title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
28
181k
raw
stringlengths
39
181k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดแล้ว!! ศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงาน ที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และลุมพินีทาวเวอร์ ถ.วิภาวดี 9 – 31 ส.ค.นี้
วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564 เปิดแล้ว!! ศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงาน ที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และลุมพินีทาวเวอร์ ถ.วิภาวดี 9 – 31 ส.ค.นี้ เปิดแล้ว!! ศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงาน ที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และลุมพินีทาวเวอร์ ถ.วิภาวดี 9 – 31 ส.ค.นี้ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และ ท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทั่วไปจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 และกําหนดให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาตินั้น ในส่วนของกระทรวงแรงงานได้ดําเนินการตามมาตรการปิดแคมป์คนงานเป็นเวลา 1 เดือน โดยมีเป้าหมายดําเนินการฉีด 3,500 คนต่อวัน จากแคมป์คนงานในพื้นที่กรุงเทพมหานครทั้งหมด 611 แคมป์ คนงาน 83,082 คน เป็นคนไทย 32,471 คน ต่างด้าว 50,611 คน นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้เป็นวันแรกที่กระทรวงแรงงาน โดยโรงพยาบาลในเครือประกันสังคมกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ได้เปิดศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงานที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร มีศักยภาพการฉีดวันละ 2,000 คน มีทีมแพทย์พยาบาลจากโรงพยาบาลวิชัยเวชอินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาครให้การดูแลการฉีด และอีกศูนย์ที่อาคารลุมพินี ทาวเวอร์ ถนนวิภาวดี แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร มีศักยภาพการฉีด 1,500 คนต่อวัน มีทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์ สนับสนุนในการฉีดวัคซีนโควิด-19 สําหรับศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงานทั้งสองแห่งจะให้บริการตั้งแต่วันที่ 9 – 31 สิงหาคมนี้ เว้นวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ “การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในแคมป์คนงาน เป็นหนึ่งในมาตรการที่กระทรวงแรงงาน ให้การป้องกันรักษาโดยเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้แก่คนงานในแคมป์ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มคนงาน เป็นการสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนทั่วไปที่อยู่อาศัยบริเวณชุมชนรายรอบแคมป์คนงาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ภาคแรงงาน ผู้ประกอบการสามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้”นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดแล้ว!! ศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงาน ที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และลุมพินีทาวเวอร์ ถ.วิภาวดี 9 – 31 ส.ค.นี้ วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564 เปิดแล้ว!! ศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงาน ที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และลุมพินีทาวเวอร์ ถ.วิภาวดี 9 – 31 ส.ค.นี้ เปิดแล้ว!! ศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงาน ที่สนามไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง และลุมพินีทาวเวอร์ ถ.วิภาวดี 9 – 31 ส.ค.นี้ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และ ท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน และประชาชนทั่วไปจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 และกําหนดให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาตินั้น ในส่วนของกระทรวงแรงงานได้ดําเนินการตามมาตรการปิดแคมป์คนงานเป็นเวลา 1 เดือน โดยมีเป้าหมายดําเนินการฉีด 3,500 คนต่อวัน จากแคมป์คนงานในพื้นที่กรุงเทพมหานครทั้งหมด 611 แคมป์ คนงาน 83,082 คน เป็นคนไทย 32,471 คน ต่างด้าว 50,611 คน นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้เป็นวันแรกที่กระทรวงแรงงาน โดยโรงพยาบาลในเครือประกันสังคมกระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร ได้เปิดศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงานที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย – ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร มีศักยภาพการฉีดวันละ 2,000 คน มีทีมแพทย์พยาบาลจากโรงพยาบาลวิชัยเวชอินเตอร์เนชั่นแนล สมุทรสาครให้การดูแลการฉีด และอีกศูนย์ที่อาคารลุมพินี ทาวเวอร์ ถนนวิภาวดี แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร มีศักยภาพการฉีด 1,500 คนต่อวัน มีทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกร และบุคลากรทางการแพทย์จากโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ อินเตอร์ สนับสนุนในการฉีดวัคซีนโควิด-19 สําหรับศูนย์ฉีดวัคซีนแคมป์คนงานทั้งสองแห่งจะให้บริการตั้งแต่วันที่ 9 – 31 สิงหาคมนี้ เว้นวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ “การฉีดวัคซีนโควิด-19 ในแคมป์คนงาน เป็นหนึ่งในมาตรการที่กระทรวงแรงงาน ให้การป้องกันรักษาโดยเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้แก่คนงานในแคมป์ตามนโยบายรัฐบาล เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มคนงาน เป็นการสร้างความมั่นใจให้พี่น้องประชาชนทั่วไปที่อยู่อาศัยบริเวณชุมชนรายรอบแคมป์คนงาน เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ภาคแรงงาน ผู้ประกอบการสามารถเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้”นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44600
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เริ่มเข้าพื้นที่ขยายถนน 4 เลน สาย ปท.3004 ลำลูกกาคลอง 7 จังหวัดปทุมธานี แก้ไขปัญหาจราจรติดขัด รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจการขนส่งและชุมชนในอนาคต สอดรับนโยบายของรัฐมน
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 กรมทางหลวงชนบท เริ่มเข้าพื้นที่ขยายถนน 4 เลน สาย ปท.3004 ลําลูกกาคลอง 7 จังหวัดปทุมธานี แก้ไขปัญหาจราจรติดขัด รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจการขนส่งและชุมชนในอนาคต สอดรับนโยบายของรัฐมน กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เริ่มเข้าพื้นที่ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3004 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 - บ้านลําลูกกา อําเภอธัญบุรี และลําลูกกา จังหวัดปทุมธานี กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เริ่มเข้าพื้นที่ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3004 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 - บ้านลําลูกกา อําเภอธัญบุรี และลําลูกกา จังหวัดปทุมธานี เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรที่หนาแน่นบริเวณสายทาง เชื่อมโยงและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าอย่างเป็นระบบ รวมถึงรองรับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3004 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 - บ้านลําลูกกา อําเภอธัญบุรี และลําลูกกา จังหวัดปทุมธานี เป็นเส้นทางที่เชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3312 ส่งผลให้มีปริมาณการจราจรมากถึง 18,907 คันต่อวัน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้ผู้ใช้เส้นทางเกิดความล่าช้าในการเดินทาง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทช.จึงได้ดําเนินการโครงการก่อสร้างถนนสาย ปท.3004 โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการ กม. ที่ 0+000 บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 (กม. ที่ 15+650) มีจุดสิ้นสุดโครงการ กม. ที่ 10+408 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3312 (กม. ที่ 15+500) รวมระยะทาง 10.408 กิโลเมตร ซึ่งจะทําการขยายถนนจากเดิม ขนาด 2 ช่องจราจร เป็น ขนาด 4 ช่องจราจร ไป - กลับ ผิวจราจรแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีต มีทางเท้า พร้อมก่อสร้างระบบระบายน้ํา ก่อสร้างสะพานข้ามคลองรังสิตประยูรศักดิ์ 1 แห่ง และก่อสร้างสะพานลอยคนเดินข้าม 4 แห่ง ปัจจุบันได้เริ่มเข้าพื้นที่เพื่อเตรียมการก่อสร้างแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2567 ใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 561.200 ล้านบาท เป็นงบผูกพันปี 2564 - 2566
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท เริ่มเข้าพื้นที่ขยายถนน 4 เลน สาย ปท.3004 ลำลูกกาคลอง 7 จังหวัดปทุมธานี แก้ไขปัญหาจราจรติดขัด รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจการขนส่งและชุมชนในอนาคต สอดรับนโยบายของรัฐมน วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564 กรมทางหลวงชนบท เริ่มเข้าพื้นที่ขยายถนน 4 เลน สาย ปท.3004 ลําลูกกาคลอง 7 จังหวัดปทุมธานี แก้ไขปัญหาจราจรติดขัด รองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจการขนส่งและชุมชนในอนาคต สอดรับนโยบายของรัฐมน กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เริ่มเข้าพื้นที่ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3004 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 - บ้านลําลูกกา อําเภอธัญบุรี และลําลูกกา จังหวัดปทุมธานี กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม เริ่มเข้าพื้นที่ดําเนินโครงการก่อสร้างถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3004 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 - บ้านลําลูกกา อําเภอธัญบุรี และลําลูกกา จังหวัดปทุมธานี เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรที่หนาแน่นบริเวณสายทาง เชื่อมโยงและเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าอย่างเป็นระบบ รวมถึงรองรับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต สอดรับกับนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า ถนนทางหลวงชนบทสาย ปท.3004 แยกทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 - บ้านลําลูกกา อําเภอธัญบุรี และลําลูกกา จังหวัดปทุมธานี เป็นเส้นทางที่เชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3312 ส่งผลให้มีปริมาณการจราจรมากถึง 18,907 คันต่อวัน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้ผู้ใช้เส้นทางเกิดความล่าช้าในการเดินทาง ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ทช.จึงได้ดําเนินการโครงการก่อสร้างถนนสาย ปท.3004 โดยมีจุดเริ่มต้นโครงการ กม. ที่ 0+000 บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 305 (กม. ที่ 15+650) มีจุดสิ้นสุดโครงการ กม. ที่ 10+408 ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 3312 (กม. ที่ 15+500) รวมระยะทาง 10.408 กิโลเมตร ซึ่งจะทําการขยายถนนจากเดิม ขนาด 2 ช่องจราจร เป็น ขนาด 4 ช่องจราจร ไป - กลับ ผิวจราจรแบบแอสฟัลท์ติกคอนกรีต มีทางเท้า พร้อมก่อสร้างระบบระบายน้ํา ก่อสร้างสะพานข้ามคลองรังสิตประยูรศักดิ์ 1 แห่ง และก่อสร้างสะพานลอยคนเดินข้าม 4 แห่ง ปัจจุบันได้เริ่มเข้าพื้นที่เพื่อเตรียมการก่อสร้างแล้วเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 2567 ใช้งบประมาณในการก่อสร้างรวม 561.200 ล้านบาท เป็นงบผูกพันปี 2564 - 2566
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48075
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ร่วมการประชุม "อาเซียน - สหรัฐฯ" สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ ในโอกาสครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - สหรัฐฯ 12 - 13 พ.ค. นี้
วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 นายกฯ ร่วมการประชุม "อาเซียน - สหรัฐฯ" สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ ในโอกาสครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - สหรัฐฯ 12 - 13 พ.ค. นี้ ..... พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปปฏิบัติภารกิจ ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 12 - 13 พ.ค. 2565 . การประชุมฯ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - สหรัฐฯ ซึ่งดําเนินความสัมพันธ์มาตั้งแต่ปี 2520 และยกระดับเป็นหุ้นส่วน เชิงยุทธศาสตร์เมื่อปี 2558 มุ่งเน้นความร่วมมือใน 3 เสาของประชาคมอาเซียน คือ ด้านการเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม . การเดินทางไปร่วมการประชุมของนายกฯ ครั้งนี้ จะนํามาซึ่งความร่วมมือระหว่างอาเซียน - สหรัฐฯ เพื่อขับเคลื่อนการฟื้นฟูและการเติบโตอย่างยั่งยืนของภูมิภาคในยุคหลังโควิด-19 . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54449 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ร่วมการประชุม "อาเซียน - สหรัฐฯ" สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ ในโอกาสครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - สหรัฐฯ 12 - 13 พ.ค. นี้ วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565 นายกฯ ร่วมการประชุม "อาเซียน - สหรัฐฯ" สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐฯ ในโอกาสครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - สหรัฐฯ 12 - 13 พ.ค. นี้ ..... พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เดินทางไปปฏิบัติภารกิจ ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เพื่อร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียน - สหรัฐฯ สมัยพิเศษ ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 12 - 13 พ.ค. 2565 . การประชุมฯ ดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 45 ปี ความสัมพันธ์อาเซียน - สหรัฐฯ ซึ่งดําเนินความสัมพันธ์มาตั้งแต่ปี 2520 และยกระดับเป็นหุ้นส่วน เชิงยุทธศาสตร์เมื่อปี 2558 มุ่งเน้นความร่วมมือใน 3 เสาของประชาคมอาเซียน คือ ด้านการเมืองความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม . การเดินทางไปร่วมการประชุมของนายกฯ ครั้งนี้ จะนํามาซึ่งความร่วมมือระหว่างอาเซียน - สหรัฐฯ เพื่อขับเคลื่อนการฟื้นฟูและการเติบโตอย่างยั่งยืนของภูมิภาคในยุคหลังโควิด-19 . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54449 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54454
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ร่วมทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2565
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 มหาดไทย ร่วมทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2565 ​รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะ ร่วมทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2565 วันนี้ (1 ม.ค.65) เวลา 08.00 น. ที่ห้องแดง อาคารหน่วยราชการในพระองค์ 904 ในพระบรมมหาราชวัง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2565 พร้อมกันนี้ ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชูปถัมภ์นํานายชยาวุธ จันทร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง พร้อมด้วย นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายกวี อารีกุล ผู้ว่าการการประปานครหลวง นายสมบูรณ์ สุนันทพงศ์ศักดิ์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวง นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายวิทยา ทรัพย์เย็น รองผู้อํานวยการองค์การตลาดทําการแทนผู้อํานวยการองค์การตลาด นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ นางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย คณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย คณะกรรมการสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ร่วมทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เนื่องในโอกาสเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ 2565 ขอเรียนเชิญพี่น้องประชาชนชาวไทย ร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ด้วยความจงรักภักดี ตั้งแต่เวลา 07.30 – 17.00 น. ซึ่งสํานักพระราชวังได้จัดเตรียมสถานที่สําหรับลงนามถวายพระพร ณ สถานที่ต่าง ๆ ได้แก่ พระบรมมหาราชวัง (บริเวณสนามข้างศาลาลูกขุนใน) พระราชวังบางปะอิน อําเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วังไกลกังวล อําเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระตําหนักภูพิงคราชนิเวศน์ อําเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พระตําหนักภูพานราชนิเวศน์ อําเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร และพระตําหนักทักษิณราชนิเวศน์ อําเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส โดยแต่งกายชุดสุภาพ และแสดงบัตรประจําตัวประชาชน (สําหรับชาวไทย) หรือสําเนาหนังสือเดินทาง (สําหรับชาวต่างชาติ) ที่จุดคัดกรอง และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปฏิทินหลวง พุทธศักราช 2565 แก่ผู้ที่มาลงนามถวายพระพร ณ สถานที่ดังกล่าวข้างต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มหาดไทย ร่วมทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2565 วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 มหาดไทย ร่วมทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2565 ​รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงมหาดไทย และคณะ ร่วมทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2565 วันนี้ (1 ม.ค.65) เวลา 08.00 น. ที่ห้องแดง อาคารหน่วยราชการในพระองค์ 904 ในพระบรมมหาราชวัง พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2565 พร้อมกันนี้ ที่ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร. วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชูปถัมภ์นํานายชยาวุธ จันทร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านกิจการความมั่นคงภายใน นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง พร้อมด้วย นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายบุญธรรม เลิศสุขีเกษม อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายกวี อารีกุล ผู้ว่าการการประปานครหลวง นายสมบูรณ์ สุนันทพงศ์ศักดิ์ ผู้ว่าการการประปาส่วนภูมิภาค นายวิลาศ เฉลยสัตย์ ผู้ว่าการไฟฟ้านครหลวง นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายวิทยา ทรัพย์เย็น รองผู้อํานวยการองค์การตลาดทําการแทนผู้อํานวยการองค์การตลาด นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ นางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย คณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย คณะกรรมการสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ร่วมทูลเกล้าฯ ถวายแจกันดอกไม้หน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และลงนามถวายพระพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เนื่องในโอกาสเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ 2565 ขอเรียนเชิญพี่น้องประชาชนชาวไทย ร่วมลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ด้วยความจงรักภักดี ตั้งแต่เวลา 07.30 – 17.00 น. ซึ่งสํานักพระราชวังได้จัดเตรียมสถานที่สําหรับลงนามถวายพระพร ณ สถานที่ต่าง ๆ ได้แก่ พระบรมมหาราชวัง (บริเวณสนามข้างศาลาลูกขุนใน) พระราชวังบางปะอิน อําเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วังไกลกังวล อําเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พระตําหนักภูพิงคราชนิเวศน์ อําเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พระตําหนักภูพานราชนิเวศน์ อําเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร และพระตําหนักทักษิณราชนิเวศน์ อําเภอเมืองนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส โดยแต่งกายชุดสุภาพ และแสดงบัตรประจําตัวประชาชน (สําหรับชาวไทย) หรือสําเนาหนังสือเดินทาง (สําหรับชาวต่างชาติ) ที่จุดคัดกรอง และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานปฏิทินหลวง พุทธศักราช 2565 แก่ผู้ที่มาลงนามถวายพระพร ณ สถานที่ดังกล่าวข้างต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50139
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” มอบ รอง.นรม.สุพัฒนพงษ์ ฯ นั่งประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ฯ โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ นายกฯ สั่งให้รับฟังความเห็นทุกฝ่าย
วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564 โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” มอบ รอง.นรม.สุพัฒนพงษ์ ฯ นั่งประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ฯ โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ นายกฯ สั่งให้รับฟังความเห็นทุกฝ่าย โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” มอบ รอง.นรม.สุพัฒนพงษ์ ฯ นั่งประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ฯ โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ นายกฯ สั่งให้รับฟังความเห็นทุกฝ่าย ให้ครบทุกมิติ เน้นแก้ปัญหารอบด้าน ยึดประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนในพื้นที่ วันนี้ (9 ธ.ค.64) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงนามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรีที่ 330/2564 ลงวันที่ 3 ธันวาคม 64 แต่งตั้งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการดําเนินการขยายผลโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน” ไปสู่เมืองต้นแบบที่ 4 อําเภอจะนะ จังหวัดสงขลา “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” โดยสั่งให้เน้นการตรวจสอบและรับฟังปัญหาให้ครบทุกมิติ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาภาคใต้อย่างยั่งยืน โดยต้องยึดประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนในพื้นที่ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีประชุมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 มีมติเพียงรับทราบรายงานผลการหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาของกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น ตามที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมเสนอ โดย ครม. มอบหมายให้คณะกรรมการแก้ไข ฯ นํารายงานผลการหารือไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป “นายกรัฐมนตรีรับฟังและห่วงใยทุกปัญหาของพี่น้องคนไทย รวมทั้งโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ยืนยันว่าการลงไปในพื้นที่ของคณะทํางาน ชุดที่แล้ว เพื่อรวบรวมข้อมูลและเสนอรายงานผ่านคณะกรรมการตามขั้นตอน ให้คณะรัฐมนตรีทราบถึงประเด็นต่างๆ ในพื้นที่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังเน้นว่า การดําเนินโครงการ ฯ ทุกอย่างต้องผ่านประชาพิจารณ์และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ ทุกขั้นตอนต้องถูกต้อง สุจริต โปร่งใสและประชาชนต้องเห็นชอบ เป้าหมายสูงสุดคือ เพื่อการพัฒนาประเทศและประชาชนในพื้นที่ได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม นโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลดําเนินการส่วนหนึ่งต้องมาจากความต้องการของพี่น้องประชาชนด้วย” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าว -----------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” มอบ รอง.นรม.สุพัฒนพงษ์ ฯ นั่งประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ฯ โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ นายกฯ สั่งให้รับฟังความเห็นทุกฝ่าย วันพฤหัสบดีที่ 9 ธันวาคม 2564 โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” มอบ รอง.นรม.สุพัฒนพงษ์ ฯ นั่งประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ฯ โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ นายกฯ สั่งให้รับฟังความเห็นทุกฝ่าย โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” มอบ รอง.นรม.สุพัฒนพงษ์ ฯ นั่งประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ฯ โครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ นายกฯ สั่งให้รับฟังความเห็นทุกฝ่าย ให้ครบทุกมิติ เน้นแก้ปัญหารอบด้าน ยึดประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนในพื้นที่ วันนี้ (9 ธ.ค.64) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงนามคําสั่งสํานักนายกรัฐมนตรีที่ 330/2564 ลงวันที่ 3 ธันวาคม 64 แต่งตั้งนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีการดําเนินการขยายผลโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่นคั่ง ยั่งยืน” ไปสู่เมืองต้นแบบที่ 4 อําเภอจะนะ จังหวัดสงขลา “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” โดยสั่งให้เน้นการตรวจสอบและรับฟังปัญหาให้ครบทุกมิติ เพื่อนําไปสู่การพัฒนาภาคใต้อย่างยั่งยืน โดยต้องยึดประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนในพื้นที่ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีประชุมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2563 มีมติเพียงรับทราบรายงานผลการหารือแนวทางการแก้ไขปัญหาของกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น ตามที่คณะกรรมการแก้ไขปัญหาของขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรมเสนอ โดย ครม. มอบหมายให้คณะกรรมการแก้ไข ฯ นํารายงานผลการหารือไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน เพื่อกลับมาเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป “นายกรัฐมนตรีรับฟังและห่วงใยทุกปัญหาของพี่น้องคนไทย รวมทั้งโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ยืนยันว่าการลงไปในพื้นที่ของคณะทํางาน ชุดที่แล้ว เพื่อรวบรวมข้อมูลและเสนอรายงานผ่านคณะกรรมการตามขั้นตอน ให้คณะรัฐมนตรีทราบถึงประเด็นต่างๆ ในพื้นที่ ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังเน้นว่า การดําเนินโครงการ ฯ ทุกอย่างต้องผ่านประชาพิจารณ์และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ ทุกขั้นตอนต้องถูกต้อง สุจริต โปร่งใสและประชาชนต้องเห็นชอบ เป้าหมายสูงสุดคือ เพื่อการพัฒนาประเทศและประชาชนในพื้นที่ได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม นโยบายต่าง ๆ ที่รัฐบาลดําเนินการส่วนหนึ่งต้องมาจากความต้องการของพี่น้องประชาชนด้วย” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าว -----------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49272
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ นำชาวนา ผู้นำองค์กรชาวนาดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2565 และผู้บริหาร กษ. เข้าพบนายกฯ เพื่อรับฟังนโยบายด้านข้าว
วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 รัฐมนตรีเกษตรฯ นําชาวนา ผู้นําองค์กรชาวนาดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2565 และผู้บริหาร กษ. เข้าพบนายกฯ เพื่อรับฟังนโยบายด้านข้าว รัฐมนตรีเกษตรฯ นําชาวนา ผู้นําองค์กรชาวนาดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2565 และผู้บริหาร กษ. เข้าพบนายกฯ เพื่อรับฟังนโยบายด้านข้าว ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นําชาวนา ผู้นําองค์กรชาวนาดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2565 และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นําโดย ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าเยี่ยมคํานับและรับฟังนโยบายด้านข้าวจากนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นขวัญกําลังใจและรับทราบนโยบายด้านข้าวซึ่งจะนําไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสม เนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจําปี 2565 ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2552 เห็นชอบให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ เพื่อเป็นการรําลึกถึงความสําคัญของข้าวในฐานะที่เป็นพืชอาหารหลักและมีความสําคัญต่อวิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกําลังใจให้แก่ชาวนาไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารหลักให้กับประชาชน ซึ่งเปรียบเหมือนกระดูกสันหลังของชาติ ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีกับเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2565 โดยขอให้นําความรู้และประสบการณ์ไปต่อยอดพัฒนาสร้างมูลค่าผลผลิตข้าวให้มีราคาเพิ่มสูงขึ้น เป็นการเพิ่มพูนรายได้ให้กับครอบครัวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถช่วยขับเคลื่อนภาคการเกษตรให้มีความมั่นคงตลอดไป ซึ่งรัฐบาลได้เข้าใจปัญหา เข้าใจถึงความเดือดร้อนของพี่น้องชาวนา โดยที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี สําหรับการจัดทํา Zoning และแผนที่การเกษตร (Agri map) ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทําข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกข้าวอยู่ขณะนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการบริหารพื้นที่เพาะปลูกข้าวให้เหมาสมกับสภาพดินและแหล่งน้ํา และปริมาณความต้องการสําหรับบริโภค และการใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ และสินค้าแปรรูปที่มีมูลค่าอื่น ๆ ในส่วนของเรื่องพันธุ์ข้าว นายกรัฐมนตรีขอให้มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมทั้งการรับรองพันธุ์ข้าว โดยพิจารณากําหนดพื้นที่สําหรับทดลองเพาะปลูกพันธุ์ข้าวใหม่สําหรับบริโภค และใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวสามารถพัฒนาสายพันธุ์ข้าวใหม่ และเพิ่มองค์ความรู้ในเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าว เพื่อใช้ประโยชน์จากข้าวให้มากที่สุด ตอบสนองความต้องการของตลาด อีกทั้งขอให้ส่งเสริมระบบเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตต่อหน่วย ส่งเสริมการสร้าง Smart Farmer และเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีมาต่อยอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้รับฟังข้อคิดเห็นจากเกษตรกรผู้ได้รับรางวัลในปีนี้ ซึ่งสะท้อนออกมาว่า นโยบายการรวมกลุ่มเกษตรกรนั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก และมีหลายกลุ่มสามารถจดทะเบียนเป็นกลุ่มนาแปลงใหญ่ เพิ่มศักยภาพในการผลิตและจําหน่าย ขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนการเพาะปลูกได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคในเรื่องการส่งออกอยู่บ้าง ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯ รับไปดูแลแล้ว โดยในอนาคตจะเห็นเกษตรกรที่รวมกลุ่มฯ สามารถส่งออกข้าวไปยังผู้ซื้อต่างประเทศได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลาง มีรายได้เพิ่มอย่างยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ นำชาวนา ผู้นำองค์กรชาวนาดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2565 และผู้บริหาร กษ. เข้าพบนายกฯ เพื่อรับฟังนโยบายด้านข้าว วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 รัฐมนตรีเกษตรฯ นําชาวนา ผู้นําองค์กรชาวนาดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2565 และผู้บริหาร กษ. เข้าพบนายกฯ เพื่อรับฟังนโยบายด้านข้าว รัฐมนตรีเกษตรฯ นําชาวนา ผู้นําองค์กรชาวนาดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2565 และผู้บริหาร กษ. เข้าพบนายกฯ เพื่อรับฟังนโยบายด้านข้าว ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วย นายประภัตร โพธสุธน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นําชาวนา ผู้นําองค์กรชาวนาดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2565 และผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นําโดย ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าเยี่ยมคํานับและรับฟังนโยบายด้านข้าวจากนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นขวัญกําลังใจและรับทราบนโยบายด้านข้าวซึ่งจะนําไปสู่การปฏิบัติที่ถูกต้องเหมาะสม เนื่องในโอกาสวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจําปี 2565 ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล ทั้งนี้ จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2552 เห็นชอบให้วันที่ 5 มิถุนายนของทุกปี เป็นวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ เพื่อเป็นการรําลึกถึงความสําคัญของข้าวในฐานะที่เป็นพืชอาหารหลักและมีความสําคัญต่อวิถีชีวิตของคนไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งเชิดชูเกียรติและสร้างขวัญกําลังใจให้แก่ชาวนาไทยในฐานะผู้ผลิตอาหารหลักให้กับประชาชน ซึ่งเปรียบเหมือนกระดูกสันหลังของชาติ ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้แสดงความยินดีกับเกษตรกรและกลุ่มเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจําปี 2565 โดยขอให้นําความรู้และประสบการณ์ไปต่อยอดพัฒนาสร้างมูลค่าผลผลิตข้าวให้มีราคาเพิ่มสูงขึ้น เป็นการเพิ่มพูนรายได้ให้กับครอบครัวมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถช่วยขับเคลื่อนภาคการเกษตรให้มีความมั่นคงตลอดไป ซึ่งรัฐบาลได้เข้าใจปัญหา เข้าใจถึงความเดือดร้อนของพี่น้องชาวนา โดยที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ พยายามแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกษตรกรมีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี สําหรับการจัดทํา Zoning และแผนที่การเกษตร (Agri map) ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทําข้อมูลพื้นที่เพาะปลูกข้าวอยู่ขณะนี้ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการบริหารพื้นที่เพาะปลูกข้าวให้เหมาสมกับสภาพดินและแหล่งน้ํา และปริมาณความต้องการสําหรับบริโภค และการใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์ และสินค้าแปรรูปที่มีมูลค่าอื่น ๆ ในส่วนของเรื่องพันธุ์ข้าว นายกรัฐมนตรีขอให้มีการพัฒนาพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด รวมทั้งการรับรองพันธุ์ข้าว โดยพิจารณากําหนดพื้นที่สําหรับทดลองเพาะปลูกพันธุ์ข้าวใหม่สําหรับบริโภค และใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมผลิตอาหารสัตว์ รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวสามารถพัฒนาสายพันธุ์ข้าวใหม่ และเพิ่มองค์ความรู้ในเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์ข้าว เพื่อใช้ประโยชน์จากข้าวให้มากที่สุด ตอบสนองความต้องการของตลาด อีกทั้งขอให้ส่งเสริมระบบเกษตรแปลงใหญ่ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิตต่อหน่วย ส่งเสริมการสร้าง Smart Farmer และเกษตรกรรุ่นใหม่ โดยใช้เทคโนโลยีมาต่อยอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่นต่อไป นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้รับฟังข้อคิดเห็นจากเกษตรกรผู้ได้รับรางวัลในปีนี้ ซึ่งสะท้อนออกมาว่า นโยบายการรวมกลุ่มเกษตรกรนั้นเป็นสิ่งที่ดีมาก และมีหลายกลุ่มสามารถจดทะเบียนเป็นกลุ่มนาแปลงใหญ่ เพิ่มศักยภาพในการผลิตและจําหน่าย ขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนการเพาะปลูกได้ด้วย อย่างไรก็ตาม ยังมีอุปสรรคในเรื่องการส่งออกอยู่บ้าง ซึ่งทางกระทรวงเกษตรฯ รับไปดูแลแล้ว โดยในอนาคตจะเห็นเกษตรกรที่รวมกลุ่มฯ สามารถส่งออกข้าวไปยังผู้ซื้อต่างประเทศได้โดยตรง ไม่ต้องผ่านคนกลาง มีรายได้เพิ่มอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55527
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงวัยรุ่นมือใหม่ลงทุนในเงินดิจิทัล ชี้มีความผันผวนสูง ประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน เลือกบริษัทมีใบอนุญาต
วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม 2564 รองโฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงวัยรุ่นมือใหม่ลงทุนในเงินดิจิทัล ชี้มีความผันผวนสูง ประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน เลือกบริษัทมีใบอนุญาต รองโฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงวัยรุ่นมือใหม่ลงทุนในเงินดิจิทัล ชี้มีความผันผวนสูง ประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน เลือกบริษัทมีใบอนุญาต วันที่ 23 ตุลาคม 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงนักลงทุนในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่วัยทํางาน หลังพบว่า มีเข้ามาลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีเป็นจํานวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ด้วยเหตุเพราะเข้าถึงได้ง่าย ใช้ระยะเวลาสั้นแต่ได้รับผลตอบแทนที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม นายกฯ ฝากเตือนให้นักลงทุนพิจารณาถึงความเสี่ยงจากการลงทุนประเภทนี้ให้มาก เนื่องจากคริปโตเคอเรนซีไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เป็นการเก็งกําไรและมีความผันผวนสูง ส่วนผู้ปกครองที่เปิดบัญชีให้เยาวชน ต้องมีความระมัดระวังในการลงทุนและดูแลอย่างใกล้ชิด จึงขอให้ผู้สนใจที่จะลงทุนทําความเข้าใจในลักษณะความเสี่ยง ต้องแน่ใจว่าสามารถยอมรับการสูญเสียเกือบทั้งจํานวนได้ หาข้อมูลและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ และที่สําคัญ อย่าหลงเชื่อคําโฆษณา ต้องเลือกผู้ให้บริการที่ได้รับใบอนุญาตจากสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปัจจุบัน ข้อมูลจาก ก.ล.ต. รายงานว่า มีจํานวนบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล1.49ล้านบัญชีเป็นบัญชีที่มีความเคลื่อนไหว3.11 แสนบัญชีและมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันถึง6.6 พันล้านบาทและในบางช่วงเวลามีนักลงทุนที่เป็นเยาวชนอายุต่ํากว่า 20 ปี ประมาณ 3% วัยเริ่มทํางานอายุไม่เกิน 30 ปี ประมาณ 47% ขณะเดียวกัน ยังพบว่าจํานวนบริษัทที่ให้บริการด้านการลงทุนขยายตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งบางแห่งไม่มีใบอนุญาต ตามพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล จึงขอเตือนประชาชนและผู้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลให้ระมัดระวังการใช้บริการกับผู้ประกอบธุรกิจฯ ที่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตได้ที่ www.sec.or.th หรือทางแอปพลิเคชัน “SEC Check First” และหากมีข้อสงสัยหรือพบเบาะแสเกี่ยวกับการดําเนินการที่น่าสงสัย สามารถแจ้งได้ที่ “ศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต.” โทร 1207 ผู้ที่ฝ่าฝืนหรือการกระทําเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ จะถูกดําเนินคดีตามกฎหมายด้วย “นายกรัฐมนตรีดีใจที่คนรุ่นใหม่มีความสนใจในการลงทุน แต่การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง จึงอยากให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ รวมทั้งผู้ปกครอง ทําการศึกษาข้อมูล เรียนรู้ก่อนการลงทุนทุกครั้ง เพื่อเข้าใจถึงลักษณะความเสี่ยงของการลงทุน ประเมินตนเองว่าสามารถยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้หรือไม่ รวมทั้งต้องตรวจสอบผู้ให้บริการที่ถูกกฎหมาย อย่าหลงเชื่อบริษัทด้านการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลจากคําโฆษณา” นางสาวรัชดา กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองโฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงวัยรุ่นมือใหม่ลงทุนในเงินดิจิทัล ชี้มีความผันผวนสูง ประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน เลือกบริษัทมีใบอนุญาต วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม 2564 รองโฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงวัยรุ่นมือใหม่ลงทุนในเงินดิจิทัล ชี้มีความผันผวนสูง ประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน เลือกบริษัทมีใบอนุญาต รองโฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ ห่วงวัยรุ่นมือใหม่ลงทุนในเงินดิจิทัล ชี้มีความผันผวนสูง ประเมินความเสี่ยงก่อนลงทุน เลือกบริษัทมีใบอนุญาต วันที่ 23 ตุลาคม 2564 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงนักลงทุนในการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่วัยทํางาน หลังพบว่า มีเข้ามาลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีเป็นจํานวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ด้วยเหตุเพราะเข้าถึงได้ง่าย ใช้ระยะเวลาสั้นแต่ได้รับผลตอบแทนที่รวดเร็ว อย่างไรก็ตาม นายกฯ ฝากเตือนให้นักลงทุนพิจารณาถึงความเสี่ยงจากการลงทุนประเภทนี้ให้มาก เนื่องจากคริปโตเคอเรนซีไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เป็นการเก็งกําไรและมีความผันผวนสูง ส่วนผู้ปกครองที่เปิดบัญชีให้เยาวชน ต้องมีความระมัดระวังในการลงทุนและดูแลอย่างใกล้ชิด จึงขอให้ผู้สนใจที่จะลงทุนทําความเข้าใจในลักษณะความเสี่ยง ต้องแน่ใจว่าสามารถยอมรับการสูญเสียเกือบทั้งจํานวนได้ หาข้อมูลและพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ และที่สําคัญ อย่าหลงเชื่อคําโฆษณา ต้องเลือกผู้ให้บริการที่ได้รับใบอนุญาตจากสํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ปัจจุบัน ข้อมูลจาก ก.ล.ต. รายงานว่า มีจํานวนบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล1.49ล้านบัญชีเป็นบัญชีที่มีความเคลื่อนไหว3.11 แสนบัญชีและมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันถึง6.6 พันล้านบาทและในบางช่วงเวลามีนักลงทุนที่เป็นเยาวชนอายุต่ํากว่า 20 ปี ประมาณ 3% วัยเริ่มทํางานอายุไม่เกิน 30 ปี ประมาณ 47% ขณะเดียวกัน ยังพบว่าจํานวนบริษัทที่ให้บริการด้านการลงทุนขยายตัวอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งบางแห่งไม่มีใบอนุญาต ตามพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล จึงขอเตือนประชาชนและผู้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลให้ระมัดระวังการใช้บริการกับผู้ประกอบธุรกิจฯ ที่ไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากจะไม่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตได้ที่ www.sec.or.th หรือทางแอปพลิเคชัน “SEC Check First” และหากมีข้อสงสัยหรือพบเบาะแสเกี่ยวกับการดําเนินการที่น่าสงสัย สามารถแจ้งได้ที่ “ศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต.” โทร 1207 ผู้ที่ฝ่าฝืนหรือการกระทําเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ จะถูกดําเนินคดีตามกฎหมายด้วย “นายกรัฐมนตรีดีใจที่คนรุ่นใหม่มีความสนใจในการลงทุน แต่การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง จึงอยากให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ รวมทั้งผู้ปกครอง ทําการศึกษาข้อมูล เรียนรู้ก่อนการลงทุนทุกครั้ง เพื่อเข้าใจถึงลักษณะความเสี่ยงของการลงทุน ประเมินตนเองว่าสามารถยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้หรือไม่ รวมทั้งต้องตรวจสอบผู้ให้บริการที่ถูกกฎหมาย อย่าหลงเชื่อบริษัทด้านการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลจากคําโฆษณา” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47296
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดีกับทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในการแข่งขันวอลเลย์บอล Nations League
วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม 2565 นายกฯ ยินดีกับทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในการแข่งขันวอลเลย์บอล Nations League นายกฯ ยินดีกับทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในการแข่งขันวอลเลย์บอล Nations League วันนี้ (4 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยสามารถผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงเนชั่นส์ลีก 2022 หรือ VNL 2022 (FIVB Volleyball Women's Nations League 2022) ได้เป็นครั้งแรกในรายการแข่งขันเนชั่นส์ลีก หลังทําผลงานได้อย่างดีเยี่ยมตลอดทั้งการแข่งขัน สร้างความสุขให้พี่น้องชาวไทย โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยซึ่งลงแข่งขันรายการ VNL 2022 ในสนามที่ 3 ณ กรุงโซเฟีย ประเทศบัลแกเรีย ทําการแข่งขัน 4 นัดที่เหลือ พบกับทีมเกาหลีใต้ โดมินิกัน บราซิล และอิตาลี โดยสาวไทยสามารถชนะเกาหลีใต้ 3-0 เซต แต่แพ้โดมินิกัน 1-3 เซต บราซิล 1-3 เซต และแพ้อิตาลี 0-3 ทําให้ทีมไทยแข่งขันไปแล้ว 12 นัด ชนะ 5 นัด แพ้ 7 นัด อย่างไรก็ตาม ผลงานสุดน่าประทับใจของวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยตลอดการแข่งขันรายการ VNL 2022 ตั้งแต่สัปดาห์แรก ยังคงสามารถทําให้คะแนนสะสมของไทยอยู่ใน 8 ลําดับแรกของตาราง สามารถผ่านเข้าไปแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศ (quarter-final) ซึ่งนับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ของทีมชาติไทยที่สามารถเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในรายการแข่งขันเนชั่นส์ลีก นอกจากนี้ ลําดับโลกของทีมไทยล่าสุดขณะนี้ ยังขยับมาอยู่ที่ลําดับที่ 14 ของโลก จากก่อนหน้านี้ที่อยู่ลําดับที่ 19 ก่อนเข้าร่วมการแข่งขัน ทั้งนี้ ทีมสาวไทยจะเข้าไปแข่งรอบตัดเชือกกับทูร์เคีย(Türkiye) ทีมลําดับที่ 5 ของโลก ซึ่งเป็นเจ้าภาพการแข่งขันในสนามสุดท้าย ณ กรุงอังการา ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2565 นี้ “นายกรัฐมนตรียินดีอย่างยิ่งที่วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยทําผลงานได้ยอดเยี่ยม สร้างรอยยิ้มให้พี่น้องชาวไทยได้อย่างสม่ําเสมอ โดยตลอดการแข่งขันที่ผ่านมา สาวไทยได้ทําให้นานาชาติและแฟน ๆ กีฬาวอลเลย์บอลทั่วโลกได้เห็นถึงความสามารถ ศักยภาพ และทักษะการเล่นวอลเลย์บอลที่ยอดเยี่ยมและน่าประทับใจ ส่งผลให้ทีมสาวไทยได้ผ่านเข้ารอบได้ในที่สุด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอส่งแรงเชียร์และเป็นกําลังใจให้วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยในการแข่งขันรอบต่อไป” นายธนกรฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยินดีกับทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในการแข่งขันวอลเลย์บอล Nations League วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม 2565 นายกฯ ยินดีกับทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในการแข่งขันวอลเลย์บอล Nations League นายกฯ ยินดีกับทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในการแข่งขันวอลเลย์บอล Nations League วันนี้ (4 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยสามารถผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงเนชั่นส์ลีก 2022 หรือ VNL 2022 (FIVB Volleyball Women's Nations League 2022) ได้เป็นครั้งแรกในรายการแข่งขันเนชั่นส์ลีก หลังทําผลงานได้อย่างดีเยี่ยมตลอดทั้งการแข่งขัน สร้างความสุขให้พี่น้องชาวไทย โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยซึ่งลงแข่งขันรายการ VNL 2022 ในสนามที่ 3 ณ กรุงโซเฟีย ประเทศบัลแกเรีย ทําการแข่งขัน 4 นัดที่เหลือ พบกับทีมเกาหลีใต้ โดมินิกัน บราซิล และอิตาลี โดยสาวไทยสามารถชนะเกาหลีใต้ 3-0 เซต แต่แพ้โดมินิกัน 1-3 เซต บราซิล 1-3 เซต และแพ้อิตาลี 0-3 ทําให้ทีมไทยแข่งขันไปแล้ว 12 นัด ชนะ 5 นัด แพ้ 7 นัด อย่างไรก็ตาม ผลงานสุดน่าประทับใจของวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยตลอดการแข่งขันรายการ VNL 2022 ตั้งแต่สัปดาห์แรก ยังคงสามารถทําให้คะแนนสะสมของไทยอยู่ใน 8 ลําดับแรกของตาราง สามารถผ่านเข้าไปแข่งขันรอบก่อนรองชนะเลิศ (quarter-final) ซึ่งนับเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ของทีมชาติไทยที่สามารถเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้เป็นครั้งแรกในรายการแข่งขันเนชั่นส์ลีก นอกจากนี้ ลําดับโลกของทีมไทยล่าสุดขณะนี้ ยังขยับมาอยู่ที่ลําดับที่ 14 ของโลก จากก่อนหน้านี้ที่อยู่ลําดับที่ 19 ก่อนเข้าร่วมการแข่งขัน ทั้งนี้ ทีมสาวไทยจะเข้าไปแข่งรอบตัดเชือกกับทูร์เคีย(Türkiye) ทีมลําดับที่ 5 ของโลก ซึ่งเป็นเจ้าภาพการแข่งขันในสนามสุดท้าย ณ กรุงอังการา ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2565 นี้ “นายกรัฐมนตรียินดีอย่างยิ่งที่วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยทําผลงานได้ยอดเยี่ยม สร้างรอยยิ้มให้พี่น้องชาวไทยได้อย่างสม่ําเสมอ โดยตลอดการแข่งขันที่ผ่านมา สาวไทยได้ทําให้นานาชาติและแฟน ๆ กีฬาวอลเลย์บอลทั่วโลกได้เห็นถึงความสามารถ ศักยภาพ และทักษะการเล่นวอลเลย์บอลที่ยอดเยี่ยมและน่าประทับใจ ส่งผลให้ทีมสาวไทยได้ผ่านเข้ารอบได้ในที่สุด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีขอส่งแรงเชียร์และเป็นกําลังใจให้วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยในการแข่งขันรอบต่อไป” นายธนกรฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56476
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลสำรวจระบุประชาชนเดือดร้อนมากสุดจากปัญหาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ รองลงมาเป็นรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ส่วนมาตรการกระตุ้มเศรษฐกิจที่มีประโยชน์มากที่สุดคือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2565 ผลสํารวจระบุประชาชนเดือดร้อนมากสุดจากปัญหาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ํา รองลงมาเป็นรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ส่วนมาตรการกระตุ้มเศรษฐกิจที่มีประโยชน์มากที่สุดคือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผลสํารวจระบุประชาชนเดือดร้อนมากสุดจากปัญหาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ํา รองลงมาเป็นรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ส่วนมาตรการกระตุ้มเศรษฐกิจที่มีประโยชน์มากที่สุดคือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วันที่ 16 สิงหาคม 2565 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายงานผลการสํารวจความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน พ.ศ.2565 โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติได้จัดเก็บข้อมูลจากผู้นําหมู่บ้าน/ชุมชน ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 15 มีนาคม 2565 ซึ่ง 5 อันดับแรกของปัญหาความเดือดร้อนคือ ผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ํา ร้อยละ 42.7 , รายได้ไม่พอกับรายจ่าย ร้อยละ 26.8, ว่างงาน/ตกงาน ร้อยละ 23.9, สินค้าราคาแพง ร้อยละ 23.3 และค่าครองชีพสูง ร้อยละ 15.8 สําหรับผลสํารวจด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประโยชน์ต่อคนในหมู่บ้านมากที่สุด คือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร้อยละ 97.6 รองลงมาเป็น โครงการคนละครึ่ง ร้อยละ 96.5 ,โครงการม.33 เรารักกัน ร้อยละ 74.8 , โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ร้อยละ 38.3 ,โครงการยิ่งใช้ ยิ่งได้ ร้อยละ 31.1, ทัวร์เที่ยวไทย ร้อยละ 31 และช้อปดีมีคืน ร้อยละ 30.1 ส่วนผลสํารวจแนวทางและมาตรการป้องกันให้ปลอดภัยจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)ได้มากที่สุด 5 อันดับแรก คือ ฉีดวัคซีนเข็มแรก ร้อยละ 81.4, ปฏิบัติตัวตามมาตรการของสาธารณสุข ร้อยละ 80.3, ขอความร่วมมือประชาชนงดเดินทางหากไม่จําเป็น ร้อยละ 61.7, ปิดสถานบริการ/ร้านค้าที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ร้อยละ 40 และแจก ATK ให้ทุกครัวเรือน ร้อยละ 38 ขณะเดียวกันสํานักงานสถิติแห่งชาติได้มีข้อเสนอแนะ เชิงนโยบายที่สําคัญ เช่น ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรทําการเกษตรแบบผสมผสาน ตามแนวพระราชดําริ เพื่อให้สามารถพึ่งตนเองได้, ควรมีการสนับสนุนวิธีการแก้ปัญหาการขาดแคลนแหล่งน้ําในพื้นที่การเกษตร เช่น การทําฝนเทียม ขุดลอกหนอง บึง สระเก็บน้ํา และอุโมงค์ผันน้ํา, ควรส่งเสริมและสนับสนุนประชาชนในพื้นที่ขาดแคลนน้ําอุปโภค บริโภค ให้รู้ถึงวิธีการนําน้ําที่ใช้แล้วกลับมาใช้ประโยชน์อย่างรู้คุณค่า, ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยี เพื่อลดความเหลื่อมล้ําในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย และควรมีการติดตาม ตรวจสอบ และแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนในระดับพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงครอบคลุมทุกพื้นที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลสำรวจระบุประชาชนเดือดร้อนมากสุดจากปัญหาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ รองลงมาเป็นรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ส่วนมาตรการกระตุ้มเศรษฐกิจที่มีประโยชน์มากที่สุดคือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2565 ผลสํารวจระบุประชาชนเดือดร้อนมากสุดจากปัญหาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ํา รองลงมาเป็นรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ส่วนมาตรการกระตุ้มเศรษฐกิจที่มีประโยชน์มากที่สุดคือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ผลสํารวจระบุประชาชนเดือดร้อนมากสุดจากปัญหาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ํา รองลงมาเป็นรายได้ไม่พอกับรายจ่าย ส่วนมาตรการกระตุ้มเศรษฐกิจที่มีประโยชน์มากที่สุดคือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ วันที่ 16 สิงหาคม 2565 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบรายงานผลการสํารวจความเดือดร้อนและความต้องการของประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชน พ.ศ.2565 โดยสํานักงานสถิติแห่งชาติได้จัดเก็บข้อมูลจากผู้นําหมู่บ้าน/ชุมชน ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ – 15 มีนาคม 2565 ซึ่ง 5 อันดับแรกของปัญหาความเดือดร้อนคือ ผลผลิตทางการเกษตรราคาตกต่ํา ร้อยละ 42.7 , รายได้ไม่พอกับรายจ่าย ร้อยละ 26.8, ว่างงาน/ตกงาน ร้อยละ 23.9, สินค้าราคาแพง ร้อยละ 23.3 และค่าครองชีพสูง ร้อยละ 15.8 สําหรับผลสํารวจด้านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประโยชน์ต่อคนในหมู่บ้านมากที่สุด คือ โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ร้อยละ 97.6 รองลงมาเป็น โครงการคนละครึ่ง ร้อยละ 96.5 ,โครงการม.33 เรารักกัน ร้อยละ 74.8 , โครงการเราเที่ยวด้วยกัน ร้อยละ 38.3 ,โครงการยิ่งใช้ ยิ่งได้ ร้อยละ 31.1, ทัวร์เที่ยวไทย ร้อยละ 31 และช้อปดีมีคืน ร้อยละ 30.1 ส่วนผลสํารวจแนวทางและมาตรการป้องกันให้ปลอดภัยจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)ได้มากที่สุด 5 อันดับแรก คือ ฉีดวัคซีนเข็มแรก ร้อยละ 81.4, ปฏิบัติตัวตามมาตรการของสาธารณสุข ร้อยละ 80.3, ขอความร่วมมือประชาชนงดเดินทางหากไม่จําเป็น ร้อยละ 61.7, ปิดสถานบริการ/ร้านค้าที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ร้อยละ 40 และแจก ATK ให้ทุกครัวเรือน ร้อยละ 38 ขณะเดียวกันสํานักงานสถิติแห่งชาติได้มีข้อเสนอแนะ เชิงนโยบายที่สําคัญ เช่น ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรทําการเกษตรแบบผสมผสาน ตามแนวพระราชดําริ เพื่อให้สามารถพึ่งตนเองได้, ควรมีการสนับสนุนวิธีการแก้ปัญหาการขาดแคลนแหล่งน้ําในพื้นที่การเกษตร เช่น การทําฝนเทียม ขุดลอกหนอง บึง สระเก็บน้ํา และอุโมงค์ผันน้ํา, ควรส่งเสริมและสนับสนุนประชาชนในพื้นที่ขาดแคลนน้ําอุปโภค บริโภค ให้รู้ถึงวิธีการนําน้ําที่ใช้แล้วกลับมาใช้ประโยชน์อย่างรู้คุณค่า, ควรส่งเสริมและสนับสนุนให้เกษตรกรใช้เทคโนโลยี เพื่อลดความเหลื่อมล้ําในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย และควรมีการติดตาม ตรวจสอบ และแก้ไขความเดือดร้อนของประชาชนในระดับพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงครอบคลุมทุกพื้นที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58080
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมชมการดำเนินงานโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดพังงา
วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมชมการดําเนินงานโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดพังงา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมชมการดําเนินงานโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดพังงา พร้อมขับเคลื่อนโครงการของกระทรวงเกษตรฯ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังติดตามผลการดําเนินโครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมนุม (One/Stop Service) และโครงการยกระดับแปลงใหญ่ จังหวัดพังงา พร้อมรับฟังปัญหาจากประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ ณ ที่ทําการกลุ่มเกษตรกรทําสวนโคกกลอย ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ว่า โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมนุม (One/Stop Service) เป็นโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการวิเคราะห์ดิน และใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้พัฒนาศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน (ศดปช.) ที่มีศักยภาพให้สามารถดําเนินธุรกิจในการจัดหาปุ๋ยที่มีคุณภาพ และผสมปุ๋ยจําหน่ายให้เกษตรกรสมาชิก เกษตรกรแปลงใหญ่ และผู้สนใจทั่วไปในชุมชน ซึ่งสามารถต่อยอดในเชิงธุรกิจ และเป็นการช่วยสร้างความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองให้แก่เกษตรกรได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ จังหวัดพังงาได้ดําเนินงานโครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน (One Stop Service) โดยมีเป้าหมายเกษตรกร 1,088 ราย ใน ศดปช. 4 อําเภอ คือ อําเภอทับปุด อําเภอเมืองพังงา อําเภอเกาะยาว และอําเภอตะกั่วป่า โดยมีการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการทางเทคนิคและการบริหารธุรกิจให้แก่สมาชิก ศดปช. จัดเวทีเชื่อมโยงเครือข่าย ศดปช. กับ ศพก. และแปลงใหญ่ สนับสนุน Soil test kit ในการให้บริการตรวจวิเคราะห์ดิน สนับสนุนแม่ปุ๋ย 3 ชนิด คือ สูตร 46-0-0 สูตร 18-46-0 และสูตร 0-0-60 รวมถึงสนับสนุนเครื่องผสมปุ๋ยเคมี ซึ่งผลสําเร็จจากโครงการฯ ในปี 2564 คือ เกษตรกรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตเฉลี่ย ร้อยละ 20 ด้านการใช้ปุ๋ย เกษตรกรมีองค์ความรู้ด้านการใช้ปุ๋ย ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการตรวจวิเคราะห์ดิน และการผสมปุ๋ยใช้เอง ศดปช. มีศักยภาพในการจัดหาปุ๋ยที่มีคุณภาพให้ชุมชน สร้างความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองให้แก่เกษตรกร รวมถึงสร้างงานสร้างรายได้ให้กับสมาชิก ศดปช. และคนในชุมชนอีกด้วย และในปี 2565 จะขยายผลในพื้นที่เป้าหมายอีก 2 แห่ง คือ ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนตําบลโคกกลอย อําเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา และศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนอําเภอคุระบุรี ตําบลแม่นางขาว อําเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ด้านโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด เป็นการเพิ่มศักยภาพของระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ มีการนําหลักวิชาการเกษตรสมัยใหม่มาปรับใช้ร่วมกับการทําการเชื่อมโยงตลาดสินค้า ตามนโยบายตลาดนําการผลิต ก่อให้เกิดความร่วมมือในการผลิต โดยเกษตรกรหรือองค์กรเกษตรกรในพื้นที่ที่มีการทํากิจกรรมด้านการเกษตรที่ใกล้เคียงกัน หรือมีพื้นที่ติดต่อกัน ซึ่งเกษตรกรเป็นศูนย์กลางในการดําเนินงาน เน้นผลักดันให้มีการรวมกลุ่มในการผลิต เพื่อร่วมกันจัดหาปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพดี ราคาถูกและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสม เช่น เครื่องจักรกลการเกษตร (Motor Pool) เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ตลอดจนการจัดการร่วมกันด้านการตลาด ช่วยพัฒนาเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาเชิงพื้นที่ตามศักยภาพสู่การพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรตามความต้องการตลาด ด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วน และทําให้มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น (Economy of Scale) ในที่สุด สําหรับโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด จังหวัดพังงาได้จัดตั้งแปลงใหญ่มังคุด หมู่ 1,2,4 ตําบลเหมาะ อําเภอกะปง จังหวัดพังงา ขึ้นในปี 2559 เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตล้นตลาด และราคาผลผลิตตกต่ํา ต่อมาได้เข้าร่วมโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด เพื่อจัดหาเครื่องจักรกลเกษตรเข้ามาช่วยในขั้นตอนการคัดคุณภาพและขนาดของผลผลิต ทําให้สามารถลดต้นทุนค่าแรงงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการรวบรวมผลผลิตในปริมาณที่สูงขึ้น รวมถึงการแปรรูปมังคุดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มช่องทางการตลาดในช่วงมังคุดล้นตลาดหรือราคาตกต่ํา เพื่อสร้างอาชีพที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมชมการดำเนินงานโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดพังงา วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมชมการดําเนินงานโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดพังงา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เยี่ยมชมการดําเนินงานโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดพังงา พร้อมขับเคลื่อนโครงการของกระทรวงเกษตรฯ เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังติดตามผลการดําเนินโครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมนุม (One/Stop Service) และโครงการยกระดับแปลงใหญ่ จังหวัดพังงา พร้อมรับฟังปัญหาจากประชาชนและเกษตรกรในพื้นที่ ณ ที่ทําการกลุ่มเกษตรกรทําสวนโคกกลอย ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา ว่า โครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมนุม (One/Stop Service) เป็นโครงการภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 สามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในการวิเคราะห์ดิน และใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดิน โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้พัฒนาศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชน (ศดปช.) ที่มีศักยภาพให้สามารถดําเนินธุรกิจในการจัดหาปุ๋ยที่มีคุณภาพ และผสมปุ๋ยจําหน่ายให้เกษตรกรสมาชิก เกษตรกรแปลงใหญ่ และผู้สนใจทั่วไปในชุมชน ซึ่งสามารถต่อยอดในเชิงธุรกิจ และเป็นการช่วยสร้างความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองให้แก่เกษตรกรได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ จังหวัดพังงาได้ดําเนินงานโครงการพัฒนาธุรกิจบริการดินและปุ๋ยเพื่อชุมชน (One Stop Service) โดยมีเป้าหมายเกษตรกร 1,088 ราย ใน ศดปช. 4 อําเภอ คือ อําเภอทับปุด อําเภอเมืองพังงา อําเภอเกาะยาว และอําเภอตะกั่วป่า โดยมีการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการทางเทคนิคและการบริหารธุรกิจให้แก่สมาชิก ศดปช. จัดเวทีเชื่อมโยงเครือข่าย ศดปช. กับ ศพก. และแปลงใหญ่ สนับสนุน Soil test kit ในการให้บริการตรวจวิเคราะห์ดิน สนับสนุนแม่ปุ๋ย 3 ชนิด คือ สูตร 46-0-0 สูตร 18-46-0 และสูตร 0-0-60 รวมถึงสนับสนุนเครื่องผสมปุ๋ยเคมี ซึ่งผลสําเร็จจากโครงการฯ ในปี 2564 คือ เกษตรกรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิตเฉลี่ย ร้อยละ 20 ด้านการใช้ปุ๋ย เกษตรกรมีองค์ความรู้ด้านการใช้ปุ๋ย ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการตรวจวิเคราะห์ดิน และการผสมปุ๋ยใช้เอง ศดปช. มีศักยภาพในการจัดหาปุ๋ยที่มีคุณภาพให้ชุมชน สร้างความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองให้แก่เกษตรกร รวมถึงสร้างงานสร้างรายได้ให้กับสมาชิก ศดปช. และคนในชุมชนอีกด้วย และในปี 2565 จะขยายผลในพื้นที่เป้าหมายอีก 2 แห่ง คือ ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนตําบลโคกกลอย อําเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา และศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนอําเภอคุระบุรี ตําบลแม่นางขาว อําเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา ด้านโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด เป็นการเพิ่มศักยภาพของระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ มีการนําหลักวิชาการเกษตรสมัยใหม่มาปรับใช้ร่วมกับการทําการเชื่อมโยงตลาดสินค้า ตามนโยบายตลาดนําการผลิต ก่อให้เกิดความร่วมมือในการผลิต โดยเกษตรกรหรือองค์กรเกษตรกรในพื้นที่ที่มีการทํากิจกรรมด้านการเกษตรที่ใกล้เคียงกัน หรือมีพื้นที่ติดต่อกัน ซึ่งเกษตรกรเป็นศูนย์กลางในการดําเนินงาน เน้นผลักดันให้มีการรวมกลุ่มในการผลิต เพื่อร่วมกันจัดหาปัจจัยการผลิตที่มีคุณภาพดี ราคาถูกและการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีการเกษตรที่เหมาะสม เช่น เครื่องจักรกลการเกษตร (Motor Pool) เพื่อลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ตลอดจนการจัดการร่วมกันด้านการตลาด ช่วยพัฒนาเกษตรกรให้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาเชิงพื้นที่ตามศักยภาพสู่การพัฒนาคุณภาพสินค้าเกษตรตามความต้องการตลาด ด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วน และทําให้มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ขึ้น (Economy of Scale) ในที่สุด สําหรับโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด จังหวัดพังงาได้จัดตั้งแปลงใหญ่มังคุด หมู่ 1,2,4 ตําบลเหมาะ อําเภอกะปง จังหวัดพังงา ขึ้นในปี 2559 เพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตล้นตลาด และราคาผลผลิตตกต่ํา ต่อมาได้เข้าร่วมโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด เพื่อจัดหาเครื่องจักรกลเกษตรเข้ามาช่วยในขั้นตอนการคัดคุณภาพและขนาดของผลผลิต ทําให้สามารถลดต้นทุนค่าแรงงาน และเพิ่มขีดความสามารถในการรวบรวมผลผลิตในปริมาณที่สูงขึ้น รวมถึงการแปรรูปมังคุดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มและเพิ่มช่องทางการตลาดในช่วงมังคุดล้นตลาดหรือราคาตกต่ํา เพื่อสร้างอาชีพที่มั่นคงให้แก่เกษตรกรต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48246
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลช่วยลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์-จักรยานยนต์ เตรียมออกมาตรการกำกับธุรกิจเช่าซื้อ ทบทวนระเบียบป้องกันลูกหนี้ถูกเอาเปรียบ
วันจันทร์ที่ 3 มกราคม 2565 รัฐบาลช่วยลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์-จักรยานยนต์ เตรียมออกมาตรการกํากับธุรกิจเช่าซื้อ ทบทวนระเบียบป้องกันลูกหนี้ถูกเอาเปรียบ รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ค่างวดต่ํากว่าพันห้ามเก็บค่าทวงหนี้ ทบทวนระเบียบเพื่อป้องกันการคิดดอกเบี้ยเกินความเสี่ยงที่แท้จริง เงื่อนไขยึดรถต้องเป็นธรรม เล็งตั้งหน่วยงานกํากับธุรกิจเช่าซื้อเป็นการเฉพาะ วันที่ 3 ม.ค. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยปัจจุบันพบว่า ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในการกํากับดูแลธุรกิจเช่าซื้อ และไม่มีหน่วยงานที่ทําหน้าที่กํากับดูแลธุรกรรมเช่าซื้อเป็นการเฉพาะ ทําให้เกิดการทวงหนี้ที่ไม่เป็นธรรม รัฐบาลโดยคณะกรรมการกํากับการทวงถามหนี้ จึงได้เข้าไปแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในเบื้องต้นได้มีการออกประกาศกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการทวงหนี้ เพื่อคุ้มครองลูกหนี้ไม่ให้ถูกเก็บเงินในการทวงถามหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เกินความจําเป็น มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 14 กันยายน ที่ผ่านมา สาระสําคัญ คือ 1) อัตราค่าทวงถามหนี้กรณีทั่วไปรวมจํานําทะเบียนให้คิดไม่เกิน 50 บาทต่อรอบการทวงถามกรณีค้างชําระ 1 งวดและคิดไม่เกิน 100 บาทต่อรอบการทวงถามกรณีค้างชําระมากกว่า 1 งวด 2) อัตราค่าทวงถามหนี้สําหรับปฏิบัติการลงพื้นที่ติดตามถามหนี้ฯ คิดไม่เกิน 400 บาทต่อรอบการทวงถาม และเก็บต่อเมื่อลูกหนี้ค้างชําระมากกว่า 1 งวด 3) กําหนดให้ไม่มีการเก็บค่าทวงถามหนี้ กรณีค่างวดที่ถึงกําหนดชําระต่ํากว่า 1,000 บาท เพื่อคุ้มครองประชาชนรายย่อยที่จ่ายค่างวดจํานวนน้อยๆ ขณะเดียวกัน สํานักงานคณะกรรมการการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) อยู่ระหว่างการทบทวนและปรับปรุงประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเพื่อแก้ไขหนี้เช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ เพื่อกําหนดอัตราดอกเบี้ยไม่ให้สูงกว่าความเสี่ยงที่แท้จริง พร้อมทั้งปรับปรุงเงื่อนไขการยึดและคืนรถให้เป็นธรรมมากขึ้น รวมทั้งกําหนดแนวทางการคิดยอดหนี้เช่าซื้อคงเหลือกรณีที่มีการคืนรถและกรณีที่เจ้าหนี้ยึดคืนให้ชัดเจนและเป็นธรรม คาดว่าจะสามารถประการใช้ในอีกไม่นานนี้ และทุกขั้นตอนต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนเรื่องที่ต้องดําเนินการเพิ่มเติมจากนี้ เพื่อให้สําเร็จตามเป้าหมายให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน นางสาวรัชดา กล่าวว่า จะประกอบด้วย สามเรื่องด้วยกันคือ 1. การกําหนดหน่วยงานเพื่อเข้ามากํากับดูแลธุรกิจสินเชื่อหรือธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อเพื่อให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์มีหน่วยงานกํากับดูแลเป็นการเฉพาะ 2. พิจารณามาตรการดูแลประชาชนที่เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ปัจจุบันไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของสคบ. เช่น คนขับรถแท็กซี่ คนขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เช่าซื้อรถมอเตอร์ไซต์ เกษตรกรที่เช่าซื้อรถไถมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทํามาหากิน ซึ่งปัจจุบันคนกลุ่มนี้กําลังประสบปัญหาและไม่ได้รับความเป็นธรรม 3. จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาจากกรณีเช่าซื้อรถและการทวงถามหนี้ที่ไม่เป็นธรรมเพื่อให้มีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน .....................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลช่วยลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์-จักรยานยนต์ เตรียมออกมาตรการกำกับธุรกิจเช่าซื้อ ทบทวนระเบียบป้องกันลูกหนี้ถูกเอาเปรียบ วันจันทร์ที่ 3 มกราคม 2565 รัฐบาลช่วยลูกหนี้เช่าซื้อรถยนต์-จักรยานยนต์ เตรียมออกมาตรการกํากับธุรกิจเช่าซื้อ ทบทวนระเบียบป้องกันลูกหนี้ถูกเอาเปรียบ รัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ค่างวดต่ํากว่าพันห้ามเก็บค่าทวงหนี้ ทบทวนระเบียบเพื่อป้องกันการคิดดอกเบี้ยเกินความเสี่ยงที่แท้จริง เงื่อนไขยึดรถต้องเป็นธรรม เล็งตั้งหน่วยงานกํากับธุรกิจเช่าซื้อเป็นการเฉพาะ วันที่ 3 ม.ค. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี โดยปัจจุบันพบว่า ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในการกํากับดูแลธุรกิจเช่าซื้อ และไม่มีหน่วยงานที่ทําหน้าที่กํากับดูแลธุรกรรมเช่าซื้อเป็นการเฉพาะ ทําให้เกิดการทวงหนี้ที่ไม่เป็นธรรม รัฐบาลโดยคณะกรรมการกํากับการทวงถามหนี้ จึงได้เข้าไปแก้ไขปัญหาดังกล่าว ในเบื้องต้นได้มีการออกประกาศกําหนดอัตราค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายในการทวงหนี้ เพื่อคุ้มครองลูกหนี้ไม่ให้ถูกเก็บเงินในการทวงถามหนี้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เกินความจําเป็น มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 14 กันยายน ที่ผ่านมา สาระสําคัญ คือ 1) อัตราค่าทวงถามหนี้กรณีทั่วไปรวมจํานําทะเบียนให้คิดไม่เกิน 50 บาทต่อรอบการทวงถามกรณีค้างชําระ 1 งวดและคิดไม่เกิน 100 บาทต่อรอบการทวงถามกรณีค้างชําระมากกว่า 1 งวด 2) อัตราค่าทวงถามหนี้สําหรับปฏิบัติการลงพื้นที่ติดตามถามหนี้ฯ คิดไม่เกิน 400 บาทต่อรอบการทวงถาม และเก็บต่อเมื่อลูกหนี้ค้างชําระมากกว่า 1 งวด 3) กําหนดให้ไม่มีการเก็บค่าทวงถามหนี้ กรณีค่างวดที่ถึงกําหนดชําระต่ํากว่า 1,000 บาท เพื่อคุ้มครองประชาชนรายย่อยที่จ่ายค่างวดจํานวนน้อยๆ ขณะเดียวกัน สํานักงานคณะกรรมการการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) อยู่ระหว่างการทบทวนและปรับปรุงประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเพื่อแก้ไขหนี้เช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์ เพื่อกําหนดอัตราดอกเบี้ยไม่ให้สูงกว่าความเสี่ยงที่แท้จริง พร้อมทั้งปรับปรุงเงื่อนไขการยึดและคืนรถให้เป็นธรรมมากขึ้น รวมทั้งกําหนดแนวทางการคิดยอดหนี้เช่าซื้อคงเหลือกรณีที่มีการคืนรถและกรณีที่เจ้าหนี้ยึดคืนให้ชัดเจนและเป็นธรรม คาดว่าจะสามารถประการใช้ในอีกไม่นานนี้ และทุกขั้นตอนต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่วนเรื่องที่ต้องดําเนินการเพิ่มเติมจากนี้ เพื่อให้สําเร็จตามเป้าหมายให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน นางสาวรัชดา กล่าวว่า จะประกอบด้วย สามเรื่องด้วยกันคือ 1. การกําหนดหน่วยงานเพื่อเข้ามากํากับดูแลธุรกิจสินเชื่อหรือธุรกรรมที่มีลักษณะคล้ายสินเชื่อเพื่อให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์มีหน่วยงานกํากับดูแลเป็นการเฉพาะ 2. พิจารณามาตรการดูแลประชาชนที่เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ปัจจุบันไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของสคบ. เช่น คนขับรถแท็กซี่ คนขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่เช่าซื้อรถมอเตอร์ไซต์ เกษตรกรที่เช่าซื้อรถไถมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือทํามาหากิน ซึ่งปัจจุบันคนกลุ่มนี้กําลังประสบปัญหาและไม่ได้รับความเป็นธรรม 3. จัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนปัญหาจากกรณีเช่าซื้อรถและการทวงถามหนี้ที่ไม่เป็นธรรมเพื่อให้มีผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน .....................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50155
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบกรมทางหลวงสนับสนุนเลือกตั้งท้องถิ่น อำนวยความสะดวกปลอดภัยดูแลประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลำเนา
วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบกรมทางหลวงสนับสนุนเลือกตั้งท้องถิ่น อํานวยความสะดวกปลอดภัยดูแลประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลําเนา ระหว่างวันที่ 27 - 28 พฤศจิกายน 2564 นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายศักดิ์สยามชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีความห่วงใยประชาชนที่คาดว่าจะเดินทางกลับภูมิลําเนา เป็นจํานวนมากเพื่อไปเลือกตั้งสมาชิกและนายกองค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2564โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กําหนดไว้กว่า 5,300 แห่งทั่วประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงมอบให้กรมทางหลวง (ทล.) เตรียมความพร้อมในการอํานวยความสะดวกและปลอดภัย เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ในช่วงวันหยุดระหว่างวันที่ 27 - 28 พฤศจิกายน 2564 เนื่องจากหลายพื้นที่มีการเลือกตั้งองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งคาดการณ์ว่าประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลําเนาเป็นจํานวนมาก เพื่ออํานวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทาง ทล. ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดดําเนินการดังนี้ 1. จัดเตรียมเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย ให้มีความพร้อมในการออกปฏิบัติงาน เมื่อมีอุบัติเหตุหรือมีจราจรติดขัดสะสมบนเส้นทาง โดยร่วมกับกองบังคับการตํารวจทางหลวงและตํารวจท้องที่ในการบริหารสัญญาณไฟจราจร พิจารณาความพร้อมเปิดใช้ทางจราจรช่องทางพิเศษ รวมทั้งให้บริหารจัดการโดยนํารถตรวจการณ์ Mobile VMS (MVMS) มาใช้สําหรับบริหารจราจร/อุบัติเหตุ ตลอดจนประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่าง ๆ 2. กํากับดูแลโครงการก่อสร้างในพื้นที่ให้มีความเรียบร้อยและให้ตรวจสอบ ป้ายระหว่างงานก่อสร้าง ไฟฟ้าแสงสว่างและอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานงานก่อสร้างพร้อมทั้งให้ติดตั้งป้ายเสริม เพื่อรองรับกับการจราจรที่มากขึ้นและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง เมื่อเกิดการจราจรสะสม ชะลอตัว ให้เข้าแก้ไขในทันทีและรายงานให้ผู้บริหาร ทล. ทราบทุกระยะ 3. จัดเตรียมหน่วยเคลื่อนที่เร็วให้มีความพร้อม เพื่อให้บริการและช่วยเหลือประชาชน 4. จัดเตรียมเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยให้มีความพร้อม ทั้งนี้ได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และปฏิบัติตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฉบับล่าสุดอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งกําชับให้ผู้บริหารทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมในพื้นที่ระหว่างวันที่ 27 - 28 พฤศจิกายน 2564 เพื่อเตรียมความพร้อม ในการปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยร่วมบูรณาการทํางานกับตํารวจทางหลวง และหน่วยงานในพื้นที่ศูนย์อํานวยความปลอดภัยทางถนนของจังหวัด ในการลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนน หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างเดินทาง สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตํารวจทางหลวง 1193
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบกรมทางหลวงสนับสนุนเลือกตั้งท้องถิ่น อำนวยความสะดวกปลอดภัยดูแลประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลำเนา วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มอบกรมทางหลวงสนับสนุนเลือกตั้งท้องถิ่น อํานวยความสะดวกปลอดภัยดูแลประชาชนในการเดินทางกลับภูมิลําเนา ระหว่างวันที่ 27 - 28 พฤศจิกายน 2564 นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายศักดิ์สยามชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีความห่วงใยประชาชนที่คาดว่าจะเดินทางกลับภูมิลําเนา เป็นจํานวนมากเพื่อไปเลือกตั้งสมาชิกและนายกองค์การบริหารส่วนตําบล (อบต.) ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2564โดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กําหนดไว้กว่า 5,300 แห่งทั่วประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงมอบให้กรมทางหลวง (ทล.) เตรียมความพร้อมในการอํานวยความสะดวกและปลอดภัย เพื่อรองรับการเดินทางของประชาชนสู่ภูมิภาคต่าง ๆ ในช่วงวันหยุดระหว่างวันที่ 27 - 28 พฤศจิกายน 2564 เนื่องจากหลายพื้นที่มีการเลือกตั้งองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น ซึ่งคาดการณ์ว่าประชาชนจะเดินทางกลับภูมิลําเนาเป็นจํานวนมาก เพื่ออํานวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเดินทาง ทล. ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดดําเนินการดังนี้ 1. จัดเตรียมเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัย ให้มีความพร้อมในการออกปฏิบัติงาน เมื่อมีอุบัติเหตุหรือมีจราจรติดขัดสะสมบนเส้นทาง โดยร่วมกับกองบังคับการตํารวจทางหลวงและตํารวจท้องที่ในการบริหารสัญญาณไฟจราจร พิจารณาความพร้อมเปิดใช้ทางจราจรช่องทางพิเศษ รวมทั้งให้บริหารจัดการโดยนํารถตรวจการณ์ Mobile VMS (MVMS) มาใช้สําหรับบริหารจราจร/อุบัติเหตุ ตลอดจนประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่าง ๆ 2. กํากับดูแลโครงการก่อสร้างในพื้นที่ให้มีความเรียบร้อยและให้ตรวจสอบ ป้ายระหว่างงานก่อสร้าง ไฟฟ้าแสงสว่างและอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรฐานงานก่อสร้างพร้อมทั้งให้ติดตั้งป้ายเสริม เพื่อรองรับกับการจราจรที่มากขึ้นและเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง เมื่อเกิดการจราจรสะสม ชะลอตัว ให้เข้าแก้ไขในทันทีและรายงานให้ผู้บริหาร ทล. ทราบทุกระยะ 3. จัดเตรียมหน่วยเคลื่อนที่เร็วให้มีความพร้อม เพื่อให้บริการและช่วยเหลือประชาชน 4. จัดเตรียมเจ้าหน้าที่และอุปกรณ์อํานวยความปลอดภัยให้มีความพร้อม ทั้งนี้ได้กําชับให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 และปฏิบัติตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินฉบับล่าสุดอย่างเคร่งครัด พร้อมทั้งกําชับให้ผู้บริหารทุกหน่วยงานเตรียมความพร้อมในพื้นที่ระหว่างวันที่ 27 - 28 พฤศจิกายน 2564 เพื่อเตรียมความพร้อม ในการปฏิบัติงานตลอด 24 ชั่วโมง โดยร่วมบูรณาการทํางานกับตํารวจทางหลวง และหน่วยงานในพื้นที่ศูนย์อํานวยความปลอดภัยทางถนนของจังหวัด ในการลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนน หากประชาชนต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมหรือแจ้งเหตุด่วนเหตุร้ายระหว่างเดินทาง สามารถติดต่อได้ที่สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตํารวจทางหลวง 1193
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48730
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำเตือนประชาชน รู้ทันกลโกงมิจฉาชีพ โดยเฉพาะ sms ชักชวนให้กดลิงค์ แจกเงิน ระวังตกเป็นเหยื่อสูญเสียเงิน ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงข้อมูลส่วนตัว
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 นายกรัฐมนตรี ย้ําเตือนประชาชน รู้ทันกลโกงมิจฉาชีพ โดยเฉพาะ sms ชักชวนให้กดลิงค์ แจกเงิน ระวังตกเป็นเหยื่อสูญเสียเงิน ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงข้อมูลส่วนตัว นายกรัฐมนตรี ย้ําเตือนประชาชน รู้ทันกลโกงมิจฉาชีพ โดยเฉพาะ sms ชักชวนให้กดลิงค์ แจกเงิน ระวังตกเป็นเหยื่อสูญเสียเงิน ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงข้อมูลส่วนตัว วันที่ 19 สิงหาคม 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ําเตือนประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมกําชับให้เจ้าหน้าที่ตํารวจทําการสืบสวนจับกุมผู้กระทําผิดมาดําเนินคดีตามกฎหมาอย่างเคร่งครัด น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพได้เปลี่ยนการหลอกลวงผ่าน SMS จากเดิมรูปแบบเดิมมาเป็นการส่งข้อความเชิญชวน ด้วยข้อความการจูงใจต่าง ๆ ล่าสุดจากรายงานของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ มิจฉาชีพส่งข้อความฉลองครบรอบห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล อ้างว่าทางบริษัทจะแจกเงินรางวัลให้ โดยให้แอดไลน์ผ่านลิงก์ที่แนบมากับข้อความ ซึ่งสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้สอบถามไปยัง บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จํากัด หรือ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แล้ว ได้รับการยืนยันว่าบริษัทฯไม่ได้มีการจัดกิจกรรมแจกเงินรางวัลในลักษณะดังกล่าวแต่อย่างใด โดยกรณีดังกล่าวหากเหยื่อหลงเชื่อแอดไลน์คนร้าย ก็อาจจะถูกคนร้ายหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลบัญชีธนาคาร ตลอดจนรหัสผ่านต่าง ๆ นําไปใช้ทําให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของข้อมูลได้ “ขอให้ประชาชนระมัดระวัง SMS ที่ชักชวนให้มีการกดลิงก์หรือติดต่อสมัครสมาชิก หรืออ้างว่าเป็นบริษัท ห้าง ร้านต่างๆ แจกเงินแจกของรางวัลต่างๆ เพราะอาจเป็น SMS ของมิจฉาชีพ และขอให้ตรวจสอบข้อมูลกับบริษัท ห้างร้านที่ออกโปรโมชั่นต่างๆก่อนที่จะเชื่อและกดลิงก์ที่แนบมากับข้อความ และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ เพื่อป้องกันทั้งตนเองและคนในครอบครัวตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ”น.ส.ไตรศุลี กล่าว ทั้งนี้ หากประชาชนพบพบเบาะแสการกระทําผิด สามารถแจ้งไปยังสายด่วนศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทร และ SMS มิจฉาชีพ 1185 (AIS), 9777 (TRUE), 1678 (DTAC) และสายด่วนสํานักงานตํารวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ย้ำเตือนประชาชน รู้ทันกลโกงมิจฉาชีพ โดยเฉพาะ sms ชักชวนให้กดลิงค์ แจกเงิน ระวังตกเป็นเหยื่อสูญเสียเงิน ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงข้อมูลส่วนตัว วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 นายกรัฐมนตรี ย้ําเตือนประชาชน รู้ทันกลโกงมิจฉาชีพ โดยเฉพาะ sms ชักชวนให้กดลิงค์ แจกเงิน ระวังตกเป็นเหยื่อสูญเสียเงิน ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงข้อมูลส่วนตัว นายกรัฐมนตรี ย้ําเตือนประชาชน รู้ทันกลโกงมิจฉาชีพ โดยเฉพาะ sms ชักชวนให้กดลิงค์ แจกเงิน ระวังตกเป็นเหยื่อสูญเสียเงิน ถูกมิจฉาชีพหลอกลวงข้อมูลส่วนตัว วันที่ 19 สิงหาคม 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ําเตือนประชาชนรู้เท่าทันถึงอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมกําชับให้เจ้าหน้าที่ตํารวจทําการสืบสวนจับกุมผู้กระทําผิดมาดําเนินคดีตามกฎหมาอย่างเคร่งครัด น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มมิจฉาชีพได้เปลี่ยนการหลอกลวงผ่าน SMS จากเดิมรูปแบบเดิมมาเป็นการส่งข้อความเชิญชวน ด้วยข้อความการจูงใจต่าง ๆ ล่าสุดจากรายงานของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ มิจฉาชีพส่งข้อความฉลองครบรอบห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล อ้างว่าทางบริษัทจะแจกเงินรางวัลให้ โดยให้แอดไลน์ผ่านลิงก์ที่แนบมากับข้อความ ซึ่งสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ได้สอบถามไปยัง บริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จํากัด หรือ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แล้ว ได้รับการยืนยันว่าบริษัทฯไม่ได้มีการจัดกิจกรรมแจกเงินรางวัลในลักษณะดังกล่าวแต่อย่างใด โดยกรณีดังกล่าวหากเหยื่อหลงเชื่อแอดไลน์คนร้าย ก็อาจจะถูกคนร้ายหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลบัญชีธนาคาร ตลอดจนรหัสผ่านต่าง ๆ นําไปใช้ทําให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของข้อมูลได้ “ขอให้ประชาชนระมัดระวัง SMS ที่ชักชวนให้มีการกดลิงก์หรือติดต่อสมัครสมาชิก หรืออ้างว่าเป็นบริษัท ห้าง ร้านต่างๆ แจกเงินแจกของรางวัลต่างๆ เพราะอาจเป็น SMS ของมิจฉาชีพ และขอให้ตรวจสอบข้อมูลกับบริษัท ห้างร้านที่ออกโปรโมชั่นต่างๆก่อนที่จะเชื่อและกดลิงก์ที่แนบมากับข้อความ และขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมออนไลน์ เพื่อป้องกันทั้งตนเองและคนในครอบครัวตกเป็นเหยื่อของกลุ่มมิจฉาชีพ”น.ส.ไตรศุลี กล่าว ทั้งนี้ หากประชาชนพบพบเบาะแสการกระทําผิด สามารถแจ้งไปยังสายด่วนศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเบอร์โทร และ SMS มิจฉาชีพ 1185 (AIS), 9777 (TRUE), 1678 (DTAC) และสายด่วนสํานักงานตํารวจแห่งชาติ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58185
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งกวาดล้าง ขบวนการค้าอาวุธเถื่อน หากพบเจ้าหน้ารัฐเกี่ยวข้องดำเนินการให้ถึงที่สุด เข้มงวดการออกใบ ป.3
วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม 2565 นายกรัฐมนตรีสั่งกวาดล้าง ขบวนการค้าอาวุธเถื่อน หากพบเจ้าหน้ารัฐเกี่ยวข้องดําเนินการให้ถึงที่สุด เข้มงวดการออกใบ ป.3 นายกรัฐมนตรีสั่งกวาดล้างขบวนการค้าอาวุธเถื่อน หากพบเจ้าหน้ารัฐเกี่ยวข้องดําเนินการให้ถึงที่สุด เข้มงวดการออกใบ ป.3 วันที่ 20 สิงหาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กําชับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เข้มงวดการออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน (แบบ ป.3) หลังพบเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเครือข่ายค้าอาวุธปืนข้ามชาติ เน้นย้ําให้ดําเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิดทั้งทางวินัย และทางอาญา นายอนุชาฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการ หากพบเจ้าหน้าที่รัฐคอยอํานวยความสะดวกปฏิบัติ หรือปฏิบัติมิชอบโดยเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ร่วมกันจําหน่ายอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ดําเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุด รวมถึงผู้ร่วมขบวนการทุกคน พร้อมกับขยายผลกวาดล้างเครือข่าย เพื่อป้องกันการลักลอบดําเนินการผิดกฎหมาย รวมทั้งการเชื่อมโยงในเรื่องของการก่อวินาศกรรมภายในประเทศด้วย “นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน หวั่นตกเป็นเหยื่อขบวนการ ขอประชาชนอย่าหลงเชื่อให้ความร่วมมือ อย่าให้เอกสารสําคัญของตัวเองกับใคร และอย่าเห็นแก่เงินค่าจ้าง ย้ําการค้าอาวุธเถื่อน และส่งออกอาวุธไปนอกราชอาณาจักร ถือเป็นบ่อนทําลายชาติ เป็นหนึ่งในปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ขอให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบพฤติกรรมผิดปกติของกลุ่มบุคคล รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ให้แจ้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ 1111 หรือสถานีตํารวจในพื้นที่ ” นายอนุชาฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีสั่งกวาดล้าง ขบวนการค้าอาวุธเถื่อน หากพบเจ้าหน้ารัฐเกี่ยวข้องดำเนินการให้ถึงที่สุด เข้มงวดการออกใบ ป.3 วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม 2565 นายกรัฐมนตรีสั่งกวาดล้าง ขบวนการค้าอาวุธเถื่อน หากพบเจ้าหน้ารัฐเกี่ยวข้องดําเนินการให้ถึงที่สุด เข้มงวดการออกใบ ป.3 นายกรัฐมนตรีสั่งกวาดล้างขบวนการค้าอาวุธเถื่อน หากพบเจ้าหน้ารัฐเกี่ยวข้องดําเนินการให้ถึงที่สุด เข้มงวดการออกใบ ป.3 วันที่ 20 สิงหาคม 2565 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กําชับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เข้มงวดการออกใบอนุญาตให้ซื้ออาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน (แบบ ป.3) หลังพบเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องเครือข่ายค้าอาวุธปืนข้ามชาติ เน้นย้ําให้ดําเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทําความผิดทั้งทางวินัย และทางอาญา นายอนุชาฯ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีสั่งการ หากพบเจ้าหน้าที่รัฐคอยอํานวยความสะดวกปฏิบัติ หรือปฏิบัติมิชอบโดยเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ร่วมกันจําหน่ายอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ให้ดําเนินการตามกฎหมายให้ถึงที่สุด รวมถึงผู้ร่วมขบวนการทุกคน พร้อมกับขยายผลกวาดล้างเครือข่าย เพื่อป้องกันการลักลอบดําเนินการผิดกฎหมาย รวมทั้งการเชื่อมโยงในเรื่องของการก่อวินาศกรรมภายในประเทศด้วย “นายกรัฐมนตรีห่วงใยประชาชน หวั่นตกเป็นเหยื่อขบวนการ ขอประชาชนอย่าหลงเชื่อให้ความร่วมมือ อย่าให้เอกสารสําคัญของตัวเองกับใคร และอย่าเห็นแก่เงินค่าจ้าง ย้ําการค้าอาวุธเถื่อน และส่งออกอาวุธไปนอกราชอาณาจักร ถือเป็นบ่อนทําลายชาติ เป็นหนึ่งในปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ขอให้ประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตา หากพบพฤติกรรมผิดปกติของกลุ่มบุคคล รวมถึงเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง ให้แจ้งศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ 1111 หรือสถานีตํารวจในพื้นที่ ” นายอนุชาฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58245
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. สถาบันการเงินแห่งแรกของไทย ที่ได้รับรางวัล Asia Responsible Enterprise Awards 2022 สาขา Corporate Sustainability Reporting ในระดับภูมิภาคเอเชีย สะท้อนการเป็น Sustainable Bank
วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 ธอส. สถาบันการเงินแห่งแรกของไทย ที่ได้รับรางวัล Asia Responsible Enterprise Awards 2022 สาขา Corporate Sustainability Reporting ในระดับภูมิภาคเอเชีย สะท้อนการเป็น Sustainable Bank ธอส. คว้ารางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2022 สาขา Corporate Sustainability Reporting จากการดําเนินโครงการ “Sustainable [GH]Bank for Thai People” ถือเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของไทยที่ได้รับรางวัลสาขานี้ สะท้อนการเป็น Sustainable Bank ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) คว้ารางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2022 สาขา Corporate Sustainability Reporting จากการดําเนินโครงการ “Sustainable [GH]Bank for Thai People” ถือเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของไทยที่ได้รับรางวัลสาขานี้ สะท้อนการเป็น Sustainable Bank ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดย ธอส. ยังคงความเป็นผู้นําในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่นําแนวทางการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน มาร่วมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับสังคมไทย เพื่อ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” ตามพันธกิจธนาคารมาอย่างต่อเนื่อง นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. คว้ารางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2022 สาขา Corporate Sustainability Reporting จากการดําเนินโครงการ“Sustainable [GH]Bank for Thai People” จัดโดย Enterprise Asia ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่สนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชีย โดย ธอส. ถือเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของไทย ที่ได้รับรางวัลสาขานี้ ซึ่งตอกย้ําว่า ธอส.เป็นผู้นําในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่นําแนวทางการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนมาร่วมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับสังคมไทย เพื่อ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” ตามพันธกิจธนาคารมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ รางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูและให้เกียรติธุรกิจในเอเชียที่มีความโดดเด่นในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม การยึดถือหลักคุณธรรม และการดําเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยรางวัล AREA แบ่งออกเป็น 8 สาขา ได้แก่ ด้านการสร้างความเข้มแข็งในสังคม (Social Empowerment), ด้านการจัดการบุคคล (Investment in People), ด้านสุขภาพ (Health Promotion), ด้านสิ่งแวดล้อม (Green Leadership), ด้านธรรมาภิบาล (Corporate Governance), ด้านความเป็นผู้นําเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy Leadership), ด้านความเป็นผู้นําองค์กร (Responsible Business Leadership) และด้านการรายงานผลด้านความยั่งยืนอย่างเปิดเผย (Corporate Sustainability Reporting) สําหรับรางวัลครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจและความสําเร็จของ ธอส. ที่มุ่งมั่นในการดําเนินงานอย่างยั่งยืน มีความน่าเชื่อถือและโปร่งใส โดยสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม ที่สะท้อนถึงเป้าหมายด้านความยั่งยืนของธนาคาร ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่สําคัญในการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ(Sustainable Development Goals-SDGs) ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ด้านขจัดความยากจน และเป้าหมายที่ 10 ด้านลดความเหลื่อมล้ําทั้งภายในและระหว่างประเทศ โดย ธอส. แสดงให้เห็นผ่านการดําเนินงานที่สําคัญตั้งแต่การกําหนดยุทธศาสตร์และทิศทางองค์กร การจัดทําแผนแม่บทด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และการกําหนดกลยุทธ์ “I AM GHB” ใน 3 มิติ ได้แก่ 1) CSR In Process โดยในด้านเศรษฐกิจ ธอส.ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อ Social Solution เพื่อดูแลกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เช่น โครงการบ้านล้านหลัง ด้านสังคม ธอส.มุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยในระบบ ผ่านโครงการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) โดยรวบรวมข้อมูลผู้ที่ประสงค์มีบ้าน แต่ไม่ผ่านเกณฑ์การให้สินเชื่อ โดยให้ความรู้ความเข้าใจและสร้างวินัยทางการเงินเพื่อเตรียมความพร้อมและสามารถมีบ้านเป็นของตนเองแล้วกว่า 19,505 ครอบครัว รวมถึงการออกมาตรการที่แตกต่างกันเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ทั้งสิ้น 22 มาตรการ ซึ่งมีลูกค้าที่ได้รับความช่วยเหลือทั้งหมด 973,227 ครอบครัว ส่วนใหญ่ประมาณ 87% กลับมาผ่อนชําระได้ตามปกติ คงเหลือลูกค้าที่อยู่ในมาตรการช่วยเหลือ 120,965 ครอบครัว ซึ่ง ธอส.ยังคงดูแลและช่วยเหลือลูกค้าโดยออก “มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน” เพื่อให้ลูกค้าสามารถกลับมาชําระได้ตามปกติ ด้านสิ่งแวดล้อม ธอส.ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงาน “บ้านอยู่เย็นเป็นสุข” 2) CSR After Process โดยจัดทํากองทุนเพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชนอย่างยั่งยืน และ 3) CSR In Mind โดยปลูกฝังและส่งเสริมพนักงานให้ช่วยเหลือสังคมและชุมชนโดยใช้ความสามารถพิเศษขององค์กรในด้านความเชี่ยวชาญทางการเงิน ภายใต้แนวคิด “ไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่คือความห่วงใย” ด้วยกระบวนการบริหารจัดการองค์กรอย่างยั่งยืนดังกล่าวตามยุทธศาสตร์ “GHB Next Move Sustainable Bank” ก้าวสู่ธนาคารเพื่อความยั่งยืน ซึ่ง ธอส.ใช้ 3 แนวทางหลักในการขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ 1) เพิ่มประสิทธิภาพ Technology โดยนํา Mobile Application “GHB ALL” มาปรับการให้บริการลูกค้าด้วย Digital Service 2) ยกระดับ Operation การทํางานที่เกี่ยวกับลูกค้า และ 3) พัฒนาผู้ปฏิบัติงานสู่ People Excellence เพื่อให้มีความพร้อมและมีความสามารถในการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี พร้อมทํางานด้วยความรวดเร็วและเป็นมืออาชีพเพื่อเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ “ธนาคารที่ดีที่สุดสําหรับการมีบ้าน” ทั้งนี้ AREA Awards ยังเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นเลิศในการกระตุ้นนวัตกรรมและการแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ของธนาคารต่อโลก ส่งผลให้ ธอส.เป็นองค์กรที่ดําเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม และมีมาตรฐานทัดเทียมกับองค์กรระดับภูมิภาคเอเชีย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. สถาบันการเงินแห่งแรกของไทย ที่ได้รับรางวัล Asia Responsible Enterprise Awards 2022 สาขา Corporate Sustainability Reporting ในระดับภูมิภาคเอเชีย สะท้อนการเป็น Sustainable Bank วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม 2565 ธอส. สถาบันการเงินแห่งแรกของไทย ที่ได้รับรางวัล Asia Responsible Enterprise Awards 2022 สาขา Corporate Sustainability Reporting ในระดับภูมิภาคเอเชีย สะท้อนการเป็น Sustainable Bank ธอส. คว้ารางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2022 สาขา Corporate Sustainability Reporting จากการดําเนินโครงการ “Sustainable [GH]Bank for Thai People” ถือเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของไทยที่ได้รับรางวัลสาขานี้ สะท้อนการเป็น Sustainable Bank ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) คว้ารางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2022 สาขา Corporate Sustainability Reporting จากการดําเนินโครงการ “Sustainable [GH]Bank for Thai People” ถือเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของไทยที่ได้รับรางวัลสาขานี้ สะท้อนการเป็น Sustainable Bank ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดย ธอส. ยังคงความเป็นผู้นําในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่นําแนวทางการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน มาร่วมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับสังคมไทย เพื่อ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” ตามพันธกิจธนาคารมาอย่างต่อเนื่อง นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า ธอส. คว้ารางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2022 สาขา Corporate Sustainability Reporting จากการดําเนินโครงการ“Sustainable [GH]Bank for Thai People” จัดโดย Enterprise Asia ซึ่งเป็นองค์กรอิสระที่สนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพธุรกิจที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชีย โดย ธอส. ถือเป็นสถาบันการเงินแห่งแรกของไทย ที่ได้รับรางวัลสาขานี้ ซึ่งตอกย้ําว่า ธอส.เป็นผู้นําในตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่นําแนวทางการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนมาร่วมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับสังคมไทย เพื่อ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” ตามพันธกิจธนาคารมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ รางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) มีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูและให้เกียรติธุรกิจในเอเชียที่มีความโดดเด่นในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม การยึดถือหลักคุณธรรม และการดําเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยรางวัล AREA แบ่งออกเป็น 8 สาขา ได้แก่ ด้านการสร้างความเข้มแข็งในสังคม (Social Empowerment), ด้านการจัดการบุคคล (Investment in People), ด้านสุขภาพ (Health Promotion), ด้านสิ่งแวดล้อม (Green Leadership), ด้านธรรมาภิบาล (Corporate Governance), ด้านความเป็นผู้นําเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy Leadership), ด้านความเป็นผู้นําองค์กร (Responsible Business Leadership) และด้านการรายงานผลด้านความยั่งยืนอย่างเปิดเผย (Corporate Sustainability Reporting) สําหรับรางวัลครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจและความสําเร็จของ ธอส. ที่มุ่งมั่นในการดําเนินงานอย่างยั่งยืน มีความน่าเชื่อถือและโปร่งใส โดยสร้างการเติบโตทางธุรกิจควบคู่กับความรับผิดชอบต่อสังคม ที่สะท้อนถึงเป้าหมายด้านความยั่งยืนของธนาคาร ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายที่สําคัญในการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ(Sustainable Development Goals-SDGs) ได้แก่ เป้าหมายที่ 1 ด้านขจัดความยากจน และเป้าหมายที่ 10 ด้านลดความเหลื่อมล้ําทั้งภายในและระหว่างประเทศ โดย ธอส. แสดงให้เห็นผ่านการดําเนินงานที่สําคัญตั้งแต่การกําหนดยุทธศาสตร์และทิศทางองค์กร การจัดทําแผนแม่บทด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม และการกําหนดกลยุทธ์ “I AM GHB” ใน 3 มิติ ได้แก่ 1) CSR In Process โดยในด้านเศรษฐกิจ ธอส.ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อ Social Solution เพื่อดูแลกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เช่น โครงการบ้านล้านหลัง ด้านสังคม ธอส.มุ่งช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัยในระบบ ผ่านโครงการให้ความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) โดยรวบรวมข้อมูลผู้ที่ประสงค์มีบ้าน แต่ไม่ผ่านเกณฑ์การให้สินเชื่อ โดยให้ความรู้ความเข้าใจและสร้างวินัยทางการเงินเพื่อเตรียมความพร้อมและสามารถมีบ้านเป็นของตนเองแล้วกว่า 19,505 ครอบครัว รวมถึงการออกมาตรการที่แตกต่างกันเพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ทั้งสิ้น 22 มาตรการ ซึ่งมีลูกค้าที่ได้รับความช่วยเหลือทั้งหมด 973,227 ครอบครัว ส่วนใหญ่ประมาณ 87% กลับมาผ่อนชําระได้ตามปกติ คงเหลือลูกค้าที่อยู่ในมาตรการช่วยเหลือ 120,965 ครอบครัว ซึ่ง ธอส.ยังคงดูแลและช่วยเหลือลูกค้าโดยออก “มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้อย่างยั่งยืน” เพื่อให้ลูกค้าสามารถกลับมาชําระได้ตามปกติ ด้านสิ่งแวดล้อม ธอส.ออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงาน “บ้านอยู่เย็นเป็นสุข” 2) CSR After Process โดยจัดทํากองทุนเพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนในชุมชนอย่างยั่งยืน และ 3) CSR In Mind โดยปลูกฝังและส่งเสริมพนักงานให้ช่วยเหลือสังคมและชุมชนโดยใช้ความสามารถพิเศษขององค์กรในด้านความเชี่ยวชาญทางการเงิน ภายใต้แนวคิด “ไม่ใช่แค่หน้าที่ แต่คือความห่วงใย” ด้วยกระบวนการบริหารจัดการองค์กรอย่างยั่งยืนดังกล่าวตามยุทธศาสตร์ “GHB Next Move Sustainable Bank” ก้าวสู่ธนาคารเพื่อความยั่งยืน ซึ่ง ธอส.ใช้ 3 แนวทางหลักในการขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ 1) เพิ่มประสิทธิภาพ Technology โดยนํา Mobile Application “GHB ALL” มาปรับการให้บริการลูกค้าด้วย Digital Service 2) ยกระดับ Operation การทํางานที่เกี่ยวกับลูกค้า และ 3) พัฒนาผู้ปฏิบัติงานสู่ People Excellence เพื่อให้มีความพร้อมและมีความสามารถในการปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี พร้อมทํางานด้วยความรวดเร็วและเป็นมืออาชีพเพื่อเดินหน้าตามวิสัยทัศน์ “ธนาคารที่ดีที่สุดสําหรับการมีบ้าน” ทั้งนี้ AREA Awards ยังเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นเลิศในการกระตุ้นนวัตกรรมและการแบ่งปันแนวทางปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best Practice) ของธนาคารต่อโลก ส่งผลให้ ธอส.เป็นองค์กรที่ดําเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม และมีมาตรฐานทัดเทียมกับองค์กรระดับภูมิภาคเอเชีย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57101
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รับมอบที่ดิน เพื่อจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ และสถานดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 สธ.รับมอบที่ดิน เพื่อจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ และสถานดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์ รับมอบที่ดิน 124 ไร่ จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์เฉพาะทาง อาทิ โรคมะเร็ง ผิวหนัง ดวงตา ข้อและกระดูก การฟื้นฟูสมรรถภาพ และฟื้นฟูดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร คาดเริ่มก่อสร้างในปี 2566 วันนี้ (6 มกราคม 2565) ที่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีรับมอบที่ดิน และให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบที่ดิน จากคุณอุไรศรี คะนึงสุขเกษมและครอบครัวซึ่งบริจาคที่ดินบริเวณบ้านหันสัง อําเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จํานวน 124 ไร่ ให้แก่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อสาธารณประโยชน์ทางด้านสาธารณสุข โดยที่ดินที่ได้รับมอบในวันนี้ จะนําไปใช้ในการดําเนินงานด้านการฟื้นฟูดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์เฉพาะทางด้านต่างๆ เพื่อขยายและรองรับในการดูแลรักษาประชาชน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางแหล่งเรียนรู้ทางการแพทย์ในการพัฒนา และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านสุขภาพกับต่างประเทศ นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในนามกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาที่แสดงเจตจํานงบริจาคที่ดินให้กับกระทรวงสาธารณสุข ถือเป็นการสร้างคุณประโยชน์ในการช่วยเหลือสังคมและพัฒนาระบบสาธารณสุขอย่างแท้จริงในส่วนการจัดตั้งศูนย์ฯ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และเมื่อแล้วเสร็จ สถานที่แห่งนี้จะสามารถรองรับการให้บริการทางการแพทย์เฉพาะทางได้มากขึ้น ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวว่า กรมการแพทย์มีหน้าที่รับผิดชอบดูแล บําบัด รักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ ให้บริการการแพทย์เฉพาะทางที่ยุ่งยากซับซ้อน ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เหมาะสมแก่สถานบริการสุขภาพทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งส่งเสริมพัฒนาความรู้และทักษะการปฏิบัติงานแก่บุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันกรมการแพทย์มีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางครบทุกสาขา อาทิด้านการรักษาโรคมะเร็งโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ โรคผิวหนังโดยสถาบันโรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับดวงตาโดยโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) โรคเกี่ยวกับข้อและกระดูกโดยโรงพยาบาลเลิดสินด้านบําบัดฟื้นฟูสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพ ทางการแพทย์แห่งชาติ สถาบันบําบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี เป็นต้น สําหรับที่ดินที่ได้รับ เบื้องต้นทางกรมการแพทย์ได้จัดทําร่างผังแม่บทไว้แล้วโดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1.ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์เฉพาะทางด้านโรคมะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ 2.ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์และศูนย์ฟื้นฟูทางการแพทย์ โดยสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ และ 3.สถานที่ฟื้นฟูและดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร ในอนาคตมีแผนขยายศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางให้ครอบคลุมทุกด้านต่อไป ************************************** 6 มกราคม 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.รับมอบที่ดิน เพื่อจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ และสถานดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 สธ.รับมอบที่ดิน เพื่อจัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ และสถานดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์ รับมอบที่ดิน 124 ไร่ จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์เฉพาะทาง อาทิ โรคมะเร็ง ผิวหนัง ดวงตา ข้อและกระดูก การฟื้นฟูสมรรถภาพ และฟื้นฟูดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร คาดเริ่มก่อสร้างในปี 2566 วันนี้ (6 มกราคม 2565) ที่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีรับมอบที่ดิน และให้สัมภาษณ์ว่า ในวันนี้ กระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบที่ดิน จากคุณอุไรศรี คะนึงสุขเกษมและครอบครัวซึ่งบริจาคที่ดินบริเวณบ้านหันสัง อําเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จํานวน 124 ไร่ ให้แก่กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อสาธารณประโยชน์ทางด้านสาธารณสุข โดยที่ดินที่ได้รับมอบในวันนี้ จะนําไปใช้ในการดําเนินงานด้านการฟื้นฟูดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์เฉพาะทางด้านต่างๆ เพื่อขยายและรองรับในการดูแลรักษาประชาชน รวมทั้งเป็นศูนย์กลางแหล่งเรียนรู้ทางการแพทย์ในการพัฒนา และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านสุขภาพกับต่างประเทศ นายอนุทินกล่าวต่อว่า ในนามกระทรวงสาธารณสุข ขอขอบคุณผู้มีจิตศรัทธาที่แสดงเจตจํานงบริจาคที่ดินให้กับกระทรวงสาธารณสุข ถือเป็นการสร้างคุณประโยชน์ในการช่วยเหลือสังคมและพัฒนาระบบสาธารณสุขอย่างแท้จริงในส่วนการจัดตั้งศูนย์ฯ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และเมื่อแล้วเสร็จ สถานที่แห่งนี้จะสามารถรองรับการให้บริการทางการแพทย์เฉพาะทางได้มากขึ้น ด้านนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวว่า กรมการแพทย์มีหน้าที่รับผิดชอบดูแล บําบัด รักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ ให้บริการการแพทย์เฉพาะทางที่ยุ่งยากซับซ้อน ถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เหมาะสมแก่สถานบริการสุขภาพทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งส่งเสริมพัฒนาความรู้และทักษะการปฏิบัติงานแก่บุคลากรทางการแพทย์เฉพาะทางมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันกรมการแพทย์มีบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางครบทุกสาขา อาทิด้านการรักษาโรคมะเร็งโดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ โรคผิวหนังโดยสถาบันโรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับดวงตาโดยโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) โรคเกี่ยวกับข้อและกระดูกโดยโรงพยาบาลเลิดสินด้านบําบัดฟื้นฟูสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพ ทางการแพทย์แห่งชาติ สถาบันบําบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี เป็นต้น สําหรับที่ดินที่ได้รับ เบื้องต้นทางกรมการแพทย์ได้จัดทําร่างผังแม่บทไว้แล้วโดยแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ 1.ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์เฉพาะทางด้านโรคมะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ 2.ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์และศูนย์ฟื้นฟูทางการแพทย์ โดยสถาบันสิรินธรเพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ และ 3.สถานที่ฟื้นฟูและดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร ในอนาคตมีแผนขยายศูนย์ความเป็นเลิศเฉพาะทางให้ครอบคลุมทุกด้านต่อไป ************************************** 6 มกราคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50278
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯปลื้ม ทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับเมืองสวยงามของไทย หลัง Forbes advisor จัดให้ อยุธยา เป็น 1 ใน 50 เมืองทั่วโลก ที่ควรเดินทางเยือนช่วงหลังโควิด – 19
วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯปลื้ม ทั่วโลกที่ให้ความสําคัญกับเมืองสวยงามของไทย หลัง Forbes advisor จัดให้ อยุธยา เป็น 1 ใน 50 เมืองทั่วโลก ที่ควรเดินทางเยือนช่วงหลังโควิด – 19 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯปลื้ม ทั่วโลกที่ให้ความสําคัญกับเมืองสวยงามของไทย หลัง Forbes advisor จัดให้ อยุธยา เป็น 1 ใน 50 เมืองทั่วโลก ที่ควรเดินทางเยือนช่วงหลังโควิด – 19 วันนี้ (4 พฤษภาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “Forbes advisor” เว็บไซต์ในเครือนิตยสาร Forbes จัดอันดับให้ อยุธยา เป็น 1 ใน 50 เมืองทั่วโลก ที่ควรเดินทางเยือนภายหลังการระบาดของไวรัสโควิด – 19 ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทราบผลการจัดอันดับดังกล่าว ขอบคุณที่ทั่วโลกให้ความสําคัญกับสถานที่ที่สวยงามเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งเชื่อมั่นว่า ด้วยเอกลักษณ์ของสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยที่หลากหลายและได้รับความนิยมตลอดมา ประกอบกับศักยภาพการบริหารจัดการตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และการควบคุมโรคทางสาธารณสุข จะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเดินทางในประเทศไทยอย่างคึกคักในเร็ววันนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 50 เมือง ทั่วโลก ที่ควรเดินทางเยือนในช่วงหลังการระบาดของโรคโควิด – 19 และยังเป็น 1 ใน 8 แห่งของทวีปเอเชียที่ได้รับการจัดอันดับเท่านั้น ทั้งนี้ Forbes advisor ได้ยกย่อง อยุธยาว่าเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในช่วงทศวรรษ 1700 ซึ่งเดินทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ โดยสามารถไปเช้าเย็นกลับได้ แต่หากมีโอกาสค้างคืนก็จะได้เห็นภาพวัดต่าง ๆ ในช่วงเช้า และช่วงเย็น ที่เงียบสงบ ในส่วนของเมืองอื่นๆ ในเอเชียที่ได้รับการจัดอันดับ ได้แก่ ฮาร์บิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศภูฏาน อัสสัม ประเทศอินเดีย ลอมบก ประเทศอินโดนีเซีย ไทเป ไต้หวัน ประเทศอุซเบกิสถาน และโดฮา ประเทศกาตาร์ นายธนกรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นในการทํางาน และให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันจัดการดูแล การเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยว ซึ่งจักต้องเป็นไปตามข้อกําหนดของมาตรการ เพื่อควบคุม ดูแลสถานการณ์ รวมทั้งต้องคํานึงถึงความปลอดภัยของประชาชนไทย และนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรี ได้ควบคุม สั่งการ สถานการณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อคุ้มครอง ปกป้อง ให้ทุกชีวิตในประเทศดําเนินต่อไป ให้กิจกรรม และธุรกิจการท่องเที่ยวดําเนินได้อย่างปกติ มีรายได้ เกิดการจ้างงาน แต่ขณะเดียวกัน ก็ให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตประชาชนด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯปลื้ม ทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับเมืองสวยงามของไทย หลัง Forbes advisor จัดให้ อยุธยา เป็น 1 ใน 50 เมืองทั่วโลก ที่ควรเดินทางเยือนช่วงหลังโควิด – 19 วันพุธที่ 4 พฤษภาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯปลื้ม ทั่วโลกที่ให้ความสําคัญกับเมืองสวยงามของไทย หลัง Forbes advisor จัดให้ อยุธยา เป็น 1 ใน 50 เมืองทั่วโลก ที่ควรเดินทางเยือนช่วงหลังโควิด – 19 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯปลื้ม ทั่วโลกที่ให้ความสําคัญกับเมืองสวยงามของไทย หลัง Forbes advisor จัดให้ อยุธยา เป็น 1 ใน 50 เมืองทั่วโลก ที่ควรเดินทางเยือนช่วงหลังโควิด – 19 วันนี้ (4 พฤษภาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า “Forbes advisor” เว็บไซต์ในเครือนิตยสาร Forbes จัดอันดับให้ อยุธยา เป็น 1 ใน 50 เมืองทั่วโลก ที่ควรเดินทางเยือนภายหลังการระบาดของไวรัสโควิด – 19 ทั้งนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมทราบผลการจัดอันดับดังกล่าว ขอบคุณที่ทั่วโลกให้ความสําคัญกับสถานที่ที่สวยงามเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งเชื่อมั่นว่า ด้วยเอกลักษณ์ของสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทยที่หลากหลายและได้รับความนิยมตลอดมา ประกอบกับศักยภาพการบริหารจัดการตามความเหมาะสมของสถานการณ์ และการควบคุมโรคทางสาธารณสุข จะดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามาเดินทางในประเทศไทยอย่างคึกคักในเร็ววันนี้ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้รับการจัดอันดับเป็น 1 ใน 50 เมือง ทั่วโลก ที่ควรเดินทางเยือนในช่วงหลังการระบาดของโรคโควิด – 19 และยังเป็น 1 ใน 8 แห่งของทวีปเอเชียที่ได้รับการจัดอันดับเท่านั้น ทั้งนี้ Forbes advisor ได้ยกย่อง อยุธยาว่าเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในช่วงทศวรรษ 1700 ซึ่งเดินทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ โดยสามารถไปเช้าเย็นกลับได้ แต่หากมีโอกาสค้างคืนก็จะได้เห็นภาพวัดต่าง ๆ ในช่วงเช้า และช่วงเย็น ที่เงียบสงบ ในส่วนของเมืองอื่นๆ ในเอเชียที่ได้รับการจัดอันดับ ได้แก่ ฮาร์บิน สาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศภูฏาน อัสสัม ประเทศอินเดีย ลอมบก ประเทศอินโดนีเซีย ไทเป ไต้หวัน ประเทศอุซเบกิสถาน และโดฮา ประเทศกาตาร์ นายธนกรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรี เชื่อมั่นในการทํางาน และให้กําลังใจเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมกันจัดการดูแล การเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยว ซึ่งจักต้องเป็นไปตามข้อกําหนดของมาตรการ เพื่อควบคุม ดูแลสถานการณ์ รวมทั้งต้องคํานึงถึงความปลอดภัยของประชาชนไทย และนักท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรี ได้ควบคุม สั่งการ สถานการณ์อย่างต่อเนื่องเพื่อคุ้มครอง ปกป้อง ให้ทุกชีวิตในประเทศดําเนินต่อไป ให้กิจกรรม และธุรกิจการท่องเที่ยวดําเนินได้อย่างปกติ มีรายได้ เกิดการจ้างงาน แต่ขณะเดียวกัน ก็ให้ความปลอดภัยแก่ชีวิตประชาชนด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54210
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ลำปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่างลง
