊ก11ยูอาร์แอลยูทูบ6ยูอาร์แอลและทวิตเตอร์2ยูอาร์แอล
ทางด้านการดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดดีอีเอสได้ประสานหน่วยงานเจ้าของเรื่องมาร้องทุกข์ดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดแล้วโดยในช่วงสัปดาห์ดังกล่าวศาลสั่งปิดกั้นและลบเนื้อหาที่ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯแล้ว2คําสั่งจํานวน50ยูอาร์แอลโดยเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับความมั่นคง
“ขอฝากความห่วงใยให้แก่พี่น้องประชาชนที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์ให้ระมัดระวังและไตร่ตรองข้อมูลให้รอบด้านหากโพสต์ข้อความที่เป็นเท็จสร้างข่าวปลอมในระบบคอมพิวเตอร์รวมถึงผู้ที่แชร์ข้อความนั้นถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย”นางสาวนพวรรณกล่าว
************ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50275 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ชี้แจงการฉีดวัคซีนในเด็ก 5-11 ปี ล็อตแรกมาถึงประเทศไทยพรุ่งนี้ (26 มกราคม 2565) | วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565
ศบค. ชี้แจงการฉีดวัคซีนในเด็ก 5-11 ปี ล็อตแรกมาถึงประเทศไทยพรุ่งนี้ (26 มกราคม 2565)
ศบค. ชี้แจงการฉีดวัคซีนในเด็ก 5-11 ปี ล็อตแรกมาถึงประเทศไทยพรุ่งนี้ (26 มกราคม 2565)
วันนี้ (25 มกราคม 2565) เวลา 12.30 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อํานวยการสํานักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค ในฐานะผู้ช่วยรองโฆษก ศบค. ได้ตอบคําถามสื่อมวลชนในการแถลงข่าวศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ต่อกรณีวัคซีนโควิค – 19 ในเด็ก 5 – 11 ปี
วัคซีนเพื่อใช้กับเด็ก 5 - 11 ปี ได้รับการอนุมัติให้ใช้แล้ว เป็นไฟเซอร์ฝาสีส้มอนุมัติให้ใช้เฉพาะเด็ก ล๊อตแรกจะมาถึงประเทศไทยพรุ่งนี้ วันที่ 26 มกราคม 2565 โดยจะฉีดให้เด็กที่มีโรคประจําตัว 7 กลุ่มโรคก่อน ซึ่งเด็กที่เข้าข่ายการรับวัคซีนจะต้องไปรับวัคซีนที่สถานพยาบาล และล๊อตถัดไปจะเป็นการรับวัคซีนที่สถานศึกษาในทุกจังหวัด ตามที่ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดได้รับการลงทะเบียน โดยจะเริ่มจากเด็ก ป.6 ก่อน แล้วลดหลั่นไปตามระดับชั้น ป.5 ป.4 ลงไป
ทั้งนี้ ขอเน้นย้ําว่า วัคซีนเด็กคือไฟเซอร์ที่ให้ใช้กับเด็กคือไฟเซอร์ฝาสีส้มเท่านั้น ส่วนไฟเซอร์ฝาสีม่วงของผู้ใหญ่ ใช้กับเด็กไม่ได้ โดยในช่วงสัปดาห์แรกหลังรับวัคซีน ขอให้เด็กที่ได้รับวัคซีนไม่ร่วมกิจกรรมที่มีการออกกําลังกายอย่างหนัก เพื่อลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด และเป็นไปตามข้อแนะนําสําหรับการรับวัคซีนในเด็ก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ชี้แจงการฉีดวัคซีนในเด็ก 5-11 ปี ล็อตแรกมาถึงประเทศไทยพรุ่งนี้ (26 มกราคม 2565)
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565
ศบค. ชี้แจงการฉีดวัคซีนในเด็ก 5-11 ปี ล็อตแรกมาถึงประเทศไทยพรุ่งนี้ (26 มกราคม 2565)
ศบค. ชี้แจงการฉีดวัคซีนในเด็ก 5-11 ปี ล็อตแรกมาถึงประเทศไทยพรุ่งนี้ (26 มกราคม 2565)
วันนี้ (25 มกราคม 2565) เวลา 12.30 น. ณ ทําเนียบรัฐบาล พญ.สุมนี วัชรสินธุ์ ผู้อํานวยการสํานักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค ในฐานะผู้ช่วยรองโฆษก ศบค. ได้ตอบคําถามสื่อมวลชนในการแถลงข่าวศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ต่อกรณีวัคซีนโควิค – 19 ในเด็ก 5 – 11 ปี
วัคซีนเพื่อใช้กับเด็ก 5 - 11 ปี ได้รับการอนุมัติให้ใช้แล้ว เป็นไฟเซอร์ฝาสีส้มอนุมัติให้ใช้เฉพาะเด็ก ล๊อตแรกจะมาถึงประเทศไทยพรุ่งนี้ วันที่ 26 มกราคม 2565 โดยจะฉีดให้เด็กที่มีโรคประจําตัว 7 กลุ่มโรคก่อน ซึ่งเด็กที่เข้าข่ายการรับวัคซีนจะต้องไปรับวัคซีนที่สถานพยาบาล และล๊อตถัดไปจะเป็นการรับวัคซีนที่สถานศึกษาในทุกจังหวัด ตามที่ คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดได้รับการลงทะเบียน โดยจะเริ่มจากเด็ก ป.6 ก่อน แล้วลดหลั่นไปตามระดับชั้น ป.5 ป.4 ลงไป
ทั้งนี้ ขอเน้นย้ําว่า วัคซีนเด็กคือไฟเซอร์ที่ให้ใช้กับเด็กคือไฟเซอร์ฝาสีส้มเท่านั้น ส่วนไฟเซอร์ฝาสีม่วงของผู้ใหญ่ ใช้กับเด็กไม่ได้ โดยในช่วงสัปดาห์แรกหลังรับวัคซีน ขอให้เด็กที่ได้รับวัคซีนไม่ร่วมกิจกรรมที่มีการออกกําลังกายอย่างหนัก เพื่อลดผลข้างเคียงให้น้อยที่สุด และเป็นไปตามข้อแนะนําสําหรับการรับวัคซีนในเด็ก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50869 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลย้ำใช้กฎหมาย PDPA เพื่อประโยชน์คุ้มครองกับประชาชน ให้เวลาผู้ประกอบการขนาดเล็กปรับตัว ดีอีเอสเตรียมประกาศกฎหมาย 8 ฉบับผ่อนคลายเกณฑ์สำหรับเอสเอ็มอี | วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2565
รัฐบาลย้ําใช้กฎหมาย PDPA เพื่อประโยชน์คุ้มครองกับประชาชน ให้เวลาผู้ประกอบการขนาดเล็กปรับตัว ดีอีเอสเตรียมประกาศกฎหมาย 8 ฉบับผ่อนคลายเกณฑ์สําหรับเอสเอ็มอี
รัฐบาลย้ําใช้กฎหมาย PDPA เพื่อประโยชน์คุ้มครองกับประชาชน ให้เวลาผู้ประกอบการขนาดเล็กปรับตัว ดีอีเอสเตรียมประกาศกฎหมาย 8 ฉบับผ่อนคลายเกณฑ์สําหรับเอสเอ็มอี คาด 4 ฉบับมีผลบังคับสัปดาห์หน้า
วันที่ 19 มิ.ย. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมาย PDPA ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้เร่งดําเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไปถึงรายละเอียดและประโยชน์ของข้อกฎหมาย
ทั้งนี้ ตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการให้ประชาชนเข้าใจถึงเจตนารมณ์แท้จริงที่กฎหมายมุ่งคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้วยมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันผู้ที่เกี่ยวข้องก็มีภาระในการปฏิบัติตามกฎหมายน้อยที่สุด ให้เวลาในการปรับตัวโดยเฉพาะเอสเอ็มอี
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อให้เป็นไปตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ดีอีเอสได้เตรียมประกาศกฎหมาย 8 ฉบับ ซึ่งจะมีผลผ่อนคลายความเข้มงวดของกฎหมาย PDPA ที่จะบังคับใช้ต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดย 4 ฉบับ เป็นประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งคาดว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับในสัปดาห์หน้า ส่วนอีก 4 ฉบับจะทยอยประกาศภายในเดือนมิ.ย.ต่อไป
“ดีอีเอสกําลังดําเนินการตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ได้กําชับว่าเนื่องจาก PDPA เป็นกฎหมายใหม่สําหรับประเทศไทย ในช่วงเริ่มต้นขอให้เน้นการให้ความรู้ความเข้าใจ ให้ภาระเกิดกับผู้เกี่ยวข้องน้อยที่สุด” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การผลักดันให้กฎหมาย PDPA มีผลบังคับ ให้ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนได้รับความคุ้มครองนี้ จะเป็นส่วนทําให้ประเทศไทยมีกฎหมายที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสําหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลที่ได้มาตรฐานและเป็นสากล จากปัจจุบันไทยมีกฎหมายครอบคลุมเกือบทุกด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA สามารถติดตามข้อมูลด้วยตนเองได้ที่เฟซบุ๊ค PDPC Thailand หรือ โทร 1111 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลย้ำใช้กฎหมาย PDPA เพื่อประโยชน์คุ้มครองกับประชาชน ให้เวลาผู้ประกอบการขนาดเล็กปรับตัว ดีอีเอสเตรียมประกาศกฎหมาย 8 ฉบับผ่อนคลายเกณฑ์สำหรับเอสเอ็มอี
วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน 2565
รัฐบาลย้ําใช้กฎหมาย PDPA เพื่อประโยชน์คุ้มครองกับประชาชน ให้เวลาผู้ประกอบการขนาดเล็กปรับตัว ดีอีเอสเตรียมประกาศกฎหมาย 8 ฉบับผ่อนคลายเกณฑ์สําหรับเอสเอ็มอี
รัฐบาลย้ําใช้กฎหมาย PDPA เพื่อประโยชน์คุ้มครองกับประชาชน ให้เวลาผู้ประกอบการขนาดเล็กปรับตัว ดีอีเอสเตรียมประกาศกฎหมาย 8 ฉบับผ่อนคลายเกณฑ์สําหรับเอสเอ็มอี คาด 4 ฉบับมีผลบังคับสัปดาห์หน้า
วันที่ 19 มิ.ย. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือกฎหมาย PDPA ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 2565 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้เร่งดําเนินการสร้างความรู้ความเข้าใจแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไปถึงรายละเอียดและประโยชน์ของข้อกฎหมาย
ทั้งนี้ ตามนโยบายของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ได้กําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการให้ประชาชนเข้าใจถึงเจตนารมณ์แท้จริงที่กฎหมายมุ่งคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้วยมาตรฐานสากล ขณะเดียวกันผู้ที่เกี่ยวข้องก็มีภาระในการปฏิบัติตามกฎหมายน้อยที่สุด ให้เวลาในการปรับตัวโดยเฉพาะเอสเอ็มอี
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อให้เป็นไปตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ดีอีเอสได้เตรียมประกาศกฎหมาย 8 ฉบับ ซึ่งจะมีผลผ่อนคลายความเข้มงวดของกฎหมาย PDPA ที่จะบังคับใช้ต่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดย 4 ฉบับ เป็นประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งคาดว่าจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับในสัปดาห์หน้า ส่วนอีก 4 ฉบับจะทยอยประกาศภายในเดือนมิ.ย.ต่อไป
“ดีอีเอสกําลังดําเนินการตามแนวนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ได้กําชับว่าเนื่องจาก PDPA เป็นกฎหมายใหม่สําหรับประเทศไทย ในช่วงเริ่มต้นขอให้เน้นการให้ความรู้ความเข้าใจ ให้ภาระเกิดกับผู้เกี่ยวข้องน้อยที่สุด” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า การผลักดันให้กฎหมาย PDPA มีผลบังคับ ให้ข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนได้รับความคุ้มครองนี้ จะเป็นส่วนทําให้ประเทศไทยมีกฎหมายที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสําหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลที่ได้มาตรฐานและเป็นสากล จากปัจจุบันไทยมีกฎหมายครอบคลุมเกือบทุกด้านแล้วไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทําความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ หากประชาชนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับกฎหมาย PDPA สามารถติดตามข้อมูลด้วยตนเองได้ที่เฟซบุ๊ค PDPC Thailand หรือ โทร 1111 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55868 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เยี่ยมชมนิทรรศการ “ออมสินสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสที่ยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่”ขอบคุณ ธ.ออมสินเป็นที่พึ่งให้ประชาชน-ผู้ประกอบการ | วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565
นายกฯ เยี่ยมชมนิทรรศการ “ออมสินสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสที่ยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่”ขอบคุณ ธ.ออมสินเป็นที่พึ่งให้ประชาชน-ผู้ประกอบการ
นายกฯ เยี่ยมชมนิทรรศการ “ออมสินสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสที่ยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่”ขอบคุณ ธ.ออมสินเป็นที่พึ่งให้ประชาชน-ผู้ประกอบการ ปรับเปลี่ยนวิธีประกอบอาชีพให้สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบัน แนะทุกฝ่ายร่วมสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (30 พฤษภาคม 2565) เวลา 08.45 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน และคณะผู้ประกอบการลูกค้าธนาคารออมสิน เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนําเสนอนิทรรศการ “ออมสินสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสที่ยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่” โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมเยี่ยมชมกิจกรรม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการ “ออมสินสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสที่ยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่” ซึ่งเป็นโครงการที่ดําเนินการตามข้อสั่งการของรัฐบาลเรื่องการสร้างงาน สร้างอาชีพ โดยในกลุ่มการสร้างงาน สร้างอาชีพมีกลุ่มย่อย ๆ หลายโครงการ เช่น โครงการสร้างธุรกิจให้กับผู้ประกอบการยุคใหม่ตั้งแต่ในรั้วมหาวิทยาลัย ผ่านโครงการ GSB Smart Startup Company เป็นโครงการที่สนับสนุน ให้นิสิต นักศึกษาที่สนใจ Startup เกิดการเรียนรู้และเสริมสร้างประสบการณ์ในการเป็นนักธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย ถุงเพาะเชื้อเห็ดย่อยสลายได้ (Bio-Plast Mushroom Bags) จากบริษัท สมาร์ทไบโอพลาสติก จํากัด มหาวิทยาลัยศิลปากร ปลาสวยงาม (วิสาหกิจชุมชนบ้านอ้อมพยศ จังหวัดนครปฐม) จาก The Sakana Ville สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ผงโรยข้าวไข่ขาว (Egg White Furikake) จากบริษัท สกาย เนชเชอรัล ฟูดส์ จํากัด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และยังมีผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารออมสิน ประกอบด้วย Barber Truck ช่างตัดผมที่เคยมีร้านแล้วต้องได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้ผันตัวมาเปิดร้านเป็น Barber Truck เพื่ออํานวยความสะดวกเป็นร้านตัดผมเคลื่อนที่ให้บริการลูกค้าได้ถึงบ้าน สร้างรายได้กว่า 3,000-4,000 บาทต่อวัน และร้านกาแฟ รสโปราณ สเตชั่นที่เปิดขายมากว่า 9 ปี โดยเจ้าของร้านได้เข้าร่วมประกวดในโครงการ Street Food เปลี่ยนชีวิตกับธนาคารออมสิน และได้ผ่านเข้ารอบเป็นตัวแทนระดับภาคกลาง ซึ่งปัจจุบันได้ขยายสาขากว่า 9 สาขา และเก๋จัง มะม่วงน้ําปลาหวาน วิศวกรผู้ฝันอยากมีธุรกิจส่วนตัว ได้เห็นแนวทางรถฟู้ดทรัคจากต่างประเทศจึงได้นํามะม่วงน้ําปลาหวานสูตรคุณแม่ ที่มีสูตรเฉพาะตระเวนขายตามศูนย์การค้า ซึ่งได้ผลตอบรับดี จากนั้นเพิ่มช่องทางขายผ่านออนไลน์บนเพจเฟชบุ๊ก ทําให้มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 30% และต่อยอดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐานสากล
ภายหลังการเยี่ยมชมนิทรรศการ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณธนาคารออมสินที่อยู่เคียงข้างและเป็นที่พึ่งให้กับประชาชน มอบความรู้ให้กับผู้ประกอบการให้ปรับเปลี่ยนวิธีการประกอบอาชีพให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงดูแลผู้มีรายได้น้อยให้มีภูมิต้านทานสามารถดําเนินธุรกิจจนมีรายได้เลี้ยงชีพ และไม่เป็นหนี้ ซึ่งโครงการของธนาคารออมสินนั้นสอดคล้องกับ Bio-Circular-Green Economy ที่ในอนาคตประเทศไทยต้องเดินตามโมเดลเศรษฐกิจนี้ และนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการ ขอให้ประสบความสําเร็จ ร่ํารวย และระมัดระวังเรื่องการลงทุน ขอให้เริ่มจากน้อยไปก่อน แล้วค่อยขยับขยายต่อไปในอนาคต โดยถ้าทุกคนทุกฝ่ายร่วมมือกัน สร้างความเข้มแข็งให้กับคนให้กับธุรกิจ เศรษฐกิจของประเทศไทยก็จะมีความเข้มแข็งพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ เยี่ยมชมนิทรรศการ “ออมสินสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสที่ยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่”ขอบคุณ ธ.ออมสินเป็นที่พึ่งให้ประชาชน-ผู้ประกอบการ
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565
นายกฯ เยี่ยมชมนิทรรศการ “ออมสินสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสที่ยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่”ขอบคุณ ธ.ออมสินเป็นที่พึ่งให้ประชาชน-ผู้ประกอบการ
นายกฯ เยี่ยมชมนิทรรศการ “ออมสินสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสที่ยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่”ขอบคุณ ธ.ออมสินเป็นที่พึ่งให้ประชาชน-ผู้ประกอบการ ปรับเปลี่ยนวิธีประกอบอาชีพให้สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบัน แนะทุกฝ่ายร่วมสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจไทย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (30 พฤษภาคม 2565) เวลา 08.45 น. ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ที่ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วยนายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน และคณะผู้ประกอบการลูกค้าธนาคารออมสิน เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนําเสนอนิทรรศการ “ออมสินสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสที่ยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่” โดยมีพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมเยี่ยมชมกิจกรรม
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการ “ออมสินสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างโอกาสที่ยั่งยืน ตามโมเดลเศรษฐกิจใหม่” ซึ่งเป็นโครงการที่ดําเนินการตามข้อสั่งการของรัฐบาลเรื่องการสร้างงาน สร้างอาชีพ โดยในกลุ่มการสร้างงาน สร้างอาชีพมีกลุ่มย่อย ๆ หลายโครงการ เช่น โครงการสร้างธุรกิจให้กับผู้ประกอบการยุคใหม่ตั้งแต่ในรั้วมหาวิทยาลัย ผ่านโครงการ GSB Smart Startup Company เป็นโครงการที่สนับสนุน ให้นิสิต นักศึกษาที่สนใจ Startup เกิดการเรียนรู้และเสริมสร้างประสบการณ์ในการเป็นนักธุรกิจ ซึ่งประกอบด้วย ถุงเพาะเชื้อเห็ดย่อยสลายได้ (Bio-Plast Mushroom Bags) จากบริษัท สมาร์ทไบโอพลาสติก จํากัด มหาวิทยาลัยศิลปากร ปลาสวยงาม (วิสาหกิจชุมชนบ้านอ้อมพยศ จังหวัดนครปฐม) จาก The Sakana Ville สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ ผงโรยข้าวไข่ขาว (Egg White Furikake) จากบริษัท สกาย เนชเชอรัล ฟูดส์ จํากัด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และยังมีผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารออมสิน ประกอบด้วย Barber Truck ช่างตัดผมที่เคยมีร้านแล้วต้องได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ได้ผันตัวมาเปิดร้านเป็น Barber Truck เพื่ออํานวยความสะดวกเป็นร้านตัดผมเคลื่อนที่ให้บริการลูกค้าได้ถึงบ้าน สร้างรายได้กว่า 3,000-4,000 บาทต่อวัน และร้านกาแฟ รสโปราณ สเตชั่นที่เปิดขายมากว่า 9 ปี โดยเจ้าของร้านได้เข้าร่วมประกวดในโครงการ Street Food เปลี่ยนชีวิตกับธนาคารออมสิน และได้ผ่านเข้ารอบเป็นตัวแทนระดับภาคกลาง ซึ่งปัจจุบันได้ขยายสาขากว่า 9 สาขา และเก๋จัง มะม่วงน้ําปลาหวาน วิศวกรผู้ฝันอยากมีธุรกิจส่วนตัว ได้เห็นแนวทางรถฟู้ดทรัคจากต่างประเทศจึงได้นํามะม่วงน้ําปลาหวานสูตรคุณแม่ ที่มีสูตรเฉพาะตระเวนขายตามศูนย์การค้า ซึ่งได้ผลตอบรับดี จากนั้นเพิ่มช่องทางขายผ่านออนไลน์บนเพจเฟชบุ๊ก ทําให้มีรายได้เพิ่มขึ้นกว่า 30% และต่อยอดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีมาตรฐานสากล
ภายหลังการเยี่ยมชมนิทรรศการ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณธนาคารออมสินที่อยู่เคียงข้างและเป็นที่พึ่งให้กับประชาชน มอบความรู้ให้กับผู้ประกอบการให้ปรับเปลี่ยนวิธีการประกอบอาชีพให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน รวมถึงดูแลผู้มีรายได้น้อยให้มีภูมิต้านทานสามารถดําเนินธุรกิจจนมีรายได้เลี้ยงชีพ และไม่เป็นหนี้ ซึ่งโครงการของธนาคารออมสินนั้นสอดคล้องกับ Bio-Circular-Green Economy ที่ในอนาคตประเทศไทยต้องเดินตามโมเดลเศรษฐกิจนี้ และนายกรัฐมนตรียังได้กล่าวแสดงความยินดีกับผู้ประกอบการ ขอให้ประสบความสําเร็จ ร่ํารวย และระมัดระวังเรื่องการลงทุน ขอให้เริ่มจากน้อยไปก่อน แล้วค่อยขยับขยายต่อไปในอนาคต โดยถ้าทุกคนทุกฝ่ายร่วมมือกัน สร้างความเข้มแข็งให้กับคนให้กับธุรกิจ เศรษฐกิจของประเทศไทยก็จะมีความเข้มแข็งพร้อมที่จะเดินหน้าต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55156 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ยกระดับมาตรฐานงานทางเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่ง | วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565
กรมทางหลวงชนบท ยกระดับมาตรฐานงานทางเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่ง
ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เสริมผิวจราจรสาย สข.4040 จังหวัดสงขลา คืบหน้ากว่า 60%
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยแขวงทางหลวงชนบทสงขลา ดําเนินโครงการเสริมผิวจราจรบนถนนทางหลวงชนบทสาย สข.4040 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4135 - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4145 อําเภอหาดใหญ่ คลองหอยโข่ง และสะเดา จังหวัดสงขลา โดยการปูผิวจราจรแบบแอสฟัลท์คอนกรีต รวมระยะทาง 2.35 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่งให้กับประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางที่ไปบรรจบกับถนนสายหลัก ซึ่งเชื่อมต่อไปยังอําเภอหาดใหญ่ ท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ และมีพื้นที่ผ่านบริเวณชุมชนตลอดแนวเส้นทาง ปัจจุบันมีความคืบหน้าการดําเนินงานไปแล้วกว่าร้อยละ 60 และคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นการยกระดับมาตรฐานงานทางในโครงข่าย ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความสะดวกและปลอดภัยในการสัญจรให้กับผู้ใช้เส้นทาง | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท ยกระดับมาตรฐานงานทางเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่ง
วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565
กรมทางหลวงชนบท ยกระดับมาตรฐานงานทางเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่ง
ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เสริมผิวจราจรสาย สข.4040 จังหวัดสงขลา คืบหน้ากว่า 60%
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยแขวงทางหลวงชนบทสงขลา ดําเนินโครงการเสริมผิวจราจรบนถนนทางหลวงชนบทสาย สข.4040 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4135 - บรรจบทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4145 อําเภอหาดใหญ่ คลองหอยโข่ง และสะเดา จังหวัดสงขลา โดยการปูผิวจราจรแบบแอสฟัลท์คอนกรีต รวมระยะทาง 2.35 กิโลเมตร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความปลอดภัยในการเดินทางและการขนส่งให้กับประชาชนในพื้นที่ เนื่องจากเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางที่ไปบรรจบกับถนนสายหลัก ซึ่งเชื่อมต่อไปยังอําเภอหาดใหญ่ ท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่ และมีพื้นที่ผ่านบริเวณชุมชนตลอดแนวเส้นทาง ปัจจุบันมีความคืบหน้าการดําเนินงานไปแล้วกว่าร้อยละ 60 และคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นการยกระดับมาตรฐานงานทางในโครงข่าย ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความสะดวกและปลอดภัยในการสัญจรให้กับผู้ใช้เส้นทาง | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51646 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ติดตามการรักษาโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอก “เจอ-แจก-จบ” วันแรก ที่ รพ.ราชวิถี | วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565
ปลัด สธ. ติดตามการรักษาโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอก “เจอ-แจก-จบ” วันแรก ที่ รพ.ราชวิถี
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่โรงพยาบาลราชวิถี ตรวจเยี่ยมการจัดบริการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอก “เจอ-แจก-จบ” ซึ่งเริ่มเป็นวันแรก
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่โรงพยาบาลราชวิถี ตรวจเยี่ยมการจัดบริการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอก “เจอ-แจก-จบ” ซึ่งเริ่มเป็นวันแรก แนะผล ATK เป็นบวก ติดต่อผ่าน 1330 เบอร์โรงพยาบาล หรือมาคลินิกโรคทางเดินหายใจในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ เพื่อรับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ ย้ํากลุ่มไม่มีอาการรักษาที่บ้าน โอกาสเปลี่ยนเป็นอาการรุนแรงขึ้นไม่ถึง 1%
วันนี้ (1 มีนาคม 2565) ที่โรงพยาบาลราชวิถี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และ นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลราชวิถี ตรวจเยี่ยมการให้บริการผู้ติดเชื้อโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอก (OPD) ด้วยความสมัครใจ หรือ “เจอ-แจก-จบ” ที่คลินิกโรคทางเดินหายใจ (ARI Clinic) โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเริ่มให้บริการวันนี้เป็นวันแรก
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 สามารถตรวจ ATK ด้วยตนเองที่บ้าน หรือมาตรวจที่คลินิกโรคทางเดินหายใจ (ARI Clinic) ซึ่งมีในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง หากพบผลเป็นบวก แพทย์จะพิจารณาความเสี่ยงและโรคประจําตัว หากไม่มีความเสี่ยงจะให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอกและกลับไปแยกกักตัวที่บ้าน ซึ่งเป็นไปตามความสมัครใจ โดยได้รับยาตามระดับอาการ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มยาตามอาการ เช่น ลดไข้ แก้ไอ เจ็บคอ ขับเสมหะ เป็นต้น, ยาฟ้าทะลายโจร และยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ และจะติดตามอาการหลังครบ 48 ชั่วโมง เรียกว่า เจอ-แจก-จบ หมายถึง เมื่อเจอว่าติดเชื้อ จะแจกยา แจกเอกสารให้ความรู้การกักตัวเองที่บ้าน (Self Isolation) ข้อแนะนําการรับประทานยาและผลข้างเคียง และจบด้วยการลงทะเบียนอยู่ในระบบบริการหรือรับไว้ดูแลแบบครบวงจร
สําหรับการจัดบริการของโรงพยาบาลราชวิถี มีระบบอย่างดีไม่ให้เกิดความแออัด เมื่อผู้ติดเชื้อสมัครใจเข้ารับการดูแลแบบผู้ป่วยนอกจะส่งไปยังศูนย์ HI/CI ของโรงพยาบาล เพื่อลงทะเบียนรับการติดตามอาการ พร้อมให้คิวอาร์โคดไปรับยาผ่านตู้จ่ายยาอัตโนมัติเพื่อลดการสัมผัส ทั้งนี้ ผู้ที่มีผลตรวจ ATK เป็นบวกแล้ว สามารถโทรสายด่วน 1330 หรือเบอร์โทรศัพท์โรงพยาบาล เพื่อรับการประเมินดูแลได้ แต่หากมีความจําเป็นหรือเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงและต้องการเดินทางมาตรวจที่โรงพยาบาล ขอให้ยึดหลักป้องกันตนเอง (Universal Prevention) โดยใส่หน้ากากตลอดเวลา หากมีอาการป่วยอาจใส่ 2 ชั้นเพื่อเพิ่มการป้องกัน รักษาระยะห่างจากคนอื่น ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานสําหรับทุกคนไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ป่วย
“เราวางแผนในการบริหารจัดการโรคโควิด 19 ในแนวทางที่กําลังเข้าสู่การเป็นโรคประจําถิ่น ซึ่งปัจจุบันเป็นสายพันธุ์โอมิครอนที่มีความรุนแรงน้อย ผู้ติดเชื้อกว่า 95% ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย ต่างจากสายพันธุ์เดลตาที่ผู้ป่วยอาการเปลี่ยนแปลงจากสีเขียวเป็นสีเหลืองได้มาก แต่สายพันธุ์โอมิครอนเบื้องต้นพบว่าอาการเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง น้อยกว่า 1% ซึ่งหากผู้ป่วยที่แยกกักที่บ้านมีอาการเพิ่มขึ้นก็สามารถติดต่อกลับมาโรงพยาบาลได้ เพราะมีการลงทะเบียนไว้แล้ว” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ในพื้นที่ กทม. โรงพยาบาลทุกสังกัดมีคลินิกโรคทางเดินหายใจเช่นกัน หากผล ATK เป็นบวก ขอให้โทรสายด่วน 1330 หรือเบอร์โทรศูนย์บริการสาธารณสุข กทม.ในเขตที่ตนอาศัยก่อน เพื่อรับบริการให้คําปรึกษาและขึ้นทะเบียนรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยไม่ต้องเดินทางมาที่โรงพยาบาล และได้ประสานกับเลขาธิการ สปสช. ในการนําระบบ Auto Screening มาช่วยคัดกรองอาการ ทั้งนี้ บริการรักษาแบบผู้ป่วยนอก ไม่ได้นํามาใช้ทดแทนระบบ HI/CI แต่เป็นบริการเสริมหรือทางเลือกสําหรับผู้ติดเชื้อที่สบายดี ไม่มีอาการ ไม่มีภาวะเสี่ยง และสมัครใจรักษาที่บ้าน ช่วยลดภาระเจ้าหน้าที่ที่ไม่ต้องติดตามอาการทุกวัน
ด้าน นพ.จินดา กล่าวว่า คลินิกโรคทางเดินหายใจ โรงพยาบาลราชวิถี มีผู้ป่วยมารับบริการวันละ 150-250 ราย ส่วนใหญ่มีอาการของระบบทางเดินหายใจและสงสัยโควิด 19 ซึ่งตรวจพบประมาณ 60-70% และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย เจ้าหน้าที่จะให้คําแนะนําและคัดกรองความเสี่ยงอื่นๆ เพื่อจัดบริการให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มและจ่ายยาตามการประเมินของแพทย์
************************************** 1 มีนาคม 2565 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ. ติดตามการรักษาโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอก “เจอ-แจก-จบ” วันแรก ที่ รพ.ราชวิถี
วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565
ปลัด สธ. ติดตามการรักษาโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอก “เจอ-แจก-จบ” วันแรก ที่ รพ.ราชวิถี
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่โรงพยาบาลราชวิถี ตรวจเยี่ยมการจัดบริการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอก “เจอ-แจก-จบ” ซึ่งเริ่มเป็นวันแรก
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่โรงพยาบาลราชวิถี ตรวจเยี่ยมการจัดบริการรักษาผู้ติดเชื้อโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอก “เจอ-แจก-จบ” ซึ่งเริ่มเป็นวันแรก แนะผล ATK เป็นบวก ติดต่อผ่าน 1330 เบอร์โรงพยาบาล หรือมาคลินิกโรคทางเดินหายใจในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ เพื่อรับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกได้ ย้ํากลุ่มไม่มีอาการรักษาที่บ้าน โอกาสเปลี่ยนเป็นอาการรุนแรงขึ้นไม่ถึง 1%
วันนี้ (1 มีนาคม 2565) ที่โรงพยาบาลราชวิถี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และ นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อํานวยการโรงพยาบาลราชวิถี ตรวจเยี่ยมการให้บริการผู้ติดเชื้อโควิด 19 แบบผู้ป่วยนอก (OPD) ด้วยความสมัครใจ หรือ “เจอ-แจก-จบ” ที่คลินิกโรคทางเดินหายใจ (ARI Clinic) โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเริ่มให้บริการวันนี้เป็นวันแรก
นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อโควิด 19 สามารถตรวจ ATK ด้วยตนเองที่บ้าน หรือมาตรวจที่คลินิกโรคทางเดินหายใจ (ARI Clinic) ซึ่งมีในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกแห่ง หากพบผลเป็นบวก แพทย์จะพิจารณาความเสี่ยงและโรคประจําตัว หากไม่มีความเสี่ยงจะให้การรักษาแบบผู้ป่วยนอกและกลับไปแยกกักตัวที่บ้าน ซึ่งเป็นไปตามความสมัครใจ โดยได้รับยาตามระดับอาการ 3 กลุ่ม คือ กลุ่มยาตามอาการ เช่น ลดไข้ แก้ไอ เจ็บคอ ขับเสมหะ เป็นต้น, ยาฟ้าทะลายโจร และยาต้านไวรัสฟาวิพิราเวียร์ และจะติดตามอาการหลังครบ 48 ชั่วโมง เรียกว่า เจอ-แจก-จบ หมายถึง เมื่อเจอว่าติดเชื้อ จะแจกยา แจกเอกสารให้ความรู้การกักตัวเองที่บ้าน (Self Isolation) ข้อแนะนําการรับประทานยาและผลข้างเคียง และจบด้วยการลงทะเบียนอยู่ในระบบบริการหรือรับไว้ดูแลแบบครบวงจร
สําหรับการจัดบริการของโรงพยาบาลราชวิถี มีระบบอย่างดีไม่ให้เกิดความแออัด เมื่อผู้ติดเชื้อสมัครใจเข้ารับการดูแลแบบผู้ป่วยนอกจะส่งไปยังศูนย์ HI/CI ของโรงพยาบาล เพื่อลงทะเบียนรับการติดตามอาการ พร้อมให้คิวอาร์โคดไปรับยาผ่านตู้จ่ายยาอัตโนมัติเพื่อลดการสัมผัส ทั้งนี้ ผู้ที่มีผลตรวจ ATK เป็นบวกแล้ว สามารถโทรสายด่วน 1330 หรือเบอร์โทรศัพท์โรงพยาบาล เพื่อรับการประเมินดูแลได้ แต่หากมีความจําเป็นหรือเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงและต้องการเดินทางมาตรวจที่โรงพยาบาล ขอให้ยึดหลักป้องกันตนเอง (Universal Prevention) โดยใส่หน้ากากตลอดเวลา หากมีอาการป่วยอาจใส่ 2 ชั้นเพื่อเพิ่มการป้องกัน รักษาระยะห่างจากคนอื่น ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานสําหรับทุกคนไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ป่วย
“เราวางแผนในการบริหารจัดการโรคโควิด 19 ในแนวทางที่กําลังเข้าสู่การเป็นโรคประจําถิ่น ซึ่งปัจจุบันเป็นสายพันธุ์โอมิครอนที่มีความรุนแรงน้อย ผู้ติดเชื้อกว่า 95% ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อย ต่างจากสายพันธุ์เดลตาที่ผู้ป่วยอาการเปลี่ยนแปลงจากสีเขียวเป็นสีเหลืองได้มาก แต่สายพันธุ์โอมิครอนเบื้องต้นพบว่าอาการเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลือง น้อยกว่า 1% ซึ่งหากผู้ป่วยที่แยกกักที่บ้านมีอาการเพิ่มขึ้นก็สามารถติดต่อกลับมาโรงพยาบาลได้ เพราะมีการลงทะเบียนไว้แล้ว” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า ในพื้นที่ กทม. โรงพยาบาลทุกสังกัดมีคลินิกโรคทางเดินหายใจเช่นกัน หากผล ATK เป็นบวก ขอให้โทรสายด่วน 1330 หรือเบอร์โทรศูนย์บริการสาธารณสุข กทม.ในเขตที่ตนอาศัยก่อน เพื่อรับบริการให้คําปรึกษาและขึ้นทะเบียนรักษาแบบผู้ป่วยนอก โดยไม่ต้องเดินทางมาที่โรงพยาบาล และได้ประสานกับเลขาธิการ สปสช. ในการนําระบบ Auto Screening มาช่วยคัดกรองอาการ ทั้งนี้ บริการรักษาแบบผู้ป่วยนอก ไม่ได้นํามาใช้ทดแทนระบบ HI/CI แต่เป็นบริการเสริมหรือทางเลือกสําหรับผู้ติดเชื้อที่สบายดี ไม่มีอาการ ไม่มีภาวะเสี่ยง และสมัครใจรักษาที่บ้าน ช่วยลดภาระเจ้าหน้าที่ที่ไม่ต้องติดตามอาการทุกวัน
ด้าน นพ.จินดา กล่าวว่า คลินิกโรคทางเดินหายใจ โรงพยาบาลราชวิถี มีผู้ป่วยมารับบริการวันละ 150-250 ราย ส่วนใหญ่มีอาการของระบบทางเดินหายใจและสงสัยโควิด 19 ซึ่งตรวจพบประมาณ 60-70% และส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย เจ้าหน้าที่จะให้คําแนะนําและคัดกรองความเสี่ยงอื่นๆ เพื่อจัดบริการให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มและจ่ายยาตามการประเมินของแพทย์
************************************** 1 มีนาคม 2565 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52090 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ARV จับมือ กรุงไทย ลงนามเริ่มทดสอบระบบ National Corporate Identification (NCID) พลิกโฉม Corporate KYC เป็นรูปแบบดิจิทัล เพื่อการเปิดบัญชีนิติบุคคลครั้งแรกในอาเซียน | วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2565
ARV จับมือ กรุงไทย ลงนามเริ่มทดสอบระบบ National Corporate Identification (NCID) พลิกโฉม Corporate KYC เป็นรูปแบบดิจิทัล เพื่อการเปิดบัญชีนิติบุคคลครั้งแรกในอาเซียน
เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส (ARV) จับมือกับกรุงไทย ลงนามความร่วมมือทดสอบระบบ NCID ที่เป็นนวัตกรรม Digital lD และE-document ซึ่งประกอบไปด้วย eSignature และ e-POA โดยการใช้เทคโนโลยีที่ ARV พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยนิติบุคคลในการเตรียมลงนามเอกสารดิจิทัล
เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส (ARV) ผู้นําด้านการพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ของไทย ในเครือบริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. จับมือกับ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สถาบันการเงินชั้นนําของประเทศ ลงนามความร่วมมือทดสอบระบบ National Corporate Identification หรือ NCID ที่เป็นนวัตกรรม Digital lD และE-document ซึ่งประกอบไปด้วย eSignature และ e-POA (electronic power of attorney) โดยการใช้เทคโนโลยีที่ ARV พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยนิติบุคคลในการเตรียมลงนามเอกสารดิจิทัล ตรวจสอบตัวตน อํานาจ และลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ของผู้ลงนามด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่ล้ําหน้าที่สุดในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) ซึ่งจะช่วยยกระดับการทําธุรกรรมแบบเดิมระหว่างนิติบุคคล อาทิ บริษัทฯ และธนาคารพาณิชย์ ในการดําเนินกระบวนการ KYC ลดความยุ่งยากในการเริ่มทําธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเอกสารลงนามจํานวนมาก ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น น่าเชื่อถือ ปลอดภัย อีกทั้ง ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจระหว่างนิติบุคคลและธนาคารพาณิชย์ได้มากขึ้น
สําหรับพิธีลงนามในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.ธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส (ARV) และคุณวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ร่วมลงนามในข้อตกลงร่วมมือ พร้อมได้รับเกียรติจากนายสัมฤทธิ์ สําเนียง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ร่วมแสดงความยินดีและเป็นสักขีพยาน ณ บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จํากัด อาคารภิรัชทาวเวอร์ สาทรใต้
ดร. ธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส (ARV) กล่าวว่า “ปัจจุบันการทําธุรกรรมระหว่างนิติบุคคลในประเทศไทยกับธนาคารพาณิชย์ยังคงมีข้อจํากัดหลายประการ เช่น มีเอกสารในรูปแบบกระดาษที่ซ้ําซ้อนจํานวนมาก ไม่สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของลายมือชื่อและอํานาจของผู้ลงนาม รวมถึง ยังไม่มีระบบในการบริหารจัดการเอกสารที่มีประสิทธิภาพน่าเชื่อถือ ที่จะช่วยให้การดําเนินการแล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็วภายในระบบเดียวกัน”
“ARV เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานธุรกิจที่ชื่อว่า BIND (Bridging, Identity, Network and Data) พัฒนาแพลตฟอร์ม National Corporate Identification หรือ NCID ขึ้น โดยการนําเทคโนโลยีและหลักการ Web 3.0 มาใช้ ได้แก่ SSI, interoperability, blockchain, cryptography ซึ่งเป็นทั้งนวัตกรรมเพื่อยกระดับ Digital Transformation และ Cybersecurity มาเปลี่ยนรูปแบบของการดําเนินการที่อยู่ในรูปแบบเอกสารกระดาษ ให้เป็นรูปแบบดิจิทัลที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ซึ่งจะทําให้การดําเนินธุรกิจระหว่างองค์กรเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยลดระยะเวลาดําเนินงาน อีกทั้ง ยังมั่นใจได้ในเรื่องความถูกต้องปลอดภัยของข้อมูล ช่วยให้การดําเนินธุรกิจระหว่างนิติบุคคลและธนาคารเป็นในรูปแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยล่าสุดบริษัทได้ลงนามความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ในฐานะธนาคารพาณิชย์รายแรกที่เข้าร่วมทดสอบดําเนินธุรกรรมจริงบนแพลตฟอร์ม NCID ภายใต้ Digital Service Sandbox ภายใต้การกํากับดูแลของสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ในการทํา Digital Corporate KYC สําหรับการเปิดบัญชีนิติบุคคลครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทแม่ของ ARV อย่าง ปตท.สผ. และ สพธอ. ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสําคัญสู่การยกระดับการทําธุรกรรมระหว่างนิติบุคคลของไทยกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อการพัฒนาต่อยอดและรองรับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในโลกอนาคตอย่างสมบูรณ์” ดร. ธนา กล่าวเสริม
นายธวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เปิดเผยเกี่ยวกับการนําระบบ NCID มาใช้ในการทําธุรกรรมในฐานะพันธมิตร รายแรกว่า ความร่วมมือระหว่างธนาคารและ บริษัท ARV ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยระบบ NCID เป็นการพลิกโฉมการทําธุรกรรมทางการเงินสําหรับภาคธุรกิจของประเทศไทย ด้วยการนํานวัตกรรม E-Document และ Digital ID Solution สําหรับนิติบุคคล มาเพิ่มประสิทธิภาพในการเตรียมเอกสาร การลงลายชื่อ และการประทับตราในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้กับภาคธุรกิจ รวมถึงช่วยในการพิสูจน์ตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (digital corporate KYC) และการตรวจสอบการลงนามของธนาคาร มีความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นการยกระดับการทําธุรกรรมให้มีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล เป็นการทํางานร่วมกันโดยตรง ระหว่างนิติบุคคล เช่น บริษัท องค์กร กับธนาคารพาณิชย์ ทําให้ลดระยะเวลาและขั้นตอนในการทําธุรกรรม และตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารต่างๆ ซึ่งกรุงไทยเป็นธนาคารแรกที่นําระบบ NCID มาใช้ในการเปิดบัญชีนิติบุคลให้กับบริษัท ARV โดยมีแผนจะขยายความร่วมมือไปยังบริษัทอื่นๆ ในเครือปตท.ต่อไป
“ธนาคารกรุงไทยจะเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาบริการทางการเงินให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มให้ดีขึ้นในทุกวัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนคนไทยทุกคน พร้อมเป็นส่วนสําคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยให้แข็งแกร่ง ภายใต้โลกธุรกิจยุคใหม่ที่มุ่งสู่ดิจิทัลมากขึ้น ภายใต้แนวคิด ติดปีกไทยสู่ความยั่งยืน Empower Better Life for All Thais”
ด้านนายสัมฤทธิ์ สําเนียง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวถึงความสําเร็จของการร่วมมือทดสอบธุรกรรมดิจิทัลในครั้งนี้ว่า “ปตท.สผ. ในฐานะบริษัทแม่ของ ARV ยินดีเป็นอย่างยิ่งกับความสําเร็จอีกขั้นของโครงการ NCID ซึ่งเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ ปตท.สผ. รวมถึง บริษัทอื่นๆ ในภาคธุรกิจระดับองค์กรและธนาคารพาณิชย์ที่ต้องเผชิญกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน ปตท.สผ. เชื่อมั่นว่าระบบ NCID จะช่วยพลิกโฉมกระบวนการจัดการเอกสารลงนามต่างๆ เพื่อให้การทําธุรกรรมทางการเงินระหว่างนิติบุคคลกับธนาคารสะดวกมากยิ่งขึ้น และเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสําคัญหลักที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกรรมให้กับภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลาและทรัพยากร รวมถึง ยกระดับความปลอดภัยของเอกสารและสร้างความเชื่อมั่นในการทําธุรกรรมได้ด้วยระบบดิจิทัล 100%”
จากความร่วมมือดังกล่าว ธนาคารกรุงไทยได้มีการดําเนินการ digital corporate KYC กับบริษัทในกลุ่ม ปตท.สผ. ผ่านระบบ NCID เพื่อการเปิดบัญชีนิติบุคคล เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งความสําเร็จครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดบัญชีนิติบุคคลในรูปแบบดิจิทัลด้วยระบบ NCID เป็นครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) อีกด้วย
ทั้งนี้ ARV ยังมีความมุ่งมั่นที่สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อการพัฒนาต่อยอดโครงการ NCID และร่วมสร้างความเป็นไปได้ไม่แบบรู้จบในอนาคต โดย ARV ยินดีเปิดรับองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน โดยองค์กรที่สนใจสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเบอร์โทรศัพท์ 02 078 4000 หรืออีเมล Bind.sales@arv.co.th | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ARV จับมือ กรุงไทย ลงนามเริ่มทดสอบระบบ National Corporate Identification (NCID) พลิกโฉม Corporate KYC เป็นรูปแบบดิจิทัล เพื่อการเปิดบัญชีนิติบุคคลครั้งแรกในอาเซียน
วันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 2565
ARV จับมือ กรุงไทย ลงนามเริ่มทดสอบระบบ National Corporate Identification (NCID) พลิกโฉม Corporate KYC เป็นรูปแบบดิจิทัล เพื่อการเปิดบัญชีนิติบุคคลครั้งแรกในอาเซียน
เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส (ARV) จับมือกับกรุงไทย ลงนามความร่วมมือทดสอบระบบ NCID ที่เป็นนวัตกรรม Digital lD และE-document ซึ่งประกอบไปด้วย eSignature และ e-POA โดยการใช้เทคโนโลยีที่ ARV พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยนิติบุคคลในการเตรียมลงนามเอกสารดิจิทัล
เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส (ARV) ผู้นําด้านการพัฒนาและให้บริการเทคโนโลยีหุ่นยนต์ และปัญญาประดิษฐ์ของไทย ในเครือบริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. จับมือกับ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) สถาบันการเงินชั้นนําของประเทศ ลงนามความร่วมมือทดสอบระบบ National Corporate Identification หรือ NCID ที่เป็นนวัตกรรม Digital lD และE-document ซึ่งประกอบไปด้วย eSignature และ e-POA (electronic power of attorney) โดยการใช้เทคโนโลยีที่ ARV พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยนิติบุคคลในการเตรียมลงนามเอกสารดิจิทัล ตรวจสอบตัวตน อํานาจ และลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ของผู้ลงนามด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงที่ล้ําหน้าที่สุดในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) ซึ่งจะช่วยยกระดับการทําธุรกรรมแบบเดิมระหว่างนิติบุคคล อาทิ บริษัทฯ และธนาคารพาณิชย์ ในการดําเนินกระบวนการ KYC ลดความยุ่งยากในการเริ่มทําธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับเอกสารลงนามจํานวนมาก ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น น่าเชื่อถือ ปลอดภัย อีกทั้ง ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจระหว่างนิติบุคคลและธนาคารพาณิชย์ได้มากขึ้น
สําหรับพิธีลงนามในครั้งนี้ ได้รับเกียรติจาก ดร.ธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส (ARV) และคุณวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ร่วมลงนามในข้อตกลงร่วมมือ พร้อมได้รับเกียรติจากนายสัมฤทธิ์ สําเนียง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชี บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. ร่วมแสดงความยินดีและเป็นสักขีพยาน ณ บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส จํากัด อาคารภิรัชทาวเวอร์ สาทรใต้
ดร. ธนา สราญเวทย์พันธุ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอไอ แอนด์ โรโบติกส์ เวนเจอร์ส (ARV) กล่าวว่า “ปัจจุบันการทําธุรกรรมระหว่างนิติบุคคลในประเทศไทยกับธนาคารพาณิชย์ยังคงมีข้อจํากัดหลายประการ เช่น มีเอกสารในรูปแบบกระดาษที่ซ้ําซ้อนจํานวนมาก ไม่สามารถตรวจสอบความน่าเชื่อถือของลายมือชื่อและอํานาจของผู้ลงนาม รวมถึง ยังไม่มีระบบในการบริหารจัดการเอกสารที่มีประสิทธิภาพน่าเชื่อถือ ที่จะช่วยให้การดําเนินการแล้วเสร็จได้อย่างรวดเร็วภายในระบบเดียวกัน”
“ARV เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานธุรกิจที่ชื่อว่า BIND (Bridging, Identity, Network and Data) พัฒนาแพลตฟอร์ม National Corporate Identification หรือ NCID ขึ้น โดยการนําเทคโนโลยีและหลักการ Web 3.0 มาใช้ ได้แก่ SSI, interoperability, blockchain, cryptography ซึ่งเป็นทั้งนวัตกรรมเพื่อยกระดับ Digital Transformation และ Cybersecurity มาเปลี่ยนรูปแบบของการดําเนินการที่อยู่ในรูปแบบเอกสารกระดาษ ให้เป็นรูปแบบดิจิทัลที่สะดวก รวดเร็ว ปลอดภัยและเชื่อถือได้ ซึ่งจะทําให้การดําเนินธุรกิจระหว่างองค์กรเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยลดระยะเวลาดําเนินงาน อีกทั้ง ยังมั่นใจได้ในเรื่องความถูกต้องปลอดภัยของข้อมูล ช่วยให้การดําเนินธุรกิจระหว่างนิติบุคคลและธนาคารเป็นในรูปแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ โดยล่าสุดบริษัทได้ลงนามความร่วมมือกับธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ในฐานะธนาคารพาณิชย์รายแรกที่เข้าร่วมทดสอบดําเนินธุรกรรมจริงบนแพลตฟอร์ม NCID ภายใต้ Digital Service Sandbox ภายใต้การกํากับดูแลของสํานักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) ในการทํา Digital Corporate KYC สําหรับการเปิดบัญชีนิติบุคคลครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทแม่ของ ARV อย่าง ปตท.สผ. และ สพธอ. ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสําคัญสู่การยกระดับการทําธุรกรรมระหว่างนิติบุคคลของไทยกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อการพัฒนาต่อยอดและรองรับการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในโลกอนาคตอย่างสมบูรณ์” ดร. ธนา กล่าวเสริม
นายธวัชชัย ชีวานนท์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารจัดการทางการเงินเพื่อธุรกิจ ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) เปิดเผยเกี่ยวกับการนําระบบ NCID มาใช้ในการทําธุรกรรมในฐานะพันธมิตร รายแรกว่า ความร่วมมือระหว่างธนาคารและ บริษัท ARV ในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทั้งสององค์กรในการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย โดยระบบ NCID เป็นการพลิกโฉมการทําธุรกรรมทางการเงินสําหรับภาคธุรกิจของประเทศไทย ด้วยการนํานวัตกรรม E-Document และ Digital ID Solution สําหรับนิติบุคคล มาเพิ่มประสิทธิภาพในการเตรียมเอกสาร การลงลายชื่อ และการประทับตราในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ให้กับภาคธุรกิจ รวมถึงช่วยในการพิสูจน์ตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (digital corporate KYC) และการตรวจสอบการลงนามของธนาคาร มีความสะดวก รวดเร็ว ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นการยกระดับการทําธุรกรรมให้มีความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล เป็นการทํางานร่วมกันโดยตรง ระหว่างนิติบุคคล เช่น บริษัท องค์กร กับธนาคารพาณิชย์ ทําให้ลดระยะเวลาและขั้นตอนในการทําธุรกรรม และตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารต่างๆ ซึ่งกรุงไทยเป็นธนาคารแรกที่นําระบบ NCID มาใช้ในการเปิดบัญชีนิติบุคลให้กับบริษัท ARV โดยมีแผนจะขยายความร่วมมือไปยังบริษัทอื่นๆ ในเครือปตท.ต่อไป
“ธนาคารกรุงไทยจะเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาบริการทางการเงินให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มให้ดีขึ้นในทุกวัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตลอดจนประชาชนคนไทยทุกคน พร้อมเป็นส่วนสําคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของภาคธุรกิจไทยให้แข็งแกร่ง ภายใต้โลกธุรกิจยุคใหม่ที่มุ่งสู่ดิจิทัลมากขึ้น ภายใต้แนวคิด ติดปีกไทยสู่ความยั่งยืน Empower Better Life for All Thais”
ด้านนายสัมฤทธิ์ สําเนียง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สํารวจและผลิตปิโตรเลียม จํากัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวถึงความสําเร็จของการร่วมมือทดสอบธุรกรรมดิจิทัลในครั้งนี้ว่า “ปตท.สผ. ในฐานะบริษัทแม่ของ ARV ยินดีเป็นอย่างยิ่งกับความสําเร็จอีกขั้นของโครงการ NCID ซึ่งเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่คิดค้นขึ้นเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ ปตท.สผ. รวมถึง บริษัทอื่นๆ ในภาคธุรกิจระดับองค์กรและธนาคารพาณิชย์ที่ต้องเผชิญกันมาเป็นระยะเวลายาวนาน ปตท.สผ. เชื่อมั่นว่าระบบ NCID จะช่วยพลิกโฉมกระบวนการจัดการเอกสารลงนามต่างๆ เพื่อให้การทําธุรกรรมทางการเงินระหว่างนิติบุคคลกับธนาคารสะดวกมากยิ่งขึ้น และเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสําคัญหลักที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดําเนินธุรกรรมให้กับภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดเวลาและทรัพยากร รวมถึง ยกระดับความปลอดภัยของเอกสารและสร้างความเชื่อมั่นในการทําธุรกรรมได้ด้วยระบบดิจิทัล 100%”
จากความร่วมมือดังกล่าว ธนาคารกรุงไทยได้มีการดําเนินการ digital corporate KYC กับบริษัทในกลุ่ม ปตท.สผ. ผ่านระบบ NCID เพื่อการเปิดบัญชีนิติบุคคล เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งความสําเร็จครั้งนี้ ถือเป็นการเปิดบัญชีนิติบุคคลในรูปแบบดิจิทัลด้วยระบบ NCID เป็นครั้งแรกในภูมิภาคอาเซียน (ASEAN) อีกด้วย
ทั้งนี้ ARV ยังมีความมุ่งมั่นที่สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อการพัฒนาต่อยอดโครงการ NCID และร่วมสร้างความเป็นไปได้ไม่แบบรู้จบในอนาคต โดย ARV ยินดีเปิดรับองค์กรพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมทดสอบและพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน โดยองค์กรที่สนใจสามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทางเบอร์โทรศัพท์ 02 078 4000 หรืออีเมล Bind.sales@arv.co.th | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56889 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เห็นชอบแล้ว! วีซ่าระยะยาว (LTR Visa) ต่างชาติที่มีศักยภาพสูงยื่นขอวีซ่าระยะยาว 10 ปี ค่าธรรมเนียมครั้งเดียว 50,000 บาท | วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565
เห็นชอบแล้ว! วีซ่าระยะยาว (LTR Visa) ต่างชาติที่มีศักยภาพสูงยื่นขอวีซ่าระยะยาว 10 ปี ค่าธรรมเนียมครั้งเดียว 50,000 บาท
เห็นชอบแล้ว! วีซ่าระยะยาว (LTR Visa) ต่างชาติที่มีศักยภาพสูงยื่นขอวีซ่าระยะยาว 10 ปี ค่าธรรมเนียมครั้งเดียว 50,000 บาท
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจําพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นการอนุญาตให้คนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อการพํานักระยะยาว (Long-term resident visa : LTR Visa) อายุการตรวจลงตรา 10 ปี และเสียค่าธรรมเนียมครั้งเดียวในอัตรา 50,000 บาท (จากเดิม 100,000 บาท) ทั้งนี้ มีผลใช้บังคับเมื่อพ้น 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
สาระสําคัญของร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย อาทิ 1) กําหนดประเภทการตรวจลงตรา สําหรับผู้พํานักระยะยาวขึ้นใหม่ (Long-term resident visa : LTR Visa) โดยมีอายุการตรวจลงตรา 10 ปี 2) กําหนดคุณสมบัติของคนต่างด้าว 4 กลุ่มเป้าหมายได้แก่ กลุ่มประชากรผู้มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ กลุ่มที่ต้องการทํางานจากประเทศไทย และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญพิเศษ รวมถึงผู้ติดตามของคนต่างด้าว (คู่สมรสและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งมีอายุไม่เกิน 20 ปีจํานวนไม่เกิน 4 คน) 3) กําหนดให้คนต่างด้าวและผู้ติดตามของคนต่างด้าวที่ได้รับเสียค่าธรรมเนียมการตรวจลงตาครั้งเดียวในอัตรา 50,000 บาท (จากเดิม 100,000 บาท) และสามารถยื่นคําขอใบอนุญาตทํางานตามกฏหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เห็นชอบแล้ว! วีซ่าระยะยาว (LTR Visa) ต่างชาติที่มีศักยภาพสูงยื่นขอวีซ่าระยะยาว 10 ปี ค่าธรรมเนียมครั้งเดียว 50,000 บาท
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565
เห็นชอบแล้ว! วีซ่าระยะยาว (LTR Visa) ต่างชาติที่มีศักยภาพสูงยื่นขอวีซ่าระยะยาว 10 ปี ค่าธรรมเนียมครั้งเดียว 50,000 บาท
เห็นชอบแล้ว! วีซ่าระยะยาว (LTR Visa) ต่างชาติที่มีศักยภาพสูงยื่นขอวีซ่าระยะยาว 10 ปี ค่าธรรมเนียมครั้งเดียว 50,000 บาท
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2565 ว่า ครม.เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจําพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดคนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นการอนุญาตให้คนต่างด้าวที่มีศักยภาพสูงเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษเพื่อการพํานักระยะยาว (Long-term resident visa : LTR Visa) อายุการตรวจลงตรา 10 ปี และเสียค่าธรรมเนียมครั้งเดียวในอัตรา 50,000 บาท (จากเดิม 100,000 บาท) ทั้งนี้ มีผลใช้บังคับเมื่อพ้น 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป
สาระสําคัญของร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย อาทิ 1) กําหนดประเภทการตรวจลงตรา สําหรับผู้พํานักระยะยาวขึ้นใหม่ (Long-term resident visa : LTR Visa) โดยมีอายุการตรวจลงตรา 10 ปี 2) กําหนดคุณสมบัติของคนต่างด้าว 4 กลุ่มเป้าหมายได้แก่ กลุ่มประชากรผู้มีความมั่งคั่งสูง กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ กลุ่มที่ต้องการทํางานจากประเทศไทย และกลุ่มผู้เชี่ยวชาญพิเศษ รวมถึงผู้ติดตามของคนต่างด้าว (คู่สมรสและบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งมีอายุไม่เกิน 20 ปีจํานวนไม่เกิน 4 คน) 3) กําหนดให้คนต่างด้าวและผู้ติดตามของคนต่างด้าวที่ได้รับเสียค่าธรรมเนียมการตรวจลงตาครั้งเดียวในอัตรา 50,000 บาท (จากเดิม 100,000 บาท) และสามารถยื่นคําขอใบอนุญาตทํางานตามกฏหมายว่าด้วยการบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54429 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส เป็นประธานเปิดงานเสวนาออนไลน์ เรื่อง “แรงงานรู้ สู้โควิด: สถานะและโอกาส – การระบาดของโรคโควิด – ๑๙ กับแรงงานข้ามชาติ” | วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม 2564
ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส เป็นประธานเปิดงานเสวนาออนไลน์ เรื่อง “แรงงานรู้ สู้โควิด: สถานะและโอกาส – การระบาดของโรคโควิด – ๑๙ กับแรงงานข้ามชาติ”
ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส เป็นประธานเปิดงานเสวนาออนไลน์ เรื่อง “แรงงานรู้ สู้โควิด: สถานะและโอกาส – การระบาดของโรคโควิด – ๑๙ กับแรงงานข้ามชาติ”
เมื่อวันที่๗กรกฎาคม๒๕๖๔นางปิยนุชวุฒิสอนผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานเปิดการเสวนาออนไลน์เรื่อง“แรงงานรู้สู้โควิด:สถานะและโอกาส–การระบาดของโรคโควิด–๑๙กับแรงงานข้ามชาติ”และร่วมบรรยายในหัวข้อ“บทบาทของICTในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด–๑๙ในประเทศไทยซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันเอเชียศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนจากMekong Institute
โดยการเสวนาฯเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อคิดเห็นระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชน เกี่ยวกับบทเรียนแนวปฏิบัติที่ดีจากประสบการณ์ในการป้องกันและควบคุมการระบาดใหญ่ของโรคโควิด–๑๙ในประเทศไทยที่ส่งผลกระทบต่อแรงงานข้ามชาติและการจัดการของภาครัฐโดยการเสวนาดังกล่าวมุ่งหวังจะก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด–๑๙ในกลุ่มแรงงานต่างชาติรวมถึงสร้างความพร้อมให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวให้ดํารงอยู่ได้ในสถานการณ์และสภาวะเศรษฐกิจของโลกการเปลี่ยนผ่านไปสู่New NormalหรือNext Normalได้ในที่สุดด้วยความร่วมมือ
ของทุกฝ่าย
********** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส เป็นประธานเปิดงานเสวนาออนไลน์ เรื่อง “แรงงานรู้ สู้โควิด: สถานะและโอกาส – การระบาดของโรคโควิด – ๑๙ กับแรงงานข้ามชาติ”
วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม 2564
ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส เป็นประธานเปิดงานเสวนาออนไลน์ เรื่อง “แรงงานรู้ สู้โควิด: สถานะและโอกาส – การระบาดของโรคโควิด – ๑๙ กับแรงงานข้ามชาติ”
ผู้ตรวจฯ ดีอีเอส เป็นประธานเปิดงานเสวนาออนไลน์ เรื่อง “แรงงานรู้ สู้โควิด: สถานะและโอกาส – การระบาดของโรคโควิด – ๑๙ กับแรงงานข้ามชาติ”
เมื่อวันที่๗กรกฎาคม๒๕๖๔นางปิยนุชวุฒิสอนผู้ตรวจราชการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นประธานเปิดการเสวนาออนไลน์เรื่อง“แรงงานรู้สู้โควิด:สถานะและโอกาส–การระบาดของโรคโควิด–๑๙กับแรงงานข้ามชาติ”และร่วมบรรยายในหัวข้อ“บทบาทของICTในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด–๑๙ในประเทศไทยซึ่งจัดขึ้นโดยสถาบันเอเชียศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้รับการสนับสนุนจากMekong Institute
โดยการเสวนาฯเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อคิดเห็นระหว่างผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชน เกี่ยวกับบทเรียนแนวปฏิบัติที่ดีจากประสบการณ์ในการป้องกันและควบคุมการระบาดใหญ่ของโรคโควิด–๑๙ในประเทศไทยที่ส่งผลกระทบต่อแรงงานข้ามชาติและการจัดการของภาครัฐโดยการเสวนาดังกล่าวมุ่งหวังจะก่อให้เกิดองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด–๑๙ในกลุ่มแรงงานต่างชาติรวมถึงสร้างความพร้อมให้ประเทศไทยสามารถปรับตัวให้ดํารงอยู่ได้ในสถานการณ์และสภาวะเศรษฐกิจของโลกการเปลี่ยนผ่านไปสู่New NormalหรือNext Normalได้ในที่สุดด้วยความร่วมมือ
ของทุกฝ่าย
********** | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43584 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564 | วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564 โดยที่ประชุมร่วมกันพิจารณา แนวทางการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมแบบครบวงจร (E-Fully Manifest) และการแจ้งเตือนผู้ประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลกากอุตสาหกรรมกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีนายใบน้อย สุวรรณชาตรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายธนะ อัลภาชน์ รองเลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมและผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมด้วย ณ ห้องประขุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน 2564
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564
นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564
ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหากากอุตสาหกรรม ครั้งที่ 3/2564 โดยที่ประชุมร่วมกันพิจารณา แนวทางการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมแบบครบวงจร (E-Fully Manifest) และการแจ้งเตือนผู้ประกอบกิจการโรงงานอุตสาหกรรมเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลกากอุตสาหกรรมกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีนายใบน้อย สุวรรณชาตรี ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายธนะ อัลภาชน์ รองเลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ รองอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม รักษาการผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม และผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรมและผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมด้วย ณ ห้องประขุมชุณหะวัณ ชั้น 3 สํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48620 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 15 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย | วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 15 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 15 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 15 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 2 ราย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 15 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 2 ราย
วันพุธที่ 16 มิถุนายน 2564
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 15 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 15 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 2 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 15 มิถุนายน 2564 พนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 2 ราย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42763 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เด็กไทยเจ๋ง! นายกฯ ชื่นชมเด็กไทยคว้ารางวัลระดับโลก จากคู่แข่ง 32 ประเทศ ในการประดิษฐ์เข็มขัดดูดซับความชื้น - เพิ่มธาตุอาหารท่อนพันธุ์อ้อย | วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม 2564
เด็กไทยเจ๋ง! นายกฯ ชื่นชมเด็กไทยคว้ารางวัลระดับโลก จากคู่แข่ง 32 ประเทศ ในการประดิษฐ์เข็มขัดดูดซับความชื้น - เพิ่มธาตุอาหารท่อนพันธุ์อ้อย
เด็กไทยเจ๋ง! นายกฯ ชื่นชมเด็กไทยคว้ารางวัลระดับโลก จากคู่แข่ง 32 ประเทศ ในการประดิษฐ์เข็มขัดดูดซับความชื้น - เพิ่มธาตุอาหารท่อนพันธุ์อ้อย
วันนี้ 28 ส.ค. 64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมฝากความชื่นชมถึงนายธนวิชญ์ น้ําใจดี และนายฟิวเจอร์ คงชู นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนดํารงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย ตัวแทนประเทศไทย ที่สามารถชนะรางวัลระดับโลก The Winner of Diploma of Excellence จากผลงานวิจัยชื่อ “Bio-Moisture-Nutrient Absorbing Belt for Promoting the Sugarcane Seedlings Growth from the Local Waste” หรือ เข็มขัดดูดซับความชื้นและให้ธาตุอาหารจากวัสดุเหลือทิ้งในชุมชน โดยร่วมการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ํา Stockholm Junior Water Prize 2021 (SJWP 2021) ในงาน World Water Week ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23- 27 สิงหาคม 2564 มีเยาวชนเข้าร่วมประกวด จาก 32 ประเทศ
ผลงาน “เข็มขัดดูดซับความชื้นและให้ธาตุอาหารจากวัสดุเหลือทิ้งในชุมชน” ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศนี้ พัฒนาขึ้นเพื่อการดูแลท่อนพันธุ์อ้อยระยะแรกปลูก ซึ่งได้นําวัสดุเหลือใช้ในท้องถิ่นมาสร้างนวัตกรรมในลักษณะเข็มขัดที่สามารถอุ้มน้ําไว้สําหรับการเพาะปลูกท่อนพันธุ์อ้อยในระยะแรกปลูก แม้จะปลูกในพื้นที่แห้งแล้ง ช่วยลดการให้น้ํา และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกมากกว่าร้อยละ 50 เมื่อเปรียบเทียบจากการปลูกโดยใช้วิธีดั้งเดิม นอกจากนี้นี้ยังนําสารสกัดจากสะเดาช่วยไล่และกําจัดแมลงศัตรูอ้อย จึงเป็นการใช้สารธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี ที่จะเป็นการเพิ่มมลพิษให้แหล่งน้ําและดินอีกด้วย
นายกฯ ชื่นชมความสําเร็จในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความคิดสร้างสรรค์และความสามารถของเยาวชนไทย รวมถึงการสนับสนุนที่ดีจากทั้งครูอาจารย์ ตลอดจนสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รัฐบาลมุ่งมั่นส่งเสริมเยาวชนในการค้นคว้า วิจัย และพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ เพื่อยกระดับศักยภาพภาคการเกษตรซึ่งเป็นรากฐานของประเทศไทย สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ขององค์การสหประชาชาติ และสอดรับกับนโยบายดังกล่าว ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center หรือ AIC) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร ผู้สนใจสามารถนําองค์ความรู้ต่าง ๆ ไปใช้พัฒนาต่อยอดการผลิต สามารถลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร และให้สินค้ามีคุณภาพและมาตรฐาน โดยเป็นการทํางานแบบบูรณาการร่วมกัน ภาคเกษตรกร ภาควิชาการ และภาคเอกชน โดยมีรูปแบบโครงสร้าง 1 จังหวัด 1 ศูนย์ ซึ่งตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่ได้รับการคัดเลือก ขณะนี้มี จํานวนทั้งสิ้น 69 สถาบัน 83 แห่ง ทั่วประเทศ
-------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เด็กไทยเจ๋ง! นายกฯ ชื่นชมเด็กไทยคว้ารางวัลระดับโลก จากคู่แข่ง 32 ประเทศ ในการประดิษฐ์เข็มขัดดูดซับความชื้น - เพิ่มธาตุอาหารท่อนพันธุ์อ้อย
วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม 2564
เด็กไทยเจ๋ง! นายกฯ ชื่นชมเด็กไทยคว้ารางวัลระดับโลก จากคู่แข่ง 32 ประเทศ ในการประดิษฐ์เข็มขัดดูดซับความชื้น - เพิ่มธาตุอาหารท่อนพันธุ์อ้อย
เด็กไทยเจ๋ง! นายกฯ ชื่นชมเด็กไทยคว้ารางวัลระดับโลก จากคู่แข่ง 32 ประเทศ ในการประดิษฐ์เข็มขัดดูดซับความชื้น - เพิ่มธาตุอาหารท่อนพันธุ์อ้อย
วันนี้ 28 ส.ค. 64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมฝากความชื่นชมถึงนายธนวิชญ์ น้ําใจดี และนายฟิวเจอร์ คงชู นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนดํารงราษฎร์สงเคราะห์ จังหวัดเชียงราย ตัวแทนประเทศไทย ที่สามารถชนะรางวัลระดับโลก The Winner of Diploma of Excellence จากผลงานวิจัยชื่อ “Bio-Moisture-Nutrient Absorbing Belt for Promoting the Sugarcane Seedlings Growth from the Local Waste” หรือ เข็มขัดดูดซับความชื้นและให้ธาตุอาหารจากวัสดุเหลือทิ้งในชุมชน โดยร่วมการประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ํา Stockholm Junior Water Prize 2021 (SJWP 2021) ในงาน World Water Week ณ กรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23- 27 สิงหาคม 2564 มีเยาวชนเข้าร่วมประกวด จาก 32 ประเทศ
ผลงาน “เข็มขัดดูดซับความชื้นและให้ธาตุอาหารจากวัสดุเหลือทิ้งในชุมชน” ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศนี้ พัฒนาขึ้นเพื่อการดูแลท่อนพันธุ์อ้อยระยะแรกปลูก ซึ่งได้นําวัสดุเหลือใช้ในท้องถิ่นมาสร้างนวัตกรรมในลักษณะเข็มขัดที่สามารถอุ้มน้ําไว้สําหรับการเพาะปลูกท่อนพันธุ์อ้อยในระยะแรกปลูก แม้จะปลูกในพื้นที่แห้งแล้ง ช่วยลดการให้น้ํา และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกมากกว่าร้อยละ 50 เมื่อเปรียบเทียบจากการปลูกโดยใช้วิธีดั้งเดิม นอกจากนี้นี้ยังนําสารสกัดจากสะเดาช่วยไล่และกําจัดแมลงศัตรูอ้อย จึงเป็นการใช้สารธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี ที่จะเป็นการเพิ่มมลพิษให้แหล่งน้ําและดินอีกด้วย