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565 ครม. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ลําปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตําแหน่งที่ว่างลง ครม. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ลําปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตําแหน่งที่ว่างลง น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 30 พ.ค. 2565 ได้เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลําปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตําแหน่งที่ว่างลง พ.ศ... เนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้มีคําพิพากษา เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2565 ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลําปาง เขตเลือกตั้งที่4 ใหม่แทนนายวัฒนา สิทธิวัง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 133 ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 105 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดว่า ในกรณีที่ตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลงเพราะเหตุอื่นใด นอกจากถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร หรือเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ให้ดําเนินการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นแทนตําแหน่งที่ว่าง ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ตําแหน่งนั้นว่างลง เว้นแต่อายุของสภสาผู้แทนราษฎร์จะเหลืออยู่ไม่ถึง 180 วัน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จึงแจ้งว่า เพื่อให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลําปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตําแหน่งที่ว่าง เป็นไปตามที่กฎหมายกําหนด จึงได้ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ พร้อมแผนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลําปาง เขตเลือกตั้งที่4 เพื่อเสนอต่อ ครม. และดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ตามร่างแผนการจัดการเลือกตั้งฯ คาดว่า กกต. จะประกาศกําหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 14 มิ.ย. 2565 จากนั้นเปิดรับสมัครฯ ระหว่างวันที่ 16-20 มิ.ย. 2565 ประกาศรายชื่อผู้สมัครฯ ในวันที่ 27 มิ.ย. 2565 และคาดว่าจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 10 ก.ค. 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ลำปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตำแหน่งที่ว่างลง วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม 2565 ครม. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ลําปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตําแหน่งที่ว่างลง ครม. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง ส.ส. ลําปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตําแหน่งที่ว่างลง น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 30 พ.ค. 2565 ได้เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลําปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตําแหน่งที่ว่างลง พ.ศ... เนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้มีคําพิพากษา เมื่อวันที่ 27 พ.ค. 2565 ให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลําปาง เขตเลือกตั้งที่4 ใหม่แทนนายวัฒนา สิทธิวัง ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 133 ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 105 วรรคหนึ่ง ได้กําหนดว่า ในกรณีที่ตําแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งว่างลงเพราะเหตุอื่นใด นอกจากถึงคราวออกตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร หรือเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎร ให้ดําเนินการตราพระราชกฤษฎีกาเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขึ้นแทนตําแหน่งที่ว่าง ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ตําแหน่งนั้นว่างลง เว้นแต่อายุของสภสาผู้แทนราษฎร์จะเหลืออยู่ไม่ถึง 180 วัน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สํานักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จึงแจ้งว่า เพื่อให้การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลําปาง เขตเลือกตั้งที่ 4 แทนตําแหน่งที่ว่าง เป็นไปตามที่กฎหมายกําหนด จึงได้ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ พร้อมแผนการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลําปาง เขตเลือกตั้งที่4 เพื่อเสนอต่อ ครม. และดําเนินการตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ ตามร่างแผนการจัดการเลือกตั้งฯ คาดว่า กกต. จะประกาศกําหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 14 มิ.ย. 2565 จากนั้นเปิดรับสมัครฯ ระหว่างวันที่ 16-20 มิ.ย. 2565 ประกาศรายชื่อผู้สมัครฯ ในวันที่ 27 มิ.ย. 2565 และคาดว่าจะจัดการเลือกตั้งในวันที่ 10 ก.ค. 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55173
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าแก้ไขปัญหาน้ำมันรั่วไหล
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าแก้ไขปัญหาน้ํามันรั่วไหล พร้อมสั่งการเร่งขจัดคราบน้ํามันที่เหลือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว วันที่ 28 มกราคม 2565 ดร. อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมลงพื้นที่ตรวจติดตามความคืบหน้าและการแก้ปัญหาสถานการณ์น้ํามันดิบใต้ทะเลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ําลึกรั่วไหล ณ อาคารศูนย์ประสานและอํานวยความสะดวกในการเดินเรือ VTMS การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จังหวัดระยอง พร้อมด้วยพลอากาศเอก ชนัท รัตนอุบล คณะทํางานรองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และคณะ โดยมีว่าที่ร้อยตรีพิรุณ เหมะรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายสมพงษ์ จิรศิริเลิศ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปฏิบัติการ นายพิทักษ์ วัฒนพงษ์พิศาล ผู้อํานวยการสํานักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ํา นายวงศกร นราธาวา ผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาระยอง ผู้บริหารกรมเจ้าท่าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมพร้อมรายงานผลการปฏิบัติงานความคืบหน้าการขจัดคราบ น้ํามันที่รั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ําลึกหรือจุดขนถ่ายน้ํามันในทะเล (SPM) ของบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จํากัด (มหาชน) ซึ่งตั้งอยู่ในท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ตามที่เกิดเหตุดังกล่าว กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคมได้ประชุมร่วมกับศูนย์ติดตามสถานการณ์แก้ไขปัญหามลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามัน จังหวัดระยอง เพื่อบูรณาการความร่วมมือปฏิบัติการตามแผนขจัดคราบน้ํามัน โดย กรมเจ้าท่า นําเรือตรวจการณ์ 804 ปฏิบัติการร่วมกับบริษัท ไออาร์พีซี จํากัด ในการใช้สาร dispersant ขจัดคราบน้ํามันที่หลุดรอดออกไปจากวงล้อมของ boom การใช้สาร dispersant จะอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมควบคุมมลพิษ ในการกําหนดปริมาณสารที่จะใช้ โดยจะใช้สารจุลินทรีย์ชีวภาพในการขจัดคราบน้ํามันร่วมด้วย เพื่อลดผลกระทบทางด้านระบบนิเวศทางทะเลไม่ให้มีการใช้สารเคมีในปริมาณที่มากเกินไป พร้อมกันนี้ได้ออกประกาศแจ้งเตือนให้ระมัดระวังการเดินเรือบริเวณทุ่นท่าเทียบเรือ SPM จังหวัดระยอง พร้อมสั่งระงับการใช้งานทุ่นเทียบเรือ SINGLE POINT MOORING (SPM) จนกว่าจะดําเนินการแก้ไขปรับปรุงให้แล้วเสร็จ ในการดําเนินคดี กรมเจ้าท่า ในฐานะผู้เสียหายในฐานความผิดของบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จํากัด (มหาชน) กรณีน้ํามันรั่วไหลจากทุ่นผูกเรือน้ําลึกหรือจุดขนถ่ายน้ํามันในทะเล ได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดําเนินคดีกับกรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จํากัด (มหาชน) จนคดีถึงที่สุด โดยฐานความผิดดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดมลพิษต่อสิ่งมีชีวิตหรือต่อสิ่งแวดล้อม หรือเป็นอันตรายต่อการเดินเรือ อันเป็นความผิดตามมาตรา 119 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทย พุทธศักราช 2456 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ.2535 และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะร่วมประเมินความเสียหายทางด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนแจ้งกรมเจ้าท่าดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการ ฯ ได้กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เฝ้าระวังและเร่งขจัดคราบน้ํามันที่คงเหลือปริมาณไม่มากอย่างเร่งด่วนที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว และให้กรมเจ้าท่านําเรือตรวจการณ์เจ้าท่า 804 พร้อมอุปกรณ์ขจัดคราบน้ํามันและเรือสนับสนุนอีกสองลําเตรียมพร้อมเพื่อเข้าดําเนินการในพื้นที่ฉีดพ่นน้ํายาขจัดน้ํามัน โดยปฏิบัติการตามคําสั่งจากศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการในวันนี้ พร้อมกําชับและเข้มงวดให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากผู้ใดละเมิดจะต้องถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย และส่งเสริมความตระหนักในการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมแก่ทุกภาคส่วน ในส่วนของการช่วยเหลือเยียวยานั้น จะได้ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ เช่น การท่องเที่ยว ชาวประมง หากมีจะดําเนินการเยียวยาตามความเสียหายที่เกิดจริง โดยจะมีหน่วยที่รับผิดชอบตอบข้อสอบถามความเสียหาย รวมถึงช่องทางการให้ผู้ได้รับผลกระทบร้องทุกข์ ตามช่องทางที่จัดหาให้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าแก้ไขปัญหาน้ำมันรั่วไหล วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าแก้ไขปัญหาน้ํามันรั่วไหล พร้อมสั่งการเร่งขจัดคราบน้ํามันที่เหลือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว วันที่ 28 มกราคม 2565 ดร. อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมลงพื้นที่ตรวจติดตามความคืบหน้าและการแก้ปัญหาสถานการณ์น้ํามันดิบใต้ทะเลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ําลึกรั่วไหล ณ อาคารศูนย์ประสานและอํานวยความสะดวกในการเดินเรือ VTMS การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จังหวัดระยอง พร้อมด้วยพลอากาศเอก ชนัท รัตนอุบล คณะทํางานรองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) และคณะ โดยมีว่าที่ร้อยตรีพิรุณ เหมะรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง นายสมพงษ์ จิรศิริเลิศ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปฏิบัติการ นายพิทักษ์ วัฒนพงษ์พิศาล ผู้อํานวยการสํานักความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมทางน้ํา นายวงศกร นราธาวา ผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาระยอง ผู้บริหารกรมเจ้าท่าและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมพร้อมรายงานผลการปฏิบัติงานความคืบหน้าการขจัดคราบ น้ํามันที่รั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ําลึกหรือจุดขนถ่ายน้ํามันในทะเล (SPM) ของบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จํากัด (มหาชน) ซึ่งตั้งอยู่ในท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด อ.เมืองระยอง จ.ระยอง ตามที่เกิดเหตุดังกล่าว กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคมได้ประชุมร่วมกับศูนย์ติดตามสถานการณ์แก้ไขปัญหามลพิษทางน้ําเนื่องจากน้ํามัน จังหวัดระยอง เพื่อบูรณาการความร่วมมือปฏิบัติการตามแผนขจัดคราบน้ํามัน โดย กรมเจ้าท่า นําเรือตรวจการณ์ 804 ปฏิบัติการร่วมกับบริษัท ไออาร์พีซี จํากัด ในการใช้สาร dispersant ขจัดคราบน้ํามันที่หลุดรอดออกไปจากวงล้อมของ boom การใช้สาร dispersant จะอยู่ภายใต้การควบคุมของกรมควบคุมมลพิษ ในการกําหนดปริมาณสารที่จะใช้ โดยจะใช้สารจุลินทรีย์ชีวภาพในการขจัดคราบน้ํามันร่วมด้วย เพื่อลดผลกระทบทางด้านระบบนิเวศทางทะเลไม่ให้มีการใช้สารเคมีในปริมาณที่มากเกินไป พร้อมกันนี้ได้ออกประกาศแจ้งเตือนให้ระมัดระวังการเดินเรือบริเวณทุ่นท่าเทียบเรือ SPM จังหวัดระยอง พร้อมสั่งระงับการใช้งานทุ่นเทียบเรือ SINGLE POINT MOORING (SPM) จนกว่าจะดําเนินการแก้ไขปรับปรุงให้แล้วเสร็จ ในการดําเนินคดี กรมเจ้าท่า ในฐานะผู้เสียหายในฐานความผิดของบริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จํากัด (มหาชน) กรณีน้ํามันรั่วไหลจากทุ่นผูกเรือน้ําลึกหรือจุดขนถ่ายน้ํามันในทะเล ได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน เพื่อดําเนินคดีกับกรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จํากัด (มหาชน) จนคดีถึงที่สุด โดยฐานความผิดดังกล่าวเป็นเหตุให้เกิดมลพิษต่อสิ่งมีชีวิตหรือต่อสิ่งแวดล้อม หรือเป็นอันตรายต่อการเดินเรือ อันเป็นความผิดตามมาตรา 119 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทย พุทธศักราช 2456 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทย (ฉบับที่ 14) พ.ศ.2535 และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง จะร่วมประเมินความเสียหายทางด้านสิ่งแวดล้อม ก่อนแจ้งกรมเจ้าท่าดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ในการนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการ ฯ ได้กําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เฝ้าระวังและเร่งขจัดคราบน้ํามันที่คงเหลือปริมาณไม่มากอย่างเร่งด่วนที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว และให้กรมเจ้าท่านําเรือตรวจการณ์เจ้าท่า 804 พร้อมอุปกรณ์ขจัดคราบน้ํามันและเรือสนับสนุนอีกสองลําเตรียมพร้อมเพื่อเข้าดําเนินการในพื้นที่ฉีดพ่นน้ํายาขจัดน้ํามัน โดยปฏิบัติการตามคําสั่งจากศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการในวันนี้ พร้อมกําชับและเข้มงวดให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด หากผู้ใดละเมิดจะต้องถูกดําเนินคดีตามกฎหมาย และส่งเสริมความตระหนักในการดูแลรักษาสภาพแวดล้อมแก่ทุกภาคส่วน ในส่วนของการช่วยเหลือเยียวยานั้น จะได้ตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบ เช่น การท่องเที่ยว ชาวประมง หากมีจะดําเนินการเยียวยาตามความเสียหายที่เกิดจริง โดยจะมีหน่วยที่รับผิดชอบตอบข้อสอบถามความเสียหาย รวมถึงช่องทางการให้ผู้ได้รับผลกระทบร้องทุกข์ ตามช่องทางที่จัดหาให้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51004
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐมนตรีเกษตรฯ” มอบรางวัลเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม AIC Award 2022
วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565 “รัฐมนตรีเกษตรฯ” มอบรางวัลเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม AIC Award 2022 ชูเป็นปีแห่งเทคโนโลยีเกษตร 4.0 มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเกษตรอัพเกรดสู่เกษตรมูลค่าสูง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีมอบโล่และใบประกาศเกียรติคุณรางวัลเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม ปี 2565 ( AIC Award 2022 ) โดยมี นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมเกียรติ กอไพศาล ประธานคณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายสําราญ สาราบรรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายโอภาส ทองยงค์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้ได้รับรางวัล AIC Award 2022 เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ โดยขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 ซึ่งในปีหน้าจะก้าวเข้าสู่เทคโนโลยีเกษตร 5.0 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพัฒนานวัตกรรมการเกษตร ตามมาตรฐานการเกษตรปลอดภัยต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค อีกทั้งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรและอาหาร เพิ่มรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกรไทย โดยมีศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center หรือ AIC) เป็นแหล่งบริการเกษตรกรที่รวบรวมองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร สามารถนําองค์ความรู้ต่าง ๆ ไปใช้พัฒนาต่อยอดการผลิต สามารถเพิ่มมูลค่าการผลิตสินค้าเกษตร และให้สินค้ามีคุณภาพและมาตรฐาน “การขับเคลื่อนงานของศูนย์ AIC นับว่ามีบทบาทสําคัญในการพัฒนาขีดความสามารถ สร้างโอกาสในการแข่งขันในภาคการเกษตร ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม เครื่องจักรกลเกษตร รวมไปถึงเป็นศูนย์อบรมบ่มเพาะเกษตรกร Smart Farmer และ Young Smart Farmer ที่ช่วยผลักดันงานเทคโนโลยีและนวัตกรรมผ่านการวิจัย การพัฒนา การลงทุน การแปรรูป และการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสถาบันการศึกษา สู่การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence) หรือ CoE เพื่อนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีของศูนย์ CoE ไปใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร ถ่ายทอดไปยังเกษตรกร และกําหนดงานวิจัย ที่เหมาะสมกับความต้องการของพื้นที่ซึ่งการมอบรางวัลเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมประจําปี 2565 หรือ AIC Award 2022 ในครั้งนี้ มุ่งหวังให้พัฒนาต่อยอดผลงานนวัตกรรมเพื่ออัพเกรดภาคเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูง สามารถนําไปถ่ายทอดสู่พี่น้องเกษตรกรให้ได้รับความรู้ และสามารถปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ในแต่ละพื้นที่ ต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าว นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประธานกรรมการบริหารศูนย์ AIC กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมมือกับ สถาบันการศึกษา 69 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัย 58 แห่ง สถาบันอาชีวศึกษา 8 แห่ง และสถาบันวิทยาลัยชุมชน 3 แห่ง จัดตั้งศูนย์ AIC รวม 77 ศูนย์ใน 77 จังหวัด และศูนย์ความเป็นเลิศ จํานวน 23 แห่ง เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งอบรมบ่มเพาะและถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตร ภูมิปัญญาด้านการเกษตร และนวัตกรรมทางการเกษตร ทั้งยังเป็นศูนย์กลางในการให้บริการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเชื่อมโยงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางด้านการเกษตรระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน และเกษตรกร รวมทั้งการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม และเครื่องจักรกลการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรได้นําเทคโนโลยีที่เหมาะสมและนวัตกรรมการเกษตรไปปรับใช้ในฟาร์มของตน ทั้งนี้ ศูนย์ AIC ได้ดําเนินการขับเคลื่อนงานเป็นระยะเวลา 2 ปี และในปีนี้คณะกรรมการบริหารศูนย์ AIC ได้มีกิจกรรมการคัดเลือกและมอบรางวัล AIC Award 2022 ขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้การขับเคลื่อนศูนย์ AIC เป็นไปอย่างต่อเนื่องเกิดการพัฒนานวัตกรรม เห็นความสําคัญของการสร้างสรรค์รูปแบบนวัตกรรมทางการเกษตร การให้บริการที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจ ให้แก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมและการให้บริการดีเด่นระดับประเทศขึ้น สําหรับผลการคัดเลือกที่ได้รับรางวัล มีดังนี้ 1. ประเภทนวัตกรรมยอดเยี่ยม สาขานวัตกรรมเกษตรเพื่อเศรษฐกิจ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลงาน “งานวิจัยและบริการวิชาการเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรปูม้า และยกระดับเศรษฐกิจของชุมชนประมงชายฝั่ง” โดย ผศ.ดร. อมรศักดิ์ สวัสดี และคณะ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ ผลงาน “นวัตกรรมการเลี้ยงหอยนางรมแบบความหนาแน่นสูง” โดย ผศ.ดร.สุพัชชา ชูเสียงแจ้ว และคณะ มหาวิทยาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดตรัง รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ ผลงาน “อาหารทดแทนเกสรดอกไม้สําหรับเลี้ยงผึ้งพันธุ์” โดย ดร.บาจรีย์ ฉัตรทอง และคณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์ความเป็นเลิศแมลงอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ 2. ประเภทนวัตกรรมยอดเยี่ยม สาขานวัตกรรมเพื่อสังคมการเกษตร รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลงาน “ไตรโคเดอร์มา5 + ชีวภัณฑ์กําจัดศัตรูพืชมาตรฐานสากล” โดย รศ.ดร.วาริน อินทนา และคณะ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ ผลงาน “กระบวนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากพันธุ์ข้าวพื้นเมืองคุณภาพสูงเพื่อทางเลือกของเกษตรกร” โดย รศ.ดร. ชนากานต์ เทโบลต์ พรมอุทัย และคณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านข้าวพื้นเมืองล้านนา จังหวัดเชียงใหม่ รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ ผลงาน “นวัตกรรมกระบวนการสู่การผลิตมะขามหวานคุณภาพจังหวัดอุตรดิตถ์” โดย ผศ.ดร.พิชัย ใจกล้า และคณะ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ 3. ประเภทศูนย์ AIC สมรรถนะสูง รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดเพชรบุรี 4. ประเภทศูนย์ข้อมูลดีเด่น รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดสมุทรสาคร.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“รัฐมนตรีเกษตรฯ” มอบรางวัลเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม AIC Award 2022 วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565 “รัฐมนตรีเกษตรฯ” มอบรางวัลเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม AIC Award 2022 ชูเป็นปีแห่งเทคโนโลยีเกษตร 4.0 มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการเกษตรอัพเกรดสู่เกษตรมูลค่าสูง ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีมอบโล่และใบประกาศเกียรติคุณรางวัลเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม ปี 2565 ( AIC Award 2022 ) โดยมี นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมเกียรติ กอไพศาล ประธานคณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์นายสําราญ สาราบรรณ์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายโอภาส ทองยงค์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้บริหารกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้ได้รับรางวัล AIC Award 2022 เข้าร่วม ณ ห้องประชุม 115 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และภาควิชาการ โดยขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 ซึ่งในปีหน้าจะก้าวเข้าสู่เทคโนโลยีเกษตร 5.0 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพัฒนานวัตกรรมการเกษตร ตามมาตรฐานการเกษตรปลอดภัยต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค อีกทั้งเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มสินค้าเกษตรและอาหาร เพิ่มรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของเกษตรกรไทย โดยมีศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center หรือ AIC) เป็นแหล่งบริการเกษตรกรที่รวบรวมองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร สามารถนําองค์ความรู้ต่าง ๆ ไปใช้พัฒนาต่อยอดการผลิต สามารถเพิ่มมูลค่าการผลิตสินค้าเกษตร และให้สินค้ามีคุณภาพและมาตรฐาน “การขับเคลื่อนงานของศูนย์ AIC นับว่ามีบทบาทสําคัญในการพัฒนาขีดความสามารถ สร้างโอกาสในการแข่งขันในภาคการเกษตร ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สนับสนุนและส่งเสริมเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม เครื่องจักรกลเกษตร รวมไปถึงเป็นศูนย์อบรมบ่มเพาะเกษตรกร Smart Farmer และ Young Smart Farmer ที่ช่วยผลักดันงานเทคโนโลยีและนวัตกรรมผ่านการวิจัย การพัฒนา การลงทุน การแปรรูป และการบริหารจัดการเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสถาบันการศึกษา สู่การเป็นศูนย์ความเป็นเลิศ (Center of Excellence) หรือ CoE เพื่อนํานวัตกรรมและเทคโนโลยีของศูนย์ CoE ไปใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร ถ่ายทอดไปยังเกษตรกร และกําหนดงานวิจัย ที่เหมาะสมกับความต้องการของพื้นที่ซึ่งการมอบรางวัลเทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมประจําปี 2565 หรือ AIC Award 2022 ในครั้งนี้ มุ่งหวังให้พัฒนาต่อยอดผลงานนวัตกรรมเพื่ออัพเกรดภาคเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูง สามารถนําไปถ่ายทอดสู่พี่น้องเกษตรกรให้ได้รับความรู้ และสามารถปรับใช้ให้เป็นประโยชน์ในแต่ละพื้นที่ ต่อไป” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าว นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประธานกรรมการบริหารศูนย์ AIC กล่าวว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมมือกับ สถาบันการศึกษา 69 แห่ง ประกอบด้วย มหาวิทยาลัย 58 แห่ง สถาบันอาชีวศึกษา 8 แห่ง และสถาบันวิทยาลัยชุมชน 3 แห่ง จัดตั้งศูนย์ AIC รวม 77 ศูนย์ใน 77 จังหวัด และศูนย์ความเป็นเลิศ จํานวน 23 แห่ง เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ แหล่งอบรมบ่มเพาะและถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการเกษตร ภูมิปัญญาด้านการเกษตร และนวัตกรรมทางการเกษตร ทั้งยังเป็นศูนย์กลางในการให้บริการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเชื่อมโยงความร่วมมือด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางด้านการเกษตรระหว่างภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน และเกษตรกร รวมทั้งการส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีเกษตร การประดิษฐ์นวัตกรรม และเครื่องจักรกลการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรได้นําเทคโนโลยีที่เหมาะสมและนวัตกรรมการเกษตรไปปรับใช้ในฟาร์มของตน ทั้งนี้ ศูนย์ AIC ได้ดําเนินการขับเคลื่อนงานเป็นระยะเวลา 2 ปี และในปีนี้คณะกรรมการบริหารศูนย์ AIC ได้มีกิจกรรมการคัดเลือกและมอบรางวัล AIC Award 2022 ขึ้น เพื่อเป็นการส่งเสริมให้การขับเคลื่อนศูนย์ AIC เป็นไปอย่างต่อเนื่องเกิดการพัฒนานวัตกรรม เห็นความสําคัญของการสร้างสรรค์รูปแบบนวัตกรรมทางการเกษตร การให้บริการที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร รวมทั้งเป็นการสร้างขวัญและกําลังใจ ให้แก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานนวัตกรรมและการให้บริการดีเด่นระดับประเทศขึ้น สําหรับผลการคัดเลือกที่ได้รับรางวัล มีดังนี้ 1. ประเภทนวัตกรรมยอดเยี่ยม สาขานวัตกรรมเกษตรเพื่อเศรษฐกิจ รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลงาน “งานวิจัยและบริการวิชาการเพื่อฟื้นฟูทรัพยากรปูม้า และยกระดับเศรษฐกิจของชุมชนประมงชายฝั่ง” โดย ผศ.ดร. อมรศักดิ์ สวัสดี และคณะ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ ผลงาน “นวัตกรรมการเลี้ยงหอยนางรมแบบความหนาแน่นสูง” โดย ผศ.ดร.สุพัชชา ชูเสียงแจ้ว และคณะ มหาวิทยาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดตรัง รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ ผลงาน “อาหารทดแทนเกสรดอกไม้สําหรับเลี้ยงผึ้งพันธุ์” โดย ดร.บาจรีย์ ฉัตรทอง และคณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์ความเป็นเลิศแมลงอุตสาหกรรมจังหวัดเชียงใหม่ 2. ประเภทนวัตกรรมยอดเยี่ยม สาขานวัตกรรมเพื่อสังคมการเกษตร รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ผลงาน “ไตรโคเดอร์มา5 + ชีวภัณฑ์กําจัดศัตรูพืชมาตรฐานสากล” โดย รศ.ดร.วาริน อินทนา และคณะ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช รองชนะเลิศอันดับที่ 1 ได้แก่ ผลงาน “กระบวนการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากพันธุ์ข้าวพื้นเมืองคุณภาพสูงเพื่อทางเลือกของเกษตรกร” โดย รศ.ดร. ชนากานต์ เทโบลต์ พรมอุทัย และคณะ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านข้าวพื้นเมืองล้านนา จังหวัดเชียงใหม่ รองชนะเลิศอันดับที่ 2 ได้แก่ ผลงาน “นวัตกรรมกระบวนการสู่การผลิตมะขามหวานคุณภาพจังหวัดอุตรดิตถ์” โดย ผศ.ดร.พิชัย ใจกล้า และคณะ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุตรดิตถ์ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดอุตรดิตถ์ 3. ประเภทศูนย์ AIC สมรรถนะสูง รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดเพชรบุรี 4. ประเภทศูนย์ข้อมูลดีเด่น รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรมจังหวัดสมุทรสาคร.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56316
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ภาพรวมสถานการณ์ดีขึ้นชัดเจน ทั้งผู้ติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง ขณะที่เรือนจำทุกแห่ง สามารถควบคุมและป้องกันการระบาดได้อย่างเป็นระบ
วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ภาพรวมสถานการณ์ดีขึ้นชัดเจน ทั้งผู้ติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง ขณะที่เรือนจําทุกแห่ง สามารถควบคุมและป้องกันการระบาดได้อย่างเป็นระบ ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ภาพรวมสถานการณ์ดีขึ้นชัดเจน ทั้งผู้ติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง ขณะที่เรือนจําทุกแห่ง สามารถควบคุมและป้องกันการระบาดได้อย่างเป็นระบบ ในวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 เวลา 09.00 น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 13/2565 โดยมี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางสาวศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษก ศบค.ยธ. เปิดเผยว่า เผยภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจําและทัณฑสถาน ว่า ยังคงไม่พบเรือนจําระบาดใหม่ต่อเนื่อง โดยเรือนจําและทัณฑสถานทุกแห่งได้พ้นจากการเป็นเรือนจําแพร่ระบาดและควบคุมการระบาดได้อย่างเป็นระบบ ทั้งระบบการค้นหาผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การคัดกรอง คัดแยกผู้ติดเชื้อ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง และผู้ไม่ติดเชื้อออกจากกัน ทําให้เรือนจํายังคงสามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติ ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ พบเพิ่ม 32 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นการพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับเข้าใหม่จากภายนอก จึงมีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ทั้งสิ้น 462 ราย เป็นกลุ่มสีเขียว 83.5% กลุ่มสีเหลือง 15.6% และกลุ่มสีแดง 0.9% มีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 91,780 ราย หรือ 96.7% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 94,932 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต จึงมีผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 205 ราย หรือ 0.21% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด และในส่วนของการดําเนินการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์นั้น ปัจจุบันมีผู้ต้องขังที่ยังอยู่ในเรือนจําและทัณฑสถานได้รับการฉีดวัคซีนจนครบโดสแล้ว จํานวน 245,135 ราย หรือคิดเป็น 92.13% ของจํานวนผู้ต้องขังทั้งหมด 266,076 ราย นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุม ศบค.ยธ. โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมในช่วงเช้าวันนี้ พบว่าสถานการณ์โดยรวมยังคงดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการแบ่งพื้นที่เพื่อบริหารจัดการเรือนจําเมื่อพบการติดเชื้อในแดนอย่างเป็นระบบ ทําให้สามารถควบคุมการระบาดและช่วยให้เรือนจํายังคงสามารถปฏิบัติงานเรือนจําได้ตามปกติ ขณะที่จํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่พบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง ทั้งนี้ ได้กําชับให้เรือนจําและทัณฑสถาน เร่งดําเนินการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังให้ครบโดสทุกราย ทั้งในรายที่เข้าใหม่หรือผู้ที่ติดเชื้อและได้รับการรักษาหายแล้ว ตลอดจนการตรวจและป้องกันโรคที่ยังคงต้องดําเนินการอย่างเข้มข้นต่อไป ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจําวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 25 ราย และอยู่ระหว่างการรักษาตัวรวมจํานวน 452 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 88 ราย เด็กและเยาวชน 364 ราย ด้านผลการดําเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจํานวน 24 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง โดยพบว่ามีการติดเชื้อ 30 แห่ง และหมดสถานะ 2 แห่ง ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชน จํานวน 3,161 ราย หรือคิดเป็น 91% จากทั้งหมด 3,461 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีน จํานวน 4,005 ราย หรือคิดเป็น 93% จากทั้งหมด 4,307 ราย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ภาพรวมสถานการณ์ดีขึ้นชัดเจน ทั้งผู้ติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง ขณะที่เรือนจำทุกแห่ง สามารถควบคุมและป้องกันการระบาดได้อย่างเป็นระบ วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ภาพรวมสถานการณ์ดีขึ้นชัดเจน ทั้งผู้ติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง ขณะที่เรือนจําทุกแห่ง สามารถควบคุมและป้องกันการระบาดได้อย่างเป็นระบ ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ภาพรวมสถานการณ์ดีขึ้นชัดเจน ทั้งผู้ติดเชื้อและอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง ขณะที่เรือนจําทุกแห่ง สามารถควบคุมและป้องกันการระบาดได้อย่างเป็นระบบ ในวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 เวลา 09.00 น. ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 13/2565 โดยมี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายธวัชชัย ชัยวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายณรงค์ จุ้ยเส่ย รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางสาวศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษก ศบค.ยธ. เปิดเผยว่า เผยภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจําและทัณฑสถาน ว่า ยังคงไม่พบเรือนจําระบาดใหม่ต่อเนื่อง โดยเรือนจําและทัณฑสถานทุกแห่งได้พ้นจากการเป็นเรือนจําแพร่ระบาดและควบคุมการระบาดได้อย่างเป็นระบบ ทั้งระบบการค้นหาผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที การคัดกรอง คัดแยกผู้ติดเชื้อ ผู้สัมผัสเสี่ยงสูง และผู้ไม่ติดเชื้อออกจากกัน ทําให้เรือนจํายังคงสามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติ ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ พบเพิ่ม 32 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นการพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับเข้าใหม่จากภายนอก จึงมีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ทั้งสิ้น 462 ราย เป็นกลุ่มสีเขียว 83.5% กลุ่มสีเหลือง 15.6% และกลุ่มสีแดง 0.9% มีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 91,780 ราย หรือ 96.7% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 94,932 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต จึงมีผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 205 ราย หรือ 0.21% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด และในส่วนของการดําเนินการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังของกรมราชทัณฑ์นั้น ปัจจุบันมีผู้ต้องขังที่ยังอยู่ในเรือนจําและทัณฑสถานได้รับการฉีดวัคซีนจนครบโดสแล้ว จํานวน 245,135 ราย หรือคิดเป็น 92.13% ของจํานวนผู้ต้องขังทั้งหมด 266,076 ราย นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า การประชุม ศบค.ยธ. โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมในช่วงเช้าวันนี้ พบว่าสถานการณ์โดยรวมยังคงดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะการแบ่งพื้นที่เพื่อบริหารจัดการเรือนจําเมื่อพบการติดเชื้อในแดนอย่างเป็นระบบ ทําให้สามารถควบคุมการระบาดและช่วยให้เรือนจํายังคงสามารถปฏิบัติงานเรือนจําได้ตามปกติ ขณะที่จํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่พบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงอัตราการเสียชีวิตที่ลดลง ทั้งนี้ ได้กําชับให้เรือนจําและทัณฑสถาน เร่งดําเนินการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังให้ครบโดสทุกราย ทั้งในรายที่เข้าใหม่หรือผู้ที่ติดเชื้อและได้รับการรักษาหายแล้ว ตลอดจนการตรวจและป้องกันโรคที่ยังคงต้องดําเนินการอย่างเข้มข้นต่อไป ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจําวันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม 2565 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 25 ราย และอยู่ระหว่างการรักษาตัวรวมจํานวน 452 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 88 ราย เด็กและเยาวชน 364 ราย ด้านผลการดําเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจํานวน 24 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง โดยพบว่ามีการติดเชื้อ 30 แห่ง และหมดสถานะ 2 แห่ง ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชน จํานวน 3,161 ราย หรือคิดเป็น 91% จากทั้งหมด 3,461 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีน จํานวน 4,005 ราย หรือคิดเป็น 93% จากทั้งหมด 4,307 ราย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54151
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-(ภาพข่าว) ประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี
วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 (ภาพข่าว) ประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2564 -2569 (6 ปี) ครั้งที่ 1/2565 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระท วันนี้ 27 เมษายน 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2564 -2569 (6 ปี) ครั้งที่ 1/2565 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้แทนสํานักงานปลัดกระทรวงคมนาคม ตัวแทนสํานักงบประมาณ ผู้แทนสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และผู้บริหารสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ร่วมประชุมทางออนไซต์ และออนไลน์
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-(ภาพข่าว) ประชุมคณะกรรมการอำนวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 (ภาพข่าว) ประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2564 -2569 (6 ปี) ครั้งที่ 1/2565 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระท วันนี้ 27 เมษายน 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการจัดการแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ โมโต จีพี ประจําปี 2564 -2569 (6 ปี) ครั้งที่ 1/2565 โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายโชติ ตราชู ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้แทนสํานักงานปลัดกระทรวงคมนาคม ตัวแทนสํานักงบประมาณ ผู้แทนสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ผู้แทนผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ และผู้บริหารสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต ร่วมประชุมทางออนไซต์ และออนไลน์
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54000
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางนัดหมายล่วงหน้า กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์การเข้าใช้งานในระบบ GFMIS ในช่วงโควิด 19
วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2564 กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางนัดหมายล่วงหน้า กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์การเข้าใช้งานในระบบ GFMIS ในช่วงโควิด 19 กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางการให้บริการติดต่องานเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ GFMIS เพื่อให้การปฏิบัติงานสอดคล้องกับประกาศข้อกําหนดดังกล่าว ซึ่งจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป นางแก้วกาญจน์ วสุพรพงศ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า พระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 28) และ (ฉบับที่ 30) มาตรา 9 กําหนดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมทั้งสิ้น 29 จังหวัด โดยให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งขั้นสูงสุดเต็มจํานวน และอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้ง ได้เฉพาะเท่าที่จําเป็นเท่านั้น เพื่อลดจํานวนและจํากัดการเคลื่อนย้ายเดินทางของบุคลากร ดังนั้น กรมบัญชีกลางจึงได้กําหนดแนวทางการให้บริการติดต่องานเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ GFMIS เพื่อให้การปฏิบัติงานสอดคล้องกับประกาศข้อกําหนดดังกล่าว โดยกรณีที่อุปกรณ์เข้าใช้งานระบบ GFMIS ของหน่วยงานชํารุด สูญหาย เปลี่ยนบัตรกําหนดสิทธิการใช้ (GFMIS Smart Card) หรือ GFMIS Token key หรือกรณีต่ออายุ GFMIS Token key (เฉพาะหน่วยงานในส่วนกลาง) ให้หน่วยงานลงทะเบียนนัดหมายล่วงหน้าได้จาก Url หรือสแกน QR Code ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0414.2/ว 665 ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2564 เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว หน่วยงานจะได้รับข้อความตอบกลับผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เพื่อกําหนดเวลานัดหมายในการเข้ามาติดต่อเจ้าหน้าที่ ณ กองระบบการคลังภาครัฐ กรมบัญชีกลาง ซึ่งจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป หรือจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มงานบริการและประชาสัมพันธ์ กองระบบการคลังภาครัฐ กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 032 2636 ในวัน เวลาราชการ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบัญชีกลางกำหนดแนวทางนัดหมายล่วงหน้า กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์การเข้าใช้งานในระบบ GFMIS ในช่วงโควิด 19 วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2564 กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางนัดหมายล่วงหน้า กรณีมีปัญหาเกี่ยวกับอุปกรณ์การเข้าใช้งานในระบบ GFMIS ในช่วงโควิด 19 กรมบัญชีกลางกําหนดแนวทางการให้บริการติดต่องานเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ GFMIS เพื่อให้การปฏิบัติงานสอดคล้องกับประกาศข้อกําหนดดังกล่าว ซึ่งจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป นางแก้วกาญจน์ วสุพรพงศ์ รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะโฆษกกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า พระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 28) และ (ฉบับที่ 30) มาตรา 9 กําหนดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด รวมทั้งสิ้น 29 จังหวัด โดยให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ปฏิบัติงานนอกสถานที่ตั้งขั้นสูงสุดเต็มจํานวน และอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน ณ สถานที่ตั้ง ได้เฉพาะเท่าที่จําเป็นเท่านั้น เพื่อลดจํานวนและจํากัดการเคลื่อนย้ายเดินทางของบุคลากร ดังนั้น กรมบัญชีกลางจึงได้กําหนดแนวทางการให้บริการติดต่องานเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในระบบบริหารการเงินการคลังภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือระบบ GFMIS เพื่อให้การปฏิบัติงานสอดคล้องกับประกาศข้อกําหนดดังกล่าว โดยกรณีที่อุปกรณ์เข้าใช้งานระบบ GFMIS ของหน่วยงานชํารุด สูญหาย เปลี่ยนบัตรกําหนดสิทธิการใช้ (GFMIS Smart Card) หรือ GFMIS Token key หรือกรณีต่ออายุ GFMIS Token key (เฉพาะหน่วยงานในส่วนกลาง) ให้หน่วยงานลงทะเบียนนัดหมายล่วงหน้าได้จาก Url หรือสแกน QR Code ตามหนังสือกรมบัญชีกลาง ด่วนที่สุด ที่ กค 0414.2/ว 665 ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2564 เมื่อลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว หน่วยงานจะได้รับข้อความตอบกลับผ่านทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) เพื่อกําหนดเวลานัดหมายในการเข้ามาติดต่อเจ้าหน้าที่ ณ กองระบบการคลังภาครัฐ กรมบัญชีกลาง ซึ่งจะเริ่มให้บริการตั้งแต่วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564 เป็นต้นไป หรือจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กลุ่มงานบริการและประชาสัมพันธ์ กองระบบการคลังภาครัฐ กรมบัญชีกลาง หมายเลข 02 032 2636 ในวัน เวลาราชการ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44520
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ พบพื้นที่ กทม.ดีขึ้นชัดเจน มอบศูนย์ CARE เรือนจำ/ทัณฑสถานให้ข้อมูล COVID-19 แก่ญาติ
วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2564 สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ พบพื้นที่ กทม.ดีขึ้นชัดเจน มอบศูนย์ CARE เรือนจํา/ทัณฑสถานให้ข้อมูล COVID-19 แก่ญาติ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจําและทัณฑสถาน พบการระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานครดีขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมเร่งให้ข้อมูลแก่ญาติผ่านศูนย์ CARE ทุกเรือนจํา/ทัณฑสถาน แจง ให้บริการไปแล้วกว่า 6 หมื่นราย วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2564 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีนางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เผย ภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจําและทัณฑสถาน พบการระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานครดีขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมเร่งให้ข้อมูลแก่ญาติผ่านศูนย์ CARE ทุกเรือนจํา/ทัณฑสถาน แจง ให้บริการไปแล้วกว่า 6 หมื่นราย นายวัลลภฯ เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกรมราชทัณฑ์ ยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่น้อยกว่าผู้ป่วยที่รักษาหาย และมีผู้หายป่วยสะสมแล้ว 29,166 ราย หรือ 82% ของผู้ติดเชื้อสะสมที่ 35,386 ราย ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างการรักษาอยู่ที่ 5,976 ราย ซึ่งต่ํากว่าหกพันรายเป็นวันแรก โดยไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม คงอยู่ที่ 31 ราย หรือประมาณ 0.09% ของผู้ติดเชื้อสะสม ขณะที่มีเรือนจํา/ทัณฑสถานที่เป็นเรือนจําสีขาวไม่พบการระบาดจํานวน 127 แห่ง เรือนจําสีแดงที่พบการระบาดจํานวน 13 แห่ง และมีเรือนจําที่พ้นระยะสีแดง รอการปรับสถานะ 2 แห่ง คือ เรือนจํากลางเชียงใหม่ และเรือนจําจังหวัดนราธิวาส นายวัลลภฯ กล่าวต่อว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบว่า มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน มีเรือนจํา/ทัณฑสถานหลายแห่งที่สามารถจํากัดแดนที่พบผู้ติดเชื้อ ออกจากแดนปลอดเชื้อได้อย่างชัดเจน จนสามารถวางแผนเพื่อลดสถานะจากเรือนจําสีแดงเป็นเรือนจําสีขาวได้แล้ว ซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่จะสามารถลดสถานะจากเรือนจําสีแดงได้ภายในเดือนกรกฎาคม โดยจะเริ่มทยอยลดสถานะได้ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในพื้นที่จังหวัดสงขลา ในวันนี้ยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 แห่ง คือ เรือนจํากลางสงขลา และทัณฑสถานหญิงสงขลา ซึ่งเป็นการพบผู้ติดเชื้อในบางแดน และได้แยกกลุ่มเสี่ยงออกจากผู้ต้องขังรายอื่นเป็นที่เรียบร้อย รวมถึงการเร่งตรวจหาเชื้อเพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อให้ได้รับการรักษาโดยเร็ว โดยผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองจะถูกส่งตัวรักษาโรงพยาบาลภายนอก ส่วนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการ จะได้รับการดูแลรักษาภายในพื้นที่เรือนจํา/ทัณฑสถานที่จัดทําพื้นที่เป็นโรงพยาบาลสนามเฉพาะ ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์ ได้เร่งดําเนินการเพื่อสนับสนุน ทั้งในส่วนของยารักษาและบรรเทาอาการ เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษารวมถึงการจัดทีมแพทย์และพยาบาลจากส่วนกลางและเรือนจํา/ทัณฑสถานในพื้นที่ที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เพื่อเข้าดูแลและช่วยเหลือในพื้นที่ ส่วนการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อรับผู้ต้องขังเข้าใหม่ในช่วงนี้ ผู้ต้องขังชายจากเรือนจํากลางสงขลา และเรือนจําจังหวัดสงขลา จะถูกส่งตัวเข้าคุมขังที่ทัณฑสถานบําบัดพิเศษสงขลา ส่วนผู้ต้องขังหญิง จะนําส่งที่ทัณฑสถานหญิงสงขลา โดยจัดพื้นที่ส่วนควบคุมใหม่ที่แยกประตูเข้า-ออกจากทัณฑสถานเดิมอย่างชัดเจน เพื่อเป็นพื้นที่ปลอดเชื้อในการรับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ต่อจากนี้จนกว่าสถานการณ์จะปกติ ซึ่งจะมีขั้นตอนการกักโรคและตรวจเชื้อผู้ต้องขังเข้าใหม่ทุกรายตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด นายวัลลภฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกรมราชทัณฑ์ อาจสร้างความกังวลใจแก่ญาติผู้ต้องขังได้ ทางกรมราชทัณฑ์จึงได้มอบหมายให้ศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทํา (CARE : Center for Assistance to Reintegration and Employment) หรือศูนย์ CARE ทุกเรือนจํา/ทัณฑสถาน ทําหน้าที่แจ้งข้อมูลข่าวสาร และตอบข้อซักถามแก่ญาติ ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ โทรศัพท์ ไลน์ หรือ เฟซบุ๊กของเรือนจํา/ทัณฑสถาน รวมทั้งผ่านศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมราชทัณฑ์ (ศบค.รท.) หมายเลข 02-9673383, 02-9672222 ต่อ 199 ซึ่งที่ผ่านมา ได้ดําเนินการตอบข้อสงสัยและให้ข้อมูลแก่ญาติผู้ต้องขังไปแล้วทั้งสิ้น 61,890 ราย เป็นการให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ 17,610 ราย ผ่านช่องทางไลน์ 21,569 ราย และช่องทางเฟซบุ๊ก 22,711 ราย โดยเป็นเรือนจําที่พบการระบาด 23,050 ราย และเรือนจําที่ไม่พบการระบาด 38,840 ราย นายวัลลภฯ กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนสถานการณ์ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนพบเจ้าหน้าที่ติดเชื้อเพิ่ม 2 ราย เป็นเจ้าหน้าที่จากสถานพินิจฯ อยุธยา 1 ราย และหน่วยบริการธนบุรี อีก 1 ราย ขณะที่ยอดเด็กและเยาวชนติดเชื้อยังคงที่อยู่ที่ 3 ราย และยอดเดิมเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง 1 ราย รวมสถานะผู้ป่วยทั้งหมด 6 ราย หรือ 6.45% ของผู้ติดเชื้อสะสมที่ 93 ราย ขณะที่สถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาววันนี้ มีสถานะรวม 35 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง ซึ่งอีก 21 แห่งนั้น อยู่ระหว่างรอตรวจ/รอผลตรวจ 10 แห่ง หมดสถานสีขาว 6 แห่ง และติดเชื้อรวม 5 แห่ง ทั้งนี้กรมพินิจฯ ได้มีนโยบายในการเร่งการตรวจคัดกรองเชิงรุก และส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่รับการฉีดวัคซีนให้ครบทุกคน รวมไปถึงเด็กและเยาวชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง โดยล่าสุดได้เก็บสถิติการฉีดวัคซีนของเจ้าหน้าที่จากทั้งหมดจํานวน 4,420 ราย ซึ่งได้ทําการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 2,734 ราย หรือคิดเป็น 61.86% พร้อมระดมทรัพยากรและของใช้ที่จําเป็นต่างๆ เยียวยาเจ้าหน้าที่ที่ติดเชื้อใหม่ทั้งสองรายแล้ว เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ กระทรวงยุติธรรมกําหนดอย่างเคร่งครัด และให้เจ้าหน้าที่ทุกคนคิดถึงผลกระทบในส่วนรวมหากมีเจ้าหน้าติดเชื้อซึ่งอาจเป็นพาหะนําโรคมาสู่เด็กและเยาวชนในสถานที่ควบคุมได้ “ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดูแลบุคคลในครอบครัว มีวินัยและการป้องกันตนเองไม่ให้โรคติดเชื้อดังกล่าวเข้ามาสู่ครอบครัวและสถานที่ควบคุมได้”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ พบพื้นที่ กทม.ดีขึ้นชัดเจน มอบศูนย์ CARE เรือนจำ/ทัณฑสถานให้ข้อมูล COVID-19 แก่ญาติ วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2564 สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ พบพื้นที่ กทม.ดีขึ้นชัดเจน มอบศูนย์ CARE เรือนจํา/ทัณฑสถานให้ข้อมูล COVID-19 แก่ญาติ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจําและทัณฑสถาน พบการระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานครดีขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมเร่งให้ข้อมูลแก่ญาติผ่านศูนย์ CARE ทุกเรือนจํา/ทัณฑสถาน แจง ให้บริการไปแล้วกว่า 6 หมื่นราย วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน 2564 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดําเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีนางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจําในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เผย ภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจําและทัณฑสถาน พบการระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานครดีขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมเร่งให้ข้อมูลแก่ญาติผ่านศูนย์ CARE ทุกเรือนจํา/ทัณฑสถาน แจง ให้บริการไปแล้วกว่า 6 หมื่นราย นายวัลลภฯ เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกรมราชทัณฑ์ ยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่น้อยกว่าผู้ป่วยที่รักษาหาย และมีผู้หายป่วยสะสมแล้ว 29,166 ราย หรือ 82% ของผู้ติดเชื้อสะสมที่ 35,386 ราย ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างการรักษาอยู่ที่ 5,976 ราย ซึ่งต่ํากว่าหกพันรายเป็นวันแรก โดยไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม คงอยู่ที่ 31 ราย หรือประมาณ 0.09% ของผู้ติดเชื้อสะสม ขณะที่มีเรือนจํา/ทัณฑสถานที่เป็นเรือนจําสีขาวไม่พบการระบาดจํานวน 127 แห่ง เรือนจําสีแดงที่พบการระบาดจํานวน 13 แห่ง และมีเรือนจําที่พ้นระยะสีแดง รอการปรับสถานะ 2 แห่ง คือ เรือนจํากลางเชียงใหม่ และเรือนจําจังหวัดนราธิวาส นายวัลลภฯ กล่าวต่อว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบว่า มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน มีเรือนจํา/ทัณฑสถานหลายแห่งที่สามารถจํากัดแดนที่พบผู้ติดเชื้อ ออกจากแดนปลอดเชื้อได้อย่างชัดเจน จนสามารถวางแผนเพื่อลดสถานะจากเรือนจําสีแดงเป็นเรือนจําสีขาวได้แล้ว ซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่จะสามารถลดสถานะจากเรือนจําสีแดงได้ภายในเดือนกรกฎาคม โดยจะเริ่มทยอยลดสถานะได้ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในพื้นที่จังหวัดสงขลา ในวันนี้ยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 แห่ง คือ เรือนจํากลางสงขลา และทัณฑสถานหญิงสงขลา ซึ่งเป็นการพบผู้ติดเชื้อในบางแดน และได้แยกกลุ่มเสี่ยงออกจากผู้ต้องขังรายอื่นเป็นที่เรียบร้อย รวมถึงการเร่งตรวจหาเชื้อเพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อให้ได้รับการรักษาโดยเร็ว โดยผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองจะถูกส่งตัวรักษาโรงพยาบาลภายนอก ส่วนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการ จะได้รับการดูแลรักษาภายในพื้นที่เรือนจํา/ทัณฑสถานที่จัดทําพื้นที่เป็นโรงพยาบาลสนามเฉพาะ ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์ ได้เร่งดําเนินการเพื่อสนับสนุน ทั้งในส่วนของยารักษาและบรรเทาอาการ เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษารวมถึงการจัดทีมแพทย์และพยาบาลจากส่วนกลางและเรือนจํา/ทัณฑสถานในพื้นที่ที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เพื่อเข้าดูแลและช่วยเหลือในพื้นที่ ส่วนการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อรับผู้ต้องขังเข้าใหม่ในช่วงนี้ ผู้ต้องขังชายจากเรือนจํากลางสงขลา และเรือนจําจังหวัดสงขลา จะถูกส่งตัวเข้าคุมขังที่ทัณฑสถานบําบัดพิเศษสงขลา ส่วนผู้ต้องขังหญิง จะนําส่งที่ทัณฑสถานหญิงสงขลา โดยจัดพื้นที่ส่วนควบคุมใหม่ที่แยกประตูเข้า-ออกจากทัณฑสถานเดิมอย่างชัดเจน เพื่อเป็นพื้นที่ปลอดเชื้อในการรับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ต่อจากนี้จนกว่าสถานการณ์จะปกติ ซึ่งจะมีขั้นตอนการกักโรคและตรวจเชื้อผู้ต้องขังเข้าใหม่ทุกรายตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด นายวัลลภฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกรมราชทัณฑ์ อาจสร้างความกังวลใจแก่ญาติผู้ต้องขังได้ ทางกรมราชทัณฑ์จึงได้มอบหมายให้ศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทํา (CARE : Center for Assistance to Reintegration and Employment) หรือศูนย์ CARE ทุกเรือนจํา/ทัณฑสถาน ทําหน้าที่แจ้งข้อมูลข่าวสาร และตอบข้อซักถามแก่ญาติ ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ โทรศัพท์ ไลน์ หรือ เฟซบุ๊กของเรือนจํา/ทัณฑสถาน รวมทั้งผ่านศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมราชทัณฑ์ (ศบค.รท.) หมายเลข 02-9673383, 02-9672222 ต่อ 199 ซึ่งที่ผ่านมา ได้ดําเนินการตอบข้อสงสัยและให้ข้อมูลแก่ญาติผู้ต้องขังไปแล้วทั้งสิ้น 61,890 ราย เป็นการให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ 17,610 ราย ผ่านช่องทางไลน์ 21,569 ราย และช่องทางเฟซบุ๊ก 22,711 ราย โดยเป็นเรือนจําที่พบการระบาด 23,050 ราย และเรือนจําที่ไม่พบการระบาด 38,840 ราย นายวัลลภฯ กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนสถานการณ์ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนพบเจ้าหน้าที่ติดเชื้อเพิ่ม 2 ราย เป็นเจ้าหน้าที่จากสถานพินิจฯ อยุธยา 1 ราย และหน่วยบริการธนบุรี อีก 1 ราย ขณะที่ยอดเด็กและเยาวชนติดเชื้อยังคงที่อยู่ที่ 3 ราย และยอดเดิมเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง 1 ราย รวมสถานะผู้ป่วยทั้งหมด 6 ราย หรือ 6.45% ของผู้ติดเชื้อสะสมที่ 93 ราย ขณะที่สถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาววันนี้ มีสถานะรวม 35 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง ซึ่งอีก 21 แห่งนั้น อยู่ระหว่างรอตรวจ/รอผลตรวจ 10 แห่ง หมดสถานสีขาว 6 แห่ง และติดเชื้อรวม 5 แห่ง ทั้งนี้กรมพินิจฯ ได้มีนโยบายในการเร่งการตรวจคัดกรองเชิงรุก และส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่รับการฉีดวัคซีนให้ครบทุกคน รวมไปถึงเด็กและเยาวชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง โดยล่าสุดได้เก็บสถิติการฉีดวัคซีนของเจ้าหน้าที่จากทั้งหมดจํานวน 4,420 ราย ซึ่งได้ทําการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 2,734 ราย หรือคิดเป็น 61.86% พร้อมระดมทรัพยากรและของใช้ที่จําเป็นต่างๆ เยียวยาเจ้าหน้าที่ที่ติดเชื้อใหม่ทั้งสองรายแล้ว เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ กระทรวงยุติธรรมกําหนดอย่างเคร่งครัด และให้เจ้าหน้าที่ทุกคนคิดถึงผลกระทบในส่วนรวมหากมีเจ้าหน้าติดเชื้อซึ่งอาจเป็นพาหะนําโรคมาสู่เด็กและเยาวชนในสถานที่ควบคุมได้ “ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดูแลบุคคลในครอบครัว มีวินัยและการป้องกันตนเองไม่ให้โรคติดเชื้อดังกล่าวเข้ามาสู่ครอบครัวและสถานที่ควบคุมได้”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42936
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. บุรีรัมย์ เร่งช่วยเหลือยายพิการ วัย 83 ปี ต้องอดข้าวหลายวัน หลังลูกชายเสียชีวิต
วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม 2565 พม. บุรีรัมย์ เร่งช่วยเหลือยายพิการ วัย 83 ปี ต้องอดข้าวหลายวัน หลังลูกชายเสียชีวิต พม. บุรีรัมย์ เร่งช่วยเหลือยายพิการ วัย 83 ปี ต้องอดข้าวหลายวัน หลังลูกชายเสียชีวิต วันที่ 17 ส.ค. 65นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า จากการนําเสนอข่าว กรณี คุณยายพิการ เดินไม่ได้ ต้องอยู่ในบ้านเพียงลําพัง โดยไม่ได้ทานอาหาร - น้ํา นานหลายวัน เนื่องจากลูกชายที่อาศัยอยู่ด้วยกันได้เสียชีวิต ที่อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ นั้น ล่าสุด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วยหน่วยงานทีม One Home พม. จังหวัดบุรีรัมย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและเร่งให้ความช่วยเหลือแล้ว นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า ผู้ประสบปัญหาเป็นคุณยาย อายุ 83 ปี พิการทางการเคลื่อนไหว (อัมพฤกษ์ซีกซ้าย) ไม่สามารถเดินได้ อาศัยอยู่ในบ้านสภาพเก่าไม่มั่นคงแข็งแรง และไม่เหมาะสมแก่การพักอาศัย ปัจจุบัน ได้นําที่ดินไปจํานองไว้กับนายทุน โดยก่อนหน้านี้ อาศัยอยู่กับลูกชายคนเล็ก อายุ 57 ปี และเพิ่งเสียชีวิตได้ประมาณ 4 วันที่ผ่านมา โดยคุณยายไม่รู้ว่าลูกชายได้เสียชีวิตแล้ว ทําให้ไม่ได้ทานอาหาร - น้ํา นานหลายวัน ซึ่งขณะลูกชายมีชีวิตอยู่ มีอาการติดสุรา มักจะไม่ดูแลเอาใจใส่ ปล่อยให้คุณยายต้องอดอาหารและดื่มน้ําประปา นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ดําเนินการช่วยเหลือคุณยายตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพผู้สูงอายุ กรณีไม่มีผู้ดูแล โดยพิจารณาการช่วยเหลือออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะสั้น ประสานโรงพยาบาลสตึกเพื่อตรวจสุขภาพและพักรักษาตัว 2) ระยะกลาง ตรวจสุขภาพกายและประเมินสุขภาพจิต ก่อนส่งตัวเข้ารับการอุปการะ เนื่องจากครอบครัวคุณยายไม่มีญาติที่สามารถดูแลได้และ 3) ระยะยาว ประสานส่งต่อคุณยายเข้ารับการอุปการะ ณ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบุรีรัมย์ ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบลและชุมชน รวมทั้งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. บุรีรัมย์ เร่งช่วยเหลือยายพิการ วัย 83 ปี ต้องอดข้าวหลายวัน หลังลูกชายเสียชีวิต วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม 2565 พม. บุรีรัมย์ เร่งช่วยเหลือยายพิการ วัย 83 ปี ต้องอดข้าวหลายวัน หลังลูกชายเสียชีวิต พม. บุรีรัมย์ เร่งช่วยเหลือยายพิการ วัย 83 ปี ต้องอดข้าวหลายวัน หลังลูกชายเสียชีวิต วันที่ 17 ส.ค. 65นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.)ในฐานะโฆษกกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า จากการนําเสนอข่าว กรณี คุณยายพิการ เดินไม่ได้ ต้องอยู่ในบ้านเพียงลําพัง โดยไม่ได้ทานอาหาร - น้ํา นานหลายวัน เนื่องจากลูกชายที่อาศัยอยู่ด้วยกันได้เสียชีวิต ที่อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ นั้น ล่าสุด กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วยหน่วยงานทีม One Home พม. จังหวัดบุรีรัมย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและเร่งให้ความช่วยเหลือแล้ว นางสาวแรมรุ้ง กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า ผู้ประสบปัญหาเป็นคุณยาย อายุ 83 ปี พิการทางการเคลื่อนไหว (อัมพฤกษ์ซีกซ้าย) ไม่สามารถเดินได้ อาศัยอยู่ในบ้านสภาพเก่าไม่มั่นคงแข็งแรง และไม่เหมาะสมแก่การพักอาศัย ปัจจุบัน ได้นําที่ดินไปจํานองไว้กับนายทุน โดยก่อนหน้านี้ อาศัยอยู่กับลูกชายคนเล็ก อายุ 57 ปี และเพิ่งเสียชีวิตได้ประมาณ 4 วันที่ผ่านมา โดยคุณยายไม่รู้ว่าลูกชายได้เสียชีวิตแล้ว ทําให้ไม่ได้ทานอาหาร - น้ํา นานหลายวัน ซึ่งขณะลูกชายมีชีวิตอยู่ มีอาการติดสุรา มักจะไม่ดูแลเอาใจใส่ ปล่อยให้คุณยายต้องอดอาหารและดื่มน้ําประปา นางสาวแรมรุ้ง กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ดําเนินการช่วยเหลือคุณยายตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพผู้สูงอายุ กรณีไม่มีผู้ดูแล โดยพิจารณาการช่วยเหลือออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1) ระยะสั้น ประสานโรงพยาบาลสตึกเพื่อตรวจสุขภาพและพักรักษาตัว 2) ระยะกลาง ตรวจสุขภาพกายและประเมินสุขภาพจิต ก่อนส่งตัวเข้ารับการอุปการะ เนื่องจากครอบครัวคุณยายไม่มีญาติที่สามารถดูแลได้และ 3) ระยะยาว ประสานส่งต่อคุณยายเข้ารับการอุปการะ ณ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุบ้านบุรีรัมย์ ทั้งนี้ หากประชาชนประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการฟรี 24 ชั่วโมง สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด และศูนย์ช่วยเหลือสังคมตําบลและชุมชน รวมทั้งอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ ซึ่งกระทรวง พม. พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58155
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย " นายกฯ" เตือนปีใหม่เที่ยวปลอดภัย โชว์ใบรับรองฉีดวัคซีน COVID-19 การันตี
วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย " นายกฯ" เตือนปีใหม่เที่ยวปลอดภัย โชว์ใบรับรองฉีดวัคซีน COVID-19 การันตี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย " นายกฯ" เตือนปีใหม่เที่ยวปลอดภัย โชว์ใบรับรองฉีดวัคซีน COVID-19 การันตี การเดินทางท่องเที่ยว ขึ้นเครื่อง ร้านอาหาร เน้นเคารพกฎจราจร สวมหมวกนิรภัย ที่สําคัญดื่มไม่ขับ ร่วมกันลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 65 วันนี้ 28 ธ.ค. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะถึงนี้ ได้กําชับให้แต่ละจังหวัดเข้มงวด เฝ้าระวัง คัดกรองประชาชนที่เดินทางกลับบ้าน และเมื่อกลับมาทํางาน ให้นายจ้าง สถานประกอบการตรวจคัดกรองบุคลากรที่กลับจากการไปเทศกาลปีใหม่ด้วย ATK และพร้อมให้ทุกคนใส่ใจเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน COVID-19 เพราะจะมีการตรวจทั้งการเดินทางตั้งแต่การขึ้นเครื่องบิน ร้านอาหาร และขอให้ไปฉีดวัคซีน COVID-19 เพื่อให้มีระบบการลงทะเบียนบันทึกที่ถูกต้องและนําไปใช้อ้างอิงได้ พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีห่วงใยการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ขอให้ทุกคนให้ความสําคัญกับการกวดขันวินัยจราจรอย่างจริงจัง เจ้าหน้าที่เน้นบังคับใช้กฎหมายเข้มกับสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ การขับรถเร็วและการเมาสุราขณะขับขี่ และให้มีการตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์รอบพื้นที่จัดงาน โดยให้เข้มกับการสวมหมวกกันน็อกและการเมาแล้วขับ กรณีตรวจพบผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกําหนด นอกจากดําเนินคดีกับผู้ขับขี่แล้ว ให้ขยายผลมาตรการทางกฎหมายไปถึงสถานที่จําหน่ายสุราให้ผู้ขับขี่ด้วย เช่น การพักใช้ใบอนุญาตจําหน่ายสุรา หรือการสนับสนุนให้เกิดการกระทําผิดต่อไป สําหรับยอดผู้ติดเชื้อวันนี้ 28 ธันวาคม 2564 ผู้ติดเชื้อใหม่ 2,305 ราย จําแนกเป็น หายป่วยวันนี้ 3,070 ราย หายป่วยสะสม 2,132,017 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน 2564) ป่วยสะสม 2,185,849 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน 2564)กําลังรักษา 33,639 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 32 ราย ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 2,116 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 40 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจํา / ที่ต้องขัง 54 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 95 ราย “นายกรัฐมนตรียังมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขทั้งส่วนกลางและจังหวัด สั่งการทีมปฏิบัติการฉุกเฉิน (EMS) ของ รพ.และเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทุกระดับ ประจําบนเส้นทางถนนสายหลักที่มีจุดตรวจ/จุดบริการเพื่อให้การรักษาพยาบาลได้รวดเร็ว พร้อมขอให้ทุกคนร่วมมือกันปฏิบัติตามกฏจราจร ร่วมกันลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ยึดหลักอนามัยส่วนบุคคลป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 (COVID-19) อีกด้วย” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว *********************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเผย " นายกฯ" เตือนปีใหม่เที่ยวปลอดภัย โชว์ใบรับรองฉีดวัคซีน COVID-19 การันตี วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย " นายกฯ" เตือนปีใหม่เที่ยวปลอดภัย โชว์ใบรับรองฉีดวัคซีน COVID-19 การันตี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเผย " นายกฯ" เตือนปีใหม่เที่ยวปลอดภัย โชว์ใบรับรองฉีดวัคซีน COVID-19 การันตี การเดินทางท่องเที่ยว ขึ้นเครื่อง ร้านอาหาร เน้นเคารพกฎจราจร สวมหมวกนิรภัย ที่สําคัญดื่มไม่ขับ ร่วมกันลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ 65 วันนี้ 28 ธ.ค. 64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ใกล้จะถึงนี้ ได้กําชับให้แต่ละจังหวัดเข้มงวด เฝ้าระวัง คัดกรองประชาชนที่เดินทางกลับบ้าน และเมื่อกลับมาทํางาน ให้นายจ้าง สถานประกอบการตรวจคัดกรองบุคลากรที่กลับจากการไปเทศกาลปีใหม่ด้วย ATK และพร้อมให้ทุกคนใส่ใจเอกสารรับรองการฉีดวัคซีน COVID-19 เพราะจะมีการตรวจทั้งการเดินทางตั้งแต่การขึ้นเครื่องบิน ร้านอาหาร และขอให้ไปฉีดวัคซีน COVID-19 เพื่อให้มีระบบการลงทะเบียนบันทึกที่ถูกต้องและนําไปใช้อ้างอิงได้ พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีห่วงใยการเดินทางของประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ขอให้ทุกคนให้ความสําคัญกับการกวดขันวินัยจราจรอย่างจริงจัง เจ้าหน้าที่เน้นบังคับใช้กฎหมายเข้มกับสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ การขับรถเร็วและการเมาสุราขณะขับขี่ และให้มีการตั้งด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์รอบพื้นที่จัดงาน โดยให้เข้มกับการสวมหมวกกันน็อกและการเมาแล้วขับ กรณีตรวจพบผู้ขับขี่มีปริมาณแอลกอฮอล์เกินกําหนด นอกจากดําเนินคดีกับผู้ขับขี่แล้ว ให้ขยายผลมาตรการทางกฎหมายไปถึงสถานที่จําหน่ายสุราให้ผู้ขับขี่ด้วย เช่น การพักใช้ใบอนุญาตจําหน่ายสุรา หรือการสนับสนุนให้เกิดการกระทําผิดต่อไป สําหรับยอดผู้ติดเชื้อวันนี้ 28 ธันวาคม 2564 ผู้ติดเชื้อใหม่ 2,305 ราย จําแนกเป็น หายป่วยวันนี้ 3,070 ราย หายป่วยสะสม 2,132,017 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน 2564) ป่วยสะสม 2,185,849 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน 2564)กําลังรักษา 33,639 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 32 ราย ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 2,116 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 40 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจํา / ที่ต้องขัง 54 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 95 ราย “นายกรัฐมนตรียังมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมเปิดศูนย์ปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขทั้งส่วนกลางและจังหวัด สั่งการทีมปฏิบัติการฉุกเฉิน (EMS) ของ รพ.และเครือข่ายภาครัฐและเอกชนทุกระดับ ประจําบนเส้นทางถนนสายหลักที่มีจุดตรวจ/จุดบริการเพื่อให้การรักษาพยาบาลได้รวดเร็ว พร้อมขอให้ทุกคนร่วมมือกันปฏิบัติตามกฏจราจร ร่วมกันลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ยึดหลักอนามัยส่วนบุคคลป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 (COVID-19) อีกด้วย” โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าว *********************** กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49952
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง สรุปสถานการณ์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์ พบข่าวไปรษณีย์ไทย โทรแจ้งพัสดุตกค้าง ติดอันดับคนสนใจมากสุด เตือนอย่าหลงเชื่อพฤติกรรมรูปแบบนี้ เหตุมิจฉาชีพเกาะติดกระแสอี-คอมเมิร์ซรุ่ง ใช้เป็นช่องทางหลอกลวงประชาชน
วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2565 โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง สรุปสถานการณ์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์ พบข่าวไปรษณีย์ไทย โทรแจ้งพัสดุตกค้าง ติดอันดับคนสนใจมากสุด เตือนอย่าหลงเชื่อพฤติกรรมรูปแบบนี้ เหตุมิจฉาชีพเกาะติดกระแสอี-คอมเมิร์ซรุ่ง ใช้เป็นช่องทางหลอกลวงประชาชน โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง สรุปสถานการณ์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์ พบข่าวไปรษณีย์ไทย โทรแจ้งพัสดุตกค้าง ติดอันดับคนสนใจมากสุด เตือนอย่าหลงเชื่อพฤติกรรมรูปแบบนี้ เหตุมิจฉาชีพเกาะติดกระแสอี-คอมเมิร์ซรุ่ง ใช้เป็นช่องทางหลอกลวงประชาชน นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าสรุปผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมประจําสัปดาห์ระหว่างวันที่4-10มี.ค. 65โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมพบจํานวนข้อความที่เข้ามา11,519,016ข้อความหลังการคัดกรองแล้วมีข้อความที่ต้องดําเนินการVerifyจํานวน199ข้อความรวมจํานวนเรื่องที่ต้องดําเนินการตรวจสอบทั้งหมด106เรื่องโดยแบ่งเป็นเรื่องโควิด-19จํานวน29เรื่อง สําหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด10อันดับในช่วงสัปดาห์ล่าสุดนี้ได้แก่อันดับ1ไปรษณีย์ไทยใช้เบอร์081-3607134แจ้งมีพัสดุตกค้างอันดับ2ทาปิโตรเลียมเจลลี่ในรูจมูกช่วยดักจับฝุ่นPM 2.5อันดับ3กินอาหารค้างคืนอุ่นซ้ําทําให้เป็นโรคมะเร็งอันดับ4ธ.กรุงไทยส่งSMSมอบสิทธิ์เงินกู้ผ่านไลน์และโครงการสนับสนุนเงินกู้ฉุกเฉินของธนาคารโดยลงทะเบียนผ่านลิงก์อันดับ5ธนบัตร50บาทมีรูปมัสยิดอยู่บนธนบัตร อันดับ6ปรากฏการณ์APHELIONโลกจะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ระยะทาง5นาทีแสงหรือ90,000,000กิโลเมตรอันดับ7กรมสรรพากรเริ่มเก็บภาษีทุกวัดอันดับ8โดนยึดใบขับขี่จะไม่ได้คืนต้องไปสอบทําใหม่เท่านั้นอันดับ9น้ําต้มหญ้างวงช้างและอ้อยดํารักษามะเร็งปอดและอันดับ10แจ้งจับขับต่ํากว่า90กม.แช่เลนขวา “จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมซื้อสินค้าและบริการออนไลน์มากขึ้นตลาดอี-คอมเมิร์ซขยายตัวอย่างมากโดยเฉพาะในกลุ่มค้าปลีกและค้าส่งซึ่งผลสํารวจล่าสุดโดยETDAประเมินว่ามีมูลค่าตลาดเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดอี-คอมเมิร์ซในภาพรวมของประเทศไทยและบริการด้านจัดส่งสินค้าก็คือหนึ่งในองค์ประกอบของอุตสาหกรรมอี-คอมเมิร์ซดังนั้นมิจฉาชีพจึงใช้เป็นช่องทางหลอกลวงประชาชนในรูปแบบใหม่ๆ”นางสาวนพวรรณกล่าว ทั้งนี้กระทรวงฯและศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมต้องขอความร่วมมือประชาชนเมื่อได้รับข้อมูลผ่านโซเชียลอย่าเพิ่งหลงเชื่อในทันทีขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลโดยสามารถแจ้งข้อมูลมายังศูนย์ฯเพื่อช่วยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบและยืนยันข้อเท็จจริงต่อไปและสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87 ************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง สรุปสถานการณ์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์ พบข่าวไปรษณีย์ไทย โทรแจ้งพัสดุตกค้าง ติดอันดับคนสนใจมากสุด เตือนอย่าหลงเชื่อพฤติกรรมรูปแบบนี้ เหตุมิจฉาชีพเกาะติดกระแสอี-คอมเมิร์ซรุ่ง ใช้เป็นช่องทางหลอกลวงประชาชน วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม 2565 โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง สรุปสถานการณ์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์ พบข่าวไปรษณีย์ไทย โทรแจ้งพัสดุตกค้าง ติดอันดับคนสนใจมากสุด เตือนอย่าหลงเชื่อพฤติกรรมรูปแบบนี้ เหตุมิจฉาชีพเกาะติดกระแสอี-คอมเมิร์ซรุ่ง ใช้เป็นช่องทางหลอกลวงประชาชน โฆษกดีอีเอสฝ่ายการเมือง สรุปสถานการณ์ข่าวปลอมรอบสัปดาห์ พบข่าวไปรษณีย์ไทย โทรแจ้งพัสดุตกค้าง ติดอันดับคนสนใจมากสุด เตือนอย่าหลงเชื่อพฤติกรรมรูปแบบนี้ เหตุมิจฉาชีพเกาะติดกระแสอี-คอมเมิร์ซรุ่ง ใช้เป็นช่องทางหลอกลวงประชาชน นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าสรุปผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมประจําสัปดาห์ระหว่างวันที่4-10มี.ค. 65โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมพบจํานวนข้อความที่เข้ามา11,519,016ข้อความหลังการคัดกรองแล้วมีข้อความที่ต้องดําเนินการVerifyจํานวน199ข้อความรวมจํานวนเรื่องที่ต้องดําเนินการตรวจสอบทั้งหมด106เรื่องโดยแบ่งเป็นเรื่องโควิด-19จํานวน29เรื่อง สําหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด10อันดับในช่วงสัปดาห์ล่าสุดนี้ได้แก่อันดับ1ไปรษณีย์ไทยใช้เบอร์081-3607134แจ้งมีพัสดุตกค้างอันดับ2ทาปิโตรเลียมเจลลี่ในรูจมูกช่วยดักจับฝุ่นPM 2.5อันดับ3กินอาหารค้างคืนอุ่นซ้ําทําให้เป็นโรคมะเร็งอันดับ4ธ.กรุงไทยส่งSMSมอบสิทธิ์เงินกู้ผ่านไลน์และโครงการสนับสนุนเงินกู้ฉุกเฉินของธนาคารโดยลงทะเบียนผ่านลิงก์อันดับ5ธนบัตร50บาทมีรูปมัสยิดอยู่บนธนบัตร อันดับ6ปรากฏการณ์APHELIONโลกจะอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์ระยะทาง5นาทีแสงหรือ90,000,000กิโลเมตรอันดับ7กรมสรรพากรเริ่มเก็บภาษีทุกวัดอันดับ8โดนยึดใบขับขี่จะไม่ได้คืนต้องไปสอบทําใหม่เท่านั้นอันดับ9น้ําต้มหญ้างวงช้างและอ้อยดํารักษามะเร็งปอดและอันดับ10แจ้งจับขับต่ํากว่า90กม.แช่เลนขวา “จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมซื้อสินค้าและบริการออนไลน์มากขึ้นตลาดอี-คอมเมิร์ซขยายตัวอย่างมากโดยเฉพาะในกลุ่มค้าปลีกและค้าส่งซึ่งผลสํารวจล่าสุดโดยETDAประเมินว่ามีมูลค่าตลาดเกือบครึ่งหนึ่งของมูลค่าตลาดอี-คอมเมิร์ซในภาพรวมของประเทศไทยและบริการด้านจัดส่งสินค้าก็คือหนึ่งในองค์ประกอบของอุตสาหกรรมอี-คอมเมิร์ซดังนั้นมิจฉาชีพจึงใช้เป็นช่องทางหลอกลวงประชาชนในรูปแบบใหม่ๆ”นางสาวนพวรรณกล่าว ทั้งนี้กระทรวงฯและศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมต้องขอความร่วมมือประชาชนเมื่อได้รับข้อมูลผ่านโซเชียลอย่าเพิ่งหลงเชื่อในทันทีขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลโดยสามารถแจ้งข้อมูลมายังศูนย์ฯเพื่อช่วยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบและยืนยันข้อเท็จจริงต่อไปและสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87 ************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52492
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชม “สมเกียรติ จันทรา” นักบิดไทยคนแรก คว้าแชมป์ Moto2
วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม 2565 นายกฯ ชื่นชม “สมเกียรติ จันทรา” นักบิดไทยคนแรก คว้าแชมป์ Moto2 ..... พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แสดงความยินดีกับนายสมเกียรติ จันทรา หรือ “คิงคองก้อง” ที่คว้าชัยชนะการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก MotoGP รุ่น Moto2 ฤดูกาล 2022 สนามที่ 2 รายการอินโดนีเซียน กรังด์ปรีซ์ (Indonesian Grand Prix) ซึ่งจัดขึ้นที่สนามแข่งเปอร์ตามินา มันดาลิกา เซอร์กิต ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา . สร้างประวัติศาสตร์เป็นคนไทยคนแรกที่คว้าชัยชนะและได้ยืนบนโพเดียมสูงสุดในการแข่งขันระดับเวิลด์กรังด์ปรีซ์ และถือเป็นนักกีฬาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนแรกที่คว้าแชมป์ได้ . พร้อมชื่นชมความสามารถและความพยายามฝึกซ้อมอย่างหนักของนักกีฬา จนสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างยิ่งใหญ่ รวมถึงขอบคุณความทุ่มเททํางานหนักของทีมงานทุกคนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ และเชิญชวนชาวไทยร่วมส่งกําลังใจเชียร์นักกีฬาในการแข่งขันรายการต่อไปที่จะมีขึ้นในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ด้วย #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชม “สมเกียรติ จันทรา” นักบิดไทยคนแรก คว้าแชมป์ Moto2 วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม 2565 นายกฯ ชื่นชม “สมเกียรติ จันทรา” นักบิดไทยคนแรก คว้าแชมป์ Moto2 ..... พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แสดงความยินดีกับนายสมเกียรติ จันทรา หรือ “คิงคองก้อง” ที่คว้าชัยชนะการแข่งขันจักรยานยนต์ทางเรียบชิงแชมป์โลก MotoGP รุ่น Moto2 ฤดูกาล 2022 สนามที่ 2 รายการอินโดนีเซียน กรังด์ปรีซ์ (Indonesian Grand Prix) ซึ่งจัดขึ้นที่สนามแข่งเปอร์ตามินา มันดาลิกา เซอร์กิต ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ที่ผ่านมา . สร้างประวัติศาสตร์เป็นคนไทยคนแรกที่คว้าชัยชนะและได้ยืนบนโพเดียมสูงสุดในการแข่งขันระดับเวิลด์กรังด์ปรีซ์ และถือเป็นนักกีฬาจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนแรกที่คว้าแชมป์ได้ . พร้อมชื่นชมความสามารถและความพยายามฝึกซ้อมอย่างหนักของนักกีฬา จนสามารถคว้าชัยชนะได้อย่างยิ่งใหญ่ รวมถึงขอบคุณความทุ่มเททํางานหนักของทีมงานทุกคนซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ และเชิญชวนชาวไทยร่วมส่งกําลังใจเชียร์นักกีฬาในการแข่งขันรายการต่อไปที่จะมีขึ้นในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ด้วย #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52914
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถึงไทยแล้ว วัคซีนแอสตร้าฯ จากอังกฤษ 4.15 แสนโดส
วันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564 ถึงไทยแล้ว วัคซีนแอสตร้าฯ จากอังกฤษ 4.15 แสนโดส .... มาถึงแล้วครับ วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของ บ.แอสตร้าเซนเนก้า ที่รัฐบาลอังกฤษมอบให้กับประเทศไทย จํานวน 4.15 แสนโดส เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง . นี่คือความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยกับอังกฤษ ซึ่งเป็นมิตรประเทศที่ให้ความร่วมมือระหว่างกันในหลายมิติมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถึงไทยแล้ว วัคซีนแอสตร้าฯ จากอังกฤษ 4.15 แสนโดส วันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564 ถึงไทยแล้ว วัคซีนแอสตร้าฯ จากอังกฤษ 4.15 แสนโดส .... มาถึงแล้วครับ วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของ บ.แอสตร้าเซนเนก้า ที่รัฐบาลอังกฤษมอบให้กับประเทศไทย จํานวน 4.15 แสนโดส เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาโรคโควิด-19 ให้ประชาชนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง . นี่คือความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยกับอังกฤษ ซึ่งเป็นมิตรประเทศที่ให้ความร่วมมือระหว่างกันในหลายมิติมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะด้านสาธารณสุข #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44440
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM delivers statement at “High-level Dialogue on Energy Summit 2021”
วันเสาร์ที่ 25 กันยายน 2564 PM delivers statement at “High-level Dialogue on Energy Summit 2021” PM delivers statement at “High-level Dialogue on Energy Summit 2021” September 25, 2021, at 0400hrs (1700hrs in New York, USA), Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha delivered a statement via a teleconference at the “High-level Dialogue on Energy Summit 2021”, held at the UN Headquarters in New York, USA. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of his statement as follows: According to the Prime Minister, today’s meeting is a great opportunity for countries to deliberate on climate change-related challenges, and a global roadmap towards the Sustainable Development Goals. The Royal Thai Government attaches great importance to Energy Transition and the implementation of the United Nations’ Sustainable Development Goal 7, which ensures access to clean, affordable and reliable energy services, in order to achieve the Net Zero Carbon Emissions target and maintain global temperature rise within 1.5 to 2 degrees Celsius as stipulated in the Paris Agreement. Thailand is now working on the National Energy Plan. The goal is to drive the country towards a low-carbon economy and society by increasing the proportion of clean energy to no less than 50 percent of the new electricity generation. Thailand is also working on a long-term strategic plan for the reduction of greenhouse gas emissions in order to achieve the Carbon Neutrality Goal by 2065 – 2070. The Prime Minister added that all countries should work together to lay the foundation for the post-COVID-19 era, developing with peace and prosperity, especially with regards to the environment and nature. Human behavior should be adjusted so that a balance could be reached between humans, other living things, and the environment, while resources should be optimized not maximized. On this front, Thailand has adopted a new approach called the “Bio-Circular-Green” (or BCG) Economy Model. This Model applies new technologies and innovation to further build on Thailand's strengths, namely agriculture, industry, biodiversity and cultural diversity, to create a balance between economic development, society and environmental sustainability. This BCG model can be one of the approaches to achieve Thailand's Carbon Neutrality goal by promoting the production and the use of low-carbon energy. For example, the so-called 30@30 policy will enhance the electric vehicle industry, where electric vehicles will account for 30 percent of the total domestic automobile production by 2030. In closing, the Prime Minister reaffirmed Thailand’s determination to support the achievement of the UN Sustainable Development Goals and the Paris Agreement, which will lead to our shared future of sustainable economic development and energy security.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM delivers statement at “High-level Dialogue on Energy Summit 2021” วันเสาร์ที่ 25 กันยายน 2564 PM delivers statement at “High-level Dialogue on Energy Summit 2021” PM delivers statement at “High-level Dialogue on Energy Summit 2021” September 25, 2021, at 0400hrs (1700hrs in New York, USA), Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha delivered a statement via a teleconference at the “High-level Dialogue on Energy Summit 2021”, held at the UN Headquarters in New York, USA. Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed gist of his statement as follows: According to the Prime Minister, today’s meeting is a great opportunity for countries to deliberate on climate change-related challenges, and a global roadmap towards the Sustainable Development Goals. The Royal Thai Government attaches great importance to Energy Transition and the implementation of the United Nations’ Sustainable Development Goal 7, which ensures access to clean, affordable and reliable energy services, in order to achieve the Net Zero Carbon Emissions target and maintain global temperature rise within 1.5 to 2 degrees Celsius as stipulated in the Paris Agreement. Thailand is now working on the National Energy Plan. The goal is to drive the country towards a low-carbon economy and society by increasing the proportion of clean energy to no less than 50 percent of the new electricity generation. Thailand is also working on a long-term strategic plan for the reduction of greenhouse gas emissions in order to achieve the Carbon Neutrality Goal by 2065 – 2070. The Prime Minister added that all countries should work together to lay the foundation for the post-COVID-19 era, developing with peace and prosperity, especially with regards to the environment and nature. Human behavior should be adjusted so that a balance could be reached between humans, other living things, and the environment, while resources should be optimized not maximized. On this front, Thailand has adopted a new approach called the “Bio-Circular-Green” (or BCG) Economy Model. This Model applies new technologies and innovation to further build on Thailand's strengths, namely agriculture, industry, biodiversity and cultural diversity, to create a balance between economic development, society and environmental sustainability. This BCG model can be one of the approaches to achieve Thailand's Carbon Neutrality goal by promoting the production and the use of low-carbon energy. For example, the so-called 30@30 policy will enhance the electric vehicle industry, where electric vehicles will account for 30 percent of the total domestic automobile production by 2030. In closing, the Prime Minister reaffirmed Thailand’s determination to support the achievement of the UN Sustainable Development Goals and the Paris Agreement, which will lead to our shared future of sustainable economic development and energy security.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46193
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2564 ครั้งที่ 2/2564
วันอังคารที่ 7 กันยายน 2564 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ.2564 ครั้งที่ 2/2564 โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการดําเนินงานการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2564 และติดตามความคืบหน้าการพิจารณาคัดเลือกอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม และอื่น ๆ วันนี้ (7 กันยายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ.2564 ครั้งที่ 2/2564 โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการดําเนินงานการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2564 (ปรับใหม่) และติดตามความคืบหน้าการพิจารณาคัดเลือกอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม อุตสาหกรรมดีเด่น และอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประจําปี พ.ศ.2564 โดยมีนายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก. 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและผ่านระบบ Web Conference (ZOOM) ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเป็นไปตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 32 ลงวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี พ.ศ.2564 ครั้งที่ 2/2564 วันอังคารที่ 7 กันยายน 2564 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ.2564 ครั้งที่ 2/2564 โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการดําเนินงานการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2564 และติดตามความคืบหน้าการพิจารณาคัดเลือกอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม และอื่น ๆ วันนี้ (7 กันยายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ.2564 ครั้งที่ 2/2564 โดยที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาแผนการดําเนินงานการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2564 (ปรับใหม่) และติดตามความคืบหน้าการพิจารณาคัดเลือกอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม อุตสาหกรรมดีเด่น และอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น ประจําปี พ.ศ.2564 โดยมีนายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารกระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม ณ ห้องประชุม อก. 1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมและผ่านระบบ Web Conference (ZOOM) ทั้งนี้ การประชุมดังกล่าวเป็นไปตามข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ฉบับที่ 32 ลงวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45586
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ปรับแผนการปิดและเบี่ยงการจราจรด่านจตุโชติ ทางพิเศษฉลองรัช เพื่อติดตั้งอุปกรณ์และพัฒนาซอฟแวร์เชื่อมต่อระบบ M-Flow
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ปรับแผนการปิดและเบี่ยงการจราจรด่านจตุโชติ ทางพิเศษฉลองรัช เพื่อติดตั้งอุปกรณ์และพัฒนาซอฟแวร์เชื่อมต่อระบบ M-Flow ... การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ปรับปรุงกายภาพหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ เพื่อรองรับระบบเก็บค่าผ่านทางพิเศษอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น Multi-Lane Free Flow (M-Flow) ในระยะที่ 1 บนทางพิเศษฉลองรัชที่เชื่อมต่อกับทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ของกรมทางหลวง จํานวน 3 ด่าน ได้แก่ ด่านฯ สุขาภิบาล 5-1 ด่านฯ สุขาภิบาล 5-2 และด่านฯ จตุโชติ ซึ่งปัจจุบันการดําเนินงานมีความก้าวหน้ากว่าแผนงานที่วางไว้ ​กทพ. ได้ดําเนินการระบบเก็บค่าผ่านทางพิเศษอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้นหรือ M-Flow ระยะที่ 1 บนทางพิเศษฉลองรัช จํานวน 3 ด่าน ได้แก่ ด่านฯ สุขาภิบาล 5-1 ด่านฯ สุขาภิบาล 5-2 และด่านฯ จตุโชติ ตามโครงการปรับปรุงกายภาพหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษเพื่อรองรับระบบ M-Flow โดยปิดและเบี่ยงการจราจรของช่องเก็บค่าผ่านทางตามแผนงาน เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2565 เป็นต้นมา ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบการจราจรบริเวณหน้าด่าน กทพ. จึงได้เร่งรัดผู้รับจ้างจนดําเนินงานได้เร็วกว่าแผนงานที่กําหนดทุกด่านฯ โดยด่านฯ สุขาภิบาล 5-1 ได้ดําเนินการแล้วเสร็จในเดือนมกราคม 2565 ส่วนด่านฯ จตุโชติ กทพ. ได้ปรับแผนการปิดและเบี่ยงการจราจรของช่องเก็บค่าผ่านทางเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการทางพิเศษมากขึ้น ดังนี้ 1. ปิดช่องที่ 5 และ 6 ตั้งแต่วันที่ 8 - 22 กุมภาพันธ์ 2565 (จากเดิมเริ่มปิดวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2565) ผู้ใช้บริการชําระค่าผ่านทางด้วยเงินสดใช้ช่องที่ 1 - 2 ผู้ใช้บริการด้วยบัตร Easy Pass ใช้ช่องที่ 3 - 4 - 7 2. ปิดช่องที่ 4 และ 5 ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2565 ผู้ใช้บริการชําระค่าผ่านทางด้วยเงินสดใช้ช่องที่ 1 - 2 ผู้ใช้บริการด้วยบัตร Easy Pass ใช้ช่องที่ 3 - 6 - 7 ​นอกจากนี้ ในส่วนของงานติดตั้งอุปกรณ์ของระบบเก็บค่าผ่านทางพิเศษ M-Flow รวมทั้งงานพัฒนาซอฟต์แวร์และการเชื่อมต่อระบบ M-Flow กับ Single Platform System ของกรมทางหลวง มีความก้าวหน้าในการดําเนินงานที่ร้อยละ 86.00 (ข้อมูล ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565) ซึ่ง กทพ. ต้องขออภัยในความไม่สะดวก ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ EXAT Call Center โทร 1543 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ปรับแผนการปิดและเบี่ยงการจราจรด่านจตุโชติ ทางพิเศษฉลองรัช เพื่อติดตั้งอุปกรณ์และพัฒนาซอฟแวร์เชื่อมต่อระบบ M-Flow วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ปรับแผนการปิดและเบี่ยงการจราจรด่านจตุโชติ ทางพิเศษฉลองรัช เพื่อติดตั้งอุปกรณ์และพัฒนาซอฟแวร์เชื่อมต่อระบบ M-Flow ... การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กระทรวงคมนาคม ปรับปรุงกายภาพหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษ เพื่อรองรับระบบเก็บค่าผ่านทางพิเศษอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น Multi-Lane Free Flow (M-Flow) ในระยะที่ 1 บนทางพิเศษฉลองรัชที่เชื่อมต่อกับทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ของกรมทางหลวง จํานวน 3 ด่าน ได้แก่ ด่านฯ สุขาภิบาล 5-1 ด่านฯ สุขาภิบาล 5-2 และด่านฯ จตุโชติ ซึ่งปัจจุบันการดําเนินงานมีความก้าวหน้ากว่าแผนงานที่วางไว้ ​กทพ. ได้ดําเนินการระบบเก็บค่าผ่านทางพิเศษอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้นหรือ M-Flow ระยะที่ 1 บนทางพิเศษฉลองรัช จํานวน 3 ด่าน ได้แก่ ด่านฯ สุขาภิบาล 5-1 ด่านฯ สุขาภิบาล 5-2 และด่านฯ จตุโชติ ตามโครงการปรับปรุงกายภาพหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษเพื่อรองรับระบบ M-Flow โดยปิดและเบี่ยงการจราจรของช่องเก็บค่าผ่านทางตามแผนงาน เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม 2565 เป็นต้นมา ทั้งนี้ เพื่อเป็นการลดผลกระทบการจราจรบริเวณหน้าด่าน กทพ. จึงได้เร่งรัดผู้รับจ้างจนดําเนินงานได้เร็วกว่าแผนงานที่กําหนดทุกด่านฯ โดยด่านฯ สุขาภิบาล 5-1 ได้ดําเนินการแล้วเสร็จในเดือนมกราคม 2565 ส่วนด่านฯ จตุโชติ กทพ. ได้ปรับแผนการปิดและเบี่ยงการจราจรของช่องเก็บค่าผ่านทางเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการทางพิเศษมากขึ้น ดังนี้ 1. ปิดช่องที่ 5 และ 6 ตั้งแต่วันที่ 8 - 22 กุมภาพันธ์ 2565 (จากเดิมเริ่มปิดวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2565) ผู้ใช้บริการชําระค่าผ่านทางด้วยเงินสดใช้ช่องที่ 1 - 2 ผู้ใช้บริการด้วยบัตร Easy Pass ใช้ช่องที่ 3 - 4 - 7 2. ปิดช่องที่ 4 และ 5 ตั้งแต่วันที่ 23 กุมภาพันธ์ - 5 มีนาคม 2565 ผู้ใช้บริการชําระค่าผ่านทางด้วยเงินสดใช้ช่องที่ 1 - 2 ผู้ใช้บริการด้วยบัตร Easy Pass ใช้ช่องที่ 3 - 6 - 7 ​นอกจากนี้ ในส่วนของงานติดตั้งอุปกรณ์ของระบบเก็บค่าผ่านทางพิเศษ M-Flow รวมทั้งงานพัฒนาซอฟต์แวร์และการเชื่อมต่อระบบ M-Flow กับ Single Platform System ของกรมทางหลวง มีความก้าวหน้าในการดําเนินงานที่ร้อยละ 86.00 (ข้อมูล ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565) ซึ่ง กทพ. ต้องขออภัยในความไม่สะดวก ทั้งนี้ ผู้ใช้บริการสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ทางพิเศษ EXAT Call Center โทร 1543 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51349
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 เมษายน 2565
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2565 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 เมษายน 2565 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (5 เมษายน 2565) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ) 2. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพเป็นการเฉพาะในช่วงที่มีการลดอัตราเงินสมทบ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... เศรษฐกิจ สังคม 8. เรื่อง ขออนุมัติค่าชดเชยปลูกป่าโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติเพิ่มเติม 9. เรื่อง โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2561 – 2570 (ดําเนินการต่อเนื่องในระยะที่ 2 พ.ศ. 2565 - 2570) 10. เรื่อง ขออนุมัติดําเนินโครงการอ่างเก็บน้ําคลองโพล้ จังหวัดระยอง 11. เรื่อง ขอความเห็นชอบการจัดสวัสดิการรถจักรยานยนต์เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานนอกสถานที่ให้แก่พนักงาน โดยให้พนักงานกู้เงินจากการประปานครหลวงแบบไม่คิด อัตราดอกเบี้ยในวงเงินการจัดสวัสดิการ จํานวน 30 ล้านบาท 12. เรื่อง การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่เพื่อนําไปกําหนดเป็นอัตรากําลังแทนให้แก่ส่วนราชการที่ส่งข้าราชการไปปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์อํานวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล 13. เรื่อง ร่างยุทธศาสตร์ด้านมาตรฐานทางจริยธรรมและการส่งเสริมจริยธรรมภาครัฐ พ.ศ. 2565 - 2570 14. เรื่อง ผลการดําเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ2564 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต 15. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมกราคม 2565 16. เรื่อง สรุปภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าประจําเดือนกุมภาพันธ์ 2565 17. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 7/2565 และผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2565 18. เรื่อง การขอเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคําไซ) 19. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 4/2564 และแนวโน้มไตรมาสที่ 1/2565 และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจําเดือนมกราคม 2565 20. เรื่อง การกําหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสําหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดําเนินการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 เกี่ยวกับการปรับปรุงค่าห้องและค่าอาหารกรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล 21. เรื่อง สรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 1/2565 22. เรื่อง แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2566-2570 แผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และข้อเสนอแผนงานโครงการของส่วนราชการที่สอดคล้องกับร่างกรอบแผนพัฒนาภาค พ.ศ. 2566 - 2570 ที่จะดําเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ต่างประเทศ 23. เรื่อง การขอความเห็นชอบการต่อวาระการดํารงตําแหน่งของนายวันชัย รุจนวงศ์ ผู้แทนไทย ในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก 24. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 8 แต่งตั้ง 25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สํานักนายกรัฐมนตรี) 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข) 29. เรื่อง การแต่งตั้งผู้อํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง 30. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ กค. เสนอว่า 1. เนื่องจากการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 702) พ.ศ. 2563 ได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2564 แต่รัฐบาลยังคงมีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพมาใช้หรือนํามาขายเพื่อทดแทนผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายไม่ได้ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายไม่ได้และกลายเป็นขยะตกค้าง รวมทั้งช่วยลดงบประมาณของภาครัฐในการกําจัดขยะพลาสติกตกค้าง กค. พิจารณาแล้วเห็นควรขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสําหรับรายจ่ายที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จ่ายไปเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากผู้ผลิตออกไปอีกเป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพอย่างต่อเนื่อง และให้เห็นผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น 2. ทั้งนี้ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพเป็นมาตรการภาษีที่ผู้ประกอบการโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวและความพร้อมในการผลิตก่อนที่จะนําออกสู่ตลาดเพื่อจําหน่าย โดยจากข้อมูลการยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50) ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายจ่ายจากการจ่ายไปเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากผู้ผลิต รอบระยะเวลาบัญชี 2562 ซึ่งเป็นปีแรกของการใช้มาตรการภาษียังไม่มีผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ และรอบระยะเวลาบัญชี 2563 มีผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจํานวน 14 ราย เป็นจํานวนเงิน 18,334,022.84 บาท สําหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2564 ยังไม่มีข้อมูลสําหรับการประเมินผลการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าว เนื่องจากยังไม่ถึงกําหนดเวลาการยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50 จะถึงกําหนดยื่นแบบประมาณเดือนพฤษภาคมของทุกปี) 3. กค. ได้ดําเนินการตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยคาดว่ามาตรการนี้จะก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ดังนี้ 3.1 ประมาณการการสูญเสียรายได้ การกําหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีนี้ คาดว่าภาครัฐจะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลในปี 2565 ถึง 2567 ประมาณปีละ 673 ล้านบาท แต่จะมีส่วนช่วยลดงบประมาณของภาครัฐในการกําจัดขยะตกค้างและการดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็นจํานวนหนึ่ง 3.2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ดังนี้ 1) ช่วยส่งเสริมการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เพื่อเป็นทางเลือกของการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม และเพื่อใช้ทดแทนพลาสติกที่สลายตัวไม่ได้ทางชีวภาพ อันจะช่วยส่งเสริมให้บรรลุเป้าประสงค์ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Bio Hub of ASEAN 2) ช่วยลดต้นทุนผลิตภัณฑ์และส่งเสริมให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และส่งเสริมให้ภาคธุรกิจรวมทั้งประชาชนมีความสนใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น 3) ช่วยลดปริมาณขยะและสิ่งตกค้างที่ไม่ย่อยสลาย ส่งผลดีในเรื่องการดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ อันจะเป็นการช่วยลดงบประมาณของภาครัฐในการกําจัดขยะตกค้างและการดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็นจํานวนหนึ่ง สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กําหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้เป็นจํานวนร้อยละยี่สิบห้าของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากผู้ผลิตตามประเภทที่อธิบดีประกาศกําหนด และได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์จากสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สําหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 2. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ สคทช. เสนอว่า 1. คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน ได้เห็นชอบให้ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 และระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547 โดยการยกเลิกระเบียบทั้ง 2 ฉบับนี้ จะเป็นการยกเลิก กบร. โดยให้การแก้ไขปัญหาและป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐไปเป็นส่วนหนึ่งของ คทช. ตลอดจนให้โอนอํานาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการภายใต้ กบร. ไปเป็นอํานาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. 2. คทช. ในการประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. เพิ่มเติม รวม 2 คณะ เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนคณะอนุกรรมการที่ กบร. ได้แก่ คณะกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร. จังหวัด) และคณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ โดยได้มีการแต่งตั้งเรียบร้อยแล้ว 3. คทช. ในการประชุมครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2565 เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินการแก้ไขและป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐมีประสิทธิภาพและมีหน้าที่และอํานาจที่ไม่ซ้ําซ้อนกัน สาระสําคัญของร่างระเบียบ ให้ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 และระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 3. เรื่อง ร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ยธ. เสนอว่า 1. โดยที่กฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ได้ใช้บังคับมาระยะหนึ่งพบว่า เครื่องแบบพิเศษที่กําหนดไว้ยังไม่เหมาะสมกับลักษณะของการปฏิบัติงานของข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สํานักงาน ป.ป.ส.) ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ซึ่งจะต้องมีการปฏิบัติงานปราบปรามตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําความผิด ดังนั้น เพื่อให้ข้าราชการสํานักงาน ป.ป.ส. ซึ่งมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดได้มีเครื่องแบบพิเศษสําหรับปฏิบัติงานบังคับใช้กฎหมายให้เหมาะสมกับภารกิจและสภาพพื้นที่ปฏิบัติงานมากขึ้น จึงจําเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 2. สํานักงาน ป.ป.ส. จึงได้ยกร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และส่งให้สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีพิจารณา ในคราวประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองการกําหนดเครื่องแบบพิเศษของส่วนราชการ ครั้งที่ 1/2564 วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 ได้พิจารณาร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว โดยให้สํานักงาน ป.ป.ส. แก้ไขเพิ่มเติมข้อความในร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งสํานักงาน ป.ป.ส. ได้ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการดังกล่าวแล้ว สาระสําคัญของร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี แก้ไขเพิ่มเติมกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 เพื่อกําหนดให้มีเครื่องแบบปฏิบัติงานปราบปรามและแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะและเครื่องประกอบของหมวก เครื่องหมายแสดงสังกัดประดับปกคอเสื้อของเครื่องแบบปฏิบัติงานตามปกติ และอินทรธนู ดังนี้ 1. เพิ่มชุดเครื่องแบบปฏิบัติงานปราบปราม เพื่อให้เกิดความสะดวกในการปฏิบัติงานปราบปรามซึ่งต้องมีการพกพาอาวุธประจํากายและเครื่องมือควบคุมตัวผู้กระทําความผิด 2. ปรับเปลี่ยนตราหน้าหมวก เป็นรูปเครื่องหมายราชการของสํานักงาน ป.ป.ส. โอบด้วยช่อชัยพฤกษ์ ด้านบนเป็นรูปตราพระดุลพ่าห์ และมีเส้นรัศมีด้านบนปักด้วยดิ้นทอง เพื่อปรับรูปแบบของตราหน้าหมวกให้มีขนาดเหมาะสมสง่างามและเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 3. เพิ่มช่อชัยพฤกษ์บนหมวก ทั้งหมวกทรงหม้อตาล หมวกพับปีก หมวกแก๊ปทรงอ่อนมีกะบังสีน้ําเงินแกมดํา กําหนดให้มีช่อชัยพฤกษ์ โดยกําหนดให้มีช่อชัยพฤกษ์ 2 แถว สําหรับทุกระดับที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. เพื่อกําหนดรายละเอียดบนหมวกให้มีความสวยงาม โดยประดับช่อชัยพฤกษ์ซึ่งเป็นต้นไม้ประจําของสํานักงาน ป.ป.ส. 4. ปรับรูปแบบเข็มติดปกเสื้อ ปรับเป็นรูปอาร์ม พื้นสีทอง โลโก้ ป.ป.ส. ปั๊มนูน เครื่องหมายราชการของสํานักงาน ป.ป.ส. เพื่อให้เห็นสังกัดของหน่วยงานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 5. ปรับการแบ่งระดับของอินทรธนูเป็น 7 ชั้น เพื่อความเหมาะสมกับการจําแนกประเภทตําแหน่งและระดับของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ซึ่งมีรายละเอียดของอินทรธนู ดังนี้ - ชั้นที่ 1 ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน - ชั้นที่ 2 ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ - ชั้นที่ 3 ประเภททั่วไป ระดับชํานาญงาน - ชั้นที่ 4 ประเภททั่วไป ระดับอาวุโส ประเภทวิชาการ ระดับชํานาญการ - ชั้นที่ 5 ประเภทวิชาการ ระดับชํานาญการพิเศษ และประเภทอํานวยการ ระดับต้น - ชั้นที่ 6 ประเภททั่วไป ระดับทักษะพิเศษ ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ประเภทอํานวยการ ระดับสูง และประเภทบริหาร ระดับต้น - ชั้นที่ 7 ประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ และประเภทบริหาร ระดับสูง 6. ชุดข้าราชการหญิงมุสลิม สามารถสวมกระโปรงยาวคลุมข้อเท้า และหากจะให้ผ้าคลุมศีรษะ ให้ใช้ผ้าคลุมศีรษะสีเดียวกับหมวกในกรณีที่มีการสวมหมวกให้สวมหมวกทับผ้าคลุมศีรษะ 4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... ตามที่สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ สลค. เสนอว่า 1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่งมีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย ๆ หนึ่งให้มีกําหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สองให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกําหนด และเนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2562 กําหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก โดยให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และสภาผู้แทนราษฎรได้กําหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว (มติคณะรัฐมนตรี 30 กรกฎาคม 2562) ดังนั้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงมีวันเปิดและวันปิดสมัยประชุม ดังนี้ ปีที่ สมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง สมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สอง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 เมษายน 2565 วันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2565 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 5 เมษายน 2565 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (5 เมษายน 2565) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทําเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ) 2. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการไฟฟ้านครหลวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพเป็นการเฉพาะในช่วงที่มีการลดอัตราเงินสมทบ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 7. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม พ.ศ. .... เศรษฐกิจ สังคม 8. เรื่อง ขออนุมัติค่าชดเชยปลูกป่าโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติเพิ่มเติม 9. เรื่อง โครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ปี พ.ศ. 2561 – 2570 (ดําเนินการต่อเนื่องในระยะที่ 2 พ.ศ. 2565 - 2570) 10. เรื่อง ขออนุมัติดําเนินโครงการอ่างเก็บน้ําคลองโพล้ จังหวัดระยอง 11. เรื่อง ขอความเห็นชอบการจัดสวัสดิการรถจักรยานยนต์เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานนอกสถานที่ให้แก่พนักงาน โดยให้พนักงานกู้เงินจากการประปานครหลวงแบบไม่คิด อัตราดอกเบี้ยในวงเงินการจัดสวัสดิการ จํานวน 30 ล้านบาท 12. เรื่อง การจัดสรรอัตราข้าราชการตั้งใหม่เพื่อนําไปกําหนดเป็นอัตรากําลังแทนให้แก่ส่วนราชการที่ส่งข้าราชการไปปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์อํานวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล 13. เรื่อง ร่างยุทธศาสตร์ด้านมาตรฐานทางจริยธรรมและการส่งเสริมจริยธรรมภาครัฐ พ.ศ. 2565 - 2570 14. เรื่อง ผลการดําเนินงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในปีงบประมาณ2564 นโยบายของคณะกรรมการ และโครงการและแผนงานของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยในอนาคต 15. เรื่อง รายงานสถานการณ์การส่งออกของไทย เดือนมกราคม 2565 16. เรื่อง สรุปภาพรวมดัชนีเศรษฐกิจการค้าประจําเดือนกุมภาพันธ์ 2565 17. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 7/2565 และผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 8/2565 18. เรื่อง การขอเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราวเพื่อการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคําไซ) 19. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 4/2564 และแนวโน้มไตรมาสที่ 1/2565 และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจําเดือนมกราคม 2565 20. เรื่อง การกําหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสําหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดําเนินการเองได้ ตามมาตรา 13 (2) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 เกี่ยวกับการปรับปรุงค่าห้องและค่าอาหารกรณีเข้ารับการรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล 21. เรื่อง สรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 1/2565 22. เรื่อง แผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด พ.ศ. 2566-2570 แผนปฏิบัติราชการประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด และข้อเสนอแผนงานโครงการของส่วนราชการที่สอดคล้องกับร่างกรอบแผนพัฒนาภาค พ.ศ. 2566 - 2570 ที่จะดําเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ต่างประเทศ 23. เรื่อง การขอความเห็นชอบการต่อวาระการดํารงตําแหน่งของนายวันชัย รุจนวงศ์ ผู้แทนไทย ในคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและสิทธิเด็ก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิเด็ก 24. เรื่อง ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 8 แต่งตั้ง 25. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข) 26. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สํานักนายกรัฐมนตรี) 27. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการต่างประเทศ) 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงสาธารณสุข) 29. เรื่อง การแต่งตั้งผู้อํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง 30. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการองค์การคลังสินค้า ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายเวลามาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ กค. เสนอว่า 1. เนื่องจากการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 702) พ.ศ. 2563 ได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2564 แต่รัฐบาลยังคงมีนโยบายส่งเสริมให้ผู้ประกอบการซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพมาใช้หรือนํามาขายเพื่อทดแทนผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายไม่ได้ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายไม่ได้และกลายเป็นขยะตกค้าง รวมทั้งช่วยลดงบประมาณของภาครัฐในการกําจัดขยะพลาสติกตกค้าง กค. พิจารณาแล้วเห็นควรขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสําหรับรายจ่ายที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้จ่ายไปเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากผู้ผลิตออกไปอีกเป็นระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 เพื่อเป็นการส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพอย่างต่อเนื่อง และให้เห็นผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น 2. ทั้งนี้ มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพเป็นมาตรการภาษีที่ผู้ประกอบการโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวและความพร้อมในการผลิตก่อนที่จะนําออกสู่ตลาดเพื่อจําหน่าย โดยจากข้อมูลการยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50) ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่มีรายจ่ายจากการจ่ายไปเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากผู้ผลิต รอบระยะเวลาบัญชี 2562 ซึ่งเป็นปีแรกของการใช้มาตรการภาษียังไม่มีผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ และรอบระยะเวลาบัญชี 2563 มีผู้ประกอบการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจํานวน 14 ราย เป็นจํานวนเงิน 18,334,022.84 บาท สําหรับรอบระยะเวลาบัญชี 2564 ยังไม่มีข้อมูลสําหรับการประเมินผลการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีดังกล่าว เนื่องจากยังไม่ถึงกําหนดเวลาการยื่นแบบภาษีเงินได้นิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50 จะถึงกําหนดยื่นแบบประมาณเดือนพฤษภาคมของทุกปี) 3. กค. ได้ดําเนินการตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว โดยคาดว่ามาตรการนี้จะก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐและประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ดังนี้ 3.1 ประมาณการการสูญเสียรายได้ การกําหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีนี้ คาดว่าภาครัฐจะสูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลในปี 2565 ถึง 2567 ประมาณปีละ 673 ล้านบาท แต่จะมีส่วนช่วยลดงบประมาณของภาครัฐในการกําจัดขยะตกค้างและการดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็นจํานวนหนึ่ง 3.2 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ดังนี้ 1) ช่วยส่งเสริมการผลิตและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เพื่อเป็นทางเลือกของการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม และเพื่อใช้ทดแทนพลาสติกที่สลายตัวไม่ได้ทางชีวภาพ อันจะช่วยส่งเสริมให้บรรลุเป้าประสงค์ในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็น Bio Hub of ASEAN 2) ช่วยลดต้นทุนผลิตภัณฑ์และส่งเสริมให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ และส่งเสริมให้ภาคธุรกิจรวมทั้งประชาชนมีความสนใจในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น 3) ช่วยลดปริมาณขยะและสิ่งตกค้างที่ไม่ย่อยสลาย ส่งผลดีในเรื่องการดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมของประเทศ อันจะเป็นการช่วยลดงบประมาณของภาครัฐในการกําจัดขยะตกค้างและการดูแลปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็นจํานวนหนึ่ง สาระสําคัญของร่างพระราชกฤษฎีกา กําหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สําหรับเงินได้เป็นจํานวนร้อยละยี่สิบห้าของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพจากผู้ผลิตตามประเภทที่อธิบดีประกาศกําหนด และได้รับการรับรองผลิตภัณฑ์จากสํานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สําหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายไปตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567 2. เรื่อง ร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... ตามที่สํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ สคทช. เสนอว่า 1. คณะกรรมการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (กบร.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เป็นประธาน ได้เห็นชอบให้ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 และระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547 โดยการยกเลิกระเบียบทั้ง 2 ฉบับนี้ จะเป็นการยกเลิก กบร. โดยให้การแก้ไขปัญหาและป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐไปเป็นส่วนหนึ่งของ คทช. ตลอดจนให้โอนอํานาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการภายใต้ กบร. ไปเป็นอํานาจหน้าที่ของคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. 2. คทช. ในการประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2564 มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ คทช. เพิ่มเติม รวม 2 คณะ เพื่อปฏิบัติหน้าที่แทนคณะอนุกรรมการที่ กบร. ได้แก่ คณะกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร. จังหวัด) และคณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ โดยได้มีการแต่งตั้งเรียบร้อยแล้ว 3. คทช. ในการประชุมครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2565 เห็นชอบร่างระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 พ.ศ. .... ทั้งนี้ เพื่อให้การดําเนินการแก้ไขและป้องกันการบุกรุกที่ดินของรัฐมีประสิทธิภาพและมีหน้าที่และอํานาจที่ไม่ซ้ําซ้อนกัน สาระสําคัญของร่างระเบียบ ให้ยกเลิกระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ พ.ศ. 2545 และระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาการบุกรุกที่ดินของรัฐ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2547 โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป 3. เรื่อง ร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ยธ. เสนอว่า 1. โดยที่กฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 ได้ใช้บังคับมาระยะหนึ่งพบว่า เครื่องแบบพิเศษที่กําหนดไว้ยังไม่เหมาะสมกับลักษณะของการปฏิบัติงานของข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สํานักงาน ป.ป.ส.) ตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ ซึ่งจะต้องมีการปฏิบัติงานปราบปรามตรวจค้นและจับกุมผู้กระทําความผิด ดังนั้น เพื่อให้ข้าราชการสํานักงาน ป.ป.ส. ซึ่งมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดได้มีเครื่องแบบพิเศษสําหรับปฏิบัติงานบังคับใช้กฎหมายให้เหมาะสมกับภารกิจและสภาพพื้นที่ปฏิบัติงานมากขึ้น จึงจําเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติมกฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 2. สํานักงาน ป.ป.ส. จึงได้ยกร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และส่งให้สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรีพิจารณา ในคราวประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองการกําหนดเครื่องแบบพิเศษของส่วนราชการ ครั้งที่ 1/2564 วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 ได้พิจารณาร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีดังกล่าวแล้ว โดยให้สํานักงาน ป.ป.ส. แก้ไขเพิ่มเติมข้อความในร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรีก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งสํานักงาน ป.ป.ส. ได้ปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมให้เป็นไปตามมติคณะกรรมการดังกล่าวแล้ว สาระสําคัญของร่างกฎสํานักนายกรัฐมนตรี แก้ไขเพิ่มเติมกฎสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเครื่องแบบพิเศษสําหรับข้าราชการสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2556 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560 เพื่อกําหนดให้มีเครื่องแบบปฏิบัติงานปราบปรามและแก้ไขเพิ่มเติมลักษณะและเครื่องประกอบของหมวก เครื่องหมายแสดงสังกัดประดับปกคอเสื้อของเครื่องแบบปฏิบัติงานตามปกติ และอินทรธนู ดังนี้ 1. เพิ่มชุดเครื่องแบบปฏิบัติงานปราบปราม เพื่อให้เกิดความสะดวกในการปฏิบัติงานปราบปรามซึ่งต้องมีการพกพาอาวุธประจํากายและเครื่องมือควบคุมตัวผู้กระทําความผิด 2. ปรับเปลี่ยนตราหน้าหมวก เป็นรูปเครื่องหมายราชการของสํานักงาน ป.ป.ส. โอบด้วยช่อชัยพฤกษ์ ด้านบนเป็นรูปตราพระดุลพ่าห์ และมีเส้นรัศมีด้านบนปักด้วยดิ้นทอง เพื่อปรับรูปแบบของตราหน้าหมวกให้มีขนาดเหมาะสมสง่างามและเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 3. เพิ่มช่อชัยพฤกษ์บนหมวก ทั้งหมวกทรงหม้อตาล หมวกพับปีก หมวกแก๊ปทรงอ่อนมีกะบังสีน้ําเงินแกมดํา กําหนดให้มีช่อชัยพฤกษ์ โดยกําหนดให้มีช่อชัยพฤกษ์ 2 แถว สําหรับทุกระดับที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. เพื่อกําหนดรายละเอียดบนหมวกให้มีความสวยงาม โดยประดับช่อชัยพฤกษ์ซึ่งเป็นต้นไม้ประจําของสํานักงาน ป.ป.ส. 4. ปรับรูปแบบเข็มติดปกเสื้อ ปรับเป็นรูปอาร์ม พื้นสีทอง โลโก้ ป.ป.ส. ปั๊มนูน เครื่องหมายราชการของสํานักงาน ป.ป.ส. เพื่อให้เห็นสังกัดของหน่วยงานได้ชัดเจนยิ่งขึ้น 5. ปรับการแบ่งระดับของอินทรธนูเป็น 7 ชั้น เพื่อความเหมาะสมกับการจําแนกประเภทตําแหน่งและระดับของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ซึ่งมีรายละเอียดของอินทรธนู ดังนี้ - ชั้นที่ 1 ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน - ชั้นที่ 2 ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ - ชั้นที่ 3 ประเภททั่วไป ระดับชํานาญงาน - ชั้นที่ 4 ประเภททั่วไป ระดับอาวุโส ประเภทวิชาการ ระดับชํานาญการ - ชั้นที่ 5 ประเภทวิชาการ ระดับชํานาญการพิเศษ และประเภทอํานวยการ ระดับต้น - ชั้นที่ 6 ประเภททั่วไป ระดับทักษะพิเศษ ประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ ประเภทอํานวยการ ระดับสูง และประเภทบริหาร ระดับต้น - ชั้นที่ 7 ประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ และประเภทบริหาร ระดับสูง 6. ชุดข้าราชการหญิงมุสลิม สามารถสวมกระโปรงยาวคลุมข้อเท้า และหากจะให้ผ้าคลุมศีรษะ ให้ใช้ผ้าคลุมศีรษะสีเดียวกับหมวกในกรณีที่มีการสวมหมวกให้สวมหมวกทับผ้าคลุมศีรษะ 4. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... ตามที่สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ สลค. เสนอว่า 1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่งมีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย ๆ หนึ่งให้มีกําหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สองให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกําหนด และเนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2562 กําหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก โดยให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และสภาผู้แทนราษฎรได้กําหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว (มติคณะรัฐมนตรี 30 กรกฎาคม 2562) ดังนั้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงมีวันเปิดและวันปิดสมัยประชุม ดังนี้ ปีที่ สมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง สมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สอง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 น้อมนำ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” วางแนวทางจัดทำงบฯ สอดคล้อง ยุทธศาสตร์ชาติ
วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายและแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 น้อมนํา “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” วางแนวทางจัดทํางบฯ สอดคล้อง ยุทธศาสตร์ชาติ นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายและแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 น้อมนํา “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” วางแนวทางจัดทํางบฯ สอดคล้อง ยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน วันนี้ (22 ธ.ค. 64) เวลา 13.30 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ อาคารชาเลนเจอร์ ชั้น 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ได้รับทราบนโยบาย หลักเกณฑ์ และแนวทางในการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2566 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีทิศทางดีขึ้นเป็นลําดับ รวมทั้งกระจายการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนมีความคืบหน้า ทําให้ทยอยผ่อนคลายมาตรการในการควบคุมโรคได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ธุรกิจบันเทิง และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง และในปี 2565 การใช้จ่ายภาครัฐยังคงมีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยมีเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจําปี วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ วงเงิน 3.07 แสนล้านบาท และเงินกู้จากพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท จะสิ้นสุดลงในปีงบประมาณ 2565 ดังนั้น การใช้จ่ายภาครัฐผ่านงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2566 จึงเป็นปัจจัยสําคัญที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และแผนต่าง ๆ ให้บรรลุตามเป้าหมายที่กําหนด นายกรัฐมนตรี ได้ให้แนวทางการจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2566 เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างต่อเนื่อง และแก้ไขปัญหาที่สําคัญของประเทศ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม โดยให้ยึดหลัก ดังนี้ 1) น้อมนําแนวทางพระราชดําริ และ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 รวมทั้งแนวทางของพระบรมวงศานุวงศ์มาประยุกต์ใช้ในโครงการต่าง ๆ ที่เหมาะสม 2) ให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้า โดยใช้งบประมาณทั้งในส่วนของหน่วยรับงบประมาณที่อยู่ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์และแผนงานพื้นฐาน เช่น การพัฒนาด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านการเกษตร และแผนงานบูรณาการอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการใช้แนวทางเกษตร Sandbox เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิตตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ แก้ไขปัญหาความยากจนให้เกิดผลสําเร็จอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากที่จําต้องพัฒนาควบคู่ไปด้วย 3) บริหารงบประมาณรายจ่ายประจําอย่างประหยัด คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับความจําเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนผ่านระบบสารสนเทศ 4) ประเมินผลสําเร็จของการดําเนินงานว่าสามารถส่งผลให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่กําหนดได้มากน้อยเพียงใด 5) เฝ้าระวังผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และให้ความสําคัญกับกลุ่มเปราะบาง จะต้องปรับตัว ใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย 6) ส่งเสริมการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7) จัดทํางบประมาณให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน การใช้ทรัพยากรของประเทศเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สําหรับ แนวทางในการจัดทําคําของบประมาณปี 2566 นั้น ต้องให้ความสําคัญเป็นลําดับแรกกับประเด็นการพัฒนาภายใต้ 13 หมุดหมาย ของ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบที่รุนแรง ควบคู่กับประเด็นการพัฒนาตามแผนย่อยของแผนแม่บทฯ 23 ประเด็น ประเด็นการพัฒนาภายใต้ (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และกิจกรรมปฏิรูปตามแผนการปฏิรูปประเทศฯ 13 ด้าน ที่บรรจุไว้ในยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2566 และยุทธศาสตร์การจัดสรรฯ ทั้ง 6 ด้าน คือ ด้านความมั่นคง เน้น การปรับตัวรับมือกับภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ทั้งการเกษตร อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต โครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในกระบวนการผลิตและบริการ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม มุ่งเน้น พัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เน้นการนําแนวทาง BCG Model การจัดทํา Carbon Footprint และ การเพิ่มรายได้ของชุมชน และด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ สนับสนุนการเป็นรัฐบาลดิจิทัล การส่งเสริมการกระจายอํานาจ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังขอให้ทุกหน่วยรับงบประมาณ จัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 รวมถึงการนําโครงการสําคัญประจําปี 2566 โดยคิดถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสําคัญ ทุกภาคส่วนราชการร่วมมือซึ่งกันและกันและต้องทําความเข้าใจกับประชาชน เพราะ การดําเนินงานทุกอย่างเป้าหมายของรัฐบาล คือประชาชน เพื่อประชาชน ..................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายและแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 น้อมนำ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” วางแนวทางจัดทำงบฯ สอดคล้อง ยุทธศาสตร์ชาติ วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายและแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 น้อมนํา “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” วางแนวทางจัดทํางบฯ สอดคล้อง ยุทธศาสตร์ชาติ นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายและแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 น้อมนํา “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” วางแนวทางจัดทํางบฯ สอดคล้อง ยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน วันนี้ (22 ธ.ค. 64) เวลา 13.30 น. ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ อาคารชาเลนเจอร์ ชั้น 1 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมสัมมนาการมอบนโยบายและแนวทางการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ให้แก่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ได้รับทราบนโยบาย หลักเกณฑ์ และแนวทางในการจัดทํางบประมาณรายจ่ายประจําปี พ.ศ. 2566 โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมงาน นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีทิศทางดีขึ้นเป็นลําดับ รวมทั้งกระจายการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนมีความคืบหน้า ทําให้ทยอยผ่อนคลายมาตรการในการควบคุมโรคได้ ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยว ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก ธุรกิจบันเทิง และธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง และในปี 2565 การใช้จ่ายภาครัฐยังคงมีบทบาทสําคัญในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยมีเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจําปี วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาท งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ วงเงิน 3.07 แสนล้านบาท และเงินกู้จากพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 วงเงิน 5 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท จะสิ้นสุดลงในปีงบประมาณ 2565 ดังนั้น การใช้จ่ายภาครัฐผ่านงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2566 จึงเป็นปัจจัยสําคัญที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 และแผนต่าง ๆ ให้บรรลุตามเป้าหมายที่กําหนด นายกรัฐมนตรี ได้ให้แนวทางการจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2566 เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาตามยุทธศาสตร์ชาติได้อย่างต่อเนื่อง และแก้ไขปัญหาที่สําคัญของประเทศ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรม โดยให้ยึดหลัก ดังนี้ 1) น้อมนําแนวทางพระราชดําริ และ “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 รวมทั้งแนวทางของพระบรมวงศานุวงศ์มาประยุกต์ใช้ในโครงการต่าง ๆ ที่เหมาะสม 2) ให้ความสําคัญกับการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้า โดยใช้งบประมาณทั้งในส่วนของหน่วยรับงบประมาณที่อยู่ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์และแผนงานพื้นฐาน เช่น การพัฒนาด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านการเกษตร และแผนงานบูรณาการอื่นที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการใช้แนวทางเกษตร Sandbox เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิตตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง โดยมีเป้าหมายเดียวกัน คือ แก้ไขปัญหาความยากจนให้เกิดผลสําเร็จอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากที่จําต้องพัฒนาควบคู่ไปด้วย 3) บริหารงบประมาณรายจ่ายประจําอย่างประหยัด คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับความจําเป็นในสถานการณ์ปัจจุบัน สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนผ่านระบบสารสนเทศ 4) ประเมินผลสําเร็จของการดําเนินงานว่าสามารถส่งผลให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายที่กําหนดได้มากน้อยเพียงใด 5) เฝ้าระวังผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และให้ความสําคัญกับกลุ่มเปราะบาง จะต้องปรับตัว ใช้ชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย 6) ส่งเสริมการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7) จัดทํางบประมาณให้ครอบคลุมทุกแหล่งเงิน การใช้ทรัพยากรของประเทศเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สําหรับ แนวทางในการจัดทําคําของบประมาณปี 2566 นั้น ต้องให้ความสําคัญเป็นลําดับแรกกับประเด็นการพัฒนาภายใต้ 13 หมุดหมาย ของ (ร่าง) แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 เพื่อเพิ่มศักยภาพของประเทศในการรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจส่งผลกระทบที่รุนแรง ควบคู่กับประเด็นการพัฒนาตามแผนย่อยของแผนแม่บทฯ 23 ประเด็น ประเด็นการพัฒนาภายใต้ (ร่าง) นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ และกิจกรรมปฏิรูปตามแผนการปฏิรูปประเทศฯ 13 ด้าน ที่บรรจุไว้ในยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปี 2566 และยุทธศาสตร์การจัดสรรฯ ทั้ง 6 ด้าน คือ ด้านความมั่นคง เน้น การปรับตัวรับมือกับภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน ทั้งการเกษตร อุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต โครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในกระบวนการผลิตและบริการ ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม มุ่งเน้น พัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เน้นการนําแนวทาง BCG Model การจัดทํา Carbon Footprint และ การเพิ่มรายได้ของชุมชน และด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ สนับสนุนการเป็นรัฐบาลดิจิทัล การส่งเสริมการกระจายอํานาจ ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังขอให้ทุกหน่วยรับงบประมาณ จัดทําคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 รวมถึงการนําโครงการสําคัญประจําปี 2566 โดยคิดถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นสําคัญ ทุกภาคส่วนราชการร่วมมือซึ่งกันและกันและต้องทําความเข้าใจกับประชาชน เพราะ การดําเนินงานทุกอย่างเป้าหมายของรัฐบาล คือประชาชน เพื่อประชาชน ..................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49769
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสุขภาพจิต ใช้หลัก 3As โน้มน้าวใจประชาชนให้เข้ารับวัคซีนโควิด 19
วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน 2564 กรมสุขภาพจิต ใช้หลัก 3As โน้มน้าวใจประชาชนให้เข้ารับวัคซีนโควิด 19 กรมสุขภาพจิต ห่วงประชาชนที่ลังเลฉีดวัคซีนโควิด 19 หากติดเชื้อเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิต ส่งบุคลากรด้านสุขภาพจิตร่วมดูแล ใช้หลัก 3As โน้มน้าวใจประชาชนให้เชื่อมั่นในวัคซีน แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีวัคซีนโควิด 19 อย่างเพียงพอ พร้อมรับกับการเปิดประเทศและคลายล็อคดาวน์ โดยกลุ่มเป้าหมายที่สําคัญที่ควรได้รับวัคซีน คือ กลุ่มเสี่ยง 608 ผู้สูงอายุ 60 ปี ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังอายุ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง ลดความเสี่ยงการเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ยังมีบางคนที่ลังเล ไม่ยอมที่จะรับวัคซีน เรียกว่า Vaccine Hesitancy ซึ่งเป็นปัญหาสําคัญที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เป็น 1 ใน 10 ภัยคุกคามระดับโลกทางสาธารณสุข โดยปัจจัยสําคัญที่ส่งผลต่อความลังเลในการรับวัคซีนมี 3 ข้อ คือ 1.ความไม่มั่นใจต่อวัคซีน ทั้งเรื่องคุณภาพ ผลข้างเคียง 2.ความชะล่าใจ เชื่อว่า วัคซีนไม่ได้ช่วยป้องกันโรคหรือไม่มีความจําเป็น และ 3.ความไม่สะดวก เช่น ช่องทางในการรับวัคซีนที่ยุ่งยาก แพทย์หญิงอัมพร กล่าวต่อไปว่า แนวทางการจัดการเพื่อให้ประชาชนยอมรับวัคซีนในกลุ่มที่มีความลังเล ต้องใช้การสัมภาษณ์เพื่อสร้างแรงจูงใจโดยใช้หลัก 3As: Ask Affirm Advice 1.ถามเป็น ใช้คําถามปลายเปิดว่ารู้สึกกังวลหรือเป็นห่วงเรื่องอะไร 2.ชมเป็น นําคําตอบมาชื่นชม เช่น การเป็นห่วงสุขภาพนั้นเป็นเรื่องที่ดี 3.แนะเป็น ให้คําแนะนําตรงกับสิ่งที่เป็นห่วง เช่น กลัวอาการข้างเคียงรุนแรง ก็แนะว่า มีการดูแลหลังฉีดวัคซีน และผู้ได้รับวัคซีนส่วนใหญ่พบอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อความลังเลใจลดลงแล้ว ควรรีบให้วัคซีนโดยเร็วที่สุด แต่สําหรับกลุ่มที่มีการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ให้พยายามสอบถามและรับฟังข้อมูล จากนั้นอาจส่งบุคลากรด้านสุขภาพจิตเข้าไปให้ความช่วยเหลือ “กรมสุขภาพจิต มีความห่วงใยอยากให้ประชาชนได้รับวัคซีนโควิด 19 จึงได้เสนอต่อกระทรวงสาธารณสุข เร่งให้บริการวัคซีน เน้นกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับวัคซีนในพื้นที่ Sand Box เปิดประเทศ โดยให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือ สสจ. ค้นหากลุ่มเป้าหมายเพื่อดําเนินการ พร้อมกับส่งบุคลากรด้านสุขภาพจิตร่วมดูแลใช้หลักการให้คําปรึกษา กลไกเชิงสังคม ร่วมกับ Vaccine เชิงรุก ให้ทุกคนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต *********************************** 2 พฤศจิกายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมสุขภาพจิต ใช้หลัก 3As โน้มน้าวใจประชาชนให้เข้ารับวัคซีนโควิด 19 วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน 2564 กรมสุขภาพจิต ใช้หลัก 3As โน้มน้าวใจประชาชนให้เข้ารับวัคซีนโควิด 19 กรมสุขภาพจิต ห่วงประชาชนที่ลังเลฉีดวัคซีนโควิด 19 หากติดเชื้อเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิต ส่งบุคลากรด้านสุขภาพจิตร่วมดูแล ใช้หลัก 3As โน้มน้าวใจประชาชนให้เชื่อมั่นในวัคซีน แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีวัคซีนโควิด 19 อย่างเพียงพอ พร้อมรับกับการเปิดประเทศและคลายล็อคดาวน์ โดยกลุ่มเป้าหมายที่สําคัญที่ควรได้รับวัคซีน คือ กลุ่มเสี่ยง 608 ผู้สูงอายุ 60 ปี ผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรังอายุ 12 ปีขึ้นไป และหญิงตั้งครรภ์อายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยรุนแรง ลดความเสี่ยงการเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ยังมีบางคนที่ลังเล ไม่ยอมที่จะรับวัคซีน เรียกว่า Vaccine Hesitancy ซึ่งเป็นปัญหาสําคัญที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า เป็น 1 ใน 10 ภัยคุกคามระดับโลกทางสาธารณสุข โดยปัจจัยสําคัญที่ส่งผลต่อความลังเลในการรับวัคซีนมี 3 ข้อ คือ 1.ความไม่มั่นใจต่อวัคซีน ทั้งเรื่องคุณภาพ ผลข้างเคียง 2.ความชะล่าใจ เชื่อว่า วัคซีนไม่ได้ช่วยป้องกันโรคหรือไม่มีความจําเป็น และ 3.ความไม่สะดวก เช่น ช่องทางในการรับวัคซีนที่ยุ่งยาก แพทย์หญิงอัมพร กล่าวต่อไปว่า แนวทางการจัดการเพื่อให้ประชาชนยอมรับวัคซีนในกลุ่มที่มีความลังเล ต้องใช้การสัมภาษณ์เพื่อสร้างแรงจูงใจโดยใช้หลัก 3As: Ask Affirm Advice 1.ถามเป็น ใช้คําถามปลายเปิดว่ารู้สึกกังวลหรือเป็นห่วงเรื่องอะไร 2.ชมเป็น นําคําตอบมาชื่นชม เช่น การเป็นห่วงสุขภาพนั้นเป็นเรื่องที่ดี 3.แนะเป็น ให้คําแนะนําตรงกับสิ่งที่เป็นห่วง เช่น กลัวอาการข้างเคียงรุนแรง ก็แนะว่า มีการดูแลหลังฉีดวัคซีน และผู้ได้รับวัคซีนส่วนใหญ่พบอาการเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อความลังเลใจลดลงแล้ว ควรรีบให้วัคซีนโดยเร็วที่สุด แต่สําหรับกลุ่มที่มีการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง ให้พยายามสอบถามและรับฟังข้อมูล จากนั้นอาจส่งบุคลากรด้านสุขภาพจิตเข้าไปให้ความช่วยเหลือ “กรมสุขภาพจิต มีความห่วงใยอยากให้ประชาชนได้รับวัคซีนโควิด 19 จึงได้เสนอต่อกระทรวงสาธารณสุข เร่งให้บริการวัคซีน เน้นกลุ่มเป้าหมายที่ยังไม่ได้รับวัคซีนในพื้นที่ Sand Box เปิดประเทศ โดยให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดหรือ สสจ. ค้นหากลุ่มเป้าหมายเพื่อดําเนินการ พร้อมกับส่งบุคลากรด้านสุขภาพจิตร่วมดูแลใช้หลักการให้คําปรึกษา กลไกเชิงสังคม ร่วมกับ Vaccine เชิงรุก ให้ทุกคนได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง หากมีข้อสงสัยสามารถปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต *********************************** 2 พฤศจิกายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47739
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดให้ผู้โดยสาร ผู้ใช้บริการ จอดรถ ณ ลานจอดรถระยะยาวโซน C ฟรี ในวันหยุดยาว วันแม่แห่งชาติ 2565 ระหว่างวันที่ 11 - 15 สิงหาคม 2565
วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดให้ผู้โดยสาร ผู้ใช้บริการ จอดรถ ณ ลานจอดรถระยะยาวโซน C ฟรี ในวันหยุดยาว วันแม่แห่งชาติ 2565 ระหว่างวันที่ 11 - 15 สิงหาคม 2565 ... ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) กระทรวงคมนาคม ได้ทําการยกเว้นอัตราค่าบริการจอดรถที่ลานจอดรถระยะยาว (Long Term Parking) โซน C ซึ่งสามารถจอดรถได้จํานวน 718 คัน ในวันหยุดยาวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง "วันแม่แห่งชาติ " ในวันที่ 12 สิงหาคม 2565 ระหว่างวันที่ 11 - 15 สิงหาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 รวมทั้งสิ้น 5 วัน ทั้งนี้ ทสภ. ได้จัดรถ Shuttle Bus สาย A วิ่งให้บริการรับ - ส่งเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร ระหว่างลานจอดรถระยะยาวโซน C และอาคารผู้โดยสารทุก ๆ 15 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยรถ Shuttle Bus สาย A จะเริ่มวิ่งจากศูนย์การขนส่งสาธารณะ (Public Transportation Center) ไปยังลานจอดรถระยะยาวโซน C และแวะจอดรับ - ส่งตามจุดต่าง ๆ ก่อนจะไปจอดที่อาคารผู้โดยสารตรงชั้น 1 ประตู 3 และประตู 8 จากนั้นจะวนไปที่ลานจอดรถระยะยาวโซน A และกลับเข้าสู่ศูนย์การขนส่งสาธารณะ ทสภ. ขอความร่วมมือผู้โดยสารที่เดินทางเที่ยวบินระหว่างประเทศควรเผื่อเวลาก่อนการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง และเที่ยวบินภายในประเทศควรเผื่อเวลาก่อนการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง หากผู้โดยสารต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการอาคารจอดรถ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2132 9511 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ AOT Contact Center หมายเลขโทรศัพท์ 1722 ตลอด 24 ชั่วโมง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดให้ผู้โดยสาร ผู้ใช้บริการ จอดรถ ณ ลานจอดรถระยะยาวโซน C ฟรี ในวันหยุดยาว วันแม่แห่งชาติ 2565 ระหว่างวันที่ 11 - 15 สิงหาคม 2565 วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเปิดให้ผู้โดยสาร ผู้ใช้บริการ จอดรถ ณ ลานจอดรถระยะยาวโซน C ฟรี ในวันหยุดยาว วันแม่แห่งชาติ 2565 ระหว่างวันที่ 11 - 15 สิงหาคม 2565 ... ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) กระทรวงคมนาคม ได้ทําการยกเว้นอัตราค่าบริการจอดรถที่ลานจอดรถระยะยาว (Long Term Parking) โซน C ซึ่งสามารถจอดรถได้จํานวน 718 คัน ในวันหยุดยาวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง "วันแม่แห่งชาติ " ในวันที่ 12 สิงหาคม 2565 ระหว่างวันที่ 11 - 15 สิงหาคม 2565 ตั้งแต่เวลา 00.01 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565 ถึงเวลา 24.00 น. ของวันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2565 รวมทั้งสิ้น 5 วัน ทั้งนี้ ทสภ. ได้จัดรถ Shuttle Bus สาย A วิ่งให้บริการรับ - ส่งเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ผู้โดยสาร ระหว่างลานจอดรถระยะยาวโซน C และอาคารผู้โดยสารทุก ๆ 15 นาที ตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยรถ Shuttle Bus สาย A จะเริ่มวิ่งจากศูนย์การขนส่งสาธารณะ (Public Transportation Center) ไปยังลานจอดรถระยะยาวโซน C และแวะจอดรับ - ส่งตามจุดต่าง ๆ ก่อนจะไปจอดที่อาคารผู้โดยสารตรงชั้น 1 ประตู 3 และประตู 8 จากนั้นจะวนไปที่ลานจอดรถระยะยาวโซน A และกลับเข้าสู่ศูนย์การขนส่งสาธารณะ ทสภ. ขอความร่วมมือผู้โดยสารที่เดินทางเที่ยวบินระหว่างประเทศควรเผื่อเวลาก่อนการเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง และเที่ยวบินภายในประเทศควรเผื่อเวลาก่อนการเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมง หากผู้โดยสารต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการอาคารจอดรถ หมายเลขโทรศัพท์ 0 2132 9511 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ AOT Contact Center หมายเลขโทรศัพท์ 1722 ตลอด 24 ชั่วโมง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Govt Spokesperson highlights linkup success between Thailand’s PromptPay and Singapore's PayNow real-time retail payment systems
วันอังคารที่ 22 มิถุนายน 2564 Govt Spokesperson highlights linkup success between Thailand’s PromptPay and Singapore's PayNow real-time retail payment systems Govt Spokesperson highlights linkup success between Thailand’s PromptPay and Singapore's PayNow real-time retail payment systems Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosedaboutsuccessofthe linkup betweenThailand’s PromptPay and Singapore's PayNow real-time retail payment systemsthrough the collaboration between the Bank of Thailand (BOT) and the Monetary Authority of Singapore (MAS), and stated that this is an example of the Government’s successful innovative development for regional connectivity.It is alsoPrime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha’s policy to promote international economic cooperation as part of Thailand’s effort to ‘build back better’. Such collaboration is consideredworld’s first. Customers of participating banks in Thailand and Singapore will be able tomake thetransferofup to S$1,000 or 25,000 bahtper daybetween thetwocountriesin just 1-2 minutes,instead of 1-2 days a normal mode of transfer would take, using just a mobile phone numbervia mobile application ofparticipating banks. According to theGovernment Spokesperson,Thailand’ssuccess intheconnectivity ofpayment system infrastructurebetween ASEAN countrieswould better facilitate SMEs andaccommodateinternational business growth.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Govt Spokesperson highlights linkup success between Thailand’s PromptPay and Singapore's PayNow real-time retail payment systems วันอังคารที่ 22 มิถุนายน 2564 Govt Spokesperson highlights linkup success between Thailand’s PromptPay and Singapore's PayNow real-time retail payment systems Govt Spokesperson highlights linkup success between Thailand’s PromptPay and Singapore's PayNow real-time retail payment systems Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosedaboutsuccessofthe linkup betweenThailand’s PromptPay and Singapore's PayNow real-time retail payment systemsthrough the collaboration between the Bank of Thailand (BOT) and the Monetary Authority of Singapore (MAS), and stated that this is an example of the Government’s successful innovative development for regional connectivity.It is alsoPrime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha’s policy to promote international economic cooperation as part of Thailand’s effort to ‘build back better’. Such collaboration is consideredworld’s first. Customers of participating banks in Thailand and Singapore will be able tomake thetransferofup to S$1,000 or 25,000 bahtper daybetween thetwocountriesin just 1-2 minutes,instead of 1-2 days a normal mode of transfer would take, using just a mobile phone numbervia mobile application ofparticipating banks. According to theGovernment Spokesperson,Thailand’ssuccess intheconnectivity ofpayment system infrastructurebetween ASEAN countrieswould better facilitate SMEs andaccommodateinternational business growth.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42945
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจงอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร (ตอนล่าง) จ.นครราชสีมา ไม่แตก แต่ทำนบดินบริเวณก่อสร้างชำรุด เพราะรับปริมาณน้ำจำนวนมากจากฝนตกหนักขณะก่อสร้างอาคารและทางระบายน้ำ
วันพุธที่ 29 กันยายน 2564 โฆษกรัฐบาลแจงอ่างเก็บน้ําลําเชียงไกร (ตอนล่าง) จ.นครราชสีมา ไม่แตก แต่ทํานบดินบริเวณก่อสร้างชํารุด เพราะรับปริมาณน้ําจํานวนมากจากฝนตกหนักขณะก่อสร้างอาคารและทางระบายน้ํา โฆษกฯ แจงอ่างเก็บน้ําลําเชียงไกร (ตอนล่าง) จ.นครราชสีมา ไม่แตก แต่ทํานบดินบริเวณก่อสร้างชํารุด เพราะรับปริมาณน้ําจํานวนมากจากฝนตกหนักขณะก่อสร้างอาคารและทางระบายน้ําหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําลังเร่งแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน”นายก” สั่งกองทัพเร่งช่วยประชาชน วันนี้ (29 ก.ย.64) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยกรณีมีการรายงานข่าวระบุอ่างเก็บน้ําลําเชียงไกร (ตอนล่าง) ตําบลบัลลังก์ อําเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมาแตก ไม่เป็นความจริง โดยอาคารและทางระบายน้ํา ซึ่งระหว่างการก่อสร้างร้อยละ 70 ช่วงที่ก่อสร้างได้ใช้ทํานบดินกั้นน้ําไว้ เมื่อมีปริมาณน้ํามากเกิน ทํานบดินบริเวณก่อสร้างชํารุด น้ําจึงไหลลงตรงที่ก่อสร้างทางประตูระบายน้ํา และไหลลงสู่ลําเชียงไกร ผ่านอําเภอโนนไทย อําเภอโนนสูง แล้วไหลลงลําน้ํามูลที่อําเภอพิมาย ทั้งนี้ จังหวัดนครราชสีมาได้ประกาศแจ้งเตือนประชาชนที่อยู่บริเวณพื้นที่ด้านท้ายอ่าง ให้ประชาชนอพยพไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ํา ให้เก็บสิ่งของขึ้นไว้บนที่สูงเรียบร้อยแล้ว “ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําลังเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาจากกรณีทํานบดินบริเวณก่อสร้างชํารุดแล้ว และถมดินเพื่อให้ทํานบดินฝั่งขวาเชื่อมกับประตูระบายน้ําล้น ซึ่งแผนการดําเนินการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายใน 7 วัน ทั้งนี้ ท่านนายกฯ ได้ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนชาวโคราชทุกคน และสั่งการให้กองทัพ นํากําลังทหารเข้าช่วยอพยพประชาชนและขนย้ายสิ่งของ แล้ว ขอให้ประชาชนในพื้นที่เฝ้าติดตามการแจ้งเตือนต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง โดยนายกรัฐมนตรีจะนําคณะลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ําปริมณฑล จ. นนทบุรี ในวันพรุ่งนี้ ด้วย ” นายธนกร กล่าว ----------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลแจงอ่างเก็บน้ำลำเชียงไกร (ตอนล่าง) จ.นครราชสีมา ไม่แตก แต่ทำนบดินบริเวณก่อสร้างชำรุด เพราะรับปริมาณน้ำจำนวนมากจากฝนตกหนักขณะก่อสร้างอาคารและทางระบายน้ำ วันพุธที่ 29 กันยายน 2564 โฆษกรัฐบาลแจงอ่างเก็บน้ําลําเชียงไกร (ตอนล่าง) จ.นครราชสีมา ไม่แตก แต่ทํานบดินบริเวณก่อสร้างชํารุด เพราะรับปริมาณน้ําจํานวนมากจากฝนตกหนักขณะก่อสร้างอาคารและทางระบายน้ํา โฆษกฯ แจงอ่างเก็บน้ําลําเชียงไกร (ตอนล่าง) จ.นครราชสีมา ไม่แตก แต่ทํานบดินบริเวณก่อสร้างชํารุด เพราะรับปริมาณน้ําจํานวนมากจากฝนตกหนักขณะก่อสร้างอาคารและทางระบายน้ําหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําลังเร่งแก้ไขให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน”นายก” สั่งกองทัพเร่งช่วยประชาชน วันนี้ (29 ก.ย.64) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยกรณีมีการรายงานข่าวระบุอ่างเก็บน้ําลําเชียงไกร (ตอนล่าง) ตําบลบัลลังก์ อําเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมาแตก ไม่เป็นความจริง โดยอาคารและทางระบายน้ํา ซึ่งระหว่างการก่อสร้างร้อยละ 70 ช่วงที่ก่อสร้างได้ใช้ทํานบดินกั้นน้ําไว้ เมื่อมีปริมาณน้ํามากเกิน ทํานบดินบริเวณก่อสร้างชํารุด น้ําจึงไหลลงตรงที่ก่อสร้างทางประตูระบายน้ํา และไหลลงสู่ลําเชียงไกร ผ่านอําเภอโนนไทย อําเภอโนนสูง แล้วไหลลงลําน้ํามูลที่อําเภอพิมาย ทั้งนี้ จังหวัดนครราชสีมาได้ประกาศแจ้งเตือนประชาชนที่อยู่บริเวณพื้นที่ด้านท้ายอ่าง ให้ประชาชนอพยพไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย โดยเฉพาะประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ํา ให้เก็บสิ่งของขึ้นไว้บนที่สูงเรียบร้อยแล้ว “ขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกําลังเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาจากกรณีทํานบดินบริเวณก่อสร้างชํารุดแล้ว และถมดินเพื่อให้ทํานบดินฝั่งขวาเชื่อมกับประตูระบายน้ําล้น ซึ่งแผนการดําเนินการทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายใน 7 วัน ทั้งนี้ ท่านนายกฯ ได้ฝากความห่วงใยมายังพี่น้องประชาชนชาวโคราชทุกคน และสั่งการให้กองทัพ นํากําลังทหารเข้าช่วยอพยพประชาชนและขนย้ายสิ่งของ แล้ว ขอให้ประชาชนในพื้นที่เฝ้าติดตามการแจ้งเตือนต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง โดยนายกรัฐมนตรีจะนําคณะลงพื้นที่ตรวจสถานการณ์น้ําปริมณฑล จ. นนทบุรี ในวันพรุ่งนี้ ด้วย ” นายธนกร กล่าว ----------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46352
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดพิธีทำบุญตักบาตร พิธีเจริญพระพุทธมนต์ นิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ กิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564 วธ.จัดพิธีทําบุญตักบาตร พิธีเจริญพระพุทธมนต์ นิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ กิจกรรมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ วธ.จัดพิธีทําบุญตักบาตร พิธีเจริญพระพุทธมนต์ นิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ กิจกรรมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ วธ.จัดพิธีทําบุญตักบาตร พิธีเจริญพระพุทธมนต์ นิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ กิจกรรมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564 วันที่ 3 ธันวาคม 2564 เวลา 08.30 น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ 10 รูปถวายพระราชกุศลในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและกิจกรรมจิตอาสาบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ ลานวัฒนธรรมสร้างสุข หอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายในการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และทํานุบํารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564 จึงมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564 เพื่อเป็นการน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ดังนั้น หน่วยงานในสังกัดของวธ.ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ ได้จัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมเครื่องราชสักการะตามอาคารสถานที่ ระหว่างวันที่ 1 - 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ ในส่วนกลางได้จัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมเครื่องราชสักการะ จัดแสดงนิทรรศการเพื่อเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ กิจกรรมทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และกิจกรรมจิตอาสาบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ ขณะเดียวกันกรมการศาสนาจัดกิจกรรมถวายพระราชกุศลโดยจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในวันที่ 5 ธันวาคม 2564 ณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กรุงเทพฯและจัดทําวีดิทัศน์น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในมิติทางศาสนาเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์และสื่อสังคมออนไลน์ รวมทั้งขอความร่วมมือองค์กรศาสนาอื่นๆ จัดพิธีทางศาสนา ภายในองค์กรหรือศาสนสถานตามความเหมาะสม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับส่วนภูมิภาคมอบหมายสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดร่วมกับเครือข่ายทางวัฒนธรรม จัดกิจกรรมถวายพระราชกุศล เช่น กิจกรรมทําบุญตักบาตร การปฏิบัติธรรม นิทรรศการน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและกิจกรรมจิตอาสาบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ ส่วนกรมศิลปากร โดยหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จัดกิจกรรมปลูกไม้ดอกสีเหลือง เดิน วิ่ง ปั่น นิทรรศการเผยแพร่พระราชกรณียกิจผ่านระบบออนไลน์ที่ https://www.facebook.com/narama9 และเชิญชวนหน่วยงาน องค์กรและบุคคลทั่วไปส่งบทอาเศียรวาท น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณในหัวข้อพระราชกรณียกิจและโครงการพระราชดําริ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 นอกจากนี้ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) จัดฉายภาพยนตร์เรื่อง เรือนแพ และ แผ่นดินของเรา ซึ่งอยู่ในโปรแกรม“100 ปี ส. อาสนจินดา ราชสีห์แห่งวงการบันเทิงไทย” เป็นสองผลงานการกํากับและแสดงนําของส. อาสนจินดา และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตรในอดีต ณ โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย รับชมภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้ ได้ที่โรงภาพยนตร์ศาลาศีนีมา หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) และสํารองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์หอภาพยนตร์ www.fapot.or.th หรือ https://fapot.or.th/main/cinema/program/51 ทั้งนี้ ได้กําชับให้ทุกหน่วยงานสังกัดวธ.จัดกิจกรรมโดยปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดพิธีทำบุญตักบาตร พิธีเจริญพระพุทธมนต์ นิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ กิจกรรมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564 วธ.จัดพิธีทําบุญตักบาตร พิธีเจริญพระพุทธมนต์ นิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ กิจกรรมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ วธ.จัดพิธีทําบุญตักบาตร พิธีเจริญพระพุทธมนต์ นิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ กิจกรรมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ วธ.จัดพิธีทําบุญตักบาตร พิธีเจริญพระพุทธมนต์ นิทรรศการเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ กิจกรรมน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติและวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564 วันที่ 3 ธันวาคม 2564 เวลา 08.30 น. นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์ 10 รูปถวายพระราชกุศลในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตรและกิจกรรมจิตอาสาบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม เข้าร่วม ณ ลานวัฒนธรรมสร้างสุข หอศิลป์แห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า รัฐบาลมีนโยบายในการเทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และทํานุบํารุงศาสนา ศิลปะและวัฒนธรรม เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564 จึงมอบหมายให้หน่วยงานภาครัฐจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564 เพื่อเป็นการน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและสืบสานพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ดังนั้น หน่วยงานในสังกัดของวธ.ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทั่วประเทศ ได้จัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมเครื่องราชสักการะตามอาคารสถานที่ ระหว่างวันที่ 1 - 31 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ ในส่วนกลางได้จัดตั้งโต๊ะหมู่ประดิษฐานพระบรมฉายาลักษณ์พร้อมเครื่องราชสักการะ จัดแสดงนิทรรศการเพื่อเผยแพร่พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ กิจกรรมทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล และกิจกรรมจิตอาสาบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ ขณะเดียวกันกรมการศาสนาจัดกิจกรรมถวายพระราชกุศลโดยจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในวันที่ 5 ธันวาคม 2564 ณ วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก กรุงเทพฯและจัดทําวีดิทัศน์น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในมิติทางศาสนาเผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์และสื่อสังคมออนไลน์ รวมทั้งขอความร่วมมือองค์กรศาสนาอื่นๆ จัดพิธีทางศาสนา ภายในองค์กรหรือศาสนสถานตามความเหมาะสม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า สําหรับส่วนภูมิภาคมอบหมายสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดร่วมกับเครือข่ายทางวัฒนธรรม จัดกิจกรรมถวายพระราชกุศล เช่น กิจกรรมทําบุญตักบาตร การปฏิบัติธรรม นิทรรศการน้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณและกิจกรรมจิตอาสาบําเพ็ญสาธารณประโยชน์ ส่วนกรมศิลปากร โดยหอจดหมายเหตุแห่งชาติเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จัดกิจกรรมปลูกไม้ดอกสีเหลือง เดิน วิ่ง ปั่น นิทรรศการเผยแพร่พระราชกรณียกิจผ่านระบบออนไลน์ที่ https://www.facebook.com/narama9 และเชิญชวนหน่วยงาน องค์กรและบุคคลทั่วไปส่งบทอาเศียรวาท น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณในหัวข้อพระราชกรณียกิจและโครงการพระราชดําริ ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 นอกจากนี้ หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) จัดฉายภาพยนตร์เรื่อง เรือนแพ และ แผ่นดินของเรา ซึ่งอยู่ในโปรแกรม“100 ปี ส. อาสนจินดา ราชสีห์แห่งวงการบันเทิงไทย” เป็นสองผลงานการกํากับและแสดงนําของส. อาสนจินดา และพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดําเนินทอดพระเนตรในอดีต ณ โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมไทย รับชมภาพยนตร์ทั้งสองเรื่องนี้ ได้ที่โรงภาพยนตร์ศาลาศีนีมา หอภาพยนตร์ (องค์การมหาชน) และสํารองที่นั่งล่วงหน้าได้ที่เว็บไซต์หอภาพยนตร์ www.fapot.or.th หรือ https://fapot.or.th/main/cinema/program/51 ทั้งนี้ ได้กําชับให้ทุกหน่วยงานสังกัดวธ.จัดกิจกรรมโดยปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุข เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49065
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ติดตามการจัดการเวชภัณฑ์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 ยืนยัน “ฟาวิพิราเวียร์” มีเพียงพอ กระจายยาไปแล้วทุกจังหวัดทั่วประเทศกว่า 72.52 ล้านเม็ด
วันพุธที่ 30 มีนาคม 2565 นายกฯ ติดตามการจัดการเวชภัณฑ์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 ยืนยัน “ฟาวิพิราเวียร์” มีเพียงพอ กระจายยาไปแล้วทุกจังหวัดทั่วประเทศกว่า 72.52 ล้านเม็ด นายกฯ ติดตามการจัดการเวชภัณฑ์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 ยืนยัน “ฟาวิพิราเวียร์” มีเพียงพอ กระจายยาไปแล้วทุกจังหวัดทั่วประเทศกว่า 72.52 ล้านเม็ด วันนี้ (30 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามการบริหารจัดการเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 พร้อมกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบให้บริการเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขยืนยัน “ยาฟาวิพิราเวียร์” มีเพียงพอสําหรับใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 โดยช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2565 องค์การเภสัชกรรมได้ผลิตและจัดหายาฟาวิพิราเวียร์เข้ามารวม 128.1 ล้านเม็ด โดยในช่วงวันที่ 1 - 28 มีนาคม 2565 มีการผลิตและจัดหายาจํานวน 73.9 ล้านเม็ด และได้มีการกระจายยาให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยจํานวน 72.52 ล้านเม็ด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ยังสนับสนุนให้มีการใช้ยารักษาผู้ป่วยโควิด 19 หลายชนิด ทั้งยาฟ้าทะลายโจร ฟาวิพิราเวียร์ เรมดิซิเวียร์ และโมลนูพิราเวียร์ ล่าสุดคณะรัฐมนตรืยังอนุมัติเห็นชอบให้มีการจัดหายาแพกซ์โลวิดเข้ามาเพิ่มเติม โดยในส่วนของยาฟาวิพิราเวียร์ ข้อมูลวันที่ 28 มีนาคม 2565 มียาคงคลังทั่วประเทศ 25 ล้านเม็ด อยู่ในส่วนกลาง 2.2 ล้านเม็ด ในโรงพยาบาลต่าง ๆ 22.8 ล้านเม็ด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันไทยมีระบบสาธารณสุข ที่มีสมรรถนะในการบริการประชาชนและเตรียมพร้อมในการรองรับทุกสถานการณ์ด้วยแล้ว สําหรับผู้ติดเชื้อโควิด - 19 รายใหม่วันนี้ รวม 25,389 ราย จําแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 25,342 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 47 ราย ผู้ป่วยสะสม 1,377,352 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 26,084 ราย หายป่วยสะสม 1,162,876 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกําลังรักษา 244,372 ราย เสียชีวิต 87 ราย ล่าสุดการให้บริการวัคซีน โควิด-19 สะสมอยู่ที่ 129,247,276 โดส เข็มที่ 1 ฉีดสะสม 55,447,596 โดส เข็มที่ 2 ฉีดสะสม 50,271,534 โดส เข็มที่ 3 ฉีดสะสม 21,390,157 โดส เข็มที่ 4 ฉีดสะสม 2,137,989 โดส ..........................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ติดตามการจัดการเวชภัณฑ์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 ยืนยัน “ฟาวิพิราเวียร์” มีเพียงพอ กระจายยาไปแล้วทุกจังหวัดทั่วประเทศกว่า 72.52 ล้านเม็ด วันพุธที่ 30 มีนาคม 2565 นายกฯ ติดตามการจัดการเวชภัณฑ์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 ยืนยัน “ฟาวิพิราเวียร์” มีเพียงพอ กระจายยาไปแล้วทุกจังหวัดทั่วประเทศกว่า 72.52 ล้านเม็ด นายกฯ ติดตามการจัดการเวชภัณฑ์ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 ยืนยัน “ฟาวิพิราเวียร์” มีเพียงพอ กระจายยาไปแล้วทุกจังหวัดทั่วประเทศกว่า 72.52 ล้านเม็ด วันนี้ (30 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามการบริหารจัดการเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 พร้อมกําชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบให้บริการเพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้อย่างทั่วถึงและรวดเร็ว ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขยืนยัน “ยาฟาวิพิราเวียร์” มีเพียงพอสําหรับใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด – 19 โดยช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน 2565 องค์การเภสัชกรรมได้ผลิตและจัดหายาฟาวิพิราเวียร์เข้ามารวม 128.1 ล้านเม็ด โดยในช่วงวันที่ 1 - 28 มีนาคม 2565 มีการผลิตและจัดหายาจํานวน 73.9 ล้านเม็ด และได้มีการกระจายยาให้ทุกจังหวัดทั่วประเทศไทยจํานวน 72.52 ล้านเม็ด โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อํานวยการศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ยังสนับสนุนให้มีการใช้ยารักษาผู้ป่วยโควิด 19 หลายชนิด ทั้งยาฟ้าทะลายโจร ฟาวิพิราเวียร์ เรมดิซิเวียร์ และโมลนูพิราเวียร์ ล่าสุดคณะรัฐมนตรืยังอนุมัติเห็นชอบให้มีการจัดหายาแพกซ์โลวิดเข้ามาเพิ่มเติม โดยในส่วนของยาฟาวิพิราเวียร์ ข้อมูลวันที่ 28 มีนาคม 2565 มียาคงคลังทั่วประเทศ 25 ล้านเม็ด อยู่ในส่วนกลาง 2.2 ล้านเม็ด ในโรงพยาบาลต่าง ๆ 22.8 ล้านเม็ด ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันไทยมีระบบสาธารณสุข ที่มีสมรรถนะในการบริการประชาชนและเตรียมพร้อมในการรองรับทุกสถานการณ์ด้วยแล้ว สําหรับผู้ติดเชื้อโควิด - 19 รายใหม่วันนี้ รวม 25,389 ราย จําแนกเป็นผู้ป่วยจากในประเทศ 25,342 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 47 ราย ผู้ป่วยสะสม 1,377,352 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) หายป่วยกลับบ้าน 26,084 ราย หายป่วยสะสม 1,162,876 ราย (ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565) ผู้ป่วยกําลังรักษา 244,372 ราย เสียชีวิต 87 ราย ล่าสุดการให้บริการวัคซีน โควิด-19 สะสมอยู่ที่ 129,247,276 โดส เข็มที่ 1 ฉีดสะสม 55,447,596 โดส เข็มที่ 2 ฉีดสะสม 50,271,534 โดส เข็มที่ 3 ฉีดสะสม 21,390,157 โดส เข็มที่ 4 ฉีดสะสม 2,137,989 โดส ..........................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53089
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จับมือ ADB และ JICA สนับสนุนเงินกู้ร่วม 600 ลบ. ให้กลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ พัฒนาเรือโดยสารไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยารายแรกของไทย พร้อมเทคโนโลยีสู่สังคมไร้เงินสด
วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 EXIM BANK จับมือ ADB และ JICA สนับสนุนเงินกู้ร่วม 600 ลบ. ให้กลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ พัฒนาเรือโดยสารไฟฟ้าในแม่น้ําเจ้าพระยารายแรกของไทย พร้อมเทคโนโลยีสู่สังคมไร้เงินสด EXIM BANK ร่วมลงนามสัญญาสนับสนุนทางการเงินจํานวนรวม 600 ลบ. โดยทั้งสามองค์กรร่วมสนับสนุนวงเงินสินเชื่อระยะยาว โดยมี ADB เป็นผู้จัดการเงินกู้ร่วมให้ บจ.อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต ในกลุ่ม EA ใช้จัดหาเรือโดยสารไฟฟ้าในแม่น้ําเจ้าพระยาเต็มรูปแบบรายแรกในประเทศไทย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) (EA) นายอโศก ลาวาซา รองประธาน ด้านการปฏิบัติการภาคเอกชนและการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) และนายทาคาฮิโระ โมริตะ หัวหน้าผู้แทนองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินจํานวนรวม 600 ล้านบาท โดยทั้งสามองค์กรร่วมสนับสนุนวงเงินสินเชื่อระยะยาว โดยมี ADB เป็นผู้จัดการเงินกู้ร่วมให้บริษัท อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต จํากัด ในกลุ่ม EA ใช้จัดหาเรือโดยสารไฟฟ้าในแม่น้ําเจ้าพระยาเต็มรูปแบบรายแรกในประเทศไทย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมี ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล กรรมการบริหาร EXIM BANK ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามในครั้งนี้ ณ ท่าเรือ CAT Tower เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2565 นับเป็นก้าวแรกของการสนับสนุนการพัฒนาเรือโดยสารอัจฉริยะลําแรกในประเทศไทยที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ลดการใช้น้ํามันได้ปีละกว่า 5 ล้านลิตร ลดการปล่อยคาร์บอนในชั้นบรรยากาศได้ปีละ 18,900 ตันคาร์บอน อีกทั้งยังตอบรับเทรนด์สังคมไร้เงินสด ชําระค่าโดยสารเป็นบัตรเดบิต บัตรเครดิต หรือบัตรที่มีสัญลักษณ์ Contactless ลดการสัมผัส และตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัล และเศรษฐกิจ BCG
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK จับมือ ADB และ JICA สนับสนุนเงินกู้ร่วม 600 ลบ. ให้กลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ พัฒนาเรือโดยสารไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยารายแรกของไทย พร้อมเทคโนโลยีสู่สังคมไร้เงินสด วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 EXIM BANK จับมือ ADB และ JICA สนับสนุนเงินกู้ร่วม 600 ลบ. ให้กลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ พัฒนาเรือโดยสารไฟฟ้าในแม่น้ําเจ้าพระยารายแรกของไทย พร้อมเทคโนโลยีสู่สังคมไร้เงินสด EXIM BANK ร่วมลงนามสัญญาสนับสนุนทางการเงินจํานวนรวม 600 ลบ. โดยทั้งสามองค์กรร่วมสนับสนุนวงเงินสินเชื่อระยะยาว โดยมี ADB เป็นผู้จัดการเงินกู้ร่วมให้ บจ.อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต ในกลุ่ม EA ใช้จัดหาเรือโดยสารไฟฟ้าในแม่น้ําเจ้าพระยาเต็มรูปแบบรายแรกในประเทศไทย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) (EA) นายอโศก ลาวาซา รองประธาน ด้านการปฏิบัติการภาคเอกชนและการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) และนายทาคาฮิโระ โมริตะ หัวหน้าผู้แทนองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ร่วมลงนามในสัญญาสนับสนุนทางการเงินจํานวนรวม 600 ล้านบาท โดยทั้งสามองค์กรร่วมสนับสนุนวงเงินสินเชื่อระยะยาว โดยมี ADB เป็นผู้จัดการเงินกู้ร่วมให้บริษัท อี สมาร์ท ทรานสปอร์ต จํากัด ในกลุ่ม EA ใช้จัดหาเรือโดยสารไฟฟ้าในแม่น้ําเจ้าพระยาเต็มรูปแบบรายแรกในประเทศไทย เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยมี ดร.วโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล กรรมการบริหาร EXIM BANK ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนามในครั้งนี้ ณ ท่าเรือ CAT Tower เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2565 นับเป็นก้าวแรกของการสนับสนุนการพัฒนาเรือโดยสารอัจฉริยะลําแรกในประเทศไทยที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ลดการใช้น้ํามันได้ปีละกว่า 5 ล้านลิตร ลดการปล่อยคาร์บอนในชั้นบรรยากาศได้ปีละ 18,900 ตันคาร์บอน อีกทั้งยังตอบรับเทรนด์สังคมไร้เงินสด ชําระค่าโดยสารเป็นบัตรเดบิต บัตรเครดิต หรือบัตรที่มีสัญลักษณ์ Contactless ลดการสัมผัส และตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการขับเคลื่อนการพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัล และเศรษฐกิจ BCG
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53985
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟฟท. จัดพิธีมอบรางวัลให้แก่สถานีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงที่ชนะเลิศในการส่งคลิปวิดีโอเข้าประกวด
วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565 รฟฟท. จัดพิธีมอบรางวัลให้แก่สถานีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงที่ชนะเลิศในการส่งคลิปวิดีโอเข้าประกวด จาก โครงการยกระดับภาพลักษณ์ในการให้บริการ “Smart Image & Smile Service” บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด (รฟฟท.) กระทรวงคมนาคม หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง จัดพิธีมอบรางวัลให้แก่สถานี รถไฟฟ้าที่ชนะเลิศในการส่งคลิปวิดีโอเข้าประกวดจากโครงการยกระดับภาพลักษณ์ในการให้บริการ “Smart Image & Smile Service” เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ณ อาคารสถานีกลางบางซื่อ นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อํานวยการใหญ่รฟฟท. เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ณ อาคารสถานีกลางบางซื่อ บริษัทได้จัดพิธีมอบรางวัล โครงการยกระดับภาพลักษณ์ในการให้บริการ “Smart Image & Smile Service” ซึ่งจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการให้บริการของพนักงานปฏิบัติการสถานีรถไฟฟ้าให้เป็นมาตรฐานสากล โดยให้แต่ละสถานีจัดทําผลงานคลิปวีดีโอการบริการความเป็นเลิศใน 8 ด้านของแต่ละสถานี คือ 1.ด้านความสามัคคี 2.ด้าน ความรวดเร็ว 3.ด้านความโปร่งใส 4.ด้านความปลอดภัย 5.ด้านความมีวินัย 6.ด้านความรอบคอบ 7.ด้านบริการด้วยใจ 8.ด้านตรงต่อเวลา โดยสถานีที่ได้คะแนนสูงตามเกณฑ์การประเมินและได้รับรางวัลรางวัลชนะการประกวดมีจํานวนทั้งสิ้น 8 สถานี จากทั้งหมด 13 สถานี โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ด้านความสามัคคี ได้แก่สถานีบางซ่อน 2. ด้านความรวดเร็ว ได้แก่สถานีดอนเมือง 3. ด้านความโปร่งใส ได้แก่สถานีรังสิต 4. ด้านความปลอดภัย ได้แก่สถานีหลักสี่ 5. ด้านความมีวินัย ได้แก่สถานีจตุจักร 6. ด้านความรอบคอบ ได้แก่สถานีทุ่งสองห้อง 7. ด้านบริการด้วยใจ ได้แก่สถานีกลางบางซื่อ 8. ด้านตรงต่อเวลา ได้แก่ สถานีหลักหก ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถช่วยสร้างขวัญกําลังใจ สร้างความมุ่งมั่นการปฎิบัติงานและ ยกระดับการให้บริการของพนักงานปฏิบัติการสถานีรถไฟฟ้าให้เป็นมาตรฐานสากล หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ส่วนบริการลูกค้า 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง รถไฟฟ้าสายสีแดง ยกระดับคุณภาพชีวิตชานเมือง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟฟท. จัดพิธีมอบรางวัลให้แก่สถานีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงที่ชนะเลิศในการส่งคลิปวิดีโอเข้าประกวด วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565 รฟฟท. จัดพิธีมอบรางวัลให้แก่สถานีรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงที่ชนะเลิศในการส่งคลิปวิดีโอเข้าประกวด จาก โครงการยกระดับภาพลักษณ์ในการให้บริการ “Smart Image & Smile Service” บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จํากัด (รฟฟท.) กระทรวงคมนาคม หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง จัดพิธีมอบรางวัลให้แก่สถานี รถไฟฟ้าที่ชนะเลิศในการส่งคลิปวิดีโอเข้าประกวดจากโครงการยกระดับภาพลักษณ์ในการให้บริการ “Smart Image & Smile Service” เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ณ อาคารสถานีกลางบางซื่อ นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อํานวยการใหญ่รฟฟท. เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ณ อาคารสถานีกลางบางซื่อ บริษัทได้จัดพิธีมอบรางวัล โครงการยกระดับภาพลักษณ์ในการให้บริการ “Smart Image & Smile Service” ซึ่งจัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับการให้บริการของพนักงานปฏิบัติการสถานีรถไฟฟ้าให้เป็นมาตรฐานสากล โดยให้แต่ละสถานีจัดทําผลงานคลิปวีดีโอการบริการความเป็นเลิศใน 8 ด้านของแต่ละสถานี คือ 1.ด้านความสามัคคี 2.ด้าน ความรวดเร็ว 3.ด้านความโปร่งใส 4.ด้านความปลอดภัย 5.ด้านความมีวินัย 6.ด้านความรอบคอบ 7.ด้านบริการด้วยใจ 8.ด้านตรงต่อเวลา โดยสถานีที่ได้คะแนนสูงตามเกณฑ์การประเมินและได้รับรางวัลรางวัลชนะการประกวดมีจํานวนทั้งสิ้น 8 สถานี จากทั้งหมด 13 สถานี โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ด้านความสามัคคี ได้แก่สถานีบางซ่อน 2. ด้านความรวดเร็ว ได้แก่สถานีดอนเมือง 3. ด้านความโปร่งใส ได้แก่สถานีรังสิต 4. ด้านความปลอดภัย ได้แก่สถานีหลักสี่ 5. ด้านความมีวินัย ได้แก่สถานีจตุจักร 6. ด้านความรอบคอบ ได้แก่สถานีทุ่งสองห้อง 7. ด้านบริการด้วยใจ ได้แก่สถานีกลางบางซื่อ 8. ด้านตรงต่อเวลา ได้แก่ สถานีหลักหก ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าโครงการดังกล่าวจะสามารถช่วยสร้างขวัญกําลังใจ สร้างความมุ่งมั่นการปฎิบัติงานและ ยกระดับการให้บริการของพนักงานปฏิบัติการสถานีรถไฟฟ้าให้เป็นมาตรฐานสากล หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ส่วนบริการลูกค้า 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง รถไฟฟ้าสายสีแดง ยกระดับคุณภาพชีวิตชานเมือง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55572