นายกฯ ชื่นชมความสําเร็จในครั้งนี้ ซึ่งเป็นการยืนยันถึงความคิดสร้างสรรค์และความสามารถของเยาวชนไทย รวมถึงการสนับสนุนที่ดีจากทั้งครูอาจารย์ ตลอดจนสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ และผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย รัฐบาลมุ่งมั่นส่งเสริมเยาวชนในการค้นคว้า วิจัย และพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ เพื่อยกระดับศักยภาพภาคการเกษตรซึ่งเป็นรากฐานของประเทศไทย สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) และสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals) ขององค์การสหประชาชาติ และสอดรับกับนโยบายดังกล่าว ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center หรือ AIC) เพื่อเป็นศูนย์กลางในการรวบรวมองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร ผู้สนใจสามารถนําองค์ความรู้ต่าง ๆ ไปใช้พัฒนาต่อยอดการผลิต สามารถลดต้นทุนการผลิตสินค้าเกษตร และให้สินค้ามีคุณภาพและมาตรฐาน โดยเป็นการทํางานแบบบูรณาการร่วมกัน ภาคเกษตรกร ภาควิชาการ และภาคเอกชน โดยมีรูปแบบโครงสร้าง 1 จังหวัด 1 ศูนย์ ซึ่งตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่ได้รับการคัดเลือก ขณะนี้มี จํานวนทั้งสิ้น 69 สถาบัน 83 แห่ง ทั่วประเทศ
-------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45253 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย ‘นายกฯ สั่งประเมินสถานการณ์โควิด-19 ใกล้ชิด เข้าใจห่วงโซ่ธุรกิจกลางคืน ชี้พร้อมให้ ผับ บาร์ คาราโอเกะ เปิดเร็วขึ้นหากมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดียึดความปลอดภัย | วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2564
โฆษกรัฐบาล เผย ‘นายกฯ สั่งประเมินสถานการณ์โควิด-19 ใกล้ชิด เข้าใจห่วงโซ่ธุรกิจกลางคืน ชี้พร้อมให้ ผับ บาร์ คาราโอเกะ เปิดเร็วขึ้นหากมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดียึดความปลอดภัย
โฆษกรัฐบาล เผย ‘นายกฯ สั่งประเมินสถานการณ์โควิด-19 ใกล้ชิด เข้าใจห่วงโซ่ธุรกิจกลางคืน ชี้พร้อมให้ ผับ บาร์ คาราโอเกะ เปิดเร็วขึ้นหากมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดียึดความปลอดภัยและประโยชน์ภาพรวมของประเทศเป็นหลัก
วันนี้(20พ.ย.64)นายธนกรวังบุญคงชนะโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนของสถานประกอบการธุรกิจกลางคืนผับบาร์คาราโอเกะรวมถึงศิลปินนักดนตรีหลังจากที่ศบค.มีมติให้เลื่อนการเปิดกิจการไปถึงวันที่16มกราคม2565 เข้าใจและเป็นห่วงเกี่ยวกับห่วงโซ่ธุรกิจกลางคืนที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมดไม่ว่าจะผู้ประกอบการนักร้องนักดนตรีพนักงานเสริฟรวมไปถึงผู้ค้าขายในช่วงกลางคืน ทั้งนี้รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจมีการหยิบยกหารือถึงทางออกกันหลายเวทีอีกทั้งสั่งการให้ติดตามประเมินสถานการณ์ประจําวันอย่างใกล้ชิดเพื่อเร่งแก้ปัญหาของประชาชนทุกกลุ่มโดยยึดความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดของภาพรวมเป็นหลัก
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่าจากการที่ตัวแทนสถานประกอบการธุรกิจกลางคืนได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อให้รัฐบาลพิจารณาเลื่อนการเปิดกิจการ/กิจกรรมให้เร็วขึ้นนั้นคาดว่าจะได้มีการนําประเด็นดังกล่าวเข้าที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ต่อไปโดยแนวโน้มน่าจะเป็นในทิศทางที่ดีตามเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการเสนอมาทั้งการเตรียมสถานที่ความปลอดภัยบุคคลากรระบบบริการและเงื่อนไขสําหรับผู้เข้ารับบริการหากมีการประเมินว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นก็มีโอกาสที่จะเปิดสถานประกอบการธุรกิจกลางคืนได้เร็วกว่าเดิม
“พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่าจะดูแลภาคส่วนต่างๆที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ต้องประเมินสถานการณ์โควิด-19ประจําวันอย่างใกล้ชิดโดยยึดความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดของภาพรวมของประเทศเป็นหลักแต่หากสถานการณ์ดีขึ้นก็พร้อมรับฟังและปรับเงื่อนไขมาตรการเพื่อให้สอดคล้องกับการเปิดประเทศอย่างแน่นอน”นายธนกรฯกล่าว
————- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย ‘นายกฯ สั่งประเมินสถานการณ์โควิด-19 ใกล้ชิด เข้าใจห่วงโซ่ธุรกิจกลางคืน ชี้พร้อมให้ ผับ บาร์ คาราโอเกะ เปิดเร็วขึ้นหากมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดียึดความปลอดภัย
วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน 2564
โฆษกรัฐบาล เผย ‘นายกฯ สั่งประเมินสถานการณ์โควิด-19 ใกล้ชิด เข้าใจห่วงโซ่ธุรกิจกลางคืน ชี้พร้อมให้ ผับ บาร์ คาราโอเกะ เปิดเร็วขึ้นหากมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดียึดความปลอดภัย
โฆษกรัฐบาล เผย ‘นายกฯ สั่งประเมินสถานการณ์โควิด-19 ใกล้ชิด เข้าใจห่วงโซ่ธุรกิจกลางคืน ชี้พร้อมให้ ผับ บาร์ คาราโอเกะ เปิดเร็วขึ้นหากมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดียึดความปลอดภัยและประโยชน์ภาพรวมของประเทศเป็นหลัก
วันนี้(20พ.ย.64)นายธนกรวังบุญคงชนะโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมรับทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนของสถานประกอบการธุรกิจกลางคืนผับบาร์คาราโอเกะรวมถึงศิลปินนักดนตรีหลังจากที่ศบค.มีมติให้เลื่อนการเปิดกิจการไปถึงวันที่16มกราคม2565 เข้าใจและเป็นห่วงเกี่ยวกับห่วงโซ่ธุรกิจกลางคืนที่เกี่ยวข้องกันทั้งหมดไม่ว่าจะผู้ประกอบการนักร้องนักดนตรีพนักงานเสริฟรวมไปถึงผู้ค้าขายในช่วงกลางคืน ทั้งนี้รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจมีการหยิบยกหารือถึงทางออกกันหลายเวทีอีกทั้งสั่งการให้ติดตามประเมินสถานการณ์ประจําวันอย่างใกล้ชิดเพื่อเร่งแก้ปัญหาของประชาชนทุกกลุ่มโดยยึดความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดของภาพรวมเป็นหลัก
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่าจากการที่ตัวแทนสถานประกอบการธุรกิจกลางคืนได้ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อให้รัฐบาลพิจารณาเลื่อนการเปิดกิจการ/กิจกรรมให้เร็วขึ้นนั้นคาดว่าจะได้มีการนําประเด็นดังกล่าวเข้าที่ประชุมศบค.ชุดใหญ่ต่อไปโดยแนวโน้มน่าจะเป็นในทิศทางที่ดีตามเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการเสนอมาทั้งการเตรียมสถานที่ความปลอดภัยบุคคลากรระบบบริการและเงื่อนไขสําหรับผู้เข้ารับบริการหากมีการประเมินว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นก็มีโอกาสที่จะเปิดสถานประกอบการธุรกิจกลางคืนได้เร็วกว่าเดิม
“พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันว่าจะดูแลภาคส่วนต่างๆที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ต้องประเมินสถานการณ์โควิด-19ประจําวันอย่างใกล้ชิดโดยยึดความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดของภาพรวมของประเทศเป็นหลักแต่หากสถานการณ์ดีขึ้นก็พร้อมรับฟังและปรับเงื่อนไขมาตรการเพื่อให้สอดคล้องกับการเปิดประเทศอย่างแน่นอน”นายธนกรฯกล่าว
————- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48485 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ นั่งเก้าอี้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ คนที่ 10 ของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด | วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2565
ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ นั่งเก้าอี้กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ คนที่ 10 ของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด
ได้ดําเนินการสรรหากรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสําหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และแก้ไขเพิ่มเติม แนวทางการสรรหาที่กระทรวงการคลังกําหนด
บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด (บวท.) กระทรวงคมนาคม ได้ดําเนินการสรรหากรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสําหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และแก้ไขเพิ่มเติม แนวทางการสรรหาที่กระทรวงการคลังกําหนด ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา บัดนี้การดําเนินการสรรหาได้แล้วเสร็จ โดยได้ ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ มาดํารงตําแหน่งกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด
นายระพี ผ่องบุพกิจ ประธานกรรมการบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2565 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบผลการสรรหา กอญ.บวท. ให้ ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ ดํารงตําแหน่ง กอญ.บวท. คนที่ 10 ของ บวท. ซึ่งได้มีการลงนามสัญญาจ้างในวันเดียวกัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565
ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถทางด้านวิศวกรรม และ นวัตกรรมดิจิทัล จบการศึกษาระดับปริญญาเอก คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า จากสถาบัน University of Strathclyde ประเทศสกอตแลนด์ ทํางานอยู่ในแวดวงนักวิจัยและพัฒนา ซึ่งก่อนเข้าสมัครสรรหาเป็น กอญ.บวท. ดํารงตําแหน่งคณบดี วิทยาลัยนานาชาตินวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากนั้นยังทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและกรรมการในองค์กรต่าง ๆ อาทิ เป็นกรรมการในมูลนิธิสถาบันเพื่อพัฒนานวัตกรรม เป็นกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย ท่าฟ่า โอเปอร์เรเตอร์ จํากัด
การเข้ารับตําแหน่ง กอญ.บวท. ของ ดร.ณพศิษฏ์ ในครั้งนี้ นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากปัจจุบันอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่ง บวท. เองก็เป็นหนึ่งในหน่วยงานการบินที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวอย่างหนักในช่วง 2 - 3 ปี ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามด้วยความรู้ความสามารถของ กอญ.บวท. คนใหม่ สร้างความเชื่อมั่นได้ว่า จะนําพาองค์กรก้าวพ้นจากวิกฤติ และสามารถบริหารจัดการให้เกิดการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมใหม่ๆ จากความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของบุคลากร บวท. เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรและอุตสาหกรรมการบินของประเทศในภาพรวม | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ นั่งเก้าอี้กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ คนที่ 10 ของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด
วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม 2565
ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ นั่งเก้าอี้กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ คนที่ 10 ของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด
ได้ดําเนินการสรรหากรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสําหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และแก้ไขเพิ่มเติม แนวทางการสรรหาที่กระทรวงการคลังกําหนด
บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด (บวท.) กระทรวงคมนาคม ได้ดําเนินการสรรหากรรมการผู้อํานวยการใหญ่ ตามขั้นตอนที่กําหนดไว้ตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสําหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 และแก้ไขเพิ่มเติม แนวทางการสรรหาที่กระทรวงการคลังกําหนด ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา บัดนี้การดําเนินการสรรหาได้แล้วเสร็จ โดยได้ ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ มาดํารงตําแหน่งกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด
นายระพี ผ่องบุพกิจ ประธานกรรมการบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2565 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบผลการสรรหา กอญ.บวท. ให้ ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ ดํารงตําแหน่ง กอญ.บวท. คนที่ 10 ของ บวท. ซึ่งได้มีการลงนามสัญญาจ้างในวันเดียวกัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565
ดร.ณพศิษฏ์ จักรพิทักษ์ เป็นผู้มีความรู้ความสามารถทางด้านวิศวกรรม และ นวัตกรรมดิจิทัล จบการศึกษาระดับปริญญาเอก คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้า จากสถาบัน University of Strathclyde ประเทศสกอตแลนด์ ทํางานอยู่ในแวดวงนักวิจัยและพัฒนา ซึ่งก่อนเข้าสมัครสรรหาเป็น กอญ.บวท. ดํารงตําแหน่งคณบดี วิทยาลัยนานาชาตินวัตกรรมดิจิทัล มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นอกจากนั้นยังทําหน้าที่เป็นที่ปรึกษาและกรรมการในองค์กรต่าง ๆ อาทิ เป็นกรรมการในมูลนิธิสถาบันเพื่อพัฒนานวัตกรรม เป็นกรรมการบริษัท ท่าอากาศยานไทย ท่าฟ่า โอเปอร์เรเตอร์ จํากัด
การเข้ารับตําแหน่ง กอญ.บวท. ของ ดร.ณพศิษฏ์ ในครั้งนี้ นับเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากปัจจุบันอุตสาหกรรมการบินทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ซึ่ง บวท. เองก็เป็นหนึ่งในหน่วยงานการบินที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวอย่างหนักในช่วง 2 - 3 ปี ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามด้วยความรู้ความสามารถของ กอญ.บวท. คนใหม่ สร้างความเชื่อมั่นได้ว่า จะนําพาองค์กรก้าวพ้นจากวิกฤติ และสามารถบริหารจัดการให้เกิดการพัฒนาและต่อยอดนวัตกรรมใหม่ๆ จากความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของบุคลากร บวท. เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อองค์กรและอุตสาหกรรมการบินของประเทศในภาพรวม | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53156 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่งออกไทยยังรุ่ง! เดือน ก.พ. 65 ทำรายได้ 23,483.1 ล้านเหรียญสหรัฐ โต 16.2% | วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม 2565
ส่งออกไทยยังรุ่ง! เดือน ก.พ. 65 ทํารายได้ 23,483.1 ล้านเหรียญสหรัฐ โต 16.2%
.....
กระทรวงพาณิชย์ เผยตัวเลขการส่งออกเดือน ก.พ. 65 ยังอยู่ในเกณฑ์ดี มีมูลค่าถึง 23,483.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 770,819 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 16.2% และยอดรวม 2 เดือนแรกของปี 65 มีมูลค่า 44,741.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,479,131 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 12.2% เกินเป้าที่ตั้งไว้ 3 - 4%
.
10 ตลาดส่งออกที่ขยายตัวสูงสุด ได้แก่ รัสเซีย อาเซียน ฮ่องกง เกาหลีใต้ สหรัฐฯ อินเดีย ไต้หวัน สหราชอาณาจักร CLMV และตะวันออกกลาง โดยปัจจัยสําคัญมาจากภาคการผลิตทั่วโลกขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสสําหรับการส่งออกของไทย แต่ในเดือน มี.ค. - เม.ย. ยังคงต้องติดตามสถานการณ์รัสเซีย - ยูเครน อย่างใกล้ชิด
.
ขณะที่รัฐบาลเร่งเดินหน้ายุทธศาสตร์ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เพื่อขับเคลื่อนการส่งออก เน้นรายสินค้า เช่น ข้าว ที่ปีนี้คาดว่าจะส่งออกได้ไม่ต่ํากว่า 7 ล้านตัน รวมถึงสินค้าไก่ ที่มีตลาดเพิ่มในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ส่งออกไทยยังรุ่ง! เดือน ก.พ. 65 ทำรายได้ 23,483.1 ล้านเหรียญสหรัฐ โต 16.2%
วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม 2565
ส่งออกไทยยังรุ่ง! เดือน ก.พ. 65 ทํารายได้ 23,483.1 ล้านเหรียญสหรัฐ โต 16.2%
.....
กระทรวงพาณิชย์ เผยตัวเลขการส่งออกเดือน ก.พ. 65 ยังอยู่ในเกณฑ์ดี มีมูลค่าถึง 23,483.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 770,819 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 16.2% และยอดรวม 2 เดือนแรกของปี 65 มีมูลค่า 44,741.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1,479,131 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 12.2% เกินเป้าที่ตั้งไว้ 3 - 4%
.
10 ตลาดส่งออกที่ขยายตัวสูงสุด ได้แก่ รัสเซีย อาเซียน ฮ่องกง เกาหลีใต้ สหรัฐฯ อินเดีย ไต้หวัน สหราชอาณาจักร CLMV และตะวันออกกลาง โดยปัจจัยสําคัญมาจากภาคการผลิตทั่วโลกขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสสําหรับการส่งออกของไทย แต่ในเดือน มี.ค. - เม.ย. ยังคงต้องติดตามสถานการณ์รัสเซีย - ยูเครน อย่างใกล้ชิด
.
ขณะที่รัฐบาลเร่งเดินหน้ายุทธศาสตร์ “เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด” เพื่อขับเคลื่อนการส่งออก เน้นรายสินค้า เช่น ข้าว ที่ปีนี้คาดว่าจะส่งออกได้ไม่ต่ํากว่า 7 ล้านตัน รวมถึงสินค้าไก่ ที่มีตลาดเพิ่มในตะวันออกกลาง เช่น ซาอุดีอาระเบีย
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52964 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต ย้ำทุกบ้านนำผู้สูงอายุเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ลดป่วยรุนแรง ลดเสียชีวิต | วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2565
รมช.สาธิต ย้ําทุกบ้านนําผู้สูงอายุเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ลดป่วยรุนแรง ลดเสียชีวิต
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ให้กําลังใจบุคลากร เจ้าหน้าที่ ผู้ปกครองและเด็กนักเรียน ที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด19 ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (โรงพยาบาลแม่และเด็ก) จ.เชียงใหม่
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ให้กําลังใจบุคลากร เจ้าหน้าที่ ผู้ปกครองและเด็กนักเรียน ที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด19ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (โรงพยาบาลแม่และเด็ก) จ.เชียงใหม่ พร้อมขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองช่วยกันนําผู้สูงอายุที่บ้านมารับการฉีดวัคซีนเข็มที่3เพื่อลดอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตหากติดเชื้อ
วันนี้ (19มีนาคม2565)ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (โรงพยาบาลแม่และเด็ก) อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายธนิตพล ไชยนันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์ทศเทพ บุญทอง สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่1และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และเยี่ยมชมจุดให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด19ในกลุ่มเด็ก5 – 11ปี
ดร.สาธิต กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด19ที่ผ่านมา โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (โรงพยาบาลแม่และเด็ก)ได้มีส่วนร่วมในการจัดบริการผู้ป่วยโควิดอย่างเข้มแข็ง โดยมีศูนย์ดูแลแม่และเด็กที่ติดเชื้อโควิด19ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – ตุลาคม2564ดูแลแม่และเด็กที่ติดเชื้อรวม91ราย และยังจัดตั้งโรงพยาบาลสนามสําหรับดูแลแม่และเด็กที่ติดเชื้อ เพื่อรองรับและแบ่งเบาภาระในการดูแลประชาชนกลุ่มเสี่ยงและเปราะบางในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงมีพื้นที่พิเศษดูแลแม่ เด็กและหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ให้ผู้ปกครองสามารถอยู่ร่วมดูแลเด็กเล็กในขณะที่พักรักษาตัว เพื่อให้ความอบอุ่น ปลอดภัย และสะดวกต่อการดูแล
นอกจากนี้ ยังได้จัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด19โดยวันนี้มีผู้ปกครองนําเด็กนักเรียนมาเข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ฝาสีส้ม จากโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่13แห่ง จํานวน470คน ซึ่งตั้งแต่เมษายน2564ถึง กุมภาพันธ์2565ศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด19โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ จ.เชียงใหม่ ให้บริการฉีดวัคซีนไปแล้ว83,804ราย ทั้งนี้ ได้ย้ําผู้ปกครองที่นําเด็กมาฉีดวัคซีนให้ช่วยกันรณรงค์นําผู้สูงอายุที่บ้านเข้ามารับการฉีดวัคซีนเข็มที่3เป็นเข็มกระตุ้นด้วย เนื่องจากจะช่วยลดอาการป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิต หากติดเชื้อโควิด19ได้
สําหรับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (โรงพยาบาลแม่และเด็ก) ศูนย์อนามัยที่1เชียงใหม่ มีการพัฒนาคุณภาพระบบการให้บริการด้านการส่งเสริมสุขภาพทุกกลุ่มวัยและอนามัยสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้ผู้มารับบริการทุกกลุ่มวัยและครอบครัว ให้สามารถดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ปี2564มีผู้มารับบริการแผนกผู้ป่วยนอกทั้งหมด32,999ราย
****************************************** 19มีนาคม2565 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.สาธิต ย้ำทุกบ้านนำผู้สูงอายุเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ลดป่วยรุนแรง ลดเสียชีวิต
วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม 2565
รมช.สาธิต ย้ําทุกบ้านนําผู้สูงอายุเข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ลดป่วยรุนแรง ลดเสียชีวิต
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ให้กําลังใจบุคลากร เจ้าหน้าที่ ผู้ปกครองและเด็กนักเรียน ที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด19 ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (โรงพยาบาลแม่และเด็ก) จ.เชียงใหม่
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่ให้กําลังใจบุคลากร เจ้าหน้าที่ ผู้ปกครองและเด็กนักเรียน ที่เข้ารับบริการฉีดวัคซีนโควิด19ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (โรงพยาบาลแม่และเด็ก) จ.เชียงใหม่ พร้อมขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองช่วยกันนําผู้สูงอายุที่บ้านมารับการฉีดวัคซีนเข็มที่3เพื่อลดอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตหากติดเชื้อ
วันนี้ (19มีนาคม2565)ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (โรงพยาบาลแม่และเด็ก) อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายธนิตพล ไชยนันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สราวุฒิ บุญสุข รองอธิบดีกรมอนามัย นายแพทย์ทศเทพ บุญทอง สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่1และคณะ ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมให้กําลังใจบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล และเยี่ยมชมจุดให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด19ในกลุ่มเด็ก5 – 11ปี
ดร.สาธิต กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์โควิด19ที่ผ่านมา โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (โรงพยาบาลแม่และเด็ก)ได้มีส่วนร่วมในการจัดบริการผู้ป่วยโควิดอย่างเข้มแข็ง โดยมีศูนย์ดูแลแม่และเด็กที่ติดเชื้อโควิด19ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – ตุลาคม2564ดูแลแม่และเด็กที่ติดเชื้อรวม91ราย และยังจัดตั้งโรงพยาบาลสนามสําหรับดูแลแม่และเด็กที่ติดเชื้อ เพื่อรองรับและแบ่งเบาภาระในการดูแลประชาชนกลุ่มเสี่ยงและเปราะบางในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ รวมถึงมีพื้นที่พิเศษดูแลแม่ เด็กและหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข ให้ผู้ปกครองสามารถอยู่ร่วมดูแลเด็กเล็กในขณะที่พักรักษาตัว เพื่อให้ความอบอุ่น ปลอดภัย และสะดวกต่อการดูแล
นอกจากนี้ ยังได้จัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด19โดยวันนี้มีผู้ปกครองนําเด็กนักเรียนมาเข้ารับการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ฝาสีส้ม จากโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่13แห่ง จํานวน470คน ซึ่งตั้งแต่เมษายน2564ถึง กุมภาพันธ์2565ศูนย์บริการฉีดวัคซีนโควิด19โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ จ.เชียงใหม่ ให้บริการฉีดวัคซีนไปแล้ว83,804ราย ทั้งนี้ ได้ย้ําผู้ปกครองที่นําเด็กมาฉีดวัคซีนให้ช่วยกันรณรงค์นําผู้สูงอายุที่บ้านเข้ามารับการฉีดวัคซีนเข็มที่3เป็นเข็มกระตุ้นด้วย เนื่องจากจะช่วยลดอาการป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิต หากติดเชื้อโควิด19ได้
สําหรับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ (โรงพยาบาลแม่และเด็ก) ศูนย์อนามัยที่1เชียงใหม่ มีการพัฒนาคุณภาพระบบการให้บริการด้านการส่งเสริมสุขภาพทุกกลุ่มวัยและอนามัยสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเสริมสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพให้ผู้มารับบริการทุกกลุ่มวัยและครอบครัว ให้สามารถดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ปี2564มีผู้มารับบริการแผนกผู้ป่วยนอกทั้งหมด32,999ราย
****************************************** 19มีนาคม2565 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52733 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand- UK to strengthen comprehensive relations and cooperation | วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม 2564
Thailand- UK to strengthen comprehensive relations and cooperation
Thailand- UK to strengthen comprehensive relations and cooperation
October 6, 2021, at 14.00 hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Mark Gooding, Ambassador of the United Kingdom to Thailand, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on occasion of his assumption of the position. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of the meeting as follows:
The Prime Minister expressed pleasure to officially meet the UK Ambassador and welcomed him to Thailand. He emphasized a wish for Thailand and UK to maximize existing cooperation mechanisms in increasing trade and investment, especially in healthcare, science, technology, and innovation, for post-COVID-19 sustainable economic rehabilitation. He hoped that the two countries would rush in enhancing cooperation for sustainable recovery.
The UK Ambassador expressed pleasure to be tenured in Thailand, and conveyed the regards of Prime Minister Boris Johnson to the Prime Minister. Thailand and UK have been forging close and cordial relations for over 400 years. The Ambassador commits to further reinforce mutual relations and build on the mutually beneficial cooperation toward tangible outcome in all dimensions, be it, political cooperation, increase of trade and investment value, and regional cooperation.
Both parties came to terms to seek further cooperation in the areas of infrastructure, digital, innovation, environment, and climate change for mutual interests. They also agreed that the two countries have shared similar challenges, such as the ageing society and digital disruption, and that educational cooperation should, therefore, be promoted.
On climate change, on which both Thailand and UK have placed importance, UK is scheduled to host the 26th United Nations Climate Change conference (COP26) in Glasgow. The Prime Minister took the occasion to thank UK for its bilateral cooperation on the issue. Thailand strives to become a climate-resilient and low-carbon society by aiming to reduce its greenhouse gas emissions by 20-25% within 2030, and to achieve carbon neutrality by 2065-2070. The country is also developing the Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy.
With regard to healthcare cooperation, the Prime Minister was pleased that UK’s AstraZeneca has chosen Thailand as its COVID-19 vaccine production base and distribution hub in the Southeast Asian region. The Ambassador also congratulated Thailand’s success on COVID-19 vaccination.
Toward the end of the meeting, the Prime Minister conveyed his regard to Prime Minister Boris Johnson, and wished the newly reshuffled cabinet of UK a successful endeavor. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Thailand- UK to strengthen comprehensive relations and cooperation
วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม 2564
Thailand- UK to strengthen comprehensive relations and cooperation
Thailand- UK to strengthen comprehensive relations and cooperation
October 6, 2021, at 14.00 hrs, at the Ivory Room, Thai Khu Fah Building, Government House, H.E. Mr. Mark Gooding, Ambassador of the United Kingdom to Thailand, paid a courtesy call on Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha on occasion of his assumption of the position. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of the meeting as follows:
The Prime Minister expressed pleasure to officially meet the UK Ambassador and welcomed him to Thailand. He emphasized a wish for Thailand and UK to maximize existing cooperation mechanisms in increasing trade and investment, especially in healthcare, science, technology, and innovation, for post-COVID-19 sustainable economic rehabilitation. He hoped that the two countries would rush in enhancing cooperation for sustainable recovery.
The UK Ambassador expressed pleasure to be tenured in Thailand, and conveyed the regards of Prime Minister Boris Johnson to the Prime Minister. Thailand and UK have been forging close and cordial relations for over 400 years. The Ambassador commits to further reinforce mutual relations and build on the mutually beneficial cooperation toward tangible outcome in all dimensions, be it, political cooperation, increase of trade and investment value, and regional cooperation.
Both parties came to terms to seek further cooperation in the areas of infrastructure, digital, innovation, environment, and climate change for mutual interests. They also agreed that the two countries have shared similar challenges, such as the ageing society and digital disruption, and that educational cooperation should, therefore, be promoted.
On climate change, on which both Thailand and UK have placed importance, UK is scheduled to host the 26th United Nations Climate Change conference (COP26) in Glasgow. The Prime Minister took the occasion to thank UK for its bilateral cooperation on the issue. Thailand strives to become a climate-resilient and low-carbon society by aiming to reduce its greenhouse gas emissions by 20-25% within 2030, and to achieve carbon neutrality by 2065-2070. The country is also developing the Long-Term Low Greenhouse Gas Emission Development Strategy.
With regard to healthcare cooperation, the Prime Minister was pleased that UK’s AstraZeneca has chosen Thailand as its COVID-19 vaccine production base and distribution hub in the Southeast Asian region. The Ambassador also congratulated Thailand’s success on COVID-19 vaccination.
Toward the end of the meeting, the Prime Minister conveyed his regard to Prime Minister Boris Johnson, and wished the newly reshuffled cabinet of UK a successful endeavor. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46675 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ผ่านแผนพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ระยะ 11 ปี 84 โครงการ รวมกว่า 8.25 หมื่นลบ. | วันอังคารที่ 14 ธันวาคม 2564
ครม. ผ่านแผนพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ระยะ 11 ปี 84 โครงการ รวมกว่า 8.25 หมื่นลบ.
ครม. ผ่านแผนพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ระยะ 11 ปี 84 โครงการ รวมกว่า 8.25 หมื่นลบ.
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 ว่า ครม.เห็นชอบแผนหลักการพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ระยะเวลา 11 ปี (พ.ศ.2564 - 2574) จํานวน 84 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 82,563 ล้านบาท ตามที่สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติเสนอ ซึ่งเป็นการสนองพระบรมราโชบายในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงให้ความสําคัญกับการพัฒนาดูแลแหล่งน้ําลําคลอง โดยแผนฉบับนี้มุ่งแก้ปัญหาน้ําเสียในคลองแสนแสบที่เป็นปัญหาอย่างมาก น้ําเสียส่วนใหญ่ร้อยละ 70 เกิดจากกิจกรรมชุมชนบริเวณริมคลอง รองลงมาเกิดจากโรงงานและสถานประกอบการ ในปี 2563 มีปริมาณน้ําเสียที่ไม่ผ่านการบําบัดถูกปล่อยลงคลองแสนแสบและคลองสาขารวม 807,672 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน มีค่าเฉลี่ยความสกปรกหรือบีโอดี (BOD) อยู่ระหว่าง 6.9 -12.2 มิลลิกรัมต่อลิตร (แหล่งน้ําที่มีค่าบีโอดีมากกว่า 8 มิลลิกรัมต่อลิตร ถือเป็นแหล่งน้ําที่มีมลพิษอย่างรุนแรง) ทั้งนี้ ปัญหาน้ําเสียในคลองแสนแสบ ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบถึงแม่น้ําบางปะกงในจังหวัดฉะเชิงเทราด้วย เนื่องจากคลองแสนแสบมีความยาวตลอดสายประมาณ 74 กิโลเมตร อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร 47.5 กิโลเมตร และจังหวัดฉะเชิงเทรา 26.5 กิโลเมตร
ขณะที่วิสัยทัศน์ของแผนพัฒนาฟื้นฟู คือเพื่อให้คลองแสนแสบกลับมามีระบบนิเวศอยู่ในเกณฑ์ดี มีระยะเวลาดําเนินการ 11 ปี แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน (พ.ศ.2564) ระยะกลาง (พ.ศ.2565 - 2570) และระยะยาว (พ.ศ.2571 - 2574) ซึ่งจะดําเนินการโดย 8 หน่วยงาน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กรมชลประทาน จังหวัดฉะเชิงเทรา องค์การจัดการน้ําเสีย กรมเจ้าท่า กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ และกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยจะขับเคลื่อนภายใต้ 5 เป้าประสงค์ คือ 1.การเสริมสร้างความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ําของประชาชน 2.การปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์บริเวณคลองแสนแสบ 3.การแก้ไขปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ําในคลองแสนแสบ 4.การป้องกันปราบปราม การบุกรุกทําลายทรัพยากรในคลองแสนแสบ 5.การบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในคลองแสนแสบ รวม 84 โครงการ อาทิ โครงการก่อสร้างระบบรวบรวมน้ําเสีย โครงการก่อสร้างโรงบําบัดน้ําเสีย โครงการก่อสร้างระบบบําบัดน้ําเสีย โครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามคลองแสนแสบ โครงการเดินเรือคลองแสนแสบส่วนต่อขยายระยะทาง 10 กิโลเมตร โครงการต่อเรือไฟฟ้า 12 ลํา และการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางน้ํา เป็นต้น
แหล่งที่มาของงบประมาณแผนพัฒนาฟื้นฟูรวม 82,563 ล้านบาท มาจาก 1.งบประมาณแผ่นดิน ร้อยละ 81.40 2.งบ กทม. ร้อยละ 3.50 และ 3.เงินจากเอกชนร่วมลงทุน (PPP) ร้อยละ 15.10 สําหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากแผนพัฒนาฟื้นฟู อาทิ 1)แก้ไขปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ําในคลองแสนแสบอย่างครบวงจร สร้างระบบรวบรวมและบําบัดน้ําเสียรวม 39 แห่ง รองรับการบําบัดน้ําเสียในคลองแสนแสบได้ 1,364,525 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน 2)เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําในคลองแสนแสบ โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถเร่งการระบายน้ําผ่านอุโมงค์ระบายน้ําได้ 30 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และเขื่อนป้องกันตลิ่ง 33.32 กิโลเมตร ช่วยเพิ่มพื้นที่ที่ได้รับการป้องกันน้ําท่วม 96,875 ไร่ ส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา มีสถานีสูบน้ํา ประตูระบายน้ํา เครื่องสูบน้ําและปรับปรุงคลอง ช่วยให้คลองระบายน้ําได้ 60 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ช่วยเพิ่มพื้นที่ที่ได้รับการป้องกันน้ําท่วม 15,625 ไร่ 3)พัฒนาระบบขนส่งและความปลอดภัยทางน้ํา มีท่าเทียบเรือเพิ่มขึ้นครอบคลุมคลองแสนแสบใน กทม. ทั้งสาย โดยใช้เรือไฟฟ้ารองรับการใช้บริการ 800 - 1,000 คนต่อวัน พร้อมติดตั้งกล้องวงจรปิดในท่าเรือ
------------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ผ่านแผนพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ระยะ 11 ปี 84 โครงการ รวมกว่า 8.25 หมื่นลบ.
วันอังคารที่ 14 ธันวาคม 2564
ครม. ผ่านแผนพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ระยะ 11 ปี 84 โครงการ รวมกว่า 8.25 หมื่นลบ.
ครม. ผ่านแผนพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ระยะ 11 ปี 84 โครงการ รวมกว่า 8.25 หมื่นลบ.
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2564 ว่า ครม.เห็นชอบแผนหลักการพัฒนาฟื้นฟูสภาพแวดล้อมคลองแสนแสบ ระยะเวลา 11 ปี (พ.ศ.2564 - 2574) จํานวน 84 โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น 82,563 ล้านบาท ตามที่สํานักงานทรัพยากรน้ําแห่งชาติเสนอ ซึ่งเป็นการสนองพระบรมราโชบายในหลวงรัชกาลที่ 10 ที่ทรงให้ความสําคัญกับการพัฒนาดูแลแหล่งน้ําลําคลอง โดยแผนฉบับนี้มุ่งแก้ปัญหาน้ําเสียในคลองแสนแสบที่เป็นปัญหาอย่างมาก น้ําเสียส่วนใหญ่ร้อยละ 70 เกิดจากกิจกรรมชุมชนบริเวณริมคลอง รองลงมาเกิดจากโรงงานและสถานประกอบการ ในปี 2563 มีปริมาณน้ําเสียที่ไม่ผ่านการบําบัดถูกปล่อยลงคลองแสนแสบและคลองสาขารวม 807,672 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน มีค่าเฉลี่ยความสกปรกหรือบีโอดี (BOD) อยู่ระหว่าง 6.9 -12.2 มิลลิกรัมต่อลิตร (แหล่งน้ําที่มีค่าบีโอดีมากกว่า 8 มิลลิกรัมต่อลิตร ถือเป็นแหล่งน้ําที่มีมลพิษอย่างรุนแรง) ทั้งนี้ ปัญหาน้ําเสียในคลองแสนแสบ ไม่ได้ส่งผลกระทบเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบถึงแม่น้ําบางปะกงในจังหวัดฉะเชิงเทราด้วย เนื่องจากคลองแสนแสบมีความยาวตลอดสายประมาณ 74 กิโลเมตร อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร 47.5 กิโลเมตร และจังหวัดฉะเชิงเทรา 26.5 กิโลเมตร
ขณะที่วิสัยทัศน์ของแผนพัฒนาฟื้นฟู คือเพื่อให้คลองแสนแสบกลับมามีระบบนิเวศอยู่ในเกณฑ์ดี มีระยะเวลาดําเนินการ 11 ปี แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะเร่งด่วน (พ.ศ.2564) ระยะกลาง (พ.ศ.2565 - 2570) และระยะยาว (พ.ศ.2571 - 2574) ซึ่งจะดําเนินการโดย 8 หน่วยงาน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กรมชลประทาน จังหวัดฉะเชิงเทรา องค์การจัดการน้ําเสีย กรมเจ้าท่า กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมมลพิษ และกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยจะขับเคลื่อนภายใต้ 5 เป้าประสงค์ คือ 1.การเสริมสร้างความปลอดภัยในการสัญจรทางน้ําของประชาชน 2.การปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์บริเวณคลองแสนแสบ 3.การแก้ไขปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ําในคลองแสนแสบ 4.การป้องกันปราบปราม การบุกรุกทําลายทรัพยากรในคลองแสนแสบ 5.การบริหารจัดการทรัพยากรน้ําในคลองแสนแสบ รวม 84 โครงการ อาทิ โครงการก่อสร้างระบบรวบรวมน้ําเสีย โครงการก่อสร้างโรงบําบัดน้ําเสีย โครงการก่อสร้างระบบบําบัดน้ําเสีย โครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามคลองแสนแสบ โครงการเดินเรือคลองแสนแสบส่วนต่อขยายระยะทาง 10 กิโลเมตร โครงการต่อเรือไฟฟ้า 12 ลํา และการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางน้ํา เป็นต้น
แหล่งที่มาของงบประมาณแผนพัฒนาฟื้นฟูรวม 82,563 ล้านบาท มาจาก 1.งบประมาณแผ่นดิน ร้อยละ 81.40 2.งบ กทม. ร้อยละ 3.50 และ 3.เงินจากเอกชนร่วมลงทุน (PPP) ร้อยละ 15.10 สําหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากแผนพัฒนาฟื้นฟู อาทิ 1)แก้ไขปัญหามลภาวะและคุณภาพน้ําในคลองแสนแสบอย่างครบวงจร สร้างระบบรวบรวมและบําบัดน้ําเสียรวม 39 แห่ง รองรับการบําบัดน้ําเสียในคลองแสนแสบได้ 1,364,525 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน 2)เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําในคลองแสนแสบ โดยในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถเร่งการระบายน้ําผ่านอุโมงค์ระบายน้ําได้ 30 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และเขื่อนป้องกันตลิ่ง 33.32 กิโลเมตร ช่วยเพิ่มพื้นที่ที่ได้รับการป้องกันน้ําท่วม 96,875 ไร่ ส่วนจังหวัดฉะเชิงเทรา มีสถานีสูบน้ํา ประตูระบายน้ํา เครื่องสูบน้ําและปรับปรุงคลอง ช่วยให้คลองระบายน้ําได้ 60 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ช่วยเพิ่มพื้นที่ที่ได้รับการป้องกันน้ําท่วม 15,625 ไร่ 3)พัฒนาระบบขนส่งและความปลอดภัยทางน้ํา มีท่าเทียบเรือเพิ่มขึ้นครอบคลุมคลองแสนแสบใน กทม. ทั้งสาย โดยใช้เรือไฟฟ้ารองรับการใช้บริการ 800 - 1,000 คนต่อวัน พร้อมติดตั้งกล้องวงจรปิดในท่าเรือ
------------------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49438 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"นายกฯ" ยินดี ชื่นชม โนราไทย โชว์ไกล ถึง "เวนิส" ขอบคุณทุกฝ่ายผลักดัน ซอฟเพาเวอร์ไทย สู่สายตาชาวโลก | วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565
"นายกฯ" ยินดี ชื่นชม โนราไทย โชว์ไกล ถึง "เวนิส" ขอบคุณทุกฝ่ายผลักดัน ซอฟเพาเวอร์ไทย สู่สายตาชาวโลก
รองโฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ยินดี ชื่นชม โนราไทย โชว์ไกล ถึง "เวนิส" ขอบคุณทุกฝ่ายผลักดัน ซอฟเพาเวอร์ไทย สู่สายตาชาวโลก
วันที่28พ.ค.น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมแสดงความยินดีและชื่นชมการเเสดงโนราของผศ.ธรรมนิตย์นิคมรัตน์ศิลปินแห่งชาติประจําปี2564ผู้มุ่งมั่นสืบสาน“มโนราห์”ในโครงการโนราไทยไปเวนิสนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยและกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมปี2022 “มรดกโนรา: Spirit of NORA”ที่เมืองเวนิสประเทศอิตาลีจัดขึ้นระหว่างวันที่26พ.ค. - 3ก.ค. 2565ณPalazzo Pisani Santa Marinaนครเวนิสสาธารณรัฐอิตาลีในรูปแบบเทศกาลศิลปะร่วมสมัยเบียนนาเล่(Biennale)ผ่านนิทรรศการSpirit of NORA: Intangible Culture Heritage Of Thailand
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าการแสดงดังกล่าวเกิดขึ้นจากการผลักดันของสงขลาพาวิเลียนร่วมด้วยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมกระทรวงวัฒนธรรมสภาวัฒนธรรมไทยในสาธารณรัฐอิตาลีฝ่ายศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยศิลปากรและมูลนิธิสงขลาเมืองเก่านอกจากการแสดงรําโนราบนเรือกอนโดลาซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่สําคัญของนครเวนิสแล้วยังมีนิทรรศการมรดกโนราจัดแสดงศิลปะหลากหลายรูปแบบเพื่อนําเสนอเกี่ยวกับโนรา โดยได้รับความสนใจจากชาวนครเวนิสนักท่องเที่ยวรวมถึงคนไทยในนครเวนิสเป็นอย่างมาก
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่านายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ช่วยกันผลักดันศิลปวัฒนธรรมไทยให้ได้เผยแพร่สู่สายตาชาวโลกอันเป็นการส่งเสริมซอฟเพาเวอร์ไทยให้ชาวต่างชาติได้เห็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยที่ทรงคุณค่าและมีเอกลักษณ์โดดเด่นโดยย้ําว่ารัฐบาลมุ่งต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมพร้อมส่งเสริมเครือข่ายผู้สร้างงานศิลปะให้เข้มแข็ง เพื่อพัฒนางานด้านศิลปวัฒนธรรมของไทยสู่สากลสร้างการยอมรับต่อยอดสู่การท่องเที่ยวนําพาสังคมไปสู่ความมั่งคั่งยั่งยืนด้วยทุนทางวัฒนธรรมของคนไทย
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าสําหรับโนราได้รับการยกให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติจากองค์การยูเนสโกมีคุณค่าและความสําคัญในฐานะศิลปะการแสดงที่สืบทอดทางการบูชาบรรพบุรุษและการบูชาทางศาสนาของคนในพื้นที่ภาคใต้โดยนําเสนอนิทานชาดกวรรณกรรมท้องถิ่นปัจจุบันมีการสืบทอดโนราทั้งการแสดงงานฝีมือดนตรีและพิธีกรรมจากรุ่นสู่รุ่นทั้งนี้การขึ้นทะเบียนโนราโดยองค์การยูเนสโกถือเป็นการช่วยส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดีที่จะเป็นผลดีทั้งทางด้านการสืบสานพัฒนาและมูลค่าทางเศรษฐกิจ
———- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"นายกฯ" ยินดี ชื่นชม โนราไทย โชว์ไกล ถึง "เวนิส" ขอบคุณทุกฝ่ายผลักดัน ซอฟเพาเวอร์ไทย สู่สายตาชาวโลก
วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม 2565
"นายกฯ" ยินดี ชื่นชม โนราไทย โชว์ไกล ถึง "เวนิส" ขอบคุณทุกฝ่ายผลักดัน ซอฟเพาเวอร์ไทย สู่สายตาชาวโลก
รองโฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" ยินดี ชื่นชม โนราไทย โชว์ไกล ถึง "เวนิส" ขอบคุณทุกฝ่ายผลักดัน ซอฟเพาเวอร์ไทย สู่สายตาชาวโลก
วันที่28พ.ค.น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมแสดงความยินดีและชื่นชมการเเสดงโนราของผศ.ธรรมนิตย์นิคมรัตน์ศิลปินแห่งชาติประจําปี2564ผู้มุ่งมั่นสืบสาน“มโนราห์”ในโครงการโนราไทยไปเวนิสนิทรรศการศิลปะร่วมสมัยและกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมปี2022 “มรดกโนรา: Spirit of NORA”ที่เมืองเวนิสประเทศอิตาลีจัดขึ้นระหว่างวันที่26พ.ค. - 3ก.ค. 2565ณPalazzo Pisani Santa Marinaนครเวนิสสาธารณรัฐอิตาลีในรูปแบบเทศกาลศิลปะร่วมสมัยเบียนนาเล่(Biennale)ผ่านนิทรรศการSpirit of NORA: Intangible Culture Heritage Of Thailand
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าการแสดงดังกล่าวเกิดขึ้นจากการผลักดันของสงขลาพาวิเลียนร่วมด้วยกรมส่งเสริมวัฒนธรรมกระทรวงวัฒนธรรมสภาวัฒนธรรมไทยในสาธารณรัฐอิตาลีฝ่ายศิลปวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยศิลปากรและมูลนิธิสงขลาเมืองเก่านอกจากการแสดงรําโนราบนเรือกอนโดลาซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่สําคัญของนครเวนิสแล้วยังมีนิทรรศการมรดกโนราจัดแสดงศิลปะหลากหลายรูปแบบเพื่อนําเสนอเกี่ยวกับโนรา โดยได้รับความสนใจจากชาวนครเวนิสนักท่องเที่ยวรวมถึงคนไทยในนครเวนิสเป็นอย่างมาก
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่านายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องที่ช่วยกันผลักดันศิลปวัฒนธรรมไทยให้ได้เผยแพร่สู่สายตาชาวโลกอันเป็นการส่งเสริมซอฟเพาเวอร์ไทยให้ชาวต่างชาติได้เห็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยที่ทรงคุณค่าและมีเอกลักษณ์โดดเด่นโดยย้ําว่ารัฐบาลมุ่งต่อยอดมรดกทางวัฒนธรรมพร้อมส่งเสริมเครือข่ายผู้สร้างงานศิลปะให้เข้มแข็ง เพื่อพัฒนางานด้านศิลปวัฒนธรรมของไทยสู่สากลสร้างการยอมรับต่อยอดสู่การท่องเที่ยวนําพาสังคมไปสู่ความมั่งคั่งยั่งยืนด้วยทุนทางวัฒนธรรมของคนไทย
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่าสําหรับโนราได้รับการยกให้เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติจากองค์การยูเนสโกมีคุณค่าและความสําคัญในฐานะศิลปะการแสดงที่สืบทอดทางการบูชาบรรพบุรุษและการบูชาทางศาสนาของคนในพื้นที่ภาคใต้โดยนําเสนอนิทานชาดกวรรณกรรมท้องถิ่นปัจจุบันมีการสืบทอดโนราทั้งการแสดงงานฝีมือดนตรีและพิธีกรรมจากรุ่นสู่รุ่นทั้งนี้การขึ้นทะเบียนโนราโดยองค์การยูเนสโกถือเป็นการช่วยส่งเสริมคุณค่าทางวัฒนธรรมได้เป็นอย่างดีที่จะเป็นผลดีทั้งทางด้านการสืบสานพัฒนาและมูลค่าทางเศรษฐกิจ
———- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55105 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 3 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 7 ราย | วันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2564
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 3 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 7 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 3 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 7 ราย
1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 23 เพศหญิง อายุ 43 ปี
2) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 23 เพศชาย อายุ 33 ปี
3) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 34 เพศชาย อายุ 45 ปี
4) พนักงานเติมน้ํามันรถโดยสาร อู่มีนบุรี เขตการเดินรถที่ 2 เพศชาย อายุ 56 ปี
5) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 47 เพศชาย อายุ 56 ปี
6) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 25 เพศชาย อายุ 28 ปี
7) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 25 เพศหญิง อายุ 26 ปี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 3 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 7 ราย
วันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2564
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 3 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 7 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 3 กันยายน 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 7 ราย
1) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 23 เพศหญิง อายุ 43 ปี
2) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 23 เพศชาย อายุ 33 ปี
3) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 34 เพศชาย อายุ 45 ปี
4) พนักงานเติมน้ํามันรถโดยสาร อู่มีนบุรี เขตการเดินรถที่ 2 เพศชาย อายุ 56 ปี
5) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 47 เพศชาย อายุ 56 ปี
6) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 25 เพศชาย อายุ 28 ปี
7) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 25 เพศหญิง อายุ 26 ปี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45514 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 9 – 16 ธันวาคม 2564 | วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 9 – 16 ธันวาคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 9 – 16 ธันวาคม 2564 พบการกระทําผิด จํานวน 782 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.51 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2565 (ระหว่างวันที่ 9 – 16 ธันวาคม 2564) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 782 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.51 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 424 คดี ค่าปรับ 3.39 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 283 คดี ค่าปรับ 6.07 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 4 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 19 คดี ค่าปรับ 0.17 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 4 คดี ค่าปรับ 0.20 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 34 คดี ค่าปรับ 0.72 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 14 คดี ค่าปรับ 0.94 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 4,454.650 ลิตร ยาสูบ จํานวน 356,378 ซอง ไพ่ จํานวน 76 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 3,560.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 5,593 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 43 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 16 ธันวาคม 2564 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 5,821 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 122.87 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 2,942 คดี ค่าปรับ 25.49 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 2,159 คดี ค่าปรับ 63.99 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 80 คดี ค่าปรับ 0.71 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 151 คดี ค่าปรับ 14.28 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 29 คดี ค่าปรับ 1.25 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 337 คดี ค่าปรับ จํานวน 7.51 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 123 คดี ค่าปรับ 9.64 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 33,676.735 ลิตร ยาสูบ จํานวน 1,625,819 ซอง ไพ่ จํานวน 3,030 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 392,123.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 33,608 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 405 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://webdev.excise.go.th/act2560/suppress-news/37-2564/732-2565-9-16-2564-61 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 9 – 16 ธันวาคม 2564
วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 9 – 16 ธันวาคม 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 9 – 16 ธันวาคม 2564 พบการกระทําผิด จํานวน 782 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.51 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2565 (ระหว่างวันที่ 9 – 16 ธันวาคม 2564) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 782 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.51 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 424 คดี ค่าปรับ 3.39 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 283 คดี ค่าปรับ 6.07 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 4 คดี ค่าปรับ 0.02 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 19 คดี ค่าปรับ 0.17 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 4 คดี ค่าปรับ 0.20 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 34 คดี ค่าปรับ 0.72 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 14 คดี ค่าปรับ 0.94 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 4,454.650 ลิตร ยาสูบ จํานวน 356,378 ซอง ไพ่ จํานวน 76 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 3,560.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 5,593 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 43 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 16 ธันวาคม 2564 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 5,821 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 122.87 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 2,942 คดี ค่าปรับ 25.49 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 2,159 คดี ค่าปรับ 63.99 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 80 คดี ค่าปรับ 0.71 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 151 คดี ค่าปรับ 14.28 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 29 คดี ค่าปรับ 1.25 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 337 คดี ค่าปรับ จํานวน 7.51 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 123 คดี ค่าปรับ 9.64 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 33,676.735 ลิตร ยาสูบ จํานวน 1,625,819 ซอง ไพ่ จํานวน 3,030 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 392,123.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 33,608 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 405 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://webdev.excise.go.th/act2560/suppress-news/37-2564/732-2565-9-16-2564-61 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49570 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ครม. อนุมัติจ่ายค่ารักษาพยาบาล ฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะ/ไม่ใช่คนไทย กรอบวงเงิน 2,021.4692 ล้านบาท | วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565
ครม. อนุมัติจ่ายค่ารักษาพยาบาล ฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะ/ไม่ใช่คนไทย กรอบวงเงิน 2,021.4692 ล้านบาท
ครม. อนุมัติจ่ายค่ารักษาพยาบาล ฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะ/ไม่ใช่คนไทย กรอบวงเงิน 2,021.4692 ล้านบาท
วันที่ 2 สิงหาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ โครงการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ค่ารักษาพยาบาลแก่กลุ่มผู้ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลโควิด-19 วงเงิน 1,923.1426 ล้านบาท และเห็นชอบโครงการค่าฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิรวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทย วงเงิน 98.3266 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นจริงและได้ดําเนินการไปแล้วในช่วงเดือนตุลาคม 2664- เดือนมิถุนายน 2565
โครงการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ค่ารักษาพยาบาลแก่กลุ่มผู้ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 กรอบวงเงิน 1,923.1426 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยบริการ ในการดําเนินการ การตรวจรักษาพยาบาลกลุ่มคนไร้สิทธิการรักษาซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทย ป้องกันและลดการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 สู่คนไทยจากการเปิดประเทศและเตรียมการสู่โรคประจําถิ่น รวมทั้งเป็นค่าชดเชยค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 กรณีผู้ป่วยที่ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลให้กับหน่วยบริการ กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย คนต่างด้าวไร้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล หรือ ผู้ไร้สัญชาติ หรือ ผู้มีประกันสุขภาพคนต่างด้าวหรือแรงงานต่างด้าว เนื่องจากสิทธิประโยชน์ไม่ครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19 รวมถึงการรักษาพยาบาลของกลุ่มเป้าหมายที่มีอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน
ในส่วนโครงการค่าฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิรวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทย กรอบวงเงิน 98.3266 ล้านบาท เพื่อจ่ายค่าบริการการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แก่บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ รวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทยให้กับหน่วยบริการ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- ครม. อนุมัติจ่ายค่ารักษาพยาบาล ฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะ/ไม่ใช่คนไทย กรอบวงเงิน 2,021.4692 ล้านบาท
วันอังคารที่ 2 สิงหาคม 2565
ครม. อนุมัติจ่ายค่ารักษาพยาบาล ฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะ/ไม่ใช่คนไทย กรอบวงเงิน 2,021.4692 ล้านบาท
ครม. อนุมัติจ่ายค่ารักษาพยาบาล ฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะ/ไม่ใช่คนไทย กรอบวงเงิน 2,021.4692 ล้านบาท
วันที่ 2 สิงหาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรีเห็นชอบ โครงการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ค่ารักษาพยาบาลแก่กลุ่มผู้ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลโควิด-19 วงเงิน 1,923.1426 ล้านบาท และเห็นชอบโครงการค่าฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิรวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทย วงเงิน 98.3266 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นจริงและได้ดําเนินการไปแล้วในช่วงเดือนตุลาคม 2664- เดือนมิถุนายน 2565
โครงการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหาและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ค่ารักษาพยาบาลแก่กลุ่มผู้ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 กรอบวงเงิน 1,923.1426 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายให้กับหน่วยบริการ ในการดําเนินการ การตรวจรักษาพยาบาลกลุ่มคนไร้สิทธิการรักษาซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทย ป้องกันและลดการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 สู่คนไทยจากการเปิดประเทศและเตรียมการสู่โรคประจําถิ่น รวมทั้งเป็นค่าชดเชยค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลโรคโควิด-19 กรณีผู้ป่วยที่ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลให้กับหน่วยบริการ กลุ่มเป้าหมาย ประกอบด้วย คนต่างด้าวไร้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล หรือ ผู้ไร้สัญชาติ หรือ ผู้มีประกันสุขภาพคนต่างด้าวหรือแรงงานต่างด้าว เนื่องจากสิทธิประโยชน์ไม่ครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19 รวมถึงการรักษาพยาบาลของกลุ่มเป้าหมายที่มีอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน
ในส่วนโครงการค่าฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิรวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทย กรอบวงเงิน 98.3266 ล้านบาท เพื่อจ่ายค่าบริการการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แก่บุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ รวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทยให้กับหน่วยบริการ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57539 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" กำชับ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมรับมือหลัง WHO ประกาศโรคฝีดาษวานรเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ | วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" กําชับ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมรับมือหลัง WHO ประกาศโรคฝีดาษวานรเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" กําชับ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมรับมือหลัง WHO ประกาศโรคฝีดาษวานรเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ ย้ําประชาชนปฏิบัติตนตามมาตรการ Universal Prevention ต่อเนื่อง ช่วยป้องกันทั้งโควิดฯ และโรคฝีดาษวานร
วันนี้ (25 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงาน สถานการณ์ในประเทศยังปลอดภัย ไทยยังไม่พบผู้ป่วยโรคฝีดดาษวานรเพิ่มเติม หลังพบชาวชาวไนจีเรียที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยแบบผิดกฎหมาย ยืนยันป่วยเป็นฝีดาษวานรคนแรกหลบนอกออกนอกประเทศ ด้วยความห่วงใยนายกรัฐมนตรีจึงเน้นย้ําให้กระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมทุกด้านและแนวทางรองรับโรคฝีดาษวานรหลังองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้โรคฝีดาษวานรเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern :PHEIC) ตลอดจนกําชับให้สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเฝ้าระมัดระวังผู้เดินทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเป็นพิเศษ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศระดับการเฝ้าระวัง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ระบบสาธารณสุขไทยสามารถ ดูแล และป้องกันการแพร่ระบาดโควิด 19 และฝีดาษวานร ย้ําให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามมาตรการ Universal Prevention อย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดโควิด 19 แล้วยังจะสามารถทําให้ป้องกันโรคฝีดาษวารได้อีกทางหนึ่งด้วย
สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จํานวน 1,740 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศทั้งหมด รวมผู้ป่วยสะสม 2,354,158 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ขณะที่หายป่วยกลับบ้าน 2,425 ราย รวมหายป่วยสะสม 2,353,925 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) โดยมีผู้ป่วยกําลังรักษา 23,985 ราย และเสียชีวิต 32 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 890 ราย ส่วนภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจํานวนผู้ที่ได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2564 - 23 ก.ค. 2565 รวมทั้งสิ้น 141,182,721 โดส จําแนกเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 57,101,910 ราย คิดเป็น 82.1% ของประชากร ผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 53,433,998 ราย คิดเป็น 76.8% ของประชากร และผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ขึ้นไป สะสม 30,646,813 ราย คิดเป็น 44.1% ของประชากร
............................... | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" กำชับ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมรับมือหลัง WHO ประกาศโรคฝีดาษวานรเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" กําชับ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมรับมือหลัง WHO ประกาศโรคฝีดาษวานรเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" กําชับ สธ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เตรียมพร้อมรับมือหลัง WHO ประกาศโรคฝีดาษวานรเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ ย้ําประชาชนปฏิบัติตนตามมาตรการ Universal Prevention ต่อเนื่อง ช่วยป้องกันทั้งโควิดฯ และโรคฝีดาษวานร
วันนี้ (25 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงาน สถานการณ์ในประเทศยังปลอดภัย ไทยยังไม่พบผู้ป่วยโรคฝีดดาษวานรเพิ่มเติม หลังพบชาวชาวไนจีเรียที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยแบบผิดกฎหมาย ยืนยันป่วยเป็นฝีดาษวานรคนแรกหลบนอกออกนอกประเทศ ด้วยความห่วงใยนายกรัฐมนตรีจึงเน้นย้ําให้กระทรวงสาธารณสุขและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมทุกด้านและแนวทางรองรับโรคฝีดาษวานรหลังองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ประกาศให้โรคฝีดาษวานรเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ (Public Health Emergency of International Concern :PHEIC) ตลอดจนกําชับให้สํานักงานตรวจคนเข้าเมืองเฝ้าระมัดระวังผู้เดินทางจากประเทศกลุ่มเสี่ยงเป็นพิเศษ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศระดับการเฝ้าระวัง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ระบบสาธารณสุขไทยสามารถ ดูแล และป้องกันการแพร่ระบาดโควิด 19 และฝีดาษวานร ย้ําให้ประชาชนทุกคนปฏิบัติตามมาตรการ Universal Prevention อย่างเคร่งครัดต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดโควิด 19 แล้วยังจะสามารถทําให้ป้องกันโรคฝีดาษวารได้อีกทางหนึ่งด้วย
สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จํานวน 1,740 ราย เป็นผู้ป่วยในประเทศทั้งหมด รวมผู้ป่วยสะสม 2,354,158 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ขณะที่หายป่วยกลับบ้าน 2,425 ราย รวมหายป่วยสะสม 2,353,925 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) โดยมีผู้ป่วยกําลังรักษา 23,985 ราย และเสียชีวิต 32 ราย ผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 890 ราย ส่วนภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจํานวนผู้ที่ได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2564 - 23 ก.ค. 2565 รวมทั้งสิ้น 141,182,721 โดส จําแนกเป็นผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 57,101,910 ราย คิดเป็น 82.1% ของประชากร ผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 53,433,998 ราย คิดเป็น 76.8% ของประชากร และผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ขึ้นไป สะสม 30,646,813 ราย คิดเป็น 44.1% ของประชากร
............................... | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57207 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Ministry of Labor to provide compensation for workers confined in construction camps | วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564
Ministry of Labor to provide compensation for workers confined in construction camps
Ministry of Labor to provide compensation for workers confined in construction camps
June 26, 2021, Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed about a resolution of Center for COVID-19 Situation Administration (CCSA), following its meeting with public health advisors, to temporarily close down and seal off construction sites in Bangkok and vicinity, and the 4 Southern border provinces, namely, Narathiwat, Pattani, Songkhla and Yala, for one month in a bid to control the COVID-19 pandemic, as the number of disease infected patients has significantly increased in many construction sites.
All workers will be confined within respective sites. Ministry of Labor is assigned to work together with the employers to scrutinize the list of workers in each site, and subsidize related costs incurred, i.e., meals and compensation to the workers during the temporary shutdown. The Ministry will also collaborate with Ministry of Interior to ensure common understanding of the measure among the entrepreneurs, and seek their cooperation to restrict worker movement during the one-month temporary closure. Only workers who are confined in the construction camps will be eligible for compensation, which is considered an event of unemployment due to force majeure. Police and security forces will also be deployed to ensure orderliness and security at each campsite during the one-month closure.
According to the Government Spokesperson, factories in Bangkok and vicinity, and the 4 Southern border provinces may continue their usual operation, but are subject to the Bubble & Seal measure, depending on the level of disease spread risk imposed. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Ministry of Labor to provide compensation for workers confined in construction camps
วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564
Ministry of Labor to provide compensation for workers confined in construction camps
Ministry of Labor to provide compensation for workers confined in construction camps
June 26, 2021, Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed about a resolution of Center for COVID-19 Situation Administration (CCSA), following its meeting with public health advisors, to temporarily close down and seal off construction sites in Bangkok and vicinity, and the 4 Southern border provinces, namely, Narathiwat, Pattani, Songkhla and Yala, for one month in a bid to control the COVID-19 pandemic, as the number of disease infected patients has significantly increased in many construction sites.
All workers will be confined within respective sites. Ministry of Labor is assigned to work together with the employers to scrutinize the list of workers in each site, and subsidize related costs incurred, i.e., meals and compensation to the workers during the temporary shutdown. The Ministry will also collaborate with Ministry of Interior to ensure common understanding of the measure among the entrepreneurs, and seek their cooperation to restrict worker movement during the one-month temporary closure. Only workers who are confined in the construction camps will be eligible for compensation, which is considered an event of unemployment due to force majeure. Police and security forces will also be deployed to ensure orderliness and security at each campsite during the one-month closure.
According to the Government Spokesperson, factories in Bangkok and vicinity, and the 4 Southern border provinces may continue their usual operation, but are subject to the Bubble & Seal measure, depending on the level of disease spread risk imposed. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43149 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยืนยันความปลอดภัยและเร่งสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตลอดทั้งเส้น | วันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยืนยันความปลอดภัยและเร่งสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตลอดทั้งเส้น
...
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยืนยันความปลอดภัยและเร่งสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตลอดทั้งเส้น ขอให้ประชาชนเห็นใจที่อาจจะต้องประสบปัญหาจราจร แนะนําหลีกเลี่ยงเส้นทาง
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เร่งรัดการก่อสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก มีระยะทางรวม 18.7 กิโลเมตร ทั้ง 5 สัญญา ทั้งโครงการตลอด 24 ชั่วโมง โดยปัจจุบันมีความก้าวหน้าทั้งโครงการคิดเป็นร้อยละ 33.46 ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่กําหนดร้อยละ 5.14 และ กทพ. ได้เพิ่มมาตรการความปลอดภัยขณะก่อสร้างให้รัดกุมทุกขั้นตอน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุแก่ประชาชนที่สัญจรในบริเวณดังกล่าว ขอให้ประชาชนเห็นใจเพราะอาจทําให้การจราจรหนาแน่นกว่าปกติ
นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้ประชุมหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในการก่อสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก เพื่อยืนยันมาตรการป้องกันความปลอดภัยในการปฏิบัติงานทุกขั้นตอน เช่น บุคลากรผู้ปฏิบัติงาน เครื่องมือ เครื่องจักร ขั้นตอนวิธีการทํางานก่อสร้าง ตลอดจนการการประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งให้ประชาชนได้ทราบล่วงหน้า โดยมีบริเวณที่อยู่ระหว่างการดําเนินงานก่อสร้าง ดังนี้
จุดที่ 1 ปิดและเบี่ยงการจราจรบริเวณเกาะกลางถนนพระราม 2 กม. ที่ 600+000 - 12+000 ตั้งแต่วันนี้ถึงเดือนตุลาคม 2567
จุดที่ 2 ปิดและเบี่ยงการจราจรบริเวณเกาะกลางถนนพระราม 2 กม. ที่ 600+000 - 1+000 ตั้งแต่วันนี้ถึงเดือนเมษายน 2567
จุดที่ 3 ปิดและเบี่ยงการจราจรบริเวณหลังด่านสุขสวัสดิ์ ขาเข้ากรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2566 และปิดและเบี่ยงการจราจรช่องทางซ้ายช่วงทางลงสะพานพระราม 9 ขาเข้า (ฝั่งธนบุรี) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 - มิถุนายน 2566
จุดที่ 4 ปิดและเบี่ยงการจราจรช่องทางซ้ายช่วงทางลงสะพานพระราม 9 ขาเข้า (ฝั่งกรุงเทพฯ) ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มีนาคม 2566
จุดที่ 5 ปิดเบี่ยงจราจรบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษดาวคะนอง ตั้งแต่เดือนกันยายน2565 - ธันวาคม 2566
ในการนี้ สถิติที่ผ่านมายังไม่มีการเกิดอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิต ถือได้ว่าเป็น “0 Accident” และเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงานและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุแก่ประชาชน กทพ. ขอยืนยันมาตรการความปลอดภัยขณะก่อสร้าง ซึ่งจําเป็นจะต้องปิดและเบี่ยงการจราจรหลายจุดตามที่กล่าวมาอาจจะทําให้ผู้ที่สัญจรผ่านเส้นทางดังกล่าวไม่ได้รับความสะดวก จึงขอให้ประชาชนเห็นใจและใช้ความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณดังกล่าว หากไม่มีความจําเป็นขอให้หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นเป็นการชั่วคราว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยืนยันความปลอดภัยและเร่งสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตลอดทั้งเส้น
วันอังคารที่ 9 สิงหาคม 2565
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยืนยันความปลอดภัยและเร่งสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตลอดทั้งเส้น
...
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยืนยันความปลอดภัยและเร่งสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ตลอดทั้งเส้น ขอให้ประชาชนเห็นใจที่อาจจะต้องประสบปัญหาจราจร แนะนําหลีกเลี่ยงเส้นทาง
การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม เร่งรัดการก่อสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก มีระยะทางรวม 18.7 กิโลเมตร ทั้ง 5 สัญญา ทั้งโครงการตลอด 24 ชั่วโมง โดยปัจจุบันมีความก้าวหน้าทั้งโครงการคิดเป็นร้อยละ 33.46 ซึ่งเร็วกว่าแผนงานที่กําหนดร้อยละ 5.14 และ กทพ. ได้เพิ่มมาตรการความปลอดภัยขณะก่อสร้างให้รัดกุมทุกขั้นตอน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุแก่ประชาชนที่สัญจรในบริเวณดังกล่าว ขอให้ประชาชนเห็นใจเพราะอาจทําให้การจราจรหนาแน่นกว่าปกติ
นายสุรเชษฐ์ เหล่าพูลสุข ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ได้ประชุมหารือกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ในการก่อสร้างโครงการทางพิเศษสายพระราม 3 - ดาวคะนอง - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก เพื่อยืนยันมาตรการป้องกันความปลอดภัยในการปฏิบัติงานทุกขั้นตอน เช่น บุคลากรผู้ปฏิบัติงาน เครื่องมือ เครื่องจักร ขั้นตอนวิธีการทํางานก่อสร้าง ตลอดจนการการประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งให้ประชาชนได้ทราบล่วงหน้า โดยมีบริเวณที่อยู่ระหว่างการดําเนินงานก่อสร้าง ดังนี้
จุดที่ 1 ปิดและเบี่ยงการจราจรบริเวณเกาะกลางถนนพระราม 2 กม. ที่ 600+000 - 12+000 ตั้งแต่วันนี้ถึงเดือนตุลาคม 2567
จุดที่ 2 ปิดและเบี่ยงการจราจรบริเวณเกาะกลางถนนพระราม 2 กม. ที่ 600+000 - 1+000 ตั้งแต่วันนี้ถึงเดือนเมษายน 2567
จุดที่ 3 ปิดและเบี่ยงการจราจรบริเวณหลังด่านสุขสวัสดิ์ ขาเข้ากรุงเทพฯ ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มิถุนายน 2566 และปิดและเบี่ยงการจราจรช่องทางซ้ายช่วงทางลงสะพานพระราม 9 ขาเข้า (ฝั่งธนบุรี) ตั้งแต่เดือนกันยายน 2565 - มิถุนายน 2566
จุดที่ 4 ปิดและเบี่ยงการจราจรช่องทางซ้ายช่วงทางลงสะพานพระราม 9 ขาเข้า (ฝั่งกรุงเทพฯ) ตั้งแต่วันนี้ถึง 30 มีนาคม 2566
จุดที่ 5 ปิดเบี่ยงจราจรบริเวณหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษดาวคะนอง ตั้งแต่เดือนกันยายน2565 - ธันวาคม 2566
ในการนี้ สถิติที่ผ่านมายังไม่มีการเกิดอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิต ถือได้ว่าเป็น “0 Accident” และเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการปฏิบัติงานและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุแก่ประชาชน กทพ. ขอยืนยันมาตรการความปลอดภัยขณะก่อสร้าง ซึ่งจําเป็นจะต้องปิดและเบี่ยงการจราจรหลายจุดตามที่กล่าวมาอาจจะทําให้ผู้ที่สัญจรผ่านเส้นทางดังกล่าวไม่ได้รับความสะดวก จึงขอให้ประชาชนเห็นใจและใช้ความระมัดระวังในการสัญจรผ่านบริเวณดังกล่าว หากไม่มีความจําเป็นขอให้หลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นเป็นการชั่วคราว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57795 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" แนะนำฉีดวัคซีนชนิดใดก็ได้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น/เข็มที่ 4 เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ไม่ต่างกัน | วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" แนะนําฉีดวัคซีนชนิดใดก็ได้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น/เข็มที่ 4 เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ไม่ต่างกัน
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" แนะนําฉีดวัคซีนชนิดใดก็ได้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น/เข็มที่ 4 เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ไม่ต่างกัน สธ. ยืนยันสํารองยาและเวชภัณฑ์เพียงพอ พร้อมเสริมความมั่นคงทางสาธารณสุข
วันนี้ (21 ก.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แนะนําให้ประชาชนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และกลุ่มเสี่ยง 608 ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น/เข็มที่ 4 โดยจะฉีดวัคซีนชนิดใดก็ได้ ทั้ง แอสตร้าเซเนก้า ไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา เนื่องจากมีรายงานว่า ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์โอมิครอนได้สูงถึง ร้อยละ 73 ร้อยละ 71 และร้อยละ 71 ตามลําดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ได้รับวัคซีนเพียง 3 เข็ม ซึ่งวัคซีนทั้งสองชนิดไม่ว่าจะเป็นชนิด mRNA หรือ Virus Vector ก็มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ไม่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มจะช่วยป้องกันอาการรุนแรงและการเสียชีวิตจากสายพันธุ์โอมิครอนได้สูงถึง ร้อยละ 96 ในกลุ่มอายุ 18-59 ปี และ ร้อยละ 97 ในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ดังนั้น ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่ม 608 จึงควรให้ความสําคัญในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้ตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดมากที่สุด เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อการป่วยหนักและลดการเสียชีวิต
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้รับการยืนยันจากกระทรวงสาธารณสุขว่า ยาและเวชภัณฑ์ที่ใช้สําหรับการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีเพียงพอ โดยล่าสุดสถานการณ์ยาคงเหลือ ณ วันที่ 2 ก.ค. 2565 พบว่า ยา Favipiravir 200 mg คงเหลือ7,196,268 เม็ด ยา Molnupiravir 200 mg คงเหลือ 4,092,423 เม็ด และยา Remdesivir 100 mg คงเหลือ 38,691 vial ล่าสุดคณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติโครงการจัดหายารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ระยะเวลาดําเนินงาน 3 เดือน (ก.ค. -ก.ย. 65) ในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ (ของใหม่) ได้แก่ Favipiravia/Molnupiravia เฉลี่ย 27 ล้านเม็ด/เดือน และ Remdesivir จํานวน 57,000 vial/เดือน รวมทั้งเป็นการแบ่งค้างชําระสําหรับ Favipiravia/Molnupiravia 165 ล้านเม็ด และค่าชุดตรวจ ATK จํานวน 1 ล้านชุด อีกด้วย เพื่อเสริมความมั่นคงทางสาธารณสุข เพิ่มความมั่นใจในประสิทธิภาพการรักษาโควิด-19 ให้กับประชาชน
สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 2,607 ราย ผู้เสียชีวิต 23 ราย ผู้ที่กําลังรักษาตัว 23,445 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 2,318 ราย ทําให้มียอดผู้ป่วย ยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จํานวน 2,345,026 ราย จํานวนผู้ที่หายป่วยสะสมจํานวน 2,345,449 ราย จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 854 ราย
ขณะที่รายงานภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจํานวนผู้ที่ได้รับได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 - 18 ก.ค. 65 รวม 140,756,696 โดส ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 57,062,295 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 53,337,656 โดส และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ขึ้นไป สะสม 30,365,745 โดส // | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" แนะนำฉีดวัคซีนชนิดใดก็ได้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น/เข็มที่ 4 เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ไม่ต่างกัน
วันพฤหัสบดีที่ 21 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" แนะนําฉีดวัคซีนชนิดใดก็ได้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น/เข็มที่ 4 เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ไม่ต่างกัน
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" แนะนําฉีดวัคซีนชนิดใดก็ได้เป็นวัคซีนเข็มกระตุ้น/เข็มที่ 4 เนื่องจากมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 ลดการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ไม่ต่างกัน สธ. ยืนยันสํารองยาและเวชภัณฑ์เพียงพอ พร้อมเสริมความมั่นคงทางสาธารณสุข
วันนี้ (21 ก.ค. 65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แนะนําให้ประชาชนที่ยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น และกลุ่มเสี่ยง 608 ให้เข้ารับการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น/เข็มที่ 4 โดยจะฉีดวัคซีนชนิดใดก็ได้ ทั้ง แอสตร้าเซเนก้า ไฟเซอร์ หรือโมเดอร์นา เนื่องจากมีรายงานว่า ประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์โอมิครอนได้สูงถึง ร้อยละ 73 ร้อยละ 71 และร้อยละ 71 ตามลําดับ ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ได้รับวัคซีนเพียง 3 เข็ม ซึ่งวัคซีนทั้งสองชนิดไม่ว่าจะเป็นชนิด mRNA หรือ Virus Vector ก็มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ไม่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม ผู้ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็มจะช่วยป้องกันอาการรุนแรงและการเสียชีวิตจากสายพันธุ์โอมิครอนได้สูงถึง ร้อยละ 96 ในกลุ่มอายุ 18-59 ปี และ ร้อยละ 97 ในกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป ดังนั้น ประชาชนทุกคน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และกลุ่ม 608 จึงควรให้ความสําคัญในการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้ตามเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนดมากที่สุด เพื่อให้เกิดความปลอดภัย ลดความเสี่ยงต่อการป่วยหนักและลดการเสียชีวิต
พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้รับการยืนยันจากกระทรวงสาธารณสุขว่า ยาและเวชภัณฑ์ที่ใช้สําหรับการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีเพียงพอ โดยล่าสุดสถานการณ์ยาคงเหลือ ณ วันที่ 2 ก.ค. 2565 พบว่า ยา Favipiravir 200 mg คงเหลือ7,196,268 เม็ด ยา Molnupiravir 200 mg คงเหลือ 4,092,423 เม็ด และยา Remdesivir 100 mg คงเหลือ 38,691 vial ล่าสุดคณะรัฐมนตรียังได้อนุมัติโครงการจัดหายารักษาผู้ป่วยโควิด-19 ระยะเวลาดําเนินงาน 3 เดือน (ก.ค. -ก.ย. 65) ในการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ (ของใหม่) ได้แก่ Favipiravia/Molnupiravia เฉลี่ย 27 ล้านเม็ด/เดือน และ Remdesivir จํานวน 57,000 vial/เดือน รวมทั้งเป็นการแบ่งค้างชําระสําหรับ Favipiravia/Molnupiravia 165 ล้านเม็ด และค่าชุดตรวจ ATK จํานวน 1 ล้านชุด อีกด้วย เพื่อเสริมความมั่นคงทางสาธารณสุข เพิ่มความมั่นใจในประสิทธิภาพการรักษาโควิด-19 ให้กับประชาชน
สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 2,607 ราย ผู้เสียชีวิต 23 ราย ผู้ที่กําลังรักษาตัว 23,445 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 2,318 ราย ทําให้มียอดผู้ป่วย ยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จํานวน 2,345,026 ราย จํานวนผู้ที่หายป่วยสะสมจํานวน 2,345,449 ราย จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 854 ราย
ขณะที่รายงานภาพรวมการฉีดวัคซีนโควิด-19 สรุปจํานวนผู้ที่ได้รับได้รับวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ. 64 - 18 ก.ค. 65 รวม 140,756,696 โดส ใน 77 จังหวัด แบ่งเป็นผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 สะสม 57,062,295 โดส ผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 สะสม 53,337,656 โดส และผู้ได้รับวัคซีนเข็มที่ 3 ขึ้นไป สะสม 30,365,745 โดส // | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57087 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs Presided Over Thailand’s Inventor’s Day 2021 & 2022 | วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565
Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs Presided Over Thailand’s Inventor’s Day 2021 & 2022
Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs Presided Over Thailand’s Inventor’s Day 2021 & 2022
Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs presided over Thailand’s Inventor’s Day 2021 & 2022 and awarded a total of 78 awards to distinguished researchers for outstanding research within their respective fields, while also visiting booths set up by various parties ranging from the public sector, the private sector, as well as students from various institutions.
On 2 February 2022, H.E. Mr. Don Pramudwinai, Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand presided over Thailand’s Inventor’s Day 2021 & 2022 under the concept of “New Ways to Cherish Life, Paving the Way for Inventions and Innovation.” The event was hosted by the National Research Council of Thailand and the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation; and was well attended by around 500 people including Adj. Prof. Dr. Anek Laothamatas, the Minister of Higher Education, Science, Research and Innovation; Prof. Dr. Sirirurg Songsivilai, MD, the Permanent Secretary of the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation; and Dr. Wiparat De-ong, Executive Director of the National Research Council of Thailand.
Thailand’s Inventor’s Day 2021 & 2022 is the 23rd Inventor’s Day and is being held from 2-6 February 2022. The event was established to act as a national stage for displaying andpublicizinginventions and innovations to the public to motivate and inspire future innovators as well as the future generation.
During the event, the Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs awarded 78out of 309 awardsto distinguished researchers for outstanding research from various fields. Notable papers include papers such as, “Tilapia Lake Virus Disease: From the Discovery to Knowledge-based Information for Sustainable Disease Prevention and Control,” “Development of Novel Techniques for 3D Optical Tomography,” “Identification of a New Human Disease Gene for Epilepsy and an Abnormal Movement,” and many more.
In addition, the Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs visited a variety of booths including inventions and innovations on national security, agriculture, technology for the future, education and learning, the elderly and disabled, and green technology. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs Presided Over Thailand’s Inventor’s Day 2021 & 2022
วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565
Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs Presided Over Thailand’s Inventor’s Day 2021 & 2022
Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs Presided Over Thailand’s Inventor’s Day 2021 & 2022
Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs presided over Thailand’s Inventor’s Day 2021 & 2022 and awarded a total of 78 awards to distinguished researchers for outstanding research within their respective fields, while also visiting booths set up by various parties ranging from the public sector, the private sector, as well as students from various institutions.
On 2 February 2022, H.E. Mr. Don Pramudwinai, Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs of the Kingdom of Thailand presided over Thailand’s Inventor’s Day 2021 & 2022 under the concept of “New Ways to Cherish Life, Paving the Way for Inventions and Innovation.” The event was hosted by the National Research Council of Thailand and the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation; and was well attended by around 500 people including Adj. Prof. Dr. Anek Laothamatas, the Minister of Higher Education, Science, Research and Innovation; Prof. Dr. Sirirurg Songsivilai, MD, the Permanent Secretary of the Ministry of Higher Education, Science, Research and Innovation; and Dr. Wiparat De-ong, Executive Director of the National Research Council of Thailand.
Thailand’s Inventor’s Day 2021 & 2022 is the 23rd Inventor’s Day and is being held from 2-6 February 2022. The event was established to act as a national stage for displaying andpublicizinginventions and innovations to the public to motivate and inspire future innovators as well as the future generation.
During the event, the Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs awarded 78out of 309 awardsto distinguished researchers for outstanding research from various fields. Notable papers include papers such as, “Tilapia Lake Virus Disease: From the Discovery to Knowledge-based Information for Sustainable Disease Prevention and Control,” “Development of Novel Techniques for 3D Optical Tomography,” “Identification of a New Human Disease Gene for Epilepsy and an Abnormal Movement,” and many more.
In addition, the Deputy Prime Minister and Minister of Foreign Affairs visited a variety of booths including inventions and innovations on national security, agriculture, technology for the future, education and learning, the elderly and disabled, and green technology. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51219 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงวันที่ 5 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น. | วันอังคารที่ 5 ตุลาคม 2564
กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงวันที่ 5 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น.
สําหรับสถานการณ์ประจําวันที่ 5 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น. พบทางหลวงถูกน้ําท่วม/ดินสไลด์ และสะพานชํารุด จํานวน 13 จังหวัด 30 สายทาง รวม 55 แห่ง การจราจรผ่านได้ 34 แห่ง ผ่านไม่ได้ 21 แห่ง
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีความห่วงใยต่อประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วม จึงได้กําชับหน่วยงานในสังกัดให้เร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างเต็มกําลัง พร้อมทั้งให้ติดตามเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนได้รับความปลอดภัยอย่างทันท่วงที และให้รายงานผลการดําเนินงานมายังกระทรวงฯ ทุกวัน และประชาสัมพันธ์การดําเนินการไปยังสื่อมวลชนและประชาชนให้รับทราบด้วย
ทั้งนี้ กรมทางหลวงได้เตรียมพร้อมเครื่องมือ เครื่องจักร สะพานเบลีย์ และจัดเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลืออํานวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชนตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกําชับหน่วยงานในพื้นที่ให้เตรียมพร้อมและเฝ้าระวังเป็นพิเศษ กรณีน้ําท่วมสูงได้ติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแนะนําเส้นทาง หลักนําทาง ไฟกะพริบ จัดเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวกด้านการจราจร เร่งสูบระบายน้ําออกจากพื้นที่ วางแท่งแบริเออร์ เรียงกระสอบทราย และกําแพงดินเพื่อชะลอน้ํา กรณีถนนหรือสะพานขาด/ชํารุด ได้เร่งติดตั้งสะพานเบลีย์เชื่อมทาง และกรณีดินไหล่เขาข้างทาง Slide ได้นําเครื่องจักรเขาเกลี่ยดินออกเพื่อให้ประชาชนสัญจรได้สะดวก นอกจากนี้ ได้ตั้งจุดให้บริการประชาชน จัดรถ Mobile Service ช่วยเหลือประชาชนกรณีรถเสียบนทางหลวง ช่วยขนย้ายประชาชนและสิ่งของไปยังพื้นที่ปลอดภัย จัดรถบรรทุกไว้บริการรับส่งประชาชนในพื้นที่ประสบภัย แจกจ่ายอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค และช่วยล้างทําความสะอาดเก็บกวาดบ้านเรือนเพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ให้ประชาชนในพื้นที่น้ําลดน้ํา และได้กําชับหน่วยงานในสังกัดกรณีเกิดภัยพิบัติให้ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย และสนับสนุนเครื่องมือเครื่องจักร ยานพาหนะ กรณีมีการร้องขอจากหน่วยงานอื่น ๆ หรือประชาชน
สําหรับสถานการณ์ประจําวันที่ 5 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น. พบทางหลวงถูกน้ําท่วม/ดินสไลด์ และสะพานชํารุดจํานวน 13 จังหวัด 30 สายทาง รวม 55 แห่ง การจราจรผ่านได้ 34 แห่ง ผ่านไม่ได้ 21 แห่ง ดังนี้
1. จังหวัดขอนแก่น (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง)
- ทล. 2 ท่าพระ - ขอนแก่น (จุดกลับรถใต้สะพานบ้านกุดกว้าง) ระดับน้ําสูง 150 เซนติเมตร
2. จังหวัดนนทบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง)
- ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า - ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 16+950 ระดับน้ําสูง 30 - 35 เซนติเมตร ใช้จุดกลับรถต่างระดับบางใหญ่ที่ กม. 18+500 แทน
- ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า - ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 17+000 ระดับน้ําสูง 30 - 35 เซนติเมตร ใช้จุดกลับรถใต้สะพานคลองบางไผ่ที่ กม. 16+600 ทดแทน
3. จังหวัดสระบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง)
- ทล.3020 พระพุทธบาท - หนองโดน ช่วง กม. ที่ 7+301 (คอสะพานหนองโดนถูกน้ํากัดเซาะชํารุดการจราจรผ่านไม่ได้ ปิดการใช้สะพานทั้งสองฝั่ง)
4. จังหวัดอ่างทอง (การจราจรผ่านไม่ได้ 6 แห่ง)
- ทล.33 นาคู - ป่าโมก ช่วง กม. ที่ 36+000 - 36+200 (จุดกลับรถใต้สะพานฝั่งป่าโมก) ระดับน้ําสูง 40 เซนติเมตร
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 33+200 จุดกลับรถใต้ท่อ Box Cul. (วัดค่าย) ระดับน้ําสูง 60 เซนติเมตร
- ทล.32 อ่างทอง - ไชโย กม.57+500 (จุดกลับรถบางศาลา) ระดับน้ําสูง 40 เซนติเมตร
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 32+607 (จุดกลับรถคลองกะท่อ) ระดับน้ําสูง150 เซนติเมตร เส้นหลักผ่านได้ จุดกลับรถผ่านไม่ได้
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 39+843 (จุดกลับรถวัดดอกไม้) ระดับน้ําสูง 50 - 55 เซนติเมตร เส้นหลักผ่านได้ จุดกลับรถผ่านไม่ได้
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 43+719 (จุดกลับรถหลวงปู่ทวด) ระดับน้ําสูง 25 เซนติเมตร เส้นหลักผ่านได้ จุดกลับรถผ่านไม่ได้
5. จังหวัดลพบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง)
- ทล.1 แยกโรงพยาบาลอานันทมหิดล - โคกสําโรง ช่วง กม. ที่ 168+228 - 169+328 ระดับน้ําสูง 50 เซนติเมตร ทางเลี่ยงจังหวัดลพบุรี เลี้ยวที่ กม. 170 เข้าวัดหนองคู
- ทล.3019 สามแยกโคกกระเทียม - สถานีรถไฟโคกกระเทียม ช่วง กม. ที่ 1+750 - 1+825 ระดับน้ําสูง 50 เซนติเมตร ทางเลี่ยงใช้ทางท้องถิ่นแทน
- ทล.3024 บ้านหมี่ - เขาช่องลม ช่วง กม. ที่ 5+600 - 7+300 ระดับน้ําสูง 150 เซนติเมตร ทางเลี่ยงใช้ทางท้องถิ่นแทน
6. จังหวัดกําแพงเพชร (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง)
- ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม. ที่ 419+036 (จุดกลับรถคลองพะยอม) ระดับน้ําสูง 40 เซนติเมตร
- ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม. ที่ 432+030 (จุดกลับรถคลองสุวรรณ) ระดับน้ําสูง 20 เซนติเมตร
7. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง)
- ทล.347 บางกระสั้น - บางปะหัน ช่วง กม. ที่ 40+860 (จุดกลับรถใต้สะพานข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา) ระดับน้ําสูง
45 เซนติเมตร.
- ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 10+940 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ําสูง165 เซนติเมตร ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน
- ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 11+100 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ําสูง165 เซนติเมตร ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน
8. จังหวัดสุพรรณบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง)
- ทล.33 สุพรรณบุรี - นาคู ช่วง กม. ที่ 9+886 (สะพานคลองทับน้ํา) ระดับน้ําสูง 55 เซนติเมตร
- ทล.340 สาลี - สุพรรณบุรี ช่วง กม. ที่ 59+674 (สะพานศาลเจ้าแม่ทับทิม) ระดับน้ําสูง100 เซนติเมตร
9. จังหวัดนครสวรรค์ (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง)
- ทล.1 บ้านหว้า - วังไผ่ ช่วง กม. ที่ 339+600 ใต้สะพานเดชาติวงศ์ ระดับน้ําสูง 105 เซนติเมตรใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงเส้นทางที่คาดว่าจะเกิดความสุ่มเสี่ยง พร้อมขอให้ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนําและคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่ สํานักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง โทร.1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางได้ที่ Twitter กรมทางหลวง @prdoh1 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงวันที่ 5 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น.
วันอังคารที่ 5 ตุลาคม 2564
กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงวันที่ 5 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น.
สําหรับสถานการณ์ประจําวันที่ 5 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น. พบทางหลวงถูกน้ําท่วม/ดินสไลด์ และสะพานชํารุด จํานวน 13 จังหวัด 30 สายทาง รวม 55 แห่ง การจราจรผ่านได้ 34 แห่ง ผ่านไม่ได้ 21 แห่ง
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีความห่วงใยต่อประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ําท่วม จึงได้กําชับหน่วยงานในสังกัดให้เร่งช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างเต็มกําลัง พร้อมทั้งให้ติดตามเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ประชาชนได้รับความปลอดภัยอย่างทันท่วงที และให้รายงานผลการดําเนินงานมายังกระทรวงฯ ทุกวัน และประชาสัมพันธ์การดําเนินการไปยังสื่อมวลชนและประชาชนให้รับทราบด้วย
ทั้งนี้ กรมทางหลวงได้เตรียมพร้อมเครื่องมือ เครื่องจักร สะพานเบลีย์ และจัดเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลืออํานวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชนตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกําชับหน่วยงานในพื้นที่ให้เตรียมพร้อมและเฝ้าระวังเป็นพิเศษ กรณีน้ําท่วมสูงได้ติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแนะนําเส้นทาง หลักนําทาง ไฟกะพริบ จัดเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวกด้านการจราจร เร่งสูบระบายน้ําออกจากพื้นที่ วางแท่งแบริเออร์ เรียงกระสอบทราย และกําแพงดินเพื่อชะลอน้ํา กรณีถนนหรือสะพานขาด/ชํารุด ได้เร่งติดตั้งสะพานเบลีย์เชื่อมทาง และกรณีดินไหล่เขาข้างทาง Slide ได้นําเครื่องจักรเขาเกลี่ยดินออกเพื่อให้ประชาชนสัญจรได้สะดวก นอกจากนี้ ได้ตั้งจุดให้บริการประชาชน จัดรถ Mobile Service ช่วยเหลือประชาชนกรณีรถเสียบนทางหลวง ช่วยขนย้ายประชาชนและสิ่งของไปยังพื้นที่ปลอดภัย จัดรถบรรทุกไว้บริการรับส่งประชาชนในพื้นที่ประสบภัย แจกจ่ายอาหารเครื่องอุปโภคบริโภค และช่วยล้างทําความสะอาดเก็บกวาดบ้านเรือนเพื่อเป็นการบรรเทาทุกข์ให้ประชาชนในพื้นที่น้ําลดน้ํา และได้กําชับหน่วยงานในสังกัดกรณีเกิดภัยพิบัติให้ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย และสนับสนุนเครื่องมือเครื่องจักร ยานพาหนะ กรณีมีการร้องขอจากหน่วยงานอื่น ๆ หรือประชาชน
สําหรับสถานการณ์ประจําวันที่ 5 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น. พบทางหลวงถูกน้ําท่วม/ดินสไลด์ และสะพานชํารุดจํานวน 13 จังหวัด 30 สายทาง รวม 55 แห่ง การจราจรผ่านได้ 34 แห่ง ผ่านไม่ได้ 21 แห่ง ดังนี้
1. จังหวัดขอนแก่น (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง)
- ทล. 2 ท่าพระ - ขอนแก่น (จุดกลับรถใต้สะพานบ้านกุดกว้าง) ระดับน้ําสูง 150 เซนติเมตร
2. จังหวัดนนทบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง)
- ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า - ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 16+950 ระดับน้ําสูง 30 - 35 เซนติเมตร ใช้จุดกลับรถต่างระดับบางใหญ่ที่ กม. 18+500 แทน
- ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า - ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 17+000 ระดับน้ําสูง 30 - 35 เซนติเมตร ใช้จุดกลับรถใต้สะพานคลองบางไผ่ที่ กม. 16+600 ทดแทน
3. จังหวัดสระบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง)
- ทล.3020 พระพุทธบาท - หนองโดน ช่วง กม. ที่ 7+301 (คอสะพานหนองโดนถูกน้ํากัดเซาะชํารุดการจราจรผ่านไม่ได้ ปิดการใช้สะพานทั้งสองฝั่ง)
4. จังหวัดอ่างทอง (การจราจรผ่านไม่ได้ 6 แห่ง)
- ทล.33 นาคู - ป่าโมก ช่วง กม. ที่ 36+000 - 36+200 (จุดกลับรถใต้สะพานฝั่งป่าโมก) ระดับน้ําสูง 40 เซนติเมตร
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 33+200 จุดกลับรถใต้ท่อ Box Cul. (วัดค่าย) ระดับน้ําสูง 60 เซนติเมตร
- ทล.32 อ่างทอง - ไชโย กม.57+500 (จุดกลับรถบางศาลา) ระดับน้ําสูง 40 เซนติเมตร
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 32+607 (จุดกลับรถคลองกะท่อ) ระดับน้ําสูง150 เซนติเมตร เส้นหลักผ่านได้ จุดกลับรถผ่านไม่ได้
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 39+843 (จุดกลับรถวัดดอกไม้) ระดับน้ําสูง 50 - 55 เซนติเมตร เส้นหลักผ่านได้ จุดกลับรถผ่านไม่ได้
- ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 43+719 (จุดกลับรถหลวงปู่ทวด) ระดับน้ําสูง 25 เซนติเมตร เส้นหลักผ่านได้ จุดกลับรถผ่านไม่ได้
5. จังหวัดลพบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง)
- ทล.1 แยกโรงพยาบาลอานันทมหิดล - โคกสําโรง ช่วง กม. ที่ 168+228 - 169+328 ระดับน้ําสูง 50 เซนติเมตร ทางเลี่ยงจังหวัดลพบุรี เลี้ยวที่ กม. 170 เข้าวัดหนองคู
- ทล.3019 สามแยกโคกกระเทียม - สถานีรถไฟโคกกระเทียม ช่วง กม. ที่ 1+750 - 1+825 ระดับน้ําสูง 50 เซนติเมตร ทางเลี่ยงใช้ทางท้องถิ่นแทน
- ทล.3024 บ้านหมี่ - เขาช่องลม ช่วง กม. ที่ 5+600 - 7+300 ระดับน้ําสูง 150 เซนติเมตร ทางเลี่ยงใช้ทางท้องถิ่นแทน
6. จังหวัดกําแพงเพชร (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง)
- ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม. ที่ 419+036 (จุดกลับรถคลองพะยอม) ระดับน้ําสูง 40 เซนติเมตร
- ทล.1 ตอนโนนปอแดง - ปากดง ช่วง กม. ที่ 432+030 (จุดกลับรถคลองสุวรรณ) ระดับน้ําสูง 20 เซนติเมตร
7. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (การจราจรผ่านไม่ได้ 3 แห่ง)
- ทล.347 บางกระสั้น - บางปะหัน ช่วง กม. ที่ 40+860 (จุดกลับรถใต้สะพานข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา) ระดับน้ําสูง
45 เซนติเมตร.
- ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 10+940 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ําสูง165 เซนติเมตร ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน
- ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 11+100 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ําสูง165 เซนติเมตร ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน
8. จังหวัดสุพรรณบุรี (การจราจรผ่านไม่ได้ 2 แห่ง)
- ทล.33 สุพรรณบุรี - นาคู ช่วง กม. ที่ 9+886 (สะพานคลองทับน้ํา) ระดับน้ําสูง 55 เซนติเมตร
- ทล.340 สาลี - สุพรรณบุรี ช่วง กม. ที่ 59+674 (สะพานศาลเจ้าแม่ทับทิม) ระดับน้ําสูง100 เซนติเมตร
9. จังหวัดนครสวรรค์ (การจราจรผ่านไม่ได้ 1 แห่ง)
- ทล.1 บ้านหว้า - วังไผ่ ช่วง กม. ที่ 339+600 ใต้สะพานเดชาติวงศ์ ระดับน้ําสูง 105 เซนติเมตรใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงเส้นทางที่คาดว่าจะเกิดความสุ่มเสี่ยง พร้อมขอให้ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนําและคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่ สํานักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง โทร.1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางได้ที่ Twitter กรมทางหลวง @prdoh1 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46575 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบ กฟน.แจงเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินล่าช้ากว่าแผน และเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า เหตุเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มระดับความลึกเพื่อหลบอุปสรรค | วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565
ครม.รับทราบ กฟน.แจงเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินล่าช้ากว่าแผน และเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า เหตุเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มระดับความลึกเพื่อหลบอุปสรรค
ครม.รับทราบ กฟน.แจงเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินล่าช้ากว่าแผน และเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า เหตุเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มระดับความลึกเพื่อหลบอุปสรรค และการได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ล่าช้า
วันที่ 17 พ.ค. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายงานผลการดําเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)ปี 2564 ซึ่งตามแผนโครงการดังกล่าว กฟน.รับผิดชอบดูแลครอบคลุมพื้นที่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ระยะทางรวม 236.1 กิโลเมตร กรอบระยะเวลาดําเนินการตั้งแต่ปี 2527-2570 รวม 8 แผนงาน ดําเนินการแล้วเสร็จ 55.7 กิโลเมตร และมีแผนงานที่อยู่ระหว่างดําเนินการระยะทาง 180.4 กิโลเมตร ประกอบด้วย แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินปี 2551-2556 (ฉบับปรับปรุง) ระยะทางรวม 25.2 กิโลเมตร อยู่ระหว่างดําเนินการ 17.2 กิโลเมตร มีกําหนดแล้วเสร็จปี 2567 ช้ากว่าแผนร้อยละ 5.41 ได้แก่ โครงการนนทรีระยะทาง 6.3 กิโลเมตร, โครงการพระราม 3ระยะทาง 10.9 กิโลเมตร
ส่วนแผนงานเปลี่ยนระบบไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินรัชดาภิเษก ระยะทางรวม 22.5 กิโลเมตร มีกําหนดแล้วเสร็จปี 2568 ช้ากว่าแผนร้อยละ 13.84 ดังนี้ โครงการรัชดาภิเษก-อโศก ระยะทาง 8.2 กิโลเมตร, โครงการรัชดาภิเษก-พระราม 9 ระยะทาง 14.3 กิโลเมตร และแผนงานเปลี่ยนระบบไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียน รวมระยะทาง 127.3 กิโลเมตร มีกําหนดแล้วเสร็จปี 2568 อยู่ระหว่างดําเนินการ 120.2 กิโลเมตร ช้ากว่าแผนร้อยละ 2.45 ดังนี้
1.โครงการพื้นที่เมืองชั้นในรวม 12.6 กิโลเมตร ได้แก่ ถนนวิทยุ 2.1 กิโลเมตร, ถนนพระราม 4 ระยะทาง 2.3 กิโลเมตร , ถนนอังรีดูนังต์ 1.8 กิโลเมตร, ถนนชิดลม 0.7 กิโลเมตร, ถนนสาทร 3.6 กิโลเมตร, ถนนหลังสวน 1.3 กิโลเมตร และถนนสารสิน 0.8 กิโลเมตร
2. โครงการในพื้นที่เชื่อมโยงระบบส่งระหว่างสถานีไฟฟ้าต้นทาง รวม 7.4 กิโลเมตร ได้แก่ ถนนเจริญราษฎร์ 3.8 กิโลเมตร ,ถนนเพชรบุรี 1 กิโลเมตร และถนนดินแดง 2.6 กิโลเมตร
3.โครงการในพื้นที่ก่อสร้างร่วมกับหน่วยงานสาธารณูปโภคอื่นรวม 100.2 กิโลเมตร ได้แก่ โครงการในพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้า 87.1 กิโลเมตร และโครงการในพื้นที่ร่วมกรุงเทพมหานคร 13.1 กิโลเมตร เช่น ถนนพรานนก
ขณะที่แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินฉบับปฏิบัติการเร่งรัด ระยะทางรวม 20.5 กิโลเมตร มีกําหนดแล้วเสร็จปี 2570 ช้ากว่าแผนร้อยละ 4 ได้แก่ โครงการตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ถนนรัตนาธิเบศร์ 4.4 กิโลเมตร,โครงการตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี ถึง ถนนติวานนท์ 10.6 กิโลเมตร และโครงการตามแนวรถไฟฟ้า สายสีเขียว ถนนสุขุมวิท ซอยสุขุมวิท81-ซอยสุขุมวิท107 ระยะทาง 5.5 กิโลเมตร สําหรับการเบิกจ่ายงบประมาณ กฟน.ได้วางแผนการเบิกจ่ายเงินในปี 2564 จํานวน 4,161 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2564 เบิกจ่ายเงินได้รวม 2,276 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 54.71 ของแผนการเบิกจ่าย
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า แผนการดําเนินงานในระยะต่อไป กฟน. ได้ติดตามเร่งรัดการดําเนินการตามแผนงานให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กําหนด แต่เนื่องจากในระหว่างการดําเนินการก่อสร้าง พบปัญหาอุปสรรค ทําให้การก่อสร้างไม่เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กําหนด จึงจําเป็นต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบ เช่น การเพิ่มระดับความลึกของบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อหลบอุปสรรค รวมทั้งปัญหาการได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ล่าช้า ทําให้เริ่มงานก่อสร้างได้ช้ากว่าแผนงานที่กําหนด จากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้ากว่าแผนงานที่กําหนด | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.รับทราบ กฟน.แจงเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินล่าช้ากว่าแผน และเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า เหตุเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มระดับความลึกเพื่อหลบอุปสรรค
วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565
ครม.รับทราบ กฟน.แจงเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินล่าช้ากว่าแผน และเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า เหตุเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มระดับความลึกเพื่อหลบอุปสรรค
ครม.รับทราบ กฟน.แจงเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินล่าช้ากว่าแผน และเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า เหตุเปลี่ยนแปลงแบบเพิ่มระดับความลึกเพื่อหลบอุปสรรค และการได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ล่าช้า
วันที่ 17 พ.ค. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายงานผลการดําเนินการตามแผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินของการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)ปี 2564 ซึ่งตามแผนโครงการดังกล่าว กฟน.รับผิดชอบดูแลครอบคลุมพื้นที่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ระยะทางรวม 236.1 กิโลเมตร กรอบระยะเวลาดําเนินการตั้งแต่ปี 2527-2570 รวม 8 แผนงาน ดําเนินการแล้วเสร็จ 55.7 กิโลเมตร และมีแผนงานที่อยู่ระหว่างดําเนินการระยะทาง 180.4 กิโลเมตร ประกอบด้วย แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินปี 2551-2556 (ฉบับปรับปรุง) ระยะทางรวม 25.2 กิโลเมตร อยู่ระหว่างดําเนินการ 17.2 กิโลเมตร มีกําหนดแล้วเสร็จปี 2567 ช้ากว่าแผนร้อยละ 5.41 ได้แก่ โครงการนนทรีระยะทาง 6.3 กิโลเมตร, โครงการพระราม 3ระยะทาง 10.9 กิโลเมตร
ส่วนแผนงานเปลี่ยนระบบไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินรัชดาภิเษก ระยะทางรวม 22.5 กิโลเมตร มีกําหนดแล้วเสร็จปี 2568 ช้ากว่าแผนร้อยละ 13.84 ดังนี้ โครงการรัชดาภิเษก-อโศก ระยะทาง 8.2 กิโลเมตร, โครงการรัชดาภิเษก-พระราม 9 ระยะทาง 14.3 กิโลเมตร และแผนงานเปลี่ยนระบบไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อรองรับการเป็นมหานครแห่งอาเซียน รวมระยะทาง 127.3 กิโลเมตร มีกําหนดแล้วเสร็จปี 2568 อยู่ระหว่างดําเนินการ 120.2 กิโลเมตร ช้ากว่าแผนร้อยละ 2.45 ดังนี้
1.โครงการพื้นที่เมืองชั้นในรวม 12.6 กิโลเมตร ได้แก่ ถนนวิทยุ 2.1 กิโลเมตร, ถนนพระราม 4 ระยะทาง 2.3 กิโลเมตร , ถนนอังรีดูนังต์ 1.8 กิโลเมตร, ถนนชิดลม 0.7 กิโลเมตร, ถนนสาทร 3.6 กิโลเมตร, ถนนหลังสวน 1.3 กิโลเมตร และถนนสารสิน 0.8 กิโลเมตร
2. โครงการในพื้นที่เชื่อมโยงระบบส่งระหว่างสถานีไฟฟ้าต้นทาง รวม 7.4 กิโลเมตร ได้แก่ ถนนเจริญราษฎร์ 3.8 กิโลเมตร ,ถนนเพชรบุรี 1 กิโลเมตร และถนนดินแดง 2.6 กิโลเมตร
3.โครงการในพื้นที่ก่อสร้างร่วมกับหน่วยงานสาธารณูปโภคอื่นรวม 100.2 กิโลเมตร ได้แก่ โครงการในพื้นที่ตามแนวรถไฟฟ้า 87.1 กิโลเมตร และโครงการในพื้นที่ร่วมกรุงเทพมหานคร 13.1 กิโลเมตร เช่น ถนนพรานนก
ขณะที่แผนงานเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินฉบับปฏิบัติการเร่งรัด ระยะทางรวม 20.5 กิโลเมตร มีกําหนดแล้วเสร็จปี 2570 ช้ากว่าแผนร้อยละ 4 ได้แก่ โครงการตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ถนนรัตนาธิเบศร์ 4.4 กิโลเมตร,โครงการตามแนวรถไฟฟ้าสายสีม่วง ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี ถึง ถนนติวานนท์ 10.6 กิโลเมตร และโครงการตามแนวรถไฟฟ้า สายสีเขียว ถนนสุขุมวิท ซอยสุขุมวิท81-ซอยสุขุมวิท107 ระยะทาง 5.5 กิโลเมตร สําหรับการเบิกจ่ายงบประมาณ กฟน.ได้วางแผนการเบิกจ่ายเงินในปี 2564 จํานวน 4,161 ล้านบาท ณ เดือนธันวาคม 2564 เบิกจ่ายเงินได้รวม 2,276 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 54.71 ของแผนการเบิกจ่าย
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า แผนการดําเนินงานในระยะต่อไป กฟน. ได้ติดตามเร่งรัดการดําเนินการตามแผนงานให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กําหนด แต่เนื่องจากในระหว่างการดําเนินการก่อสร้าง พบปัญหาอุปสรรค ทําให้การก่อสร้างไม่เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กําหนด จึงจําเป็นต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบ เช่น การเพิ่มระดับความลึกของบ่อพักและท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินเพื่อหลบอุปสรรค รวมทั้งปัญหาการได้รับอนุญาตจากเจ้าของพื้นที่ล่าช้า ทําให้เริ่มงานก่อสร้างได้ช้ากว่าแผนงานที่กําหนด จากปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้ากว่าแผนงานที่กําหนด | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54648 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ หารือออนไลน์ เอกอัครราชทูตด้านการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | วันอังคารที่ 22 มิถุนายน 2564
กระทรวงเกษตรฯ หารือออนไลน์ เอกอัครราชทูตด้านการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กระทรวงเกษตรฯ หารือออนไลน์ เอกอัครราชทูตด้านการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26) แห่งสหราชอาณาจักรประจําภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและเอเชียใต้
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้หารือกับ นาย เคนโอ ฟลาเฮอตี้ (Mr. Ken O’Flaherty)เอกอัครราชทูตด้านการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ออท.COP26)แห่งสหราชอาณาจักรประจําภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและเอเชียใต้ ผ่านระบบออนไลน์MS-Teamณ ห้องประชุม134กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในประเด็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการเกษตรของไทยซึ่งสหราชอาณาจักรจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมCOP26ณ เมืองกลาสโลว์ ระหว่างวันที่1-12พฤศจิกายน2564โดยนายนราพัฒน์ฯ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นสําคัญระดับโลก และเป็นวาระแห่งชาติของไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสําคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและได้จัดทําแผนปฏิบัติการด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศภาคเกษตร มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2552ซึ่งประกอบด้วย4ประเด็นหลัก ได้แก่1.การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ2.การปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ3.การมีส่วนร่วมของภาคเกษตรในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการดําเนินการศึกษา และ4.การเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการรวมทั้งมีโครงการความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ อาทิเช่นUNDP, UNEP, FAO, ADB, GIZของเยอรมนีและความร่วมมือกับสหราชอาณาจักร
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯมีการดําเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทํานา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NAMA)ดําเนินการภายใต้กองทุนNAMA Facilityซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เดนมาร์ก และสหภาพยุโรป โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อผลิตข้าวอย่างยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(Greenhouse Gases: GHGs)โดยฝ่ายสหราชอาณาจักรยินดีสนับสนุนการดําเนินโครงการความร่วมมือในอนาคตต่อไปใน
โอกาสนี้ออท.COP26ขอเชิญกระทรวงเกษตรฯเข้าร่วมแพลทฟอร์ม“Just Rural Transition”หรือ“JRT”ซึ่งจะเป็นแคมเปญที่จะนําเสนอในการประชุมCOP26โดยJRTมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนระบบอาหารและการใช้ที่ดินให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายSDGs รวมทั้งขอเชิญกระทรวงเกษตรฯเป็นเจ้าภาพร่วม (co-host)เพื่อจัดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “Sustainable and Inclusive Climate Adaptation and Resilience : Local leadership for a global goal”ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันวิจัยและพัฒนาสหราชอาณาจักร โดยคาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน2564
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับกระทรวงสิ่งแวดล้อม อาหารและชนบท (Department for Environment, Food and Rural Affairs: DEFRA)แห่งสหราชอาณาจักรอยู่ระหว่างหารือการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร โดยDEFRAได้เสนอร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้ฝ่ายไทยพิจารณาด้วยแล้ว ซึ่งความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นหนึ่งในความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจดังกล่าว”นายนราพัฒน์ฯกล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ หารือออนไลน์ เอกอัครราชทูตด้านการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
วันอังคารที่ 22 มิถุนายน 2564
กระทรวงเกษตรฯ หารือออนไลน์ เอกอัครราชทูตด้านการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กระทรวงเกษตรฯ หารือออนไลน์ เอกอัครราชทูตด้านการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (COP26) แห่งสหราชอาณาจักรประจําภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและเอเชียใต้
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้หารือกับ นาย เคนโอ ฟลาเฮอตี้ (Mr. Ken O’Flaherty)เอกอัครราชทูตด้านการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ออท.COP26)แห่งสหราชอาณาจักรประจําภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและเอเชียใต้ ผ่านระบบออนไลน์MS-Teamณ ห้องประชุม134กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในประเด็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคการเกษตรของไทยซึ่งสหราชอาณาจักรจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมCOP26ณ เมืองกลาสโลว์ ระหว่างวันที่1-12พฤศจิกายน2564โดยนายนราพัฒน์ฯ ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นประเด็นสําคัญระดับโลก และเป็นวาระแห่งชาติของไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสําคัญต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและได้จัดทําแผนปฏิบัติการด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศภาคเกษตร มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2552ซึ่งประกอบด้วย4ประเด็นหลัก ได้แก่1.การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ2.การปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ3.การมีส่วนร่วมของภาคเกษตรในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการดําเนินการศึกษา และ4.การเสริมสร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการรวมทั้งมีโครงการความร่วมมือกับองค์การระหว่างประเทศ อาทิเช่นUNDP, UNEP, FAO, ADB, GIZของเยอรมนีและความร่วมมือกับสหราชอาณาจักร
นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรฯมีการดําเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดภาวะโลกร้อนจากการทํานา เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Thai Rice NAMA)ดําเนินการภายใต้กองทุนNAMA Facilityซึ่งได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เดนมาร์ก และสหภาพยุโรป โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อผลิตข้าวอย่างยั่งยืน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(Greenhouse Gases: GHGs)โดยฝ่ายสหราชอาณาจักรยินดีสนับสนุนการดําเนินโครงการความร่วมมือในอนาคตต่อไปใน
โอกาสนี้ออท.COP26ขอเชิญกระทรวงเกษตรฯเข้าร่วมแพลทฟอร์ม“Just Rural Transition”หรือ“JRT”ซึ่งจะเป็นแคมเปญที่จะนําเสนอในการประชุมCOP26โดยJRTมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับเปลี่ยนระบบอาหารและการใช้ที่ดินให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายSDGs รวมทั้งขอเชิญกระทรวงเกษตรฯเป็นเจ้าภาพร่วม (co-host)เพื่อจัดสัมมนาออนไลน์หัวข้อ “Sustainable and Inclusive Climate Adaptation and Resilience : Local leadership for a global goal”ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันวิจัยและพัฒนาสหราชอาณาจักร โดยคาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคมถึงต้นเดือนกันยายน2564
“กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับกระทรวงสิ่งแวดล้อม อาหารและชนบท (Department for Environment, Food and Rural Affairs: DEFRA)แห่งสหราชอาณาจักรอยู่ระหว่างหารือการจัดทําบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร โดยDEFRAได้เสนอร่างบันทึกความเข้าใจฯ ให้ฝ่ายไทยพิจารณาด้วยแล้ว ซึ่งความร่วมมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะเป็นหนึ่งในความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจดังกล่าว”นายนราพัฒน์ฯกล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42952 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ได้รับคะแนน 95.59 จากผลประเมิน ITA ยึดมั่นเป็นองค์กรสุจริต โปร่งใส ไร้คอร์รัปชัน | วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2564
กสร. ได้รับคะแนน 95.59 จากผลประเมิน ITA ยึดมั่นเป็นองค์กรสุจริต โปร่งใส ไร้คอร์รัปชัน
กสร. ได้รับคะแนน 95.59 ระดับดีเยี่ยม จากการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปี 2564 จากสํานักงาน ป.ป.ช. สะท้อนการเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในคุณธรรมตามหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานด้านสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ
นางโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและโฆษกกรม (กสร.)เปิดเผยว่า
ตามที่สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สํานักงาน ป.ป.ช.) ได้ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ประจําปีงบประมาณ 2564 เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศได้รับทราบถึงสถานะและปัญหาการดําเนินงานด้านคุณธรรมและความโปร่งใสขององค์กร โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้เข้าร่วมการประเมิน ภายใต้เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน 3 ส่วน ประกอบด้วย 1) การเก็บข้อมูลจากบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐ (IIT) 2) การเก็บข้อมูลจากผู้รับบริการหรือผู้ติดต่อหน่วยงานภาครัฐ (EIT) และ 3) การเปิดเผยข้อมูลทางเว็บไซต์ของหน่วยงาน (OIT) ซึ่งกสร.ได้รับผลประเมินคะแนนอยู่ที่ 95.59 คะแนน ระดับดีเยี่ยม (ระดับ AA) จากประเภทส่วนราชการระดับกรม อยู่ในลําดับที่ 21 จากหน่วยงานส่วนราชการระดับกรมที่ได้รับการประเมินทั้งสิ้น 146 หน่วยงาน ซึ่งถือเป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานในระดับสูงมาก สําหรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ถือเป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่ใช้ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐในทุกมิติ สามารถนําไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพทั้งในด้านการปฏิบัติงาน การให้บริการ และการอํานวยความสะดวกต่อประชาชน อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการนําไปใช้ในการจัดทําแนวทางการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในปีงบประมาณต่อไปด้วย
โฆษก กสร.กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเน้นย้ําเรื่องการพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐที่ดี โดยเฉพาะพัฒนาการดําเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของกรมเพื่อให้ กสร. เป็นหน่วยงานที่มีสุจริตและโปร่งใส รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรให้เป็นคนดี มีคุณธรรมจริยธรรม และเป็นคนเก่ง ทั้งนี้เพื่อพัฒนาและยกระดับการบริหารจัดการของกรมให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริการให้เติบโตอย่างมีสมรรถนะและมีคุณธรรม เป็นที่เชื่อมั่นให้กับผู้ใช้แรงงานและประชาชน ตามหลักการปฏิบัติงานของกรมที่ว่า “กสร. คุ้มครองสิทธิ สุจริต โปร่งใส ไร้คอร์รัปชัน” | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ได้รับคะแนน 95.59 จากผลประเมิน ITA ยึดมั่นเป็นองค์กรสุจริต โปร่งใส ไร้คอร์รัปชัน
วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2564
กสร. ได้รับคะแนน 95.59 จากผลประเมิน ITA ยึดมั่นเป็นองค์กรสุจริต โปร่งใส ไร้คอร์รัปชัน
กสร. ได้รับคะแนน 95.59 ระดับดีเยี่ยม จากการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ประจําปี 2564 จากสํานักงาน ป.ป.ช. สะท้อนการเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในคุณธรรมตามหลักธรรมาภิบาลในการบริหารงานด้านสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานอย่างมีประสิทธิภาพ
นางโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานและโฆษกกรม (กสร.)เปิดเผยว่า
ตามที่สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (สํานักงาน ป.ป.ช.) ได้ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ประจําปีงบประมาณ 2564 เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศได้รับทราบถึงสถานะและปัญหาการดําเนินงานด้านคุณธรรมและความโปร่งใสขององค์กร โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้เข้าร่วมการประเมิน ภายใต้เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน 3 ส่วน ประกอบด้วย 1) การเก็บข้อมูลจากบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐ (IIT) 2) การเก็บข้อมูลจากผู้รับบริการหรือผู้ติดต่อหน่วยงานภาครัฐ (EIT) และ 3) การเปิดเผยข้อมูลทางเว็บไซต์ของหน่วยงาน (OIT) ซึ่งกสร.ได้รับผลประเมินคะแนนอยู่ที่ 95.59 คะแนน ระดับดีเยี่ยม (ระดับ AA) จากประเภทส่วนราชการระดับกรม อยู่ในลําดับที่ 21 จากหน่วยงานส่วนราชการระดับกรมที่ได้รับการประเมินทั้งสิ้น 146 หน่วยงาน ซึ่งถือเป็นหน่วยงานภาครัฐที่มีคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานในระดับสูงมาก สําหรับการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (Integrity and Transparency Assessment : ITA) ถือเป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่ใช้ประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐในทุกมิติ สามารถนําไปใช้ในการปรับปรุงพัฒนาองค์กรให้มีประสิทธิภาพทั้งในด้านการปฏิบัติงาน การให้บริการ และการอํานวยความสะดวกต่อประชาชน อีกทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อการนําไปใช้ในการจัดทําแนวทางการป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบในปีงบประมาณต่อไปด้วย
โฆษก กสร.กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเน้นย้ําเรื่องการพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐที่ดี โดยเฉพาะพัฒนาการดําเนินการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบของกรมเพื่อให้ กสร. เป็นหน่วยงานที่มีสุจริตและโปร่งใส รวมทั้งสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรให้เป็นคนดี มีคุณธรรมจริยธรรม และเป็นคนเก่ง ทั้งนี้เพื่อพัฒนาและยกระดับการบริหารจัดการของกรมให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล เกิดการปรับปรุงประสิทธิภาพในการบริการให้เติบโตอย่างมีสมรรถนะและมีคุณธรรม เป็นที่เชื่อมั่นให้กับผู้ใช้แรงงานและประชาชน ตามหลักการปฏิบัติงานของกรมที่ว่า “กสร. คุ้มครองสิทธิ สุจริต โปร่งใส ไร้คอร์รัปชัน” | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45236 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” สั่ง คพ. เฝ้าติดตามคุณภาพอากาศและน้ำ บริเวณโดยรอบพื้นที่เหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งเตือนประชาชน | วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2564
“วราวุธ” สั่ง คพ. เฝ้าติดตามคุณภาพอากาศและน้ํา บริเวณโดยรอบพื้นที่เหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งเตือนประชาชน
“วราวุธ” สั่ง คพ. เฝ้าติดตามคุณภาพอากาศและน้ํา บริเวณโดยรอบพื้นที่เหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งเตือนประชาชน
“วราวุธ” สั่ง คพ. เฝ้าติดตามคุณภาพอากาศและน้ํา บริเวณโดยรอบพื้นที่เหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งเตือนประชาชน
วันนี้ (6 กรกฎาคม 2564) // นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี โฆษกประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา)
ได้มีความห่วงใยต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน จากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติก บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จํากัด ซึ่งตั้งอยู่ เลขที่ 87 หมู่ 15 ซอย 21 ถนนกิ่งแก้ว ตําบลบางพลีใหญ่ อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ นั้น โดยนับตั้งแต่เกิดเหตุได้มอบหมายให้ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินมลพิษจากสารเคมี กรมควบคุมมลพิษ สํานักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 (ชลบุรี) ศูนย์ควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง และสํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสมุทรปราการ ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ คุณภาพน้ํา และสารอันตรายในพื้นที่ที่เกิดเหตุและพื้นที่ใกล้เคียงจากเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ภายในโรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติกดังกล่าวนับตั้งแต่เกิดเหตุและต่อเนื่องมาถึงวันนี้
และล่าสุด นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ได้เน้นย้ําเรื่องความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน และให้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้ส่งเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือในการตรวจวัดคุณภาพอากาศ คุณภาพน้ํา และสารอันตรายในพื้นที่ที่เกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ภายในโรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติก บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จํากัด และพื้นที่รอบนอก โดยในรัศมี 1 กิโลเมตรแรกจะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ซึ่งสารเคมีที่ต้องระวัง คือ โซเว้นท์ ที่ติดไฟได้ง่าย และสารสไตรีนโมโนเมอร์ ใช้เป็นองค์ประกอบทําเม็ดพลาสติก เมื่อเกิดลุกไหม้ไฟจะปลดปล่อยสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
โดยตั้งแต่ช่วงเช้าของวันเกิดเหตุ (5 กรกฎาคม 2564) ได้ใช้หน่วยตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ไปติดตั้ง ณ บริเวณเขตปลอดอากร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ดําเนินการตรวจวัดมลพิษทางอากาศ 6 ชนิด คือ 1) ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมโครอน (PM10) 2) ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมโครอน (PM2.5) 3) คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) 4) ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2)5) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และ 6)โอโซน (O3) โดยจุดติดตั้ง Mobile อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 5 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังติดตามคุณภาพอากาศจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัตโนมัติของกรมควบคุมมลพิษ 5 สถานีในพื้นที่ใกล้เคียง ได้แก่ 1) ต.ทรงคะนอง อ.พระประแดง 2) ต.บางโปรง อ.เมือง
3) ต.ตลาด อ.พระประแดง 4) ต.ปากน้ํา อ.เมือง และ 5) ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง
สําหรับ ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศล่าสุดวันนี้ พบว่า คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ดีมาก และได้มีการตรวจวัดสารอินทรีย์ระเหยง่ายรวม (Total VOCs) ด้วยเครื่องมือแบบเคลื่อนที่ (Portable) บริเวณรั้วโรงงาน บริเวณด้านหน้าโรงงานห่างออกมา 5 เมตร และ 50 เมตร พบว่าในรัศมีที่ห่างออกไปค่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายจะน้อยลง และมีความปลอดภัยต่อสุขภาพมากขึ้น ทั้งนี้ จากการตรวจคุณภาพอากาศในพื้นที่อย่างต่อเนื่องพบว่า คุณภาพอากาศโดยรวมเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ และอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องลดพื้นที่เพื่อให้ประชาชนกลับมายังที่อยู่อาศัยได้ แต่ยังต้องมีการเฝ้าติดตามด้านมลพิษอย่างต่อเนื่อง 3 วัน ขณะนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ หากมีกรณีฝนตกลงมา อาจจะชะสารเคมีลงใต้ดิน แหล่งน้ํา หรือท่อระบายน้ํา ซึ่งจะยากต่อการควบคุม และการเข้าไปบําบัดเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้มีการติดตั้งหน่วยตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเคลื่อนที่เพิ่มเติมที่โรงเรียนกิ่งแก้ว พร้อมทั้งนําเครื่องตรวจวัดฝุ่นละออง PM2.5 แบบอัตโนมัติสําหรับตรวจวัดภายนอกอาคาร (Outdoor) ไปติดตั้งเพิ่มเติมตามชุมชนหรือหมู่บ้านที่มีความเสี่ยง 2 ถึง 3 จุด เพื่อติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองและผลกระทบที่ชุมชนจะได้รับจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวต่อไป
สําหรับการเฝ้าระวังคุณภาพน้ํา ได้มีการสํารวจและเก็บตัวอย่างน้ําแหล่งน้ําและคลองโดยรอบที่เกิดเหตุ จํานวน 7 จุด ได้แก่ คลองชวดลาดข้าว จํานวน 2 จุด ด้านฝั่งตะวันออกของโรงงานเกิดเหตุ จุดปากท่อน้ําเสียที่ไหลลงคลองชวดลาดข้าว 1 จุด คลองูอาจารย์พร จํานวน 1 จุด ด้านเหนือโรงงานเกิดเหตุ ปากท่อน้ําเสียไหลลงคลองอาจารย์พร 1 จุด บึงน้ําด้านตะวันตกของโรงงานเกิดเหตุ 1 จุด และ บริเวณรางน้ําหน้าโรงงานเกิดเหตุ 1 จุด ทั้งนี้ เก็บตัวอย่างน้ําส่งห้องปฏิบัติการกรมควบคุมมวลพิษ ตรวจวิเคราะห์ หาสาร สไตรีน (Styrene) ซึ่งอยู่ในกลุ่มสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) และ น้ํามันและไขมัน(Grease and Oil)
ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษ ติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศ และคุณภาพน้ํา บริเวณพื้นที่โดยรอบสถานที่เกิดเหตุอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดต่อสุขภาพของประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ และสามารถดําเนินการแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงทีหากพบค่ามลพิษสูงเกินมาตรฐานกําหนด | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“วราวุธ” สั่ง คพ. เฝ้าติดตามคุณภาพอากาศและน้ำ บริเวณโดยรอบพื้นที่เหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งเตือนประชาชน
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2564
“วราวุธ” สั่ง คพ. เฝ้าติดตามคุณภาพอากาศและน้ํา บริเวณโดยรอบพื้นที่เหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งเตือนประชาชน
“วราวุธ” สั่ง คพ. เฝ้าติดตามคุณภาพอากาศและน้ํา บริเวณโดยรอบพื้นที่เหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งเตือนประชาชน
“วราวุธ” สั่ง คพ. เฝ้าติดตามคุณภาพอากาศและน้ํา บริเวณโดยรอบพื้นที่เหตุระเบิดและเพลิงไหม้โรงงานผลิตเม็ดพลาสติกอย่างต่อเนื่อง เพื่อแจ้งเตือนประชาชน
วันนี้ (6 กรกฎาคม 2564) // นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี โฆษกประจํากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (นายวราวุธ ศิลปอาชา)
ได้มีความห่วงใยต่อผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน จากเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติก บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จํากัด ซึ่งตั้งอยู่ เลขที่ 87 หมู่ 15 ซอย 21 ถนนกิ่งแก้ว ตําบลบางพลีใหญ่ อําเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ นั้น โดยนับตั้งแต่เกิดเหตุได้มอบหมายให้ นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินมลพิษจากสารเคมี กรมควบคุมมลพิษ สํานักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 (ชลบุรี) ศูนย์ควบคุมมลพิษจังหวัดระยอง และสํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดสมุทรปราการ ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมถึงติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศ คุณภาพน้ํา และสารอันตรายในพื้นที่ที่เกิดเหตุและพื้นที่ใกล้เคียงจากเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ภายในโรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติกดังกล่าวนับตั้งแต่เกิดเหตุและต่อเนื่องมาถึงวันนี้
และล่าสุด นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ได้เน้นย้ําเรื่องความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน และให้ติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง โดยกรมควบคุมมลพิษ ได้ส่งเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือในการตรวจวัดคุณภาพอากาศ คุณภาพน้ํา และสารอันตรายในพื้นที่ที่เกิดเหตุระเบิดและเพลิงไหม้ภายในโรงงานผลิตเม็ดโฟมและพลาสติก บริษัท หมิงตี้ เคมีคอล จํากัด และพื้นที่รอบนอก โดยในรัศมี 1 กิโลเมตรแรกจะต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ซึ่งสารเคมีที่ต้องระวัง คือ โซเว้นท์ ที่ติดไฟได้ง่าย และสารสไตรีนโมโนเมอร์ ใช้เป็นองค์ประกอบทําเม็ดพลาสติก เมื่อเกิดลุกไหม้ไฟจะปลดปล่อยสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
โดยตั้งแต่ช่วงเช้าของวันเกิดเหตุ (5 กรกฎาคม 2564) ได้ใช้หน่วยตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ไปติดตั้ง ณ บริเวณเขตปลอดอากร ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ต.ราชาเทวะ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ดําเนินการตรวจวัดมลพิษทางอากาศ 6 ชนิด คือ 1) ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมโครอน (PM10) 2) ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมโครอน (PM2.5) 3) คาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) 4) ไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2)5) ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และ 6)โอโซน (O3) โดยจุดติดตั้ง Mobile อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 5 กิโลเมตร นอกจากนี้ ยังติดตามคุณภาพอากาศจากสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัตโนมัติของกรมควบคุมมลพิษ 5 สถานีในพื้นที่ใกล้เคียง ได้แก่ 1) ต.ทรงคะนอง อ.พระประแดง 2) ต.บางโปรง อ.เมือง
3) ต.ตลาด อ.พระประแดง 4) ต.ปากน้ํา อ.เมือง และ 5) ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง
สําหรับ ผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศในบรรยากาศล่าสุดวันนี้ พบว่า คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ดีมาก และได้มีการตรวจวัดสารอินทรีย์ระเหยง่ายรวม (Total VOCs) ด้วยเครื่องมือแบบเคลื่อนที่ (Portable) บริเวณรั้วโรงงาน บริเวณด้านหน้าโรงงานห่างออกมา 5 เมตร และ 50 เมตร พบว่าในรัศมีที่ห่างออกไปค่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายจะน้อยลง และมีความปลอดภัยต่อสุขภาพมากขึ้น ทั้งนี้ จากการตรวจคุณภาพอากาศในพื้นที่อย่างต่อเนื่องพบว่า คุณภาพอากาศโดยรวมเริ่มกลับสู่สภาวะปกติ และอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องลดพื้นที่เพื่อให้ประชาชนกลับมายังที่อยู่อาศัยได้ แต่ยังต้องมีการเฝ้าติดตามด้านมลพิษอย่างต่อเนื่อง 3 วัน ขณะนี้สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ หากมีกรณีฝนตกลงมา อาจจะชะสารเคมีลงใต้ดิน แหล่งน้ํา หรือท่อระบายน้ํา ซึ่งจะยากต่อการควบคุม และการเข้าไปบําบัดเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป
นอกจากนี้ ยังได้มีการติดตั้งหน่วยตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบเคลื่อนที่เพิ่มเติมที่โรงเรียนกิ่งแก้ว พร้อมทั้งนําเครื่องตรวจวัดฝุ่นละออง PM2.5 แบบอัตโนมัติสําหรับตรวจวัดภายนอกอาคาร (Outdoor) ไปติดตั้งเพิ่มเติมตามชุมชนหรือหมู่บ้านที่มีความเสี่ยง 2 ถึง 3 จุด เพื่อติดตามสถานการณ์ฝุ่นละอองและผลกระทบที่ชุมชนจะได้รับจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าวต่อไป
สําหรับการเฝ้าระวังคุณภาพน้ํา ได้มีการสํารวจและเก็บตัวอย่างน้ําแหล่งน้ําและคลองโดยรอบที่เกิดเหตุ จํานวน 7 จุด ได้แก่ คลองชวดลาดข้าว จํานวน 2 จุด ด้านฝั่งตะวันออกของโรงงานเกิดเหตุ จุดปากท่อน้ําเสียที่ไหลลงคลองชวดลาดข้าว 1 จุด คลองูอาจารย์พร จํานวน 1 จุด ด้านเหนือโรงงานเกิดเหตุ ปากท่อน้ําเสียไหลลงคลองอาจารย์พร 1 จุด บึงน้ําด้านตะวันตกของโรงงานเกิดเหตุ 1 จุด และ บริเวณรางน้ําหน้าโรงงานเกิดเหตุ 1 จุด ทั้งนี้ เก็บตัวอย่างน้ําส่งห้องปฏิบัติการกรมควบคุมมวลพิษ ตรวจวิเคราะห์ หาสาร สไตรีน (Styrene) ซึ่งอยู่ในกลุ่มสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) และ น้ํามันและไขมัน(Grease and Oil)
ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มอบหมายให้กรมควบคุมมลพิษ ติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศ และคุณภาพน้ํา บริเวณพื้นที่โดยรอบสถานที่เกิดเหตุอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดต่อสุขภาพของประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ และสามารถดําเนินการแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างทันท่วงทีหากพบค่ามลพิษสูงเกินมาตรฐานกําหนด | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43522 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบแผนจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 จาก บริษัท AstraZeneca สำหรับ ปี 2565 จำนวน 60 ล้านโดส | วันอังคารที่ 28 กันยายน 2564
ครม. เห็นชอบแผนจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 จาก บริษัท AstraZeneca สําหรับ ปี 2565 จํานวน 60 ล้านโดส
ครม. เห็นชอบแผนจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 จาก บริษัท AstraZeneca สําหรับ ปี 2565 จํานวน 60 ล้านโดส
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ดําเนินการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สําหรับปี 2565 จากบริษัท AstraZeneca และเห็นชอบการลงนามในสัญญาซื้อระหว่างกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และบริษัท AstraZeneca และอนุมัติให้อธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นผู้มีอํานาจลงนามในสัญญาดังกล่าว
"ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ที่มีการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ทําให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในแต่ละวันเป็นจํานวนมาก จึงถือเป็นวาระสําคัญของชาติที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันดําเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน รวมทั้งความจําเป็นเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม สําหรับปี 2565
โดยมีแผนการส่งมอบวัคซีน AstraZeneca ในปี 2565 ภายในไตรมาสแรก จํานวน 15 ล้านโดส ไตรมาสที่สอง จํานวน 30 ล้านโดส และไตรมาสที่สาม จํานวน 15 ล้านโดส" นายธนกร กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบแผนจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 จาก บริษัท AstraZeneca สำหรับ ปี 2565 จำนวน 60 ล้านโดส
วันอังคารที่ 28 กันยายน 2564
ครม. เห็นชอบแผนจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 จาก บริษัท AstraZeneca สําหรับ ปี 2565 จํานวน 60 ล้านโดส
ครม. เห็นชอบแผนจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 จาก บริษัท AstraZeneca สําหรับ ปี 2565 จํานวน 60 ล้านโดส
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เห็นชอบให้กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เป็นผู้ดําเนินการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สําหรับปี 2565 จากบริษัท AstraZeneca และเห็นชอบการลงนามในสัญญาซื้อระหว่างกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข และบริษัท AstraZeneca และอนุมัติให้อธิบดีกรมควบคุมโรคเป็นผู้มีอํานาจลงนามในสัญญาดังกล่าว
"ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ ที่มีการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ทําให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในแต่ละวันเป็นจํานวนมาก จึงถือเป็นวาระสําคัญของชาติที่ทุกฝ่ายต้องร่วมกันดําเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน รวมทั้งความจําเป็นเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม สําหรับปี 2565
โดยมีแผนการส่งมอบวัคซีน AstraZeneca ในปี 2565 ภายในไตรมาสแรก จํานวน 15 ล้านโดส ไตรมาสที่สอง จํานวน 30 ล้านโดส และไตรมาสที่สาม จํานวน 15 ล้านโดส" นายธนกร กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46314 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. เตรียมความพร้อมรองรับผู้โดยสารเดินทางกลับภูมิลำเนาสูงสุด ในวันที่ 12 เม.ย. 2565 คาดไม่น้อยกว่า 4 หมื่นคน | วันอังคารที่ 12 เมษายน 2565
บขส. เตรียมความพร้อมรองรับผู้โดยสารเดินทางกลับภูมิลําเนาสูงสุด ในวันที่ 12 เม.ย. 2565 คาดไม่น้อยกว่า 4 หมื่นคน
รถโดยสารและพนักงานพร้อมอํานวยความสะดวก มั่นใจไม่มีผู้โดยสารตกค้าง
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในวันที่ 12 เม.ย. 2565 คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางออกจากกรุงเทพฯ สูงสุด ประมาณ 40,000 คน เนื่องจากเป็น
วันสุดท้ายของการทํางาน ก่อนที่จะหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดย บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) ได้จัดรถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม รถตู้) ประมาณ 3,800 เที่ยว เพื่อรองรับผู้โดยสาร
ส่วนข้อมูลการเดินทางเมื่อวานนี้ (11 เม.ย. 2565) มีผู้โดยสารใช้บริการรถโดยสารธารณะเข้า - ออก กรุงเทพฯ จํานวน 57,142 คน ใช้รถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม รถตู้) จํานวน 5,193 เที่ยว โดยเป็นการเดินทางขาออก จํานวน 2,615 เที่ยว มีผู้โดยสารเดินทาง จํานวน 32,290 คน ส่วนการเดินทางขาเข้ากรุงเทพฯ จํานวน 2,578 เที่ยวมีผู้โดยสารเดินทาง จํานวน 24,852 คน
ทั้งนี้ บขส. ขอความร่วมมือผู้โดยสารที่ยังไม่ได้จองตั๋วล่วงหน้า เผื่อเวลาเดินทางมายังสถานีขนส่งผู้โดยสาร โดย บขส. และรถร่วมฯ ได้จัดเตรียมรถโดยสารเที่ยวปกติและเที่ยวเสริมไว้รองรับประชาชนอย่างเพียงพอ มั่นใจจะไม่มีผู้โดยสารตกค้าง
สําหรับสมาชิก บขส. Card เมื่อซื้อตั๋ว บขส. จะได้รับส่วนลดค่าโดยสาร 5% (ตลอดอายุสมาชิก)และหากซื้อตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์ Application: E-Ticket และ Website บขส. จะได้รับคะแนนคูณสองตลอดเดือน เมษายน นี้ อีกด้วย ทั้งนี้ผู้โดยสารสามารถจองตั๋ว บขส. ผ่านระบบออนไลน์ Application: E-Ticket และ Website บขส. หรือสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม โทร Call Center 1490 เรียก บขส.ตลอด 24 ชั่วโมง
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวด้วยว่า ได้สั่งกําชับไปยังพนักงาน บขส. และขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการรถร่วมฯ ให้ดําเนินการตามมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ตามข้อสั่งการของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทั้งในส่วนของรถโดยสาร และพนักงาน โดยพนักงานขับรถทุกคน ต้องมีผลตรวจหาสารเสพติดและแอลกอฮอล์เป็นศูนย์ เพื่อสร้างความปลอดภัยและป้องกันอุบัติเหตุ รวมทั้งขอให้ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข อาทิ พนักงานประจํารถต้องตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 แบบ Antigen Test Kit (ATK)ทุก 3 วัน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เช็ดทําความสะอาดรถโดยสารด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อโรคก่อนนํารถมาให้บริการ และมีการระบายอากาศอย่างเพียงพอ เป็นต้น | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. เตรียมความพร้อมรองรับผู้โดยสารเดินทางกลับภูมิลำเนาสูงสุด ในวันที่ 12 เม.ย. 2565 คาดไม่น้อยกว่า 4 หมื่นคน
วันอังคารที่ 12 เมษายน 2565
บขส. เตรียมความพร้อมรองรับผู้โดยสารเดินทางกลับภูมิลําเนาสูงสุด ในวันที่ 12 เม.ย. 2565 คาดไม่น้อยกว่า 4 หมื่นคน
รถโดยสารและพนักงานพร้อมอํานวยความสะดวก มั่นใจไม่มีผู้โดยสารตกค้าง
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ในวันที่ 12 เม.ย. 2565 คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารเดินทางออกจากกรุงเทพฯ สูงสุด ประมาณ 40,000 คน เนื่องจากเป็น
วันสุดท้ายของการทํางาน ก่อนที่จะหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดย บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) ได้จัดรถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม รถตู้) ประมาณ 3,800 เที่ยว เพื่อรองรับผู้โดยสาร
ส่วนข้อมูลการเดินทางเมื่อวานนี้ (11 เม.ย. 2565) มีผู้โดยสารใช้บริการรถโดยสารธารณะเข้า - ออก กรุงเทพฯ จํานวน 57,142 คน ใช้รถโดยสาร (รถ บขส. รถร่วม รถตู้) จํานวน 5,193 เที่ยว โดยเป็นการเดินทางขาออก จํานวน 2,615 เที่ยว มีผู้โดยสารเดินทาง จํานวน 32,290 คน ส่วนการเดินทางขาเข้ากรุงเทพฯ จํานวน 2,578 เที่ยวมีผู้โดยสารเดินทาง จํานวน 24,852 คน
ทั้งนี้ บขส. ขอความร่วมมือผู้โดยสารที่ยังไม่ได้จองตั๋วล่วงหน้า เผื่อเวลาเดินทางมายังสถานีขนส่งผู้โดยสาร โดย บขส. และรถร่วมฯ ได้จัดเตรียมรถโดยสารเที่ยวปกติและเที่ยวเสริมไว้รองรับประชาชนอย่างเพียงพอ มั่นใจจะไม่มีผู้โดยสารตกค้าง
สําหรับสมาชิก บขส. Card เมื่อซื้อตั๋ว บขส. จะได้รับส่วนลดค่าโดยสาร 5% (ตลอดอายุสมาชิก)และหากซื้อตั๋วผ่านช่องทางออนไลน์ Application: E-Ticket และ Website บขส. จะได้รับคะแนนคูณสองตลอดเดือน เมษายน นี้ อีกด้วย ทั้งนี้ผู้โดยสารสามารถจองตั๋ว บขส. ผ่านระบบออนไลน์ Application: E-Ticket และ Website บขส. หรือสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม โทร Call Center 1490 เรียก บขส.ตลอด 24 ชั่วโมง
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวด้วยว่า ได้สั่งกําชับไปยังพนักงาน บขส. และขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการรถร่วมฯ ให้ดําเนินการตามมาตรการด้านความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ตามข้อสั่งการของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ทั้งในส่วนของรถโดยสาร และพนักงาน โดยพนักงานขับรถทุกคน ต้องมีผลตรวจหาสารเสพติดและแอลกอฮอล์เป็นศูนย์ เพื่อสร้างความปลอดภัยและป้องกันอุบัติเหตุ รวมทั้งขอให้ปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุข อาทิ พนักงานประจํารถต้องตรวจหาเชื้อไวรัส COVID-19 แบบ Antigen Test Kit (ATK)ทุก 3 วัน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เช็ดทําความสะอาดรถโดยสารด้วยน้ํายาฆ่าเชื้อโรคก่อนนํารถมาให้บริการ และมีการระบายอากาศอย่างเพียงพอ เป็นต้น | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53543 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางพร้อมขึ้นระบบ New GFMIS Thai ทั่วประเทศ ดีเดย์! 4 เม.ย. 65 | วันพุธที่ 30 มีนาคม 2565
กรมบัญชีกลางพร้อมขึ้นระบบ New GFMIS Thai ทั่วประเทศ ดีเดย์! 4 เม.ย. 65
กรมบัญชีกลางจะเปิดระบบ New GFMIS Thai ให้หน่วยงานของรัฐทั่วประเทศเริ่มใช้งาน ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2565 เป็นต้นไป
นางสาววารี แว่นแก้ว รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลางได้พัฒนาระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เพื่อทดแทนการใช้ระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีข้อจํากัดในเรื่องการอัปเดตเวอร์ชั่นและการบํารุงรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งที่ผ่านมากรมบัญชีกลางได้ทดสอบระบบ New GFMIS Thai ในการเบิกเงินจากคลัง รับเงิน จ่ายเงิน และนําเงินส่งคลัง จนมั่นใจแล้วว่าระบบงานมีความสมบูรณ์เพียงพอ และไม่ส่งผลกระทบต่อการดําเนินงานด้านการเงินการคลังของหน่วยงานผู้เบิก อีกทั้งได้เปิดให้หน่วยงานเข้าทดลองปฏิบัติงานในระบบ New GFMIS Thai ตามข้อมูลจริงของแต่ละหน่วยงาน เพื่อทดสอบระบบงานในภาพรวม ระบบงานเครือข่าย สิทธิในการเข้าใช้งาน และตรวจสอบความพร้อมของระบบสนับสนุน โดยกรมบัญชีกลางจะเปิดระบบ New GFMIS Thai ให้หน่วยงานของรัฐทั่วประเทศเริ่มใช้งาน ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2565 เป็นต้นไป
“ระบบ New GFMIS Thai เป็นระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ ซึ่งจะช่วยให้การเบิกเงินจากคลัง รับเงิน จ่ายเงิน และนําเงินส่งคลัง ของหน่วยงานภาครัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รองรับจํานวนผู้ใช้งานในระบบที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถสรุปข้อมูลเป็นรายวัน จากเดิมที่สรุปเป็นรายสัปดาห์ และสามารถเชื่อมโยงกับระบบต่าง ๆ ได้มากขึ้น โดยระบบ GFMIS เดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จะเปิดให้ใช้งานจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 เวลา 16.30 น. ทั้งนี้ หากหน่วยงานผู้เบิกมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ New GFMIS Thai Contact Center 4 ช่องทาง ได้แก่ (1) หมายเลขโทรศัพท์ 02-032-2636 (2) Line ID : @gfmiscc (3) e-mail : gfmiscc@gfmis.go.th (4) Chat Bot ของ New GFMIS Thai ผ่านเว็บไซต์ https://newgfmisthai.gfmis.go.th ในวัน เวลาราชการ” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางพร้อมขึ้นระบบ New GFMIS Thai ทั่วประเทศ ดีเดย์! 4 เม.ย. 65
วันพุธที่ 30 มีนาคม 2565
กรมบัญชีกลางพร้อมขึ้นระบบ New GFMIS Thai ทั่วประเทศ ดีเดย์! 4 เม.ย. 65
กรมบัญชีกลางจะเปิดระบบ New GFMIS Thai ให้หน่วยงานของรัฐทั่วประเทศเริ่มใช้งาน ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2565 เป็นต้นไป
นางสาววารี แว่นแก้ว รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงการคลังและกรมบัญชีกลางได้พัฒนาระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ (New GFMIS Thai) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 เพื่อทดแทนการใช้ระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ (GFMIS) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งมีข้อจํากัดในเรื่องการอัปเดตเวอร์ชั่นและการบํารุงรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งที่ผ่านมากรมบัญชีกลางได้ทดสอบระบบ New GFMIS Thai ในการเบิกเงินจากคลัง รับเงิน จ่ายเงิน และนําเงินส่งคลัง จนมั่นใจแล้วว่าระบบงานมีความสมบูรณ์เพียงพอ และไม่ส่งผลกระทบต่อการดําเนินงานด้านการเงินการคลังของหน่วยงานผู้เบิก อีกทั้งได้เปิดให้หน่วยงานเข้าทดลองปฏิบัติงานในระบบ New GFMIS Thai ตามข้อมูลจริงของแต่ละหน่วยงาน เพื่อทดสอบระบบงานในภาพรวม ระบบงานเครือข่าย สิทธิในการเข้าใช้งาน และตรวจสอบความพร้อมของระบบสนับสนุน โดยกรมบัญชีกลางจะเปิดระบบ New GFMIS Thai ให้หน่วยงานของรัฐทั่วประเทศเริ่มใช้งาน ตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน 2565 เป็นต้นไป
“ระบบ New GFMIS Thai เป็นระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ ซึ่งจะช่วยให้การเบิกเงินจากคลัง รับเงิน จ่ายเงิน และนําเงินส่งคลัง ของหน่วยงานภาครัฐมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รองรับจํานวนผู้ใช้งานในระบบที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถสรุปข้อมูลเป็นรายวัน จากเดิมที่สรุปเป็นรายสัปดาห์ และสามารถเชื่อมโยงกับระบบต่าง ๆ ได้มากขึ้น โดยระบบ GFMIS เดิมที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน จะเปิดให้ใช้งานจนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2565 เวลา 16.30 น. ทั้งนี้ หากหน่วยงานผู้เบิกมีข้อสงสัยสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ New GFMIS Thai Contact Center 4 ช่องทาง ได้แก่ (1) หมายเลขโทรศัพท์ 02-032-2636 (2) Line ID : @gfmiscc (3) e-mail : gfmiscc@gfmis.go.th (4) Chat Bot ของ New GFMIS Thai ผ่านเว็บไซต์ https://newgfmisthai.gfmis.go.th ในวัน เวลาราชการ” โฆษกกรมบัญชีกลาง กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53087 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับฟังกลุ่มผู้เสียหายสหกรณ์สวนปาล์มน้ำมันกระบี่ เดินหน้าแก้ปัญหา ส่งให้ดีเอสไอติดตาม | วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับฟังกลุ่มผู้เสียหายสหกรณ์สวนปาล์มน้ํามันกระบี่ เดินหน้าแก้ปัญหา ส่งให้ดีเอสไอติดตาม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับฟังกลุ่มผู้เสียหายสหกรณ์สวนปาล์มน้ํามันกระบี่ เดินหน้าแก้ปัญหา ส่งให้ดีเอสไอติดตาม พร้อมประสาน รมว.เกษตรและสหกรณ์ทราบและร่วมแก้ไขปัญหา
ในวันจันทร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๓๐ น. ณ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตกระบี่ จังหวัดกระบี่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับเรื่องร้องทุกข์จากตัวแทนสมาชิกเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันซึ่งเป็นผู้เสียหาย จํานวนกว่า ๒๐๐ คน จากการร่วมทุนของสมาชิกสหกรณ์ในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคใต้ตอนบน มีผู้เสียหายหรือผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดกว่า ๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน
สืบเนื่องจากประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการบริหารจัดการปาล์มน้ํามันอย่างเป็นระบบ มีหนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ตรวจสอบกรณีการทุจริตและยักยอกทรัพย์ในชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ํามันจังหวัดกระบี่ โดยนายสนอง ปานแดง อดีตกรรมการและพนักงานชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ํามันจังหวัดกระบี่ สาขาคลองท่อม เป็นผู้แทนประธานชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ํามันจังหวัดกระบี่ ระบุว่า ทางคณะกรรมาธิการฯ ปาล์มน้ํามัน ได้ลงพื้นที่ในจังหวัดที่มีการปลูกปาล์มน้ํามัน พบว่า ปัญหาโรงงานสกัดน้ํามันปาล์มของชุมนุมสหกรณ์จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีการบริหารจัดการโดยสมาชิก ๑๓ สหกรณ์ และ ๓๔ เครือข่ายสหกรณ์ ในระยะหลังประสบปัญหาขาดทุนและต้องปิดตัวลง ทําให้เกิดความเสียหายกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งจากการศึกษาของกรรมาธิการฯ พบพิรุธในเรื่องบริหารจัดการฯ จึงได้ร้องทุกข์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้สืบสวนสอบสวนเรื่องดังกล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ผมในนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ในการอํานวยความยุติธรรม สนับสนุนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ปัญหาของชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ํามันกระบี่ เป็นปัญหาของประชาชน ของสังคมที่มีความสําคัญ กระทบกับชาวบ้านพี่น้องประชาชนมากมายถึง ๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน ที่รัฐบาลและกระทรวงยุติธรรมจะต้องดูแลไม่ทอดทิ้ง ในวันนี้ผมได้เข้ามาพบเครือข่ายของผู้ที่ได้รับความเสียหาย จากการที่โรงงานสกัดน้ํามันปาล์มในจังหวัดกระบี่ได้ปิดตัวลง ส่งผลกระทบต่อสมาชิกชมรมฯ ในวงกว้าง จากที่ได้รับคําชี้แจงจากตัวแทนผู้เสียหายหลายท่านไม่ว่ากลุ่มที่เป็นอดีตพนักงานของชุมนุมสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับความเสียหาย สามารถแบ่งแยกความเดือดร้อน เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มแรก เป็นกลุ่มสมาชิกที่ได้รับความเดือดร้อนจากการดําเนินการของอดีตผู้บริหารชุมนุมสหกรณ์ที่ทําให้เสียหาย ซึ่งในส่วนนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดําเนินการอยู่ จะกําชับให้รีบดําเนินการเพื่อทําให้ความจริงปรากฏ และหากพบเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษก็ให้ดําเนินคดีไปตามกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษ และกลุ่มที่ ๒ คือ กลุ่มของพนักงานที่ถูกเลิกจ้างแล้วได้เงินชดเชยและเงินอื่นที่พึงได้ไม่ครบ และปัญหาการบริหารงานของสหกรณ์ในชุดปัจจุบัน ขาดสภาพคล่องและต้องการแหล่งเงินกู้ของรัฐบาล เพื่อเสริมสภาพคล่อง
รวมถึงการขอให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส. งดดอกเบี้ยเงินกู้ที่ชุมนุมสหกรณ์ฯ ได้กู้ยืมมาก่อนหน้านี้ ประมาณ ๗๒ ล้านบาท ซึ่งสามารถดําเนินการได้ ๒ ทางเลือก คือ แนวทางแรก สามารถยื่นเรื่องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกร์โดยตรง หรือแนวทางที่สอง สามารถยื่นเรื่องต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อประสานส่งต่อเรื่องไปยังหน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบต่อไป
ทางด้านนายไตรยฤทธิ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้กล่าวว่า หลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องดังกล่าว โดยได้รายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทินท่านได้กําชับให้กรมฯ เร่งสืบสวน หาพยานหลักฐาน ผมจึงได้มอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ พื้นที่ ๘ และกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ร่วมกันสืบสวน เพื่อพิจารณาว่าเรื่องดังกล่าว มีลักษณะการกระทําความผิดในลักษณะใด มีผลกระทบต่อสมาชิกเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันเป็นจํานวนมาก มีความเสียหายเป็นวงกว้างและมีมูลค่าความเสียหายเป็นจํานวนมาก โดยเบื้องต้น ได้รับรายงานว่ากรณีดังกล่าวได้มีการกระทําความผิดทางอาญาจริง ซึ่งขณะนี้กําลังพิจารณาว่าจะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ หรือไม่ หากไม่ใช่คดีพิเศษ ผมจะนําเรื่องแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องให้ดําเนินการต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับฟังกลุ่มผู้เสียหายสหกรณ์สวนปาล์มน้ำมันกระบี่ เดินหน้าแก้ปัญหา ส่งให้ดีเอสไอติดตาม
วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับฟังกลุ่มผู้เสียหายสหกรณ์สวนปาล์มน้ํามันกระบี่ เดินหน้าแก้ปัญหา ส่งให้ดีเอสไอติดตาม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับฟังกลุ่มผู้เสียหายสหกรณ์สวนปาล์มน้ํามันกระบี่ เดินหน้าแก้ปัญหา ส่งให้ดีเอสไอติดตาม พร้อมประสาน รมว.เกษตรและสหกรณ์ทราบและร่วมแก้ไขปัญหา
ในวันจันทร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เวลา ๑๕.๓๐ น. ณ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ วิทยาเขตกระบี่ จังหวัดกระบี่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วยนายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับเรื่องร้องทุกข์จากตัวแทนสมาชิกเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันซึ่งเป็นผู้เสียหาย จํานวนกว่า ๒๐๐ คน จากการร่วมทุนของสมาชิกสหกรณ์ในพื้นที่หลายจังหวัดในภาคใต้ตอนบน มีผู้เสียหายหรือผู้มีส่วนได้เสียทั้งหมดกว่า ๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน
สืบเนื่องจากประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการบริหารจัดการปาล์มน้ํามันอย่างเป็นระบบ มีหนังสือถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ตรวจสอบกรณีการทุจริตและยักยอกทรัพย์ในชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ํามันจังหวัดกระบี่ โดยนายสนอง ปานแดง อดีตกรรมการและพนักงานชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ํามันจังหวัดกระบี่ สาขาคลองท่อม เป็นผู้แทนประธานชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ํามันจังหวัดกระบี่ ระบุว่า ทางคณะกรรมาธิการฯ ปาล์มน้ํามัน ได้ลงพื้นที่ในจังหวัดที่มีการปลูกปาล์มน้ํามัน พบว่า ปัญหาโรงงานสกัดน้ํามันปาล์มของชุมนุมสหกรณ์จังหวัดกระบี่ ซึ่งมีการบริหารจัดการโดยสมาชิก ๑๓ สหกรณ์ และ ๓๔ เครือข่ายสหกรณ์ ในระยะหลังประสบปัญหาขาดทุนและต้องปิดตัวลง ทําให้เกิดความเสียหายกว่า ๑,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งจากการศึกษาของกรรมาธิการฯ พบพิรุธในเรื่องบริหารจัดการฯ จึงได้ร้องทุกข์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อให้สืบสวนสอบสวนเรื่องดังกล่าว
นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ผมในนามของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ในการอํานวยความยุติธรรม สนับสนุนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ปัญหาของชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์มน้ํามันกระบี่ เป็นปัญหาของประชาชน ของสังคมที่มีความสําคัญ กระทบกับชาวบ้านพี่น้องประชาชนมากมายถึง ๕๐,๐๐๐ ครัวเรือน ที่รัฐบาลและกระทรวงยุติธรรมจะต้องดูแลไม่ทอดทิ้ง ในวันนี้ผมได้เข้ามาพบเครือข่ายของผู้ที่ได้รับความเสียหาย จากการที่โรงงานสกัดน้ํามันปาล์มในจังหวัดกระบี่ได้ปิดตัวลง ส่งผลกระทบต่อสมาชิกชมรมฯ ในวงกว้าง จากที่ได้รับคําชี้แจงจากตัวแทนผู้เสียหายหลายท่านไม่ว่ากลุ่มที่เป็นอดีตพนักงานของชุมนุมสหกรณ์ และกลุ่มเกษตรกรที่ได้รับความเสียหาย สามารถแบ่งแยกความเดือดร้อน เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆ คือ กลุ่มแรก เป็นกลุ่มสมาชิกที่ได้รับความเดือดร้อนจากการดําเนินการของอดีตผู้บริหารชุมนุมสหกรณ์ที่ทําให้เสียหาย ซึ่งในส่วนนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดําเนินการอยู่ จะกําชับให้รีบดําเนินการเพื่อทําให้ความจริงปรากฏ และหากพบเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษก็ให้ดําเนินคดีไปตามกฎหมายการสอบสวนคดีพิเศษ และกลุ่มที่ ๒ คือ กลุ่มของพนักงานที่ถูกเลิกจ้างแล้วได้เงินชดเชยและเงินอื่นที่พึงได้ไม่ครบ และปัญหาการบริหารงานของสหกรณ์ในชุดปัจจุบัน ขาดสภาพคล่องและต้องการแหล่งเงินกู้ของรัฐบาล เพื่อเสริมสภาพคล่อง
รวมถึงการขอให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธกส. งดดอกเบี้ยเงินกู้ที่ชุมนุมสหกรณ์ฯ ได้กู้ยืมมาก่อนหน้านี้ ประมาณ ๗๒ ล้านบาท ซึ่งสามารถดําเนินการได้ ๒ ทางเลือก คือ แนวทางแรก สามารถยื่นเรื่องต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกร์โดยตรง หรือแนวทางที่สอง สามารถยื่นเรื่องต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อประสานส่งต่อเรื่องไปยังหน่วยงานที่มีอํานาจหน้าที่ เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบต่อไป
ทางด้านนายไตรยฤทธิ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้กล่าวว่า หลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องดังกล่าว โดยได้รายงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสมศักดิ์ เทพสุทินท่านได้กําชับให้กรมฯ เร่งสืบสวน หาพยานหลักฐาน ผมจึงได้มอบหมายให้ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษ พื้นที่ ๘ และกองคดีความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ ร่วมกันสืบสวน เพื่อพิจารณาว่าเรื่องดังกล่าว มีลักษณะการกระทําความผิดในลักษณะใด มีผลกระทบต่อสมาชิกเกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ํามันเป็นจํานวนมาก มีความเสียหายเป็นวงกว้างและมีมูลค่าความเสียหายเป็นจํานวนมาก โดยเบื้องต้น ได้รับรายงานว่ากรณีดังกล่าวได้มีการกระทําความผิดทางอาญาจริง ซึ่งขณะนี้กําลังพิจารณาว่าจะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ หรือไม่ หากไม่ใช่คดีพิเศษ ผมจะนําเรื่องแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องให้ดําเนินการต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48265 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเผย นักเรียนฉีดไฟเซอร์เข็มแรกแล้ว 1.5 แสนราย ห่วงกระแสติ๊กต็อกทำผวา วางแผนตรวจ ATK แบบสุ่มในโรงเรียน สร้างความมั่นใจเตรียมเปิดเทอม พ.ย.นี้ | วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2564
รัฐบาลเผย นักเรียนฉีดไฟเซอร์เข็มแรกแล้ว 1.5 แสนราย ห่วงกระแสติ๊กต็อกทําผวา วางแผนตรวจ ATK แบบสุ่มในโรงเรียน สร้างความมั่นใจเตรียมเปิดเทอม พ.ย.นี้
รัฐบาลเผย นักเรียนฉีดไฟเซอร์เข็มแรกแล้ว 1.5 แสนราย ห่วงกระแสติ๊กต็อกทําผวา วางแผนตรวจ ATK แบบสุ่มในโรงเรียน สร้างความมั่นใจเตรียมเปิดเทอม พ.ย.นี้
วันที่ 9 ตุลาคม 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการดําเนินการรัฐบาลเริ่มเดินหน้าการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเดือนตุลาคม 2564 ให้แก่ นักเรียน นักศึกษา กลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ 12-18 ปี ทุกคน ผ่านสถาบันการศึกษาว่า ขณะนี้มีผู้แจ้งความประสงค์เข้ารับการฉีดแล้วประมาณ 3.8 ล้านคน จากตัวเลขกลุ่มเป้าหมายมีอยู่ประมาณ 5 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 71 และคาดว่ามีตัวเลขผู้แจ้งความประสงค์ฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยการฉีดวัคซีนสะสมมีนักเรียนที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 แล้วประมาณ 150,190 ราย ร้อยละ 3.3 และฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ไปแล้วประมาณ 1,825 ราย กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข จะเดินหน้าฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็ก/นักเรียน อย่างต่อเนื่อง
รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวผ่านสื่อต่าง ๆ และทางโซเชียลสื่อออนไลน์ เช่น ในแพลตฟอร์ม TikTok เด็กบางกลุ่มได้ออกมาแสดงความกังวลต่อผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ขอให้ความเชื่อมั่นว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่รัฐบาลนํามาฉีดให้กับเด็กนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงได้มาตรฐานระดับสากลและทั่วโลกยอมรับ โดยได้ผ่านการตรวจสอบและอนุมัติรับรองคุณภาพเรียบร้อยแล้วทั้งจากองค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือเอฟดีเอ (FDA) รวมทั้งสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขของไทยด้วย แม้การฉีดวัคซีนไฟเซอร์จะมีผลข้างเคียงในลักษณะต่าง ๆ อยู่บ้าง ทั้งผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ หนาวสั่น รวมถึงผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง เช่น อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่จากข้อมูลของคณะอนุกรรมการด้านโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาระดับโลกด้านความปลอดภัยของวัคซีนประจําองค์การอนามัยโลก (GACVS) ระบุว่า วัคซีนชนิด mRNA มีประโยชน์ในการป้องกันโรคโควิด-19 มากกว่าความเสี่ยงที่จะทําให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ช่วยลดจํานวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล และลดการเสียชีวิตจาก COVID-19 ได้ โดยหลายประเทศได้เดินหน้าฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็กไปก่อนหน้านี้แล้ว อาทิ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สเปน นอร์เวย์ เป็นต้น ทางบริษัท ไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค (Pfizer - BioNTech) ยังได้ยื่นคําขอต่อองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) อย่างเป็นทางการแล้วเพื่อให้อนุมัติให้ใช้วัคซีนโควิด-19 กับเด็กอายุระหว่าง 5-11 ปี เป็นการฉุกเฉิน หากผ่านการรับรองของ FDA คาดจะสามารถใช้ได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้
“การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กนักเรียนมีความสําคัญมาก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันของสังคมให้เข้มแข็งมากขึ้นและให้เด็กได้กลับไปเรียนในรูปแบบปกติโดยเร็ว พร้อมเตรียมรับการเปิดภาคเรียนเดือนพฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ ยังพิจารณาให้มีการตรวจ ATK (Antigen Test Kit) แบบสุ่มตัวอย่างประมาณ 10-15% ของจํานวนนักเรียนในทุก ๆ 2 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจกับนักเรียนในการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ทั้งนี้ ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังกําชับให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ข้อมูลสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประสิทธิภาพและอักตราการเกิดผลข้างเคียงจากวัคซีน เพื่อให้นักเรียนคลายความกังวลจากผลที่เกิดขึ้นด้วย” นางสาวรัชดา กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเผย นักเรียนฉีดไฟเซอร์เข็มแรกแล้ว 1.5 แสนราย ห่วงกระแสติ๊กต็อกทำผวา วางแผนตรวจ ATK แบบสุ่มในโรงเรียน สร้างความมั่นใจเตรียมเปิดเทอม พ.ย.นี้
วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2564
รัฐบาลเผย นักเรียนฉีดไฟเซอร์เข็มแรกแล้ว 1.5 แสนราย ห่วงกระแสติ๊กต็อกทําผวา วางแผนตรวจ ATK แบบสุ่มในโรงเรียน สร้างความมั่นใจเตรียมเปิดเทอม พ.ย.นี้
รัฐบาลเผย นักเรียนฉีดไฟเซอร์เข็มแรกแล้ว 1.5 แสนราย ห่วงกระแสติ๊กต็อกทําผวา วางแผนตรวจ ATK แบบสุ่มในโรงเรียน สร้างความมั่นใจเตรียมเปิดเทอม พ.ย.นี้
วันที่ 9 ตุลาคม 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงผลการดําเนินการรัฐบาลเริ่มเดินหน้าการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ในเดือนตุลาคม 2564 ให้แก่ นักเรียน นักศึกษา กลุ่มเป้าหมายที่มีอายุ 12-18 ปี ทุกคน ผ่านสถาบันการศึกษาว่า ขณะนี้มีผู้แจ้งความประสงค์เข้ารับการฉีดแล้วประมาณ 3.8 ล้านคน จากตัวเลขกลุ่มเป้าหมายมีอยู่ประมาณ 5 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 71 และคาดว่ามีตัวเลขผู้แจ้งความประสงค์ฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยการฉีดวัคซีนสะสมมีนักเรียนที่ได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 แล้วประมาณ 150,190 ราย ร้อยละ 3.3 และฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ไปแล้วประมาณ 1,825 ราย กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงสาธารณสุข จะเดินหน้าฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็ก/นักเรียน อย่างต่อเนื่อง
รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวผ่านสื่อต่าง ๆ และทางโซเชียลสื่อออนไลน์ เช่น ในแพลตฟอร์ม TikTok เด็กบางกลุ่มได้ออกมาแสดงความกังวลต่อผลข้างเคียงจากการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ขอให้ความเชื่อมั่นว่า วัคซีนไฟเซอร์ที่รัฐบาลนํามาฉีดให้กับเด็กนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงได้มาตรฐานระดับสากลและทั่วโลกยอมรับ โดยได้ผ่านการตรวจสอบและอนุมัติรับรองคุณภาพเรียบร้อยแล้วทั้งจากองค์การอนามัยโลก (WHO) องค์การอาหารและยาสหรัฐฯ หรือเอฟดีเอ (FDA) รวมทั้งสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุขของไทยด้วย แม้การฉีดวัคซีนไฟเซอร์จะมีผลข้างเคียงในลักษณะต่าง ๆ อยู่บ้าง ทั้งผลข้างเคียงที่ไม่รุนแรง เช่น ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ หนาวสั่น รวมถึงผลข้างเคียงที่ค่อนข้างรุนแรง เช่น อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แต่จากข้อมูลของคณะอนุกรรมการด้านโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาระดับโลกด้านความปลอดภัยของวัคซีนประจําองค์การอนามัยโลก (GACVS) ระบุว่า วัคซีนชนิด mRNA มีประโยชน์ในการป้องกันโรคโควิด-19 มากกว่าความเสี่ยงที่จะทําให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ ช่วยลดจํานวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล และลดการเสียชีวิตจาก COVID-19 ได้ โดยหลายประเทศได้เดินหน้าฉีดวัคซีนไฟเซอร์ให้แก่เด็กไปก่อนหน้านี้แล้ว อาทิ สหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สเปน นอร์เวย์ เป็นต้น ทางบริษัท ไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค (Pfizer - BioNTech) ยังได้ยื่นคําขอต่อองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) อย่างเป็นทางการแล้วเพื่อให้อนุมัติให้ใช้วัคซีนโควิด-19 กับเด็กอายุระหว่าง 5-11 ปี เป็นการฉุกเฉิน หากผ่านการรับรองของ FDA คาดจะสามารถใช้ได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้
“การฉีดวัคซีนให้แก่เด็กนักเรียนมีความสําคัญมาก เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันของสังคมให้เข้มแข็งมากขึ้นและให้เด็กได้กลับไปเรียนในรูปแบบปกติโดยเร็ว พร้อมเตรียมรับการเปิดภาคเรียนเดือนพฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการ ยังพิจารณาให้มีการตรวจ ATK (Antigen Test Kit) แบบสุ่มตัวอย่างประมาณ 10-15% ของจํานวนนักเรียนในทุก ๆ 2 สัปดาห์ ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจกับนักเรียนในการฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ทั้งนี้ ท่านนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังกําชับให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งให้ข้อมูลสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประสิทธิภาพและอักตราการเกิดผลข้างเคียงจากวัคซีน เพื่อให้นักเรียนคลายความกังวลจากผลที่เกิดขึ้นด้วย” นางสาวรัชดา กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46764 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.เปิดประชุมคณะทำงานด้านสุขภาพภายใต้ APEC Health Week เพิ่มความพร้อมรับมือ วิกฤตสุขภาพ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ | วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2565
ปลัด สธ.เปิดประชุมคณะทํางานด้านสุขภาพภายใต้ APEC Health Week เพิ่มความพร้อมรับมือ วิกฤตสุขภาพ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปิดการประชุมคณะทํางานด้านสุขภาพ ภายใต้ APEC Health Week เผยเป็นการประชุมด้านสุขภาพนานาชาติครั้งแรกในไทย หลังโควิดระบาด ครอบคลุมทั้งประเด็นสุขภาพ เศรษฐกิจและนวัตกรรม
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปิดการประชุมคณะทํางานด้านสุขภาพ ภายใต้APEC Health Week เผยเป็นการประชุมด้านสุขภาพนานาชาติครั้งแรกในไทย หลังโควิดระบาด ครอบคลุมทั้งประเด็นสุขภาพ เศรษฐกิจและนวัตกรรม ช่วยสมาชิกเขตเศรษฐกิจเพิ่มความพร้อมรับมือวิกฤตสุขภาพและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
วันนี้ (23 สิงหาคม 2565) ที่โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กทม. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมคณะทํางานด้านสุขภาพ (Health Working Group: HWG) SOM3/2022 ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมการจัดประชุม APEC Health Week ระหว่างวันที่ 22-26 สิงหาคม 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขของเขตเศรษฐกิจเอเปค ภายใต้หัวข้อ “Open to Partnership. Connect with the World. Balance Health and the Economy” หรือเปิดกว้างสร้างสัมพันธ์กับภาคี เชื่อมโยงกันกับโลก สู่สมดุลระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า การประชุมคณะทํางานด้านสุขภาพ (Health Working Group: HWG) SOM 3/2022 ถือเป็นการประชุมด้านสุขภาพระดับนานาชาติครั้งแรกในประเทศไทย หลังจากการระบาดของโรคโควิด 19 โดยมีเป้าหมายคือการช่วยสร้างความตื่นตัวในระดับสากลทั่วภูมิภาคเอเปค เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสุขภาพหลังวิกฤตโควิด 19และช่วยเพิ่มระดับความพร้อมในการรับมือความท้าทายใหม่ๆ ไปพร้อมกัน เปิดรับทุกโอกาสจากการเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์จากสมาชิกเขตเศรษฐกิจทั่วทุกมุมโลก ทั้งหมดนี้เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการทํางานร่วมกันระหว่างแต่ละเขตเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มมูลค่าด้านสุขภาพ ซึ่งนําไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจในที่สุด
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า รายละเอียดของการประชุมมีความครอบคลุมทั้งเรื่องสุขภาพ เศรษฐกิจ และนวัตกรรมที่จะพัฒนาระบบสุขภาพโลกในอนาคต รวมถึงเสริมสร้างการวางแผนทางด้านสุขภาพ โดยทุกคนที่เข้าร่วมประชุมมีความสําคัญในการมาร่วมกันวิเคราะห์และแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่มีความท้าทาย โดยเฉพาะด้านการดําเนินงานเพื่อให้มั่นใจว่าสมาชิกของเอเปคสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ และเชื่อว่าผู้เข้าร่วมประชุมจะได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ที่ได้รับการแบ่งปันจากสมาชิกเขตเศรษฐกิจ เพลิดเพลินกับบรรยากาศของประเทศไทย และการประชุมมีประสิทธิผลและประสบความสําเร็จตามเป้าหมาย
****************************23 สิงหาคม 2565 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด สธ.เปิดประชุมคณะทำงานด้านสุขภาพภายใต้ APEC Health Week เพิ่มความพร้อมรับมือ วิกฤตสุขภาพ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ
วันอังคารที่ 23 สิงหาคม 2565
ปลัด สธ.เปิดประชุมคณะทํางานด้านสุขภาพภายใต้ APEC Health Week เพิ่มความพร้อมรับมือ วิกฤตสุขภาพ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปิดการประชุมคณะทํางานด้านสุขภาพ ภายใต้ APEC Health Week เผยเป็นการประชุมด้านสุขภาพนานาชาติครั้งแรกในไทย หลังโควิดระบาด ครอบคลุมทั้งประเด็นสุขภาพ เศรษฐกิจและนวัตกรรม
ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเปิดการประชุมคณะทํางานด้านสุขภาพ ภายใต้APEC Health Week เผยเป็นการประชุมด้านสุขภาพนานาชาติครั้งแรกในไทย หลังโควิดระบาด ครอบคลุมทั้งประเด็นสุขภาพ เศรษฐกิจและนวัตกรรม ช่วยสมาชิกเขตเศรษฐกิจเพิ่มความพร้อมรับมือวิกฤตสุขภาพและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
วันนี้ (23 สิงหาคม 2565) ที่โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กทม. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดการประชุมคณะทํางานด้านสุขภาพ (Health Working Group: HWG) SOM3/2022 ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมการจัดประชุม APEC Health Week ระหว่างวันที่ 22-26 สิงหาคม 2565 ที่กระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขของเขตเศรษฐกิจเอเปค ภายใต้หัวข้อ “Open to Partnership. Connect with the World. Balance Health and the Economy” หรือเปิดกว้างสร้างสัมพันธ์กับภาคี เชื่อมโยงกันกับโลก สู่สมดุลระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า การประชุมคณะทํางานด้านสุขภาพ (Health Working Group: HWG) SOM 3/2022 ถือเป็นการประชุมด้านสุขภาพระดับนานาชาติครั้งแรกในประเทศไทย หลังจากการระบาดของโรคโควิด 19 โดยมีเป้าหมายคือการช่วยสร้างความตื่นตัวในระดับสากลทั่วภูมิภาคเอเปค เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสุขภาพหลังวิกฤตโควิด 19และช่วยเพิ่มระดับความพร้อมในการรับมือความท้าทายใหม่ๆ ไปพร้อมกัน เปิดรับทุกโอกาสจากการเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์จากสมาชิกเขตเศรษฐกิจทั่วทุกมุมโลก ทั้งหมดนี้เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการทํางานร่วมกันระหว่างแต่ละเขตเศรษฐกิจ เพื่อเพิ่มมูลค่าด้านสุขภาพ ซึ่งนําไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจในที่สุด
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า รายละเอียดของการประชุมมีความครอบคลุมทั้งเรื่องสุขภาพ เศรษฐกิจ และนวัตกรรมที่จะพัฒนาระบบสุขภาพโลกในอนาคต รวมถึงเสริมสร้างการวางแผนทางด้านสุขภาพ โดยทุกคนที่เข้าร่วมประชุมมีความสําคัญในการมาร่วมกันวิเคราะห์และแบ่งปันความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่มีความท้าทาย โดยเฉพาะด้านการดําเนินงานเพื่อให้มั่นใจว่าสมาชิกของเอเปคสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ และเชื่อว่าผู้เข้าร่วมประชุมจะได้รับแรงบันดาลใจจากประสบการณ์ที่ได้รับการแบ่งปันจากสมาชิกเขตเศรษฐกิจ เพลิดเพลินกับบรรยากาศของประเทศไทย และการประชุมมีประสิทธิผลและประสบความสําเร็จตามเป้าหมาย
****************************23 สิงหาคม 2565 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58332 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบหลักการแก้หนี้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกหนี้ ธนาคาร 4 แห่งของรัฐ จำนวน 50,621 ราย ยอดหนี้เงินต้น 9,282.92 ล้านบาท | วันอังคารที่ 22 มีนาคม 2565
ครม. เห็นชอบหลักการแก้หนี้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกหนี้ ธนาคาร 4 แห่งของรัฐ จํานวน 50,621 ราย ยอดหนี้เงินต้น 9,282.92 ล้านบาท
ครม. เห็นชอบหลักการแก้หนี้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกหนี้ ธนาคาร 4 แห่งของรัฐ จํานวน 50,621 ราย ยอดหนี้เงินต้น 9,282.92 ล้านบาท
วันที่ 22 มีนาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สําหรับลูกหนี้ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) สําหรับชําระหนี้แทนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ จํานวน 50,621 ราย ยอดหนี้เงินต้นจํานวน 9,282.92 ล้านบาท ระยะเวลาดําเนินโครงการ 3 ปี นับจากวันที่ ครม. อนุมัติ แบ่งการดําเนินการ ออกเป็น 3 ระยะ -ปีที่ 1 จํานวน 10,000 ราย ขอใช้งบกลางฯ รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ปี 65 รวม 2,000 ล้านบาท -ปีที่ 2 จํานวน 22,000 ราย และ -ปีที่ 3 จํานวน 18,621 ราย
นายธนกร ยังกล่าวว่า ปัจจุบันมีสมาชิกที่เป็นหนี้ในระบบ และประสงค์ที่จะให้กองทุนช่วยเหลือแก้ปัญหาหนี้สินและได้นําหนี้มาขึ้นทะเบียน ซึ่งเป็นหนี้เร่งด่วน ผิดนัดชําระหนี้ และเป็นลูกหนี้ธนาคารของรัฐทั้ง 4 แห่ง ตรวจสอบแล้วกําลังรอการแก้ปัญหาทั้งสิ้น จํานวน 50,621 ราย รวมมูลหนี้เงินต้นจํานวน 9,282.92 ล้านบาท ประกอบด้วย ธ.ก.ส. 47,973 ราย มูลค่าหนี้เงินต้นจํานวน 8, 520.41 ล้านบาท ธนาคารออมสิน 552 ราย มูลค่าหนี้เงินต้น 162.37 ล้านบาท ธอส. 2,008 รายมูลหนี้เงินต้น 306.41 ล้านบาท และ ธพว. 88 ราย มูลหนี้เงินต้น 293.72 ล้านบาท
แนวทางการดําเนินการ ในการปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันเจ้าหนี้โดยพักชําระเงินต้นครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 50) และดอกเบี้ยทั้งหมดไว้ก่อน และให้เกษตรกรผ่อนชําระหนี้เงินต้นครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ50) ตามระยะเวลาที่ตกลง แต่ไม่เกิน 15 ปี เมื่อเกษตรกรชําระหนี้คืนเสร็จสิ้นแล้ว เงินต้น (ร้อยละ 50 ที่พักไว้) และดอกเบี้ยที่พักไว้ จะได้รับการยกให้เกษตรกรทั้งหมด โดยสถาบันเจ้าหนี้จะได้รับการชดเชยเงินต้นจากรัฐบาล สําหรับการชดเชยดอกเบี้ยให้เป็นไปตามมติ ครม. โดยเงื่อนไขสําคัญ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องไม่ก่อหนี้เพิ่มกับสถาบันการเงินอื่นใดอีก
สําหรับดอกเบี้ยค้างชําระของธนาคาร 4 แห่งนั้น ครม. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงการคลัง หารือก่อนให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีย้ําเป้าหมาย ครม. ในการแก้ปัญหาหนี้เกษตรในครั้งนี้ เพื่อให้เกษตรกรได้มีโอกาสได้พักฟื้นเรื่องหนี้สิน รักษาที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยของเกษตรกร เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาและฟื้นฟูตนเองและสร้างรายได้ในการประกอบอาชีพ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสําคัญในแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบทั้งหนี้ครัวเรือนและหนี้เกษตรกร ตามที่ประกาศ ปี 65 นี้ เป็นการแก้หนี้ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบหลักการแก้หนี้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกหนี้ ธนาคาร 4 แห่งของรัฐ จำนวน 50,621 ราย ยอดหนี้เงินต้น 9,282.92 ล้านบาท
วันอังคารที่ 22 มีนาคม 2565
ครม. เห็นชอบหลักการแก้หนี้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกหนี้ ธนาคาร 4 แห่งของรัฐ จํานวน 50,621 ราย ยอดหนี้เงินต้น 9,282.92 ล้านบาท
ครม. เห็นชอบหลักการแก้หนี้เกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร กลุ่มเป้าหมายที่เป็นลูกหนี้ ธนาคาร 4 แห่งของรัฐ จํานวน 50,621 ราย ยอดหนี้เงินต้น 9,282.92 ล้านบาท
วันที่ 22 มีนาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบในหลักการโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินเกษตรกรสมาชิกกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สําหรับลูกหนี้ธนาคารของรัฐ 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธ.ก.ส. ธอส. และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) สําหรับชําระหนี้แทนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ จํานวน 50,621 ราย ยอดหนี้เงินต้นจํานวน 9,282.92 ล้านบาท ระยะเวลาดําเนินโครงการ 3 ปี นับจากวันที่ ครม. อนุมัติ แบ่งการดําเนินการ ออกเป็น 3 ระยะ -ปีที่ 1 จํานวน 10,000 ราย ขอใช้งบกลางฯ รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ปี 65 รวม 2,000 ล้านบาท -ปีที่ 2 จํานวน 22,000 ราย และ -ปีที่ 3 จํานวน 18,621 ราย
นายธนกร ยังกล่าวว่า ปัจจุบันมีสมาชิกที่เป็นหนี้ในระบบ และประสงค์ที่จะให้กองทุนช่วยเหลือแก้ปัญหาหนี้สินและได้นําหนี้มาขึ้นทะเบียน ซึ่งเป็นหนี้เร่งด่วน ผิดนัดชําระหนี้ และเป็นลูกหนี้ธนาคารของรัฐทั้ง 4 แห่ง ตรวจสอบแล้วกําลังรอการแก้ปัญหาทั้งสิ้น จํานวน 50,621 ราย รวมมูลหนี้เงินต้นจํานวน 9,282.92 ล้านบาท ประกอบด้วย ธ.ก.ส. 47,973 ราย มูลค่าหนี้เงินต้นจํานวน 8, 520.41 ล้านบาท ธนาคารออมสิน 552 ราย มูลค่าหนี้เงินต้น 162.37 ล้านบาท ธอส. 2,008 รายมูลหนี้เงินต้น 306.41 ล้านบาท และ ธพว. 88 ราย มูลหนี้เงินต้น 293.72 ล้านบาท
แนวทางการดําเนินการ ในการปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันเจ้าหนี้โดยพักชําระเงินต้นครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 50) และดอกเบี้ยทั้งหมดไว้ก่อน และให้เกษตรกรผ่อนชําระหนี้เงินต้นครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ50) ตามระยะเวลาที่ตกลง แต่ไม่เกิน 15 ปี เมื่อเกษตรกรชําระหนี้คืนเสร็จสิ้นแล้ว เงินต้น (ร้อยละ 50 ที่พักไว้) และดอกเบี้ยที่พักไว้ จะได้รับการยกให้เกษตรกรทั้งหมด โดยสถาบันเจ้าหนี้จะได้รับการชดเชยเงินต้นจากรัฐบาล สําหรับการชดเชยดอกเบี้ยให้เป็นไปตามมติ ครม. โดยเงื่อนไขสําคัญ เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการจะต้องไม่ก่อหนี้เพิ่มกับสถาบันการเงินอื่นใดอีก
สําหรับดอกเบี้ยค้างชําระของธนาคาร 4 แห่งนั้น ครม. เห็นชอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงการคลัง หารือก่อนให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีย้ําเป้าหมาย ครม. ในการแก้ปัญหาหนี้เกษตรในครั้งนี้ เพื่อให้เกษตรกรได้มีโอกาสได้พักฟื้นเรื่องหนี้สิน รักษาที่ดินทํากินและที่อยู่อาศัยของเกษตรกร เข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อพัฒนาและฟื้นฟูตนเองและสร้างรายได้ในการประกอบอาชีพ ตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสําคัญในแก้ปัญหาหนี้ทั้งระบบทั้งหนี้ครัวเรือนและหนี้เกษตรกร ตามที่ประกาศ ปี 65 นี้ เป็นการแก้หนี้ให้เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52807 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส MOU ร่วม 9 หน่วยงานบูรณาการระบบอํานวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางทั้งคนต่างประเทศ-คนไทย | วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565
ดีอีเอส MOU ร่วม 9 หน่วยงานบูรณาการระบบอํานวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางทั้งคนต่างประเทศ-คนไทย
ดีอีเอส MOU ร่วม 9 หน่วยงานบูรณาการระบบอํานวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางทั้งคนต่างประเทศ-คนไทย
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ดร.ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปฏิบัติราชการแทน ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การบูรณาการระบบอํานวยความสะดวกแก่ผู้เดินทาง ร่วมกับ 9 หน่วยงาน สํานักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน)
ในการนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งมีภารกิจและหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นผู้รับผิดชอบ นําไปสู่การพัฒนาระบบเว็บท่า (Web Portal) ในชื่อ “Entry Thailand” (www.entrythailand.go.th) เพื่ออํานวย ความสะดวกให้กับผู้เดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในการเดินทางเข้าประเทศ ตลอดจนสร้างกลไก การดําเนินงานที่เชื่อมโยงสอดรับกับแนวนโยบายรัฐบาล
สําหรับวัตถุประสงค์การบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เพื่อบูรณาการความร่วมมือร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาระบบที่มีความครบถ้วนในการบริหารจัดการที่จะสามารถอํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว นับตั้งแต่ก่อนเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทยระหว่างพํานัก จนกระทั่งเดินทางกลับออก จากราชอาณาจักรไทย เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลและแอปพลิเคชันการให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่สําคัญตรงตามข้อกําหนดในมาตรการการควบคุมโรคของรัฐบาลและความต้องการของนักท่องเที่ยว ตั้งแต่ก่อนเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย ระหว่างพํานัก จนกระทั่งเดินทางกลับออกจากราชอาณาจักรไทย
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือช่วยค้นหาข้อมูลได้ทุกกระบวนการเกี่ยวกับการเดินทางเข้า-ออก ราชอาณาจักรไทย และเพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบการในการเพิ่มช่องทางการเสนอขายที่พักที่ได้รับการ รับรองมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Amazing Thailand Safety & Health Administration) ให้กับนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้ออกแบบแพลตฟอร์มข้อมูลกลาง รวบรวมลิงค์ก์เว็บไซต์ และข้อมูลสําคัญซึ่งมีการเชื่อมโยงของระบบต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ แอปพลิเคชัน Thailand Pass เรื่องการตรวจสอบและออกใบรับรองการได้รับวัคซีนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แอปพลิเคชันหมอชนะของกรมควบคุมโรค เรื่องของการขอ e-Visa ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกรม การกงสุล เรื่องการซื้อประกันสุขภาพและการตรวจสอบประกัน COVID ก่อนเข้าประเทศของสํานักงาน คณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่องการค้นหาข้อมูลด้านการท่องเที่ยว ในราชอาณาจักรไทยจากเว็บไซต์ Thailand Tourism Directory และ TAT News ของการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย เรื่องตารางเที่ยวบินของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) เรื่องการขอคืนภาษีสินค้า (Tax Refund) ของกรมสรรพากร และแอปพลิเคชัน Tourist Police l Lert U ของกองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม บันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา ๓ ปี นับแต่วันที่ทั้งเก้าฝ่ายลงนามร่วมกัน
*********************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส MOU ร่วม 9 หน่วยงานบูรณาการระบบอํานวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางทั้งคนต่างประเทศ-คนไทย
วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565
ดีอีเอส MOU ร่วม 9 หน่วยงานบูรณาการระบบอํานวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางทั้งคนต่างประเทศ-คนไทย
ดีอีเอส MOU ร่วม 9 หน่วยงานบูรณาการระบบอํานวยความสะดวกแก่ผู้เดินทางทั้งคนต่างประเทศ-คนไทย
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ดร.ณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ปฏิบัติราชการแทน ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมพิธีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ การบูรณาการระบบอํานวยความสะดวกแก่ผู้เดินทาง ร่วมกับ 9 หน่วยงาน สํานักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สํานักงานปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน)
ในการนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งมีภารกิจและหน้าที่เกี่ยวกับการส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เป็นผู้รับผิดชอบ นําไปสู่การพัฒนาระบบเว็บท่า (Web Portal) ในชื่อ “Entry Thailand” (www.entrythailand.go.th) เพื่ออํานวย ความสะดวกให้กับผู้เดินทางทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในการเดินทางเข้าประเทศ ตลอดจนสร้างกลไก การดําเนินงานที่เชื่อมโยงสอดรับกับแนวนโยบายรัฐบาล
สําหรับวัตถุประสงค์การบันทึกข้อตกลงในครั้งนี้ เพื่อบูรณาการความร่วมมือร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐในการพัฒนาระบบที่มีความครบถ้วนในการบริหารจัดการที่จะสามารถอํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยว นับตั้งแต่ก่อนเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทยระหว่างพํานัก จนกระทั่งเดินทางกลับออก จากราชอาณาจักรไทย เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลและแอปพลิเคชันการให้บริการด้านการท่องเที่ยวที่สําคัญตรงตามข้อกําหนดในมาตรการการควบคุมโรคของรัฐบาลและความต้องการของนักท่องเที่ยว ตั้งแต่ก่อนเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทย ระหว่างพํานัก จนกระทั่งเดินทางกลับออกจากราชอาณาจักรไทย
เพื่อใช้เป็นเครื่องมือช่วยค้นหาข้อมูลได้ทุกกระบวนการเกี่ยวกับการเดินทางเข้า-ออก ราชอาณาจักรไทย และเพื่อประโยชน์ของผู้ประกอบการในการเพิ่มช่องทางการเสนอขายที่พักที่ได้รับการ รับรองมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Amazing Thailand Safety & Health Administration) ให้กับนักท่องเที่ยว
ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้ออกแบบแพลตฟอร์มข้อมูลกลาง รวบรวมลิงค์ก์เว็บไซต์ และข้อมูลสําคัญซึ่งมีการเชื่อมโยงของระบบต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน ได้แก่ แอปพลิเคชัน Thailand Pass เรื่องการตรวจสอบและออกใบรับรองการได้รับวัคซีนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แอปพลิเคชันหมอชนะของกรมควบคุมโรค เรื่องของการขอ e-Visa ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ของกรม การกงสุล เรื่องการซื้อประกันสุขภาพและการตรวจสอบประกัน COVID ก่อนเข้าประเทศของสํานักงาน คณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย เรื่องการค้นหาข้อมูลด้านการท่องเที่ยว ในราชอาณาจักรไทยจากเว็บไซต์ Thailand Tourism Directory และ TAT News ของการท่องเที่ยว แห่งประเทศไทย เรื่องตารางเที่ยวบินของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) เรื่องการขอคืนภาษีสินค้า (Tax Refund) ของกรมสรรพากร และแอปพลิเคชัน Tourist Police l Lert U ของกองบัญชาการตํารวจท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม บันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีผลใช้บังคับเป็นระยะเวลา ๓ ปี นับแต่วันที่ทั้งเก้าฝ่ายลงนามร่วมกัน
*********************** | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56430 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 3 สิงหาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 32 ราย | วันอังคารที่ 3 สิงหาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 3 สิงหาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 32 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 3 สิงหาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 32 ราย
1)พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 206 เพศหญิง อายุ 38 ปี
2) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 23 เพศชาย อายุ 24 ปี
3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 53 เพศหญิง อายุ 43 ปี
4) พนักงานการเงินและบัญชี ระดับ 3 อู่เมกาบางนา เขตการเดินรถที่ 3 เพศหญิง อายุ 48 ปี
5) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 37 เพศหญิง อายุ 47 ปี
6) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 53 เพศหญิง อายุ 43 ปี
7) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 515 เพศชาย อายุ 21 ปี
8) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 138 เพศหญิง อายุ 22 ปี
9) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 179 เพศหญิง อายุ 48 ปี
10) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 22 เพศหญิง อายุ 25 ปี
11) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 25 เพศหญิง อายุ 54 ปี
12) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 62 เพศหญิง อายุ 24 ปี
13) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 72 เพศชาย อายุ 34 ปี
14) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 79 เพศชาย อายุ 47 ปี
15) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 13 เพศหญิง อายุ 25 ปี
16) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 53 เพศชาย อายุ 43 ปี
17) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 เพศชาย อายุ 37 ปี
18) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 84 ก เพศหญิง อายุ 49 ปี
19) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 91 เพศหญิง อายุ 38 ปี
20) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 515 เพศหญิง อายุ 44 ปี
21) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 205 เพศหญิง อายุ 55 ปี
22) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 205 เพศชาย อายุ 56 ปี
23) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 205 เพศหญิง อายุ 57 ปี
24) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 168 เพศหญิง อายุ 38 ปี
25) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 140 เพศหญิง อายุ 23 ปี
26) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 516 เพศหญิง อายุ 29 ปี
27) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 70 เพศชาย อายุ 50 ปี
28) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 34 เพศหญิง อายุ 59 ปี
29) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 185 เพศหญิง อายุ 36 ปี
30) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 185 เพศหญิง อายุ 42 ปี
31) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 205 เพศหญิง อายุ 43 ปี (ปัจจุบันพนักงานดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ช่วยงานธุรการจ่ายงาน ณ อู่คลองเตย เนื่องจากพนักงานตั้งครรภ์)
32) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 12 เพศชาย อายุ 54 ปี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ประกาศ ขสมก. ประจำวันที่ 3 สิงหาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จำนวน 32 ราย
วันอังคารที่ 3 สิงหาคม 2564
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 3 สิงหาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 32 ราย
ประกาศ ขสมก. ประจําวันที่ 3 สิงหาคม 2564 พบพนักงานติดเชื้อไวรัส COVID-19 จํานวน 32 ราย
1)พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 206 เพศหญิง อายุ 38 ปี
2) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 23 เพศชาย อายุ 24 ปี
3) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 53 เพศหญิง อายุ 43 ปี
4) พนักงานการเงินและบัญชี ระดับ 3 อู่เมกาบางนา เขตการเดินรถที่ 3 เพศหญิง อายุ 48 ปี
5) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 37 เพศหญิง อายุ 47 ปี
6) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 53 เพศหญิง อายุ 43 ปี
7) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 515 เพศชาย อายุ 21 ปี
8) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 138 เพศหญิง อายุ 22 ปี
9) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 179 เพศหญิง อายุ 48 ปี
10) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 22 เพศหญิง อายุ 25 ปี
11) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 25 เพศหญิง อายุ 54 ปี
12) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 62 เพศหญิง อายุ 24 ปี
13) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 72 เพศชาย อายุ 34 ปี
14) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 79 เพศชาย อายุ 47 ปี
15) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 13 เพศหญิง อายุ 25 ปี
16) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 53 เพศชาย อายุ 43 ปี
17) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 137 เพศชาย อายุ 37 ปี
18) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 84 ก เพศหญิง อายุ 49 ปี
19) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 91 เพศหญิง อายุ 38 ปี
20) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 515 เพศหญิง อายุ 44 ปี
21) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 205 เพศหญิง อายุ 55 ปี
22) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 205 เพศชาย อายุ 56 ปี
23) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 205 เพศหญิง อายุ 57 ปี
24) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 168 เพศหญิง อายุ 38 ปี
25) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 140 เพศหญิง อายุ 23 ปี
26) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 516 เพศหญิง อายุ 29 ปี
27) พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศ สาย 70 เพศชาย อายุ 50 ปี
28) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 34 เพศหญิง อายุ 59 ปี
29) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถธรรมดา สาย 185 เพศหญิง อายุ 36 ปี
30) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 185 เพศหญิง อายุ 42 ปี
31) พนักงานเก็บค่าโดยสารรถปรับอากาศ สาย 205 เพศหญิง อายุ 43 ปี (ปัจจุบันพนักงานดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่ช่วยงานธุรการจ่ายงาน ณ อู่คลองเตย เนื่องจากพนักงานตั้งครรภ์)
32) พนักงานขับรถโดยสารธรรมดา สาย 12 เพศชาย อายุ 54 ปี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44410 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีทำขวัญเกลือและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเกลือทะเลเพื่อการเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ | วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565
กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีทําขวัญเกลือและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเกลือทะเลเพื่อการเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่
กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีทําขวัญเกลือและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเกลือทะเลเพื่อการเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ หวังกระตุ้นให้เกษตรกรพัฒนาการทํานาเกลือทะเล และเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาที่เหมาะสมกับพื้นที่
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานสืบสานพิธีทําขวัญเกลือและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเกลือทะเลเพื่อการเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ ณ แปลงนาเกลือ หมู่ที่ 9 ต.บ้านแหลม อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับจังหวัดเพชรบุรี สถาบันเกลือทะเล (Salt Academy) ศูนย์ AIC เพชรบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี สหกรณ์เกลือ และชาวนาเกลือ 7 จังหวัดในภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออก ซึ่งจะทําพิธีพร้อมกันทุกจังหวัด กําหนดจัดงานดังกล่าวขึ้น เพื่อเป็นขวัญกําลังใจให้แก่เกษตรกรชาวนาเกลือทะเล รวมถึงการรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมการทํานาเกลือทะเลของประเทศ สร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์การผลิตเกลือทะเลของประเทสไทย อีกทั้งเพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรพัฒนาการทํานาเกลือทะเล และเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาที่เหมาะสมกับพื้นที่
"การจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นการรื้อฟื้นประเพณีโบราณของนาเกลือเพื่อความเป็นศิริมงคลฤกษ์งามยามดีเสริมสร้างขวัญและกําลังใจสู่ผลผลิตที่สมบูรณ์ต่อยอดด้วยมาตรฐานและคุณภาพใหม่ (มาตรฐานสินค้าเกษตร (มกษ.) และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลายสร้าง Story สร้างแบรนด์ด้วยการตลาดยุคดิจิทัล" นายอลงกรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ เกลือทะเลมีประวัติศาสตร์ยาวนานคู่กับประวัติศาสตร์ไทย ส่วนประวัติศาสตร์โลกนั้นในยุโรปยุคกรีก-โรมันเรียกเกลือว่า สสารแห่งพระเจ้า เป็นยุทธปัจจัยและสารอาหารที่สําคัญมาก การฟื้นฟูให้ความสําคัญกับพิธีทําขวัญเกลือจึงเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเกลือทะเลไทยเพื่อสร้างขวัญกําลังใจและสร้างแบรนด์เกลือทะเลไทย นอกจากนี้ ยังมีอีกพิธีกรรมคือพิธีแรกนาเกลือในเดือนแรกของการเริ่มต้นฤดูกาลทํานาเกลือเมื่อแดดแรกมาถึงหลังสิ้นฤดูฝนในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน
สําหรับพิธีแรกนาขวัญเกลือและพิธีทําขวัญเกลือของชาวนาเกลือสอดคล้องกับวิถีชาวนาและเกษตรกรไทยที่มีพิธีมงตลต้นฤดูการเพาะปลูกคือพิธีพืชมงคลและแรกนาขวัญนาเกลือกับนาข้าวคู่กันมากว่า 800 ปี จนมีเพลงฮิตเพลงหนึ่งชื่อ “หนุ่มนาข้าวสาวนาเกลือ” ยิ่งกว่านั้นยังมีกิจกรรมนาเกลือกับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรภายใต้คอนเซ็ปต์ Sand Salt Seafood บนถนนสายเลียบชายทะเล "คลองโคน-ชะอํา" อีกด้วย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีทำขวัญเกลือและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเกลือทะเลเพื่อการเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565
กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีทําขวัญเกลือและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเกลือทะเลเพื่อการเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่
กระทรวงเกษตรฯ จัดพิธีทําขวัญเกลือและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเกลือทะเลเพื่อการเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ หวังกระตุ้นให้เกษตรกรพัฒนาการทํานาเกลือทะเล และเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาที่เหมาะสมกับพื้นที่
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดงานสืบสานพิธีทําขวัญเกลือและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเกลือทะเลเพื่อการเริ่มต้นฤดูกาลผลิตใหม่ ณ แปลงนาเกลือ หมู่ที่ 9 ต.บ้านแหลม อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตร ร่วมกับจังหวัดเพชรบุรี สถาบันเกลือทะเล (Salt Academy) ศูนย์ AIC เพชรบุรี มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี สหกรณ์เกลือ และชาวนาเกลือ 7 จังหวัดในภาคกลาง ภาคใต้ และภาคตะวันออก ซึ่งจะทําพิธีพร้อมกันทุกจังหวัด กําหนดจัดงานดังกล่าวขึ้น เพื่อเป็นขวัญกําลังใจให้แก่เกษตรกรชาวนาเกลือทะเล รวมถึงการรักษาคุณค่าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมการทํานาเกลือทะเลของประเทศ สร้างการรับรู้ ประชาสัมพันธ์การผลิตเกลือทะเลของประเทสไทย อีกทั้งเพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรพัฒนาการทํานาเกลือทะเล และเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาที่เหมาะสมกับพื้นที่
"การจัดงานในครั้งนี้ ถือเป็นการรื้อฟื้นประเพณีโบราณของนาเกลือเพื่อความเป็นศิริมงคลฤกษ์งามยามดีเสริมสร้างขวัญและกําลังใจสู่ผลผลิตที่สมบูรณ์ต่อยอดด้วยมาตรฐานและคุณภาพใหม่ (มาตรฐานสินค้าเกษตร (มกษ.) และการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี (GAP) ตลอดจนการพัฒนาผลิตภัณฑ์หลากหลายสร้าง Story สร้างแบรนด์ด้วยการตลาดยุคดิจิทัล" นายอลงกรณ์ กล่าว
ทั้งนี้ เกลือทะเลมีประวัติศาสตร์ยาวนานคู่กับประวัติศาสตร์ไทย ส่วนประวัติศาสตร์โลกนั้นในยุโรปยุคกรีก-โรมันเรียกเกลือว่า สสารแห่งพระเจ้า เป็นยุทธปัจจัยและสารอาหารที่สําคัญมาก การฟื้นฟูให้ความสําคัญกับพิธีทําขวัญเกลือจึงเป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาเกลือทะเลไทยเพื่อสร้างขวัญกําลังใจและสร้างแบรนด์เกลือทะเลไทย นอกจากนี้ ยังมีอีกพิธีกรรมคือพิธีแรกนาเกลือในเดือนแรกของการเริ่มต้นฤดูกาลทํานาเกลือเมื่อแดดแรกมาถึงหลังสิ้นฤดูฝนในเดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายน
สําหรับพิธีแรกนาขวัญเกลือและพิธีทําขวัญเกลือของชาวนาเกลือสอดคล้องกับวิถีชาวนาและเกษตรกรไทยที่มีพิธีมงตลต้นฤดูการเพาะปลูกคือพิธีพืชมงคลและแรกนาขวัญนาเกลือกับนาข้าวคู่กันมากว่า 800 ปี จนมีเพลงฮิตเพลงหนึ่งชื่อ “หนุ่มนาข้าวสาวนาเกลือ” ยิ่งกว่านั้นยังมีกิจกรรมนาเกลือกับการท่องเที่ยวเชิงเกษตรภายใต้คอนเซ็ปต์ Sand Salt Seafood บนถนนสายเลียบชายทะเล "คลองโคน-ชะอํา" อีกด้วย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50988 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet extends implementation of “We Travel Together” and “Tour Tiew Thai” schemes | วันพุธที่ 22 กันยายน 2564
Cabinet extends implementation of “We Travel Together” and “Tour Tiew Thai” schemes
Cabinet extends implementation of “We Travel Together” and “Tour Tiew Thai” schemes
September 21, 2021, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that the cabinet approved extension and criteria adjustment for the 3rd phase of “We Travel Together” and “Tour Tiew Thai” schemes, as proposed by Tourism Authority of Thailand (TAT). The two tourism stimulus schemes will be extended to end on February 28, 2022, and registered participants may use their entitlements under these schemes until January 31, 2022. Gist is as follows:
1. “Tour Tiew Thai” scheme: two criteria will be adjusted, namely, 1) Easing restriction from traveling only during Sunday and Thursday to allow travelling any day of the week; 2) Increasing maximum number of tour packages per travel company from 15 to 30 packages.
Under the scheme, the Government will subsidize 40% of tour packages up to 5,000 baht a person from a minimum price of 12,500 baht.
2. “We Travel Together” scheme (3rd Phase): Registration will be opened for interested business operators during September 24- October 1, 2021. It is expected that the scheme be implemented in October 2021. Under the scheme, the Government will subsidize 40% of accommodation cost (but not over 3,000 Baht/room/night) and 40% of the airfare (not over 2,000-3,000 Baht depending on the destination), and provide an e-voucher of 600 Baht/day.
According to the Government Spokesperson, despite the fact that the COVID-19 situation has eased down, hotel/accommodation/shop operators are called on to strictly observe COVID-19 related measures and instructions in a bid to control and prevent spread of the disease in parallel with economic stimulation. If the COVID-19 situation regresses, the TAT may consider putting the 2 schemes to an earlier end. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Cabinet extends implementation of “We Travel Together” and “Tour Tiew Thai” schemes
วันพุธที่ 22 กันยายน 2564
Cabinet extends implementation of “We Travel Together” and “Tour Tiew Thai” schemes
Cabinet extends implementation of “We Travel Together” and “Tour Tiew Thai” schemes
September 21, 2021, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that the cabinet approved extension and criteria adjustment for the 3rd phase of “We Travel Together” and “Tour Tiew Thai” schemes, as proposed by Tourism Authority of Thailand (TAT). The two tourism stimulus schemes will be extended to end on February 28, 2022, and registered participants may use their entitlements under these schemes until January 31, 2022. Gist is as follows:
1. “Tour Tiew Thai” scheme: two criteria will be adjusted, namely, 1) Easing restriction from traveling only during Sunday and Thursday to allow travelling any day of the week; 2) Increasing maximum number of tour packages per travel company from 15 to 30 packages.
Under the scheme, the Government will subsidize 40% of tour packages up to 5,000 baht a person from a minimum price of 12,500 baht.
2. “We Travel Together” scheme (3rd Phase): Registration will be opened for interested business operators during September 24- October 1, 2021. It is expected that the scheme be implemented in October 2021. Under the scheme, the Government will subsidize 40% of accommodation cost (but not over 3,000 Baht/room/night) and 40% of the airfare (not over 2,000-3,000 Baht depending on the destination), and provide an e-voucher of 600 Baht/day.
According to the Government Spokesperson, despite the fact that the COVID-19 situation has eased down, hotel/accommodation/shop operators are called on to strictly observe COVID-19 related measures and instructions in a bid to control and prevent spread of the disease in parallel with economic stimulation. If the COVID-19 situation regresses, the TAT may consider putting the 2 schemes to an earlier end. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46092 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบ โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ระยะที่ 2 ปี 2565-2570 จำนวน 13,318 คน กรอบวงเงิน 50,608.40 ล้านบาท | วันอังคารที่ 5 เมษายน 2565
ครม. เห็นชอบ โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ระยะที่ 2 ปี 2565-2570 จํานวน 13,318 คน กรอบวงเงิน 50,608.40 ล้านบาท
ครม. เห็นชอบ โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ระยะที่ 2 ปี 2565-2570 จํานวน 13,318 คน กรอบวงเงิน 50,608.40 ล้านบาท
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงคณะรัฐมนตรี วันนี้ (5 เมษายน 65) มีมติ เห็นชอบการดําเนินโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทยระยะที่ 2 พ.ศ. 2565 -2570ภายใต้กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น 50,608.40 ล้านบาท เพื่อผลิตแพทย์จํานวน 13,318 คน โดยผูกพันจนนักศึกษาแพทย์รุ่นสุดท้ายจบการศึกษาในปี 76 ซึ่งเป็นการดําเนินการต่อเนื่องจากโครงการผลิตแพทย์เพิ่มระยะที่ 1 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 26 มี.ค. 62 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์และการกระจายแพทย์ ตลอดจนขยายศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ส่งเสริมไทยเป็น Medical Hub เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและหารายได้ให้กับประเทศ
ทั้งนี้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มระยะที่ 2จะเน้นการพัฒนาหลักสูตรโดยใช้ชุมชนเป็นฐานการผลิต ตั้งเป้าหมายอัตราแพทย์ต่อประชากรในภาพรวม 1:1,200 ภายในปีการศึกษา 2576 เมื่อนักศึกษาแพทย์ที่ผลิตเพิ่มรุ่นสุดท้ายสําเร็จการศึกษาซึ่งในช่วงปี 65-70 จะต้องมีการผลิตแพทย์เพิ่ม13,318 คน ผ่านสถาบันในสังกัด อว. และ สธ. โดยมีกรอบวงเงินที่ 50,608.40 ล้านบาท หรือ ราว 3.8 ล้านบาท/คน โดยแบ่งเป็น งบดําเนินการในการผลิตบัณฑิต 300,000/บาท/คน/ปี หรือ 1.8 ล้านบาท/คน รวมจํานวน 23,972.40 ล้านบาท และ งบลงทุนเพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานการจัดการเรียนการสอนด้านการแพทย์ ในอัตรา 2 ล้านบาท/คน รวมจํานวน 26,636 ล้านบาท โดยเน้นการรับนักศึกษา 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มลดความเหลื่อมล้ํา โดยรับนักศึกษาที่สําเร็จการศึกษาชั้น ม.6 ในพื้นที่ชายขอบ พื้นที่ขาดแคลน หรือนักเรียนที่มีภูมิลําเนาไม่อยู่ในเขตอําเภอเมือง 2) กลุ่มสําเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ข้าราชการสังกัด สป.สธ. ที่สําเร็จการศึกษาระดับ ป.ตรีสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ และ 3) กลุ่มแพทย์เพื่อชุมชนเป็นนักเรียนที่สําเร็จการศึกษาชั้น ม.6 ตามหลักเกณฑ์การรับเดิมของโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบ โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ระยะที่ 2 ปี 2565-2570 จำนวน 13,318 คน กรอบวงเงิน 50,608.40 ล้านบาท
วันอังคารที่ 5 เมษายน 2565
ครม. เห็นชอบ โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ระยะที่ 2 ปี 2565-2570 จํานวน 13,318 คน กรอบวงเงิน 50,608.40 ล้านบาท
ครม. เห็นชอบ โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ระยะที่ 2 ปี 2565-2570 จํานวน 13,318 คน กรอบวงเงิน 50,608.40 ล้านบาท
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงคณะรัฐมนตรี วันนี้ (5 เมษายน 65) มีมติ เห็นชอบการดําเนินโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทยระยะที่ 2 พ.ศ. 2565 -2570ภายใต้กรอบวงเงินรวมทั้งสิ้น 50,608.40 ล้านบาท เพื่อผลิตแพทย์จํานวน 13,318 คน โดยผูกพันจนนักศึกษาแพทย์รุ่นสุดท้ายจบการศึกษาในปี 76 ซึ่งเป็นการดําเนินการต่อเนื่องจากโครงการผลิตแพทย์เพิ่มระยะที่ 1 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อ 26 มี.ค. 62 เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการแก้ปัญหาการขาดแคลนแพทย์และการกระจายแพทย์ ตลอดจนขยายศักยภาพการให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ส่งเสริมไทยเป็น Medical Hub เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและหารายได้ให้กับประเทศ
ทั้งนี้โครงการผลิตแพทย์เพิ่มระยะที่ 2จะเน้นการพัฒนาหลักสูตรโดยใช้ชุมชนเป็นฐานการผลิต ตั้งเป้าหมายอัตราแพทย์ต่อประชากรในภาพรวม 1:1,200 ภายในปีการศึกษา 2576 เมื่อนักศึกษาแพทย์ที่ผลิตเพิ่มรุ่นสุดท้ายสําเร็จการศึกษาซึ่งในช่วงปี 65-70 จะต้องมีการผลิตแพทย์เพิ่ม13,318 คน ผ่านสถาบันในสังกัด อว. และ สธ. โดยมีกรอบวงเงินที่ 50,608.40 ล้านบาท หรือ ราว 3.8 ล้านบาท/คน โดยแบ่งเป็น งบดําเนินการในการผลิตบัณฑิต 300,000/บาท/คน/ปี หรือ 1.8 ล้านบาท/คน รวมจํานวน 23,972.40 ล้านบาท และ งบลงทุนเพื่อสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานการจัดการเรียนการสอนด้านการแพทย์ ในอัตรา 2 ล้านบาท/คน รวมจํานวน 26,636 ล้านบาท โดยเน้นการรับนักศึกษา 3 กลุ่ม คือ 1) กลุ่มลดความเหลื่อมล้ํา โดยรับนักศึกษาที่สําเร็จการศึกษาชั้น ม.6 ในพื้นที่ชายขอบ พื้นที่ขาดแคลน หรือนักเรียนที่มีภูมิลําเนาไม่อยู่ในเขตอําเภอเมือง 2) กลุ่มสําเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ข้าราชการสังกัด สป.สธ. ที่สําเร็จการศึกษาระดับ ป.ตรีสายวิทยาศาสตร์สุขภาพ และ 3) กลุ่มแพทย์เพื่อชุมชนเป็นนักเรียนที่สําเร็จการศึกษาชั้น ม.6 ตามหลักเกณฑ์การรับเดิมของโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53312 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่ง ระดมกำลัง รับมือผลกระทบน้ำมันดิบรั่ว มาบตาพุด ลดผลกระทบต่อประชาชน-สิ่งแวดล้อม | วันพุธที่ 26 มกราคม 2565
นายกฯ สั่ง ระดมกําลัง รับมือผลกระทบน้ํามันดิบรั่ว มาบตาพุด ลดผลกระทบต่อประชาชน-สิ่งแวดล้อม
นายกฯ สั่ง ระดมกําลัง รับมือผลกระทบน้ํามันดิบรั่ว มาบตาพุด ลดผลกระทบต่อประชาชน-สิ่งแวดล้อม
วันที่ 26 ม.ค.65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รับทราบเหตุน้ํามันดิบรั่วไหล บริเวณทุ่นผูกเรือน้ําลึกเดี่ยวกลางทะเล ท่าเรือมาบตาพุด จ.ระยอง แม้จะสามารถควบคุมการรั่วไหลได้แล้ว แต่นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใย จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ฯลฯ บูรณาการร่วมกับจังหวัด และบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จํากัด (มหาชน) รับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากเหตุดังกล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งขจัดคราบน้ํามันโดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด และป้องกันคราบน้ํามันไหลสู่ชายหาด โดยยังได้กําชับให้กระทรวงกลาโหม สนับสนุนกําลังพลและเรือในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเต็มกําลัง พร้อมกันนี้ ยังให้ประเมินผลกระทบทางทะเล และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แจ้งเตือนประชาชนในการประกอบอาชีพ เพื่อที่ประชาชนจะได้ทราบถึงแนวทางการปฏิบัติ ไม่เกิดความตื่นตระหนกจากสถานการณ์
“สําหรับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงขอให้รับฟังการแจ้งเตือนจากหน่วยราชการอย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้สามารถควบคุมการรั่วไหลของน้ํามันได้แล้ว และกําลังเร่งขจัดคราบน้ํามันในทะเล ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําลังเร่งมือทุกด้านเพื่อแก้ไขปัญหาให้ได้โดยเร็ว” น.ส.ไตรศุลี กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ สั่ง ระดมกำลัง รับมือผลกระทบน้ำมันดิบรั่ว มาบตาพุด ลดผลกระทบต่อประชาชน-สิ่งแวดล้อม
วันพุธที่ 26 มกราคม 2565
นายกฯ สั่ง ระดมกําลัง รับมือผลกระทบน้ํามันดิบรั่ว มาบตาพุด ลดผลกระทบต่อประชาชน-สิ่งแวดล้อม
นายกฯ สั่ง ระดมกําลัง รับมือผลกระทบน้ํามันดิบรั่ว มาบตาพุด ลดผลกระทบต่อประชาชน-สิ่งแวดล้อม
วันที่ 26 ม.ค.65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รับทราบเหตุน้ํามันดิบรั่วไหล บริเวณทุ่นผูกเรือน้ําลึกเดี่ยวกลางทะเล ท่าเรือมาบตาพุด จ.ระยอง แม้จะสามารถควบคุมการรั่วไหลได้แล้ว แต่นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใย จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ฯลฯ บูรณาการร่วมกับจังหวัด และบริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จํากัด (มหาชน) รับมือผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากเหตุดังกล่าว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งขจัดคราบน้ํามันโดยเร็ว เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมให้ได้มากที่สุด และป้องกันคราบน้ํามันไหลสู่ชายหาด โดยยังได้กําชับให้กระทรวงกลาโหม สนับสนุนกําลังพลและเรือในการแก้ไขปัญหานี้อย่างเต็มกําลัง พร้อมกันนี้ ยังให้ประเมินผลกระทบทางทะเล และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แจ้งเตือนประชาชนในการประกอบอาชีพ เพื่อที่ประชาชนจะได้ทราบถึงแนวทางการปฏิบัติ ไม่เกิดความตื่นตระหนกจากสถานการณ์
“สําหรับประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงขอให้รับฟังการแจ้งเตือนจากหน่วยราชการอย่างใกล้ชิด โดยขณะนี้สามารถควบคุมการรั่วไหลของน้ํามันได้แล้ว และกําลังเร่งขจัดคราบน้ํามันในทะเล ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําลังเร่งมือทุกด้านเพื่อแก้ไขปัญหาให้ได้โดยเร็ว” น.ส.ไตรศุลี กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50909 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.DES เผย UAE ชวนไทย ร่วมมือการค้าเสรี เเละ food security | วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564
รมว.DES เผย UAE ชวนไทย ร่วมมือการค้าเสรี เเละ food security
รมว.DES เผย UAE ชวนไทย ร่วมมือการค้าเสรี เเละ food security
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย เข้าร่วมหารือกับ ดร.ธานี บิน อาเหม็ด อัล เซยูดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ณ. งาน world expo 2020 โดย รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม เปิดเผย ว่า จากการหารือร่วมกันทั้ง 2 ประเทศ ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดีมาก รัฐบาลของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้มีการชวนประเทศไทยเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจ เปิดเขตการค้าเสรี หรือ Free Trade Area เเละให้ความสําคัญ กับเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงเรื่องความมั่นคงทางด้านอาหาร food security ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เเละอยากขอความร่วมมือกับไทยเรื่องอาหาร เเละสินค้าเกษตร ที่อยากจะให้ประเทศไทยสนับสนุน ด้านอาหาร นอกจากนี้ก็สนใจเรื่องพลังงาน และสัมปทานเเก๊สในประเทศไทยด้วย เพื่อสร้างความสัมพันธ์เเละความมั่นคงระหว่างประเทศในอนาคต
*************************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.DES เผย UAE ชวนไทย ร่วมมือการค้าเสรี เเละ food security
วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564
รมว.DES เผย UAE ชวนไทย ร่วมมือการค้าเสรี เเละ food security
รมว.DES เผย UAE ชวนไทย ร่วมมือการค้าเสรี เเละ food security
นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เป็นผู้แทนรัฐบาลไทย เข้าร่วมหารือกับ ดร.ธานี บิน อาเหม็ด อัล เซยูดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าต่างประเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ณ. งาน world expo 2020 โดย รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม เปิดเผย ว่า จากการหารือร่วมกันทั้ง 2 ประเทศ ถือว่าเป็นไปในทิศทางที่ดีมาก รัฐบาลของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้มีการชวนประเทศไทยเป็นพันธมิตรทางเศรษฐกิจ เปิดเขตการค้าเสรี หรือ Free Trade Area เเละให้ความสําคัญ กับเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ ขณะเดียวกันก็เป็นห่วงเรื่องความมั่นคงทางด้านอาหาร food security ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เเละอยากขอความร่วมมือกับไทยเรื่องอาหาร เเละสินค้าเกษตร ที่อยากจะให้ประเทศไทยสนับสนุน ด้านอาหาร นอกจากนี้ก็สนใจเรื่องพลังงาน และสัมปทานเเก๊สในประเทศไทยด้วย เพื่อสร้างความสัมพันธ์เเละความมั่นคงระหว่างประเทศในอนาคต
*************************** | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49309 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ร่วมคณะนายก ลุยยกระดับทักษะอาชีวะ สู่แรงงาน หนุนท่องเที่ยวภูเก็ตหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ | วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565
รมว.สุชาติ ร่วมคณะนายก ลุยยกระดับทักษะอาชีวะ สู่แรงงาน หนุนท่องเที่ยวภูเก็ตหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ
รมว.สุชาติ ร่วมคณะนายก ลุยยกระดับทักษะอาชีวะ สู่แรงงาน หนุนท่องเที่ยวภูเก็ตหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ
เมื่อวันที่6มิถุนายน2565นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานร่วมคณะของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อมอบนโยบายการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมและเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงเอ็มโอยูว่าด้วยความร่วมมือการพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืนเยี่ยมชมนิทรรศการการขับเคลื่อนการศึกษาสู่ทักษะอาชีพและการมีงานทําณโรงเรียนพุทธมงคลนิมิตถ.เยาวราชต.ตลาดใหญ่อ.เมืองภูเก็ตจ.ภูเก็ตโดยมี นายสุเทพชิตยวงษ์เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนางเธียรรัตน์นะวะมะวัฒน์โฆษกกระทรวงแรงงาน(ฝ่ายการเมือง)นายไพโรจน์โชติกเสถียรอธิบดีกรมการจัดหางานนายประทีปทรงลํายองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานนายนิยมสองแก้วอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนายบุญสงค์ทัพชัยยุทธ์เลขาธิการสํานักงานประกันสังคมพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานร่วมต้อนรับนายณรงค์วุ่นซิ้วผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตกล่าวต้อนรับ
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้พบปะกลุ่มแรงงานนอกระบบและให้กําลังใจแกนนําอาสาสมัครแรงงานระดับตําบลและเครือข่ายด้านแรงงานของจังหวัดภูเก็ตที่มาร่วมต้อนรับซึ่งอาสาสมัครแรงงานเหล่านี้เป็นผู้เชื่อมประสานภารกิจของกระทรวงแรงงานไปสู่พื้นที่เป็นผู้ที่มีความเสียสละอุทิศตนเพื่อส่วนรวมทํางานใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนในชุมชนในการนําภารกิจประสานการให้บริการด้านแรงงานเพื่อให้ประชาชนมีงานทํามีทักษะฝีมือมีอาชีพมีรายได้ได้รับการคุ้มครองและมีหลักประกันทางสังคมที่ยั่งยืนอีกด้วยจากนั้นนายสุชาติชมกลิ่นรมว.แรงงานได้นํานายกรัฐมนตรีและคณะเข้าเยี่ยมชมบูธการให้บริการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดภูเก็ตได้แก่การสาธิตการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานสาขาพนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่มระดับ1โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงงาน21ภูเก็ตการให้ความรู้สิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนมาตรา40และเครือข่ายบวรบ้านวัดโรงเรียนโรงงานของสํานักงานประกันสังคมจังหวัดภูเก็ตการแนะแนวอาชีพและสาธิตการประกอบอาชีพอิสระเมนูการชงชาชักของสํานักงานจัดหางานจังหวัดภูเก็ตเป็นต้นจากนั้นรมว.แรงงานยังได้ร่วมคณะนายกรัฐมนตรีไปยังโรงแรมบียอนด์รีสอร์ทกะตะอ.เมืองภูเก็ตจ.ภูเก็ตเพื่อร่วมพิธีเปิดการสัมมนากําหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวประเทศไทย(Thailand Tourism Congress 2022)โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่องยุทธศาสตร์การยกระดับการท่องเที่ยวไทยสู่การท่องเที่ยวคุณภาพที่ยั่งยืนอีกด้วย
นายสุชาติกล่าวว่าท่านพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กล่าวชื่นชมและให้กําลังใจพี่น้องผู้ใช้แรงงานว่าแรงงานทุกคนเป็นพลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้ารัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้ให้ความสําคัญในการพัฒนาทักษะฝีมือให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพสูงมีคุณธรรมเป็นที่ต้องการของนายจ้างผู้ประกอบการโดยการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาตั้งแต่ระดับอาชีวะเพื่อยกระดับทักษะฝีมือแรงงานสู่ทักษะอาชีพและการมีงานทําของนักเรียนนักศึกษารวมถึงประชาชนในพื้นที่ให้มีอาชีพมีรายได้มีหลักประกันความมั่นคงทางสังคมอันจะเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกอบการสอดคล้องนโยบายเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวได้เข้ามาในประเทศไทยโดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนําที่ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้ความสนใจมาท่องเที่ยวเป็นจํานวนมากทําให้เกิดรายได้เป็นเม็ดเงินมหาศาลและช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
6มิถุนายน2565 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ ร่วมคณะนายก ลุยยกระดับทักษะอาชีวะ สู่แรงงาน หนุนท่องเที่ยวภูเก็ตหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ
วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565
รมว.สุชาติ ร่วมคณะนายก ลุยยกระดับทักษะอาชีวะ สู่แรงงาน หนุนท่องเที่ยวภูเก็ตหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ
รมว.สุชาติ ร่วมคณะนายก ลุยยกระดับทักษะอาชีวะ สู่แรงงาน หนุนท่องเที่ยวภูเก็ตหลังเปิดประเทศเต็มรูปแบบ
เมื่อวันที่6มิถุนายน2565นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานร่วมคณะของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในโอกาสที่นายกรัฐมนตรีลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อมอบนโยบายการจัดการศึกษาแบบมีส่วนร่วมและเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงเอ็มโอยูว่าด้วยความร่วมมือการพัฒนาการศึกษาอย่างยั่งยืนเยี่ยมชมนิทรรศการการขับเคลื่อนการศึกษาสู่ทักษะอาชีพและการมีงานทําณโรงเรียนพุทธมงคลนิมิตถ.เยาวราชต.ตลาดใหญ่อ.เมืองภูเก็ตจ.ภูเก็ตโดยมี นายสุเทพชิตยวงษ์เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนางเธียรรัตน์นะวะมะวัฒน์โฆษกกระทรวงแรงงาน(ฝ่ายการเมือง)นายไพโรจน์โชติกเสถียรอธิบดีกรมการจัดหางานนายประทีปทรงลํายองอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานนายนิยมสองแก้วอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานนายบุญสงค์ทัพชัยยุทธ์เลขาธิการสํานักงานประกันสังคมพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานร่วมต้อนรับนายณรงค์วุ่นซิ้วผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตกล่าวต้อนรับ
โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้พบปะกลุ่มแรงงานนอกระบบและให้กําลังใจแกนนําอาสาสมัครแรงงานระดับตําบลและเครือข่ายด้านแรงงานของจังหวัดภูเก็ตที่มาร่วมต้อนรับซึ่งอาสาสมัครแรงงานเหล่านี้เป็นผู้เชื่อมประสานภารกิจของกระทรวงแรงงานไปสู่พื้นที่เป็นผู้ที่มีความเสียสละอุทิศตนเพื่อส่วนรวมทํางานใกล้ชิดกับพี่น้องประชาชนในชุมชนในการนําภารกิจประสานการให้บริการด้านแรงงานเพื่อให้ประชาชนมีงานทํามีทักษะฝีมือมีอาชีพมีรายได้ได้รับการคุ้มครองและมีหลักประกันทางสังคมที่ยั่งยืนอีกด้วยจากนั้นนายสุชาติชมกลิ่นรมว.แรงงานได้นํานายกรัฐมนตรีและคณะเข้าเยี่ยมชมบูธการให้บริการของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดภูเก็ตได้แก่การสาธิตการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานสาขาพนักงานบริการอาหารและเครื่องดื่มระดับ1โดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงงาน21ภูเก็ตการให้ความรู้สิทธิประโยชน์ผู้ประกันตนมาตรา40และเครือข่ายบวรบ้านวัดโรงเรียนโรงงานของสํานักงานประกันสังคมจังหวัดภูเก็ตการแนะแนวอาชีพและสาธิตการประกอบอาชีพอิสระเมนูการชงชาชักของสํานักงานจัดหางานจังหวัดภูเก็ตเป็นต้นจากนั้นรมว.แรงงานยังได้ร่วมคณะนายกรัฐมนตรีไปยังโรงแรมบียอนด์รีสอร์ทกะตะอ.เมืองภูเก็ตจ.ภูเก็ตเพื่อร่วมพิธีเปิดการสัมมนากําหนดยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวประเทศไทย(Thailand Tourism Congress 2022)โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่องยุทธศาสตร์การยกระดับการท่องเที่ยวไทยสู่การท่องเที่ยวคุณภาพที่ยั่งยืนอีกด้วย
นายสุชาติกล่าวว่าท่านพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้กล่าวชื่นชมและให้กําลังใจพี่น้องผู้ใช้แรงงานว่าแรงงานทุกคนเป็นพลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เจริญก้าวหน้ารัฐบาลและกระทรวงแรงงานได้ให้ความสําคัญในการพัฒนาทักษะฝีมือให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพสูงมีคุณธรรมเป็นที่ต้องการของนายจ้างผู้ประกอบการโดยการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาตั้งแต่ระดับอาชีวะเพื่อยกระดับทักษะฝีมือแรงงานสู่ทักษะอาชีพและการมีงานทําของนักเรียนนักศึกษารวมถึงประชาชนในพื้นที่ให้มีอาชีพมีรายได้มีหลักประกันความมั่นคงทางสังคมอันจะเป็นการเสริมสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกอบการสอดคล้องนโยบายเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวได้เข้ามาในประเทศไทยโดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนําที่ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้ความสนใจมาท่องเที่ยวเป็นจํานวนมากทําให้เกิดรายได้เป็นเม็ดเงินมหาศาลและช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกด้วย
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
6มิถุนายน2565 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55434 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ไม่ยอม เตรียมเชือด แพลตฟอร์มออนไลน์ ปราม ห้ามเลียนแบบ | วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565
ดีอีเอส ไม่ยอม เตรียมเชือด แพลตฟอร์มออนไลน์ ปราม ห้ามเลียนแบบ
ดีอีเอส ไม่ยอม เตรียมเชือด แพลตฟอร์มออนไลน์ ปราม ห้ามเลียนแบบ
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าตามที่มีข่าวการทําโฆษณาโปรโมทการตลาดของแพลตฟอร์มออนไลน์แห่งหนึ่งที่เป็นประเด็นอยู่ในโลกโซเซียลมีเดีย บุคคลที่รับจ้างและเป็นผู้เผยแพร่มีการนําเสนอเนื้อหาหรือภาพที่ไม่เหมาะสมสร้างความไม่พอใจต่อสังคมการเลียนแบบหรือล้อเลียนพฤติกรรมของบุคคลโดยเฉพาะเรื่องของการเจ็บป่วยโดยการนําเรื่องของการเจ็บป่วยมาแสดงออกในทางตลกหรือหมิ่นเหม่กระทบต่อบุคคลอันเป็นที่เคารพสักการะเพื่อมุ่งหวังผลทางการค้าหรือในทางใดก็ตามจนเกิดกระแสต่อต้านจนมีการขึ้นแฮชแท็กแบนแพลตฟอร์มดังกล่าวนั้น
นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ไม่ได้นิ่งนอนใจได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องส่งให้กองบังคับการปราบปรามการกระทําผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.)เพื่อตรวจสอบและพิจารณาตามกฎหมายหากพบว่ามีการกระทําความผิดขอให้ปอท.ดําเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุดต่อไปคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปในวันจันทร์นี้เพื่อไม่ให้เจ้าอื่นหรือผู้ประกอบการอื่นนําไปเป็นพฤติกรรมลอกเลียนแบบนําไปสู่ความแตกแยกในสังคม
************ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ไม่ยอม เตรียมเชือด แพลตฟอร์มออนไลน์ ปราม ห้ามเลียนแบบ
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565
ดีอีเอส ไม่ยอม เตรียมเชือด แพลตฟอร์มออนไลน์ ปราม ห้ามเลียนแบบ
ดีอีเอส ไม่ยอม เตรียมเชือด แพลตฟอร์มออนไลน์ ปราม ห้ามเลียนแบบ
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าตามที่มีข่าวการทําโฆษณาโปรโมทการตลาดของแพลตฟอร์มออนไลน์แห่งหนึ่งที่เป็นประเด็นอยู่ในโลกโซเซียลมีเดีย บุคคลที่รับจ้างและเป็นผู้เผยแพร่มีการนําเสนอเนื้อหาหรือภาพที่ไม่เหมาะสมสร้างความไม่พอใจต่อสังคมการเลียนแบบหรือล้อเลียนพฤติกรรมของบุคคลโดยเฉพาะเรื่องของการเจ็บป่วยโดยการนําเรื่องของการเจ็บป่วยมาแสดงออกในทางตลกหรือหมิ่นเหม่กระทบต่อบุคคลอันเป็นที่เคารพสักการะเพื่อมุ่งหวังผลทางการค้าหรือในทางใดก็ตามจนเกิดกระแสต่อต้านจนมีการขึ้นแฮชแท็กแบนแพลตฟอร์มดังกล่าวนั้น
นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส)ไม่ได้นิ่งนอนใจได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่รวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องส่งให้กองบังคับการปราบปรามการกระทําผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(ปอท.)เพื่อตรวจสอบและพิจารณาตามกฎหมายหากพบว่ามีการกระทําความผิดขอให้ปอท.ดําเนินการตามกฎหมายอย่างถึงที่สุดต่อไปคาดว่าน่าจะได้ข้อสรุปในวันจันทร์นี้เพื่อไม่ให้เจ้าอื่นหรือผู้ประกอบการอื่นนําไปเป็นพฤติกรรมลอกเลียนแบบนําไปสู่ความแตกแยกในสังคม
************ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54328 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ วีระกิตติ์ เป็นประธานเปิดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการและฝึกปฏิบัติในการจัดทำข้อมูลภาคอุตสาหกรรมฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ | วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565
ผู้ตรวจฯ วีระกิตติ์ เป็นประธานเปิดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการและฝึกปฏิบัติในการจัดทําข้อมูลภาคอุตสาหกรรมฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้ตรวจฯ วีระกิตติ์ เป็นประธานเปิดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการและฝึกปฏิบัติในการจัดทําข้อมูลภาคอุตสาหกรรมฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้ตรวจฯ วีระกิตติ์ เป็นประธานเปิดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการและฝึกปฏิบัติในการจัดทําข้อมูลภาคอุตสาหกรรมฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการและฝึกปฏิบัติในการจัดทําข้อมูลภาคอุตสาหกรรม และการคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 3 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) โดยมี นางพัทธ์ธีรา สุวรรณทัต หัวหน้ากลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กล่าวรายงาน และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการจัดทําข้อมูลฯ ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 20 จังหวัด รวมจํานวน 40 คน เข้าร่วมการสัมมนา ณ โรงแรม อวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดขอนแก่น
สําหรับการสัมมนาฯในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีความรู้ ความเข้าใจ นําไปประกอบการจัดทํากลยุทธ์ในการปรับตัวสําหรับการประกอบกิจการในปัจจุบัน และคาดการณ์เศรษฐกิจในอนาคต สามารถจัดทําข้อมูลภาคอุตสาหกรรม และประยุกต์ใช้ในพื้นที่ได้ รวมถึงเป็นการเผยแพร่ข้อมูลแก่ผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจฯ วีระกิตติ์ เป็นประธานเปิดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการและฝึกปฏิบัติในการจัดทำข้อมูลภาคอุตสาหกรรมฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม 2565
ผู้ตรวจฯ วีระกิตติ์ เป็นประธานเปิดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการและฝึกปฏิบัติในการจัดทําข้อมูลภาคอุตสาหกรรมฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้ตรวจฯ วีระกิตติ์ เป็นประธานเปิดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการและฝึกปฏิบัติในการจัดทําข้อมูลภาคอุตสาหกรรมฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้ตรวจฯ วีระกิตติ์ เป็นประธานเปิดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการและฝึกปฏิบัติในการจัดทําข้อมูลภาคอุตสาหกรรมฯ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 นายวีระกิตติ์ รันทกิจธนวัชร์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เพื่อเสริมสร้างความรู้ทางวิชาการและฝึกปฏิบัติในการจัดทําข้อมูลภาคอุตสาหกรรม และการคาดการณ์สภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 3 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) โดยมี นางพัทธ์ธีรา สุวรรณทัต หัวหน้ากลุ่มความร่วมมือระหว่างประเทศ กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กล่าวรายงาน และเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในการจัดทําข้อมูลฯ ของสํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จํานวน 20 จังหวัด รวมจํานวน 40 คน เข้าร่วมการสัมมนา ณ โรงแรม อวานี ขอนแก่น โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดขอนแก่น
สําหรับการสัมมนาฯในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมีความรู้ ความเข้าใจ นําไปประกอบการจัดทํากลยุทธ์ในการปรับตัวสําหรับการประกอบกิจการในปัจจุบัน และคาดการณ์เศรษฐกิจในอนาคต สามารถจัดทําข้อมูลภาคอุตสาหกรรม และประยุกต์ใช้ในพื้นที่ได้ รวมถึงเป็นการเผยแพร่ข้อมูลแก่ผู้ประกอบการได้อย่างมีประสิทธิภาพ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52266 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม โดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ประกาศรายชื่อ ๗ ศิลปิน ๗ สาขา “ศิลปาธร” ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ พร้อมจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติศิลปินศิลปาธร และเผยแพร่องค์ความรู้ | วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565
กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ประกาศรายชื่อ ๗ ศิลปิน ๗ สาขา “ศิลปาธร” ประจําปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ พร้อมจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติศิลปินศิลปาธร และเผยแพร่องค์ความรู้
กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ประกาศรายชื่อ ๗ ศิลปิน ๗ สาขา “ศิลปาธร” ประจําปีพุทธศักราช ๒๕๖๕
พร้อมจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติศิลปินศิลปาธร และเผยแพร่องค์ความรู้
กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
ประกาศรายชื่อ ๗ ศิลปิน ๗ สาขา “ศิลปาธร” ประจําปีพุทธศักราช ๒๕๖๕
พร้อมจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติศิลปินศิลปาธร และเผยแพร่องค์ความรู้
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่สํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ได้ดําเนินโครงการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินร่วมสมัยดีเด่นรางวัล “ศิลปาธร” มาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๗ เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินร่วมสมัยรุ่นกลางที่ได้ทุ่มเทพลังความคิด สติปัญญา และจิตใจอันมุ่งมั่น สร้างสรรค์ผลงานอันทรงคุณค่าเป็นที่ประจักษ์ต่อวงการศิลปะร่วมสมัย และผลงานได้เผยแพร่ทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีศิลปินที่ได้รับรางวัล “ศิลปาธร” แล้วทั้งสิ้น ๑ พระนาม คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงได้รับการยกย่องเป็นศิลปาธร สาขาศิลปะการออกแบบ (แฟชั่นและเครื่องประดับ) และอีก ๙๔ รายชื่อ
สําหรับปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้มอบรางวัล “ศิลปาธร” ให้แก่ศิลปินร่วมสมัยดีเด่นจํานวน ๗ สาขา ดังนี้
สาขาทัศนศิลป์ ได้แก่ นายธวัชชัย พันธุ์สวัสดิ์
สาขาสถาปัตยกรรม ได้แก่ หม่อมหลวง วรุตม์ วรวรรณ
สาขาวรรณศิลป์ ได้แก่ นายสถาพร จรดิฐ หรือเจ้าของนามปากกา จเด็จ กําจรเดช
สาขาดนตรี ได้แก่ นายชัยภัค ภัทรจินดา
สาขาศิลปะการแสดง ได้แก่ นางสาวศรวณีย์ ธนะธนิต
สาขาศิลปะการออกแบบ ได้แก่ นายนครินทร์ ยาโน
และสาขาภาพยนตร์และสื่อเคลื่อนไหว ได้แก่ นายลี ชาตะเมธีกุล
ทั้งนี้ “ศิลปาธร” หมายถึง ผู้ทรงไว้ซึ่งศิลปะ หรือผู้รักษาไว้ซึ่งศิลปะ โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยได้ดําเนินการสรรหาศิลปินร่วมสมัยดีเด่นรางวัล “ศิลปาธร” นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๗ จนถึงปัจจุบัน รางวัลที่มอบให้แก่ศิลปินศิลปาธร ประกอบด้วยเข็มเชิดชูเกียรติและเงินรางวัลจํานวนหนึ่งแสนบาทถ้วน
กระบวนการสรรหาและพิจารณาตัดสิน อยู่ภายใต้การดําเนินงานตามขั้นตอนของคณะกรรมการคัดสรรฯ และคณะกรรมการตัดสินฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางศิลปะร่วมสมัยสาขาต่าง ๆ ในปี ๒๕๖๕ คณะกรรมการคัดสรรศิลปินร่วมสมัยดีเด่นรางวัล “ศิลปาธร” จํานวน ๗ คณะ ได้เสนอรายชื่อศิลปินที่ผ่านการคัดสรร จํานวน ๗ สาขา ให้คณะกรรมการตัดสินฯ ในแต่ละสาขาเป็นผู้พิจารณา และคณะกรรมการตัดสินฯ ได้ดําเนินการตัดสินโดยพิจารณาตามแนวทางการสรรหาและคัดเลือกศิลปินร่วมสมัยดีเด่นรางวัล “ศิลปาธร” ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๕ และเสนอรายชื่อ ผู้ที่ได้รับการตัดสินให้เป็นศิลปินศิลปาธร ทั้ง ๗ สาขาต่อคณะกรรมการอํานวยการโครงการฯ เพื่อขอรับความเห็นชอบ และคณะกรรมการอํานวยการโครงการฯ ได้ให้ความเห็นชอบผลการพิจารณาตัดสินดังกล่าว
โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย จะมอบเข็มเชิดชูเกียรติให้กับศิลปินทั้ง ๗ ท่าน พร้อมเงินรางวัลจํานวนหนึ่งแสนบาท พร้อมจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติฯ และกิจกรรมเผยแพร่องค์ความรู้ของศิลปินศิลปาธร ต่อไป
ศิลปินศิลปาธร นับเป็นต้นแบบของคนรุ่นใหม่ที่มีกําลังความคิดในการสร้างสรรค์ผลงาน อันทรงคุณค่า สามารถประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมอันเป็นทุนทางวัฒนธรรมนํามาต่อยอดการสร้างสรรค์ผลงานให้เกิดคุณค่า
และมูลค่าเพิ่มในระบบเศรษฐกิจ อุทิศกําลังเวลา ความคิด ทักษะและประสบการณ์ความรู้ สร้างสรรค์ประโยชน์
ให้แก่ประเทศชาติได้อย่างน่าภาคภูมิใจ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงวัฒนธรรม โดยสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ประกาศรายชื่อ ๗ ศิลปิน ๗ สาขา “ศิลปาธร” ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ พร้อมจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติศิลปินศิลปาธร และเผยแพร่องค์ความรู้
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565
กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ประกาศรายชื่อ ๗ ศิลปิน ๗ สาขา “ศิลปาธร” ประจําปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ พร้อมจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติศิลปินศิลปาธร และเผยแพร่องค์ความรู้
กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ประกาศรายชื่อ ๗ ศิลปิน ๗ สาขา “ศิลปาธร” ประจําปีพุทธศักราช ๒๕๖๕
พร้อมจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติศิลปินศิลปาธร และเผยแพร่องค์ความรู้
กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย
ประกาศรายชื่อ ๗ ศิลปิน ๗ สาขา “ศิลปาธร” ประจําปีพุทธศักราช ๒๕๖๕
พร้อมจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติศิลปินศิลปาธร และเผยแพร่องค์ความรู้
นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า ตามที่สํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ได้ดําเนินโครงการยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินร่วมสมัยดีเด่นรางวัล “ศิลปาธร” มาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๗ เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และยกย่องเชิดชูเกียรติศิลปินร่วมสมัยรุ่นกลางที่ได้ทุ่มเทพลังความคิด สติปัญญา และจิตใจอันมุ่งมั่น สร้างสรรค์ผลงานอันทรงคุณค่าเป็นที่ประจักษ์ต่อวงการศิลปะร่วมสมัย และผลงานได้เผยแพร่ทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีศิลปินที่ได้รับรางวัล “ศิลปาธร” แล้วทั้งสิ้น ๑ พระนาม คือ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงได้รับการยกย่องเป็นศิลปาธร สาขาศิลปะการออกแบบ (แฟชั่นและเครื่องประดับ) และอีก ๙๔ รายชื่อ
สําหรับปีพุทธศักราช ๒๕๖๕ กระทรวงวัฒนธรรม โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย ได้มอบรางวัล “ศิลปาธร” ให้แก่ศิลปินร่วมสมัยดีเด่นจํานวน ๗ สาขา ดังนี้
สาขาทัศนศิลป์ ได้แก่ นายธวัชชัย พันธุ์สวัสดิ์
สาขาสถาปัตยกรรม ได้แก่ หม่อมหลวง วรุตม์ วรวรรณ
สาขาวรรณศิลป์ ได้แก่ นายสถาพร จรดิฐ หรือเจ้าของนามปากกา จเด็จ กําจรเดช
สาขาดนตรี ได้แก่ นายชัยภัค ภัทรจินดา
สาขาศิลปะการแสดง ได้แก่ นางสาวศรวณีย์ ธนะธนิต
สาขาศิลปะการออกแบบ ได้แก่ นายนครินทร์ ยาโน
และสาขาภาพยนตร์และสื่อเคลื่อนไหว ได้แก่ นายลี ชาตะเมธีกุล
ทั้งนี้ “ศิลปาธร” หมายถึง ผู้ทรงไว้ซึ่งศิลปะ หรือผู้รักษาไว้ซึ่งศิลปะ โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยได้ดําเนินการสรรหาศิลปินร่วมสมัยดีเด่นรางวัล “ศิลปาธร” นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๔๗ จนถึงปัจจุบัน รางวัลที่มอบให้แก่ศิลปินศิลปาธร ประกอบด้วยเข็มเชิดชูเกียรติและเงินรางวัลจํานวนหนึ่งแสนบาทถ้วน
กระบวนการสรรหาและพิจารณาตัดสิน อยู่ภายใต้การดําเนินงานตามขั้นตอนของคณะกรรมการคัดสรรฯ และคณะกรรมการตัดสินฯ ซึ่งประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางศิลปะร่วมสมัยสาขาต่าง ๆ ในปี ๒๕๖๕ คณะกรรมการคัดสรรศิลปินร่วมสมัยดีเด่นรางวัล “ศิลปาธร” จํานวน ๗ คณะ ได้เสนอรายชื่อศิลปินที่ผ่านการคัดสรร จํานวน ๗ สาขา ให้คณะกรรมการตัดสินฯ ในแต่ละสาขาเป็นผู้พิจารณา และคณะกรรมการตัดสินฯ ได้ดําเนินการตัดสินโดยพิจารณาตามแนวทางการสรรหาและคัดเลือกศิลปินร่วมสมัยดีเด่นรางวัล “ศิลปาธร” ประจําปี พ.ศ. ๒๕๖๕ และเสนอรายชื่อ ผู้ที่ได้รับการตัดสินให้เป็นศิลปินศิลปาธร ทั้ง ๗ สาขาต่อคณะกรรมการอํานวยการโครงการฯ เพื่อขอรับความเห็นชอบ และคณะกรรมการอํานวยการโครงการฯ ได้ให้ความเห็นชอบผลการพิจารณาตัดสินดังกล่าว
โดยสํานักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย จะมอบเข็มเชิดชูเกียรติให้กับศิลปินทั้ง ๗ ท่าน พร้อมเงินรางวัลจํานวนหนึ่งแสนบาท พร้อมจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติฯ และกิจกรรมเผยแพร่องค์ความรู้ของศิลปินศิลปาธร ต่อไป
ศิลปินศิลปาธร นับเป็นต้นแบบของคนรุ่นใหม่ที่มีกําลังความคิดในการสร้างสรรค์ผลงาน อันทรงคุณค่า สามารถประยุกต์ใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมอันเป็นทุนทางวัฒนธรรมนํามาต่อยอดการสร้างสรรค์ผลงานให้เกิดคุณค่า
และมูลค่าเพิ่มในระบบเศรษฐกิจ อุทิศกําลังเวลา ความคิด ทักษะและประสบการณ์ความรู้ สร้างสรรค์ประโยชน์
ให้แก่ประเทศชาติได้อย่างน่าภาคภูมิใจ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57501 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดหางาน ด้วยระบบ E- service รองรับคนหางานทั่วประเทศ | วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2565
รมว.สุชาติ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดหางาน ด้วยระบบ E- service รองรับคนหางานทั่วประเทศ
กระทรวงแรงงาน ชี้ช่องทางบริการประชาชนผ่านระบบ e-service กรมการจัดหางาน ขึ้นทะเบียนว่างงาน ตรวจสอบข้อมูลขึ้นทะเบียน และค้นหางานเบ็ดเสร็จในจุดเดียว
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสําคัญกับการลดความเหลื่อมล้ําในการเข้าถึงบริการและสวัสดิการของประชาชน ซึ่งกระทรวงแรงงานขานรับนโยบาย โดยมุ่งมั่นเพิ่มประสิทธิภาพงานบริการภาครัฐ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ประหยัดเวลา สอดคล้องกับการเปลี่ยนพฤติกรรมการรับบริการของประชาชนที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปดําเนินธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน อํานวยความสะดวกให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ลาออกจากงาน หรือถูกลูกเลิกจ้าง ให้สามารถขึ้นทะเบียนว่างงาน รายงานตัว ตรวจสอบข้อมูลขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน และหางานทํา ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ e-service.doe.go.th เบ็ดเสร็จในจุดเดียว (Single Window) จากนั้นรับเงินชดเชยกรณีว่างงานจากสํานักงานประกันสังคม โดยไม่ต้องเดินทางมายื่นเอกสารที่สํานักงาน ในระหว่างนี้ยังสามารถหางาน ผ่านแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทํา” ที่ปัจจุบันรวบรวมตําแหน่งงาน ไว้ถึง 216,240 อัตรา รวมทั้งค้นหาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะและเพิ่มโอกาสการมีงานทํา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากรายงานสรุปการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงาน ในเดือนเมษายน 2565 พบว่ามีประชาชนยื่นขอรับสิทธิ์กรณีว่างงานกับกรมการจัดหางาน จํานวน 81,151 คน ซึ่งกรมการจัดหางานไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเตรียมตําแหน่งงานว่างจากทั่วประเทศ (Active ในระบบ) จํานวน 216,240 อัตรา เพื่อให้บริการประชาชนที่ประสงค์มีงานทํา โดยตําแหน่งงาน 5 อันดับแรกที่มีความต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1. แรงงานบรรจุผลิตภัณฑ์ 2. แรงงานด้านการประกอบ 3.พนักงานขายของหน้าร้านและสาธิตสินค้า 4. ตัวแทนจัดหาบริการทางธุรกิจและนายหน้าการค้าอื่น ๆ 5. ตัวแทนฝ่ายขายด้านเทคนิคและการค้า
นายไพโรจน์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ลาออกจากงาน หรือถูกเลิกจ้าง และต้องการรับสิทธิ์กรณีว่างงานสามารถขอรับบริการได้ที่เว็บไซต์ e-service.doe.go.th หากใช้บริการครั้งแรกให้ทําการลงทะเบียนขอใช้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทาง Digital ID ของ สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) เพื่อยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน จากนั้นจึงเข้าสู่ระบบ เพื่อทําการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงาน กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน แนบไฟล์หน้าสมุดบัญชีธนาคาร หลังจากขึ้นทะเบียนเสร็จสิ้นแล้ว สามารถตรวจสอบผลการขึ้นทะเบียนได้ ทั้งนี้ ผู้ประกันตนจะต้องรายงานตัวอย่างน้อยเดือนละครั้งตามตารางนัดหมาย กรณีมีงานทําแล้วให้แจ้งการมีงานทํา โดยกรอกวันเดือนปีที่เริ่มงาน ตําแหน่งงาน อัตราค่าจ้าง ชื่อสถานประกอบการ เพื่อประโยชน์ในการรับสิทธิ์ หากต้องว่างงานอีกครั้ง โดยผู้ที่ต้องการตรวจสอบการขึ้นทะเบียน การรายงานตัว การจ่ายเงินประโยชน์ทดแทน สามารถตรวจสอบที่เมนู “ข้อมูลขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน” โดยสํานักงานประกันสังคมจะเป็นผู้พิจารณาสั่งจ่ายประโยชน์ทดแทนเป็นรายเดือนผ่านบัญชีธนาคารของผู้ประกันตนฯ หลังจากมีการรายงานตัวตามกําหนด ซึ่งหากต้องการติดตามการจ่ายประโยชน์ทดแทนสามารถติดต่อที่สายด่วน 1506 กด 1 สํานักงานประกันสังคม นอกจากนี้หากต้องการค้นหาข้อมูลตําแหน่งงานที่เหมาะสมกับตัวเอง สามารถใช้บริการได้ที่ แพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทํา” ที่ให้บริการทั้ง Web Application และ Mobile Application โดยจะ Matching ตําแหน่งงานตามพื้นที่ และ ภูมิลําเนา รวมถึงจับคู่ตําแหน่งงานจากความรู้ ความสามารถ และทักษะตามข้อมูลของผู้ใช้บริการ ซึ่งกรมการจัดหางานได้รวบรวมข้อมูลการจ้างงานจากภาครัฐที่เชื่อมโยงข้อมูลจากสํานักงาน ก.พ. ที่มีตําแหน่งงานจากหน่วยงานราชการกว่า 300 หน่วยงาน ตําแหน่งงานภาคเอกชน และตําแหน่งงานจากบริษัทจัดหางานชั้นนํา | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดหางาน ด้วยระบบ E- service รองรับคนหางานทั่วประเทศ
วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม 2565
รมว.สุชาติ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดหางาน ด้วยระบบ E- service รองรับคนหางานทั่วประเทศ
กระทรวงแรงงาน ชี้ช่องทางบริการประชาชนผ่านระบบ e-service กรมการจัดหางาน ขึ้นทะเบียนว่างงาน ตรวจสอบข้อมูลขึ้นทะเบียน และค้นหางานเบ็ดเสร็จในจุดเดียว
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสําคัญกับการลดความเหลื่อมล้ําในการเข้าถึงบริการและสวัสดิการของประชาชน ซึ่งกระทรวงแรงงานขานรับนโยบาย โดยมุ่งมั่นเพิ่มประสิทธิภาพงานบริการภาครัฐ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย สะดวก ประหยัดเวลา สอดคล้องกับการเปลี่ยนพฤติกรรมการรับบริการของประชาชนที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนไปดําเนินธุรกรรมต่าง ๆ ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
“กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน อํานวยความสะดวกให้กับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ลาออกจากงาน หรือถูกลูกเลิกจ้าง ให้สามารถขึ้นทะเบียนว่างงาน รายงานตัว ตรวจสอบข้อมูลขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน และหางานทํา ผ่านระบบออนไลน์ที่เว็บไซต์ e-service.doe.go.th เบ็ดเสร็จในจุดเดียว (Single Window) จากนั้นรับเงินชดเชยกรณีว่างงานจากสํานักงานประกันสังคม โดยไม่ต้องเดินทางมายื่นเอกสารที่สํานักงาน ในระหว่างนี้ยังสามารถหางาน ผ่านแพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทํา” ที่ปัจจุบันรวบรวมตําแหน่งงาน ไว้ถึง 216,240 อัตรา รวมทั้งค้นหาหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะและเพิ่มโอกาสการมีงานทํา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า จากรายงานสรุปการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงาน ในเดือนเมษายน 2565 พบว่ามีประชาชนยื่นขอรับสิทธิ์กรณีว่างงานกับกรมการจัดหางาน จํานวน 81,151 คน ซึ่งกรมการจัดหางานไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยเตรียมตําแหน่งงานว่างจากทั่วประเทศ (Active ในระบบ) จํานวน 216,240 อัตรา เพื่อให้บริการประชาชนที่ประสงค์มีงานทํา โดยตําแหน่งงาน 5 อันดับแรกที่มีความต้องการมากที่สุด ได้แก่ 1. แรงงานบรรจุผลิตภัณฑ์ 2. แรงงานด้านการประกอบ 3.พนักงานขายของหน้าร้านและสาธิตสินค้า 4. ตัวแทนจัดหาบริการทางธุรกิจและนายหน้าการค้าอื่น ๆ 5. ตัวแทนฝ่ายขายด้านเทคนิคและการค้า
นายไพโรจน์ กล่าวต่อไปว่า สําหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ลาออกจากงาน หรือถูกเลิกจ้าง และต้องการรับสิทธิ์กรณีว่างงานสามารถขอรับบริการได้ที่เว็บไซต์ e-service.doe.go.th หากใช้บริการครั้งแรกให้ทําการลงทะเบียนขอใช้บริการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทาง Digital ID ของ สํานักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) (สพร.) เพื่อยืนยันตัวตนด้วยบัตรประชาชน จากนั้นจึงเข้าสู่ระบบ เพื่อทําการขึ้นทะเบียนผู้ประกันตนกรณีว่างงาน กรอกข้อมูลให้ครบถ้วน แนบไฟล์หน้าสมุดบัญชีธนาคาร หลังจากขึ้นทะเบียนเสร็จสิ้นแล้ว สามารถตรวจสอบผลการขึ้นทะเบียนได้ ทั้งนี้ ผู้ประกันตนจะต้องรายงานตัวอย่างน้อยเดือนละครั้งตามตารางนัดหมาย กรณีมีงานทําแล้วให้แจ้งการมีงานทํา โดยกรอกวันเดือนปีที่เริ่มงาน ตําแหน่งงาน อัตราค่าจ้าง ชื่อสถานประกอบการ เพื่อประโยชน์ในการรับสิทธิ์ หากต้องว่างงานอีกครั้ง โดยผู้ที่ต้องการตรวจสอบการขึ้นทะเบียน การรายงานตัว การจ่ายเงินประโยชน์ทดแทน สามารถตรวจสอบที่เมนู “ข้อมูลขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน” โดยสํานักงานประกันสังคมจะเป็นผู้พิจารณาสั่งจ่ายประโยชน์ทดแทนเป็นรายเดือนผ่านบัญชีธนาคารของผู้ประกันตนฯ หลังจากมีการรายงานตัวตามกําหนด ซึ่งหากต้องการติดตามการจ่ายประโยชน์ทดแทนสามารถติดต่อที่สายด่วน 1506 กด 1 สํานักงานประกันสังคม นอกจากนี้หากต้องการค้นหาข้อมูลตําแหน่งงานที่เหมาะสมกับตัวเอง สามารถใช้บริการได้ที่ แพลตฟอร์ม “ไทยมีงานทํา” ที่ให้บริการทั้ง Web Application และ Mobile Application โดยจะ Matching ตําแหน่งงานตามพื้นที่ และ ภูมิลําเนา รวมถึงจับคู่ตําแหน่งงานจากความรู้ ความสามารถ และทักษะตามข้อมูลของผู้ใช้บริการ ซึ่งกรมการจัดหางานได้รวบรวมข้อมูลการจ้างงานจากภาครัฐที่เชื่อมโยงข้อมูลจากสํานักงาน ก.พ. ที่มีตําแหน่งงานจากหน่วยงานราชการกว่า 300 หน่วยงาน ตําแหน่งงานภาคเอกชน และตําแหน่งงานจากบริษัทจัดหางานชั้นนํา | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54337 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM attends 9th ASEAN-U.S. Summit, urges ASEAN on moving towards a sustainable “Next Normal" | วันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564
PM attends 9th ASEAN-U.S. Summit, urges ASEAN on moving towards a sustainable “Next Normal"
PM attends 9th ASEAN-U.S. Summit, urges ASEAN on moving towards a sustainable “Next Normal"
October 26, 2021, at 2000hrs, at Bhakdi Bodin Building, Government House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha attended and deliver an intervention at the 9th ASEAN-U.S. Summit via a videoconference. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of his intervention as follows:
The Prime Minister expressed pleasure to have President Biden joining the ASEAN leaders at this ASEAN-U.S. Summit – sending a clear message on the U.S.’ commitment to reinvigorating its ties with ASEAN based on the shared goal of ensuring peace, stability and prosperity in the region. ASEAN and the U.S. share a 45-year history of comprehensive and constructive cooperation. To this end, The Prime Minister proposed three areas of cooperation as follows:
First is the joint efforts in ensuring equitable and timely distribution of COVID-19 vaccines to the peoples. The Prime Minister thanked President Biden for the U.S.’ large contribution of vaccines to several ASEAN countries, including Thailand. Moreover, the Prime Minister was pleased to learn that the U.S. plans to expand vaccine manufacturing facilities across several regions. Thailand stands ready to cooperate with the U.S. in this regard, including in research and development as well as ensuring effective distribution of vaccines in the regional supply chain.
Second is re-prioritization of efforts on green growth to step into the ‘next normal” world in a sustainable manner. The Prime Minister expressed hope that the U.S. will continue to expand engagement with ASEAN on environment and climate change, particularly by promoting investment and job creation in environment-friendly industries through the U.S. International Climate Finance Plan, which would contribute to the realization of ASEAN’s key climate targets, such as reducing energy intensity by 32 per cent and increasing the component of renewable energy mix to 23 per cent by 2025.
Thailand is committed to reinventing our development path through the Bio-Circular-Green Economy or BCG Model, which focusses on a balance between economic growth and environmental protection for a resilient and sustainable post-COVID-19 recovery. As the APEC Chair for 2022, the country aims to promote the BCG Model, and stands ready to work with the U.S. to carry this important agenda forward in 2023 and beyond. The Prime Minister also looks forward to welcoming President Biden in Thailand next year.
Lastly, the Prime Minister expressed pleasure that the ASEAN-U.S. Leaders’ Statement on Digital Development was adopted today. This will be a stepping stone for furthering concrete cooperation, especially on the digital economy, which is a key economic driving force that could bring about a USD 1 trillion boost to ASEAN’s GDP by 2025. Thailand also continues to take forward the “Digital Park Thailand” Project under the EEC to be a crown jewel for the creative economy and digital start-ups in the region.
In closing, the Prime Minister emphasized the importance for major powers to work together to create a peaceful environment conducive to the post-COVID-19 recovery. He expressed hope that any on-going developments, including the U.S’ new Indo-Pacific Strategy and the trilateral security partnership or AUKUS, will be further pursued in a constructive spirit, and continue to support ASEAN centrality and the ASEAN Outlook on the Indo-Pacific, as well as promote peace and the well-being of peoples in the region – the common goal which is shared by all nations. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM attends 9th ASEAN-U.S. Summit, urges ASEAN on moving towards a sustainable “Next Normal"
วันอังคารที่ 26 ตุลาคม 2564
PM attends 9th ASEAN-U.S. Summit, urges ASEAN on moving towards a sustainable “Next Normal"
PM attends 9th ASEAN-U.S. Summit, urges ASEAN on moving towards a sustainable “Next Normal"
October 26, 2021, at 2000hrs, at Bhakdi Bodin Building, Government House, Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha attended and deliver an intervention at the 9th ASEAN-U.S. Summit via a videoconference. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of his intervention as follows:
The Prime Minister expressed pleasure to have President Biden joining the ASEAN leaders at this ASEAN-U.S. Summit – sending a clear message on the U.S.’ commitment to reinvigorating its ties with ASEAN based on the shared goal of ensuring peace, stability and prosperity in the region. ASEAN and the U.S. share a 45-year history of comprehensive and constructive cooperation. To this end, The Prime Minister proposed three areas of cooperation as follows:
First is the joint efforts in ensuring equitable and timely distribution of COVID-19 vaccines to the peoples. The Prime Minister thanked President Biden for the U.S.’ large contribution of vaccines to several ASEAN countries, including Thailand. Moreover, the Prime Minister was pleased to learn that the U.S. plans to expand vaccine manufacturing facilities across several regions. Thailand stands ready to cooperate with the U.S. in this regard, including in research and development as well as ensuring effective distribution of vaccines in the regional supply chain.
Second is re-prioritization of efforts on green growth to step into the ‘next normal” world in a sustainable manner. The Prime Minister expressed hope that the U.S. will continue to expand engagement with ASEAN on environment and climate change, particularly by promoting investment and job creation in environment-friendly industries through the U.S. International Climate Finance Plan, which would contribute to the realization of ASEAN’s key climate targets, such as reducing energy intensity by 32 per cent and increasing the component of renewable energy mix to 23 per cent by 2025.
Thailand is committed to reinventing our development path through the Bio-Circular-Green Economy or BCG Model, which focusses on a balance between economic growth and environmental protection for a resilient and sustainable post-COVID-19 recovery. As the APEC Chair for 2022, the country aims to promote the BCG Model, and stands ready to work with the U.S. to carry this important agenda forward in 2023 and beyond. The Prime Minister also looks forward to welcoming President Biden in Thailand next year.
Lastly, the Prime Minister expressed pleasure that the ASEAN-U.S. Leaders’ Statement on Digital Development was adopted today. This will be a stepping stone for furthering concrete cooperation, especially on the digital economy, which is a key economic driving force that could bring about a USD 1 trillion boost to ASEAN’s GDP by 2025. Thailand also continues to take forward the “Digital Park Thailand” Project under the EEC to be a crown jewel for the creative economy and digital start-ups in the region.
In closing, the Prime Minister emphasized the importance for major powers to work together to create a peaceful environment conducive to the post-COVID-19 recovery. He expressed hope that any on-going developments, including the U.S’ new Indo-Pacific Strategy and the trilateral security partnership or AUKUS, will be further pursued in a constructive spirit, and continue to support ASEAN centrality and the ASEAN Outlook on the Indo-Pacific, as well as promote peace and the well-being of peoples in the region – the common goal which is shared by all nations. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47434 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 65 วงเงิน 224 ล้านบาท รัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกัน 60% เฉพาะ Tier 1 | วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565
ครม.อนุมัติโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 65 วงเงิน 224 ล้านบาท รัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกัน 60% เฉพาะ Tier 1
ครม.อนุมัติโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 65 วงเงิน 224 ล้านบาท รัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกัน 60% เฉพาะ Tier 1
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 ว่า ครม.อนุมัติโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2565 วงเงิน 224.44 ล้านบาท มีพื้นที่เป้าหมาย Tier 1 จํานวน 2.06 ล้านไร่ พื้นที่ Tier 2 จํานวน 6 หมื่นไร่ เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐในการรองรับต้นทุนการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกรเมื่อประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2565 มีรูปแบบเช่นเดียวกันกับปีการผลิต 2564 โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย Tier 1 ร้อยละ 60 และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อุดหนุนค่าเบี้ยประกัน Tier 1 ร้อยละ 40 ซึ่งมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
ค่าเบี้ยประกันภัยพื้นฐาน Tier 1 แยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ค่าเบี้ยประกันภัย 160 บาทต่อไร่ พื้นที่เป้าหมาย 2 ล้านไร่ โดยรัฐจะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 96 บาทต่อไร่ (ร้อยละ 60) และ ธ.ก.ส.จะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้อีก 64 บาทต่อไร่ (ร้อยละ 40) และกลุ่มลูกค้าเกษตรกรทั่วไป ค่าเบี้ยประกันภัยแยกเป็นพื้นที่ความเสี่ยงต่ํา 150 บาทต่อไร่ พื้นที่ความเสี่ยงปานกลาง 350 บาทต่อไร่ พื้นที่ความเสี่ยงสูง 550 บาทต่อไร่ รวมพื้นที่เป้าหมายไม่เกิน 6 หมื่นไร่ โดยรัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 90 บาทต่อไร่เท่ากันทุกพื้นที่ความเสี่ยง
ค่าเบี้ยประกันภัยแบบสมัครใจ Tier 2 ซึ่งเกษตรกรซื้อเพิ่มเติมและจะต้องจ่ายค่าเบี้ยเองตามระดับความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ คือ พื้นที่เสี่ยงภัยต่ํา 90 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงภัยปานกลาง 100 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงภัยสูง 110 บาทต่อไร่ โดยมีพื้นที่เป้าหมายไม่เกิน 6 หมื่นไร่
สําหรับวงเงินความคุ้มครอง ครอบคลุมภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดและภัยพิบัติธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ น้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ ช้างป่า โดย Tier1 ให้วงเงินคุ้มครองภัยธรรมชาติจํานวน 1,500 บาทต่อไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด จํานวน 750 บาทต่อไร่ ส่วน Tier2 ให้วงเงินคุ้มครองภัยธรรมชาติจํานวน 240 บาทต่อไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด จํานวน 120 บาทต่อไร่ ทั้งนี้ เกษตรกรที่สนใจสามารถซื้อกรมธรรม์ได้ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขา
“จากผลการดําเนินโครงการในปีการผลิต 2564 ที่ผ่านมา (ณ 15 มกราคม 2565 สิ้นสุดจําหน่ายกรมธรรม์) มีเกษตรกรผู้เอาประกันภัยพื้นฐาน Tier 1 จํานวน 99,335 ราย มีพื้นที่เข้าร่วมประกันภัยจํานวน 1.60 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 55.78 ของจํานวนพื้นที่เป้าหมาย ทั้งนี้ รัฐบาลขอประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรร่วมทําประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นการลดความสูญเสียหากเกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติและศัตรูพืชหรือโรคระบาด สําหรับเกษตรกรที่สนใจสามารถซื้อกรมธรรม์ได้ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขา ” นางสาวรัชดากล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 65 วงเงิน 224 ล้านบาท รัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกัน 60% เฉพาะ Tier 1
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565
ครม.อนุมัติโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 65 วงเงิน 224 ล้านบาท รัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกัน 60% เฉพาะ Tier 1
ครม.อนุมัติโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 65 วงเงิน 224 ล้านบาท รัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกัน 60% เฉพาะ Tier 1
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 ว่า ครม.อนุมัติโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2565 วงเงิน 224.44 ล้านบาท มีพื้นที่เป้าหมาย Tier 1 จํานวน 2.06 ล้านไร่ พื้นที่ Tier 2 จํานวน 6 หมื่นไร่ เพื่อให้เกษตรกรมีเครื่องมือจัดการความเสี่ยงด้านภัยพิบัติผ่านระบบการประกันภัย และเป็นการต่อยอดความช่วยเหลือของภาครัฐในการรองรับต้นทุนการเพาะปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้กับเกษตรกรเมื่อประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2565 มีรูปแบบเช่นเดียวกันกับปีการผลิต 2564 โดยรัฐบาลอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย Tier 1 ร้อยละ 60 และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) อุดหนุนค่าเบี้ยประกัน Tier 1 ร้อยละ 40 ซึ่งมีหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ดังนี้
ค่าเบี้ยประกันภัยพื้นฐาน Tier 1 แยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มลูกค้าสินเชื่อ ธ.ก.ส. ค่าเบี้ยประกันภัย 160 บาทต่อไร่ พื้นที่เป้าหมาย 2 ล้านไร่ โดยรัฐจะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 96 บาทต่อไร่ (ร้อยละ 60) และ ธ.ก.ส.จะอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้อีก 64 บาทต่อไร่ (ร้อยละ 40) และกลุ่มลูกค้าเกษตรกรทั่วไป ค่าเบี้ยประกันภัยแยกเป็นพื้นที่ความเสี่ยงต่ํา 150 บาทต่อไร่ พื้นที่ความเสี่ยงปานกลาง 350 บาทต่อไร่ พื้นที่ความเสี่ยงสูง 550 บาทต่อไร่ รวมพื้นที่เป้าหมายไม่เกิน 6 หมื่นไร่ โดยรัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยให้ 90 บาทต่อไร่เท่ากันทุกพื้นที่ความเสี่ยง
ค่าเบี้ยประกันภัยแบบสมัครใจ Tier 2 ซึ่งเกษตรกรซื้อเพิ่มเติมและจะต้องจ่ายค่าเบี้ยเองตามระดับความเสี่ยงในแต่ละพื้นที่ คือ พื้นที่เสี่ยงภัยต่ํา 90 บาทต่อไร่ พื้นที่เสี่ยงภัยปานกลาง 100 บาทต่อไร่ และพื้นที่เสี่ยงภัยสูง 110 บาทต่อไร่ โดยมีพื้นที่เป้าหมายไม่เกิน 6 หมื่นไร่
สําหรับวงเงินความคุ้มครอง ครอบคลุมภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาดและภัยพิบัติธรรมชาติ 7 ภัย ได้แก่ น้ําท่วมหรือฝนตกหนัก ภัยแล้ง ฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วง ลมพายุหรือพายุไต้ฝุ่น ภัยอากาศหนาวหรือน้ําค้างแข็ง ลูกเห็บ ไฟไหม้ ช้างป่า โดย Tier1 ให้วงเงินคุ้มครองภัยธรรมชาติจํานวน 1,500 บาทต่อไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด จํานวน 750 บาทต่อไร่ ส่วน Tier2 ให้วงเงินคุ้มครองภัยธรรมชาติจํานวน 240 บาทต่อไร่ และภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด จํานวน 120 บาทต่อไร่ ทั้งนี้ เกษตรกรที่สนใจสามารถซื้อกรมธรรม์ได้ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขา
“จากผลการดําเนินโครงการในปีการผลิต 2564 ที่ผ่านมา (ณ 15 มกราคม 2565 สิ้นสุดจําหน่ายกรมธรรม์) มีเกษตรกรผู้เอาประกันภัยพื้นฐาน Tier 1 จํานวน 99,335 ราย มีพื้นที่เข้าร่วมประกันภัยจํานวน 1.60 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 55.78 ของจํานวนพื้นที่เป้าหมาย ทั้งนี้ รัฐบาลขอประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรร่วมทําประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เพื่อเป็นการลดความสูญเสียหากเกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติและศัตรูพืชหรือโรคระบาด สําหรับเกษตรกรที่สนใจสามารถซื้อกรมธรรม์ได้ที่ ธ.ก.ส.ทุกสาขา ” นางสาวรัชดากล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54188 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ลงนามถวายพระพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2565 | วันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2565
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ลงนามถวายพระพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2565
เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน และน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระวิริยะอุตสาหะ และทรงน้อมนําสืบสานพระราชดําริของพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนี
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน นายอานนท์เหลืองบริบูรณ์ นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ผู้บริหารระดับสูง และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ร่วมลงนามถวายพระพรและทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2565 เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน และน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระวิริยะอุตสาหะ และทรงน้อมนําสืบสานพระราชดําริของพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนี ตลอดจนพระปณิธานอันแน่วแน่มั่นคงที่ทรงบําบัดทุกข์ บํารุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ และพัฒนาประเทศชาติให้รุ่งเรือง นํามาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขของพสกนิกรทั่วทั้งแผ่นดิน ในวันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2565 ในพระบรมมหาราชวัง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปฏิทินหลวง พุทธศักราช 2565 แก่ผู้ที่มาลงนามถวายพระพร เนื่องในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2565 ในวันเสาร์ ที่ 1 มกราคม 2565 ตั้งแต่เวลา 07.30 น. – 17.00 น. ในการนี้ สํานักพระราชวังได้จัดเตรียมสถานที่สําหรับลงนามถวายพระพร ได้แก่ พระบรมมหาราชวัง (บริเวณสนามข้างศาลาลูกขุนใน) พระราชวังบางปะอิน วังไกลกังวล พระตําหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ พระตําหนักภูพานราชนิเวศน์ และพระตําหนัก ทักษิณราชนิเวศน์ โดยขอให้ประชาชนโปรดแต่งกายสุภาพ และแสดงบัตรประจําตัวประชาชน (สําหรับชาวไทย) สําเนาหนังสือเดินทาง (สําหรับชาวต่างชาติ) ที่จุดคัดกรอง และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ประชาชนที่มาลงนามในพระบรมมหาราชวังสามารถนํารถยนต์มาจอดได้ที่บริเวณท้องสนามหลวง (ฝั่งทิศเหนือ)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดํารัสพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2565 ความว่า ถึงวาระดิถีขึ้นปีใหม่พุทธศักราช 2565 เป็นโอกาสอันดีที่เราควรระลึกถึงกันและอํานวยพรแก่กันด้วยความหวังดีให้มีความสุขความเจริญและความสําเร็จในสิ่งที่พึงประสงค์ คนเราทุกคนย่อมปรารถนาความสุขความเจริญ ความสุขความเจริญของแต่ละบุคคลกับความสุขความเจริญของชาติบ้านเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ หากเกิดปัญหาอุปสรรคหรือโรคภัย ไข้เจ็บใด ๆ เข้ามาแผ้วพาน เราทุกคนย่อมจะต้องร่วมมือกันด้วยความรักสามัคคี ความอดทนและความเข้าใจปัญหาจะพาให้เราผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลาย ทั้งนี้ ความสําเร็จเกิดจากการที่เรามิได้เพียงแต่คํานึงถึงความสุขความเจริญของแต่ละบุคคลแต่ยังคํานึงถึงความสุขความเจริญของบ้านเมืองเราจึงสามารถร่วมมือกันผ่านพ้นอุปสรรคและโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นานาได้อย่างสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ขออํานาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือหรือพร้อมด้วยพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จงคุ้มครองรักษาท่านให้มีสุขภาพ แข็งแรงปลอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บและภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง พร้อมทั้งมีกําลังใจมีความเข้มแข็งสมบูรณ์ด้วยสติปัญญาที่จะดํารงตนในทางที่ดีที่เจริญซึ่งจะนําความสุขมาให้ทั้งตนเองและส่วนรวมตลอดไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ลงนามถวายพระพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2565
วันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2565
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ลงนามถวายพระพรเนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2565
เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน และน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระวิริยะอุตสาหะ และทรงน้อมนําสืบสานพระราชดําริของพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนี
นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน นายอานนท์เหลืองบริบูรณ์ นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ผู้บริหารระดับสูง และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคม ร่วมลงนามถวายพระพรและทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เนื่องในวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2565 เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีโดยพร้อมเพรียงกัน และน้อมรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการด้วยพระวิริยะอุตสาหะ และทรงน้อมนําสืบสานพระราชดําริของพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนี ตลอดจนพระปณิธานอันแน่วแน่มั่นคงที่ทรงบําบัดทุกข์ บํารุงสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ และพัฒนาประเทศชาติให้รุ่งเรือง นํามาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุขของพสกนิกรทั่วทั้งแผ่นดิน ในวันเสาร์ที่ 1 มกราคม 2565 ในพระบรมมหาราชวัง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปฏิทินหลวง พุทธศักราช 2565 แก่ผู้ที่มาลงนามถวายพระพร เนื่องในเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2565 ในวันเสาร์ ที่ 1 มกราคม 2565 ตั้งแต่เวลา 07.30 น. – 17.00 น. ในการนี้ สํานักพระราชวังได้จัดเตรียมสถานที่สําหรับลงนามถวายพระพร ได้แก่ พระบรมมหาราชวัง (บริเวณสนามข้างศาลาลูกขุนใน) พระราชวังบางปะอิน วังไกลกังวล พระตําหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ พระตําหนักภูพานราชนิเวศน์ และพระตําหนัก ทักษิณราชนิเวศน์ โดยขอให้ประชาชนโปรดแต่งกายสุภาพ และแสดงบัตรประจําตัวประชาชน (สําหรับชาวไทย) สําเนาหนังสือเดินทาง (สําหรับชาวต่างชาติ) ที่จุดคัดกรอง และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้ ประชาชนที่มาลงนามในพระบรมมหาราชวังสามารถนํารถยนต์มาจอดได้ที่บริเวณท้องสนามหลวง (ฝั่งทิศเหนือ)
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดํารัสพระราชทานแก่ประชาชนชาวไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2565 ความว่า ถึงวาระดิถีขึ้นปีใหม่พุทธศักราช 2565 เป็นโอกาสอันดีที่เราควรระลึกถึงกันและอํานวยพรแก่กันด้วยความหวังดีให้มีความสุขความเจริญและความสําเร็จในสิ่งที่พึงประสงค์ คนเราทุกคนย่อมปรารถนาความสุขความเจริญ ความสุขความเจริญของแต่ละบุคคลกับความสุขความเจริญของชาติบ้านเมืองนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้ หากเกิดปัญหาอุปสรรคหรือโรคภัย ไข้เจ็บใด ๆ เข้ามาแผ้วพาน เราทุกคนย่อมจะต้องร่วมมือกันด้วยความรักสามัคคี ความอดทนและความเข้าใจปัญหาจะพาให้เราผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลาย ทั้งนี้ ความสําเร็จเกิดจากการที่เรามิได้เพียงแต่คํานึงถึงความสุขความเจริญของแต่ละบุคคลแต่ยังคํานึงถึงความสุขความเจริญของบ้านเมืองเราจึงสามารถร่วมมือกันผ่านพ้นอุปสรรคและโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ นานาได้อย่างสําเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
ขออํานาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเคารพนับถือหรือพร้อมด้วยพระบารมีแห่งพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร จงคุ้มครองรักษาท่านให้มีสุขภาพ แข็งแรงปลอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บและภยันตรายทั้งหลายทั้งปวง พร้อมทั้งมีกําลังใจมีความเข้มแข็งสมบูรณ์ด้วยสติปัญญาที่จะดํารงตนในทางที่ดีที่เจริญซึ่งจะนําความสุขมาให้ทั้งตนเองและส่วนรวมตลอดไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50132 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นายกฯ”มอบโฆษกรัฐบาลลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดฉีดวัคซีน พร้อมมอบอาหารกล่อง รพ.กลางส่งต่อความห่วงใย-กำลังใจจากนายกถึงประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ | วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2564
“นายกฯ”มอบโฆษกรัฐบาลลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดฉีดวัคซีน พร้อมมอบอาหารกล่อง รพ.กลางส่งต่อความห่วงใย-กําลังใจจากนายกถึงประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์
“นายกฯ”มอบโฆษกรัฐบาลลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดฉีดวัคซีน พร้อมมอบอาหารกล่อง รพ.กลางส่งต่อความห่วงใย-กําลังใจจากนายกฯ ถึงประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ ย้ําวัคซีนมีเพียงพอ แจงจนถึงสิ้นปี 64 มีวัคซีนกว่า 152.9 ล้านโดส ทั้งวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือก
วันนี้ (23 กันยายน 2564) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เริ่มดีขึ้น แนวโน้มผู้ติดเชื้อใหม่มีจํานวนลดลงถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่สําคัญจํานวนยอดผู้ป่วยในส่วนที่รักษาหายสามารถกลับบ้านได้สถิติสูงกว่ายอดผู้ป่วยที่ติดเชื้อใหม่รายวันติดต่อกันนานเป็นเดือนแล้ว อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังคงให้ทุกฝ่ายจับตาตัวเลขอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับก่อนหน้านี้เพื่อลดผลกระทรบทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนสั่งการเร่งรัดแจกชุดตรวจ ATK ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยแนวทางการกระจายชุดตรวจ ATK จํานวน 8.5 ล้านชุดนั้น จะกระจายให้กรุงเทพฯ 2.4 ล้านชุด ปริมณฑลและต่างจังหวัด 5.6 ล้านชุด ส่วนอีก 5 แสนชุด จะสํารองไว้ที่ สปสช. และกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจกจ่ายในการลงพื้นที่ และร้านขายยาในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ยังตกหล่น ซึ่งขณะนี้ องค์การเภสัชได้ทยอยส่งมอบให้กับ สปสช. แล้ว 7,068,600 ชุด กระจายทั่วประเทศกว่า 6.7 ล้านชุด และผ่าน “เป๋าตัง” แล้ว 95,727 ชุด นอกจากนี้ ท่านนายกฯ ยังเน้นย้ําเรื่องการฉีดวัคซีนให้กับทุกกลุ่มตามแผน โดยรัฐบาลจัดหาทั้งวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือกจนถึงสิ้นปี 2564 รวมทั้งสิ้นจํานวน 152.9 ล้านโดส ดังนั้น วัคซีนมีเพียงพออย่างแน่นอน
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า วันนี้ตนลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดให้บริการฉีดวัคซีน และจุดบริการแจกชุดตรวจ ATK ณ โรงพยาบาลกลาง เพื่อนําความห่วงใยและกําลังใจจากนายกรัฐมนตรีส่งต่อถึงพี่น้องประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนผู้ปฎิบัติหน้าที่ทุกคน ซึ่งขณะนี้ยอดฉีดวัคซีนของไทยอยู่ที่ 47,648,503 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 30,098,403 ราย ฉีดครบโดส (2 เข็ม) จํานวน 16,658,078 ราย และฉีดเข็ม 3 (Booster dose) แล้วจํานวน 891,243 ราย โดยในวันพรุ่งนี้ (24 กันยายน) กระทรวงสาธารณสุข เตรียมฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ให้แก่ผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ซึ่งมีจํานวน 3,499,802 คน โดยประชาชนที่จะเข้ารับการฉีดจะได้รับการแจ้งข้อความ SMS ผ่านทางแอปพลิเคชันหมอพร้อม หรือลงทะเบียนที่สถานพยาบาลเดิม โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ตนยังได้ร่วมกับกลุ่มเพื่อนธนกร จัดซื้ออาหารจากผู้ประกอบการร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ โดยมีนายแพทย์ สมเกียรติ อัศวโรจน์พงษ์ รองผู้อํานวยการโรงพยาบาลกลาง ฝ่ายการแพทย์ เป็นผู้รับมอบอีกด้วย
“ท่านนายกฯ ได้เน้นย้ําให้ทุกฝ่ายดําเนินมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม มาตรการล็อกดาวน์และการระดมฉีดวัคซีนนั้นเริ่มส่งผลอย่างเป็นรูปธรรม ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยกันทําให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม เรายังต้องป้องกันตัวเองตามมาตรการทางสังคม และมาตรการป้องกันตนเองแบบสูงสุดต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จําเป็นมาก” นายธนกรฯ กล่าว
-------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นายกฯ”มอบโฆษกรัฐบาลลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดฉีดวัคซีน พร้อมมอบอาหารกล่อง รพ.กลางส่งต่อความห่วงใย-กำลังใจจากนายกถึงประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์
วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2564
“นายกฯ”มอบโฆษกรัฐบาลลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดฉีดวัคซีน พร้อมมอบอาหารกล่อง รพ.กลางส่งต่อความห่วงใย-กําลังใจจากนายกถึงประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์
“นายกฯ”มอบโฆษกรัฐบาลลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดฉีดวัคซีน พร้อมมอบอาหารกล่อง รพ.กลางส่งต่อความห่วงใย-กําลังใจจากนายกฯ ถึงประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ ย้ําวัคซีนมีเพียงพอ แจงจนถึงสิ้นปี 64 มีวัคซีนกว่า 152.9 ล้านโดส ทั้งวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือก
วันนี้ (23 กันยายน 2564) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เริ่มดีขึ้น แนวโน้มผู้ติดเชื้อใหม่มีจํานวนลดลงถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่สําคัญจํานวนยอดผู้ป่วยในส่วนที่รักษาหายสามารถกลับบ้านได้สถิติสูงกว่ายอดผู้ป่วยที่ติดเชื้อใหม่รายวันติดต่อกันนานเป็นเดือนแล้ว อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังคงให้ทุกฝ่ายจับตาตัวเลขอย่างใกล้ชิด เพื่อวางแผนให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงกับก่อนหน้านี้เพื่อลดผลกระทรบทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนสั่งการเร่งรัดแจกชุดตรวจ ATK ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงให้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยแนวทางการกระจายชุดตรวจ ATK จํานวน 8.5 ล้านชุดนั้น จะกระจายให้กรุงเทพฯ 2.4 ล้านชุด ปริมณฑลและต่างจังหวัด 5.6 ล้านชุด ส่วนอีก 5 แสนชุด จะสํารองไว้ที่ สปสช. และกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เพื่อแจกจ่ายในการลงพื้นที่ และร้านขายยาในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ยังตกหล่น ซึ่งขณะนี้ องค์การเภสัชได้ทยอยส่งมอบให้กับ สปสช. แล้ว 7,068,600 ชุด กระจายทั่วประเทศกว่า 6.7 ล้านชุด และผ่าน “เป๋าตัง” แล้ว 95,727 ชุด นอกจากนี้ ท่านนายกฯ ยังเน้นย้ําเรื่องการฉีดวัคซีนให้กับทุกกลุ่มตามแผน โดยรัฐบาลจัดหาทั้งวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือกจนถึงสิ้นปี 2564 รวมทั้งสิ้นจํานวน 152.9 ล้านโดส ดังนั้น วัคซีนมีเพียงพออย่างแน่นอน
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า วันนี้ตนลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจุดให้บริการฉีดวัคซีน และจุดบริการแจกชุดตรวจ ATK ณ โรงพยาบาลกลาง เพื่อนําความห่วงใยและกําลังใจจากนายกรัฐมนตรีส่งต่อถึงพี่น้องประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ ตลอดจนผู้ปฎิบัติหน้าที่ทุกคน ซึ่งขณะนี้ยอดฉีดวัคซีนของไทยอยู่ที่ 47,648,503 โดส แบ่งเป็นเข็มแรก 30,098,403 ราย ฉีดครบโดส (2 เข็ม) จํานวน 16,658,078 ราย และฉีดเข็ม 3 (Booster dose) แล้วจํานวน 891,243 ราย โดยในวันพรุ่งนี้ (24 กันยายน) กระทรวงสาธารณสุข เตรียมฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 ให้แก่ผู้ที่ฉีดวัคซีนซิโนแวคครบ 2 เข็ม ซึ่งมีจํานวน 3,499,802 คน โดยประชาชนที่จะเข้ารับการฉีดจะได้รับการแจ้งข้อความ SMS ผ่านทางแอปพลิเคชันหมอพร้อม หรือลงทะเบียนที่สถานพยาบาลเดิม โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้ ตนยังได้ร่วมกับกลุ่มเพื่อนธนกร จัดซื้ออาหารจากผู้ประกอบการร้านอาหารที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 แจกจ่ายให้กับพี่น้องประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ โดยมีนายแพทย์ สมเกียรติ อัศวโรจน์พงษ์ รองผู้อํานวยการโรงพยาบาลกลาง ฝ่ายการแพทย์ เป็นผู้รับมอบอีกด้วย
“ท่านนายกฯ ได้เน้นย้ําให้ทุกฝ่ายดําเนินมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมเพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม มาตรการล็อกดาวน์และการระดมฉีดวัคซีนนั้นเริ่มส่งผลอย่างเป็นรูปธรรม ขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยกันทําให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ อย่างไรก็ตาม เรายังต้องป้องกันตัวเองตามมาตรการทางสังคม และมาตรการป้องกันตนเองแบบสูงสุดต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่จําเป็นมาก” นายธนกรฯ กล่าว
-------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46126 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร อ.ห้วยกระเจา กาญจนบุรี ยินดีกับชาวกาญจน์ที่มีแหล่งน้ำบาดาลขนาดใหญ่ คุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศ | วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565
นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร อ.ห้วยกระเจา กาญจนบุรี ยินดีกับชาวกาญจน์ที่มีแหล่งน้ําบาดาลขนาดใหญ่ คุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศ
นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร อ.ห้วยกระเจา กาญจนบุรี ยินดีกับชาวกาญจน์ที่มีแหล่งน้ําบาดาลขนาดใหญ่ คุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศ ขอทุกภาคส่วนต่อยอดโครงการ กระจายน้ําอย่างทั่วถึงเป็นธรรม ให้ประชาชนได้รับประโยชน์
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (4 สิงหาคม 2565) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ตําบลห้วยกระเจา อําเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ําและมีภัยแล้งเป็นประจําทุกปี เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบเชิงเขา และเป็นพื้นที่เขตเงาฝน ไม่มีแม่น้ําไหลผ่าน รวมทั้งการขาดแคลนระบบชลประทาน ในการนี้ จังหวัดกาญจนบุรี ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน หลังสถาณการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อก่อสร้างระบบกระจายน้ําโดยวางท่อเมนเหล็กเพื่อส่งต่อน้ําบาดาลไปยังพื้นที่ ระยะทาง 11.835 กิโลเมตร ให้ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีน้ําสะอาดสําหรับใช้อุปโภคบริโภค และสามารถทําเกษตรกรรมได้ตลอดทั้งปี โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.) ภายใต้พระราชกําหนดกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ที่อนุมัติโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ปี 2564 ซึ่งโครงการสร้างระบบกระจายน้ําดังกล่าว ได้รับการอนุมัติแล้ว
ภายหลังการตรวจเยี่ยมโครงการจัดหาน้ําบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง อันเนื่องมาจากพระราชดําริฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดกาญจนบุรี ที่ประสบความสําเร็จในการหาแหล่งน้ําบาดาลขนาดใหญ่ ถือเป็นแหล่งน้ําที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับต่างประเทศ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปณิธาน สืบสาน รักษา ต่อยอด ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับโครงการจัดหาน้ําบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง 15 โครงการ ครอบคลุม 11 จังหวัด ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ราษฎรจากภาวะวิกฤตภัยแล้ง ซึ่งพื้นที่ห้วยกระเจา เป็น 2 ใน 15 โครงการดังกล่าว
ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้การช่วยเหลือแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําในจังหวัดกาญจนบุรี โดยได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ําบาดาลดําเนินการ ได้แก่ 1. การสํารวจพื้นที่ขุดเจาะน้ําบาดาล ซึ่งมีการค้นพบพื้นที่ที่เหมาะสม จํานวน 3 จุด จากทั้งหมด 15 จุดทั่วประเทศ ซึ่งปริมาณน้ําใต้ดินมีเพียงพอ เลี้ยงพื้นที่เขตแห้งแล้งทั้งหมดได้ ถ้ามีการบริหารจัดการระบบน้ําได้เพียงพอ และเหมาะสม 2. การสร้างสถานีสูบน้ําโครงการจัดหาน้ําบาดาลขนาดใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดําริ ที่ตําบลหนองฝ้าย อําเภอเลาขวัญ 1 แห่ง และที่ตําบลห้วยกระเจา อําเภอห้วยกระเจา 2 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาได้ประมาณ 250 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณน้ําเพิ่มเติมรายปี 4.68 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี สามารถพัฒนาน้ําบาดาลขึ้นมาใช้ได้ 1.75 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
นายกรัฐมนตรีย้ําตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลทําทุกอย่างเพื่อเดินหน้าประเทศไทย พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความยากจน ปัญหาแหล่งน้ํา ที่ดินทํากิน รวมถึงถนนเส้นทางต่าง ๆ มีหลาย ๆ เรื่องที่ทําแล้วประสบความสําเร็จและยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกันไป สิ่งสําคัญรัฐบาลต้องทําให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป้าหมายของรัฐบาลคือให้ประชาชนมีความสุขและมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชน ส่วนเรื่องการทําการเกษตร นายกรัฐมนตรีระบุว่าไม่ใช่จะทําได้ง่าย ๆ ที่ผ่านมาตนเองได้เคยทํามาแล้ว เข้าใจถึงความยากลําบาก ขอให้เกษตรกรติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐ พร้อมใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งเรื่องการเพาะปลูก และช่องทางการจําหน่าย ขอให้พัฒนาสินค้าแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI เพิ่มมูลค่าให้สินค้า
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือทุกภาคส่วนต่อยอดโครงการเพื่อกระจายน้ําให้กับพี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม เพื่อให้สามารถนําน้ําบาดาลขึ้นมาใช้ในการอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ และทําการเกษตรได้ตลอดทั้งปี ตลอดจนการสนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ําบาดาลหรือผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการน้ํา ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างคุ้มค่าสูงสุด และนําไปสู่การกําหนดรูปแบบการบริหารจัดการน้ําบาดาลที่เหมาะสมกับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรมร่วมกันต่อไป พร้อมกับเน้นย้ําให้ข้าราชการทํางานเชิงรุก เดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน อย่าปล่อยให้เกียร์ว่าง | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร อ.ห้วยกระเจา กาญจนบุรี ยินดีกับชาวกาญจน์ที่มีแหล่งน้ำบาดาลขนาดใหญ่ คุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศ
วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565
นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร อ.ห้วยกระเจา กาญจนบุรี ยินดีกับชาวกาญจน์ที่มีแหล่งน้ําบาดาลขนาดใหญ่ คุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศ
นายกฯ ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร อ.ห้วยกระเจา กาญจนบุรี ยินดีกับชาวกาญจน์ที่มีแหล่งน้ําบาดาลขนาดใหญ่ คุณภาพเทียบเท่าต่างประเทศ ขอทุกภาคส่วนต่อยอดโครงการ กระจายน้ําอย่างทั่วถึงเป็นธรรม ให้ประชาชนได้รับประโยชน์
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (4 สิงหาคม 2565) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ลงพื้นที่ตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ตําบลห้วยกระเจา อําเภอห้วยกระเจา จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาขาดแคลนน้ําและมีภัยแล้งเป็นประจําทุกปี เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบเชิงเขา และเป็นพื้นที่เขตเงาฝน ไม่มีแม่น้ําไหลผ่าน รวมทั้งการขาดแคลนระบบชลประทาน ในการนี้ จังหวัดกาญจนบุรี ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชน หลังสถาณการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อก่อสร้างระบบกระจายน้ําโดยวางท่อเมนเหล็กเพื่อส่งต่อน้ําบาดาลไปยังพื้นที่ ระยะทาง 11.835 กิโลเมตร ให้ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีน้ําสะอาดสําหรับใช้อุปโภคบริโภค และสามารถทําเกษตรกรรมได้ตลอดทั้งปี โดยคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2565 เห็นชอบผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ (คกง.) ภายใต้พระราชกําหนดกู้เงินฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ที่อนุมัติโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ปี 2564 ซึ่งโครงการสร้างระบบกระจายน้ําดังกล่าว ได้รับการอนุมัติแล้ว
ภายหลังการตรวจเยี่ยมโครงการจัดหาน้ําบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง อันเนื่องมาจากพระราชดําริฯ นายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความยินดีกับพี่น้องประชาชนชาวจังหวัดกาญจนบุรี ที่ประสบความสําเร็จในการหาแหล่งน้ําบาดาลขนาดใหญ่ ถือเป็นแหล่งน้ําที่มีคุณภาพเทียบเท่ากับต่างประเทศ นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปณิธาน สืบสาน รักษา ต่อยอด ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมรับโครงการจัดหาน้ําบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้ง 15 โครงการ ครอบคลุม 11 จังหวัด ไว้เป็นโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ราษฎรจากภาวะวิกฤตภัยแล้ง ซึ่งพื้นที่ห้วยกระเจา เป็น 2 ใน 15 โครงการดังกล่าว
ที่ผ่านมารัฐบาลได้ให้การช่วยเหลือแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําในจังหวัดกาญจนบุรี โดยได้มอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ําบาดาลดําเนินการ ได้แก่ 1. การสํารวจพื้นที่ขุดเจาะน้ําบาดาล ซึ่งมีการค้นพบพื้นที่ที่เหมาะสม จํานวน 3 จุด จากทั้งหมด 15 จุดทั่วประเทศ ซึ่งปริมาณน้ําใต้ดินมีเพียงพอ เลี้ยงพื้นที่เขตแห้งแล้งทั้งหมดได้ ถ้ามีการบริหารจัดการระบบน้ําได้เพียงพอ และเหมาะสม 2. การสร้างสถานีสูบน้ําโครงการจัดหาน้ําบาดาลขนาดใหญ่อันเนื่องมาจากพระราชดําริ ที่ตําบลหนองฝ้าย อําเภอเลาขวัญ 1 แห่ง และที่ตําบลห้วยกระเจา อําเภอห้วยกระเจา 2 แห่ง ซึ่งคาดว่าจะพัฒนาได้ประมาณ 250 ล้านลูกบาศก์เมตร มีปริมาณน้ําเพิ่มเติมรายปี 4.68 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี สามารถพัฒนาน้ําบาดาลขึ้นมาใช้ได้ 1.75 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
นายกรัฐมนตรีย้ําตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลทําทุกอย่างเพื่อเดินหน้าประเทศไทย พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องความยากจน ปัญหาแหล่งน้ํา ที่ดินทํากิน รวมถึงถนนเส้นทางต่าง ๆ มีหลาย ๆ เรื่องที่ทําแล้วประสบความสําเร็จและยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ซึ่งมีความยากง่ายแตกต่างกันไป สิ่งสําคัญรัฐบาลต้องทําให้ถูกต้องตามกฎหมาย เป้าหมายของรัฐบาลคือให้ประชาชนมีความสุขและมีรายได้เพิ่มขึ้น โดยการสนับสนุนจากภาครัฐและภาคเอกชน ส่วนเรื่องการทําการเกษตร นายกรัฐมนตรีระบุว่าไม่ใช่จะทําได้ง่าย ๆ ที่ผ่านมาตนเองได้เคยทํามาแล้ว เข้าใจถึงความยากลําบาก ขอให้เกษตรกรติดตามข้อมูลข่าวสารจากหน่วยงานภาครัฐ พร้อมใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งเรื่องการเพาะปลูก และช่องทางการจําหน่าย ขอให้พัฒนาสินค้าแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ขึ้นทะเบียนเป็นสินค้า GI เพิ่มมูลค่าให้สินค้า
นายกรัฐมนตรีขอความร่วมมือทุกภาคส่วนต่อยอดโครงการเพื่อกระจายน้ําให้กับพี่น้องประชาชนอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม เพื่อให้สามารถนําน้ําบาดาลขึ้นมาใช้ในการอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอ และทําการเกษตรได้ตลอดทั้งปี ตลอดจนการสนับสนุนการจัดตั้งกลุ่มผู้ใช้น้ําบาดาลหรือผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการน้ํา ภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างคุ้มค่าสูงสุด และนําไปสู่การกําหนดรูปแบบการบริหารจัดการน้ําบาดาลที่เหมาะสมกับพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรมร่วมกันต่อไป พร้อมกับเน้นย้ําให้ข้าราชการทํางานเชิงรุก เดินหน้าแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน อย่าปล่อยให้เกียร์ว่าง | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57614 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" กำชับเร่งฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม แม้เคยเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากจะช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิต | วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" กําชับเร่งฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม แม้เคยเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากจะช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิต
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" กําชับเร่งฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม แม้เคยเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากจะช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิต ขณะที่ กทม. ยังเป็นพื้นที่ที่มียอดผู้ติดเชื้อวันนี้สูงสุด 1,566 ราย
วันนี้ (1 สิงหาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูล ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ยอดผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จํานวน 2,108 ราย จําแนกเป็นผู้ป่วยในประเทศ 2,107 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 1 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,368,849 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 2,540 ราย หายป่วยสะสม 2,369,676 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกําลังรักษา 22,710 ราย โดยมีจํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 879 ราย และเสียชีวิต 19 ราย ซึ่งภาพรวมกราฟผู้ป่วยรายใหม่ ผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิตยังทรงตัว โดยกรุงเทพมหานครยังเป็นพื้นที่ที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงสุดจํานวน 1,566 ราย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กําชับ สธ. เตรียมพร้อมระบบรองรับผู้ป่วยอาการหนักต้องเพียงพอและพร้อมดูแลประชาชน หลังอัตราครองเตียงยังคงทรงตัว พร้อมเน้นย้ําขอทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยลดความรุนแรงของโรค แม้เคยเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 มาก่อนก็ตาม เนื่องจากวัคซีนยังมีความสําคัญช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ ข้อมูลสาธารณสุขยืนยันผู้ที่ติดเชื้อและเคยฉีดวัคซีนมาแล้ว หรือติดเชื้อแล้วฉีดวัคซีนจะมีภูมิต้านทานที่ค่อนข้างสูง ที่เรียกว่า “ภูมิต้านทานแบบลูกผสม” อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอาจต้องมีการฉีดทุกปีคล้ายคลึงกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะต้องปรับเปลี่ยนให้ตรงกับสายพันธุ์ที่ระบาด และจะมีการฉีดในกลุ่มเสี่ยง และให้ประจําปี เนื่องจากผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วก็อาจมีโอกาสติดเชื้อซ้ําได้อีก /// | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" กำชับเร่งฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม แม้เคยเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากจะช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิต
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" กําชับเร่งฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม แม้เคยเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากจะช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิต
โฆษกรัฐบาลเผย "นายกฯ" กําชับเร่งฉีดวัคซีนเข็มบูสเตอร์ให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม แม้เคยเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 เนื่องจากจะช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิต ขณะที่ กทม. ยังเป็นพื้นที่ที่มียอดผู้ติดเชื้อวันนี้สูงสุด 1,566 ราย
วันนี้ (1 สิงหาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยข้อมูล ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ยอดผู้ป่วยรายใหม่ (รักษาตัวใน รพ.) จํานวน 2,108 ราย จําแนกเป็นผู้ป่วยในประเทศ 2,107 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 1 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,368,849 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 2,540 ราย หายป่วยสะสม 2,369,676 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกําลังรักษา 22,710 ราย โดยมีจํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 879 ราย และเสียชีวิต 19 ราย ซึ่งภาพรวมกราฟผู้ป่วยรายใหม่ ผู้ป่วยปอดอักเสบ ใส่ท่อช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิตยังทรงตัว โดยกรุงเทพมหานครยังเป็นพื้นที่ที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงสุดจํานวน 1,566 ราย
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กําชับ สธ. เตรียมพร้อมระบบรองรับผู้ป่วยอาการหนักต้องเพียงพอและพร้อมดูแลประชาชน หลังอัตราครองเตียงยังคงทรงตัว พร้อมเน้นย้ําขอทุกคนเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และช่วยลดความรุนแรงของโรค แม้เคยเป็นผู้ติดเชื้อโควิด-19 มาก่อนก็ตาม เนื่องจากวัคซีนยังมีความสําคัญช่วยลดความรุนแรงของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตได้ ทั้งนี้ ข้อมูลสาธารณสุขยืนยันผู้ที่ติดเชื้อและเคยฉีดวัคซีนมาแล้ว หรือติดเชื้อแล้วฉีดวัคซีนจะมีภูมิต้านทานที่ค่อนข้างสูง ที่เรียกว่า “ภูมิต้านทานแบบลูกผสม” อย่างไรก็ตาม ในอนาคตอาจต้องมีการฉีดทุกปีคล้ายคลึงกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะต้องปรับเปลี่ยนให้ตรงกับสายพันธุ์ที่ระบาด และจะมีการฉีดในกลุ่มเสี่ยง และให้ประจําปี เนื่องจากผู้ที่เคยติดเชื้อแล้วก็อาจมีโอกาสติดเชื้อซ้ําได้อีก /// | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57457 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคทีซีจับมือ ธ.ก.ส. เปิดทางร้านน้องหอมจัง ปักธงขยายช่องทางรับชำระด้วย QR Credit Card Payment เจ้าแรกในไทย | วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564
เคทีซีจับมือ ธ.ก.ส. เปิดทางร้านน้องหอมจัง ปักธงขยายช่องทางรับชําระด้วย QR Credit Card Payment เจ้าแรกในไทย
เคทีซี - ธ.ก.ส. ลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ต่อยอดบริการรับชําระค่าสินค้าและบริการให้กับสมาชิกร้านน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ด้วยระบบ QR Credit Card Payment บนเครือข่ายของวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดเป็นเจ้าแรกในไทย รุกช่วยผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนการเกษตร
เคทีซี - ธ.ก.ส. ลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ต่อยอดบริการรับชําระค่าสินค้าและบริการให้กับสมาชิกร้านน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ด้วยระบบ QR Credit Card Payment บนเครือข่ายของวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดเป็นเจ้าแรกในไทย รุกช่วยผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนการเกษตร ขยายโอกาสทางการตลาดเข้าถึงระบบการชําระที่ทันสมัย สะดวก ปลอดภัย รับวิถีชีวิตใหม่ ดีเดย์เปิดให้บริการช่วงเดือน ธันวาคม 2564 ตั้งเป้าสิ้นปีมี 2,500 ร้านค้าเข้าร่วมโครงการ
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า “แนวโน้มการชําระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิตในรูปแบบของ QR Code มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาของปี 2564 มียอดใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตผ่านระบบ QR Code มูลค่า 110 ล้านบาท หรือเติบโต 90% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้บริโภคคนไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสดแบบฉับพลัน ทั้งการจับจ่ายค่าสินค้าและบริการ รวมถึงการทําธุรกรรมการเงินผ่านออนไลน์ ในขณะที่ร้านค้าต่างก็ต้องปรับตัวและเปิดรับการชําระเงินที่ไร้การสัมผัสมากขึ้น”
“โครงการต่อยอดบริการรับชําระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิตผ่านระบบ QR Credit Card Payment บนเครือข่ายของวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดในครั้งนี้ จึงเป็นการผนึกความร่วมมือกับ ธ.ก.ส. ที่ถูกที่ถูกเวลา และเป็นการต่อยอดการทํางานบทใหม่จากปีก่อนหน้า ที่รับชําระด้วย QR Code ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) ของ Alipay เพียงอย่างเดียว เพื่อมุ่งสู่นโยบายการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร พร้อมขยายโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการ สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน กลุ่ม Smart Farmer และกลุ่มร้านค้าขนาดเล็ก (Micro Merchants) โดยจะเปิดให้บริการช่วงเดือน ธันวาคม 2564 นี้ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงจังหวะที่สอดรับกับการเปิดประเทศรับการท่องเที่ยวพอดี จึงคาดหมายว่าสิ้นปีนี้จะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการถึง 2,500 ร้านค้า ซึ่งจะทําให้ลูกค้าสามารถใช้บริการชําระทางอิเล็กทรอนิกส์ได้หลากหลายและกว้างขวางมากขึ้น”
“เราหวังว่าโครงการขยายช่องทางรับชําระเงินผ่าน QR Credit Card Payment ในครั้งนี้ จะช่วยให้ร้านน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ขายสินค้าและบริการคล่องตัวมากขึ้น และสร้างรายได้จากยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพในขณะเดียวกันก็สามารถตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยที่ถือบัตรเครดิตวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด ทําให้ลูกค้ามีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการชําระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และยังได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานจากบัตรเครดิตอีกด้วย ซึ่งเคทีซีได้เตรียมความพร้อมด้านระบบการชําระเงินที่เข้มแข็งตามมาตรฐานสากลไว้รองรับ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดี และมั่นใจได้ว่าทุกการใช้จ่ายมีความปลอดภัย”
ด้านนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส. มุ่งมั่นยกระดับการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร โดยให้ความสําคัญกับการขยายโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร (SMAEs) สหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าโดยผ่านการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่กว้างขวางมากขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ธ.ก.ส. จึงได้ร่วมมือกับเคทีซี เพื่อเปิดช่องทางรับชําระค่าสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการภาคการเกษตรที่เป็นสมาชิกร้านน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ด้วย QR Credit Card Payment บนเครือข่ายของวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด ไม่ว่าจะเป็น ร้านค้าชุมชนสร้างไทย ที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ ร้านค้าปลีก ชุมชนท่องเที่ยว รถเช่า รถโดยสาร และรถทัวร์ เป็นต้น
โครงการนี้เป็นการต่อยอดจากการลงนามความร่วมมือเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มต้นจากโครงการให้บริการร้านค้ารับชําระ QR Code และ e-Commerce เพื่อให้บริการรับชําระค่าสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนด้านการเกษตร ที่เป็นสมาชิกร้านค้าน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ด้วย QR Code ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) ของ Alipay ซึ่งประโยชน์จากความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างสองหน่วยงานจะช่วยให้เศรษฐกิจฐานรากมีความแข็งแกร่ง ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โดยหากเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลงจะเป็นโอกาสที่ประชาชนได้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นและจะทําให้ผู้ประกอบการและชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งการเปิดบริการชําระด้วย QR Credit Card Payment อันเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคซึ่งจะช่วยให้เกิดความสะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยไม่จําเป็นต้องใช้เงินสด ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ธ.ก.ส. มีร้านน้องหอมจัง จํานวน 24,000 ร้านค้า สําหรับร้านน้องหอมจังเดิมสามารถสมัครใช้บริการรับชําระ QR Code Credit Card ผ่าน Application ร้านน้องหอมจัง และในส่วนของร้านค้าที่ไม่เคยสมัครใช้บริการ Application ร้านน้องหอมจัง สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Center 02-555-0555 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคทีซีจับมือ ธ.ก.ส. เปิดทางร้านน้องหอมจัง ปักธงขยายช่องทางรับชำระด้วย QR Credit Card Payment เจ้าแรกในไทย
วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564
เคทีซีจับมือ ธ.ก.ส. เปิดทางร้านน้องหอมจัง ปักธงขยายช่องทางรับชําระด้วย QR Credit Card Payment เจ้าแรกในไทย
เคทีซี - ธ.ก.ส. ลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ต่อยอดบริการรับชําระค่าสินค้าและบริการให้กับสมาชิกร้านน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ด้วยระบบ QR Credit Card Payment บนเครือข่ายของวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดเป็นเจ้าแรกในไทย รุกช่วยผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนการเกษตร
เคทีซี - ธ.ก.ส. ลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ ต่อยอดบริการรับชําระค่าสินค้าและบริการให้กับสมาชิกร้านน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ด้วยระบบ QR Credit Card Payment บนเครือข่ายของวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดเป็นเจ้าแรกในไทย รุกช่วยผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนการเกษตร ขยายโอกาสทางการตลาดเข้าถึงระบบการชําระที่ทันสมัย สะดวก ปลอดภัย รับวิถีชีวิตใหม่ ดีเดย์เปิดให้บริการช่วงเดือน ธันวาคม 2564 ตั้งเป้าสิ้นปีมี 2,500 ร้านค้าเข้าร่วมโครงการ
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า “แนวโน้มการชําระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิตในรูปแบบของ QR Code มีการเติบโตต่อเนื่อง โดยในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาของปี 2564 มียอดใช้จ่ายด้วยบัตรเครดิตผ่านระบบ QR Code มูลค่า 110 ล้านบาท หรือเติบโต 90% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยิ่งเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้บริโภคคนไทยเข้าสู่สังคมไร้เงินสดแบบฉับพลัน ทั้งการจับจ่ายค่าสินค้าและบริการ รวมถึงการทําธุรกรรมการเงินผ่านออนไลน์ ในขณะที่ร้านค้าต่างก็ต้องปรับตัวและเปิดรับการชําระเงินที่ไร้การสัมผัสมากขึ้น”
“โครงการต่อยอดบริการรับชําระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิตผ่านระบบ QR Credit Card Payment บนเครือข่ายของวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดในครั้งนี้ จึงเป็นการผนึกความร่วมมือกับ ธ.ก.ส. ที่ถูกที่ถูกเวลา และเป็นการต่อยอดการทํางานบทใหม่จากปีก่อนหน้า ที่รับชําระด้วย QR Code ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) ของ Alipay เพียงอย่างเดียว เพื่อมุ่งสู่นโยบายการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร พร้อมขยายโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการ สหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน กลุ่ม Smart Farmer และกลุ่มร้านค้าขนาดเล็ก (Micro Merchants) โดยจะเปิดให้บริการช่วงเดือน ธันวาคม 2564 นี้ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงจังหวะที่สอดรับกับการเปิดประเทศรับการท่องเที่ยวพอดี จึงคาดหมายว่าสิ้นปีนี้จะมีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการถึง 2,500 ร้านค้า ซึ่งจะทําให้ลูกค้าสามารถใช้บริการชําระทางอิเล็กทรอนิกส์ได้หลากหลายและกว้างขวางมากขึ้น”
“เราหวังว่าโครงการขยายช่องทางรับชําระเงินผ่าน QR Credit Card Payment ในครั้งนี้ จะช่วยให้ร้านน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ขายสินค้าและบริการคล่องตัวมากขึ้น และสร้างรายได้จากยอดขายอย่างมีประสิทธิภาพในขณะเดียวกันก็สามารถตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยที่ถือบัตรเครดิตวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด ทําให้ลูกค้ามีทางเลือกเพิ่มขึ้นในการชําระเงินที่สะดวก รวดเร็ว และยังได้รับสิทธิประโยชน์พื้นฐานจากบัตรเครดิตอีกด้วย ซึ่งเคทีซีได้เตรียมความพร้อมด้านระบบการชําระเงินที่เข้มแข็งตามมาตรฐานสากลไว้รองรับ เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดี และมั่นใจได้ว่าทุกการใช้จ่ายมีความปลอดภัย”
ด้านนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ธ.ก.ส. มุ่งมั่นยกระดับการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร โดยให้ความสําคัญกับการขยายโอกาสทางการตลาดให้กับผู้ประกอบการธุรกิจเกษตร (SMAEs) สหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าโดยผ่านการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ที่กว้างขวางมากขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ธ.ก.ส. จึงได้ร่วมมือกับเคทีซี เพื่อเปิดช่องทางรับชําระค่าสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการภาคการเกษตรที่เป็นสมาชิกร้านน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ด้วย QR Credit Card Payment บนเครือข่ายของวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด ไม่ว่าจะเป็น ร้านค้าชุมชนสร้างไทย ที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ ร้านค้าปลีก ชุมชนท่องเที่ยว รถเช่า รถโดยสาร และรถทัวร์ เป็นต้น
โครงการนี้เป็นการต่อยอดจากการลงนามความร่วมมือเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มต้นจากโครงการให้บริการร้านค้ารับชําระ QR Code และ e-Commerce เพื่อให้บริการรับชําระค่าสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนด้านการเกษตร ที่เป็นสมาชิกร้านค้าน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ด้วย QR Code ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) ของ Alipay ซึ่งประโยชน์จากความร่วมมืออย่างต่อเนื่องระหว่างสองหน่วยงานจะช่วยให้เศรษฐกิจฐานรากมีความแข็งแกร่ง ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน โดยหากเมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คลี่คลายลงจะเป็นโอกาสที่ประชาชนได้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นและจะทําให้ผู้ประกอบการและชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งการเปิดบริการชําระด้วย QR Credit Card Payment อันเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคซึ่งจะช่วยให้เกิดความสะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น โดยไม่จําเป็นต้องใช้เงินสด ทั้งนี้ ในปัจจุบัน ธ.ก.ส. มีร้านน้องหอมจัง จํานวน 24,000 ร้านค้า สําหรับร้านน้องหอมจังเดิมสามารถสมัครใช้บริการรับชําระ QR Code Credit Card ผ่าน Application ร้านน้องหอมจัง และในส่วนของร้านค้าที่ไม่เคยสมัครใช้บริการ Application ร้านน้องหอมจัง สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ Call Center 02-555-0555 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46403 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ยืนยันไทยไม่ลดมาตรฐานการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเพื่อตรวจจับสายพันธุ์โอมิครอน | วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2564
อนุทิน ยืนยันไทยไม่ลดมาตรฐานการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเพื่อตรวจจับสายพันธุ์โอมิครอน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน ไทยมีระบบเฝ้าระวัง คัดกรอง ตรวจจับโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนอย่างรัดกุมในผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทุกราย และจะไม่ลดมาตรฐานการคัดกรอง ส่วนวัคซีนโควิด 19 ทุกแพลตฟอร์มที่ไทยใช้ยังช่วยลดอาการป่วยหนัก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน ไทยมีระบบเฝ้าระวัง คัดกรอง ตรวจจับโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนอย่างรัดกุมในผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทุกราย และจะไม่ลดมาตรฐานการคัดกรอง ส่วนวัคซีนโควิด 19 ทุกแพลตฟอร์มที่ไทยใช้ยังช่วยลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิตได้
วันนี้ (16 ธันวาคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีระบบเฝ้าระวัง คัดกรอง ตรวจจับโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนอย่างรัดกุมในผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทุกราย และจะไม่ลดมาตรฐานการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศตามช่องทางที่ถูกกฎหมายทุกคนต้องมีผลการตรวจหาเชื้อจากประเทศต้นทางด้วยวิธีRT-PCR ไม่เกิน 72 ชั่วโมง และตรวจซ้ําเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย เพื่อความปลอดภัย ขณะนี้ผู้ติดเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนที่พบยังคงเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และแนวโน้มของอาการป่วยไม่น่าจะรุนแรงเท่าสายพันธุ์ที่เคยพบมา
อย่างไรก็ตาม ได้มีการหารือกับผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ผู้ผลิตวัคซีน และแพทย์มาโดยตลอดเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 ว่าสามารถป้องกันสายพันธุ์นี้ได้หรือไม่ ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่าวัคซีนที่ประเทศไทยนํามาใช้ทุกแพลตฟอร์ม ทุกยี่ห้อ ยังช่วยลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ แม้จะเป็นวัคซีนเชื้อตาย แต่เมื่อดูจากผลสัมฤทธิ์ของวัคซีน ในประเทศจีนซึ่งมีประชากร 1,500 ล้านคน ก็ยังสามารถป้องกันได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้มีการรณรงค์ฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 แก่ประชาชน โดยห่างจากเข็ม 2 เป็นเวลา 3 เดือน จากเดิม 6 เดือน เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกัน และสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน ขอยืนยันว่ามีวัคซีนทุกแพลตฟอร์มเพียงพอสําหรับประชาชนทุกคน แต่นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว ความร่วมมือ ความเข้าใจ การระมัดระวังตัวขั้นสูงสุดตามหลักการUniversal Prevention คือสิ่งสําคัญที่สุดที่จะทําให้ทุกคนปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิด 19 นายอนุทินกล่าวในตอนท้าย
*********************************** 16 ธันวาคม 2564 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน ยืนยันไทยไม่ลดมาตรฐานการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเพื่อตรวจจับสายพันธุ์โอมิครอน
วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม 2564
อนุทิน ยืนยันไทยไม่ลดมาตรฐานการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศเพื่อตรวจจับสายพันธุ์โอมิครอน
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน ไทยมีระบบเฝ้าระวัง คัดกรอง ตรวจจับโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนอย่างรัดกุมในผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทุกราย และจะไม่ลดมาตรฐานการคัดกรอง ส่วนวัคซีนโควิด 19 ทุกแพลตฟอร์มที่ไทยใช้ยังช่วยลดอาการป่วยหนัก
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ยืนยัน ไทยมีระบบเฝ้าระวัง คัดกรอง ตรวจจับโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนอย่างรัดกุมในผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทุกราย และจะไม่ลดมาตรฐานการคัดกรอง ส่วนวัคซีนโควิด 19 ทุกแพลตฟอร์มที่ไทยใช้ยังช่วยลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิตได้
วันนี้ (16 ธันวาคม 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า กระทรวงสาธารณสุขมีระบบเฝ้าระวัง คัดกรอง ตรวจจับโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนอย่างรัดกุมในผู้ที่เดินทางเข้าประเทศทุกราย และจะไม่ลดมาตรฐานการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศตามช่องทางที่ถูกกฎหมายทุกคนต้องมีผลการตรวจหาเชื้อจากประเทศต้นทางด้วยวิธีRT-PCR ไม่เกิน 72 ชั่วโมง และตรวจซ้ําเมื่อเดินทางถึงประเทศไทย เพื่อความปลอดภัย ขณะนี้ผู้ติดเชื้อโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนที่พบยังคงเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และแนวโน้มของอาการป่วยไม่น่าจะรุนแรงเท่าสายพันธุ์ที่เคยพบมา
อย่างไรก็ตาม ได้มีการหารือกับผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ ผู้ผลิตวัคซีน และแพทย์มาโดยตลอดเกี่ยวกับวัคซีนโควิด 19 ว่าสามารถป้องกันสายพันธุ์นี้ได้หรือไม่ ซึ่งมีความเห็นตรงกันว่าวัคซีนที่ประเทศไทยนํามาใช้ทุกแพลตฟอร์ม ทุกยี่ห้อ ยังช่วยลดอาการป่วยหนักและเสียชีวิตจากโรคโควิด 19 สายพันธุ์โอมิครอนได้ แม้จะเป็นวัคซีนเชื้อตาย แต่เมื่อดูจากผลสัมฤทธิ์ของวัคซีน ในประเทศจีนซึ่งมีประชากร 1,500 ล้านคน ก็ยังสามารถป้องกันได้
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้กําชับให้มีการรณรงค์ฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 แก่ประชาชน โดยห่างจากเข็ม 2 เป็นเวลา 3 เดือน จากเดิม 6 เดือน เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกัน และสร้างความมั่นใจแก่ประชาชน ขอยืนยันว่ามีวัคซีนทุกแพลตฟอร์มเพียงพอสําหรับประชาชนทุกคน แต่นอกจากการฉีดวัคซีนแล้ว ความร่วมมือ ความเข้าใจ การระมัดระวังตัวขั้นสูงสุดตามหลักการUniversal Prevention คือสิ่งสําคัญที่สุดที่จะทําให้ทุกคนปลอดภัยจากการติดเชื้อโควิด 19 นายอนุทินกล่าวในตอนท้าย
*********************************** 16 ธันวาคม 2564 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49535 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวบ้านสมุทรสาคร หายห่วง แฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่แรงงาน ช่วยชุมชนปลอดโควิด | วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2564
ชาวบ้านสมุทรสาคร หายห่วง แฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่แรงงาน ช่วยชุมชนปลอดโควิด
ชาวบ้านสมุทรสาคร หายห่วง แฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่แรงงาน ช่วยชุมชนปลอดโควิด
นายเฉลิมพล เนียมสกุล แรงงานจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ที่ส่งผลกระทบในปัจจุบัน รัฐบาลภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกํากับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในคลัสเตอร์โรงงาน และเพื่อให้ธุรกิจภาคส่งออกเดินหน้าต่อไปได้ จึงได้สั่งการให้นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดําเนินโครงการ Factory Sandbox โดยใช้แนวคิด “เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข” เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่แรงงานและสร้างความเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจจากภาคการผลิตแก่นักลงทุนในสถานประกอบการภาคการผลิต ส่งออกขนาดใหญ่ในพื้นที่ 7 จังหวัดนําร่อง ได้แก่ จังหวัดชลบุรี นนทบุรี สมุทรสาคร ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ โดยบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งการดําเนินโครงการฯ ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตส่งออก คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 700,000 ล้านบาท สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในคลัสเตอร์โรงงาน เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ รวมทั้งสามารถรักษาระดับการจ้างงานในภาคการผลิตและส่งออกสําคัญได้กว่า 3 ล้านตําแหน่ง โดยระยะแรก มีเป้าหมายดําเนินการใน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และชลบุรี ในสถานประกอบการภาคการผลิต/ส่งออก ที่มีผู้ประกันตน 500 คน ขึ้นไป ภายใต้แนวคิด "ตรวจ รักษา ควบคุม ดูแล"
นายเฉลิมพล กล่าวถึงการดําเนินโครงการ Factory Sandbox ของจังหวัดสมุทรสาครว่า เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา บริษัท เอ็ม เอ็ม พี อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ประกอบกิจการอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องส่งออก ตั้งอยู่เลขที่ 19/8 หมู่ 6 ตําบลนาดี อําเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็น 1 ใน 30 สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ Factory Sandbox มีพนักงานทั้งสิ้น 1,576 คน แรงงานไทย 317 คน แรงงานต่างด้าว คน 1,259 คน ได้มีการตรวจคัดกรองโควิด-19 ให้แก่พนักงานด้วยวิธี RT-PCR 100% ซึ่งพบว่ามีผู้ติดเชื้อจํานวนหนึ่งและได้แยกตัวผู้ติดเชื้อไปเข้ารับการรักษาใน Hospitel เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีทีมแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลปิยเวช สมุทรสาคร เป็นผู้ดําเนินการตรวจและดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด จากนั้นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มแรก ให้แก่พนักงานที่ผ่านการตรวจคัดกรองแล้วและมีผลเป็นลบ จํานวน 974 คน โดยมีทีมแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลปิยเวช สมุทรสาคร เป็นผู้ดําเนินการฉีดวัคซีนให้พนักงาน โดยพนักงานที่มีผลตรวจเป็นลบจะต้องเข้ารับการตรวจ Self-ATK ตามแผนทุกๆ 7 วัน รวมจํานวน 4 ครั้ง ได้แก่ ครั้งแรก วันที่ 6 ต.ค.64 ครั้งที่สอง วันที่ 13 ต.ค.64 ครั้งที่สาม วันที่ 20 ต.ค.64 และ ครั้งที่สี่ วันที่ 27 ต.ค.64 เพื่อให้เป็นไปตามแผนการดําเนินงานของโครงการ Factory Sandbox ซึ่งที่ผ่านมาบริษัท เอ็ม เอ็ม พี อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ได้ให้ความสําคัญและพนักงานให้ความร่วมมือกับโครงการนี้เป็นอย่างมากและแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการมาตั้งแต่ต้น
ด้าน นายณรงค์ รักร้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า จังหวัดสมุทรสาครมีสถานประกอบการเป็นจํานวนมาก การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มโรงงาน ตามโครงการ Factory Sandbox เป็นการตรวจคัดกรองเพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อเข้าสู่กระบวนการรักษาได้อย่างทันท่วงที ในอนาคตอยากให้มีการขยายกลุ่มเป้าหมายของโครงการออกไปยังสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก และประเภทกิจการอื่นๆ นอกเหนือจากภาคส่งออกเพื่อให้มีความครอบคลุมเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันขอให้ประชาชนในชุมชนที่อยู่อาศัยละแวกใกล้เคียงกับโรงงานไม่ต้องหวั่นวิตกและสบายใจได้ว่า การตรวจ รักษา ควบคุม ดูแล ตามโครงการ Factory Sandbox นี้หากพบผู้ติดเชื้อ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครจะแยกตัวไปรักษา สอบสวนโรค เพื่อค้นหากลุ่มเสี่ยงต่อไปได้ทันที ซึ่งจะทําให้ชาวบ้านคลายความกังวลและชุมชนมีความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ผลการดําเนินโครงการในระยะที่ 1 ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2564 ปรากฏว่า ได้ตรวจคัดกรองโควิดในสถานประกอบการแล้ว 28 แห่ง ผู้ประกันตน 61,249 คน และฉีดวัคซีนในสถานประกอบการแล้ว 22 แห่ง ผู้ประกันตน 33,280 คน สําหรับจังหวัดสมุทรสาครเป็นหนึ่งในจังหวัดนําร่องของโครงการ “Factory Sandbox” มีสถานประกอบการเข้าร่วม 30 แห่ง มีผู้ประกันตนรวม 70,596 คน สําหรับผู้ที่ตรวจพบเชื้อจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาใน Hospitel ตามมาตรการของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวบ้านสมุทรสาคร หายห่วง แฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่แรงงาน ช่วยชุมชนปลอดโควิด
วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2564
ชาวบ้านสมุทรสาคร หายห่วง แฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่แรงงาน ช่วยชุมชนปลอดโควิด
ชาวบ้านสมุทรสาคร หายห่วง แฟคทอรี่แซนด์บ็อกซ์ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่แรงงาน ช่วยชุมชนปลอดโควิด
นายเฉลิมพล เนียมสกุล แรงงานจังหวัดสมุทรสาคร เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ที่ส่งผลกระทบในปัจจุบัน รัฐบาลภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกํากับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานในสถานประกอบการเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดในคลัสเตอร์โรงงาน และเพื่อให้ธุรกิจภาคส่งออกเดินหน้าต่อไปได้ จึงได้สั่งการให้นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ดําเนินโครงการ Factory Sandbox โดยใช้แนวคิด “เศรษฐศาสตร์สาธารณสุข” เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่แรงงานและสร้างความเชื่อมั่นในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจจากภาคการผลิตแก่นักลงทุนในสถานประกอบการภาคการผลิต ส่งออกขนาดใหญ่ในพื้นที่ 7 จังหวัดนําร่อง ได้แก่ จังหวัดชลบุรี นนทบุรี สมุทรสาคร ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา และสมุทรปราการ โดยบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งการดําเนินโครงการฯ ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตส่งออก คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 700,000 ล้านบาท สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในคลัสเตอร์โรงงาน เพื่อให้ประเทศสามารถเดินหน้าต่อไปได้ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ รวมทั้งสามารถรักษาระดับการจ้างงานในภาคการผลิตและส่งออกสําคัญได้กว่า 3 ล้านตําแหน่ง โดยระยะแรก มีเป้าหมายดําเนินการใน 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรสาคร และชลบุรี ในสถานประกอบการภาคการผลิต/ส่งออก ที่มีผู้ประกันตน 500 คน ขึ้นไป ภายใต้แนวคิด "ตรวจ รักษา ควบคุม ดูแล"
นายเฉลิมพล กล่าวถึงการดําเนินโครงการ Factory Sandbox ของจังหวัดสมุทรสาครว่า เมื่อวันที่ 27 กันยายนที่ผ่านมา บริษัท เอ็ม เอ็ม พี อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ประกอบกิจการอาหารทะเลแปรรูปบรรจุกระป๋องส่งออก ตั้งอยู่เลขที่ 19/8 หมู่ 6 ตําบลนาดี อําเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็น 1 ใน 30 สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ Factory Sandbox มีพนักงานทั้งสิ้น 1,576 คน แรงงานไทย 317 คน แรงงานต่างด้าว คน 1,259 คน ได้มีการตรวจคัดกรองโควิด-19 ให้แก่พนักงานด้วยวิธี RT-PCR 100% ซึ่งพบว่ามีผู้ติดเชื้อจํานวนหนึ่งและได้แยกตัวผู้ติดเชื้อไปเข้ารับการรักษาใน Hospitel เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีทีมแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลปิยเวช สมุทรสาคร เป็นผู้ดําเนินการตรวจและดูแลรักษาอย่างใกล้ชิด จากนั้นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา หน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสมุทรสาคร ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข็มแรก ให้แก่พนักงานที่ผ่านการตรวจคัดกรองแล้วและมีผลเป็นลบ จํานวน 974 คน โดยมีทีมแพทย์และพยาบาลจากโรงพยาบาลปิยเวช สมุทรสาคร เป็นผู้ดําเนินการฉีดวัคซีนให้พนักงาน โดยพนักงานที่มีผลตรวจเป็นลบจะต้องเข้ารับการตรวจ Self-ATK ตามแผนทุกๆ 7 วัน รวมจํานวน 4 ครั้ง ได้แก่ ครั้งแรก วันที่ 6 ต.ค.64 ครั้งที่สอง วันที่ 13 ต.ค.64 ครั้งที่สาม วันที่ 20 ต.ค.64 และ ครั้งที่สี่ วันที่ 27 ต.ค.64 เพื่อให้เป็นไปตามแผนการดําเนินงานของโครงการ Factory Sandbox ซึ่งที่ผ่านมาบริษัท เอ็ม เอ็ม พี อินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ได้ให้ความสําคัญและพนักงานให้ความร่วมมือกับโครงการนี้เป็นอย่างมากและแจ้งความประสงค์เข้าร่วมโครงการมาตั้งแต่ต้น
ด้าน นายณรงค์ รักร้อย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า จังหวัดสมุทรสาครมีสถานประกอบการเป็นจํานวนมาก การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกลุ่มโรงงาน ตามโครงการ Factory Sandbox เป็นการตรวจคัดกรองเพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อเข้าสู่กระบวนการรักษาได้อย่างทันท่วงที ในอนาคตอยากให้มีการขยายกลุ่มเป้าหมายของโครงการออกไปยังสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก และประเภทกิจการอื่นๆ นอกเหนือจากภาคส่งออกเพื่อให้มีความครอบคลุมเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันขอให้ประชาชนในชุมชนที่อยู่อาศัยละแวกใกล้เคียงกับโรงงานไม่ต้องหวั่นวิตกและสบายใจได้ว่า การตรวจ รักษา ควบคุม ดูแล ตามโครงการ Factory Sandbox นี้หากพบผู้ติดเชื้อ สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครจะแยกตัวไปรักษา สอบสวนโรค เพื่อค้นหากลุ่มเสี่ยงต่อไปได้ทันที ซึ่งจะทําให้ชาวบ้านคลายความกังวลและชุมชนมีความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ผลการดําเนินโครงการในระยะที่ 1 ณ วันที่ 2 ตุลาคม 2564 ปรากฏว่า ได้ตรวจคัดกรองโควิดในสถานประกอบการแล้ว 28 แห่ง ผู้ประกันตน 61,249 คน และฉีดวัคซีนในสถานประกอบการแล้ว 22 แห่ง ผู้ประกันตน 33,280 คน สําหรับจังหวัดสมุทรสาครเป็นหนึ่งในจังหวัดนําร่องของโครงการ “Factory Sandbox” มีสถานประกอบการเข้าร่วม 30 แห่ง มีผู้ประกันตนรวม 70,596 คน สําหรับผู้ที่ตรวจพบเชื้อจะถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาใน Hospitel ตามมาตรการของสํานักงานสาธารณสุขจังหวัดสมุทรสาครต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46521 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยม ยาอินไทย ศึกษาแอนโดรกาโฟไลด์เพิ่มทางเลือกใหม่ใช้รักษาผู้ต้องขัง พร้อมขอบคุณที่ช่วยสังคม หลังเตรียมบริจาคยา 1.2 ล้านเม็ดให้กรมราชทัณฑ์ | วันอังคารที่ 17 สิงหาคม 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยม ยาอินไทย ศึกษาแอนโดรกาโฟไลด์เพิ่มทางเลือกใหม่ใช้รักษาผู้ต้องขัง พร้อมขอบคุณที่ช่วยสังคม หลังเตรียมบริจาคยา 1.2 ล้านเม็ดให้กรมราชทัณฑ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยม ยาอินไทย ศึกษาแอนโดรกาโฟไลด์เพิ่มทางเลือกใหม่ใช้รักษาผู้ต้องขัง พร้อมขอบคุณที่ช่วยสังคม หลังเตรียมบริจาคยา 1.2 ล้านเม็ดให้กรมราชทัณฑ์
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางไปตรวจเยี่ยมชมการผลิตยาฟ้าทะลายโจร รวมถึงรับชมห้องแล็บสายการผลิตบรรจุภัณฑ์ ของบริษัท ยาอินไทย จํากัด จากผู้ผลิตโรงพยาบาลยันฮี โดยมี นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการบริษัทยาอินไทย พร้อมคณะให้การต้อนรับ โดยนายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า ตนตั้งใจอยากมาที่นี่เพื่อดูการผลิตตามขั้นตอนที่ได้มาตรฐาน และตรวจสอบว่าค่าแอนโดรกราโฟไลด์มีอยู่เท่าไหร่ก่อนสกัดเป็นเม็ดยา หลังจากนักโทษทั้งหลายในเรือนจํากลางเชียงใหม่ได้กินยาฟ้าทะลายโจรจากยี่ห้อนี้แล้วหายเป็นปกติซึ่งได้ผลดีเกินคาด โดยตนมองว่าเชื้อโควิด-19 จะอยู่กับประชาชนไปอีกสักระยะ ซึ่งการรอวัคซีนอย่างเดียวอาจทําให้ประชาชนเกิดความกังวล จึงมีทางเลือกใหม่ให้คือพืชสมุนไพรที่เป็นภูมิปัญญาของคนไทย และเพื่อสนับสนุนการแพทย์แผนไทย และยังเป็นการช่วยให้คนที่ยากจนหรือไม่มีโอกาสได้เข้าถึงด้วย อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้ประชาชนกินยาฟ้าทะลายโจรแต่พอดีหากไม่มีอาการป่วย หรือหากป่วยโควิด-19 ก็ควรกินให้ครบปริมาณ 180 มิลลิกรัม ต่อวัน คือกินครั้งละ 9 เม็ด วันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น ติดต่อกันนาน 5 วัน
“ขอขอบคุณบริษัทอินไทย ที่ยินดีช่วยเหลือสังคมและมีน้ําใจในช่วงภาวะวิกฤต ในช่วงเวลาที่กรมราชทัณฑ์ต้องการยาฟ้าทะลายโจรเพื่อใช้รักษาอาการโควิดแก่ผู้ต้องขัง เรายืนยันว่าจะนํายาไปแจกจ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุด และจะส่งมอบยาอย่างเป็นทางการให้กรมราชทัณฑ์ จํานวน 20,000 กระปุก หรือ 1.2 ล้านเม็ด ในวันพรุ่งนี้ เวลา 09.00 น.” นายสมศักดิ์ กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยม ยาอินไทย ศึกษาแอนโดรกาโฟไลด์เพิ่มทางเลือกใหม่ใช้รักษาผู้ต้องขัง พร้อมขอบคุณที่ช่วยสังคม หลังเตรียมบริจาคยา 1.2 ล้านเม็ดให้กรมราชทัณฑ์
วันอังคารที่ 17 สิงหาคม 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยม ยาอินไทย ศึกษาแอนโดรกาโฟไลด์เพิ่มทางเลือกใหม่ใช้รักษาผู้ต้องขัง พร้อมขอบคุณที่ช่วยสังคม หลังเตรียมบริจาคยา 1.2 ล้านเม็ดให้กรมราชทัณฑ์
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ตรวจเยี่ยม ยาอินไทย ศึกษาแอนโดรกาโฟไลด์เพิ่มทางเลือกใหม่ใช้รักษาผู้ต้องขัง พร้อมขอบคุณที่ช่วยสังคม หลังเตรียมบริจาคยา 1.2 ล้านเม็ดให้กรมราชทัณฑ์
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางไปตรวจเยี่ยมชมการผลิตยาฟ้าทะลายโจร รวมถึงรับชมห้องแล็บสายการผลิตบรรจุภัณฑ์ ของบริษัท ยาอินไทย จํากัด จากผู้ผลิตโรงพยาบาลยันฮี โดยมี นพ.สุพจน์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการบริษัทยาอินไทย พร้อมคณะให้การต้อนรับ โดยนายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า ตนตั้งใจอยากมาที่นี่เพื่อดูการผลิตตามขั้นตอนที่ได้มาตรฐาน และตรวจสอบว่าค่าแอนโดรกราโฟไลด์มีอยู่เท่าไหร่ก่อนสกัดเป็นเม็ดยา หลังจากนักโทษทั้งหลายในเรือนจํากลางเชียงใหม่ได้กินยาฟ้าทะลายโจรจากยี่ห้อนี้แล้วหายเป็นปกติซึ่งได้ผลดีเกินคาด โดยตนมองว่าเชื้อโควิด-19 จะอยู่กับประชาชนไปอีกสักระยะ ซึ่งการรอวัคซีนอย่างเดียวอาจทําให้ประชาชนเกิดความกังวล จึงมีทางเลือกใหม่ให้คือพืชสมุนไพรที่เป็นภูมิปัญญาของคนไทย และเพื่อสนับสนุนการแพทย์แผนไทย และยังเป็นการช่วยให้คนที่ยากจนหรือไม่มีโอกาสได้เข้าถึงด้วย อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้ประชาชนกินยาฟ้าทะลายโจรแต่พอดีหากไม่มีอาการป่วย หรือหากป่วยโควิด-19 ก็ควรกินให้ครบปริมาณ 180 มิลลิกรัม ต่อวัน คือกินครั้งละ 9 เม็ด วันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น ติดต่อกันนาน 5 วัน
“ขอขอบคุณบริษัทอินไทย ที่ยินดีช่วยเหลือสังคมและมีน้ําใจในช่วงภาวะวิกฤต ในช่วงเวลาที่กรมราชทัณฑ์ต้องการยาฟ้าทะลายโจรเพื่อใช้รักษาอาการโควิดแก่ผู้ต้องขัง เรายืนยันว่าจะนํายาไปแจกจ่ายให้เกิดประโยชน์สูงสุด และจะส่งมอบยาอย่างเป็นทางการให้กรมราชทัณฑ์ จํานวน 20,000 กระปุก หรือ 1.2 ล้านเม็ด ในวันพรุ่งนี้ เวลา 09.00 น.” นายสมศักดิ์ กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44832 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เป็นประธานมอบทุนการศึกษาคณะสงฆ์ สามเณร นักเรียน นิสิต นักศึกษา ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายครบรอบวันมรณภาพ ปีที 8 | วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม 2565
เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เป็นประธานมอบทุนการศึกษาคณะสงฆ์ สามเณร นักเรียน นิสิต นักศึกษา ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวายครบรอบวันมรณภาพ ปีที 8
เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เป็นประธานมอบทุนการศึกษาคณะสงฆ์ สามเณร นักเรียน นิสิต นักศึกษา ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวายครบรอบวันมรณภาพ ปีที่ 8 พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร เจริญพานิช) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมัง
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 65 เวลา 10.30 น. ณ กุฏิคณะ ต. 34 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษาแก่พระภิกษุ สามเณร นิสิต นักศึกษา และนักเรียน จํานวน 130 ทุน ท่านเจ้าคุณพระธรรมสุธี เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวายครบรอบวันมรณภาพ พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร เจริญพานิช) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ปีที่ 8 โดยมีพระมหาเถระ อาทิ พระเทพวชิรโมลี (ทองใบ ปุญฺญภาโส) พระราชเวที (สุรพล ชิตญาโณ ป.ธ.9) เจ้าคณะภาค 12 ประธานมูลนิธิพระธรรมปัญญาบดี (ถาวร เจริญพานิช) พระราชรัตนสุนทร (วินัย ธมฺมานนฺโท ป.ธ.5) พร้อมด้วยพระเถระ และพุทธศาสนิกชน ร่วมในพิธี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า พระธรรมปัญญาบดี เดิมชื่อ ถาวร เจริญพานิช เกิดวันเสาร์ที่ 27 พ.ค. 2459 โยมบิดาชื่อ นายจรัญ เจริญพานิช โยมมารดาชื่อ นางพุ่ม เจริญพานิช ได้เข้ารับการบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อวันเสาร์ที่ 24 เม.ย. 2474 ที่วัดตราชู ต.บ้านหม้อ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี มีพระครูพรหมจริยคุณ (ดี) เจ้าอาวาสวัดแจ้งพรหมนคร จ.สิงห์บุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ และเข้าสู่พิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันศุกร์ที่ 5 มิ.ย. 2479 ณ พัทธสีมาวัดตราชู ต.บ้านหม้อ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี โดยมี พระธรรมปิฎก (เผื่อน ติสฺสทตฺโต ป.ธ.9 ) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “ติสฺสานุกโร” และเล่าเรียนพระปริยัติธรรม สอบนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก และสอบได้เปรียญ 4 ประโยค (ป.ธ.4) ตามลําดับ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ ตั้งแต่ พ.ศ. 2534 โดยได้บูรณปฏิสังขรณ์พระอารามต่าง ๆ มากมาย อาทิ 1) บูรณปฏิสังขรณ์ในเขตพุทธาวาส และเขตสังฆาวาส เป็นเงินกว่า 664 ล้านบาท อาทิ บูรณะพระพุทธรูปในพระระเบียงพระอุโบสถ พระระเบียง พระมหาเจดีย์และพระวิหารคด บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารพระพุทธไสยาสน์พระมณฑปศาลารายรอบพระมณฑป พระวิหารขาว พระเจดีย์หมู่ 5 ฐานเดียว พระเจดีย์ราย พระมหาเจดีย์มุนีบัตร บริขารประจํารัชกาลที่ 3 และพระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัยประจํารัชกาลที่ 4 บูรณปฏิสังขรณ์กุฏิคณะเหนือ คณะกลางคณะใต้ ตําหนักวาสุกรี เก๋งจีนหน้า ตําหนักวาสุกรี กุฏิสมเด็จเจริญอักษรคณะ น.16 หอประชุมสงฆ์ เป็นต้น 2) งานศึกษาสงเคราะห์ ได้บริจาคทรัพย์ส่วนตัวเป็นทุนในการจัดตั้งมูลนิธิพระราชปัญญาสุธี (ถาวร ติสฺสานุกโร) จํานวนกว่า 3.6 แสนบาท นําดอกผลของมูลนิธิฯ มอบเป็นทุนการศึกษาแก่ภิกษุสามเณรและนักเรียนนักศึกษารวม 21 ปี และเป็นประธานกรรมการบริหารทุนสงเคราะห์นักเรียนชั้นประถมศึกษาวัดพระเชตุพน มอบทุนการศึกษา “ทุนสงเคราะห์นักเรียนวัดพระเชตุพน” เป็นต้น 3) ส่วนงานสาธารณสงเคราะห์ ได้จัดตั้งโรงทานโดยเสด็จพระราชกุศลงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสเสด็จพระราชดําเนินในการสดับพระธรรมเทศนามหาชาติงานฉลองจารึกวัดโพธิ์ : มรดก ความทรงจําแห่งโลก สร้างอุโบสถบูรณะศาลาการเปรียญพระธรรมปัญญาบดี วัดตราชู อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี บริจาคที่ดินให้โรงพยาบาลพรหมบุรี จ.สิงห์บุรี รวม 12 ไร่ 2 งาน 81 ตารางวา และบริจาคเงินส่วนตัวให้แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จ.สุพรรณบุรี เป็นต้น
“พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร เจริญพานิช) ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ตามลําดับ โดยในปี พ.ศ. 2495 ได้รับพระกรุณาโปรดพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอกในพระอัฐิสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิต ชิโนรสในราชทินนามที่ “พระครูทักษิณคณิศร” พ.ศ. 2507 เป็นพระราชาคณะในราชทินนามที่ “พระทักษิณคณิสสร” พ.ศ. 2526 เป็นพระราชาคณะชั้นราชในราชทินนามที่ “พระราชปัญญาสุธี” พ.ศ. 2536 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพในราชทินนามที่ “พระเทพวรมุนี” พ.ศ. 2539 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมในราชทินนามที่ “พระธรรมเสนานี” พ.ศ. 2543 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏในราชทินนามที่ “พระธรรมปัญญาบดี” และมรณภาพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ก.ค. 2557 สิริอายุรวม 98 ปี 2 เดือน พรรษา 78” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เป็นประธานมอบทุนการศึกษาคณะสงฆ์ สามเณร นักเรียน นิสิต นักศึกษา ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายครบรอบวันมรณภาพ ปีที 8
วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม 2565
เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เป็นประธานมอบทุนการศึกษาคณะสงฆ์ สามเณร นักเรียน นิสิต นักศึกษา ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส พิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวายครบรอบวันมรณภาพ ปีที 8
เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เป็นประธานมอบทุนการศึกษาคณะสงฆ์ สามเณร นักเรียน นิสิต นักศึกษา ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวายครบรอบวันมรณภาพ ปีที่ 8 พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร เจริญพานิช) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมัง
เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 65 เวลา 10.30 น. ณ กุฏิคณะ ต. 34 วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ เจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม เป็นประธานในพิธีมอบทุนการศึกษาแก่พระภิกษุ สามเณร นิสิต นักศึกษา และนักเรียน จํานวน 130 ทุน ท่านเจ้าคุณพระธรรมสุธี เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีบําเพ็ญกุศลอุทิศถวายครบรอบวันมรณภาพ พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร เจริญพานิช) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ปีที่ 8 โดยมีพระมหาเถระ อาทิ พระเทพวชิรโมลี (ทองใบ ปุญฺญภาโส) พระราชเวที (สุรพล ชิตญาโณ ป.ธ.9) เจ้าคณะภาค 12 ประธานมูลนิธิพระธรรมปัญญาบดี (ถาวร เจริญพานิช) พระราชรัตนสุนทร (วินัย ธมฺมานนฺโท ป.ธ.5) พร้อมด้วยพระเถระ และพุทธศาสนิกชน ร่วมในพิธี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า พระธรรมปัญญาบดี เดิมชื่อ ถาวร เจริญพานิช เกิดวันเสาร์ที่ 27 พ.ค. 2459 โยมบิดาชื่อ นายจรัญ เจริญพานิช โยมมารดาชื่อ นางพุ่ม เจริญพานิช ได้เข้ารับการบรรพชาเป็นสามเณรเมื่อวันเสาร์ที่ 24 เม.ย. 2474 ที่วัดตราชู ต.บ้านหม้อ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี มีพระครูพรหมจริยคุณ (ดี) เจ้าอาวาสวัดแจ้งพรหมนคร จ.สิงห์บุรี เป็นพระอุปัชฌาย์ และเข้าสู่พิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อวันศุกร์ที่ 5 มิ.ย. 2479 ณ พัทธสีมาวัดตราชู ต.บ้านหม้อ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี โดยมี พระธรรมปิฎก (เผื่อน ติสฺสทตฺโต ป.ธ.9 ) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “ติสฺสานุกโร” และเล่าเรียนพระปริยัติธรรม สอบนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก และสอบได้เปรียญ 4 ประโยค (ป.ธ.4) ตามลําดับ และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ ตั้งแต่ พ.ศ. 2534 โดยได้บูรณปฏิสังขรณ์พระอารามต่าง ๆ มากมาย อาทิ 1) บูรณปฏิสังขรณ์ในเขตพุทธาวาส และเขตสังฆาวาส เป็นเงินกว่า 664 ล้านบาท อาทิ บูรณะพระพุทธรูปในพระระเบียงพระอุโบสถ พระระเบียง พระมหาเจดีย์และพระวิหารคด บูรณปฏิสังขรณ์พระวิหารพระพุทธไสยาสน์พระมณฑปศาลารายรอบพระมณฑป พระวิหารขาว พระเจดีย์หมู่ 5 ฐานเดียว พระเจดีย์ราย พระมหาเจดีย์มุนีบัตร บริขารประจํารัชกาลที่ 3 และพระมหาเจดีย์ทรงพระศรีสุริโยทัยประจํารัชกาลที่ 4 บูรณปฏิสังขรณ์กุฏิคณะเหนือ คณะกลางคณะใต้ ตําหนักวาสุกรี เก๋งจีนหน้า ตําหนักวาสุกรี กุฏิสมเด็จเจริญอักษรคณะ น.16 หอประชุมสงฆ์ เป็นต้น 2) งานศึกษาสงเคราะห์ ได้บริจาคทรัพย์ส่วนตัวเป็นทุนในการจัดตั้งมูลนิธิพระราชปัญญาสุธี (ถาวร ติสฺสานุกโร) จํานวนกว่า 3.6 แสนบาท นําดอกผลของมูลนิธิฯ มอบเป็นทุนการศึกษาแก่ภิกษุสามเณรและนักเรียนนักศึกษารวม 21 ปี และเป็นประธานกรรมการบริหารทุนสงเคราะห์นักเรียนชั้นประถมศึกษาวัดพระเชตุพน มอบทุนการศึกษา “ทุนสงเคราะห์นักเรียนวัดพระเชตุพน” เป็นต้น 3) ส่วนงานสาธารณสงเคราะห์ ได้จัดตั้งโรงทานโดยเสด็จพระราชกุศลงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสเสด็จพระราชดําเนินในการสดับพระธรรมเทศนามหาชาติงานฉลองจารึกวัดโพธิ์ : มรดก ความทรงจําแห่งโลก สร้างอุโบสถบูรณะศาลาการเปรียญพระธรรมปัญญาบดี วัดตราชู อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี บริจาคที่ดินให้โรงพยาบาลพรหมบุรี จ.สิงห์บุรี รวม 12 ไร่ 2 งาน 81 ตารางวา และบริจาคเงินส่วนตัวให้แก่โรงพยาบาลสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๗ จ.สุพรรณบุรี เป็นต้น
“พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร เจริญพานิช) ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ ตามลําดับ โดยในปี พ.ศ. 2495 ได้รับพระกรุณาโปรดพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอกในพระอัฐิสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระปรมานุชิต ชิโนรสในราชทินนามที่ “พระครูทักษิณคณิศร” พ.ศ. 2507 เป็นพระราชาคณะในราชทินนามที่ “พระทักษิณคณิสสร” พ.ศ. 2526 เป็นพระราชาคณะชั้นราชในราชทินนามที่ “พระราชปัญญาสุธี” พ.ศ. 2536 เป็นพระราชาคณะชั้นเทพในราชทินนามที่ “พระเทพวรมุนี” พ.ศ. 2539 เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมในราชทินนามที่ “พระธรรมเสนานี” พ.ศ. 2543 เป็นพระราชาคณะเจ้าคณะรองชั้นหิรัญบัฏในราชทินนามที่ “พระธรรมปัญญาบดี” และมรณภาพเมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 ก.ค. 2557 สิริอายุรวม 98 ปี 2 เดือน พรรษา 78” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57382 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยนายกฯ รับทราบ สถานการณ์เรือนจำ จ.กระบี่ อยู่ในการควบคุม กำชับให้แก้ไขสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่ และประชาชน | วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยนายกฯ รับทราบ สถานการณ์เรือนจํา จ.กระบี่ อยู่ในการควบคุม กําชับให้แก้ไขสถานการณ์ โดยคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่ และประชาชน
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยนายกฯ รับทราบ สถานการณ์เรือนจํา จ.กระบี่ อยู่ในการควบคุม กําชับให้แก้ไขสถานการณ์ โดยคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่ และประชาชน
วันที่ 17 ธ.ค. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานสถานการณ์การก่อจราจลภายในเรือนจําจังหวัดกระบี่ ภายหลังแกนนําผู้ต้องขังชาย ก่อจลาจลภายในเรือนจํา ขณะนี้ สถานการณ์อยู่ในการควบคุมได้ ไม่มีการขยายความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดกระบี่ และนายอายุตม์ สินธพพันธ์ุ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เข้าพื้นที่เพื่อร่วมควบคุมเหตุแล้ว โดยได้ดําเนินการย้ายผู้ต้องขังหญิงไปที่เรือนจําชั่วคราวกระบี่น้อย อ.เมือง จ.กระบี่ เพื่อดูแลความปลอดภัย ส่วนผู้ต้องขังที่ยังอยู่ในเรือนจํา ให้คัดกรองโควิด-19 แยกผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อเร่งรักษาตามขั้นตอน
นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับตาควบคุมสถานการณ์ภายในเรือนจํา รักษาผู้ต้องขังที่ติดเชื้อให้ดีที่สุด และอํานวยความสะดวกในการขนย้ายผู้ต้องขังที่จะต้องย้ายเรือนจําด้วยความปลอดภัย โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งค้นหาสาเหตุและถอดบทเรียนจากสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ํารอย พร้อมสั่งให้มีรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
---------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยนายกฯ รับทราบ สถานการณ์เรือนจำ จ.กระบี่ อยู่ในการควบคุม กำชับให้แก้ไขสถานการณ์ โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่ และประชาชน
วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยนายกฯ รับทราบ สถานการณ์เรือนจํา จ.กระบี่ อยู่ในการควบคุม กําชับให้แก้ไขสถานการณ์ โดยคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่ และประชาชน
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยนายกฯ รับทราบ สถานการณ์เรือนจํา จ.กระบี่ อยู่ในการควบคุม กําชับให้แก้ไขสถานการณ์ โดยคํานึงถึงความปลอดภัยของผู้ต้องขัง เจ้าหน้าที่ และประชาชน
วันที่ 17 ธ.ค. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบรายงานสถานการณ์การก่อจราจลภายในเรือนจําจังหวัดกระบี่ ภายหลังแกนนําผู้ต้องขังชาย ก่อจลาจลภายในเรือนจํา ขณะนี้ สถานการณ์อยู่ในการควบคุมได้ ไม่มีการขยายความรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยผู้บังคับการตํารวจภูธรจังหวัดกระบี่ และนายอายุตม์ สินธพพันธ์ุ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เข้าพื้นที่เพื่อร่วมควบคุมเหตุแล้ว โดยได้ดําเนินการย้ายผู้ต้องขังหญิงไปที่เรือนจําชั่วคราวกระบี่น้อย อ.เมือง จ.กระบี่ เพื่อดูแลความปลอดภัย ส่วนผู้ต้องขังที่ยังอยู่ในเรือนจํา ให้คัดกรองโควิด-19 แยกผู้ป่วยโควิด-19 เพื่อเร่งรักษาตามขั้นตอน
นายธนกร กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจับตาควบคุมสถานการณ์ภายในเรือนจํา รักษาผู้ต้องขังที่ติดเชื้อให้ดีที่สุด และอํานวยความสะดวกในการขนย้ายผู้ต้องขังที่จะต้องย้ายเรือนจําด้วยความปลอดภัย โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งค้นหาสาเหตุและถอดบทเรียนจากสถานการณ์ดังกล่าวเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ํารอย พร้อมสั่งให้มีรายงานความคืบหน้าอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
---------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49581 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว.กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “การแข่งขันและการขับเคี่ยวระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา : ประเทศไทยภายใต้ดุลย์อำนาจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” | วันพุธที่ 6 ตุลาคม 2564
รมว.อว.กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “การแข่งขันและการขับเคี่ยวระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา : ประเทศไทยภายใต้ดุลย์อํานาจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
รมว.อว.กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “การแข่งขันและการขับเคี่ยวระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา : ประเทศไทยภายใต้ดุลย์อํานาจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
(4 ตุลาคม 2564) ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) เป็นประธานเปิดงานพร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “การแข่งขันและการขับเคี่ยวระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา : ประเทศไทยภายใต้ดุลย์อํานาจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” เนื่องในโอกาสครบรอบ 87 ปี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต : พัฒนาการโรงเรียนกฎหมายและการเมือง ปีที่ 4 พร้อมด้วย ดร.พัชรินรุจา จันทโรนานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. และ ดร.ดนุช ตันเทิดทิตย์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวง อว. เข้าร่วมงาน และผ่านระบบ Zoom ณ ห้องประชุม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า เอเชียอาคเนย์ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งปัจจุบันรวมตัวกันอยู่หลวมๆ เป็นอาเซียน ที่ตั้งเป็นเวทีการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในระดับโลก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ที่จีนมาพบกับอินเดีย แลกเปลี่ยน ส่งมอบวัฒนธรรมกันและกัน เอเชียอาคเนย์เป็นที่ที่ฝรั่งมหาอํานาจพบกัน มาประชันกัน ในที่สุดอังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ก็แบ่งเอเชียอาคเนย์ไปอยู่ใต้การปกครองของแต่ละฝ่าย ในยุคสงครามโลกเอเชียอาคเนย์ก็เป็นที่ที่ถูกขับเคี่ยวแช่งชิงระหว่างญี่ปุ่น อังกฤษ อเมริกา ซึ่งประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของสนามรบนี้ และในยุคสงครามเย็น เมื่อไม่กี่ 10 ปีที่ผ่านมานี้ สหรัฐ และตะวันตกต้องมาต่อสู้ชิงสหภาพโซเวียต ครั้นต่อมาไม่นานโซเวียตและเวียดนามก็มาต่อสู้กับจีน กล่าวถึงปัจจุบันเอเชียอาคเนย์ก็เป็นที่ที่จีนกับสหรัฐ 2 อภิมหาอํานาจของโลกมาพบกัน สหรัฐเป็นมหาอํานาจของโลกอันดับ 1 จีนเป็นมหาอํานาจของโลกอันดับ 2 จีนมีอัตราเร่งที่สูงมาก เป็นการเติบโตที่แบบในทางวิทยาศาสตร์คุ้นเคย เรามีลู่ทางกับจีนมาก ที่สําคัญมากคือจีนใกล้กับเรามาก จีนแสดงความเป็นพันธมิตร เป็นเพื่อนกับเราสูง ที่สําคัญที่สุดคือเขาเข้ามาหาเรา ในการจะทําอะไรกับจีน เราต้องมีความซับซ้อน ประณีตที่จะไม่ทําให้สหรัฐหรือประเทศตะวันตกอื่นๆ ว่าเราได้ ในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโซเวียตไม่ได้มีประโยชน์กับเรามากนัก แต่เราพูดแบบนั้นกับจีนเวลานี้ไม่ได้
“ผมจะอาศัยงานของหน่วยงานที่อยู่ในกํากับ อว. 3 หน่วยงาน มาดูว่าอเมริกากับจีน ใครนําใครในด้านไหน ด้านไหนจีนนํา ด้านไหนอเมริกานํา ด้านไหนสูสีกัน และแนวโน้มว่าใครจะเหนือกว่าใคร ในระยะที่ไม่ไกลนัก (1) รายงานของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใหญ่มากพอสมควร มีนักวิจัยรวมกันเกือบ 2,000 คน มีศูนย์ต่างๆ ที่สําคัญ จํานวน 5 ศูนย์ (1) ศูนย์ไบโอเทค ทําเรื่องชีวภาพ (2) ศูนย์เอ็มเทค ทําเกี่ยวกับเทคโนโลยีโลหะและวัสดุสาร (3) ศูนย์เนคเทค ทําเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ (4) ศูนย์นาโนเทค และ (5) ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ที่ต้องการพูดถึงห้าศูนย์นี้ เพราะต้องการให้บุคลากรได้เห็นถึงความกว้างของสังคม ของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ในปี 2020 สหรัฐยังเป็นอันดับ 1 ของโลกในการสร้างองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่จีนขึ้นมาเป็นอันดี 8 ถ้ามาดูความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ในปี 2020 สหรัฐเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่จีนเป็นอันดับ 2 ถ้ามาดูมาตรที่วัดความเข้มแข็งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใกล้ความจริงที่สุด มาจาก 7 องค์ประกอบด้วยกัน คือ (1) สัดส่วนของงบวิจัยและงบพัฒนา R&D (2) จํานวนบุคลากรที่อยู่ในด้านการวิจัยต่อหัวของประชากรทั้งหมด (3) ปริมาณของนักวิจัยผู้หญิง (4) ผลิตภาพที่แสดงออกทางด้านตีพิมพ์ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยและพัฒนา (5) จํานวนคนที่ทํางานในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (6) สิทธิบัตรที่เกี่ยวกับเรื่องไฮเทคที่เป็นเจ้าของ (7) การใช้หุ่นยนต์ในการศึกษาในทางวิจัยและพัฒนา”
มาตรที่วัดความเข้มแข็งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสําคัญที่สุด ที่จะดูว่าประเทศที่เวลานี้ อันดับความสามารถขนาดนี้ มีขีดความสามารถในด้านองค์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขนาดนี้ ในอนาคตจะผันแปรไปอย่างไร ซึ่งมองจากตรงนี้แล้ว ชัดเจนว่าสหรัฐเป็นอันดับ 1 จีนเป็นอันดับ 2 แต่ถ้ามาดูผลงานตีพิมพ์ ตั้งแต่ปี 2017 สหรัฐตีพิมพ์ในปีนั้น 409,000 กว่าๆ จีนตีพิมพ์ 426,000 บทความ มากกว่าสหรัฐจํานวนหนึ่ง พุดได้ว่าเมื่อปี 2017-2018 เป็นครั้งแรกๆ ที่จีนตีพิมพ์ผลงานมากกว่าสหรัฐแล้ว และทางด้านจีนที่เหนือกว่าสหรัฐชัดเจนแล้วก็มี เช่น ความเร็วของคอมพิวเตอร์ จีนเข้าสู่ 5G ได้ก่อน และจะทําให้จีนได้เปรียบในเรื่องของอุตสาหกรรมรถยนต์ไร้คนขับ, อุตสาหกรรมโดรน, การใช้โรบอทในการผ่าตัด ในการทําอุตสาหกรรม กิจการต่างๆ เพราะว่าโรบอทจะต้องมี Ai ซึ่งต้องได้มาจากปริมาณ ที่มากับความเร็วของคอมพิวเตอร์ที่คํานวณได้สูงมาก กับจะต้องมีปริมาณข้อมูลที่มากมายมหาศาล จีนได้เปรียบในสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ 5G จีนเข้าถึงได้ก่อน ฉะนั้น IOT จีนก็จะได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ หมายถึงว่าการทําสมาร์ทฟาร์มมิ่ง เมื่อเข้าถึง 5G ได้ก่อนก็จะทําให้อุตสาหกรรมด้านนี้พุ่งทยานนําหน้าคนอื่นไปมาก จีนอยู่ในวิสัยที่จะนําสหรัฐได้ไม่ยากนัก ถ้าสหรัฐไม่สามารถที่จะเร่งความเร็วของคอมพิวเตอร์ให้เข้ามาสู่ระดับ 5G ได้ปล่อยให้จีนนําไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้จีนก็กําลังจะทํา 5.5G แล้ว บางกระแสก็บอกจะทํา 6G และมีแผนที่จะทําควอนตัมคอมพิวเตอร์ นี่ก็เป็นอะไรที่ต้องอาศัยข้อมูลมาดูกัน
รายงานจากสํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ของสหรัฐยังอยู่อันดับ 1 ของโลก จีนเป็นอันดับ 10 แต่ถ้าดูโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่นําไปปฏิบัติได้สหรัฐเป็นอันดับ 6 ของโลก จีนเป็นอันดับ 10 ของโลกความสามารถด้านนวัตกรรมของจีนเข้ามาอยู่ใน Division เดียวกับสหรัฐแล้ว หลังจากที่เคยต่ํากว่ามากๆ ในปี 2020 สหรัฐเป็นหมายเลข 3 ของนวัตกรรม จีนเป็นอันดับที่ 14 ของโลกในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับบริษัทสหรัฐยังเหนือกว่า แต่ถ้ามาดูพื้นที่ในประเทศที่เป็นกลุ่มเมือง ที่ทําด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูง 10 อันดับแรกของโลก จะพบว่าอยู่ในจีน 3 แห่งคือ ปักกิ่งและในอาณาบริเวณรอบๆ, เซี่ยงไฮ้และในอาณาบริเวณรอบๆ และอีกแห่งหนึ่งที่พุ่งขึ้นมาเร็วมากๆ คือ เซินเจิน รวมถึงฮ่องกงและกวางโจวด้วย เทคโนโลยีที่จีนมีศักยภาพสูงมี (1) วิทยาศาสตร์กายภาพ (2) ไลฟ์สไตล์และไบโอเทคโนโลยี (3) ดิจิทัลและ Ai (4) AdiCouture (5) อิเล็กทรอนิกส์ (6) รถไฟ
รายงานจากสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วัดสมรรถนะของจีนและอเมริกาด้วยเนเจอร์อินเด็กซ์ ซึ่งเป็นของโลกตะวันตก วัดจากการตีพิมพ์ที่ปรากฏอยู่ในวารสารวิชาการและวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่มีความกว้าง และเป็นวารสารระดับนําของโลกตะวันตก ประการ 1. ประเทศใดเป็นประเทศที่นําหน้าที่สุดในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีของโลก ในปี 2020 จะเห็นว่าสหรัฐนําเป็นอันดับ 1 จีนเป็นอันดับ 2 เยอรมันเป็นอันดับ 3 แต่ถ้าวัดด้วยหน่วยที่วัดเป็นเชิงปริมาณได้ ดูจากการตีพิมพ์สหรัฐก็นําจีนอยู่แต่ก็หายใจลดต้นคอ ส่วนจีนนําเยอรมัน 3 เท่า แต่ถ้าดูว่าสถาบันไหน มหาวิทยาลัยไหนที่นําหน้าของโลก ในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะปรากฏว่าอันดับ 1 คือ Chinese Academy of Sciences ส่วนตอนนี้สถาบันใดที่เป็นดาวรุ่ง ในปี 2018-2019 คือ University of Chinese Academy of Sciences อันดับ 1 ของโลก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.อว.กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “การแข่งขันและการขับเคี่ยวระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา : ประเทศไทยภายใต้ดุลย์อำนาจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
วันพุธที่ 6 ตุลาคม 2564
รมว.อว.กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “การแข่งขันและการขับเคี่ยวระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา : ประเทศไทยภายใต้ดุลย์อํานาจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
รมว.อว.กล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “การแข่งขันและการขับเคี่ยวระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา : ประเทศไทยภายใต้ดุลย์อํานาจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี”
(4 ตุลาคม 2564) ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รมว.อว.) เป็นประธานเปิดงานพร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “การแข่งขันและการขับเคี่ยวระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา : ประเทศไทยภายใต้ดุลย์อํานาจทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” เนื่องในโอกาสครบรอบ 87 ปี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต : พัฒนาการโรงเรียนกฎหมายและการเมือง ปีที่ 4 พร้อมด้วย ดร.พัชรินรุจา จันทโรนานนท์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. และ ดร.ดนุช ตันเทิดทิตย์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวง อว. เข้าร่วมงาน และผ่านระบบ Zoom ณ ห้องประชุม มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
ศ. (พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวว่า เอเชียอาคเนย์ หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งปัจจุบันรวมตัวกันอยู่หลวมๆ เป็นอาเซียน ที่ตั้งเป็นเวทีการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในระดับโลก เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ที่จีนมาพบกับอินเดีย แลกเปลี่ยน ส่งมอบวัฒนธรรมกันและกัน เอเชียอาคเนย์เป็นที่ที่ฝรั่งมหาอํานาจพบกัน มาประชันกัน ในที่สุดอังกฤษ ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ ก็แบ่งเอเชียอาคเนย์ไปอยู่ใต้การปกครองของแต่ละฝ่าย ในยุคสงครามโลกเอเชียอาคเนย์ก็เป็นที่ที่ถูกขับเคี่ยวแช่งชิงระหว่างญี่ปุ่น อังกฤษ อเมริกา ซึ่งประเทศไทยก็เป็นส่วนหนึ่งของสนามรบนี้ และในยุคสงครามเย็น เมื่อไม่กี่ 10 ปีที่ผ่านมานี้ สหรัฐ และตะวันตกต้องมาต่อสู้ชิงสหภาพโซเวียต ครั้นต่อมาไม่นานโซเวียตและเวียดนามก็มาต่อสู้กับจีน กล่าวถึงปัจจุบันเอเชียอาคเนย์ก็เป็นที่ที่จีนกับสหรัฐ 2 อภิมหาอํานาจของโลกมาพบกัน สหรัฐเป็นมหาอํานาจของโลกอันดับ 1 จีนเป็นมหาอํานาจของโลกอันดับ 2 จีนมีอัตราเร่งที่สูงมาก เป็นการเติบโตที่แบบในทางวิทยาศาสตร์คุ้นเคย เรามีลู่ทางกับจีนมาก ที่สําคัญมากคือจีนใกล้กับเรามาก จีนแสดงความเป็นพันธมิตร เป็นเพื่อนกับเราสูง ที่สําคัญที่สุดคือเขาเข้ามาหาเรา ในการจะทําอะไรกับจีน เราต้องมีความซับซ้อน ประณีตที่จะไม่ทําให้สหรัฐหรือประเทศตะวันตกอื่นๆ ว่าเราได้ ในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโซเวียตไม่ได้มีประโยชน์กับเรามากนัก แต่เราพูดแบบนั้นกับจีนเวลานี้ไม่ได้
“ผมจะอาศัยงานของหน่วยงานที่อยู่ในกํากับ อว. 3 หน่วยงาน มาดูว่าอเมริกากับจีน ใครนําใครในด้านไหน ด้านไหนจีนนํา ด้านไหนอเมริกานํา ด้านไหนสูสีกัน และแนวโน้มว่าใครจะเหนือกว่าใคร ในระยะที่ไม่ไกลนัก (1) รายงานของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เป็นหน่วยงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใหญ่มากพอสมควร มีนักวิจัยรวมกันเกือบ 2,000 คน มีศูนย์ต่างๆ ที่สําคัญ จํานวน 5 ศูนย์ (1) ศูนย์ไบโอเทค ทําเรื่องชีวภาพ (2) ศูนย์เอ็มเทค ทําเกี่ยวกับเทคโนโลยีโลหะและวัสดุสาร (3) ศูนย์เนคเทค ทําเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ (4) ศูนย์นาโนเทค และ (5) ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ ที่ต้องการพูดถึงห้าศูนย์นี้ เพราะต้องการให้บุคลากรได้เห็นถึงความกว้างของสังคม ของสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ในปี 2020 สหรัฐยังเป็นอันดับ 1 ของโลกในการสร้างองค์ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ แต่จีนขึ้นมาเป็นอันดี 8 ถ้ามาดูความเข้มข้นทางวิทยาศาสตร์ ในปี 2020 สหรัฐเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่จีนเป็นอันดับ 2 ถ้ามาดูมาตรที่วัดความเข้มแข็งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ใกล้ความจริงที่สุด มาจาก 7 องค์ประกอบด้วยกัน คือ (1) สัดส่วนของงบวิจัยและงบพัฒนา R&D (2) จํานวนบุคลากรที่อยู่ในด้านการวิจัยต่อหัวของประชากรทั้งหมด (3) ปริมาณของนักวิจัยผู้หญิง (4) ผลิตภาพที่แสดงออกทางด้านตีพิมพ์ ที่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยและพัฒนา (5) จํานวนคนที่ทํางานในวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (6) สิทธิบัตรที่เกี่ยวกับเรื่องไฮเทคที่เป็นเจ้าของ (7) การใช้หุ่นยนต์ในการศึกษาในทางวิจัยและพัฒนา”
มาตรที่วัดความเข้มแข็งทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสําคัญที่สุด ที่จะดูว่าประเทศที่เวลานี้ อันดับความสามารถขนาดนี้ มีขีดความสามารถในด้านองค์ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขนาดนี้ ในอนาคตจะผันแปรไปอย่างไร ซึ่งมองจากตรงนี้แล้ว ชัดเจนว่าสหรัฐเป็นอันดับ 1 จีนเป็นอันดับ 2 แต่ถ้ามาดูผลงานตีพิมพ์ ตั้งแต่ปี 2017 สหรัฐตีพิมพ์ในปีนั้น 409,000 กว่าๆ จีนตีพิมพ์ 426,000 บทความ มากกว่าสหรัฐจํานวนหนึ่ง พุดได้ว่าเมื่อปี 2017-2018 เป็นครั้งแรกๆ ที่จีนตีพิมพ์ผลงานมากกว่าสหรัฐแล้ว และทางด้านจีนที่เหนือกว่าสหรัฐชัดเจนแล้วก็มี เช่น ความเร็วของคอมพิวเตอร์ จีนเข้าสู่ 5G ได้ก่อน และจะทําให้จีนได้เปรียบในเรื่องของอุตสาหกรรมรถยนต์ไร้คนขับ, อุตสาหกรรมโดรน, การใช้โรบอทในการผ่าตัด ในการทําอุตสาหกรรม กิจการต่างๆ เพราะว่าโรบอทจะต้องมี Ai ซึ่งต้องได้มาจากปริมาณ ที่มากับความเร็วของคอมพิวเตอร์ที่คํานวณได้สูงมาก กับจะต้องมีปริมาณข้อมูลที่มากมายมหาศาล จีนได้เปรียบในสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ 5G จีนเข้าถึงได้ก่อน ฉะนั้น IOT จีนก็จะได้เปรียบมากขึ้นเรื่อยๆ หมายถึงว่าการทําสมาร์ทฟาร์มมิ่ง เมื่อเข้าถึง 5G ได้ก่อนก็จะทําให้อุตสาหกรรมด้านนี้พุ่งทยานนําหน้าคนอื่นไปมาก จีนอยู่ในวิสัยที่จะนําสหรัฐได้ไม่ยากนัก ถ้าสหรัฐไม่สามารถที่จะเร่งความเร็วของคอมพิวเตอร์ให้เข้ามาสู่ระดับ 5G ได้ปล่อยให้จีนนําไปเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้จีนก็กําลังจะทํา 5.5G แล้ว บางกระแสก็บอกจะทํา 6G และมีแผนที่จะทําควอนตัมคอมพิวเตอร์ นี่ก็เป็นอะไรที่ต้องอาศัยข้อมูลมาดูกัน
รายงานจากสํานักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) โครงสร้างพื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ของสหรัฐยังอยู่อันดับ 1 ของโลก จีนเป็นอันดับ 10 แต่ถ้าดูโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีที่นําไปปฏิบัติได้สหรัฐเป็นอันดับ 6 ของโลก จีนเป็นอันดับ 10 ของโลกความสามารถด้านนวัตกรรมของจีนเข้ามาอยู่ใน Division เดียวกับสหรัฐแล้ว หลังจากที่เคยต่ํากว่ามากๆ ในปี 2020 สหรัฐเป็นหมายเลข 3 ของนวัตกรรม จีนเป็นอันดับที่ 14 ของโลกในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับบริษัทสหรัฐยังเหนือกว่า แต่ถ้ามาดูพื้นที่ในประเทศที่เป็นกลุ่มเมือง ที่ทําด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูง 10 อันดับแรกของโลก จะพบว่าอยู่ในจีน 3 แห่งคือ ปักกิ่งและในอาณาบริเวณรอบๆ, เซี่ยงไฮ้และในอาณาบริเวณรอบๆ และอีกแห่งหนึ่งที่พุ่งขึ้นมาเร็วมากๆ คือ เซินเจิน รวมถึงฮ่องกงและกวางโจวด้วย เทคโนโลยีที่จีนมีศักยภาพสูงมี (1) วิทยาศาสตร์กายภาพ (2) ไลฟ์สไตล์และไบโอเทคโนโลยี (3) ดิจิทัลและ Ai (4) AdiCouture (5) อิเล็กทรอนิกส์ (6) รถไฟ
รายงานจากสํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม วัดสมรรถนะของจีนและอเมริกาด้วยเนเจอร์อินเด็กซ์ ซึ่งเป็นของโลกตะวันตก วัดจากการตีพิมพ์ที่ปรากฏอยู่ในวารสารวิชาการและวิทยาศาสตร์ต่างๆ ที่มีความกว้าง และเป็นวารสารระดับนําของโลกตะวันตก ประการ 1. ประเทศใดเป็นประเทศที่นําหน้าที่สุดในด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีของโลก ในปี 2020 จะเห็นว่าสหรัฐนําเป็นอันดับ 1 จีนเป็นอันดับ 2 เยอรมันเป็นอันดับ 3 แต่ถ้าวัดด้วยหน่วยที่วัดเป็นเชิงปริมาณได้ ดูจากการตีพิมพ์สหรัฐก็นําจีนอยู่แต่ก็หายใจลดต้นคอ ส่วนจีนนําเยอรมัน 3 เท่า แต่ถ้าดูว่าสถาบันไหน มหาวิทยาลัยไหนที่นําหน้าของโลก ในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จะปรากฏว่าอันดับ 1 คือ Chinese Academy of Sciences ส่วนตอนนี้สถาบันใดที่เป็นดาวรุ่ง ในปี 2018-2019 คือ University of Chinese Academy of Sciences อันดับ 1 ของโลก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46604 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมือเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุปีใหม่ 65 เน้น “ไม่เมา สวมหมวก ใส่แมสก์” | วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564
สธ.จับมือเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุปีใหม่ 65 เน้น “ไม่เมา สวมหมวก ใส่แมสก์”
ระทรวงสาธารณสุขร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สสส. และมูลนิธิเมาไม่ขับ รณรงค์ลดอุบัติเหตุเทศกาลปีใหม่ 2565 ภายใต้แนวคิดชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สสส. และมูลนิธิเมาไม่ขับ รณรงค์ลดอุบัติเหตุเทศกาลปีใหม่ 2565 ภายใต้แนวคิดชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ “ขับไม่ดื่มดื่มไม่ขับ” เน้นมาตรการ “ไม่เมา สวมหมวก ใส่แมสก์” พร้อมร่วมตั้งด่านชุมชนคัดกรองคนเมาไม่ให้ออกขับรถบนถนน เตรียมความพร้อมทั้งหน่วยกู้ชีพ และสถานพยาบาล รองรับผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ และประสานตํารวจตรวจตราระงับเหตุทะเลาะวิวาทในสถานพยาบาล ดําเนินคดีผู้ก่อเหตุขั้นเด็ดขาด ขอความร่วมมือประชาชนแจ้งการกระทําผิดกฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
วันนี้ (27 ธันวาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พลตํารวจโท ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย
ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมแถลงข่าวชีวิตวิถีใหม่ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” โดยมีหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายอนุทิน กล่าวว่า ช่วงวันหยุดปีใหม่2564 (29 ธันวาคม 2563 - 4 มกราคม 2564) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,333 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 392 ราย ผู้บาดเจ็บ 3,326 คน สาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว 33.60% และดื่มแล้วขับ 33.06% ดังนั้น เทศกาลปีใหม่ 2565 ที่จะมาถึงนี้ ซึ่งประเทศไทยยังอยู่ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ขอให้ประชาชนยังคงเข้มงวดมาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย
หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง โดยคิดเสมอว่าตัวเราและคนที่อยู่รอบตัวอาจเป็นผู้ติดเชื้อ ส่วนการเดินทางกลับภูมิลําเนาหรือเดินทางท่องเที่ยว ขอให้ ยึดหลัก “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” และมาตรการไม่เมาหากไปงานเลี้ยงและต้องขับรถ ต้องงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้บริการรถโดยสารสาธารณะสวมหมวกสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งที่ขี่รถจักรยานยนต์ เพื่อลดความรุนแรงและป้องกันการเสียชีวิตจากการบาดเจ็บที่ศีรษะใส่แมสก์สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และสวมหน้ากากอนามัย 2 ชั้น เมื่อต้องเข้าแหล่งชุมชน ช่วยป้องกันการรับและแพร่เชื้อโควิด 19
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในการช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนได้ขอให้ อสม. ทั่วประเทศร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และท้องถิ่น ดูแลความปลอดภัยของประชาชนโดยประเมินอาการมึนเมา และคัดกรองผู้ขับขี่ที่ดื่มแล้วขับ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ออกไปขับรถบนถนน รวมทั้งให้ช่วยสอดส่องเฝ้าระวังร้านค้าในชุมชนไม่ให้ฝ่าฝืนกฎหมาย จําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกสถานที่และเวลาที่ห้ามจําหน่าย โดยเฉพาะห้ามจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กที่อายุต่ํากว่า 20 ปี นอกจากนี้ยังช่วยเคาะประตูบ้านสื่อสารความรู้ในการดูแล ป้องกันอุบัติเหตุไปถึงคนในชุมชน เพื่อลดอุบัติเหตุอีกทางหนึ่ง
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้สั่งการให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขทั้งส่วนกลางและจังหวัดเพื่อประสานและสนับสนุนการทํางานของศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน และให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด/ โรงพยาบาล ฝึกทักษะการช่วยเหลือผู้ป่วยบาดเจ็บและผู้ป่วยฉุกเฉินให้กับชุดปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้นของ อปท. เตรียมความพร้อมศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการทีมปฏิบัติการฉุกเฉิน (EMS) ของโรงพยาบาลและเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทุกระดับ รวมทั้งหน่วยปฏิบัติการทางอากาศและทางเรือมีหน่วยกู้ชีพ ทั้งระดับพื้นฐานและระดับสูงประจําบนเส้นทางถนนสายหลักที่มีจุดตรวจ/จุดบริการอยู่ห่างกันมาก เพื่อให้การรักษาพยาบาลเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่วนโรงพยาบาลทุกแห่งมีการเพิ่มจํานวนบุคลากรเป็น 120-130% เตรียมพร้อมห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ห้อง ICU และระบบส่งต่อ ให้บริการเจาะเลือดตรวจระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุตามที่ตํารวจร้องขอ นอกจากนี้ให้เตรียมป้องกันเหตุความรุนแรงในสถานพยาบาลโดยประสานตํารวจท้องที่ตรวจความเรียบร้อยเป็นระยะ หากมีผู้เข้ารับการรักษาจากเหตุทะเลาะวิวาท ให้ส่งกําลังพลมาเตรียมพร้อมระงับเหตุและดําเนินคดีกับผู้ก่อเหตุขั้นเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ผู้ป่วย และญาติ ที่มารับบริการ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ที่ผ่านมายังพบร้านค้ากระทําผิดทั้งการขายสุราในสถานที่ และเวลาที่ห้ามขาย รวมถึงขายให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี จึงได้เน้นย้ําให้หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทํางานเชิงรุกโดยช่วงก่อนเทศกาล จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกตรวจเตือน /ประชาสัมพันธ์การปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ และในช่วงเทศกาลให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการเพื่อป้องกันการกระทําผิดเกี่ยวกับการจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และขอให้ประชาชนช่วยสอดส่องดูแลหากพบการขายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ห้ามขายเช่นใน ปั๊มน้ํามัน สถานที่ราชการ สถานศึกษา สถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา สวนสาธารณะของทางราชการ รวมถึงขายในเวลาที่ห้ามขาย การเร่ขาย และการโฆษณาส่งเสริมการขายให้แจ้งศูนย์ร้องเรียนบุหรี่และสุรา สํานักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โทร 0 2590 3342 หรือสายด่วน 1422 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่2565 นี้ สสส. มีมาตรการสําคัญได้แก่ 1.สนับสนุนคณะทํางานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) 76 จังหวัด หนุนเสริมการทํางานลดอุบัติเหตุในระดับพื้นที่ 2.สนับสนุน “ตําบลขับขี่ปลอดภัย” กว่า 800 ตําบลทั่วประเทศ ทํางานเชิงรุกลดอุบัติเหตุ เน้นกลุ่มเสี่ยงคือผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 3.สนับสนุนเครือข่ายกองร้อยอาสาจราจร และเครือข่ายอาสาสมัคร ในพื้นที่ตํารวจภูธรภาค 4 เน้นการตั้งด่านชุมชนป้องปรามไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ และบูรณาการการเฝ้าระวังโควิด 19 และ 4.สื่อสารรณรงค์ภายใต้แคมเปญ “ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย” เตือนสตินักดื่มแล้วขับ ว่า “รับไหวหรือ? ปีใหม่นี้”
สสส. ชวนช่วยกันลดพฤติกรรมเสี่ยง ลดความสูญเสีย เพื่อให้ทุกคนได้ฉลองในเทศกาลปีใหม่นี้อย่างปลอดภัย
*********************************** 27 ธันวาคม 2564
************************************************************ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.จับมือเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุปีใหม่ 65 เน้น “ไม่เมา สวมหมวก ใส่แมสก์”
วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564
สธ.จับมือเครือข่ายรณรงค์ลดอุบัติเหตุปีใหม่ 65 เน้น “ไม่เมา สวมหมวก ใส่แมสก์”
ระทรวงสาธารณสุขร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สสส. และมูลนิธิเมาไม่ขับ รณรงค์ลดอุบัติเหตุเทศกาลปีใหม่ 2565 ภายใต้แนวคิดชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย
กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สสส. และมูลนิธิเมาไม่ขับ รณรงค์ลดอุบัติเหตุเทศกาลปีใหม่ 2565 ภายใต้แนวคิดชีวิตวิถีใหม่ ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ “ขับไม่ดื่มดื่มไม่ขับ” เน้นมาตรการ “ไม่เมา สวมหมวก ใส่แมสก์” พร้อมร่วมตั้งด่านชุมชนคัดกรองคนเมาไม่ให้ออกขับรถบนถนน เตรียมความพร้อมทั้งหน่วยกู้ชีพ และสถานพยาบาล รองรับผู้ป่วยจากอุบัติเหตุ และประสานตํารวจตรวจตราระงับเหตุทะเลาะวิวาทในสถานพยาบาล ดําเนินคดีผู้ก่อเหตุขั้นเด็ดขาด ขอความร่วมมือประชาชนแจ้งการกระทําผิดกฎหมายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
วันนี้ (27 ธันวาคม 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรคนายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พลตํารวจโท ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย
ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมแถลงข่าวชีวิตวิถีใหม่ขับขี่อย่างปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุ “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” โดยมีหน่วยงาน องค์กรที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
นายอนุทิน กล่าวว่า ช่วงวันหยุดปีใหม่2564 (29 ธันวาคม 2563 - 4 มกราคม 2564) เกิดอุบัติเหตุรวม 3,333 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 392 ราย ผู้บาดเจ็บ 3,326 คน สาเหตุที่ทําให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว 33.60% และดื่มแล้วขับ 33.06% ดังนั้น เทศกาลปีใหม่ 2565 ที่จะมาถึงนี้ ซึ่งประเทศไทยยังอยู่ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ขอให้ประชาชนยังคงเข้มงวดมาตรการป้องกันตนเอง สวมหน้ากากอนามัย
หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง โดยคิดเสมอว่าตัวเราและคนที่อยู่รอบตัวอาจเป็นผู้ติดเชื้อ ส่วนการเดินทางกลับภูมิลําเนาหรือเดินทางท่องเที่ยว ขอให้ ยึดหลัก “ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ” และมาตรการไม่เมาหากไปงานเลี้ยงและต้องขับรถ ต้องงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือใช้บริการรถโดยสารสาธารณะสวมหมวกสวมหมวกนิรภัยทุกครั้งที่ขี่รถจักรยานยนต์ เพื่อลดความรุนแรงและป้องกันการเสียชีวิตจากการบาดเจ็บที่ศีรษะใส่แมสก์สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และสวมหน้ากากอนามัย 2 ชั้น เมื่อต้องเข้าแหล่งชุมชน ช่วยป้องกันการรับและแพร่เชื้อโควิด 19
ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในการช่วยลดอุบัติเหตุทางถนนได้ขอให้ อสม. ทั่วประเทศร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และท้องถิ่น ดูแลความปลอดภัยของประชาชนโดยประเมินอาการมึนเมา และคัดกรองผู้ขับขี่ที่ดื่มแล้วขับ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ออกไปขับรถบนถนน รวมทั้งให้ช่วยสอดส่องเฝ้าระวังร้านค้าในชุมชนไม่ให้ฝ่าฝืนกฎหมาย จําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกสถานที่และเวลาที่ห้ามจําหน่าย โดยเฉพาะห้ามจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เด็กที่อายุต่ํากว่า 20 ปี นอกจากนี้ยังช่วยเคาะประตูบ้านสื่อสารความรู้ในการดูแล ป้องกันอุบัติเหตุไปถึงคนในชุมชน เพื่อลดอุบัติเหตุอีกทางหนึ่ง
นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ได้สั่งการให้เปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขทั้งส่วนกลางและจังหวัดเพื่อประสานและสนับสนุนการทํางานของศูนย์อํานวยการความปลอดภัยทางถนน และให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด/ โรงพยาบาล ฝึกทักษะการช่วยเหลือผู้ป่วยบาดเจ็บและผู้ป่วยฉุกเฉินให้กับชุดปฏิบัติการฉุกเฉินเบื้องต้นของ อปท. เตรียมความพร้อมศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการทีมปฏิบัติการฉุกเฉิน (EMS) ของโรงพยาบาลและเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทุกระดับ รวมทั้งหน่วยปฏิบัติการทางอากาศและทางเรือมีหน่วยกู้ชีพ ทั้งระดับพื้นฐานและระดับสูงประจําบนเส้นทางถนนสายหลักที่มีจุดตรวจ/จุดบริการอยู่ห่างกันมาก เพื่อให้การรักษาพยาบาลเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่วนโรงพยาบาลทุกแห่งมีการเพิ่มจํานวนบุคลากรเป็น 120-130% เตรียมพร้อมห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ห้อง ICU และระบบส่งต่อ ให้บริการเจาะเลือดตรวจระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ที่เกิดอุบัติเหตุตามที่ตํารวจร้องขอ นอกจากนี้ให้เตรียมป้องกันเหตุความรุนแรงในสถานพยาบาลโดยประสานตํารวจท้องที่ตรวจความเรียบร้อยเป็นระยะ หากมีผู้เข้ารับการรักษาจากเหตุทะเลาะวิวาท ให้ส่งกําลังพลมาเตรียมพร้อมระงับเหตุและดําเนินคดีกับผู้ก่อเหตุขั้นเด็ดขาด เพื่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ ผู้ป่วย และญาติ ที่มารับบริการ
นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ที่ผ่านมายังพบร้านค้ากระทําผิดทั้งการขายสุราในสถานที่ และเวลาที่ห้ามขาย รวมถึงขายให้เด็กอายุต่ํากว่า 20 ปี จึงได้เน้นย้ําให้หน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ทํางานเชิงรุกโดยช่วงก่อนเทศกาล จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกตรวจเตือน /ประชาสัมพันธ์การปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฯ และในช่วงเทศกาลให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมทั้งได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการเพื่อป้องกันการกระทําผิดเกี่ยวกับการจําหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และขอให้ประชาชนช่วยสอดส่องดูแลหากพบการขายและดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ห้ามขายเช่นใน ปั๊มน้ํามัน สถานที่ราชการ สถานศึกษา สถานที่ปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา สวนสาธารณะของทางราชการ รวมถึงขายในเวลาที่ห้ามขาย การเร่ขาย และการโฆษณาส่งเสริมการขายให้แจ้งศูนย์ร้องเรียนบุหรี่และสุรา สํานักงานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ โทร 0 2590 3342 หรือสายด่วน 1422 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การป้องกันอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่2565 นี้ สสส. มีมาตรการสําคัญได้แก่ 1.สนับสนุนคณะทํางานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) 76 จังหวัด หนุนเสริมการทํางานลดอุบัติเหตุในระดับพื้นที่ 2.สนับสนุน “ตําบลขับขี่ปลอดภัย” กว่า 800 ตําบลทั่วประเทศ ทํางานเชิงรุกลดอุบัติเหตุ เน้นกลุ่มเสี่ยงคือผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 3.สนับสนุนเครือข่ายกองร้อยอาสาจราจร และเครือข่ายอาสาสมัคร ในพื้นที่ตํารวจภูธรภาค 4 เน้นการตั้งด่านชุมชนป้องปรามไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ และบูรณาการการเฝ้าระวังโควิด 19 และ 4.สื่อสารรณรงค์ภายใต้แคมเปญ “ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย” เตือนสตินักดื่มแล้วขับ ว่า “รับไหวหรือ? ปีใหม่นี้”
สสส. ชวนช่วยกันลดพฤติกรรมเสี่ยง ลดความสูญเสีย เพื่อให้ทุกคนได้ฉลองในเทศกาลปีใหม่นี้อย่างปลอดภัย
*********************************** 27 ธันวาคม 2564
************************************************************ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49928 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” ปลื้มนายกฯ อุดหนุนผลไม้ช่วยเกษตรกรในสถานการณ์โควิด-19 | วันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564
“เฉลิมชัย” ปลื้มนายกฯ อุดหนุนผลไม้ช่วยเกษตรกรในสถานการณ์โควิด-19
รมว. เฉลิมชัย เผยเร่งเดินหน้าโครงการ “เกษตรกร Happy” ประสานไปรษณีย์และผู้ประกอบการเอกชน ขนส่งผลไม้ภาคใต้สู่ผู้บริโภคโดยตรง ปลื้มใจนายกรัฐมนตรีอุดหนุนผลไม้ช่วยเกษตรกรและส่งมอบให้บุคลากรด่านหน้า ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19
รมว. เฉลิมชัยเผยเร่งเดินหน้าโครงการ “เกษตรกรHappy”ประสานไปรษณีย์และผู้ประกอบการเอกชน ขนส่งผลไม้ภาคใต้สู่ผู้บริโภคโดยตรง ปลื้มใจนายกรัฐมนตรีอุดหนุนผลไม้ช่วยเกษตรกรและส่งมอบให้บุคลากรด่านหน้า ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้กล่าวว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดทําโครงการ “เกษตรกรHappy”โดย ขอความร่วมมือไปยังบริษัท ไปรษณีย์ไทยเปิดให้บริการเป็นกรณีพิเศษเร่งด่วนพร้อมกัน 105 สาขาใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนให้นําส่งผลไม้จากเกษตรกรถึงผู้รับในพื้นที่สีแดงทุกพื้นที่ ซึ่งได้รับการยืนยันว่า บริษัท ไปรษณีย์ไทยจะเร่งกําชับไปรษณีย์ทุกสาขาดําเนินการตามข้อเสนอ แต่การจัดส่งอาจช้ากว่าปกติ 1 วันเพราะต้องใช้สาขาปลายทางที่อยู่นอกพื้นที่สีแดงผลัดเวรกันส่งเนื่องจากก่อนหน้านี้พนักงานสบางคนของสาขาในพื้นที่สีแดงติดโควิด-19 โดยไปรษณีย์ไทยจะทําหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อช่วยชาวสวน ซึ่งขอขอบคุณบริษัทไปรษณีย์ไทยและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่ร่วมมือ นอกจากนี้ได้ขอความร่วมมือไปยังบริษัทเคอรรี่ ซึ่งตกลงที่จะเปิดบริการอีกครั้งเช่นกัน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 เนื่องจากระบบขนส่งเป็นกลไกสําคัญในการค้าขายและระบายผลไม้ออกจากแหล่งผลิตทั้งการค้าแบบออฟไลน์และออนไลน์
ทั้งนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมห่วงใยเกษตรกร โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯประสานกับหน่วยงานต่างๆ ช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งเมื่อวานนี้นายกฯ ซื้อผลไม้ทั้งมังคุดภาคใต้และลําไยภาคเหนือ แล้วส่งมอบเป็นกําลังใจไปให้กับเจ้าหน้าที่และจิตอาสาด่านหน้าด้วย
นายเฉลิมชัยกล่าวต่อว่า มอบหมายให้นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารมว. เกษตรฯ เดินทางไปภาคใต้เพื่อช่วยแก้ไขขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และปัญหาการขาดแคลนแรงงานรวมทั้งการขอความร่วมมือผู้ประกอบการค้าผลไม้(ล้ง)ทั้งค้าภายในและส่งออกให้ลงมาซื้อมังคุดด้วยมาตรการที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องทําให้สถานการณ์เริ่มกระเตื้องขึ้น เช่นจังหวัดนครศรีธรรมราชมีล้งเข้ามาซื้อขายมังคุดและผลไม้เพิ่มขึ้นจาก 40 ล้งเป็น 146 ล้ง นอกจากนี้สมาคมผู้ส่งออกทุเรียนมังคุดแจ้งว่า สามารถจองตู้คอนเทนเนอร์ที่จะส่งออกผลไม้ทางเรือได้แล้วตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคมซึ่งจะทําให้ลดการขนส่งทางรถไปประเทศจีนที่แออัดติดขัดที่ด่านโหยวอี้กวนและด่านโมฮ่านมีผล จนทําให้ตู้คอนเทนเนอร์หมุนกลับมาภาคใต้ไม่ทันนั้นดีขึ้น หากตู้คอนเทนเนอร์ทยอยกลับมาขนมังคุดได้มากขึ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้า จะทําให้การซื้อขายเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อราคาที่จะขยับตัวสูงขึ้น
“ขอให้คนไทยช่วยกันอุดหนุนผลไม้ไทย ผ่านfacebook :Thailandpostmartและเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทยwww.Thailandpostmart.comได้แก่ มังคุด จ.นครศรีธรรมราช เงาะ จ.สุราษฎร์ธานี และลําไย จ.พะเยา ด้วยการการตลาดแบบใหม่ใช้ช่องทางLine My ShopและQR Codeให้ผู้ซื้อ/ลูกค้า ทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลไม้และราคาที่นํามาขายและสามารถสแกนซื้อที่QR Codeของโครงการได้เลย โดยกระทรวงพาณิชย์จะสนับสนุนค่าขนส่งและค่ากล่องให้กับประชาชนที่สั่งซื้อผลไม้ออนไลน์ผ่านThailandpostmartของไปรษณีย์ซึ่งไปรษณีย์ไทยจัดส่งให้ฟรีทั่วไทยด้วย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร นอกจากนี้อาจส่งมอบแก่บุคลากรด่านหน้าเพื่อเป็นกําลังใจด้วย”นายเฉลิมชัยกล่าว
นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า จากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงมาตรการป้องกันและควบคุมเชื้อโรคของประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกมังคุดและผลไม้อื่น ๆ ของไทย ที่เกิดจากปัญหาการขนส่งล่าช้า การขาดแคลนตู้คอนเทรนเนอร์และตะกร้าใส่ผลไม้ รวมทั้งปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าพื้นที่ที่ทําได้ยาก การขาดแคลนแรงงาน และตะกร้ามีไม่พอเช่นกัน ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งระดับนโยบายและระดับพื้นที่ เร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน กระทรวงพาณิชย์มีแนวทางมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยกระจายมังคุดในประเทศ
1. เชื่อมโยงและกระจายมังคุดออกนอกแหล่งผลิตโดยสนับสนุนค่าบริหารจัดการแก่ศูนย์กระจายในจังหวัดแหล่งผลิตกิโลกรัมละ 3 บาทซึ่งกรมการค้าภายในโอนเงินให้จังหวัดดําเนินการจํานวน 50,850,000 บาทตามที่ฟรุ้มบอร์ดอนุมัติเพื่อกระจายมังคุดจํานวน 16,950 ตันออกนอกแหล่งผลิตอย่างเร่งด่วน
2. สนับสนุนค่าขนส่งสําหรับผลไม้ที่ส่งผ่านไปรษณีย์กรมการค้าภายในร่วมกับบริษัทไปรษณีย์ไทยสนับสนุนกล่องไปรษณีย์และสติกเกอร์ส่งฟรีผลไม้ทั่วประเทศส่งเสริมการขายผ่านออนไลน์แก่เกษตรกรรายย่อยจํานวน 20,000 กล่องกล่องละ 10 กิโลกรัมเพื่อช่วยกระจายผลเม้ 2000 ตันโดยได้จัดส่งกล่องพร้อมสติกเกอร์ให้จังหวัดต่างๆ แล้ว
3. เชื่อมโยงผู้รับซื้อของกรมการค้าภายในให้ช่วยเร่งระบายมังคุดเกรดรองหรือตกเกรดออกจากแหล่งผลิตโดยเร่งด่วน กรณีเกิดปัญหาระบายมังคุดไม่ทันในบางพื้นที่. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เฉลิมชัย” ปลื้มนายกฯ อุดหนุนผลไม้ช่วยเกษตรกรในสถานการณ์โควิด-19
วันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564
“เฉลิมชัย” ปลื้มนายกฯ อุดหนุนผลไม้ช่วยเกษตรกรในสถานการณ์โควิด-19
รมว. เฉลิมชัย เผยเร่งเดินหน้าโครงการ “เกษตรกร Happy” ประสานไปรษณีย์และผู้ประกอบการเอกชน ขนส่งผลไม้ภาคใต้สู่ผู้บริโภคโดยตรง ปลื้มใจนายกรัฐมนตรีอุดหนุนผลไม้ช่วยเกษตรกรและส่งมอบให้บุคลากรด่านหน้า ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19
รมว. เฉลิมชัยเผยเร่งเดินหน้าโครงการ “เกษตรกรHappy”ประสานไปรษณีย์และผู้ประกอบการเอกชน ขนส่งผลไม้ภาคใต้สู่ผู้บริโภคโดยตรง ปลื้มใจนายกรัฐมนตรีอุดหนุนผลไม้ช่วยเกษตรกรและส่งมอบให้บุคลากรด่านหน้า ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19
นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้กล่าวว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์จัดทําโครงการ “เกษตรกรHappy”โดย ขอความร่วมมือไปยังบริษัท ไปรษณีย์ไทยเปิดให้บริการเป็นกรณีพิเศษเร่งด่วนพร้อมกัน 105 สาขาใน 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบนให้นําส่งผลไม้จากเกษตรกรถึงผู้รับในพื้นที่สีแดงทุกพื้นที่ ซึ่งได้รับการยืนยันว่า บริษัท ไปรษณีย์ไทยจะเร่งกําชับไปรษณีย์ทุกสาขาดําเนินการตามข้อเสนอ แต่การจัดส่งอาจช้ากว่าปกติ 1 วันเพราะต้องใช้สาขาปลายทางที่อยู่นอกพื้นที่สีแดงผลัดเวรกันส่งเนื่องจากก่อนหน้านี้พนักงานสบางคนของสาขาในพื้นที่สีแดงติดโควิด-19 โดยไปรษณีย์ไทยจะทําหน้าที่ให้ดีที่สุดเพื่อช่วยชาวสวน ซึ่งขอขอบคุณบริษัทไปรษณีย์ไทยและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่ร่วมมือ นอกจากนี้ได้ขอความร่วมมือไปยังบริษัทเคอรรี่ ซึ่งตกลงที่จะเปิดบริการอีกครั้งเช่นกัน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด19 เนื่องจากระบบขนส่งเป็นกลไกสําคัญในการค้าขายและระบายผลไม้ออกจากแหล่งผลิตทั้งการค้าแบบออฟไลน์และออนไลน์
ทั้งนี้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมห่วงใยเกษตรกร โดยมอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯประสานกับหน่วยงานต่างๆ ช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งเมื่อวานนี้นายกฯ ซื้อผลไม้ทั้งมังคุดภาคใต้และลําไยภาคเหนือ แล้วส่งมอบเป็นกําลังใจไปให้กับเจ้าหน้าที่และจิตอาสาด่านหน้าด้วย
นายเฉลิมชัยกล่าวต่อว่า มอบหมายให้นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารมว. เกษตรฯ เดินทางไปภาคใต้เพื่อช่วยแก้ไขขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์และปัญหาการขาดแคลนแรงงานรวมทั้งการขอความร่วมมือผู้ประกอบการค้าผลไม้(ล้ง)ทั้งค้าภายในและส่งออกให้ลงมาซื้อมังคุดด้วยมาตรการที่ยืดหยุ่นมากขึ้น โดยประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องทําให้สถานการณ์เริ่มกระเตื้องขึ้น เช่นจังหวัดนครศรีธรรมราชมีล้งเข้ามาซื้อขายมังคุดและผลไม้เพิ่มขึ้นจาก 40 ล้งเป็น 146 ล้ง นอกจากนี้สมาคมผู้ส่งออกทุเรียนมังคุดแจ้งว่า สามารถจองตู้คอนเทนเนอร์ที่จะส่งออกผลไม้ทางเรือได้แล้วตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคมซึ่งจะทําให้ลดการขนส่งทางรถไปประเทศจีนที่แออัดติดขัดที่ด่านโหยวอี้กวนและด่านโมฮ่านมีผล จนทําให้ตู้คอนเทนเนอร์หมุนกลับมาภาคใต้ไม่ทันนั้นดีขึ้น หากตู้คอนเทนเนอร์ทยอยกลับมาขนมังคุดได้มากขึ้นภายในไม่กี่วันข้างหน้า จะทําให้การซื้อขายเพิ่มขึ้นและส่งผลต่อราคาที่จะขยับตัวสูงขึ้น
“ขอให้คนไทยช่วยกันอุดหนุนผลไม้ไทย ผ่านfacebook :Thailandpostmartและเว็บไซต์ของไปรษณีย์ไทยwww.Thailandpostmart.comได้แก่ มังคุด จ.นครศรีธรรมราช เงาะ จ.สุราษฎร์ธานี และลําไย จ.พะเยา ด้วยการการตลาดแบบใหม่ใช้ช่องทางLine My ShopและQR Codeให้ผู้ซื้อ/ลูกค้า ทราบข้อมูลเกี่ยวกับผลไม้และราคาที่นํามาขายและสามารถสแกนซื้อที่QR Codeของโครงการได้เลย โดยกระทรวงพาณิชย์จะสนับสนุนค่าขนส่งและค่ากล่องให้กับประชาชนที่สั่งซื้อผลไม้ออนไลน์ผ่านThailandpostmartของไปรษณีย์ซึ่งไปรษณีย์ไทยจัดส่งให้ฟรีทั่วไทยด้วย ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเกษตรกร นอกจากนี้อาจส่งมอบแก่บุคลากรด่านหน้าเพื่อเป็นกําลังใจด้วย”นายเฉลิมชัยกล่าว
นายสินิตย์ เลิศไกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวว่า จากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงมาตรการป้องกันและควบคุมเชื้อโรคของประเทศคู่ค้าโดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกมังคุดและผลไม้อื่น ๆ ของไทย ที่เกิดจากปัญหาการขนส่งล่าช้า การขาดแคลนตู้คอนเทรนเนอร์และตะกร้าใส่ผลไม้ รวมทั้งปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าพื้นที่ที่ทําได้ยาก การขาดแคลนแรงงาน และตะกร้ามีไม่พอเช่นกัน ซึ่งหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งระดับนโยบายและระดับพื้นที่ เร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน กระทรวงพาณิชย์มีแนวทางมาตรการเร่งด่วนเพื่อช่วยกระจายมังคุดในประเทศ
1. เชื่อมโยงและกระจายมังคุดออกนอกแหล่งผลิตโดยสนับสนุนค่าบริหารจัดการแก่ศูนย์กระจายในจังหวัดแหล่งผลิตกิโลกรัมละ 3 บาทซึ่งกรมการค้าภายในโอนเงินให้จังหวัดดําเนินการจํานวน 50,850,000 บาทตามที่ฟรุ้มบอร์ดอนุมัติเพื่อกระจายมังคุดจํานวน 16,950 ตันออกนอกแหล่งผลิตอย่างเร่งด่วน
2. สนับสนุนค่าขนส่งสําหรับผลไม้ที่ส่งผ่านไปรษณีย์กรมการค้าภายในร่วมกับบริษัทไปรษณีย์ไทยสนับสนุนกล่องไปรษณีย์และสติกเกอร์ส่งฟรีผลไม้ทั่วประเทศส่งเสริมการขายผ่านออนไลน์แก่เกษตรกรรายย่อยจํานวน 20,000 กล่องกล่องละ 10 กิโลกรัมเพื่อช่วยกระจายผลเม้ 2000 ตันโดยได้จัดส่งกล่องพร้อมสติกเกอร์ให้จังหวัดต่างๆ แล้ว
3. เชื่อมโยงผู้รับซื้อของกรมการค้าภายในให้ช่วยเร่งระบายมังคุดเกรดรองหรือตกเกรดออกจากแหล่งผลิตโดยเร่งด่วน กรณีเกิดปัญหาระบายมังคุดไม่ทันในบางพื้นที่. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44434 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การใช้สิทธิมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 วันแรก | วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565
การใช้สิทธิมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 วันแรก
โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ได้เปิดให้ประชาชนใช้จ่ายวันแรก เมื่อวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งพบว่าในการใช้จ่ายวันแรก ณ เวลา 16.00 น. มีผู้ใช้สิทธิทุกโครงการรวม 5.44 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายรวม ทั้งหมด 1,132.44 ล้านบาท
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 ซึ่งประกอบด้วย โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ได้เปิดให้ประชาชนใช้จ่ายวันแรก เมื่อวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งพบว่าในการใช้จ่ายวันแรก ณ เวลา 16.00 น. มีผู้ใช้สิทธิทุกโครงการรวม 5.44 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายรวม ทั้งหมด 1,132.44 ล้านบาท โดยสรุปผลการใช้จ่ายได้ ดังนี้
1. โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิจํานวน 2.89 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 573.54 ล้านบาท
2. โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 มีผู้ใช้สิทธิจํานวน 1.47 แสนราย มียอดการใช้จ่ายรวม 57.66 ล้านบาท
3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิจํานวน 2.4 ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายรวม 501.24 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 253.43 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 247.81 ล้านบาท โดยมีประชาชนที่กดยืนยันเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 แล้ว จํานวน 16.93 ล้านราย
ทั้งนี้ ประชาชนผู้เคยได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 สามารถกดยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ทันทีหลังการกดยืนยันสิทธิเรียบร้อยแล้ว และในส่วนของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 จะสามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือ ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ได้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 จนกว่าจะครบจํานวนประมาณ 1 ล้านสิทธิ โดยสามารถเริ่มใช้จ่ายวันแรกในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2565 โดยสามารถตรวจสอบร้านค้าที่เข้าร่วมแต่ละโครงการได้ที่ www.คนละครึ่ง.com
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 08-5842-7102 , 08-5842-7103, 08-5842-7104 ,08-5842-7105
08-5842-7106, 08-5842-7107, 08-5842-7108 , 08-5842-7109 (เวลาทําการ 08.30 – 16.30 น.)
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ halfhalf@fpo.go.th
ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง) | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การใช้สิทธิมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 วันแรก
วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565
การใช้สิทธิมาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 วันแรก
โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ได้เปิดให้ประชาชนใช้จ่ายวันแรก เมื่อวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งพบว่าในการใช้จ่ายวันแรก ณ เวลา 16.00 น. มีผู้ใช้สิทธิทุกโครงการรวม 5.44 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายรวม ทั้งหมด 1,132.44 ล้านบาท
นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 ซึ่งประกอบด้วย โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 และโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ได้เปิดให้ประชาชนใช้จ่ายวันแรก เมื่อวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ซึ่งพบว่าในการใช้จ่ายวันแรก ณ เวลา 16.00 น. มีผู้ใช้สิทธิทุกโครงการรวม 5.44 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายรวม ทั้งหมด 1,132.44 ล้านบาท โดยสรุปผลการใช้จ่ายได้ ดังนี้
1. โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิจํานวน 2.89 ล้านราย มียอดการใช้จ่ายรวม 573.54 ล้านบาท
2. โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 มีผู้ใช้สิทธิจํานวน 1.47 แสนราย มียอดการใช้จ่ายรวม 57.66 ล้านบาท
3. โครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 มีผู้ใช้สิทธิจํานวน 2.4 ล้านราย โดยมียอดการใช้จ่ายรวม 501.24 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 253.43 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 247.81 ล้านบาท โดยมีประชาชนที่กดยืนยันเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 แล้ว จํานวน 16.93 ล้านราย
ทั้งนี้ ประชาชนผู้เคยได้รับสิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 สามารถกดยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” และสามารถเริ่มใช้จ่ายได้ทันทีหลังการกดยืนยันสิทธิเรียบร้อยแล้ว และในส่วนของประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 จะสามารถลงทะเบียนผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” หรือ ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ได้ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 จนกว่าจะครบจํานวนประมาณ 1 ล้านสิทธิ โดยสามารถเริ่มใช้จ่ายวันแรกในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 ประชาชนสามารถใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2565 โดยสามารถตรวจสอบร้านค้าที่เข้าร่วมแต่ละโครงการได้ที่ www.คนละครึ่ง.com
สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง
โทร. 08-5842-7102 , 08-5842-7103, 08-5842-7104 ,08-5842-7105
08-5842-7106, 08-5842-7107, 08-5842-7108 , 08-5842-7109 (เวลาทําการ 08.30 – 16.30 น.)
ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ halfhalf@fpo.go.th
ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง) | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51151 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน ห่วงลูกจ้าง นายจ้าง หยุดกิจการชั่วคราวเหตุน้ำท่วม ปฏิบัติตามมาตรา 75 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานได้ | วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564
แรงงาน ห่วงลูกจ้าง นายจ้าง หยุดกิจการชั่วคราวเหตุน้ําท่วม ปฏิบัติตามมาตรา 75 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานได้
ก.แรงงานห่วงใยทั้งลูกจ้าง นายจ้าง ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย สปก.ต้องหยุดการผลิตหรือการให้บริการชั่วคราว นายจ้างสามารถจ่ายเงินให้ลูกจ้างในระหว่างที่ไม่ให้ลูกจ้างทํางานไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และลูกจ้างสามารถไปทํางานกับนายจ้างอื่นเพื่อหารายได้เพิ่มเติมได้
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ได้ส่งผลกระทบต่อการดําเนินธุรกิจของนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการ และลูกจ้าง จนทําให้สถานประกอบกิจการบางแห่งจําเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนชั่วคราว ผลกระทบดังกล่าวพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกํากับดูแลของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความห่วงใย กําชับให้กระทรวงแรงงานเข้าไปให้ความช่วยเหลือ โดยได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานลงพื้นที่สํารวจสถานประกอบกิจการที่เกิดผลกระทบจากอุทกภัย ชี้แจง แนะนํา ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งหากสถานประกอบกิจการที่เครื่องจักร อุปกรณ์ ฯลฯ ได้รับความเสียหาย ระหว่างน้ําท่วมขังหรือภายหลังน้ําลดนายจ้างมีความจําเป็นต้องหยุดการผลิตหรือหยุดการให้บริการ นายจ้างสามารถหยุดกิจการชั่วคราวทั้งหมดหรือบางส่วนได้ โดยจ่ายเงินให้ลูกจ้างในระหว่างที่ไม่ให้ลูกจ้างทํางานไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ทั้งนี้ในระหว่างที่สถานประกอบกิจการหยุดกิจการชั่วคราวลูกจ้างสามารถไปทํางานกับนายจ้างอื่นเพื่อหารายได้เพิ่มเติมได้
นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกล่าวเพิ่มเติมว่า ระหว่างการใช้สิทธิหยุดกิจการชั่วคราวเพราะเหตุจําเป็นซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัย ตามมาตรา 75 แห่ง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน โดยจ่ายเงินไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ให้กับลูกจ้างนั้น แม้นายจ้างมิได้มอบหมายงานให้ทํา และลูกจ้างยังเป็นลูกจ้างในระหว่างหยุดกิจการก็ตาม แต่มาตรา 75 ไม่ได้บัญญัติห้ามไม่ให้ลูกจ้างไปทํางานกับนายจ้างรายอื่นในระหว่างหยุดกิจการ ดังนั้น ลูกจ้างจึงมีสิทธิไปทํางานกับนายจ้างรายอื่นเพื่อหารายได้เพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตาม หากนายจ้างมีสัญญาหรือข้อบังคับห้ามลูกจ้างมิให้ทํางานกับนายจ้างรายอื่นซึ่งเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของนายจ้าง ในระหว่างยังเป็นลูกจ้าง สัญญาหรือข้อตกลงเช่นนี้ ยังคงบังคับได้ เมื่อลูกจ้างทําผิดสัญญาหรือข้อตกลง ลูกจ้างอาจจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการทําผิดสัญญาให้นายจ้าง แต่ถ้านายจ้างไม่มีข้อตกลงหรือสัญญาห้ามไว้แล้วลูกจ้างไปทํางานกับนายจ้างรายอื่นระหว่างหยุดกิจการชั่วคราว แล้วนายจ้างนําเหตุดังกล่าวมาเลิกจ้าง | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน ห่วงลูกจ้าง นายจ้าง หยุดกิจการชั่วคราวเหตุน้ำท่วม ปฏิบัติตามมาตรา 75 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานได้
วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564
แรงงาน ห่วงลูกจ้าง นายจ้าง หยุดกิจการชั่วคราวเหตุน้ําท่วม ปฏิบัติตามมาตรา 75 พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานได้
ก.แรงงานห่วงใยทั้งลูกจ้าง นายจ้าง ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย สปก.ต้องหยุดการผลิตหรือการให้บริการชั่วคราว นายจ้างสามารถจ่ายเงินให้ลูกจ้างในระหว่างที่ไม่ให้ลูกจ้างทํางานไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 และลูกจ้างสามารถไปทํางานกับนายจ้างอื่นเพื่อหารายได้เพิ่มเติมได้
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้างในหลายพื้นที่ได้ส่งผลกระทบต่อการดําเนินธุรกิจของนายจ้าง เจ้าของสถานประกอบกิจการ และลูกจ้าง จนทําให้สถานประกอบกิจการบางแห่งจําเป็นต้องหยุดกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนชั่วคราว ผลกระทบดังกล่าวพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกํากับดูแลของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้ให้ความห่วงใย กําชับให้กระทรวงแรงงานเข้าไปให้ความช่วยเหลือ โดยได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานลงพื้นที่สํารวจสถานประกอบกิจการที่เกิดผลกระทบจากอุทกภัย ชี้แจง แนะนํา ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งหากสถานประกอบกิจการที่เครื่องจักร อุปกรณ์ ฯลฯ ได้รับความเสียหาย ระหว่างน้ําท่วมขังหรือภายหลังน้ําลดนายจ้างมีความจําเป็นต้องหยุดการผลิตหรือหยุดการให้บริการ นายจ้างสามารถหยุดกิจการชั่วคราวทั้งหมดหรือบางส่วนได้ โดยจ่ายเงินให้ลูกจ้างในระหว่างที่ไม่ให้ลูกจ้างทํางานไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ทั้งนี้ในระหว่างที่สถานประกอบกิจการหยุดกิจการชั่วคราวลูกจ้างสามารถไปทํางานกับนายจ้างอื่นเพื่อหารายได้เพิ่มเติมได้
นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกล่าวเพิ่มเติมว่า ระหว่างการใช้สิทธิหยุดกิจการชั่วคราวเพราะเหตุจําเป็นซึ่งมิใช่เหตุสุดวิสัย ตามมาตรา 75 แห่ง พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน โดยจ่ายเงินไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ให้กับลูกจ้างนั้น แม้นายจ้างมิได้มอบหมายงานให้ทํา และลูกจ้างยังเป็นลูกจ้างในระหว่างหยุดกิจการก็ตาม แต่มาตรา 75 ไม่ได้บัญญัติห้ามไม่ให้ลูกจ้างไปทํางานกับนายจ้างรายอื่นในระหว่างหยุดกิจการ ดังนั้น ลูกจ้างจึงมีสิทธิไปทํางานกับนายจ้างรายอื่นเพื่อหารายได้เพิ่มเติมได้ อย่างไรก็ตาม หากนายจ้างมีสัญญาหรือข้อบังคับห้ามลูกจ้างมิให้ทํางานกับนายจ้างรายอื่นซึ่งเป็นคู่แข่งทางธุรกิจของนายจ้าง ในระหว่างยังเป็นลูกจ้าง สัญญาหรือข้อตกลงเช่นนี้ ยังคงบังคับได้ เมื่อลูกจ้างทําผิดสัญญาหรือข้อตกลง ลูกจ้างอาจจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากการทําผิดสัญญาให้นายจ้าง แต่ถ้านายจ้างไม่มีข้อตกลงหรือสัญญาห้ามไว้แล้วลูกจ้างไปทํางานกับนายจ้างรายอื่นระหว่างหยุดกิจการชั่วคราว แล้วนายจ้างนําเหตุดังกล่าวมาเลิกจ้าง | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47094 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ไม่พบการระบาดในเรือนจำแห่งใหม่เพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาหายแล้วกว่า 96.4% | วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565
ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ไม่พบการระบาดในเรือนจําแห่งใหม่เพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาหายแล้วกว่า 96.4%
ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ไม่พบการระบาดในเรือนจําแห่งใหม่เพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาหายแล้วกว่า 96.4%
ในวันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 14.00 น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ COVID-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 7/2565 โดยมี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษก ศบค.ยธ. เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจํา/ทัณฑสถานวันนี้ ไม่พบเรือนจําระบาดใหม่เพิ่ม จึงมีเรือนจําสีขาว 127 แห่ง และเรือนจําสีแดง 15 แห่ง โดยเรือนจําสีแดงส่วนหนึ่งสามารถลดการระบาดและอยู่ในแผนสิ้นสุดการระบาดของโรค (แผน EXIT) รวม 6 แห่ง คือ เรือนจําจังหวัดอุทัยธานี เรือนจําอําเภอแม่สะเรียง ทัณฑสถานบําบัดพิเศษขอนแก่น เรือนจําอําเภอหลังสวน เรือนจําจังหวัดระนอง และเรือนจําจังหวัดหนองคาย ซึ่งจะทยอยพ้นจากการระบาดอย่างต่อเนื่องในเร็ว ๆ นี้
ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ พบเพิ่ม 98 ราย เป็นการพบในห้องแยกกักโรค 43 ราย และพบในเรือนจําสีแดง 55 ราย จึงมีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ทั้งสิ้น 942 ราย เป็นกลุ่มสีเขียว 89.8% กลุ่มสีเหลือง 10% และกลุ่มสีแดง 0.2% มีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 86,164 ราย หรือ 96.4% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 89,601 ราย โดยไม่มีรายงานการเสียชีวิตติดต่อกันเป็นวันที่ 15 จึงมีผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 190 ราย หรือ 0.21% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด
นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุม ศบค.ยธ. โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมวันนี้ พบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโดยทั่วไปยังคงที่ สามารถดูแลและรักษาผู้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่การดําเนินการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังนั้นปัจจุบันมีผู้ต้องขังที่ยังอยู่ในเรือนจําและทัณฑสถานได้รับการฉีดวัคซีนจนครบโดสแล้ว จํานวน 249,211 ราย หรือคิดเป็น 91.36% ของจํานวนผู้ต้องขังทั้งหมด 272,769 ราย
ด้านทัณฑสถานบําบัดพิเศษลําปาง ที่มีสื่อมวลชนนําเสนอข่าวว่า มีการแพร่ระบาดของโรคอย่างรวดเร็วนั้น คาดว่าการติดเชื้อกว่า 90% เป็นเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน จึงทําให้มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ซึ่งทางสถานพยาบาลเรือนจํา โรงพยาบาลแม่ข่าย รวมถึงสํานักงานสาธารณสุขในพื้นที่ ได้เข้าดําเนินการตรวจคัดกรองทุกวัน พร้อมทั้งจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ให้แก่ผู้ต้องขังที่อยู่ในความควบคุมดูแลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะสามารถควบคุมการระบาดจนกลับมาปฏิบัติงานได้เป็นปกติได้ในเร็ว ๆ นี้
ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจําวันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 พบมีผู้ติดเชื้อและอยู่ระหว่างการรักษาตัวเป็นจํานวน 16 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 10 ราย และเยาวชน จํานวน 6 ราย ด้านผลการดําเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจํานวน 47 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 6 แห่ง พบว่ามีการติดเชื้อ และ 3 แห่ง หมดสถานะ ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นรวมจํานวน 3,500 ราย หรือคิดเป็น 92% จากทั้งหมด 3,804 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีน จํานวน 3,939 ราย หรือคิดเป็น 93.65% จากทั้งหมด 4,206 ราย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ไม่พบการระบาดในเรือนจำแห่งใหม่เพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาหายแล้วกว่า 96.4%
วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565
ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ไม่พบการระบาดในเรือนจําแห่งใหม่เพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาหายแล้วกว่า 96.4%
ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ไม่พบการระบาดในเรือนจําแห่งใหม่เพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาหายแล้วกว่า 96.4%
ในวันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 14.00 น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ COVID-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 7/2565 โดยมี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษก ศบค.ยธ. เปิดเผยว่า ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจํา/ทัณฑสถานวันนี้ ไม่พบเรือนจําระบาดใหม่เพิ่ม จึงมีเรือนจําสีขาว 127 แห่ง และเรือนจําสีแดง 15 แห่ง โดยเรือนจําสีแดงส่วนหนึ่งสามารถลดการระบาดและอยู่ในแผนสิ้นสุดการระบาดของโรค (แผน EXIT) รวม 6 แห่ง คือ เรือนจําจังหวัดอุทัยธานี เรือนจําอําเภอแม่สะเรียง ทัณฑสถานบําบัดพิเศษขอนแก่น เรือนจําอําเภอหลังสวน เรือนจําจังหวัดระนอง และเรือนจําจังหวัดหนองคาย ซึ่งจะทยอยพ้นจากการระบาดอย่างต่อเนื่องในเร็ว ๆ นี้
ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ พบเพิ่ม 98 ราย เป็นการพบในห้องแยกกักโรค 43 ราย และพบในเรือนจําสีแดง 55 ราย จึงมีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ทั้งสิ้น 942 ราย เป็นกลุ่มสีเขียว 89.8% กลุ่มสีเหลือง 10% และกลุ่มสีแดง 0.2% มีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 86,164 ราย หรือ 96.4% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 89,601 ราย โดยไม่มีรายงานการเสียชีวิตติดต่อกันเป็นวันที่ 15 จึงมีผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 190 ราย หรือ 0.21% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด
นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุม ศบค.ยธ. โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมวันนี้ พบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดโดยทั่วไปยังคงที่ สามารถดูแลและรักษาผู้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่การดําเนินการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังนั้นปัจจุบันมีผู้ต้องขังที่ยังอยู่ในเรือนจําและทัณฑสถานได้รับการฉีดวัคซีนจนครบโดสแล้ว จํานวน 249,211 ราย หรือคิดเป็น 91.36% ของจํานวนผู้ต้องขังทั้งหมด 272,769 ราย
ด้านทัณฑสถานบําบัดพิเศษลําปาง ที่มีสื่อมวลชนนําเสนอข่าวว่า มีการแพร่ระบาดของโรคอย่างรวดเร็วนั้น คาดว่าการติดเชื้อกว่า 90% เป็นเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน จึงทําให้มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ซึ่งทางสถานพยาบาลเรือนจํา โรงพยาบาลแม่ข่าย รวมถึงสํานักงานสาธารณสุขในพื้นที่ ได้เข้าดําเนินการตรวจคัดกรองทุกวัน พร้อมทั้งจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ให้แก่ผู้ต้องขังที่อยู่ในความควบคุมดูแลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะสามารถควบคุมการระบาดจนกลับมาปฏิบัติงานได้เป็นปกติได้ในเร็ว ๆ นี้
ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจําวันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 พบมีผู้ติดเชื้อและอยู่ระหว่างการรักษาตัวเป็นจํานวน 16 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 10 ราย และเยาวชน จํานวน 6 ราย ด้านผลการดําเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจํานวน 47 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 6 แห่ง พบว่ามีการติดเชื้อ และ 3 แห่ง หมดสถานะ ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชนเพิ่มขึ้นรวมจํานวน 3,500 ราย หรือคิดเป็น 92% จากทั้งหมด 3,804 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีน จํานวน 3,939 ราย หรือคิดเป็น 93.65% จากทั้งหมด 4,206 ราย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51554 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชมศักยภาพการฉีดวัคซีนไทยสอดคล้องกับปริมาณวัคซีน โฆษกรัฐบาลเตรียมพบปะร้านค้า ร้านอาหาร นำกำลังใจจากนายกรัฐมนตรีมอบผู้ประกอบการ 1 ก.ย. นี้ | วันอังคารที่ 31 สิงหาคม 2564
นายกรัฐมนตรีชมศักยภาพการฉีดวัคซีนไทยสอดคล้องกับปริมาณวัคซีน โฆษกรัฐบาลเตรียมพบปะร้านค้า ร้านอาหาร นํากําลังใจจากนายกรัฐมนตรีมอบผู้ประกอบการ 1 ก.ย. นี้
นายกรัฐมนตรีชมศักยภาพการฉีดวัคซีนไทยสอดคล้องกับปริมาณวัคซีน โฆษกรัฐบาลเตรียมพบปะร้านค้า ร้านอาหาร นํากําลังใจจากนายกรัฐมนตรีมอบผู้ประกอบการ 1 ก.ย. นี้
วันที่ 31 ส.ค. 64นายธนกร วังบุญชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 จํานวน 2 เข็ม แล้วเป็นจํานวน 7,807,213 ราย คิดเป็นมากกว่าร้อยละ 10.1 ในขณะที่ผู้ที่ได้รับวัคซีน จํานวน 1 เข็มแล้ว มีจํานวน 23,455,679 ราย คิดเป็นร้อยละ 32 ปัจจุบันไทยมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนสะสมแล้ว 31,902,718 ล้านโดสพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมภาพรวมการฉีดวัคซีนไทย เป็นไปในทิศทางที่น่าพึงพอใจ สามารถให้บริการฉีดวัคซีนได้สอดคล้องกับปริมาณวัคซีนที่มี
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา ยอดบริการฉีดวัคซีนรายวันของไทยสูงสุดถึง 915,738โดสมากกว่าค่าเฉลี่ยการฉีดวัคซีนรายวันสะท้อนภาพความร่วมมือร่วมใจของบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ทุ่มเททํางานอย่างหนักในการเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชน และความร่วมมือร่วมใจของคนไทยในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีนด้วยซึ่งปัจจุบันวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาเพื่อบริการฉีดให้ประชาชนฟรี คือ ซิโนแวค แอสตราเซเนกา และไฟเซอร์ทั้งนี้ รัฐบาลยังเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามแผนการจัดหาวัคซีนด้วย
นายธนกรฯ ยังกล่าวว่า ในวันที่ 1 กันยายนนี้ ตนเองจะไปเยี่ยมชมกิจการภัตตาคาร ร้านอาหาร เพื่อนํากําลังใจจากนายกรัฐมนตรีไปถึงผู้ประกอบการ ที่กลับมาเปิดดําเนินกิจการตามมาตรการ COVID –Free Setting และมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคลในลักษณะUniversal Prevention ซึ่งหลังจากนี้ ศบค. จะติดตามสถานการณ์โควิด -19 อย่างใกล้ชิด เพื่อนํามาพิจารณาปรับหรือเพิ่มการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด -19ในการประชุม ศบค. ครั้งต่อไป
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีชมศักยภาพการฉีดวัคซีนไทยสอดคล้องกับปริมาณวัคซีน โฆษกรัฐบาลเตรียมพบปะร้านค้า ร้านอาหาร นำกำลังใจจากนายกรัฐมนตรีมอบผู้ประกอบการ 1 ก.ย. นี้
วันอังคารที่ 31 สิงหาคม 2564
นายกรัฐมนตรีชมศักยภาพการฉีดวัคซีนไทยสอดคล้องกับปริมาณวัคซีน โฆษกรัฐบาลเตรียมพบปะร้านค้า ร้านอาหาร นํากําลังใจจากนายกรัฐมนตรีมอบผู้ประกอบการ 1 ก.ย. นี้
นายกรัฐมนตรีชมศักยภาพการฉีดวัคซีนไทยสอดคล้องกับปริมาณวัคซีน โฆษกรัฐบาลเตรียมพบปะร้านค้า ร้านอาหาร นํากําลังใจจากนายกรัฐมนตรีมอบผู้ประกอบการ 1 ก.ย. นี้
วันที่ 31 ส.ค. 64นายธนกร วังบุญชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผยความคืบหน้าการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 จนถึงปัจจุบัน มีผู้ที่ได้รับวัคซีนโควิด-19 จํานวน 2 เข็ม แล้วเป็นจํานวน 7,807,213 ราย คิดเป็นมากกว่าร้อยละ 10.1 ในขณะที่ผู้ที่ได้รับวัคซีน จํานวน 1 เข็มแล้ว มีจํานวน 23,455,679 ราย คิดเป็นร้อยละ 32 ปัจจุบันไทยมีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนสะสมแล้ว 31,902,718 ล้านโดสพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมภาพรวมการฉีดวัคซีนไทย เป็นไปในทิศทางที่น่าพึงพอใจ สามารถให้บริการฉีดวัคซีนได้สอดคล้องกับปริมาณวัคซีนที่มี
เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม ที่ผ่านมา ยอดบริการฉีดวัคซีนรายวันของไทยสูงสุดถึง 915,738โดสมากกว่าค่าเฉลี่ยการฉีดวัคซีนรายวันสะท้อนภาพความร่วมมือร่วมใจของบุคลากรทางการแพทย์ที่ได้ทุ่มเททํางานอย่างหนักในการเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชน และความร่วมมือร่วมใจของคนไทยในการเข้ารับบริการฉีดวัคซีนด้วยซึ่งปัจจุบันวัคซีนที่รัฐบาลจัดหาเพื่อบริการฉีดให้ประชาชนฟรี คือ ซิโนแวค แอสตราเซเนกา และไฟเซอร์ทั้งนี้ รัฐบาลยังเร่งจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อให้เป็นไปตามแผนการจัดหาวัคซีนด้วย
นายธนกรฯ ยังกล่าวว่า ในวันที่ 1 กันยายนนี้ ตนเองจะไปเยี่ยมชมกิจการภัตตาคาร ร้านอาหาร เพื่อนํากําลังใจจากนายกรัฐมนตรีไปถึงผู้ประกอบการ ที่กลับมาเปิดดําเนินกิจการตามมาตรการ COVID –Free Setting และมาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคลในลักษณะUniversal Prevention ซึ่งหลังจากนี้ ศบค. จะติดตามสถานการณ์โควิด -19 อย่างใกล้ชิด เพื่อนํามาพิจารณาปรับหรือเพิ่มการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด -19ในการประชุม ศบค. ครั้งต่อไป
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45344 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ห่วงนายจ้าง ลูกจ้าง เหตุเพลิงไหม้บริษัทผลิตวัสดุโฟมกันกระแทก อ.ไทรน้อย สั่งหน่วยงานในสังกัดช่วยเหลือ ดูแลสิทธิประโยชน์ | วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565
รมว.แรงงาน ห่วงนายจ้าง ลูกจ้าง เหตุเพลิงไหม้บริษัทผลิตวัสดุโฟมกันกระแทก อ.ไทรน้อย สั่งหน่วยงานในสังกัดช่วยเหลือ ดูแลสิทธิประโยชน์
รมว.สุชาติ ห่วงใย นายจ้าง ลูกจ้าง จากเหตุเพลิงไหม้บริษัทผลิตวัสดุโฟมกันกระแทก อําเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี สั่งหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือตามขั้นตอนและดูแลสิทธิประโยชน์หากปิดกิจการบางส่วนชั่วคราวหรือเลิกจ้างลูกจ้าง
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า กรณีเหตุเพลิงไหม้ บริษัท เอนเจล โปรดัก จํากัด ที่ตั้งเลขที่ 99/8-9 หมู่ 6 ตําบลหนองเพรางาย อําเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ประกอบกิจการผลิตโฟม พลาสติก บรรจุภัณฑ์ต่างๆ จากพลาสติก มีหน่วยงานดับเพลิงจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าดับเพลิงและสามารถควบคุมเพลิงไว้ โดยใช้เวลาหลายชั่วโมง เนื่องจากโรงงานผลิตวัสดุกันกระแทกจําพวกโฟม บับเบิ้ล ซองกันกระแทก ฉนวนกันกระแทก อีพีอีโฟม และพีพีบอร์ด ทําให้เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้เมื่อเวลาประมาณ 22.30 น. ของคืนวันที่ 27 มกราคม 2565 เบื้องต้น พบผู้บาดเจ็บเป็นชาย 2 ราย ถูกไฟคลอกบริเวณใบหน้า แขน และลําตัว 1 ราย ได้นําส่งโรงพยาบาล อีก 1 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย และมีผู้สูญหาย 1 ราย ส่วนสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ลูกจ้างที่อยู่ในเหตุการณ์แจ้งว่าเกิดไฟฟ้าลัดวงจรจากเครื่องจักรประกายไฟกระเด็นไปโดนโฟมและลุกลามประมาณ 10 นาที ก่อนเกิดการระเบิดเพราะมีถังแก๊ซด้านใน กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยในความปลอดภัย ชีวิต และทรัพย์สินของนายจ้างและลูกจ้างจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว จึงสั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานส่งพนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุเบื้องต้นและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานเข้าช่วยเหลือในเรื่องของการประสานดูแลรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ สิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ทั้งด้านคุ้มครองแรงงานและประกันสังคม รวมทั้งกรมการจัดหางานเข้าไปตรวจสอบการทํางานของคนต่างด้าว จัดหาตําแหน่งงานว่างและเสริมทักษะการทํางานให้แก่ลูกจ้างหากมีการหยุดกิจการบางส่วนชั่วคราวหรือเลิกจ้างลูกจ้าง
นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.)กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานประกอบกิจการแห่งนี้มีลูกจ้างรวม 349 คน เป็นคนไทย 182 คน เมียนม่า 116 คน กัมพูชา 42 คน และอินเดีย 9 คน บริเวณที่เกิดเพลิงไหม้เป็นโกดังส่วนผลิตและเป็นส่วนออฟฟิต แบ่งการทํางานเป็นกะ ทํางาน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ กรมได้ส่งพนักงานตรวจแรงงานและพนักงานตรวจความปลอดภัยลงพื้นที่ พูดคุยชี้แจงขั้นตอนการดําเนินงานและความช่วยเหลือในเบื้องต้นกับนายจ้างและลูกจ้าง และได้เชิญนายจ้างเข้าพบเพื่อสอบข้อเท็จจริงว่าสถานประกอบกิจการได้ดําเนินการตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ. 2554 มาตรา 8 ให้นายจ้างบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวง และกฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 หรือไม่ พร้อมทั้งดูแลสิทธิประโยชน์ลูกจ้างหากสถานประกอบกิจการขอหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของค่าจ้างในวันทํางาน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน ห่วงนายจ้าง ลูกจ้าง เหตุเพลิงไหม้บริษัทผลิตวัสดุโฟมกันกระแทก อ.ไทรน้อย สั่งหน่วยงานในสังกัดช่วยเหลือ ดูแลสิทธิประโยชน์
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565
รมว.แรงงาน ห่วงนายจ้าง ลูกจ้าง เหตุเพลิงไหม้บริษัทผลิตวัสดุโฟมกันกระแทก อ.ไทรน้อย สั่งหน่วยงานในสังกัดช่วยเหลือ ดูแลสิทธิประโยชน์
รมว.สุชาติ ห่วงใย นายจ้าง ลูกจ้าง จากเหตุเพลิงไหม้บริษัทผลิตวัสดุโฟมกันกระแทก อําเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี สั่งหน่วยงานในสังกัดลงพื้นที่เร่งให้ความช่วยเหลือตามขั้นตอนและดูแลสิทธิประโยชน์หากปิดกิจการบางส่วนชั่วคราวหรือเลิกจ้างลูกจ้าง
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า กรณีเหตุเพลิงไหม้ บริษัท เอนเจล โปรดัก จํากัด ที่ตั้งเลขที่ 99/8-9 หมู่ 6 ตําบลหนองเพรางาย อําเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี ประกอบกิจการผลิตโฟม พลาสติก บรรจุภัณฑ์ต่างๆ จากพลาสติก มีหน่วยงานดับเพลิงจังหวัดและพื้นที่ใกล้เคียงเข้าดับเพลิงและสามารถควบคุมเพลิงไว้ โดยใช้เวลาหลายชั่วโมง เนื่องจากโรงงานผลิตวัสดุกันกระแทกจําพวกโฟม บับเบิ้ล ซองกันกระแทก ฉนวนกันกระแทก อีพีอีโฟม และพีพีบอร์ด ทําให้เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี เหตุเพลิงไหม้ครั้งนี้เมื่อเวลาประมาณ 22.30 น. ของคืนวันที่ 27 มกราคม 2565 เบื้องต้น พบผู้บาดเจ็บเป็นชาย 2 ราย ถูกไฟคลอกบริเวณใบหน้า แขน และลําตัว 1 ราย ได้นําส่งโรงพยาบาล อีก 1 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย และมีผู้สูญหาย 1 ราย ส่วนสาเหตุการเกิดเพลิงไหม้อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ลูกจ้างที่อยู่ในเหตุการณ์แจ้งว่าเกิดไฟฟ้าลัดวงจรจากเครื่องจักรประกายไฟกระเด็นไปโดนโฟมและลุกลามประมาณ 10 นาที ก่อนเกิดการระเบิดเพราะมีถังแก๊ซด้านใน กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยในความปลอดภัย ชีวิต และทรัพย์สินของนายจ้างและลูกจ้างจากเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว จึงสั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานส่งพนักงานตรวจความปลอดภัยตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุเบื้องต้นและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานเข้าช่วยเหลือในเรื่องของการประสานดูแลรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บ สิทธิประโยชน์ตามกฎหมาย ทั้งด้านคุ้มครองแรงงานและประกันสังคม รวมทั้งกรมการจัดหางานเข้าไปตรวจสอบการทํางานของคนต่างด้าว จัดหาตําแหน่งงานว่างและเสริมทักษะการทํางานให้แก่ลูกจ้างหากมีการหยุดกิจการบางส่วนชั่วคราวหรือเลิกจ้างลูกจ้าง
นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.)กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานประกอบกิจการแห่งนี้มีลูกจ้างรวม 349 คน เป็นคนไทย 182 คน เมียนม่า 116 คน กัมพูชา 42 คน และอินเดีย 9 คน บริเวณที่เกิดเพลิงไหม้เป็นโกดังส่วนผลิตและเป็นส่วนออฟฟิต แบ่งการทํางานเป็นกะ ทํางาน 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ กรมได้ส่งพนักงานตรวจแรงงานและพนักงานตรวจความปลอดภัยลงพื้นที่ พูดคุยชี้แจงขั้นตอนการดําเนินงานและความช่วยเหลือในเบื้องต้นกับนายจ้างและลูกจ้าง และได้เชิญนายจ้างเข้าพบเพื่อสอบข้อเท็จจริงว่าสถานประกอบกิจการได้ดําเนินการตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พ.ศ. 2554 มาตรา 8 ให้นายจ้างบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวง และกฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับอัคคีภัย พ.ศ. 2555 หรือไม่ พร้อมทั้งดูแลสิทธิประโยชน์ลูกจ้างหากสถานประกอบกิจการขอหยุดกิจการชั่วคราวตามมาตรา 75 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 โดยลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของค่าจ้างในวันทํางาน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50982 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการ วธ. เป็นประธานการประชุมติดตามประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ | วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2564
ผู้ตรวจราชการ วธ. เป็นประธานการประชุมติดตามประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
การประชุมติดตามประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของจังหวัดในกลุ่มอํานวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ ๒ สิงห์บุรี (ผ่านระบบ Video Conference)
วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของจังหวัดในกลุ่มอํานวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ ๒ สิงห์บุรี (ผ่านระบบ Video Conference) โดยมีนายวินัย วรวัตร์ ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายพัฐศิษฏ์ ธนชวาลย์ ผู้อํานวยการกองตรวจราชการ นายชนะกิจ คชชี ผู้อํานวยการกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดในกลุ่มอํานวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ ๒ สิงห์บุรี ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๒ ชั้น ๘ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ตรวจราชการ วธ. เป็นประธานการประชุมติดตามประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2564
ผู้ตรวจราชการ วธ. เป็นประธานการประชุมติดตามประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
การประชุมติดตามประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของจังหวัดในกลุ่มอํานวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ ๒ สิงห์บุรี (ผ่านระบบ Video Conference)
วันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม มอบหมายให้ นายกฤษฎา คงคะจันทร์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามประสิทธิภาพการปฏิบัติงานพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของจังหวัดในกลุ่มอํานวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ ๒ สิงห์บุรี (ผ่านระบบ Video Conference) โดยมีนายวินัย วรวัตร์ ผู้อํานวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายพัฐศิษฏ์ ธนชวาลย์ ผู้อํานวยการกองตรวจราชการ นายชนะกิจ คชชี ผู้อํานวยการกองพิธีการศพที่ได้รับพระราชทาน สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดในกลุ่มอํานวยการพิธีการศพที่ได้รับพระราชทานที่ ๒ สิงห์บุรี ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ๒ ชั้น ๘ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43835 |