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- คกก.Medical Hub เห็นชอบเพิ่มพื้นที่ท่องเที่ยวนำร่อง รองรับการเปิดประเทศ
วันพุธที่ 1 กันยายน 2564 คกก.Medical Hub เห็นชอบเพิ่มพื้นที่ท่องเที่ยวนําร่อง รองรับการเปิดประเทศ คณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เห็นชอบ การเตรียมเปิดประเทศพื้นที่ท่องเที่ยว และเพิ่มเติมอีก 4 จังหวัด ตามที่รัฐบาลได้มีการประกาศไว้รองรับการเปิดประเทศ, เป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีน คณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub)เห็นชอบ การเตรียมเปิดประเทศพื้นที่ท่องเที่ยว และเพิ่มเติมอีก 4 จังหวัด ตามที่รัฐบาลได้มีการประกาศไว้รองรับการเปิดประเทศ,เป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีน,ศูนย์กลางการส่งเสริมสุขภาพและศูนย์กลางสมุนไพร เตรียมจัดงานมหกรรมสินค้าและบริการสุขภาพ “Thailand International Health Expo 2022”ระหว่างวันที่20 – 23มกราคม2565และการเป็นเจ้าภาพการจัดงานWorld Expoระดับโลก วันนี้ (1กันยายน2564)ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบหมายให้ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบายMedical Hub)ครั้งที่2/2564ร่วมกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผ่านระบบวิดีโอทางไกล โดยมีนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และคณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ดร.สาธิตกล่าวว่า ในวันนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ5เรื่อง ได้แก่1.แนวทางและมาตรการในการเปิดประเทศภายใน120วันตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, พัทยา, หัวหิน และพื้นที่ท่องเที่ยวนําร่องเพิ่มเติม ได้แก่ เชียงคาน จ.เลย และ จ.หนองคาย รวมถึงพื้นที่เกาะกูด เกาะช้าง จ.ตราด และเกาะเสม็ด จ.ระยอง ในรูปแบบbubble and seal routeและมอบให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยบรรจุในแผนเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยว เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป2.ผลักดันให้มีการผลิตวัคซีนทั้ง4ชนิดเพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนของประเทศไทย ได้แก่ วัคซีนChulaCov19โดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,วัคซีนใบยา โดยบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม จํากัด,วัคซีนโควิด19 HXP - GPO Vacโดยองค์การเภสัชกรรม และวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019 (COVID-19)แบบพ่นจมูก โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โดยเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ และให้อย.ลดระยะเวลาการขึ้นทะเบียนอนุญาต 3.เห็นชอบแผนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและการประชาสัมพันธ์ในงานWorld Expo 2025 Osaka Kansaiณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนเมษายน – ตุลาคม2568ในการเข้าร่วมการจัดศาลาไทยในธีม การส่งเสริมสุขภาพทุกช่วงวัย รวมทั้งเป็นการเฉลิมฉลองเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย และญี่ปุ่น ตลอดจนให้ประเทศไทยเข้าร่วมประมูลสิทธิ์ในการจัดนิทรรศการนานาชาติเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดงานSpecialized Expo 2028เดือนสิงหาคม-ตุลาคม ปี2571ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและส่งเสริมสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism)และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ4.การพัฒนาWellness Hubของประเทศไทยเพื่อยกระดับมาตรฐานนวดไทยและสปาไทยในลักษณะWellnessให้มีมาตรฐานระดับนานาชาติ โดยประสานงานกับสมาคม/ สมาพันธ์/ ชมรม ในประเทศไทย เชื่อมโยงการทํางานร่วมกับสมาพันธ์โลกนวดไทย&สปา และจัดทําโครงการบูรณาการร่วมกันทุกกระทรวงและ5.เปิดเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรองรับการเป็นศูนย์กลางสมุนไพรโลกนําผลิตภัณฑ์กัญชา และสมุนไพรต้านโควิด19มาจําหน่ายในเส้นทางการท่องเที่ยวนําร่องใน 4 เส้นทาง รวม9จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี สกลนคร นครพนม หนองคาย เลย หนองบัวลําภู บึงกาฬนครราชสีมา ปราจีนบุรี (อภัยภูเบศร) และบุรีรัมย์ (โนนมาลัยโมเดล) ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้ร่วมกับสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานมหกรรมสินค้าและบริการสุขภาพ “Thailand International Health Expo 2022”ระหว่างวันที่20 – 23มกราคม2565ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น5สยามพารากอน ในรูปแบบHYBRID EXPOในรูปแบบOnsiteและOnlineภายใต้แนวคิดหลัก “สร้างสุขภาพ เสริมเศรษฐกิจ เพื่อคุณภาพชีวิตประชาชน” ภายในงานประกอบด้วย6โซน คือโซนนิทรรศการแสดงศักยภาพของไทย โซนแสดงนิทรรศการและสินค้า โซนบริการฉีดวัคซีน โซนบริการประชาชนให้บริการเบ็ดเสร็จจุดเดียว เช่น การยื่นขออนุญาตสําหรับผู้ประกอบการธุรกิจ ให้คําปรึกษาด้านสุขภาพจากหน่วยบริการรัฐและเอกชน บริการทางการแพทย์แผนปัจจุบัน/ แพทย์แผนไทย/ แพทย์แผนจีน ตรวจสุขภาพ นวดสปา เป็นต้นโซนจับคู่ธุรกิจ(Business Matching)และโซนการประชุมสัมมนาบรรยายพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลก คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมทั้งชาวไทยและต่างชาติ ประมาณ50,000คน ******************************** 1กันยายน2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- คกก.Medical Hub เห็นชอบเพิ่มพื้นที่ท่องเที่ยวนำร่อง รองรับการเปิดประเทศ วันพุธที่ 1 กันยายน 2564 คกก.Medical Hub เห็นชอบเพิ่มพื้นที่ท่องเที่ยวนําร่อง รองรับการเปิดประเทศ คณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) เห็นชอบ การเตรียมเปิดประเทศพื้นที่ท่องเที่ยว และเพิ่มเติมอีก 4 จังหวัด ตามที่รัฐบาลได้มีการประกาศไว้รองรับการเปิดประเทศ, เป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีน คณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub)เห็นชอบ การเตรียมเปิดประเทศพื้นที่ท่องเที่ยว และเพิ่มเติมอีก 4 จังหวัด ตามที่รัฐบาลได้มีการประกาศไว้รองรับการเปิดประเทศ,เป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีน,ศูนย์กลางการส่งเสริมสุขภาพและศูนย์กลางสมุนไพร เตรียมจัดงานมหกรรมสินค้าและบริการสุขภาพ “Thailand International Health Expo 2022”ระหว่างวันที่20 – 23มกราคม2565และการเป็นเจ้าภาพการจัดงานWorld Expoระดับโลก วันนี้ (1กันยายน2564)ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มอบหมายให้ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการอํานวยการเพื่อพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (นโยบายMedical Hub)ครั้งที่2/2564ร่วมกับนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ผ่านระบบวิดีโอทางไกล โดยมีนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และคณะกรรมการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ดร.สาธิตกล่าวว่า ในวันนี้ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการ5เรื่อง ได้แก่1.แนวทางและมาตรการในการเปิดประเทศภายใน120วันตามนโยบายรัฐบาลในพื้นที่กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, พัทยา, หัวหิน และพื้นที่ท่องเที่ยวนําร่องเพิ่มเติม ได้แก่ เชียงคาน จ.เลย และ จ.หนองคาย รวมถึงพื้นที่เกาะกูด เกาะช้าง จ.ตราด และเกาะเสม็ด จ.ระยอง ในรูปแบบbubble and seal routeและมอบให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยบรรจุในแผนเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยว เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป2.ผลักดันให้มีการผลิตวัคซีนทั้ง4ชนิดเพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนของประเทศไทย ได้แก่ วัคซีนChulaCov19โดยคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,วัคซีนใบยา โดยบริษัท ใบยาไฟโตฟาร์ม จํากัด,วัคซีนโควิด19 HXP - GPO Vacโดยองค์การเภสัชกรรม และวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่2019 (COVID-19)แบบพ่นจมูก โดยศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) โดยเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาสนับสนุนงบประมาณ และให้อย.ลดระยะเวลาการขึ้นทะเบียนอนุญาต 3.เห็นชอบแผนการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดและการประชาสัมพันธ์ในงานWorld Expo 2025 Osaka Kansaiณ นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ในเดือนเมษายน – ตุลาคม2568ในการเข้าร่วมการจัดศาลาไทยในธีม การส่งเสริมสุขภาพทุกช่วงวัย รวมทั้งเป็นการเฉลิมฉลองเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย และญี่ปุ่น ตลอดจนให้ประเทศไทยเข้าร่วมประมูลสิทธิ์ในการจัดนิทรรศการนานาชาติเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดงานSpecialized Expo 2028เดือนสิงหาคม-ตุลาคม ปี2571ที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อดึงดูดชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและส่งเสริมสุขภาพ (Medical and Wellness Tourism)และเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ4.การพัฒนาWellness Hubของประเทศไทยเพื่อยกระดับมาตรฐานนวดไทยและสปาไทยในลักษณะWellnessให้มีมาตรฐานระดับนานาชาติ โดยประสานงานกับสมาคม/ สมาพันธ์/ ชมรม ในประเทศไทย เชื่อมโยงการทํางานร่วมกับสมาพันธ์โลกนวดไทย&สปา และจัดทําโครงการบูรณาการร่วมกันทุกกระทรวงและ5.เปิดเส้นทางท่องเที่ยวเชิงสุขภาพรองรับการเป็นศูนย์กลางสมุนไพรโลกนําผลิตภัณฑ์กัญชา และสมุนไพรต้านโควิด19มาจําหน่ายในเส้นทางการท่องเที่ยวนําร่องใน 4 เส้นทาง รวม9จังหวัด ได้แก่ อุดรธานี สกลนคร นครพนม หนองคาย เลย หนองบัวลําภู บึงกาฬนครราชสีมา ปราจีนบุรี (อภัยภูเบศร) และบุรีรัมย์ (โนนมาลัยโมเดล) ด้านนายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ได้ร่วมกับสํานักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) (สสปน.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) และสํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดงานมหกรรมสินค้าและบริการสุขภาพ “Thailand International Health Expo 2022”ระหว่างวันที่20 – 23มกราคม2565ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น5สยามพารากอน ในรูปแบบHYBRID EXPOในรูปแบบOnsiteและOnlineภายใต้แนวคิดหลัก “สร้างสุขภาพ เสริมเศรษฐกิจ เพื่อคุณภาพชีวิตประชาชน” ภายในงานประกอบด้วย6โซน คือโซนนิทรรศการแสดงศักยภาพของไทย โซนแสดงนิทรรศการและสินค้า โซนบริการฉีดวัคซีน โซนบริการประชาชนให้บริการเบ็ดเสร็จจุดเดียว เช่น การยื่นขออนุญาตสําหรับผู้ประกอบการธุรกิจ ให้คําปรึกษาด้านสุขภาพจากหน่วยบริการรัฐและเอกชน บริการทางการแพทย์แผนปัจจุบัน/ แพทย์แผนไทย/ แพทย์แผนจีน ตรวจสุขภาพ นวดสปา เป็นต้นโซนจับคู่ธุรกิจ(Business Matching)และโซนการประชุมสัมมนาบรรยายพิเศษจากผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขทั่วโลก คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมทั้งชาวไทยและต่างชาติ ประมาณ50,000คน ******************************** 1กันยายน2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45423
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะ! โครงการคนละครึ่ง เฟส 5 รัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 ไม่เกิน 800 บาท/คน ตลอดโครงการฯ กลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 26.5 ล้านคน วงเงิน 21,200 ล้านบาท ใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 1 ก.ย. - 31 ต.ค.65 นี้
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565 เคาะ! โครงการคนละครึ่ง เฟส 5 รัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 ไม่เกิน 800 บาท/คน ตลอดโครงการฯ กลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 26.5 ล้านคน วงเงิน 21,200 ล้านบาท ใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 1 ก.ย. - 31 ต.ค.65 นี้ เคาะ! โครงการคนละครึ่ง เฟส 5 รัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 ไม่เกิน 800 บาท/คน ตลอดโครงการฯ กลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 26.5 ล้านคน วงเงิน 21,200 ล้านบาท ใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 1 ก.ย. - 31 ต.ค.65 นี้ วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี อนุมัติโครงการคนละครึ่งระยะที่ 5 กรอบวงเงิน รวม 21,200 ล้านบาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายจํานวนไม่เกิน 26.5 ล้านคน ระยะเวลาดําเนินการสี่เดือนตั้งแต่สิงหาคม-พฤศจิกายน 2565 โดยให้ประชาชนใช้สิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน- 31 ตุลาคม 2565 รูปแบบการดําเนินการ ภาครัฐร่วมชําระค่าอาหารเครื่องดื่มสินค้าและบริการทั่วไปและบริการขนส่งสาธารณะที่กําหนดในอัตราร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน หรือไม่เกิน 800 บาทต่อคน คุณสมบัติ ต้องเป็นประชาชนสัญชาติไทยอายุ 18 ปี ขึ้นไป มีบัตรประชาชน ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือไม่ได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ต้องการช่วยเหลือพิเศษ สําหรับประชาชนผู้ใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง เฟส 4 ต้องยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการ คนละครึ่ง เฟส 5 และใช้สิทธิครั้งแรก ภายในวันที่ 14 กันยายน หรือระยะเวลาที่ กระทรวงคลังกําหนด สําหรับประชาชนทั่วไป จะต้องใช้สิทธิ โครงการฯ เฟส 5 ครั้งแรกภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ได้รับข้อความผ่าน แอปพลิเคชัน เป๋าตังหรือข้อความสั้น (SMS) แจ้งยืนยันสิทธิ หรือระยะเวลาที่กระทรวงคลังกําหนด สิทธิประโยชน์ ภาครัฐจะร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าและบริการที่กําหนด ในอัตราร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน หรือไม่เกิน 800 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการฯ โดยผู้ได้รับสิทธิสามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม จากร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตังค์” ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนเงินในส่วนค่าอาหารและ/หรือเครื่องดื่มเท่านั้น ไม่รวมค่าจัดส่งหรือค่าใช้จ่ายอื่น ซึ่งประชาชนที่ได้รับสิทธิ จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สําหรับเงินสนับสนุนที่ภาครัฐร่วมจ่ายตามโครงการดังกล่าวนี้ด้วย ประเภทสินค้าและบริการ อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป บริการนวด สปา ทําเล็บ ทําผม และบริการขนส่งสาธารณะ โดยไม่รวมสินค้าสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ บัตรกํานัลบัตรเงินสด และบริการรูปแบบอื่นๆ ที่เป็นการชําระค่าสินค้าหรือ บริการล่วงหน้า ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้สามารถกําหนดเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงรายการสินค้าและบริการของโครงการฯ ได้ ผู้ประกอบการ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ -ผู้ประกอบการร้านค้าสัญชาติไทย ที่เป็นร้านอาหาร /เครื่องดื่ม/ร้านค้าทั่วไป ไม่ใช่นิติบุคคล หรือร้านค้าของกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมือง หรือวิสาหกิจชุมชน หรือ ร้านธงฟ้า ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ จะต้องไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อที่เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ -ผู้ประกอบการบริการสัญชาติไทยที่ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่เป็นผู้ประกอบการบริการของกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมือง หรือวิสาหกิจชุมชน หรือเป็นผู้ให้บริการประเภทรถที่ตรวจสอบได้ เช่น รถสามล้อถีบ เป็นต้น -ผู้ประกอบการประเภทบริการด้านขนส่งสาธารณะสัญชาติไทย ที่ไม่ใช่นิติบุคคล เช่น แท็กซี่ รถสามล้อ รถสองแถวรับจ้าง รถจักรยานยนต์รับจ้าง ซึ่งผู้ขับขี่ต้องมีใบขับขี่รถสาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมาย -ผู้ประกอบการประเภทบริการด้านขนส่งสาธารณะ ได้แก่ รถไฟฟ้าในเขตเมือง รถไฟ รถโดยสารประจําทางสาธารณะและเรือโดยสารสาธารณะ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังสื่อสารและประชาสัมพันธ์โครงการฯ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจอย่างชัดเจนถึงความเหมาะสมและความจําเป็นที่ภาครัฐสนับสนุนวงเงินรวมชําระไม่เกิน 800 บาทต่อคน โดยมีแผนการเริ่มดําเนินโครงการฯ รับสมัครประชาชนและผู้ประกอบการร้านค้าและบริการผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ในช่วงเดือนสิงหาคม - ตุลาคม และประชาชนจะได้รับสิทธิวงเงินสนับสนุนและใช้สิทธิโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินโครงการฯ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานรากอย่างต่อเนื่อง เพิ่มอุปสงค์ในการบริโภค กระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยทุกระดับมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ เกิดการลงทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวันให้กับประชาชนในสถานการณ์ที่ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าจะทําให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เพิ่มเติม 42,400 ล้านบาท GDP ขยายตัวร้อยละ 0.12 เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการฯ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เคาะ! โครงการคนละครึ่ง เฟส 5 รัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 ไม่เกิน 800 บาท/คน ตลอดโครงการฯ กลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 26.5 ล้านคน วงเงิน 21,200 ล้านบาท ใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 1 ก.ย. - 31 ต.ค.65 นี้ วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565 เคาะ! โครงการคนละครึ่ง เฟส 5 รัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 ไม่เกิน 800 บาท/คน ตลอดโครงการฯ กลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 26.5 ล้านคน วงเงิน 21,200 ล้านบาท ใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 1 ก.ย. - 31 ต.ค.65 นี้ เคาะ! โครงการคนละครึ่ง เฟส 5 รัฐร่วมจ่ายร้อยละ 50 ไม่เกิน 800 บาท/คน ตลอดโครงการฯ กลุ่มเป้าหมายไม่เกิน 26.5 ล้านคน วงเงิน 21,200 ล้านบาท ใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 1 ก.ย. - 31 ต.ค.65 นี้ วันที่ 26 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี อนุมัติโครงการคนละครึ่งระยะที่ 5 กรอบวงเงิน รวม 21,200 ล้านบาท โดยมีกลุ่มเป้าหมายจํานวนไม่เกิน 26.5 ล้านคน ระยะเวลาดําเนินการสี่เดือนตั้งแต่สิงหาคม-พฤศจิกายน 2565 โดยให้ประชาชนใช้สิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน- 31 ตุลาคม 2565 รูปแบบการดําเนินการ ภาครัฐร่วมชําระค่าอาหารเครื่องดื่มสินค้าและบริการทั่วไปและบริการขนส่งสาธารณะที่กําหนดในอัตราร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน หรือไม่เกิน 800 บาทต่อคน คุณสมบัติ ต้องเป็นประชาชนสัญชาติไทยอายุ 18 ปี ขึ้นไป มีบัตรประชาชน ไม่เป็นผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือไม่ได้รับสิทธิโครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้ต้องการช่วยเหลือพิเศษ สําหรับประชาชนผู้ใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง เฟส 4 ต้องยืนยันสิทธิเข้าร่วมโครงการ คนละครึ่ง เฟส 5 และใช้สิทธิครั้งแรก ภายในวันที่ 14 กันยายน หรือระยะเวลาที่ กระทรวงคลังกําหนด สําหรับประชาชนทั่วไป จะต้องใช้สิทธิ โครงการฯ เฟส 5 ครั้งแรกภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ได้รับข้อความผ่าน แอปพลิเคชัน เป๋าตังหรือข้อความสั้น (SMS) แจ้งยืนยันสิทธิ หรือระยะเวลาที่กระทรวงคลังกําหนด สิทธิประโยชน์ ภาครัฐจะร่วมจ่ายค่าอาหาร เครื่องดื่ม สินค้าและบริการที่กําหนด ในอัตราร้อยละ 50 ไม่เกิน 150 บาท/คน/วัน หรือไม่เกิน 800 บาทต่อคน ตลอดระยะเวลาโครงการฯ โดยผู้ได้รับสิทธิสามารถซื้ออาหาร เครื่องดื่ม จากร้านอาหารและเครื่องดื่มที่เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านผู้ให้บริการระบบขนส่งอาหาร (Food Delivery Platform) ที่ได้รับอนุมัติให้เข้าร่วมโครงการฯ ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตังค์” ซึ่งรัฐบาลจะสนับสนุนเงินในส่วนค่าอาหารและ/หรือเครื่องดื่มเท่านั้น ไม่รวมค่าจัดส่งหรือค่าใช้จ่ายอื่น ซึ่งประชาชนที่ได้รับสิทธิ จะได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สําหรับเงินสนับสนุนที่ภาครัฐร่วมจ่ายตามโครงการดังกล่าวนี้ด้วย ประเภทสินค้าและบริการ อาหาร เครื่องดื่ม สินค้าทั่วไป บริการนวด สปา ทําเล็บ ทําผม และบริการขนส่งสาธารณะ โดยไม่รวมสินค้าสลากกินแบ่ง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาสูบ บัตรกํานัลบัตรเงินสด และบริการรูปแบบอื่นๆ ที่เป็นการชําระค่าสินค้าหรือ บริการล่วงหน้า ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นผู้สามารถกําหนดเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงรายการสินค้าและบริการของโครงการฯ ได้ ผู้ประกอบการ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ -ผู้ประกอบการร้านค้าสัญชาติไทย ที่เป็นร้านอาหาร /เครื่องดื่ม/ร้านค้าทั่วไป ไม่ใช่นิติบุคคล หรือร้านค้าของกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมือง หรือวิสาหกิจชุมชน หรือ ร้านธงฟ้า ทั้งนี้ ผู้ประกอบการ จะต้องไม่ใช่ร้านสะดวกซื้อที่เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ -ผู้ประกอบการบริการสัญชาติไทยที่ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่เป็นผู้ประกอบการบริการของกองทุนหมู่บ้านหรือกองทุนชุมชนเมือง หรือวิสาหกิจชุมชน หรือเป็นผู้ให้บริการประเภทรถที่ตรวจสอบได้ เช่น รถสามล้อถีบ เป็นต้น -ผู้ประกอบการประเภทบริการด้านขนส่งสาธารณะสัญชาติไทย ที่ไม่ใช่นิติบุคคล เช่น แท็กซี่ รถสามล้อ รถสองแถวรับจ้าง รถจักรยานยนต์รับจ้าง ซึ่งผู้ขับขี่ต้องมีใบขับขี่รถสาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมาย -ผู้ประกอบการประเภทบริการด้านขนส่งสาธารณะ ได้แก่ รถไฟฟ้าในเขตเมือง รถไฟ รถโดยสารประจําทางสาธารณะและเรือโดยสารสาธารณะ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังสื่อสารและประชาสัมพันธ์โครงการฯ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจอย่างชัดเจนถึงความเหมาะสมและความจําเป็นที่ภาครัฐสนับสนุนวงเงินรวมชําระไม่เกิน 800 บาทต่อคน โดยมีแผนการเริ่มดําเนินโครงการฯ รับสมัครประชาชนและผู้ประกอบการร้านค้าและบริการผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com ในช่วงเดือนสิงหาคม - ตุลาคม และประชาชนจะได้รับสิทธิวงเงินสนับสนุนและใช้สิทธิโครงการตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2565 โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า การดําเนินโครงการฯ เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจนถึงระดับฐานรากอย่างต่อเนื่อง เพิ่มอุปสงค์ในการบริโภค กระตุ้นการใช้จ่ายในประเทศ ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยทุกระดับมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ เกิดการลงทุน ลดภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจําวันให้กับประชาชนในสถานการณ์ที่ราคาสินค้าปรับเพิ่มขึ้น คาดว่าจะทําให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ เพิ่มเติม 42,400 ล้านบาท GDP ขยายตัวร้อยละ 0.12 เมื่อเทียบกับกรณีไม่มีโครงการฯ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57279
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ปาฐกถาพิเศษ “การสร้างความยั่งยืนให้กับความเป็นไทย” ปลุกพลังชาวราชสีห์ ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับพี่น้องประชาชน อย่างยั่งยืน
วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม 2565 องคมนตรี ปาฐกถาพิเศษ “การสร้างความยั่งยืนให้กับความเป็นไทย” ปลุกพลังชาวราชสีห์ ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง เพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงสุข ให้กับพี่น้องประชาชน อย่างยั่งยืน องคมนตรี ปาฐกถาพิเศษ “การสร้างความยั่งยืนให้กับความเป็นไทย” ปลุกพลังชาวราชสีห์ ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง เพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงสุข ให้กับพี่น้องประชาชน อย่างยั่งยืน วันนี้ (30 ม.ค. 65) เวลา 09.15 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เป็นวิทยากรปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การสร้างความยั่งยืนให้กับความเป็นไทย” ในการประชุมเพื่อการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ตามแนวพระราชดําริของกระทรวงมหาดไทย ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) และผ่านระบบ DOPA Channel โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจําจังหวัด นายอําเภอ ปลัดอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมรับฟัง โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อาทิ รองศาสตราจารย์ สังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกวุฒิสภา นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ สมาชิกวุฒิสภา นายประชา เตรัตน์ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน และนายอดุลย์ ดาราธรรม นายกสมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย กล่าวว่า ปัจจัยหลักในการสร้างลักษณะเฉพาะของคนในชาติ นั่นคือ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คน โดยนักปกครองหรือผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ต้องมีความเข้าใจ “ภูมิสังคม” ต้องคํานึงสภาพภูมิประเทศของบริเวณนั้น ๆ รวมถึงลักษณะการใช้ชีวิต รูปแบบการดํารงชีวิต ตลอดจนประเพณีวัฒนธรรมในแต่ละชุมชนที่มีความแตกต่างหลากหลาย เพื่อให้การขับเคลื่อนงาน หรือการพัฒนาใด ๆ ในชุมชน ในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นไปโดยสําเร็จและเกิดความยั่งยืน ซึ่งในการสร้างความยั่งยืนให้กับความเป็นไทยนั้น ราชการจะคํานึงถึงแต่เพียงความต้องการหรือเป้าหมายหรือผลลัพธ์ของทางราชการอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรับฟังความคิดเห็น รับฟังเสียงสะท้อนของประชาชน และเข้าใจประชาชน เมื่อราชการและประชาชนต่างเข้าใจเข้าถึงกันและกันในลักษณะ Two-Way Communication แล้ว จึงจะสามารถร่วมกันพัฒนา ดังศาสตร์พระราชาที่ว่า “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ได้ ดังเช่น ในภาคธุรกิจเอกชนจะมุ่งเน้นหลัก Customer First หรือลูกค้าต้องมาก่อนเสมอ ทําให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและพัฒนาองค์กรสอดรับความต้องการของผู้รับบริการได้อย่างรวดเร็ว และเป็นที่ประทับใจ แต่ราชการมักจะมีวิธีคิดว่า ราชการต้องมาก่อน ประชาชนเป็นลําดับถัดมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องมีการปรับตัวและปรับปรุงเพื่อสอดรับกับทิศทางการพัฒนาที่เข้ากับบริบทวิถีชีวิตของประชาชนและภูมิสังคมของเมืองหรือพื้นที่นั้น ๆ ทําให้ภาคราชการสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างตรงจุดตามความต้องการของประชาชน และได้สะท้อน “จิตวิญญาณของความเป็นไทย” ผ่านโครงสร้างสังคม มี 3 ระดับ คือ 1) ระดับครอบครัว (เรือน/เฮือน) และตระกูล เพราะความกตัญญูรู้คุณและการตอบแทนบุญคุณท่าน ซึ่งภาษาไทยมีชุดคําเรียกความสัมพันธ์ของครอบครัวที่แตกต่างหลากหลายกว่าชาติอื่น พ่อ-แม่ พี่-น้อง ลูก-หลาน ลุง-ป้า น้า-อา ปู่-ย่า ตา-ยาย ความสัมพันธ์ตรงนี้แน่นมาก รวมถึงความเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน สายเลือดเข้มกว่าสายน้ํา คุณธรรมเป็นตัวหล่อหลอมให้เกิดความมั่นคง และความมั่นคงเป็นปัจจัยทําให้เกิดความยั่งยืนยืนยาว “เราต้องช่วยกันทําให้ระบบครอบครัวอบอุ่น สิ่งที่ดีงามของครอบครัวกลับขึ้นมาอีกเหมือนสมัยก่อน” เพราะเมื่อครอบครัวอบอุ่น จะส่งผลให้สภาพสังคมเข้มแข็ง 2) ระดับชุมชน คือ ความมีน้ําใจต่อกันและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต้องออกแบบบริหารชุมชนให้ทุกคนมีน้ําใจและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และ 3) ระดับเมือง สิ่งที่จะทําให้เมืองมีความมั่นคง คือ ความสามัคคีของคนในเมือง” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย ได้กล่าวถึง คําว่า “ความยั่งยืน” คือ การที่คนในยุคปัจจุบันใช้ทรัพยากรเพื่อความกินดีอยู่ดีของตนเองแล้วเหลือเผื่อแผ่ทรัพยากรไว้ให้ลูกหลานได้อยู่ดีกินดีด้วย ไม่ใช่ทําลายทรัพยากรหมดตั้งแต่ยุคนี้ ด้วยการนําหลักคิดและแนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน 3 ประการ มาประยุกต์ใช้ ได้แก่ 1) ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานให้คนไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 ประการที่ 2) SDG 17 ข้อ ที่สหประชาชาติกําหนดเป็นแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในช่วง ค.ศ. 2016-2031 และ 3) ESG 3 ปัจจัยหลักเพื่อความยั่งยืน คือ ปัจจัยสิ่งแวดล้อม (Environmental factors) ปัจจัยด้านคนและสังคม (Social factors) และปัจจัยด้านธรรมาภิบาล (Governance factors) โดยขอให้น้อมนําพระปฐมบรมราชโองการในล้นเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” รวมถึงพระบรมราโชวาท และพระราชดํารัส ที่เกี่ยวเนื่องกับการบริหารราชการแผ่นดินในพื้นที่ อาทิ “ความสามัคคีและความถือตัวว่าเป็นไทย เป็นสมบัติมีค่าสูงสุด เพราะเป็นมรดกที่เราได้สืบต่อจากบรรพบุรุษ และเป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้เราดํารงประเทศชาติและเอกราชสืบมาได้ ทุกคนจะต้องรักษาความเป็นไทยและความสามัคคีนี้ไว้ให้มั่นคง” และ “การพัฒนานี้ก็ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจทั้งสองอย่าง คือจิตใจที่หวงแหนที่ดินทํากินของเรา หวงแหนพื้นแผ่นดินของเรา และจิตใจที่จะต้องช่วยเหลือกัน เพราะทุกคนเป็นสมาชิกของประเทศคือชาวไทยทุกคน...” มาใช้ในการพัฒนาในระดับพื้นที่ ข้าราชการทุกคนต้อง “ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง แม้ว่าการสร้างคนดีนั้นเป็นเรื่องที่ยากและยาว แต่ก็ต้องทํา ขอให้ถือเป็นหน้าที่” ทําให้ประชาชนเป็น “พึ่งตนเองได้” ซึ่งมีองค์ประกอบที่สําคัญ คือ 1. พึ่งตนเองด้านจิตใจ คือ มีจิตใจเข้มแข็ง มีจิตสํานึกที่ดี สร้างสรรค์ให้ตนเองและส่วนรวม 2. พึ่งตนเองด้านสังคม คือ ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย ชุมชนที่เข้มแข็ง เป็นอิสระ และ 3. พึ่งตนเองด้านเศรษฐกิจ คือ ต้องมุ่งลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ยึดหลักพอ พออยู่ พอกิน พอใช้ สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองในระดับพื้นฐาน โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย ยังได้กล่าวถึง “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” หรือ Sufficiency Economy Philosophy (SEP) ซึ่งเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดํารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดําเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจําเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนําวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดําเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสํานึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดําเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี ในช่วงท้าย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย ได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานกรรมการศึกษาจังหวัด ได้น้อมนําพระบรมราโชบายด้านการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานแก่คณะองคมนตรี ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2560 “การศึกษาต้องมุ่งสร้างอุปนิสัยพื้นฐานที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชน 4 ด้าน คือ 1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง ครอบครัว ชุมชน สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันศาสนา ความเป็นไทย – วัฒนธรรมไทย 2) มีอุปนิสัยพื้นฐานที่มั่นคง – มีคุณธรรม รู้จักแยกแยะสิ่งที่ผิด – ที่ชอบ / ที่ถูก – ที่ผิด ปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบ – ที่ถูกต้องดีงาม ปฏิเสธสิ่งที่ผิด – สิ่งที่ชั่ว ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง 3) ทํางานเป็น – มีอาชีพสุจริต พ่อแม่ฝึกฝนอบรมลูกให้รักงาน – สู้งาน ครูอาจารย์ฝึกฝนอบรมลูกศิษย์ให้ทํางานเป็นหมู่คณะ ผู้บังคับบัญชาฝึกฝนอบรมลูกน้องให้มีทักษะความรู้ใหม่ๆ สร้างค่านิยมให้มุ่งสู่อาชีพสุจริต และ 4) เป็นพลเมืองดี “เห็นอะไรจะทําเพื่อบ้านเมืองได้ – ก็ต้องทํา” ครอบครัว – สถานศึกษา – สถานประกอบการต้องกําหนดนโยบายและส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสร้างพลเมืองดี “เราทําความดีด้วยหัวใจ” – มีน้ําใจตัวอย่างกิจกรรมอาสาสมัคร กิจกรรมบําเพ็ญประโยชน์ งานสาธารณกุศล รองศาสตราจารย์ สังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาความยากจน ต้องบูรณาการความรู้ด้านเทคโนโลยี สังคม ประวัติศาสตร์ เพื่อเราสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดเริ่มต้นจากความเป็นจริง ค้นหาสัจจะจากความเป็นจริง ค้นหาความจริงจากในพื้นที่การพัฒนาด้านชลประทาน โดยที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อม วุฒิสภา ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนเกิดผลเป็นรูปธรรม คือ 1) ฝายแกนซอยซีเมนต์ ซึ่งสามารถจัดการปัญหาการขาดแคลนน้ําของเกษตรกรในแต่ละครัวเรือน แต่ละชุมชน แต่ละตําบล แต่ละอําเภอ แต่ละจังหวัด มีศักยภาพในการแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ําในฤดูแล้ง และ 2) การทําบ่อบาดาลน้ําตื้นและใช้โซลาเซลล์ในการดึงน้ํา ทําให้เกษตรกรมีผลผลิตพืชผลการเกษตรจากการทําเกษตรอินทรีย์จําหน่ายสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้ทุกวัน จากนั้น ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมนําเสนอแนวทางเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของหน่วยงานในระดับพื้นที่ ในหัวข้อ เช่น (1) การแก้ไขปัญหาความยากจน (2) การสร้างแหล่งน้ําขนาดเล็ก (3) โคก หนอง นา โมเดล (4) การพัฒนาที่ดิน (5) โครงการปิดทองหลังพระ ฯ (6) การถอดรหัสพระอัจฉริยภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นต้น สุดท้าย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า องค์ความรู้ที่ได้รับจากท่านองคมนตรี รวมถึงท่านผู้ทรงคุณวุฒิทุกภาคส่วน ที่มีประสบการณ์ตรงในการขับเคลื่อนงานการพัฒนาพื้นที่ตามแนวทางพระราชดําริ ถือเป็นการจุดประกายและแรงผลักดันให้กับชาวกระทรวงมหาดไทย ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมถึงผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด และท่านนายอําเภอทั้ง 878 แห่ง ในการน้อมนําแนวพระราชดําริ และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการพื้นที่ เพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชน ตามปณิธานของคนมหาดไทยที่ว่า บําบัดทุกข์ บํารุงสุข พี่น้องประชาชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตได้มีความสุขอย่างยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-องคมนตรี ปาฐกถาพิเศษ “การสร้างความยั่งยืนให้กับความเป็นไทย” ปลุกพลังชาวราชสีห์ ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง เพื่อบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ให้กับพี่น้องประชาชน อย่างยั่งยืน วันอาทิตย์ที่ 30 มกราคม 2565 องคมนตรี ปาฐกถาพิเศษ “การสร้างความยั่งยืนให้กับความเป็นไทย” ปลุกพลังชาวราชสีห์ ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง เพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงสุข ให้กับพี่น้องประชาชน อย่างยั่งยืน องคมนตรี ปาฐกถาพิเศษ “การสร้างความยั่งยืนให้กับความเป็นไทย” ปลุกพลังชาวราชสีห์ ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง เพื่อบําบัดทุกข์ บํารุงสุข ให้กับพี่น้องประชาชน อย่างยั่งยืน วันนี้ (30 ม.ค. 65) เวลา 09.15 น. ที่ห้องประชุมราชบพิธ ชั้น 5 อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เป็นวิทยากรปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การสร้างความยั่งยืนให้กับความเป็นไทย” ในการประชุมเพื่อการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่ตามแนวพระราชดําริของกระทรวงมหาดไทย ผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล (Video Conference) และผ่านระบบ DOPA Channel โดยมี นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ผู้บริหารระดับสูง หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการประจําจังหวัด นายอําเภอ ปลัดอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมรับฟัง โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ อาทิ รองศาสตราจารย์ สังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกวุฒิสภา นายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ สมาชิกวุฒิสภา นายประชา เตรัตน์ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นางสาวเบญจพร ชาครานนท์ อธิบดีกรมพัฒนาที่ดิน และนายอดุลย์ ดาราธรรม นายกสมาคมนักเรียนเก่า AFS ประเทศไทย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย กล่าวว่า ปัจจัยหลักในการสร้างลักษณะเฉพาะของคนในชาติ นั่นคือ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คน โดยนักปกครองหรือผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ต้องมีความเข้าใจ “ภูมิสังคม” ต้องคํานึงสภาพภูมิประเทศของบริเวณนั้น ๆ รวมถึงลักษณะการใช้ชีวิต รูปแบบการดํารงชีวิต ตลอดจนประเพณีวัฒนธรรมในแต่ละชุมชนที่มีความแตกต่างหลากหลาย เพื่อให้การขับเคลื่อนงาน หรือการพัฒนาใด ๆ ในชุมชน ในพื้นที่ต่าง ๆ เป็นไปโดยสําเร็จและเกิดความยั่งยืน ซึ่งในการสร้างความยั่งยืนให้กับความเป็นไทยนั้น ราชการจะคํานึงถึงแต่เพียงความต้องการหรือเป้าหมายหรือผลลัพธ์ของทางราชการอย่างเดียวไม่ได้ ต้องรับฟังความคิดเห็น รับฟังเสียงสะท้อนของประชาชน และเข้าใจประชาชน เมื่อราชการและประชาชนต่างเข้าใจเข้าถึงกันและกันในลักษณะ Two-Way Communication แล้ว จึงจะสามารถร่วมกันพัฒนา ดังศาสตร์พระราชาที่ว่า “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” ได้ ดังเช่น ในภาคธุรกิจเอกชนจะมุ่งเน้นหลัก Customer First หรือลูกค้าต้องมาก่อนเสมอ ทําให้ธุรกิจสามารถปรับตัวและพัฒนาองค์กรสอดรับความต้องการของผู้รับบริการได้อย่างรวดเร็ว และเป็นที่ประทับใจ แต่ราชการมักจะมีวิธีคิดว่า ราชการต้องมาก่อน ประชาชนเป็นลําดับถัดมา ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะต้องมีการปรับตัวและปรับปรุงเพื่อสอดรับกับทิศทางการพัฒนาที่เข้ากับบริบทวิถีชีวิตของประชาชนและภูมิสังคมของเมืองหรือพื้นที่นั้น ๆ ทําให้ภาคราชการสามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างตรงจุดตามความต้องการของประชาชน และได้สะท้อน “จิตวิญญาณของความเป็นไทย” ผ่านโครงสร้างสังคม มี 3 ระดับ คือ 1) ระดับครอบครัว (เรือน/เฮือน) และตระกูล เพราะความกตัญญูรู้คุณและการตอบแทนบุญคุณท่าน ซึ่งภาษาไทยมีชุดคําเรียกความสัมพันธ์ของครอบครัวที่แตกต่างหลากหลายกว่าชาติอื่น พ่อ-แม่ พี่-น้อง ลูก-หลาน ลุง-ป้า น้า-อา ปู่-ย่า ตา-ยาย ความสัมพันธ์ตรงนี้แน่นมาก รวมถึงความเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน สายเลือดเข้มกว่าสายน้ํา คุณธรรมเป็นตัวหล่อหลอมให้เกิดความมั่นคง และความมั่นคงเป็นปัจจัยทําให้เกิดความยั่งยืนยืนยาว “เราต้องช่วยกันทําให้ระบบครอบครัวอบอุ่น สิ่งที่ดีงามของครอบครัวกลับขึ้นมาอีกเหมือนสมัยก่อน” เพราะเมื่อครอบครัวอบอุ่น จะส่งผลให้สภาพสังคมเข้มแข็ง 2) ระดับชุมชน คือ ความมีน้ําใจต่อกันและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ต้องออกแบบบริหารชุมชนให้ทุกคนมีน้ําใจและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และ 3) ระดับเมือง สิ่งที่จะทําให้เมืองมีความมั่นคง คือ ความสามัคคีของคนในเมือง” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย ได้กล่าวถึง คําว่า “ความยั่งยืน” คือ การที่คนในยุคปัจจุบันใช้ทรัพยากรเพื่อความกินดีอยู่ดีของตนเองแล้วเหลือเผื่อแผ่ทรัพยากรไว้ให้ลูกหลานได้อยู่ดีกินดีด้วย ไม่ใช่ทําลายทรัพยากรหมดตั้งแต่ยุคนี้ ด้วยการนําหลักคิดและแนวปฏิบัติเพื่อความยั่งยืน 3 ประการ มาประยุกต์ใช้ ได้แก่ 1) ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานให้คนไทย ตั้งแต่ พ.ศ. 2540 ประการที่ 2) SDG 17 ข้อ ที่สหประชาชาติกําหนดเป็นแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในช่วง ค.ศ. 2016-2031 และ 3) ESG 3 ปัจจัยหลักเพื่อความยั่งยืน คือ ปัจจัยสิ่งแวดล้อม (Environmental factors) ปัจจัยด้านคนและสังคม (Social factors) และปัจจัยด้านธรรมาภิบาล (Governance factors) โดยขอให้น้อมนําพระปฐมบรมราชโองการในล้นเกล้าฯ พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” รวมถึงพระบรมราโชวาท และพระราชดํารัส ที่เกี่ยวเนื่องกับการบริหารราชการแผ่นดินในพื้นที่ อาทิ “ความสามัคคีและความถือตัวว่าเป็นไทย เป็นสมบัติมีค่าสูงสุด เพราะเป็นมรดกที่เราได้สืบต่อจากบรรพบุรุษ และเป็นปัจจัยสําคัญที่ทําให้เราดํารงประเทศชาติและเอกราชสืบมาได้ ทุกคนจะต้องรักษาความเป็นไทยและความสามัคคีนี้ไว้ให้มั่นคง” และ “การพัฒนานี้ก็ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจทั้งสองอย่าง คือจิตใจที่หวงแหนที่ดินทํากินของเรา หวงแหนพื้นแผ่นดินของเรา และจิตใจที่จะต้องช่วยเหลือกัน เพราะทุกคนเป็นสมาชิกของประเทศคือชาวไทยทุกคน...” มาใช้ในการพัฒนาในระดับพื้นที่ ข้าราชการทุกคนต้อง “ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง แม้ว่าการสร้างคนดีนั้นเป็นเรื่องที่ยากและยาว แต่ก็ต้องทํา ขอให้ถือเป็นหน้าที่” ทําให้ประชาชนเป็น “พึ่งตนเองได้” ซึ่งมีองค์ประกอบที่สําคัญ คือ 1. พึ่งตนเองด้านจิตใจ คือ มีจิตใจเข้มแข็ง มีจิตสํานึกที่ดี สร้างสรรค์ให้ตนเองและส่วนรวม 2. พึ่งตนเองด้านสังคม คือ ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย ชุมชนที่เข้มแข็ง เป็นอิสระ และ 3. พึ่งตนเองด้านเศรษฐกิจ คือ ต้องมุ่งลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ยึดหลักพอ พออยู่ พอกิน พอใช้ สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองในระดับพื้นฐาน โดย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย ยังได้กล่าวถึง “หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง” หรือ Sufficiency Economy Philosophy (SEP) ซึ่งเป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดํารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดําเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจําเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนําวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดําเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสํานึกในคุณธรรมความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดําเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี ในช่วงท้าย ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย ได้เน้นย้ําให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานกรรมการศึกษาจังหวัด ได้น้อมนําพระบรมราโชบายด้านการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานแก่คณะองคมนตรี ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2560 “การศึกษาต้องมุ่งสร้างอุปนิสัยพื้นฐานที่ดีให้แก่เด็กและเยาวชน 4 ด้าน คือ 1) มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง ครอบครัว ชุมชน สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันศาสนา ความเป็นไทย – วัฒนธรรมไทย 2) มีอุปนิสัยพื้นฐานที่มั่นคง – มีคุณธรรม รู้จักแยกแยะสิ่งที่ผิด – ที่ชอบ / ที่ถูก – ที่ผิด ปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบ – ที่ถูกต้องดีงาม ปฏิเสธสิ่งที่ผิด – สิ่งที่ชั่ว ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง 3) ทํางานเป็น – มีอาชีพสุจริต พ่อแม่ฝึกฝนอบรมลูกให้รักงาน – สู้งาน ครูอาจารย์ฝึกฝนอบรมลูกศิษย์ให้ทํางานเป็นหมู่คณะ ผู้บังคับบัญชาฝึกฝนอบรมลูกน้องให้มีทักษะความรู้ใหม่ๆ สร้างค่านิยมให้มุ่งสู่อาชีพสุจริต และ 4) เป็นพลเมืองดี “เห็นอะไรจะทําเพื่อบ้านเมืองได้ – ก็ต้องทํา” ครอบครัว – สถานศึกษา – สถานประกอบการต้องกําหนดนโยบายและส่งเสริมกิจกรรมเพื่อสร้างพลเมืองดี “เราทําความดีด้วยหัวใจ” – มีน้ําใจตัวอย่างกิจกรรมอาสาสมัคร กิจกรรมบําเพ็ญประโยชน์ งานสาธารณกุศล รองศาสตราจารย์ สังศิต พิริยะรังสรรค์ สมาชิกวุฒิสภา กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาความยากจน ต้องบูรณาการความรู้ด้านเทคโนโลยี สังคม ประวัติศาสตร์ เพื่อเราสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุดเริ่มต้นจากความเป็นจริง ค้นหาสัจจะจากความเป็นจริง ค้นหาความจริงจากในพื้นที่การพัฒนาด้านชลประทาน โดยที่ผ่านมา คณะกรรมาธิการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อม วุฒิสภา ได้ดําเนินการแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนเกิดผลเป็นรูปธรรม คือ 1) ฝายแกนซอยซีเมนต์ ซึ่งสามารถจัดการปัญหาการขาดแคลนน้ําของเกษตรกรในแต่ละครัวเรือน แต่ละชุมชน แต่ละตําบล แต่ละอําเภอ แต่ละจังหวัด มีศักยภาพในการแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนน้ําในฤดูแล้ง และ 2) การทําบ่อบาดาลน้ําตื้นและใช้โซลาเซลล์ในการดึงน้ํา ทําให้เกษตรกรมีผลผลิตพืชผลการเกษตรจากการทําเกษตรอินทรีย์จําหน่ายสร้างรายได้ให้กับครอบครัวได้ทุกวัน จากนั้น ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้ร่วมนําเสนอแนวทางเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของหน่วยงานในระดับพื้นที่ ในหัวข้อ เช่น (1) การแก้ไขปัญหาความยากจน (2) การสร้างแหล่งน้ําขนาดเล็ก (3) โคก หนอง นา โมเดล (4) การพัฒนาที่ดิน (5) โครงการปิดทองหลังพระ ฯ (6) การถอดรหัสพระอัจฉริยภาพของในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นต้น สุดท้าย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กล่าวว่า องค์ความรู้ที่ได้รับจากท่านองคมนตรี รวมถึงท่านผู้ทรงคุณวุฒิทุกภาคส่วน ที่มีประสบการณ์ตรงในการขับเคลื่อนงานการพัฒนาพื้นที่ตามแนวทางพระราชดําริ ถือเป็นการจุดประกายและแรงผลักดันให้กับชาวกระทรวงมหาดไทย ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมถึงผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด และท่านนายอําเภอทั้ง 878 แห่ง ในการน้อมนําแนวพระราชดําริ และหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไปประยุกต์ใช้ในการบริหารราชการพื้นที่ เพื่อประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชน ตามปณิธานของคนมหาดไทยที่ว่า บําบัดทุกข์ บํารุงสุข พี่น้องประชาชน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตได้มีความสุขอย่างยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51059
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาชิก กอช. สมัครบริการ “หักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ เข้าบัญชีเงินออม” ได้ต่อเนื่อง ไม่พลาดรับสิทธิ์เงินสมทบจากรัฐ
วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 สมาชิก กอช. สมัครบริการ “หักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ เข้าบัญชีเงินออม” ได้ต่อเนื่อง ไม่พลาดรับสิทธิ์เงินสมทบจากรัฐ กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ชวนสมาชิกสมัครบริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ (Direct Debit) เพื่อส่งเงินออมสะสมได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยอํานวยความสะดวกให้สมาชิกวางแผนการออม ไม่พลาดรับสิทธิ์เงินสมทบจากรัฐ สูงสุด 100% ตามช่วงอายุ ไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า สมาชิก กอช. สามารถสมัครรับบริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ เข้าบัญชีเงินออมต่อเนื่อง ได้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยจะหักจากบัญชีเงินฝากของสมาชิกอัตโนมัติ ทุกวันที่ 20 ของเดือน จํานวนเงินขั้นต่ํา 100 บาท และสามารถปรับเพิ่มเงินออมสะสมได้สูงสุด 1,100 บาทต่อเดือน พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐในเดือนถัดไป สูงสุด 100% ตามช่วงอายุไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในวัยเกษียณ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 ในวันและเวลาทําการ “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาชิก กอช. สมัครบริการ “หักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ เข้าบัญชีเงินออม” ได้ต่อเนื่อง ไม่พลาดรับสิทธิ์เงินสมทบจากรัฐ วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 สมาชิก กอช. สมัครบริการ “หักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ เข้าบัญชีเงินออม” ได้ต่อเนื่อง ไม่พลาดรับสิทธิ์เงินสมทบจากรัฐ กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. ชวนสมาชิกสมัครบริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ (Direct Debit) เพื่อส่งเงินออมสะสมได้อย่างต่อเนื่อง ช่วยอํานวยความสะดวกให้สมาชิกวางแผนการออม ไม่พลาดรับสิทธิ์เงินสมทบจากรัฐ สูงสุด 100% ตามช่วงอายุ ไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า สมาชิก กอช. สามารถสมัครรับบริการหักบัญชีเงินฝากอัตโนมัติ เข้าบัญชีเงินออมต่อเนื่อง ได้ที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารกรุงไทย ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยจะหักจากบัญชีเงินฝากของสมาชิกอัตโนมัติ ทุกวันที่ 20 ของเดือน จํานวนเงินขั้นต่ํา 100 บาท และสามารถปรับเพิ่มเงินออมสะสมได้สูงสุด 1,100 บาทต่อเดือน พร้อมรับเงินสมทบจากรัฐในเดือนถัดไป สูงสุด 100% ตามช่วงอายุไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินในวัยเกษียณ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 ในวันและเวลาทําการ “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52515
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมการประชุม (Regional Environmentally Sustainable Transport (EST) Forum in Asia) ครั้งที่ 14
วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมการประชุม (Regional Environmentally Sustainable Transport (EST) Forum in Asia) ครั้งที่ 14 ... นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมกล่าวถ้อยแถลงระดับรัฐมนตรี ในการประชุมด้านการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชีย (Regional Environmentally Sustainable Transport (EST) Forum in Asia) ครั้งที่ 14 เพื่อนําเสนอการดําเนินงานของประเทศไทย ในการมุ่งสู่การพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืนและสนับสนุนการดําเนินการตามร่างปฏิญญาไอจิ ค.ศ. 2030 โดยมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมการประชุม ในวันที่ 18 ตุลาคม 2564 ณ ห้องประชุมราชดําเนิน กระทรวงคมนาคม รัฐบาลแห่งประเทศญี่ปุ่น ได้ร่วมกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสําหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) และศูนย์พัฒนาระดับภูมิภาคแห่งสหประชาชาติ (the United Nations Centre for Regional Development : UNCRD) ฝ่ายเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสหประชาชาติร่วมกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้จัดการประชุมด้านการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชีย (Regional Environmentally Sustainable Transport (EST) Forum in Asia) ครั้งที่ 14 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ภายใต้หัวข้อหลัก “ระบบการขนส่งยุคถัดไป สําหรับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและความเป็นกลางทางคาร์บอน – เพื่อภูมิภาคเอเชียที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และยืดหยุ่น” (Next Generation Transport Systems for Achieving SDGs and Carbon Nuetrality – for a Safer, Affordable, Accessible and Resilient Asia) โดยมีรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิก EST จํานวน ๒๕ ประเทศ ร่วมกล่าวถ้อยแถลง ได้แก่ อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ ภูฏาน บรูไน กัมพูชา สาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย อินโดนีเซีย สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย มัลดีฟส์ มองโกเลีย เมียนมา เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สหพันธรัฐรัสเซีย สิงคโปร์ ศรีลังกา ติมอร์-เลสเต ไทย และเวียดนาม ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวถ้อยแถลงเกี่ยวกับการดําเนินงานของประเทศไทยที่สอดคล้องกับการพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย แผนงานและโครงการด้านการพัฒนาระบบการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดทําแผนปฏิบัติการการตั้งเป้าหมายการมีส่วนร่วมของประเทศ (Nationally Determined Contributions : NDC) ภาคการขนส่ง การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า การสร้างความเชื่อมโยงด้านการขนส่ง เช่น แนวคิด MR-MAP การพัฒนาระบบการขนส่งภายในเมือง เช่น ระบบรถไฟฟ้าภายในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงเมืองหลักของประเทศไทย รวมทั้งการสนับสนุนการดําเนินการตามร่างปฏิญญาไอจิ ค.ศ. ๒๐๓๐ ว่าด้วยการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม : มุ่งสู่การขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย (ค.ศ. ๒๐๒๑ – ๒๐๓๐) (2030 Aichi Declaration on Environmentally Sustainable Transport - Making Transport in Asia Sustainable (2021 - 2030)) ซึ่งจะมีการรับรองในการประชุม EST ครั้งที่ 14 และเป็นการสานต่อปฏิญญากรุงเทพฯ ค.ศ. 2020 ที่ได้รับการรับรองในการประชุม EST ครั้งที่ 5 เมื่อปี ค.ศ. 2010 ณ กรุงเทพมหานคร เพื่อแสดงถึงการให้ความสําคัญในการพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืนและเข้าถึงได้ในภูมิภาคเอเชีย ให้มีความสอดคล้องกับความตกลงที่เกี่ยวข้อง และเป็นการตระหนักถึงการดําเนินการที่เข้มข้นมากขึ้นในการพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมการประชุม (Regional Environmentally Sustainable Transport (EST) Forum in Asia) ครั้งที่ 14 วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมการประชุม (Regional Environmentally Sustainable Transport (EST) Forum in Asia) ครั้งที่ 14 ... นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ร่วมกล่าวถ้อยแถลงระดับรัฐมนตรี ในการประชุมด้านการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชีย (Regional Environmentally Sustainable Transport (EST) Forum in Asia) ครั้งที่ 14 เพื่อนําเสนอการดําเนินงานของประเทศไทย ในการมุ่งสู่การพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืนและสนับสนุนการดําเนินการตามร่างปฏิญญาไอจิ ค.ศ. 2030 โดยมีนายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เข้าร่วมการประชุม ในวันที่ 18 ตุลาคม 2564 ณ ห้องประชุมราชดําเนิน กระทรวงคมนาคม รัฐบาลแห่งประเทศญี่ปุ่น ได้ร่วมกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสําหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) และศูนย์พัฒนาระดับภูมิภาคแห่งสหประชาชาติ (the United Nations Centre for Regional Development : UNCRD) ฝ่ายเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสหประชาชาติร่วมกับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้จัดการประชุมด้านการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคเอเชีย (Regional Environmentally Sustainable Transport (EST) Forum in Asia) ครั้งที่ 14 ผ่านระบบการประชุมทางไกล ภายใต้หัวข้อหลัก “ระบบการขนส่งยุคถัดไป สําหรับการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและความเป็นกลางทางคาร์บอน – เพื่อภูมิภาคเอเชียที่ปลอดภัย เข้าถึงได้ และยืดหยุ่น” (Next Generation Transport Systems for Achieving SDGs and Carbon Nuetrality – for a Safer, Affordable, Accessible and Resilient Asia) โดยมีรัฐมนตรีจากประเทศสมาชิก EST จํานวน ๒๕ ประเทศ ร่วมกล่าวถ้อยแถลง ได้แก่ อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ ภูฏาน บรูไน กัมพูชา สาธารณรัฐประชาชนจีน อินเดีย อินโดนีเซีย สาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาเลเซีย มัลดีฟส์ มองโกเลีย เมียนมา เนปาล ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ สหพันธรัฐรัสเซีย สิงคโปร์ ศรีลังกา ติมอร์-เลสเต ไทย และเวียดนาม ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวถ้อยแถลงเกี่ยวกับการดําเนินงานของประเทศไทยที่สอดคล้องกับการพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืน ซึ่งประกอบด้วย แผนงานและโครงการด้านการพัฒนาระบบการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การจัดทําแผนปฏิบัติการการตั้งเป้าหมายการมีส่วนร่วมของประเทศ (Nationally Determined Contributions : NDC) ภาคการขนส่ง การส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า การสร้างความเชื่อมโยงด้านการขนส่ง เช่น แนวคิด MR-MAP การพัฒนาระบบการขนส่งภายในเมือง เช่น ระบบรถไฟฟ้าภายในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมถึงเมืองหลักของประเทศไทย รวมทั้งการสนับสนุนการดําเนินการตามร่างปฏิญญาไอจิ ค.ศ. ๒๐๓๐ ว่าด้วยการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม : มุ่งสู่การขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย (ค.ศ. ๒๐๒๑ – ๒๐๓๐) (2030 Aichi Declaration on Environmentally Sustainable Transport - Making Transport in Asia Sustainable (2021 - 2030)) ซึ่งจะมีการรับรองในการประชุม EST ครั้งที่ 14 และเป็นการสานต่อปฏิญญากรุงเทพฯ ค.ศ. 2020 ที่ได้รับการรับรองในการประชุม EST ครั้งที่ 5 เมื่อปี ค.ศ. 2010 ณ กรุงเทพมหานคร เพื่อแสดงถึงการให้ความสําคัญในการพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืนและเข้าถึงได้ในภูมิภาคเอเชีย ให้มีความสอดคล้องกับความตกลงที่เกี่ยวข้อง และเป็นการตระหนักถึงการดําเนินการที่เข้มข้นมากขึ้นในการพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชีย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47137
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จังหวัดอุบลราชธานี จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา"
วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2565 จังหวัดอุบลราชธานี จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" กระทรวงมหาดไทย ได้น้อมนําแนวพระดําริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยให้ดํารงคงอยู่คู่แผ่นดิน กระทรวงมหาดไทย ได้น้อมนําแนวพระดําริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยให้ดํารงคงอยู่คู่แผ่นดิน โดยกําหนดเป็นภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย ปี 2565 ในการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย ภายใต้โครงการ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" เพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ รวมทั้งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ได้มีอาชีพ มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ดังที่ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้ขับเคลื่อนแนวพระดําริ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" และ "ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ" ซึ่งช่วยชุบชีวิตของผู้ประกอบการทอผ้าทั่วประเทศ อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเห็นได้จากในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทําให้พี่น้องประชาชนผู้ประกอบการทอผ้ามีรายได้เพิ่มขึ้น ทําให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้เสด็จพระราชดําเนิน ณ อําเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ทรงทอดพระเนตรกลุ่มทอผ้าไหมกลุ่มแรกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทย และงานหัตถกรรมชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ วัดธาตุประสิทธิ์ และหอประชุมโรงเรียนนาหว้าพิทยาคม อําเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ของโครงการศิลปาชีพ และในโอกาสเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ครบ 90 พรรษา เพื่อสร้างการรับรู้ประวัติศาสตร์สู่คนรุ่นหลัง และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป และทรงพระราชทานแบบลายผ้า "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" ผ่านนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อเป็นของขวัญให้กับช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิคนําไปทอผ้า ผลิตผ้าตามอัตลักษณ์ภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่นทั่วประเทศ ทรงออกแบบผ้าลายพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" โดยได้รับแรงบันดาลพระทัยจาก "ผ้าขิดลายสมเด็จ" ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระราชทานแก่ราษฎร อันเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาผ้าไทยให้มีความร่วมสมัย โดยแต่ละลวดลายมีความหมายที่ลึกซึ้ง แสดงถึงความตั้งพระทัยมั่นของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษา ต่อยอดพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จย่าของพระองค์ ในการฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยให้ดํารงคงอยู่คู่แผ่นดิน จากนั้นในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเต็ล อะลักชัวรี โฮเต็ล แบงค็อก เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร พร้อมมอบแนวทางขับเคลื่อน "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด ซึ่งต้องเป็น "ทูตการสวมใส่ผ้าไทย" และเป็นผู้นําในการสวมใส่ผ้าไทย รวมถึงเชิญชวนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันใส่ผ้าไทยในทุกโอกาส และน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย เพื่อร่วมกันสร้างความภาคภูมิใจ และสร้างประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานได้เรียนรู้และใส่ผ้าไทยให้สนุกในทุกวัน สําหรับ ผ้าลายพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" นั้น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงออกแบบผ้าลายพระราชทานฯ โดยได้รับแรงบันดาลพระทัยจาก "ผ้าขิดลายสมเด็จ" ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงพระราชทานแก่ราษฎร อันเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาผ้าไทยให้มีความร่วมสมัย โดยแต่ละลวดลายมีความหมายที่ลึกซึ้ง ได้แก่ ลาย S ที่ท้องผ้า หมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงเป็นต้นแบบในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไทย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้ทรงออกแบบให้เว้นช่องว่างไว้ เพื่อให้ราษฎรได้ร่วมถักทอลวดลายของตนเองลงในช่องว่าง เป็นการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากแต่ละท้องถิ่น โดยลายขิดที่เป็นกรอบล้อมรอบตัว S นี้ หมายถึง ความจงรักภักดีที่ชาวไทยมีต่อพระบรมราชจักรีวงศ์, ลายเชิงผ้ารูปหัวใจ หมายถึง ความรักของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่มีต่อปวงชนชาวไทย, ลาย S ประกอบกับลายขิดที่เชิงผ้า หมายถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงปรารถนาให้คนไทยอยู่ดีมีสุข, ลายต้นสนที่เชิงผ้า หมายถึง พระดําริใน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ของโครงการศิลปาชีพฯ อันลายต้นสนนี้ เป็นลวดลายพื้นถิ่น ที่ถักทออยู่บนผืนผ้าของบ้านนาหว้า จังหวัดนครพนม ที่ซึ่งเป็นจุดกําเนิดโครงการศิลปาชีพฯ, ลายหางนกยูงที่เชิงผ้า หมายถึง ความตั้งพระทัยมั่นของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชกรณียกิจของสมเด็จย่าของพระองค์ ในการฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยให้ดํารงคงอยู่คู่แผ่นดิน วันที่ 3 มีนาคม 2565 เวลา 11.00 น. นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วย นางศลิษา ภิรมย์รัตน์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานในพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" ให้กับรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน นายอําเภอพร้อมภริยา ทั้ง 25 อําเภอ พัฒนาการอําเภอ คณะกรรมการพัฒนาสตรีระดับจังหวัดและอําเภอ ตลอดจนกลุ่มผู้ประกอบการ ผู้ผลิตและทอผ้าไทยในจังหวัดอุบลราชธานี รวม 26 กลุ่ม เข้าร่วมพิธีฯ ณ หอประชุมจังหวัดอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเป็นการเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในด้านการออกแบบเครื่องแต่งกายและการอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมจากภูมิปัญญาพื้นถิ่นของไทย และประชาสัมพันธ์แบบผ้าลายพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" ให้กับกลุ่มทอผ้าที่เป็นช่างทอผ้า กลุ่มทอผ้า และผู้ผลิต ผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค ได้นําลายพระราชทานไปเป็นต้นแบบและพัฒนาต่อยอด เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าพื้นถิ่นให้ร่วมสมัย นําไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง นับเป็นความปลาบปลื้มของพสกนิกรชาวจังหวัดอุบลราชธานี อย่างหาที่สุดมิได้ ที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระเมตตา ตลอดจนทรงเป็นแบบอย่างให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น สืบสานภูมิปัญญาของคนไทย ก่อให้เกิดรายได้สู่ชุมชนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน นอกจากนั้นภายในบริเวณพิธีฯ ยังได้มีการแสดงนิทรรศการลายผ้าพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา", นิทรรศการผ้าไทยใส่สนุก, นิทรรศการจากศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี และนิทรรศการจากบ้านคําปุน อําเภอวารินชําราบ โดยนายมีชัย แต้สุจริยา "ครูศิลป์แห่งแผ่นดิน" แห่งบ้านคําปุน ซึ่งได้รับรางวัล Best of The Best ในการประกวดผ้าลายขอพระราชทานเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยทุกขั้นตอนในการจัดพิธีฯ จังหวัดอุบลราชธานี ได้ปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด อุบลราชธานี เมืองดอกบัวงาม แม่น้ําสองสี : งานประชาสัมพันธ์ สํานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี.. ภาพข่าว/รายงาน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จังหวัดอุบลราชธานี จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2565 จังหวัดอุบลราชธานี จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" กระทรวงมหาดไทย ได้น้อมนําแนวพระดําริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยให้ดํารงคงอยู่คู่แผ่นดิน กระทรวงมหาดไทย ได้น้อมนําแนวพระดําริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยให้ดํารงคงอยู่คู่แผ่นดิน โดยกําหนดเป็นภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย ปี 2565 ในการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้าไทย ภายใต้โครงการ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" เพื่ออนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมที่สะท้อนให้เห็นถึงบริบททางสังคมและวัฒนธรรมของแต่ละพื้นที่ รวมทั้งเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากเพื่อให้ประชาชนในแต่ละพื้นที่ทั่วประเทศ ได้มีอาชีพ มีรายได้ มีคุณภาพชีวิตที่ดี และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน ดังที่ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้ขับเคลื่อนแนวพระดําริ "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" และ "ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ" ซึ่งช่วยชุบชีวิตของผู้ประกอบการทอผ้าทั่วประเทศ อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเห็นได้จากในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทําให้พี่น้องประชาชนผู้ประกอบการทอผ้ามีรายได้เพิ่มขึ้น ทําให้คุณภาพชีวิตของคนไทยดีขึ้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้เสด็จพระราชดําเนิน ณ อําเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ทรงทอดพระเนตรกลุ่มทอผ้าไหมกลุ่มแรกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ และการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทย และงานหัตถกรรมชุมชนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ วัดธาตุประสิทธิ์ และหอประชุมโรงเรียนนาหว้าพิทยาคม อําเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ของโครงการศิลปาชีพ และในโอกาสเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ครบ 90 พรรษา เพื่อสร้างการรับรู้ประวัติศาสตร์สู่คนรุ่นหลัง และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นให้คงอยู่สืบไป และทรงพระราชทานแบบลายผ้า "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" ผ่านนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เพื่อเป็นของขวัญให้กับช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิคนําไปทอผ้า ผลิตผ้าตามอัตลักษณ์ภูมิปัญญาของแต่ละท้องถิ่นทั่วประเทศ ทรงออกแบบผ้าลายพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" โดยได้รับแรงบันดาลพระทัยจาก "ผ้าขิดลายสมเด็จ" ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงพระราชทานแก่ราษฎร อันเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาผ้าไทยให้มีความร่วมสมัย โดยแต่ละลวดลายมีความหมายที่ลึกซึ้ง แสดงถึงความตั้งพระทัยมั่นของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษา ต่อยอดพระราชกรณียกิจ ของสมเด็จย่าของพระองค์ ในการฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยให้ดํารงคงอยู่คู่แผ่นดิน จากนั้นในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด ทุกจังหวัดทั่วประเทศ ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเต็ล อะลักชัวรี โฮเต็ล แบงค็อก เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร พร้อมมอบแนวทางขับเคลื่อน "ผ้าไทยใส่ให้สนุก" ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด ซึ่งต้องเป็น "ทูตการสวมใส่ผ้าไทย" และเป็นผู้นําในการสวมใส่ผ้าไทย รวมถึงเชิญชวนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ร่วมกันใส่ผ้าไทยในทุกโอกาส และน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการรณรงค์การสวมใส่ผ้าไทย เพื่อร่วมกันสร้างความภาคภูมิใจ และสร้างประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานได้เรียนรู้และใส่ผ้าไทยให้สนุกในทุกวัน สําหรับ ผ้าลายพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" นั้น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงออกแบบผ้าลายพระราชทานฯ โดยได้รับแรงบันดาลพระทัยจาก "ผ้าขิดลายสมเด็จ" ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงพระราชทานแก่ราษฎร อันเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาผ้าไทยให้มีความร่วมสมัย โดยแต่ละลวดลายมีความหมายที่ลึกซึ้ง ได้แก่ ลาย S ที่ท้องผ้า หมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงเป็นต้นแบบในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไทย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้ทรงออกแบบให้เว้นช่องว่างไว้ เพื่อให้ราษฎรได้ร่วมถักทอลวดลายของตนเองลงในช่องว่าง เป็นการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากแต่ละท้องถิ่น โดยลายขิดที่เป็นกรอบล้อมรอบตัว S นี้ หมายถึง ความจงรักภักดีที่ชาวไทยมีต่อพระบรมราชจักรีวงศ์, ลายเชิงผ้ารูปหัวใจ หมายถึง ความรักของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่มีต่อปวงชนชาวไทย, ลาย S ประกอบกับลายขิดที่เชิงผ้า หมายถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงปรารถนาให้คนไทยอยู่ดีมีสุข, ลายต้นสนที่เชิงผ้า หมายถึง พระดําริใน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ของโครงการศิลปาชีพฯ อันลายต้นสนนี้ เป็นลวดลายพื้นถิ่น ที่ถักทออยู่บนผืนผ้าของบ้านนาหว้า จังหวัดนครพนม ที่ซึ่งเป็นจุดกําเนิดโครงการศิลปาชีพฯ, ลายหางนกยูงที่เชิงผ้า หมายถึง ความตั้งพระทัยมั่นของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชกรณียกิจของสมเด็จย่าของพระองค์ ในการฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยให้ดํารงคงอยู่คู่แผ่นดิน วันที่ 3 มีนาคม 2565 เวลา 11.00 น. นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วย นางศลิษา ภิรมย์รัตน์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธานในพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" ให้กับรองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด ผู้แทนภาคเอกชน นายอําเภอพร้อมภริยา ทั้ง 25 อําเภอ พัฒนาการอําเภอ คณะกรรมการพัฒนาสตรีระดับจังหวัดและอําเภอ ตลอดจนกลุ่มผู้ประกอบการ ผู้ผลิตและทอผ้าไทยในจังหวัดอุบลราชธานี รวม 26 กลุ่ม เข้าร่วมพิธีฯ ณ หอประชุมจังหวัดอุบลราชธานี ศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อเป็นการเผยแพร่พระอัจฉริยภาพของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในด้านการออกแบบเครื่องแต่งกายและการอนุรักษ์ศิลปหัตถกรรมจากภูมิปัญญาพื้นถิ่นของไทย และประชาสัมพันธ์แบบผ้าลายพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา" ให้กับกลุ่มทอผ้าที่เป็นช่างทอผ้า กลุ่มทอผ้า และผู้ผลิต ผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค ได้นําลายพระราชทานไปเป็นต้นแบบและพัฒนาต่อยอด เพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าพื้นถิ่นให้ร่วมสมัย นําไปสู่การสร้างงาน สร้างรายได้กระจายสู่ชุมชนอย่างทั่วถึง นับเป็นความปลาบปลื้มของพสกนิกรชาวจังหวัดอุบลราชธานี อย่างหาที่สุดมิได้ ที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระเมตตา ตลอดจนทรงเป็นแบบอย่างให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น สืบสานภูมิปัญญาของคนไทย ก่อให้เกิดรายได้สู่ชุมชนเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน นอกจากนั้นภายในบริเวณพิธีฯ ยังได้มีการแสดงนิทรรศการลายผ้าพระราชทาน "ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา", นิทรรศการผ้าไทยใส่สนุก, นิทรรศการจากศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ อุบลราชธานี และนิทรรศการจากบ้านคําปุน อําเภอวารินชําราบ โดยนายมีชัย แต้สุจริยา "ครูศิลป์แห่งแผ่นดิน" แห่งบ้านคําปุน ซึ่งได้รับรางวัล Best of The Best ในการประกวดผ้าลายขอพระราชทานเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยทุกขั้นตอนในการจัดพิธีฯ จังหวัดอุบลราชธานี ได้ปฏิบัติตามมาตรการเฝ้าระวังโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเคร่งครัด อุบลราชธานี เมืองดอกบัวงาม แม่น้ําสองสี : งานประชาสัมพันธ์ สํานักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี.. ภาพข่าว/รายงาน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52215
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลาง
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 ​สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลาง ​สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลาง ตามโครงการยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลาง วันนี้ (5 พ.ค. 65) เวลา 11.45 น. ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลาง ตามโครงการยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลาง กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางสาวสุกัญญา ประจวบเหมาะ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ นายวิฑูรย์ นวลนุกูล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางวาสนา นวลนุกูล รองประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้แทนจังหวัดภาคกลาง 20 จังหวัด ถวายรายงาน และกลุ่มทอผ้า เฝ้ารับเสด็จ โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานพระวโรกาสให้สมาชิกศิลปาชีพ จํานวน 22 ราย เฝ้ารับพระราชทานคําแนะนํา เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้า เครื่องปั้นดินเผา และงานหัตถกรรมจักสาน ให้มีความร่วมสมัยแต่ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ความเป็นธรรมชาติและการบอกเล่าเรื่องราวประจําภูมิภาคให้เป็นที่ยอมรับและความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งทรงเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าและแฟชั่นแถวหน้าของเมืองไทยร่วมให้คําแนะนําและให้คําปรึกษาแก่กลุ่มทอผ้าที่เฝ้ารับเสด็จ จํานวน 50 กลุ่ม จากนั้น ได้ทอดพระเนตรการจัดนิทรรศการผลิตภัณฑ์อัตลักษณ์ประจําจังหวัดภาคกลาง พร้อมทั้งพระราชทานลายผ้า “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” หนังสือดอนกอยโมเดล หนังสือผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ กลุ่มสีจากหนังสือแนวโน้มและทิศทางผ้าไทยและการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วยผ้าไทยเล่มที่ 2 แก่ช่างทอผ้าและผู้ประกอบการ OTOP และทอดพระเนตรการแสดงรําแคนรวมญาติชาติพันธุ์พื้นถิ่นภาคกลาง ซึ่งเป็นการแสดงที่สื่อให้เห็นถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของจังหวัดนครปฐม อาทิ กะเหรี่ยง มอญ ไทยโซ่ง ไท-ยวน ลาวเวียง ลาวคลั่ง ลาวใต้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ และเป็นโชคดีของคนไทย ที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระปณิธานอันแน่วแน่และมุ่งมั่นในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอด พระบรมราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสมบัติทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานหัตถกรรม หัตถศิลป์ การทอผ้าในแต่ละท้องถิ่น ด้วยการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาหัตถกรรมไทย ให้ดํารงอยู่ และที่เป็นความตื้นตันใจ เป็นที่ชื่นอกชื่นใจ ทําให้เกิดแรงกล้า แรงศรัทธาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าของช่างทอผ้ากลุ่มต่าง ๆ นั่นคือการที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงศึกษาแนวทางเพื่อพัฒนารูปแบบ ลวดลาย ผ้าไทย ให้มีความทันสมัย เป็นที่ต้องการของตลาดสากล โดยทรงมีพระวินิจฉัยและพระราชทานคําแนะนํา คําปรึกษาให้กับกลุ่มช่างทอผ้าโดยไม่ถือองค์เอง พระหัตถ์ที่ทรงสัมผัสกับเนื้อผ้าและผลงานแต่ละผืน แต่ละชิ้น แต่ละลวดลาย ล้วนทําให้สัมผัสได้ถึงความใส่พระทัยและความตั้งพระทัยมั่นที่จะทําให้ศิลปวัฒนธรรมผ้าทอไทยของประชาชนเกิดการพัฒนาต่อยอด นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีพระดําริในด้านความยั่งยืนของหัตถศิลป์ หัตถกรรมไทยที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการพระราชทานแนวทางการใช้สีจากธรรมชาติในการย้อมผ้า เพื่อไม่เกิดมลภาวะต่อดิน น้ํา และอากาศ อันเป็นพระวิสัยทัศน์ที่ทําให้เกิดคุณูปการต่อโลกใบเดียวนี้ ยังความตื้นตันใจและความสํานึกในพระมหากรุณา เป็นการปลุกพลังช่างทอผ้าในการสนองพระดําริด้วยการมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนางานให้เกิดการเพิ่มมูลค่า เพิ่มคุณค่า และส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม โดยยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของผ้าแต่ละท้องถิ่นให้เกิดความยั่งยืนตลอดไป นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลางในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอด พระบรมราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รักษาสมบัติทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะศิลปหัตถกรรมทอผ้าในแต่ละท้องถิ่น อนุรักษ์ ฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาหัตถกรรมไทย ให้ดํารงอยู่ยั่งยืนตลอดไป อีกทั้งยังเป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์ อัตลักษณ์ศิลปภูมิปัญญาไทยและสร้างความเชื่อมโยงกันในจังหวัดภาคกลาง และเป็นการประชาสัมพันธ์ศิลปหัตถกรรมภูมิปัญญาไทยของกลุ่มผู้ประกอบการ OTOP ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยภายในงานมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการ OTOP ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย จํานวน 50 กลุ่ม อาทิ “ผ้ามัดหมี่ลายตาขอสับปะรด” จากกลุ่มทอผ้าไหมลายโบราณบ้านวังคอไห อําเภอเนินขาม จังหวัดชัยนาท ใช้เทคนิคการต่อตีนจกลายดอกแก้วสีชมพูย้อมจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นต้นขนุน สีดําย้อมมะเกลือ สีส้มย้อมจากเมล็ดคําแสด สีเขียวย้อมจากครามทับแก่นขนุน “ผ้าด้นมือ” จากกลุ่มหัตถกรรมผ้าด้นมือ อําเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี การสร้างสรรค์เครื่องเรือนเป็นลวดลายชุด “กุหลาบแห่งความรัก” ย้อมครั่งและใช้เทคนิคด้นมือที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอัตลักษณ์ “ผ้าทอกะเหรี่ยงโปว์” บ้านสองพี่น้อง อําเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี มีความโดดเด่นด้านวัฒนธรรม ภูมิปัญญา การนําเปลือกไม้ ใบไม้และครั่งที่มีในถิ่นที่อยู่มาย้อมสีไหม-ฝ้าย แล้วนํามาทอด้วยกี่เอวเป็นผ้าทอ เครื่องนุ่งห่มที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์ “ผ้าทอกระเหรี่ยงลายพระอาทิตย์และลายสลับ” จากศูนย์วัฒนธรรมไทย - กะเหรี่ยง ส่วนหัวซิ่นจะทอเป็นผ้าพื้น ส่วนซิ่นทอลายมัดหมี่สีแดงอมส้มสลับลายทอยกดอก ส่วนตีนซิ่นทอลายจกแล้วเย็บกับตัวซิ่น วิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้าบ้านหนองเครือบุญ ได้คิดนวัตกรรมใช้ประโยชน์จากผักตบชวา มาทําให้เกิดมูลค่า สร้างรายได้ ทั้งรักษาสภาพแวดล้อม โดยผลิตเป็นเส้นใยผักตบชวา นํามาทอผสมกับเส้นใยฝ้าย จะเกิดเป็นเส้นริ้วบาง ๆ อยู่ในเนื้อผ้ามีเฉดสีเอิร์ธโทน ผ้าซิ่นตีนจกต่อตัว ผ้ายกดอกถมเกสร จากหนานเอฟ ผ้าจกไทยวน อําเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ได้รับแรงบันดาลใจมากจากผ้าโบราณ นํามาพัฒนาสีสันและออกแบบลวดลายโดยมีลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ เป็นลายหลักทอขึ้นจากไหมบ้าน สาวด้วยมือ ย้อมด้วยสีธรรมชาติ, ผ้าซิ่นตีนจกไท-ยวน จากวงเดือนผ้าจกไท-ยวน ถักทอด้วยเส้นไหมย้อมสีธรรมชาติ จากพืชที่หาได้ในท้องถิ่นนํามาสกัดสีแล้วนําเส้นไหมลงไปย้อมเพื่อให้ได้สีสันตามที่ต้องการ ใช้เทคนิคการทอด้วยวิธีการจกนับเส้นไหมทีละเส้นและวิธีการยกมุกหรือการขิด จนเป็นผ้าซิ่นตีนจกไท-ยวนย้อมสีธรรมชาติ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ผ่านนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และตน เพื่อมอบให้กับช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค นําไปใช้ทอผ้า ผลิตผ้าตามอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าท้องถิ่นทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด เพื่อนําไปมอบให้กับช่างทอผ้าฯ ตามพระประสงค์ และในขณะนี้จังหวัดต่าง ๆ ได้มีการจัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทานฯ ให้แก่ช่างทอผ้าแล้ว ซึ่งลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” นี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงได้รับแรงบันดาลพระทัยจาก “ผ้าขิดลายสมเด็จ” ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงพระราชทานแก่ราษฎร อันเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาผ้าไทยให้มีความร่วมสมัย โดยแต่ละลวดลายมีความหมายที่ลึกซึ้ง ได้แก่ ลาย S ที่ท้องผ้า หมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงเป็นต้นแบบในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไทย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้ทรงออกแบบให้เว้นช่องว่างไว้ เพื่อให้ราษฎรได้ร่วมถักทอลวดลายของตนเองลงในช่องว่าง เป็นการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากแต่ละท้องถิ่น โดย "ลายขิดที่เป็นกรอบล้อมรอบตัว S" หมายถึงความจงรักภักดีที่ชาวไทยมีต่อพระบรมราชจักรีวงศ์ ลายเชิงผ้ารูปหัวใจ หมายถึง ความรักของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่มีต่อปวงชนชาวไทย "ลาย S ประกอบกับลายขิดที่เชิงผ้า" หมายถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงปรารถนาให้คนไทยอยู่ดีมีสุข "ลายต้นสนที่เชิงผ้า" หมายถึง พระดําริใน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ของโครงการศิลปาชีพฯ อันลายต้นสนนี้ เป็นลวดลายพื้นถิ่นที่ถักทออยู่บนผืนผ้าของบ้านนาหว้า จังหวัดนครพนม ที่ซึ่งเป็นจุดกําเนิดโครงการศิลปาชีพฯ "ลายหางนกยูงที่เชิงผ้า" หมายถึง ความตั้งพระทัยมั่นของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชกรณียกิจของสมเด็จย่าของพระองค์ ในการฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยให้ดํารงคงอยู่คู่แผ่นดิน ด้านตัวแทนกลุ่มช่างทอผ้า ได้กล่าวถึงความรู้สึกภายหลังการรับเสด็จในครั้งนี้ด้วยความปลาบปลื้มตื้นตันใจว่า เป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่ได้รับพระมหากรุณาจาก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา หรือ “พระองค์หญิง” เสด็จมาทอดพระเนตรผลงานที่พวกเราตั้งอกตั้งใจทอ ตั้งใจปั้น ตั้งใจวาดลวดลาย สร้างสรรค์ชิ้นงานให้มีความสวยงามตามลายของบรรพบุรุษในชุมชน/หมู่บ้าน โดยพระองค์ท่านไม่ถือองค์เองเลย ทรงหยิบผ้า ทรงสัมผัสผลงาน แล้วทอดพระเนตร และพระราชทานคําแนะนําให้พวกเราได้ไปพัฒนาต่อยอด ทั้งเรื่องการย้อมผ้าเฉดสีต่าง ๆ โดยทรงเน้นย้ําให้ใช้สีธรรมชาติ และปลูกต้นไม้ที่ให้สีธรรมชาติให้เพิ่มเติมทดแทนมากขึ้น การใช้ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ผสมผสานกับความสมัยใหม่ และการออกแบบชุดที่เข้ากับวัยรุ่น เข้ากับเด็กรุ่นใหม่ให้มากขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่พระองค์ท่านพระราชทานแบบลายผ้า ทั้ง “ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี” และ “ผ้าลายขิดนารีรัตนราชกัญญา” ทําให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้น มียอดการจําหน่ายผ้าเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก จนทอ จนผลิตผ้ากันไม่ทันเลยทีเดียว ซึ่งเราทุกคนจะเร่งพัฒนาตามที่พระองค์ท่านได้พระราชทานคําแนะนํา และจะขอเทิดทูนพระองค์ท่านไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม นําความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดสู่ลูกหลาน ให้เกิดความยั่งยืนกับครอบครัว กับหมู่บ้าน กับชุมชนของพวกเราตลอดไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลาง วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม 2565 ​สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลาง ​สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลาง ตามโครงการยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลาง วันนี้ (5 พ.ค. 65) เวลา 11.45 น. ที่ศูนย์ศิลปวัฒนธรรมเฉลิมพระเกียรติ 6 รอบพระชนมพรรษา มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ อําเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา เสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลาง ตามโครงการยกระดับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ภูมิปัญญาผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลาง กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยมี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางสาวสุกัญญา ประจวบเหมาะ ประธานสภาสตรีแห่งชาติ ในพระบรมราชินูปถัมภ์ นายวิฑูรย์ นวลนุกูล รองอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นางวาสนา นวลนุกูล รองประธานชมรมแม่บ้านพัฒนาชุมชน นายสุรศักดิ์ เจริญศิริโชติ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครปฐม ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้แทนจังหวัดภาคกลาง 20 จังหวัด ถวายรายงาน และกลุ่มทอผ้า เฝ้ารับเสด็จ โอกาสนี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานพระวโรกาสให้สมาชิกศิลปาชีพ จํานวน 22 ราย เฝ้ารับพระราชทานคําแนะนํา เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ผ้า เครื่องปั้นดินเผา และงานหัตถกรรมจักสาน ให้มีความร่วมสมัยแต่ยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ความเป็นธรรมชาติและการบอกเล่าเรื่องราวประจําภูมิภาคให้เป็นที่ยอมรับและความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งทรงเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าและแฟชั่นแถวหน้าของเมืองไทยร่วมให้คําแนะนําและให้คําปรึกษาแก่กลุ่มทอผ้าที่เฝ้ารับเสด็จ จํานวน 50 กลุ่ม จากนั้น ได้ทอดพระเนตรการจัดนิทรรศการผลิตภัณฑ์อัตลักษณ์ประจําจังหวัดภาคกลาง พร้อมทั้งพระราชทานลายผ้า “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” หนังสือดอนกอยโมเดล หนังสือผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ กลุ่มสีจากหนังสือแนวโน้มและทิศทางผ้าไทยและการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วยผ้าไทยเล่มที่ 2 แก่ช่างทอผ้าและผู้ประกอบการ OTOP และทอดพระเนตรการแสดงรําแคนรวมญาติชาติพันธุ์พื้นถิ่นภาคกลาง ซึ่งเป็นการแสดงที่สื่อให้เห็นถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ของจังหวัดนครปฐม อาทิ กะเหรี่ยง มอญ ไทยโซ่ง ไท-ยวน ลาวเวียง ลาวคลั่ง ลาวใต้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ และเป็นโชคดีของคนไทย ที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีพระปณิธานอันแน่วแน่และมุ่งมั่นในการแบ่งเบาพระราชภาระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอด พระบรมราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เพื่อรักษาไว้ซึ่งสมบัติทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานหัตถกรรม หัตถศิลป์ การทอผ้าในแต่ละท้องถิ่น ด้วยการอนุรักษ์ ฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาหัตถกรรมไทย ให้ดํารงอยู่ และที่เป็นความตื้นตันใจ เป็นที่ชื่นอกชื่นใจ ทําให้เกิดแรงกล้า แรงศรัทธาในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าของช่างทอผ้ากลุ่มต่าง ๆ นั่นคือการที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงศึกษาแนวทางเพื่อพัฒนารูปแบบ ลวดลาย ผ้าไทย ให้มีความทันสมัย เป็นที่ต้องการของตลาดสากล โดยทรงมีพระวินิจฉัยและพระราชทานคําแนะนํา คําปรึกษาให้กับกลุ่มช่างทอผ้าโดยไม่ถือองค์เอง พระหัตถ์ที่ทรงสัมผัสกับเนื้อผ้าและผลงานแต่ละผืน แต่ละชิ้น แต่ละลวดลาย ล้วนทําให้สัมผัสได้ถึงความใส่พระทัยและความตั้งพระทัยมั่นที่จะทําให้ศิลปวัฒนธรรมผ้าทอไทยของประชาชนเกิดการพัฒนาต่อยอด นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงมีพระดําริในด้านความยั่งยืนของหัตถศิลป์ หัตถกรรมไทยที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการพระราชทานแนวทางการใช้สีจากธรรมชาติในการย้อมผ้า เพื่อไม่เกิดมลภาวะต่อดิน น้ํา และอากาศ อันเป็นพระวิสัยทัศน์ที่ทําให้เกิดคุณูปการต่อโลกใบเดียวนี้ ยังความตื้นตันใจและความสํานึกในพระมหากรุณา เป็นการปลุกพลังช่างทอผ้าในการสนองพระดําริด้วยการมุ่งมั่นตั้งใจพัฒนางานให้เกิดการเพิ่มมูลค่า เพิ่มคุณค่า และส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม โดยยังคงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของผ้าแต่ละท้องถิ่นให้เกิดความยั่งยืนตลอดไป นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สําหรับการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ผ้าไทยและงานหัตถกรรมชุมชนภาคกลางในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอด พระบรมราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รักษาสมบัติทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะศิลปหัตถกรรมทอผ้าในแต่ละท้องถิ่น อนุรักษ์ ฟื้นฟู ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญาหัตถกรรมไทย ให้ดํารงอยู่ยั่งยืนตลอดไป อีกทั้งยังเป็นการยกระดับผลิตภัณฑ์ อัตลักษณ์ศิลปภูมิปัญญาไทยและสร้างความเชื่อมโยงกันในจังหวัดภาคกลาง และเป็นการประชาสัมพันธ์ศิลปหัตถกรรมภูมิปัญญาไทยของกลุ่มผู้ประกอบการ OTOP ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยภายในงานมีการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ของผู้ประกอบการ OTOP ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย จํานวน 50 กลุ่ม อาทิ “ผ้ามัดหมี่ลายตาขอสับปะรด” จากกลุ่มทอผ้าไหมลายโบราณบ้านวังคอไห อําเภอเนินขาม จังหวัดชัยนาท ใช้เทคนิคการต่อตีนจกลายดอกแก้วสีชมพูย้อมจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นต้นขนุน สีดําย้อมมะเกลือ สีส้มย้อมจากเมล็ดคําแสด สีเขียวย้อมจากครามทับแก่นขนุน “ผ้าด้นมือ” จากกลุ่มหัตถกรรมผ้าด้นมือ อําเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี การสร้างสรรค์เครื่องเรือนเป็นลวดลายชุด “กุหลาบแห่งความรัก” ย้อมครั่งและใช้เทคนิคด้นมือที่เป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอัตลักษณ์ “ผ้าทอกะเหรี่ยงโปว์” บ้านสองพี่น้อง อําเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี มีความโดดเด่นด้านวัฒนธรรม ภูมิปัญญา การนําเปลือกไม้ ใบไม้และครั่งที่มีในถิ่นที่อยู่มาย้อมสีไหม-ฝ้าย แล้วนํามาทอด้วยกี่เอวเป็นผ้าทอ เครื่องนุ่งห่มที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติพันธุ์ “ผ้าทอกระเหรี่ยงลายพระอาทิตย์และลายสลับ” จากศูนย์วัฒนธรรมไทย - กะเหรี่ยง ส่วนหัวซิ่นจะทอเป็นผ้าพื้น ส่วนซิ่นทอลายมัดหมี่สีแดงอมส้มสลับลายทอยกดอก ส่วนตีนซิ่นทอลายจกแล้วเย็บกับตัวซิ่น วิสาหกิจชุมชนกลุ่มทอผ้าบ้านหนองเครือบุญ ได้คิดนวัตกรรมใช้ประโยชน์จากผักตบชวา มาทําให้เกิดมูลค่า สร้างรายได้ ทั้งรักษาสภาพแวดล้อม โดยผลิตเป็นเส้นใยผักตบชวา นํามาทอผสมกับเส้นใยฝ้าย จะเกิดเป็นเส้นริ้วบาง ๆ อยู่ในเนื้อผ้ามีเฉดสีเอิร์ธโทน ผ้าซิ่นตีนจกต่อตัว ผ้ายกดอกถมเกสร จากหนานเอฟ ผ้าจกไทยวน อําเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ได้รับแรงบันดาลใจมากจากผ้าโบราณ นํามาพัฒนาสีสันและออกแบบลวดลายโดยมีลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ เป็นลายหลักทอขึ้นจากไหมบ้าน สาวด้วยมือ ย้อมด้วยสีธรรมชาติ, ผ้าซิ่นตีนจกไท-ยวน จากวงเดือนผ้าจกไท-ยวน ถักทอด้วยเส้นไหมย้อมสีธรรมชาติ จากพืชที่หาได้ในท้องถิ่นนํามาสกัดสีแล้วนําเส้นไหมลงไปย้อมเพื่อให้ได้สีสันตามที่ต้องการ ใช้เทคนิคการทอด้วยวิธีการจกนับเส้นไหมทีละเส้นและวิธีการยกมุกหรือการขิด จนเป็นผ้าซิ่นตีนจกไท-ยวนย้อมสีธรรมชาติ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า นับเป็นพระมหากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา พระราชทานลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ผ่านนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และตน เพื่อมอบให้กับช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค นําไปใช้ทอผ้า ผลิตผ้าตามอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าท้องถิ่นทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยและสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ได้จัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัด เพื่อนําไปมอบให้กับช่างทอผ้าฯ ตามพระประสงค์ และในขณะนี้จังหวัดต่าง ๆ ได้มีการจัดพิธีมอบแบบลายผ้าพระราชทานฯ ให้แก่ช่างทอผ้าแล้ว ซึ่งลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” นี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงได้รับแรงบันดาลพระทัยจาก “ผ้าขิดลายสมเด็จ” ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงทรงพระราชทานแก่ราษฎร อันเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาผ้าไทยให้มีความร่วมสมัย โดยแต่ละลวดลายมีความหมายที่ลึกซึ้ง ได้แก่ ลาย S ที่ท้องผ้า หมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงเป็นต้นแบบในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไทย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้ทรงออกแบบให้เว้นช่องว่างไว้ เพื่อให้ราษฎรได้ร่วมถักทอลวดลายของตนเองลงในช่องว่าง เป็นการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากแต่ละท้องถิ่น โดย "ลายขิดที่เป็นกรอบล้อมรอบตัว S" หมายถึงความจงรักภักดีที่ชาวไทยมีต่อพระบรมราชจักรีวงศ์ ลายเชิงผ้ารูปหัวใจ หมายถึง ความรักของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ที่มีต่อปวงชนชาวไทย "ลาย S ประกอบกับลายขิดที่เชิงผ้า" หมายถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงปรารถนาให้คนไทยอยู่ดีมีสุข "ลายต้นสนที่เชิงผ้า" หมายถึง พระดําริใน สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ของโครงการศิลปาชีพฯ อันลายต้นสนนี้ เป็นลวดลายพื้นถิ่นที่ถักทออยู่บนผืนผ้าของบ้านนาหว้า จังหวัดนครพนม ที่ซึ่งเป็นจุดกําเนิดโครงการศิลปาชีพฯ "ลายหางนกยูงที่เชิงผ้า" หมายถึง ความตั้งพระทัยมั่นของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชกรณียกิจของสมเด็จย่าของพระองค์ ในการฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยให้ดํารงคงอยู่คู่แผ่นดิน ด้านตัวแทนกลุ่มช่างทอผ้า ได้กล่าวถึงความรู้สึกภายหลังการรับเสด็จในครั้งนี้ด้วยความปลาบปลื้มตื้นตันใจว่า เป็นพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ที่ได้รับพระมหากรุณาจาก สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา หรือ “พระองค์หญิง” เสด็จมาทอดพระเนตรผลงานที่พวกเราตั้งอกตั้งใจทอ ตั้งใจปั้น ตั้งใจวาดลวดลาย สร้างสรรค์ชิ้นงานให้มีความสวยงามตามลายของบรรพบุรุษในชุมชน/หมู่บ้าน โดยพระองค์ท่านไม่ถือองค์เองเลย ทรงหยิบผ้า ทรงสัมผัสผลงาน แล้วทอดพระเนตร และพระราชทานคําแนะนําให้พวกเราได้ไปพัฒนาต่อยอด ทั้งเรื่องการย้อมผ้าเฉดสีต่าง ๆ โดยทรงเน้นย้ําให้ใช้สีธรรมชาติ และปลูกต้นไม้ที่ให้สีธรรมชาติให้เพิ่มเติมทดแทนมากขึ้น การใช้ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ผสมผสานกับความสมัยใหม่ และการออกแบบชุดที่เข้ากับวัยรุ่น เข้ากับเด็กรุ่นใหม่ให้มากขึ้น ซึ่งนับตั้งแต่พระองค์ท่านพระราชทานแบบลายผ้า ทั้ง “ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรี” และ “ผ้าลายขิดนารีรัตนราชกัญญา” ทําให้ชีวิตของพวกเราดีขึ้น มียอดการจําหน่ายผ้าเพิ่มมากขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก จนทอ จนผลิตผ้ากันไม่ทันเลยทีเดียว ซึ่งเราทุกคนจะเร่งพัฒนาตามที่พระองค์ท่านได้พระราชทานคําแนะนํา และจะขอเทิดทูนพระองค์ท่านไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อม นําความรู้ที่ได้ไปถ่ายทอดสู่ลูกหลาน ให้เกิดความยั่งยืนกับครอบครัว กับหมู่บ้าน กับชุมชนของพวกเราตลอดไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54261
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาในการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียนของสำนักข่าว Bloomberg ย้ำ 3 แนวทางสำคัญ ยั่งยืน-เข้มแข็ง-ครอบคลุม เพื่อสร้างเศรษฐกิจ และนำความเติบโตกลับมา
วันอังคารที่ 19 เมษายน 2565 ​นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาในการประชุมผู้นําธุรกิจอาเซียนของสํานักข่าว Bloomberg ย้ํา 3 แนวทางสําคัญ ยั่งยืน-เข้มแข็ง-ครอบคลุม เพื่อสร้างเศรษฐกิจ และนําความเติบโตกลับมา ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสําคัญในการก้าวสู่ยุคหลังโควิด-19 วันนี้ (16 มีนาคม 2565) เวลาประมาณ 16.55 น. ตามเวลาประเทศไทย ผ่านระบบ live stream ของสํานักข่าว Bloomberg พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวปาฐกถาในการประชุมผู้นําธุรกิจอาเซียนของสํานักข่าว Bloomberg ครั้งที่ 7 (7th Bloomberg ASEAN Business Summit) ผ่านบันทึกเทปวีดิทัศน์ โดยมีบุคคลสําคัญร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในงาน อาทิ นายวิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ นายชาน ชุน ซิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์ และนางศรี มูลยานี อินทราวาตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย เป็นต้น นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้รับเชิญให้มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ร่วมกับผู้นํารัฐบาลและผู้บริหารภาคธุรกิจระดับโลก ในหัวข้อ “การนําความเติบโตกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด” (Bringing growth back to pre-pandemic levels) เป็นเป้าหมายหลักของไทย และทุกประเทศในโลก ที่ต้องหันกลับมาทบทวน แสวงหาจุดแข็ง และก้าวไปข้างหน้า ฟื้นตัวอย่างมั่นคง โดยในปี 2564 เศรษฐกิจของไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในปี 2565 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตร้อยละ 3.5 - 4.5 จากการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการส่งออก และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสําคัญ 3 แนวทาง ได้แก่ 1. ยั่งยืน การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุล โดยมีโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งให้ความสําคัญกับการดําเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และรับผิดชอบต่อสังคม 2. เข้มแข็ง ใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการพัฒนาภาคเศรษฐกิจที่เป็นจุดแข็งของประเทศ รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการ MSMEs ในยุคหลังโควิด ตลอดจนการเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคที่ยั่งยืน ยืดหยุ่น หลากหลาย และมั่นคง 3. ครอบคลุม สร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการทําธุรกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทย และรับมือกับความท้าทายในอนาคต ในระดับภูมิภาค นายรัฐมนตรีกล่าวว่า อาเซียนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และยังคงมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุน คาดว่า เศรษฐกิจของอาเซียนจะเติบโตร้อยละ 5.2 ในปีนี้ และหากการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนสามารถกลับมาสู่ระดับก่อนโควิดได้ คาดว่า GDP ของอาเซียนจะเลื่อนจากอันดับ 5 ในปัจจุบัน ขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ภายในปี 2573 นายกรัฐมนตรีเชื่อว่า การบูรณาการทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคจะช่วยเพิ่มพลวัตทางเศรษฐกิจให้กับอาเซียน และสนับสนุนการเติบโตที่ครอบคลุมและกว้างขวาง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นควรเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนวาระการเติบโตที่ยั่งยืนและเข้มแข็งของอาเซียน การเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐกับเอกชน และการสนับสนุนของประเทศคู่เจรจาและภาคีภายนอกของอาเซียน รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากข้อริเริ่มของอาเซียนด้านการเงินที่ยั่งยืน นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ภาคธุรกิจอาเซียนมีความพร้อม มีศักยภาพ และความสามารถในการปรับตัวและแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในยุคหลังโควิด-19 โดยมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนเป็นปัจจัยสําคัญในการพัฒนาระบบนิเวศที่เกื้อกูลต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เข้มแข็ง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนําความเจริญเติบโตกลับมาสู่ภูมิภาค ซึ่งไทยมุ่งมั่นขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนและส่งเสริมการรวมตัวของภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อให้อาเซียนเป็นพลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลก และเพื่อประโยชน์ของประชาชนของเราสืบต่อไป ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปค 2022 ของไทย ภายใต้หัวข้อหลัก “เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” ไทยกําลังผลักดัน การรวมตัวทางเศรษฐกิจโดยคํานึงถึงความท้าทายใหม่ ๆ จากบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลง การเร่งฟื้นคืนความเชื่อมโยงในภูมิภาคที่ปลอดภัยและไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการทําให้เศรษฐกิจหลังโควิด-19 เติบโตอย่างครอบคลุม ยั่งยืน และสมดุล
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาในการประชุมผู้นำธุรกิจอาเซียนของสำนักข่าว Bloomberg ย้ำ 3 แนวทางสำคัญ ยั่งยืน-เข้มแข็ง-ครอบคลุม เพื่อสร้างเศรษฐกิจ และนำความเติบโตกลับมา วันอังคารที่ 19 เมษายน 2565 ​นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาในการประชุมผู้นําธุรกิจอาเซียนของสํานักข่าว Bloomberg ย้ํา 3 แนวทางสําคัญ ยั่งยืน-เข้มแข็ง-ครอบคลุม เพื่อสร้างเศรษฐกิจ และนําความเติบโตกลับมา ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสําคัญในการก้าวสู่ยุคหลังโควิด-19 วันนี้ (16 มีนาคม 2565) เวลาประมาณ 16.55 น. ตามเวลาประเทศไทย ผ่านระบบ live stream ของสํานักข่าว Bloomberg พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวปาฐกถาในการประชุมผู้นําธุรกิจอาเซียนของสํานักข่าว Bloomberg ครั้งที่ 7 (7th Bloomberg ASEAN Business Summit) ผ่านบันทึกเทปวีดิทัศน์ โดยมีบุคคลสําคัญร่วมแสดงวิสัยทัศน์ในงาน อาทิ นายวิเวียน บาลากริชนัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสิงคโปร์ นายชาน ชุน ซิง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสิงคโปร์ และนางศรี มูลยานี อินทราวาตี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอินโดนีเซีย เป็นต้น นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญดังนี้ นายกรัฐมนตรียินดีที่ได้รับเชิญให้มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ ร่วมกับผู้นํารัฐบาลและผู้บริหารภาคธุรกิจระดับโลก ในหัวข้อ “การนําความเติบโตกลับมาสู่ระดับก่อนโควิด” (Bringing growth back to pre-pandemic levels) เป็นเป้าหมายหลักของไทย และทุกประเทศในโลก ที่ต้องหันกลับมาทบทวน แสวงหาจุดแข็ง และก้าวไปข้างหน้า ฟื้นตัวอย่างมั่นคง โดยในปี 2564 เศรษฐกิจของไทยค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าในปี 2565 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตร้อยละ 3.5 - 4.5 จากการปรับตัวดีขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการส่งออก และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงความสําคัญ 3 แนวทาง ได้แก่ 1. ยั่งยืน การเติบโตทางเศรษฐกิจที่สมดุล โดยมีโมเดลเศรษฐกิจ BCG เป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งให้ความสําคัญกับการดําเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และรับผิดชอบต่อสังคม 2. เข้มแข็ง ใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการพัฒนาภาคเศรษฐกิจที่เป็นจุดแข็งของประเทศ รวมทั้งพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการ MSMEs ในยุคหลังโควิด ตลอดจนการเสริมสร้างห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาคที่ยั่งยืน ยืดหยุ่น หลากหลาย และมั่นคง 3. ครอบคลุม สร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการทําธุรกิจ โดยเฉพาะเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อยกระดับศักยภาพของเศรษฐกิจไทย และรับมือกับความท้าทายในอนาคต ในระดับภูมิภาค นายรัฐมนตรีกล่าวว่า อาเซียนฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และยังคงมีศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางการค้าและการลงทุน คาดว่า เศรษฐกิจของอาเซียนจะเติบโตร้อยละ 5.2 ในปีนี้ และหากการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนสามารถกลับมาสู่ระดับก่อนโควิดได้ คาดว่า GDP ของอาเซียนจะเลื่อนจากอันดับ 5 ในปัจจุบัน ขึ้นมาเป็นอันดับ 4 ภายในปี 2573 นายกรัฐมนตรีเชื่อว่า การบูรณาการทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคจะช่วยเพิ่มพลวัตทางเศรษฐกิจให้กับอาเซียน และสนับสนุนการเติบโตที่ครอบคลุมและกว้างขวาง ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเห็นควรเร่งรัดการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนวาระการเติบโตที่ยั่งยืนและเข้มแข็งของอาเซียน การเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐกับเอกชน และการสนับสนุนของประเทศคู่เจรจาและภาคีภายนอกของอาเซียน รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากข้อริเริ่มของอาเซียนด้านการเงินที่ยั่งยืน นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ภาคธุรกิจอาเซียนมีความพร้อม มีศักยภาพ และความสามารถในการปรับตัวและแสวงหาโอกาสใหม่ๆ ในยุคหลังโควิด-19 โดยมีความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนเป็นปัจจัยสําคัญในการพัฒนาระบบนิเวศที่เกื้อกูลต่อการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน เข้มแข็ง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนําความเจริญเติบโตกลับมาสู่ภูมิภาค ซึ่งไทยมุ่งมั่นขับเคลื่อนประชาคมอาเซียนและส่งเสริมการรวมตัวของภูมิภาคให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพื่อให้อาเซียนเป็นพลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคและของโลก และเพื่อประโยชน์ของประชาชนของเราสืบต่อไป ซึ่งในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปค 2022 ของไทย ภายใต้หัวข้อหลัก “เปิดกว้าง สร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” ไทยกําลังผลักดัน การรวมตัวทางเศรษฐกิจโดยคํานึงถึงความท้าทายใหม่ ๆ จากบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลง การเร่งฟื้นคืนความเชื่อมโยงในภูมิภาคที่ปลอดภัยและไร้รอยต่อ ซึ่งเป็นหัวใจสําคัญในการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการทําให้เศรษฐกิจหลังโควิด-19 เติบโตอย่างครอบคลุม ยั่งยืน และสมดุล
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52635
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 มกราคม 2565
วันอังคารที่ 11 มกราคม 2565 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 มกราคม 2565 ... http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (11 มกราคม 2565) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ผ่านระบบ Video Conference) ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบการขอสัญชาติไทยการแปลงสัญชาติเป็นไทย การสละสัญชาติไทย การกลับคืนสัญชาติไทยและค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. .... เศรษฐกิจ สังคม 7. เรื่อง ขออนุมัติขยายกรอบระยะเวลาและปรับรายละเอียดโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ 8. เรื่อง ร่างมาตรการสนับสนุนให้สตรีเป็นพลังสําคัญทางเศรษฐกิจ 9. เรื่อง วันป่าชุมชนแห่งชาติ 10. เรื่อง มาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ํา ฤดูแล้ง ปี 2564/2565 11. เรื่อง การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน 12. เรื่อง รายงานผลการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ในการปราบปรามยาเสพติดประจําปี พ.ศ. 2563 13. เรื่อง รายงานการพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ประจําปี 2564 14. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกําหนดค่าใช้จ่ายในการดําเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (Covid-19)] (ฉบับที่ 7) 15. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 41/2564 และครั้งที่ 1/2565 และผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2565 16. เรื่อง การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งจะต้องมีการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสําหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกรุงเทพมหานคร 17. เรื่อง แผนการใช้เงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 18. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 3/2564 และแนวโน้มไตรมาสที่ 4/2564 และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจําเดือนตุลาคม 2564 19. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรและโรคระบาดร้ายแรงในสุกรหรือหมูป่า ต่างประเทศ 20. เรื่อง การยกเลิกเงื่อนไขการนําเข้าสินค้าหอมหัวใหญ่ตามพันธกรณีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์(TNZCEP) 21. เรื่อง ขอความเห็นชอบโครงการIntegration of Natural Capital Accounting in Public and Private Sector Policy and Decision-making for Sustainable Landscapes 22. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-ลาวครั้งที่22 23. เรื่อง ผลการประชุมสุดยอดผู้นําแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง6ประเทศ(GMS)ครั้งที่7 (7th GMS Summit)ผ่านระบบการประชุมทางไกล 24. เรื่อง ผลการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพสมัยที่ 15 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ช่วงที่หนึ่ง ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน 25. เรื่อง ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 20 26. เรื่อง รายงานผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ ครั้งที่ 9 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง 27. เรื่อง ร่างบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนด้านพลังงานระหว่างกระทรวง พลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น แต่งตั้ง 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) 29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพลังงาน) 30. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 31. เรื่อง ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน 32. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (แทนผู้ที่ขอถอนตัว) 33. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง 34. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม 35. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ด้านจิตวิทยาองค์การ) 36. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้ 1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป 2. รับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ 3. ให้ พน. รับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไป ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่ พน. เสนอ เป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 และพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 เพื่อปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ํามันเชื้อเพลิงให้มีความชัดเจนและเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน โดยปรับปรุงคํานิยาม “น้ํามันเชื้อเพลิง” ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพิ่มคํานิยาม “ผู้บรรจุก๊าซ” และกําหนดให้ต้องยื่นจดทะเบียน เพื่อให้สามารถกํากับดูแลการประกอบธุรกิจบรรจุก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปลี่ยนหลักการคํานวณปริมาณน้ํามันเชื้อเพลิงสํารองเพื่อให้ประเทศมีปริมาณน้ํามันเชื้อเพลิงสํารองสอดคล้องกับปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศมากยิ่งขึ้น ยกเลิกบทบัญญัติที่กําหนดให้ผู้ขนส่งน้ํามันเชื้อเพลิงต้องแจ้งต่ออธิบดี เพื่อลดความซ้ําซ้อนของการขออนุมัติ อนุญาต เนื่องจากผู้ประกอบการดังกล่าวต้องขอใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ํามันเชื้อเพลิงซึ่งกรมธุรกิจพลังงานกํากับดูแลอยู่แล้ว เพิ่มมาตรการกํากับดูแลผู้ประกอบการบรรจุก๊าซหุงต้มเพื่อจําหน่ายโดยต้องมายื่นขอจดทะเบียนต่ออธิบดี และผู้ค้าน้ํามันหล่อลื่นต้องยื่นขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์น้ํามันหล่อลื่นก่อนการจําหน่าย รวมทั้งมีการปรับปรุงบทกําหนดโทษให้เหมาะสมกับการประกอบธุรกิจและสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ ร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสําคัญเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 และพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 เพื่อปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ํามันเชื้อเพลิงให้มีความชัดเจนและเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน ดังนี้ 1. แก้ไขคํานิยามคําว่า “น้ํามันเชื้อเพลิง” ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และสามารถกําหนดชนิดของผลิตภัณฑ์ที่เป็นน้ํามันเชื้อเพลิงซึ่งผู้ประกอบการค้าจะต้องขออนุมัติอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ํามัน โดยกําหนดให้ “น้ํามันเชื้อเพลิง” หมายความว่า (1) ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ํามันดิบ น้ํามันเบนซิน น้ํามันเชื้อเพลิงสําหรับเครื่องบิน น้ํามันก๊าด น้ํามันดีเซล น้ํามันเตา และน้ํามันหล่อลื่น (2) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นที่ใช้หรืออาจใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นสิ่งหล่อลื่น (3) เอทานอล ไบโอดีเซล และไบโอมีเทน ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงสําหรับเครื่องยนต์ โดยจะใช้เป็นเชื้อเพลิงโดยตรง หรือใช้ผสมกับน้ํามันเชื้อเพลิงก็ได้ (4) สิ่งอื่นที่ใช้หรืออาจใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นสิ่งหล่อลื่น หรือ สิ่งอื่นที่ใช้ หรืออาจใช้เป็นวัตถุดิบในการกลั่นหรือผลิตเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ตาม (1) ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีกําหนดให้เป็นน้ํามันเชื้อเพลิง โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา 2. เพิ่มคํานิยามคําว่า “ผู้บรรจุก๊าซ” โดยหมายความว่า ผู้บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวลงในถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวหุงต้มในโรงบรรจุตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ํามันเชื้อเพลิง และกําหนดให้ต้องยื่นจดทะเบียน เพื่อให้สามารถกํากับดูแลการประกอบธุรกิจบรรจุก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากคําสั่งนายกรัฐมนตรีที่ใช้กํากับดูแลการประกอบธุรกิจดังกล่าวมีการยกเลิก 3. เพิ่มคํานิยามคําว่า “ปริมาณการจําหน่ายประจําปี” และเปลี่ยนหลักการคํานวณปริมาณสํารองน้ํามันเชื้อเพลิงจาก “ปริมาณการค้าประจําปี” เป็น “ปริมาณการจําหน่ายประจําปี” เพื่อให้ปริมาณน้ํามันเชื้อเพลิงสํารองสอดคล้องกับปริมาณการใช้จริงของประเทศ โดยกําหนดให้ “ปริมาณการจําหน่ายประจําปี” หมายความว่า ปริมาณน้ํามันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่จําหน่ายเป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นน้ํามันหล่อลื่นในปีหนึ่ง และให้หมายความรวมถึงปริมาณที่ใช้ในการกลั่นหรือผลิตน้ํามันเชื้อเพลิงด้วย 4. กําหนดปริมาณการค้าและชนิดของน้ํามันเชื้อเพลิงที่ผู้ค้าน้ํามันเชื้อเพลิงต้องดําเนินการให้ชัดเจน ดังนี้ 4.1 กําหนดให้ผู้ใดเป็นผู้ค้าน้ํามันเชื้อเพลิงตาม (1) และ (3) ของบทนิยามคําว่า “น้ํามันเชื้อเพลิง” หรือน้ํามันเชื้อเพลิงชนิดที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด โดยมีปริมาณการค้าแต่ละชนิด หรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่ 100,000 เมตริกตันขึ้นไป (ผู้ค้าขนาดใหญ่) ต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี ทั้งนี้ การขออนุญาต การออกใบอนุญาต คุณสมบัติของผู้รับใบอนุญาต และเงื่อนไขให้ผู้รับใบอนุญาตปฏิบัติ ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวง 4.2 กําหนดให้ผู้ใดเป็นผู้ค้าน้ํามันที่มีปริมาณการค้าไม่ถึง 100,000 เมตริกตัน (ผู้ค้าขนาดกลาง) แต่เป็นผู้ค้าน้ํามันที่มีชนิด ปริมาณ หรือขนาดของถังที่สามารถเก็บน้ํามันเชื้อเพลิง ตามที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด ต้องยื่นขอจดทะเบียนต่ออธิบดี 5. เพิ่มมาตรการกํากับดูแลผู้ประกอบการบรรจุก๊าซหุงต้มเพื่อจําหน่าย โดยกําหนดให้ผู้ใดเป็นผู้ค้าน้ํามันซึ่งดําเนินกิจการโดยเป็นผู้บรรจุก๊าซ ต้องยื่นขอจดทะเบียนต่ออธิบดี การขอจดทะเบียนและการจดทะเบียนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด (เดิมกําหนดให้เป็นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง) เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและสอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา 6. กําหนดให้ผู้ค้าน้ํามันที่ประสงค์จะจําหน่ายหรือมีไว้เพื่อจําหน่ายน้ํามันหล่อลื่นชนิดที่อธิบดีประกาศกําหนด ต้องยื่นคําขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์น้ํามันหล่อลื่นต่ออธิบดี การยื่นคําขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์น้ํามันหล่อลื่นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่อธิบดีประกาศกําหนด และต้องชําระค่าธรรมเนียมหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์น้ํามันหล่อลื่นเป็นรายปี ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กําหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ เพื่อให้การกํากับดูแลการค้าน้ํามันหล่อลื่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 7. ปรับปรุงบทกําหนดโทษให้เหมาะสมกับการประกอบธุรกิจและสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน เช่น เพิ่มโทษปรับจากไม่เกิน 25,000 บาท เป็น ไม่เกิน 50,000 บาท ในกรณีที่บุคคลที่เกี่ยวข้องไม่อํานวยความสะดวกต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นต้น 2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ ดังนี้ 1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สํานักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ตราขึ้นเพื่อดําเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2. รับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สํานักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์เสนอ ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่สํานักนายกรัฐมนตรีโดยกรมประชาสัมพันธ์เสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกําหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนโดยกําหนดให้มีองค์กรสภาวิชาชีพ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพและความเป็นอิสระของสื่อมวลชน (ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมสื่อมวลชนตามมาตรา 35 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งการใช้เสรีภาพนั้นต้องไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมทั้งเสนอข่าวนั้นจะต้องปฏิบัติตามจริยธรรมสื่อมวลชนด้วย เช่น การเสนอข้อเท็จจริงด้วยความถูกต้อง ครบถ้วนรอบด้าน และเป็นธรรม การให้ความเป็นธรรมแก่บุคคลซึ่งได้รับผลกระทบจากการเสนอข่าว หรือการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น ซึ่งหากปฏิบัติตามจริยธรรมสื่อมวลชนแล้วย่อมได้รับการคุ้มครอง) ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ซึ่งได้รับผลกระทบจากการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชนที่ไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมสื่อมวลชน (ปัจจุบันวิชาชีพสื่อมวลชนยังไม่มีสภาวิชาชีพที่จัดตั้งตามกฎหมาย แต่วิชาชีพอื่น ๆ ได้มีการจัดตั้งสภาวิชาชีพตามกฎหมายเพื่อทําหน้าที่ควบคุมการประกอบวิชาชีพให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ เช่น สภาทนายความ และสภาวิชาชีพนักบัญชี เป็นต้น) เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และแผนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ ประเด็นการปฏิรูปที่ 2 แนวทางการส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพ ซึ่งกําหนดให้มีการจัดทําร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวและกรมประชาสัมพันธ์ได้ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (9 กุมภาพันธ์ 2564) โดยพิจารณาทบทวนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวในภาพรวมแล้ว สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ 1. กําหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมสื่อมวลชน แต่การใช้เสรีภาพนั้นต้องไม่ขัดต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยต้องเคารพและไม่ปิดกั้นความเห็นต่างของบุคคลอื่น 2. กําหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีสิทธิปฏิเสธการปฏิบัติตามคําสั่งใดที่จะมีผลให้เป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมสื่อมวลชนโดยมิให้ถือว่าเป็นการขัดคําสั่งผู้บังคับบัญชา แต่การใช้สิทธิดังกล่าวต้องคํานึงถึงวัตถุประสงค์และภารกิจของหน่วยงานที่ตนสังกัดอยู่ด้วย 3. กําหนดให้มี “สภาวิชาชีพสื่อมวลชน” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และกํากับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาจริยธรรมสื่อมวลชนและมาตรฐานวิชาชีพ และให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล 4. กําหนดให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชนมีหน้าที่และอํานาจจดแจ้งองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ส่งเสริมการคุ้มครองเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนที่ปฏิบัติตามจริยธรรมสื่อมวลชน ติดตามดูแลการทําหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน องค์กรสื่อมวลชน องค์กรวิชาชีพ และองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ให้เป็นไปตามจริยธรรมสื่อมวลชน และให้คําปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่ภาคส่วนต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน เป็นต้น 5. กําหนดให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชนมีรายได้จากเงินที่รัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิม เช่น เงินที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และเงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่าย เป็นต้น ทั้งนี้ ให้มีการจัดสรรเงินของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ให้แก่สภาฯ เป็นรายปี ไม่น้อยกว่าปีละ 25 ล้านบาท 6. กําหนดให้มี “คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชน” ประกอบด้วย กรรมการผู้แทนองค์กรเวิชาชีพสื่อมวลชน จํานวน 5 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน 5 คน ซึ่งสรรหาจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านวิชาการสื่อสารมวลชน กฎหมายสิทธิมนุษยชนหรือการคุ้มครองผู้บริโภค และกรรมการโดยตําแหน่ง ได้แก่ ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 7. กําหนดให้คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนมีหน้าที่และอํานาจบริหารกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ กําหนดมาตรฐานทางจริยธรรมสื่อมวลชนของสภาซึ่งเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล และพิจารณาการขอจดแจ้งและเพิกถอนการจดแจ้งขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน เป็นต้น 8. กําหนดให้มี “สํานักงานสภาวิชาชีพสื่อมวลชน” มีหน้าที่รับผิดชอบงานธุรการและอํานวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของสภาวิชาชีพสื่อมวลชน และคณะกรรมการจริยธรรม รวมทั้งจัดทํางบดุล การเงิน และบัญชีทําการของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนส่งผู้สอบบัญชีภายใน 90 วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ตลอดจนจัดทํารายงานประจําปีเสนอต่อคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชน 9. กําหนดให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชนกําหนดมาตรฐานทางจริยธรรมสื่อมวลชน โดยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับจริยธรรมอย่างน้อยเกี่ยวกับการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ และมาตรการที่จะดําเนินการในกรณีที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนหรือองค์กรสื่อมวลชนเสนอข่าวหรือแสดงความคิดเห็นโดยฝ่าฝืนหรือไม่เป็นไปตามจริยธรรมสื่อมวลชน 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบการขอสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติเป็นไทย การสละสัญชาติไทย การกลับคืนสัญชาติไทย และค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบการขอสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติเป็นไทย การสละสัญชาติไทย การกลับคืนสัญชาติไทย และค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ มท. เสนอว่า โดยที่กฎกระทรวง (พ.ศ. 2510) ออกตามความในพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้น สมควรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบการขอสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติไทย การสละสัญชาติไทย การกลับคืนสัญชาติไทย รวมทั้งการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียม เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อันจะทําให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการบริหาร การรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของชาติ รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิของประชาชน มท. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบการขอสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติเป็นไทย การสละสัญชาติไทย การกลับคืนสัญชาติไทย และค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... ขึ้น และได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบการขอสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติเป็นไทย การสละสัญชาติไทย การกลับคืนสัญชาติไทย และค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดสถานที่ในการยื่นคําขอมีสัญชาติไทยของหญิงต่างด้าวที่มีสามีเป็นผู้มีสัญชาติไทย การขอแปลงสัญชาติเป็นไทย การขอกลับคืนสัญชาติไทย และการขอสละสัญชาติไทย ให้เป็นปัจจุบัน ดังนี้ 1.1 ผู้ยื่นคําขอที่มีชื่อตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคําขอที่กรมการปกครอง 1.2 ผู้มีชื่ออยู่ในจังหวัดอื่นนอกเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคําขอที่จังหวัด 1.3 กรณีมีภูมิลําเนาอยู่ต่างประเทศ ให้ยื่นคําขอที่สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ 2. กําหนดเอกสารหลักฐานประกอบการยื่นคําขอให้ชัดเจน โดยกรณีหญิงต่างด้าวที่สมรสกับชายสัญชาติไทย ถ้าประสงค์จะขอมีสัญชาติไทยตามสามี ให้ยื่นคําขอตามแบบ สช.1 พร้อมหลักฐาน เช่น บัตรประจําตัว ใบสําคัญการสมรส รูปถ่าย และหากคนต่างด้าวจะขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ให้ยื่นคําขอตามแบบ สช.2 พร้อมหลักฐาน เช่น บัตรประจําตัว รูปถ่าย หลักฐานการประอบอาชีพ หลักฐานการศึกษา และกรณีจะขอแปลงสัญชาติเป็นไทยให้แก่คนต่างด้าวที่เป็นคนไร้ความสามารถ ผู้เยาว์ซึ่งอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ หรือเป็นบุตรบุญธรรมของคนสัญชาติไทย ให้ยื่นคําขอตามแบบ สช.3 พร้อมหลักฐาน เช่น สําเนาคําสั่งของศาลแต่งตั้งให้เป็นผู้อนุบาล หลักฐานของคนไร้ความสามารถ 3. กําหนดระยะเวลาในการพิจารณาและตรวจสอบคุณสมบัติในการขอมีสัญชาติไทยหรือการขอแปลงสัญชาติเป็นไทยให้ชัดเจน โดยพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน หรือ 120 วันกรณียื่นที่ต่างประเทศ โดยให้ขยายออกไปได้อีกครั้งละไม่เกิน 30 วัน แต่ต้องไม่เกิน 2 ครั้ง และต้องเป็นกรณีที่มีเหตุจําเป็นเท่านั้น (เดิม ไม่กําหนดระยะเวลาในการพิจารณาและตรวจสอบคุณสมบัติไว้) 4. กําหนดให้คนต่างด้าวที่ขอแปลงสัญชาติเป็นไทย จะต้องมีความรู้ภาษาไทย จะต้องพูดและฟังภาษาไทยเข้าใจได้ โดยต้องผ่านการทดสอบจากคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติตามหลักเกณฑ์ที่คณะอนุกรรมการดังกล่าวกําหนดหรือมีหนังสือรับรองจากสถานศึกษาที่ได้รับการรับรองจากระทรวงศึกษาธิการที่แสดงว่าเป็นผู้ผ่านการศึกษาเล่าเรียนจากสถานศึกษาในประเทศไทยไม่ต่ํากว่าระดับประถมศึกษา (เดิม กําหนดให้จะต้องมีความรู้ภาษาไทย พูดภาษาไทยและฟังภาษาไทยเข้าใจได้เท่านั้น) 5. กําหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับแบบคําขอสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติเป็นไทย สละสัญชาติไทย และกลับคืนสัญชาติไทย ให้สอดคล้องกับค่าเงินในปัจจุบัน เช่น 5.1 คําขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ครั้งละ 10,000 บาท (เดิม 5,000 บาท) 5.2 คําขอแปลงสัญชาติเป็นไทย สําหรับบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะของผู้แปลงสัญชาติเป็นไทยคนหนึ่ง ครั้งละ 5,000 บาท (เดิม 2,500 บาท) 5.3 หนังสือสําคัญการแปลงสัญชาติเป็นไทย ฉบับละ 1,000 บาท (เดิม 500 บาท) 5.4 คําขอกลับคืนสัญชาติไทย ครั้งละ 2,000 บาท (เดิม 1,000 บาท) 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้ กค. รับความเห็นของสํานักงาน ก.พ. และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ กค. เสนอว่า 1. ตามที่ได้มีกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2553 กฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 และกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 ซึ่งกําหนดขอบเขต ประเภทของหลักทรัพย์ และสัดส่วนในการนําเงินของ กบข. เฉพาะแผนการลงทุนหลัก (ไม่รวมเงินสํารอง และเงินทุนที่สมาชิกเลือกแผนการลงทุนอื่นที่ไม่ใช่แผนการลงทุนหลัก) ไปลงทุนหาผลประโยชน์ โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ (1) ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 และอาจลงทุนในหลักทรัพย์อื่นไม่เกินร้อยละ 40 (2) ลงทุนในตราสารทุน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ซึ่งไม่รวมถึงพันธบัตร ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือตราสารอย่างอื่นที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน ที่ออกโดยนิติบุคคลใดนิติบุคคลหนึ่งไม่เกินร้อยละ 10 หรือไม่เกินจํานวนที่คณะกรรมการกําหนด ซึ่งการลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้กึ่งทุน เมื่อรวมกันทุกนิติบุคคลแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 35 (3) ลงทุนในต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 40 (4) ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่เกินร้อยละ 12 2. แต่โดยที่สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการลงทุนได้เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับการกําหนดสัดส่วนในการนําเงินของ กบข. ไปลงทุนหาผลประโยชน์ตามที่กําหนดไว้ตามกฎกระทรวงในข้อ 1. ทําให้มีการลงทุนที่กระจุกตัวอยู่ในตราสารหนี้ไทย และขาดการกระจายความเสี่ยงที่ดี กค. พิจารณาแล้วจึงเห็นควรแก้ไขกฎกระทรวงตามข้อ 1. เพื่อปรับเพดานสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ จากเดิมไม่เกินร้อยละ 40 เป็นไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินกองทุน กบข. เฉพาะแผนการลงทุนหลัก ซึ่งจะทําให้ กบข. สามารถหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ และจะเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนของ กบข. ผ่านการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายในประเทศต่าง ๆ ที่มีปัจจัยทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน ขณะเดียวกันยังเพิ่มสภาพคล่องของการลงทุน และจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการกองทุนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ปัจจุบันมีอัตราดอกเบี้ยต่ําอีกด้วย อย่างไรก็ดี การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศดังกล่าว นอกจากจะทําให้สมาชิกมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทําให้สมาชิกมีความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่ง กบข. จะต้องมีกระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพ 3. ทั้งนี้ การยกร่างกฎกระทรวงดังกล่าวตามข้อ 2. เพื่อเพิ่มเพดานการลงทุนของ กบข. ในหลักทรัพย์ในต่างประเทศนั้น ยังอยู่ในกรอบการลงทุนตามมาตรา 70 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 ที่บัญญัติให้เงินของ กบข. ลงทุนได้ตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในกฎกระทรวง ซึ่งอย่างน้อยต้องกําหนดให้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงไม่ต่ํากว่าร้อยละ 60 สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศจากไม่เกินร้อยละ 40 เป็นไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินกองทุน กบข. เฉพาะแผนการลงทุนหลัก 5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... ตามที่สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ สลค. เสนอว่า 1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่ง ให้มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย ๆ หนึ่งให้มีกําหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สองให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกําหนด ซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2562 เพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และโดยที่สภาผู้แทนราษฎรได้กําหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว (มติคณะรัฐมนตรี 30 กรกฎาคม 2562) ดังนั้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงมีวันเปิดและวันปิดสมัยประชุม ดังนี้ ปีที่ สมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง สมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 มกราคม 2565 วันอังคารที่ 11 มกราคม 2565 สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 11 มกราคม 2565 ... http://www.thaigov.go.th (โปรดตรวจสอบมติคณะรัฐมนตรีที่เป็นทางการจากสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง) วันนี้ (11 มกราคม 2565) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ผ่านระบบ Video Conference) ซึ่งสรุปสาระสําคัญดังนี้ กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... 2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบการขอสัญชาติไทยการแปลงสัญชาติเป็นไทย การสละสัญชาติไทย การกลับคืนสัญชาติไทยและค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... 5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... 6. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. .... เศรษฐกิจ สังคม 7. เรื่อง ขออนุมัติขยายกรอบระยะเวลาและปรับรายละเอียดโครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบแปลงใหญ่ 8. เรื่อง ร่างมาตรการสนับสนุนให้สตรีเป็นพลังสําคัญทางเศรษฐกิจ 9. เรื่อง วันป่าชุมชนแห่งชาติ 10. เรื่อง มาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ํา ฤดูแล้ง ปี 2564/2565 11. เรื่อง การเสนอความเห็นการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียน 12. เรื่อง รายงานผลการปฏิบัติงานของเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ในการปราบปรามยาเสพติดประจําปี พ.ศ. 2563 13. เรื่อง รายงานการพัฒนาการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมของประเทศ ประจําปี 2564 14. เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการกําหนดค่าใช้จ่ายในการดําเนินการผู้ป่วยฉุกเฉินโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ กรณีโรคติดเชื้อไวรัส โคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 [Coronavirus Disease 2019 (Covid-19)] (ฉบับที่ 7) 15. เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 41/2564 และครั้งที่ 1/2565 และผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกําหนดฯ เพิ่มเติม พ.ศ. 2564 ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2565 16. เรื่อง การขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งจะต้องมีการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสําหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกรุงเทพมหานคร 17. เรื่อง แผนการใช้เงินของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 18. เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 3/2564 และแนวโน้มไตรมาสที่ 4/2564 และรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมประจําเดือนตุลาคม 2564 19. เรื่อง ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกรและโรคระบาดร้ายแรงในสุกรหรือหมูป่า ต่างประเทศ 20. เรื่อง การยกเลิกเงื่อนไขการนําเข้าสินค้าหอมหัวใหญ่ตามพันธกรณีความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้นไทย-นิวซีแลนด์(TNZCEP) 21. เรื่อง ขอความเห็นชอบโครงการIntegration of Natural Capital Accounting in Public and Private Sector Policy and Decision-making for Sustainable Landscapes 22. เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-ลาวครั้งที่22 23. เรื่อง ผลการประชุมสุดยอดผู้นําแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ําโขง6ประเทศ(GMS)ครั้งที่7 (7th GMS Summit)ผ่านระบบการประชุมทางไกล 24. เรื่อง ผลการประชุมสมัชชาภาคีอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพสมัยที่ 15 และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ช่วงที่หนึ่ง ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน 25. เรื่อง ผลการประชุมคณะมนตรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Council) ครั้งที่ 20 26. เรื่อง รายงานผลการประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนด้านการจัดการภัยพิบัติ ครั้งที่ 9 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง 27. เรื่อง ร่างบันทึกความร่วมมือว่าด้วยการเป็นหุ้นส่วนด้านพลังงานระหว่างกระทรวง พลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น แต่งตั้ง 28. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงการคลัง) 29. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพลังงาน) 30. เรื่อง การแต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ 31. เรื่อง ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้ว่าการสถาบันการบินพลเรือน 32. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (แทนผู้ที่ขอถอนตัว) 33. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการไฟฟ้านครหลวง 34. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์คุณธรรม 35. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ด้านจิตวิทยาองค์การ) 36. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) ******************* สํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี โทร. 0 2288-4396 กฎหมาย 1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบ ดังนี้ 1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป 2. รับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวตามที่กระทรวงพลังงาน (พน.) เสนอ 3. ให้ พน. รับความเห็นของสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดําเนินการต่อไป ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่ พน. เสนอ เป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 และพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 เพื่อปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ํามันเชื้อเพลิงให้มีความชัดเจนและเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน โดยปรับปรุงคํานิยาม “น้ํามันเชื้อเพลิง” ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพิ่มคํานิยาม “ผู้บรรจุก๊าซ” และกําหนดให้ต้องยื่นจดทะเบียน เพื่อให้สามารถกํากับดูแลการประกอบธุรกิจบรรจุก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ เปลี่ยนหลักการคํานวณปริมาณน้ํามันเชื้อเพลิงสํารองเพื่อให้ประเทศมีปริมาณน้ํามันเชื้อเพลิงสํารองสอดคล้องกับปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศมากยิ่งขึ้น ยกเลิกบทบัญญัติที่กําหนดให้ผู้ขนส่งน้ํามันเชื้อเพลิงต้องแจ้งต่ออธิบดี เพื่อลดความซ้ําซ้อนของการขออนุมัติ อนุญาต เนื่องจากผู้ประกอบการดังกล่าวต้องขอใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ํามันเชื้อเพลิงซึ่งกรมธุรกิจพลังงานกํากับดูแลอยู่แล้ว เพิ่มมาตรการกํากับดูแลผู้ประกอบการบรรจุก๊าซหุงต้มเพื่อจําหน่ายโดยต้องมายื่นขอจดทะเบียนต่ออธิบดี และผู้ค้าน้ํามันหล่อลื่นต้องยื่นขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์น้ํามันหล่อลื่นก่อนการจําหน่าย รวมทั้งมีการปรับปรุงบทกําหนดโทษให้เหมาะสมกับการประกอบธุรกิจและสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ ร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสําคัญเป็นการยกเลิกพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 และพระราชบัญญัติการค้าน้ํามันเชื้อเพลิง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 เพื่อปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการค้าน้ํามันเชื้อเพลิงให้มีความชัดเจนและเหมาะสมสอดคล้องกับสภาพการประกอบธุรกิจในปัจจุบัน ดังนี้ 1. แก้ไขคํานิยามคําว่า “น้ํามันเชื้อเพลิง” ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น และสามารถกําหนดชนิดของผลิตภัณฑ์ที่เป็นน้ํามันเชื้อเพลิงซึ่งผู้ประกอบการค้าจะต้องขออนุมัติอนุญาตเป็นผู้ค้าน้ํามัน โดยกําหนดให้ “น้ํามันเชื้อเพลิง” หมายความว่า (1) ก๊าซธรรมชาติ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ํามันดิบ น้ํามันเบนซิน น้ํามันเชื้อเพลิงสําหรับเครื่องบิน น้ํามันก๊าด น้ํามันดีเซล น้ํามันเตา และน้ํามันหล่อลื่น (2) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นที่ใช้หรืออาจใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นสิ่งหล่อลื่น (3) เอทานอล ไบโอดีเซล และไบโอมีเทน ที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงสําหรับเครื่องยนต์ โดยจะใช้เป็นเชื้อเพลิงโดยตรง หรือใช้ผสมกับน้ํามันเชื้อเพลิงก็ได้ (4) สิ่งอื่นที่ใช้หรืออาจใช้เป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นสิ่งหล่อลื่น หรือ สิ่งอื่นที่ใช้ หรืออาจใช้เป็นวัตถุดิบในการกลั่นหรือผลิตเพื่อให้ได้มาซึ่งผลิตภัณฑ์ตาม (1) ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีกําหนดให้เป็นน้ํามันเชื้อเพลิง โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา 2. เพิ่มคํานิยามคําว่า “ผู้บรรจุก๊าซ” โดยหมายความว่า ผู้บรรจุก๊าซปิโตรเลียมเหลวลงในถังก๊าซปิโตรเลียมเหลวหุงต้มในโรงบรรจุตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมน้ํามันเชื้อเพลิง และกําหนดให้ต้องยื่นจดทะเบียน เพื่อให้สามารถกํากับดูแลการประกอบธุรกิจบรรจุก๊าซได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากคําสั่งนายกรัฐมนตรีที่ใช้กํากับดูแลการประกอบธุรกิจดังกล่าวมีการยกเลิก 3. เพิ่มคํานิยามคําว่า “ปริมาณการจําหน่ายประจําปี” และเปลี่ยนหลักการคํานวณปริมาณสํารองน้ํามันเชื้อเพลิงจาก “ปริมาณการค้าประจําปี” เป็น “ปริมาณการจําหน่ายประจําปี” เพื่อให้ปริมาณน้ํามันเชื้อเพลิงสํารองสอดคล้องกับปริมาณการใช้จริงของประเทศ โดยกําหนดให้ “ปริมาณการจําหน่ายประจําปี” หมายความว่า ปริมาณน้ํามันเชื้อเพลิงแต่ละชนิดที่จําหน่ายเป็นเชื้อเพลิงหรือเป็นน้ํามันหล่อลื่นในปีหนึ่ง และให้หมายความรวมถึงปริมาณที่ใช้ในการกลั่นหรือผลิตน้ํามันเชื้อเพลิงด้วย 4. กําหนดปริมาณการค้าและชนิดของน้ํามันเชื้อเพลิงที่ผู้ค้าน้ํามันเชื้อเพลิงต้องดําเนินการให้ชัดเจน ดังนี้ 4.1 กําหนดให้ผู้ใดเป็นผู้ค้าน้ํามันเชื้อเพลิงตาม (1) และ (3) ของบทนิยามคําว่า “น้ํามันเชื้อเพลิง” หรือน้ํามันเชื้อเพลิงชนิดที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด โดยมีปริมาณการค้าแต่ละชนิด หรือรวมกันทุกชนิดปีละตั้งแต่ 100,000 เมตริกตันขึ้นไป (ผู้ค้าขนาดใหญ่) ต้องได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรี ทั้งนี้ การขออนุญาต การออกใบอนุญาต คุณสมบัติของผู้รับใบอนุญาต และเงื่อนไขให้ผู้รับใบอนุญาตปฏิบัติ ให้เป็นไปตามที่กําหนดในกฎกระทรวง 4.2 กําหนดให้ผู้ใดเป็นผู้ค้าน้ํามันที่มีปริมาณการค้าไม่ถึง 100,000 เมตริกตัน (ผู้ค้าขนาดกลาง) แต่เป็นผู้ค้าน้ํามันที่มีชนิด ปริมาณ หรือขนาดของถังที่สามารถเก็บน้ํามันเชื้อเพลิง ตามที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด ต้องยื่นขอจดทะเบียนต่ออธิบดี 5. เพิ่มมาตรการกํากับดูแลผู้ประกอบการบรรจุก๊าซหุงต้มเพื่อจําหน่าย โดยกําหนดให้ผู้ใดเป็นผู้ค้าน้ํามันซึ่งดําเนินกิจการโดยเป็นผู้บรรจุก๊าซ ต้องยื่นขอจดทะเบียนต่ออธิบดี การขอจดทะเบียนและการจดทะเบียนให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่รัฐมนตรีประกาศกําหนด (เดิมกําหนดให้เป็นตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎกระทรวง) เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและสอดคล้องกับสถานการณ์ในแต่ละช่วงเวลา 6. กําหนดให้ผู้ค้าน้ํามันที่ประสงค์จะจําหน่ายหรือมีไว้เพื่อจําหน่ายน้ํามันหล่อลื่นชนิดที่อธิบดีประกาศกําหนด ต้องยื่นคําขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์น้ํามันหล่อลื่นต่ออธิบดี การยื่นคําขอหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์น้ํามันหล่อลื่นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และวิธีการที่อธิบดีประกาศกําหนด และต้องชําระค่าธรรมเนียมหนังสือรับรองผลิตภัณฑ์น้ํามันหล่อลื่นเป็นรายปี ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กําหนดในกฎกระทรวง ทั้งนี้ เพื่อให้การกํากับดูแลการค้าน้ํามันหล่อลื่นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ 7. ปรับปรุงบทกําหนดโทษให้เหมาะสมกับการประกอบธุรกิจและสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน เช่น เพิ่มโทษปรับจากไม่เกิน 25,000 บาท เป็น ไม่เกิน 50,000 บาท ในกรณีที่บุคคลที่เกี่ยวข้องไม่อํานวยความสะดวกต่อการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ เป็นต้น 2. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและรับทราบ ดังนี้ 1. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. .... ที่สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สํานักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาต่อไป โดยให้แจ้งประธานรัฐสภาทราบด้วยว่าร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ตราขึ้นเพื่อดําเนินการตามหมวด 16 การปฏิรูปประเทศของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย 2. รับทราบแผนในการจัดทํากฎหมายลําดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสําคัญของกฎหมายลําดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สํานักนายกรัฐมนตรี โดยกรมประชาสัมพันธ์เสนอ ทั้งนี้ ร่างพระราชบัญญัติที่สํานักนายกรัฐมนตรีโดยกรมประชาสัมพันธ์เสนอ คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติอนุมัติหลักการและสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาแล้ว เป็นการกําหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนโดยกําหนดให้มีองค์กรสภาวิชาชีพ เพื่อคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพและความเป็นอิสระของสื่อมวลชน (ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนย่อมมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมสื่อมวลชนตามมาตรา 35 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งการใช้เสรีภาพนั้นต้องไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน รวมทั้งเสนอข่าวนั้นจะต้องปฏิบัติตามจริยธรรมสื่อมวลชนด้วย เช่น การเสนอข้อเท็จจริงด้วยความถูกต้อง ครบถ้วนรอบด้าน และเป็นธรรม การให้ความเป็นธรรมแก่บุคคลซึ่งได้รับผลกระทบจากการเสนอข่าว หรือการแสดงความคิดเห็น เป็นต้น ซึ่งหากปฏิบัติตามจริยธรรมสื่อมวลชนแล้วย่อมได้รับการคุ้มครอง) ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพและให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ซึ่งได้รับผลกระทบจากการใช้เสรีภาพของสื่อมวลชนที่ไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมสื่อมวลชน (ปัจจุบันวิชาชีพสื่อมวลชนยังไม่มีสภาวิชาชีพที่จัดตั้งตามกฎหมาย แต่วิชาชีพอื่น ๆ ได้มีการจัดตั้งสภาวิชาชีพตามกฎหมายเพื่อทําหน้าที่ควบคุมการประกอบวิชาชีพให้ถูกต้องตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพ เช่น สภาทนายความ และสภาวิชาชีพนักบัญชี เป็นต้น) เพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และแผนการปฏิรูปประเทศด้านสื่อสารมวลชน เทคโนโลยีสารสนเทศ ประเด็นการปฏิรูปที่ 2 แนวทางการส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพ ซึ่งกําหนดให้มีการจัดทําร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวและกรมประชาสัมพันธ์ได้ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (9 กุมภาพันธ์ 2564) โดยพิจารณาทบทวนร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวในภาพรวมแล้ว สาระสําคัญของร่างพระราชบัญญัติ 1. กําหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนมีเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมสื่อมวลชน แต่การใช้เสรีภาพนั้นต้องไม่ขัดต่อหน้าที่ของปวงชนชาวไทยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยต้องเคารพและไม่ปิดกั้นความเห็นต่างของบุคคลอื่น 2. กําหนดให้ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีสิทธิปฏิเสธการปฏิบัติตามคําสั่งใดที่จะมีผลให้เป็นการฝ่าฝืนจริยธรรมสื่อมวลชนโดยมิให้ถือว่าเป็นการขัดคําสั่งผู้บังคับบัญชา แต่การใช้สิทธิดังกล่าวต้องคํานึงถึงวัตถุประสงค์และภารกิจของหน่วยงานที่ตนสังกัดอยู่ด้วย 3. กําหนดให้มี “สภาวิชาชีพสื่อมวลชน” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน และกํากับดูแลผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาจริยธรรมสื่อมวลชนและมาตรฐานวิชาชีพ และให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล 4. กําหนดให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชนมีหน้าที่และอํานาจจดแจ้งองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ส่งเสริมการคุ้มครองเสรีภาพในการเสนอข่าวสารหรือการแสดงความคิดเห็นของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนที่ปฏิบัติตามจริยธรรมสื่อมวลชน ติดตามดูแลการทําหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน องค์กรสื่อมวลชน องค์กรวิชาชีพ และองค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน ให้เป็นไปตามจริยธรรมสื่อมวลชน และให้คําปรึกษาและข้อเสนอแนะแก่ภาคส่วนต่าง ๆ เกี่ยวกับการพัฒนาและแก้ไขปัญหาการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน เป็นต้น 5. กําหนดให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชนมีรายได้จากเงินที่รัฐบาลจ่ายให้เป็นทุนประเดิม เช่น เงินที่ได้รับการจัดสรรจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ และเงินอุดหนุนทั่วไปที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่าย เป็นต้น ทั้งนี้ ให้มีการจัดสรรเงินของกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ ให้แก่สภาฯ เป็นรายปี ไม่น้อยกว่าปีละ 25 ล้านบาท 6. กําหนดให้มี “คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชน” ประกอบด้วย กรรมการผู้แทนองค์กรเวิชาชีพสื่อมวลชน จํานวน 5 คน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จํานวน 5 คน ซึ่งสรรหาจากผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ด้านวิชาการสื่อสารมวลชน กฎหมายสิทธิมนุษยชนหรือการคุ้มครองผู้บริโภค และกรรมการโดยตําแหน่ง ได้แก่ ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 7. กําหนดให้คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนมีหน้าที่และอํานาจบริหารกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ กําหนดมาตรฐานทางจริยธรรมสื่อมวลชนของสภาซึ่งเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากล และพิจารณาการขอจดแจ้งและเพิกถอนการจดแจ้งขององค์กรวิชาชีพสื่อมวลชน เป็นต้น 8. กําหนดให้มี “สํานักงานสภาวิชาชีพสื่อมวลชน” มีหน้าที่รับผิดชอบงานธุรการและอํานวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ของสภาวิชาชีพสื่อมวลชน และคณะกรรมการจริยธรรม รวมทั้งจัดทํางบดุล การเงิน และบัญชีทําการของสภาวิชาชีพสื่อมวลชนส่งผู้สอบบัญชีภายใน 90 วัน นับแต่วันสิ้นปีงบประมาณ ตลอดจนจัดทํารายงานประจําปีเสนอต่อคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชน 9. กําหนดให้สภาวิชาชีพสื่อมวลชนกําหนดมาตรฐานทางจริยธรรมสื่อมวลชน โดยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับจริยธรรมอย่างน้อยเกี่ยวกับการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นเพื่อประโยชน์สาธารณะ และมาตรการที่จะดําเนินการในกรณีที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชนหรือองค์กรสื่อมวลชนเสนอข่าวหรือแสดงความคิดเห็นโดยฝ่าฝืนหรือไม่เป็นไปตามจริยธรรมสื่อมวลชน 3. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบการขอสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติเป็นไทย การสละสัญชาติไทย การกลับคืนสัญชาติไทย และค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบการขอสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติเป็นไทย การสละสัญชาติไทย การกลับคืนสัญชาติไทย และค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ มท. เสนอว่า โดยที่กฎกระทรวง (พ.ศ. 2510) ออกตามความในพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน ไม่เหมาะสมกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน ดังนั้น สมควรกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบการขอสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติไทย การสละสัญชาติไทย การกลับคืนสัญชาติไทย รวมทั้งการกําหนดอัตราค่าธรรมเนียม เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 และที่แก้ไขเพิ่มเติม อันจะทําให้การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการบริหาร การรักษาความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงของชาติ รวมทั้งการคุ้มครองสิทธิของประชาชน มท. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบการขอสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติเป็นไทย การสละสัญชาติไทย การกลับคืนสัญชาติไทย และค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... ขึ้น และได้เสนอร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ แบบการขอสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติเป็นไทย การสละสัญชาติไทย การกลับคืนสัญชาติไทย และค่าธรรมเนียม พ.ศ. .... มาเพื่อดําเนินการ สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง 1. กําหนดสถานที่ในการยื่นคําขอมีสัญชาติไทยของหญิงต่างด้าวที่มีสามีเป็นผู้มีสัญชาติไทย การขอแปลงสัญชาติเป็นไทย การขอกลับคืนสัญชาติไทย และการขอสละสัญชาติไทย ให้เป็นปัจจุบัน ดังนี้ 1.1 ผู้ยื่นคําขอที่มีชื่อตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคําขอที่กรมการปกครอง 1.2 ผู้มีชื่ออยู่ในจังหวัดอื่นนอกเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคําขอที่จังหวัด 1.3 กรณีมีภูมิลําเนาอยู่ต่างประเทศ ให้ยื่นคําขอที่สถานเอกอัครราชทูตหรือสถานกงสุลใหญ่ 2. กําหนดเอกสารหลักฐานประกอบการยื่นคําขอให้ชัดเจน โดยกรณีหญิงต่างด้าวที่สมรสกับชายสัญชาติไทย ถ้าประสงค์จะขอมีสัญชาติไทยตามสามี ให้ยื่นคําขอตามแบบ สช.1 พร้อมหลักฐาน เช่น บัตรประจําตัว ใบสําคัญการสมรส รูปถ่าย และหากคนต่างด้าวจะขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ให้ยื่นคําขอตามแบบ สช.2 พร้อมหลักฐาน เช่น บัตรประจําตัว รูปถ่าย หลักฐานการประอบอาชีพ หลักฐานการศึกษา และกรณีจะขอแปลงสัญชาติเป็นไทยให้แก่คนต่างด้าวที่เป็นคนไร้ความสามารถ ผู้เยาว์ซึ่งอยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ หรือเป็นบุตรบุญธรรมของคนสัญชาติไทย ให้ยื่นคําขอตามแบบ สช.3 พร้อมหลักฐาน เช่น สําเนาคําสั่งของศาลแต่งตั้งให้เป็นผู้อนุบาล หลักฐานของคนไร้ความสามารถ 3. กําหนดระยะเวลาในการพิจารณาและตรวจสอบคุณสมบัติในการขอมีสัญชาติไทยหรือการขอแปลงสัญชาติเป็นไทยให้ชัดเจน โดยพนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องดําเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน หรือ 120 วันกรณียื่นที่ต่างประเทศ โดยให้ขยายออกไปได้อีกครั้งละไม่เกิน 30 วัน แต่ต้องไม่เกิน 2 ครั้ง และต้องเป็นกรณีที่มีเหตุจําเป็นเท่านั้น (เดิม ไม่กําหนดระยะเวลาในการพิจารณาและตรวจสอบคุณสมบัติไว้) 4. กําหนดให้คนต่างด้าวที่ขอแปลงสัญชาติเป็นไทย จะต้องมีความรู้ภาษาไทย จะต้องพูดและฟังภาษาไทยเข้าใจได้ โดยต้องผ่านการทดสอบจากคณะอนุกรรมการที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการกลั่นกรองเกี่ยวกับสัญชาติตามหลักเกณฑ์ที่คณะอนุกรรมการดังกล่าวกําหนดหรือมีหนังสือรับรองจากสถานศึกษาที่ได้รับการรับรองจากระทรวงศึกษาธิการที่แสดงว่าเป็นผู้ผ่านการศึกษาเล่าเรียนจากสถานศึกษาในประเทศไทยไม่ต่ํากว่าระดับประถมศึกษา (เดิม กําหนดให้จะต้องมีความรู้ภาษาไทย พูดภาษาไทยและฟังภาษาไทยเข้าใจได้เท่านั้น) 5. กําหนดค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับแบบคําขอสัญชาติไทย การแปลงสัญชาติเป็นไทย สละสัญชาติไทย และกลับคืนสัญชาติไทย ให้สอดคล้องกับค่าเงินในปัจจุบัน เช่น 5.1 คําขอแปลงสัญชาติเป็นไทย ครั้งละ 10,000 บาท (เดิม 5,000 บาท) 5.2 คําขอแปลงสัญชาติเป็นไทย สําหรับบุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะของผู้แปลงสัญชาติเป็นไทยคนหนึ่ง ครั้งละ 5,000 บาท (เดิม 2,500 บาท) 5.3 หนังสือสําคัญการแปลงสัญชาติเป็นไทย ฉบับละ 1,000 บาท (เดิม 500 บาท) 5.4 คําขอกลับคืนสัญชาติไทย ครั้งละ 2,000 บาท (เดิม 1,000 บาท) 4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ และให้ส่งสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดําเนินการต่อไปได้ และให้ กค. รับความเห็นของสํานักงาน ก.พ. และสํานักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดําเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ กค. เสนอว่า 1. ตามที่ได้มีกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2553 กฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 และกฎกระทรวงกําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการเงินของกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 ซึ่งกําหนดขอบเขต ประเภทของหลักทรัพย์ และสัดส่วนในการนําเงินของ กบข. เฉพาะแผนการลงทุนหลัก (ไม่รวมเงินสํารอง และเงินทุนที่สมาชิกเลือกแผนการลงทุนอื่นที่ไม่ใช่แผนการลงทุนหลัก) ไปลงทุนหาผลประโยชน์ โดยมีสาระสําคัญ ดังนี้ (1) ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงไม่น้อยกว่าร้อยละ 60 และอาจลงทุนในหลักทรัพย์อื่นไม่เกินร้อยละ 40 (2) ลงทุนในตราสารทุน ตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน หรือตราสารแสดงสิทธิในหนี้ซึ่งไม่รวมถึงพันธบัตร ตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือตราสารอย่างอื่นที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน ที่ออกโดยนิติบุคคลใดนิติบุคคลหนึ่งไม่เกินร้อยละ 10 หรือไม่เกินจํานวนที่คณะกรรมการกําหนด ซึ่งการลงทุนในตราสารทุนและตราสารหนี้กึ่งทุน เมื่อรวมกันทุกนิติบุคคลแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 35 (3) ลงทุนในต่างประเทศไม่เกินร้อยละ 40 (4) ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่เกินร้อยละ 12 2. แต่โดยที่สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและการลงทุนได้เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับการกําหนดสัดส่วนในการนําเงินของ กบข. ไปลงทุนหาผลประโยชน์ตามที่กําหนดไว้ตามกฎกระทรวงในข้อ 1. ทําให้มีการลงทุนที่กระจุกตัวอยู่ในตราสารหนี้ไทย และขาดการกระจายความเสี่ยงที่ดี กค. พิจารณาแล้วจึงเห็นควรแก้ไขกฎกระทรวงตามข้อ 1. เพื่อปรับเพดานสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศ จากเดิมไม่เกินร้อยละ 40 เป็นไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินกองทุน กบข. เฉพาะแผนการลงทุนหลัก ซึ่งจะทําให้ กบข. สามารถหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ และจะเป็นการช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุนของ กบข. ผ่านการกระจายการลงทุนไปยังสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายในประเทศต่าง ๆ ที่มีปัจจัยทางเศรษฐกิจแตกต่างกัน ขณะเดียวกันยังเพิ่มสภาพคล่องของการลงทุน และจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการกองทุนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ปัจจุบันมีอัตราดอกเบี้ยต่ําอีกด้วย อย่างไรก็ดี การเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศดังกล่าว นอกจากจะทําให้สมาชิกมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังทําให้สมาชิกมีความเสี่ยงจากการลงทุนในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่ง กบข. จะต้องมีกระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพ 3. ทั้งนี้ การยกร่างกฎกระทรวงดังกล่าวตามข้อ 2. เพื่อเพิ่มเพดานการลงทุนของ กบข. ในหลักทรัพย์ในต่างประเทศนั้น ยังอยู่ในกรอบการลงทุนตามมาตรา 70 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 ที่บัญญัติให้เงินของ กบข. ลงทุนได้ตามหลักเกณฑ์ที่กําหนดในกฎกระทรวง ซึ่งอย่างน้อยต้องกําหนดให้ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงไม่ต่ํากว่าร้อยละ 60 สาระสําคัญของร่างกฎกระทรวง ปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศจากไม่เกินร้อยละ 40 เป็นไม่เกินร้อยละ 60 ของเงินกองทุน กบข. เฉพาะแผนการลงทุนหลัก 5. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สอง พ.ศ. .... ตามที่สํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และให้ดําเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ สลค. เสนอว่า 1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่ง ให้มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัย ๆ หนึ่งให้มีกําหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สองให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกําหนด ซึ่งได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2562 เพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 และโดยที่สภาผู้แทนราษฎรได้กําหนดให้วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว (มติคณะรัฐมนตรี 30 กรกฎาคม 2562) ดังนั้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรจึงมีวันเปิดและวันปิดสมัยประชุม ดังนี้ ปีที่ สมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง สมัยประชุมสามัญประจําปีครั้งที่หนึ่ง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ นิว คอนเซปท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เพื่อขอให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2565 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ นิว คอนเซปท์ พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด เพื่อขอให้ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ นิว คอนเซปท์ พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด เพื่อขอให้ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในวันอังคารที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๑ อาคารกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากนายรมย์รวินทร์ ธัญเศรษฐ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ นิว คอนเซปท์ พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด และ ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช เพื่อขอให้ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ นิว คอนเซปท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เพื่อขอให้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2565 รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ นิว คอนเซปท์ พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด เพื่อขอให้ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากกรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ นิว คอนเซปท์ พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด เพื่อขอให้ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในวันอังคารที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม ชั้น ๑ อาคารกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจากนายรมย์รวินทร์ ธัญเศรษฐ์กุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดอะ นิว คอนเซปท์ พร็อพเพอร์ตี้ จํากัด และ ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช เพื่อขอให้ดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภารกิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56580
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม
วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2564 ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมประชุม ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (18 พฤศจิกายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายสุรพล ชามาตย์ นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมประชุม โดยที่ประชุมฯ ได้สรุปการเยี่ยมชมสถานประกอบการในพื้นที่จังหวัดกระบี่เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 และรับฟังแนวทางการดําเนินงาน ประจําปี 2565 ของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ พร้อมติดตามการดําเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #การประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม #prindustry
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน 2564 ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมประชุม ปลัดกอบชัยฯ เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม วันนี้ (18 พฤศจิกายน 2564) นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยมีนายสุรพล ชามาตย์ นางวรวรรณ ชิตอรุณ นายจุลพงษ์ ทวีศรี นายภานุวัฒน์ ตริยางกูรศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมประชุม โดยที่ประชุมฯ ได้สรุปการเยี่ยมชมสถานประกอบการในพื้นที่จังหวัดกระบี่เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 และรับฟังแนวทางการดําเนินงาน ประจําปี 2565 ของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ พร้อมติดตามการดําเนินงานของหน่วยงานต่างๆ ณ ห้องประชุม อก.1 ชั้น 2 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม #การประชุมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงอุตสาหกรรม #prindustry
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48402
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นิพนธ์” สั่ง กรมที่ดิน เร่งชี้แจงคืบหน้า ปมเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ที่ดิน 60 แปลง ของ “สมพร-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ล่าสุด ส่งผู้เชี่ยวชาญ รังวัดแผนที่ถ่ายทอดตำแหน่งที่ดิน
วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565 “นิพนธ์” สั่ง กรมที่ดิน เร่งชี้แจงคืบหน้า ปมเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ที่ดิน 60 แปลง ของ “สมพร-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ล่าสุด ส่งผู้เชี่ยวชาญ รังวัดแผนที่ถ่ายทอดตําแหน่งที่ดิน “นิพนธ์” สั่ง กรมที่ดิน เร่งชี้แจงคืบหน้า ปมเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ที่ดิน 60 แปลง ของ “สมพร-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ล่าสุด ส่งผู้เชี่ยวชาญ รังวัดแผนที่ถ่ายทอดตําแหน่งที่ดิน พร้อมตั้งคณะทํางานลงพื้นที่ 24-28 ม.ค.นี้ ก่อนสรุปผล ย้ํายึดระเบียบ-กฎหมายเป็นหลัก เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2565 นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ในฐานะที่กํากับดูแลกรมที่ดิน กล่าวถึงกรณีศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ทําหนังสือทวงถามความคืบหน้าการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 ก. ของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจและลูก ที่ครอบครองที่ดินในเขตป่าไม้ถาวร อําเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ว่า ตนได้สั่งให้กรมที่ดินชี้แจงรายละเอียดตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว โดยกรมที่ดินได้ชี้แจงมาดังนี้ 1. กรมที่ดินมีคําสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่ง ป.ที่ดิน กรณีที่ปรากฏว่า มีการออก น.ส.3 ก. จํานวน 60 แปลง ในท้องที่ ต.ด่านทับตะโก ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ซึ่งมีชื่อ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ จํานวน 53 ฉบับ น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ จํานวน 5 ฉบับ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จํานวน 2 ฉบับ ได้ออกตามโครงการเดินสํารวจฯ เมื่อปี พ.ศ. 2521 ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2512 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2. จังหวัดราชบุรีได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ลงวันที่ 11 ส.ค. 2564 ส่งรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการฯ ซึ่งได้ประชุมพิจารณาแล้ว มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะลงความเห็นได้ว่า ตําแหน่งที่ดินทั้ง 60 แปลง อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ําภาชี (หมายเลข 85) ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2512 หรือไม่ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมที่ดิน กรมป่าไม้ กรมพัฒนาที่ดิน ร่วมกันตรวจสอบ ข้อเท็จจริง 3.รองอธิบดีซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมายให้ดําเนินการเพิ่มเติม โดยให้สํานักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี สาขาจอมบึง จัดทํารูปแผนที่โดยถ่ายทอดตําแหน่งที่ดินตามหลักฐาน น.ส.3 ก จํานวน 60 ฉบับ ในระวางรูปถ่ายทางอากาศ มาตราส่วน 1:5,000 ลงในสําเนาระวางแผนที่รูปถ่ายทางอากาศ มาตราส่วน 1:4,000 ที่มีการถ่ายถอดและรับรองแนวเขตป่าไม้แล้ว โดยการปรับแก้ตามหลักวิชาการแผนที่ และกําหนดประเด็น ให้คณะกรรมการสอบสวนฯ พิจารณาว่า น.ส.3 ก. จํานวน 60 ฉบับ ได้ออกไปโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ และชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร และคําคัดค้านของผู้มีส่วนได้เสียมีเหตุผลโดยที่การขีดเขตและลงนามรับรองแนวเขตป่าไม้เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2531 ตามกฎหมายที่ดิน หรือไม่อย่างไร เสร็จแล้วประชุมพิจารณาให้ความเห็นในองค์คณะกรรมการสอบสวนฯ 4.จังหวัดราชบุรีได้มีหนังสือลงวันที่ 12 ม.ค. 2565 แจ้งกรมที่ดิน ขอสนับสนุนเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคในการรังวัดทําแผนที่เพื่อถ่ายทอดตําแหน่งที่ดิน ซึ่งกรมที่ดินได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะทํางานฯ โดยให้ลงพื้นที่ระหว่างวันที่ 24 -28 ม.ค.2565 “ทั้งนี้ การดําเนินการของกรมที่ดิน เมื่อได้รับทราบผลการดําเนินการของคณะกรรมการสอบสวนฯ แล้ว จะได้พิจารณาดําเนินการตามระเบียบและกฎหมายต่อไป” นายนิพนธ์ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“นิพนธ์” สั่ง กรมที่ดิน เร่งชี้แจงคืบหน้า ปมเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ที่ดิน 60 แปลง ของ “สมพร-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ล่าสุด ส่งผู้เชี่ยวชาญ รังวัดแผนที่ถ่ายทอดตำแหน่งที่ดิน วันศุกร์ที่ 21 มกราคม 2565 “นิพนธ์” สั่ง กรมที่ดิน เร่งชี้แจงคืบหน้า ปมเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ที่ดิน 60 แปลง ของ “สมพร-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ล่าสุด ส่งผู้เชี่ยวชาญ รังวัดแผนที่ถ่ายทอดตําแหน่งที่ดิน “นิพนธ์” สั่ง กรมที่ดิน เร่งชี้แจงคืบหน้า ปมเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ ที่ดิน 60 แปลง ของ “สมพร-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ล่าสุด ส่งผู้เชี่ยวชาญ รังวัดแผนที่ถ่ายทอดตําแหน่งที่ดิน พร้อมตั้งคณะทํางานลงพื้นที่ 24-28 ม.ค.นี้ ก่อนสรุปผล ย้ํายึดระเบียบ-กฎหมายเป็นหลัก เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2565 นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ในฐานะที่กํากับดูแลกรมที่ดิน กล่าวถึงกรณีศูนย์ปฏิบัติการพิทักษ์ป่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ทําหนังสือทวงถามความคืบหน้าการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ น.ส.3 ก. ของนางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจและลูก ที่ครอบครองที่ดินในเขตป่าไม้ถาวร อําเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ว่า ตนได้สั่งให้กรมที่ดินชี้แจงรายละเอียดตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว โดยกรมที่ดินได้ชี้แจงมาดังนี้ 1. กรมที่ดินมีคําสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามความในมาตรา 61 แห่ง ป.ที่ดิน กรณีที่ปรากฏว่า มีการออก น.ส.3 ก. จํานวน 60 แปลง ในท้องที่ ต.ด่านทับตะโก ต.รางบัว อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ซึ่งมีชื่อ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ จํานวน 53 ฉบับ น.ส.ชนาพรรณ จึงรุ่งเรืองกิจ จํานวน 5 ฉบับ และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จํานวน 2 ฉบับ ได้ออกตามโครงการเดินสํารวจฯ เมื่อปี พ.ศ. 2521 ในเขตป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2512 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 2. จังหวัดราชบุรีได้มีหนังสือ ด่วนที่สุด ลงวันที่ 11 ส.ค. 2564 ส่งรายงานการสอบสวนของคณะกรรมการฯ ซึ่งได้ประชุมพิจารณาแล้ว มีความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่า ข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจนเพียงพอที่จะลงความเห็นได้ว่า ตําแหน่งที่ดินทั้ง 60 แปลง อยู่ในเขตป่าไม้ถาวร “ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ําภาชี (หมายเลข 85) ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2512 หรือไม่ จึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมที่ดิน กรมป่าไม้ กรมพัฒนาที่ดิน ร่วมกันตรวจสอบ ข้อเท็จจริง 3.รองอธิบดีซึ่งอธิบดีกรมที่ดินมอบหมายให้ดําเนินการเพิ่มเติม โดยให้สํานักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี สาขาจอมบึง จัดทํารูปแผนที่โดยถ่ายทอดตําแหน่งที่ดินตามหลักฐาน น.ส.3 ก จํานวน 60 ฉบับ ในระวางรูปถ่ายทางอากาศ มาตราส่วน 1:5,000 ลงในสําเนาระวางแผนที่รูปถ่ายทางอากาศ มาตราส่วน 1:4,000 ที่มีการถ่ายถอดและรับรองแนวเขตป่าไม้แล้ว โดยการปรับแก้ตามหลักวิชาการแผนที่ และกําหนดประเด็น ให้คณะกรรมการสอบสวนฯ พิจารณาว่า น.ส.3 ก. จํานวน 60 ฉบับ ได้ออกไปโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ และชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร และคําคัดค้านของผู้มีส่วนได้เสียมีเหตุผลโดยที่การขีดเขตและลงนามรับรองแนวเขตป่าไม้เป็นไปตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2531 ตามกฎหมายที่ดิน หรือไม่อย่างไร เสร็จแล้วประชุมพิจารณาให้ความเห็นในองค์คณะกรรมการสอบสวนฯ 4.จังหวัดราชบุรีได้มีหนังสือลงวันที่ 12 ม.ค. 2565 แจ้งกรมที่ดิน ขอสนับสนุนเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิคในการรังวัดทําแผนที่เพื่อถ่ายทอดตําแหน่งที่ดิน ซึ่งกรมที่ดินได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะทํางานฯ โดยให้ลงพื้นที่ระหว่างวันที่ 24 -28 ม.ค.2565 “ทั้งนี้ การดําเนินการของกรมที่ดิน เมื่อได้รับทราบผลการดําเนินการของคณะกรรมการสอบสวนฯ แล้ว จะได้พิจารณาดําเนินการตามระเบียบและกฎหมายต่อไป” นายนิพนธ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50774
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อลิงค์ปลอมชวนกู้เงิน
วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ออมสินเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อลิงค์ปลอมชวนกู้เงิน ขณะนี้ได้มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างใช้ชื่อ “สินเชื่อ GSB ออมสิน” ในรูปแบบข้อความลิงค์ส่งไปที่กล่องข้อความ SMS และ Line เข้ามือถือของประชาชนจํานวนมาก โดยใช้ข้อความเชิญชวนลักษณะกระตุ้นให้ กดรับสิทธิกู้เงินหลายรูปแบบ เพื่อหลอกให้ประชาชนที่ต้องการเงินกู้ด่วน รายงานข่าวจากธนาคารออมสิน แจ้งว่าขณะนี้ได้มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างใช้ชื่อ “สินเชื่อ GSB ออมสิน” ในรูปแบบข้อความลิงค์ส่งไปที่กล่องข้อความ SMS และ Line เข้ามือถือของประชาชนจํานวนมาก โดยใช้ข้อความเชิญชวนลักษณะกระตุ้นให้ กดรับสิทธิกู้เงินหลายรูปแบบ เพื่อหลอกให้ประชาชนที่ต้องการเงินกู้ด่วน เกิดความสนใจและกดลิงค์เข้าไป ทั้งนี้ ลิงค์ข้อความดังกล่าวไม่ใช่ของธนาคารออมสิน ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ ไม่คลิก ไม่กด ไม่กรอกข้อความใดๆ เด็ดขาด อนึ่ง ปัจจุบันมิจฉาชีพได้พยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบข้อความ ด้วยการแอบอ้างชื่อหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ หากประชาชนพบพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ใดเป็นที่น่าสงสัยไปในทางทุจริตหรือหลอกลวง ขอให้รีบแจ้งธนาคาร ตามช่องทางต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ ธนาคารจะดําเนินการเอาผิดทางกฎหมายในลักษณะดังกล่าวให้ถึงที่สุดต่อไป https://www.gsb.or.th/news/gsbpr02/
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อลิงค์ปลอมชวนกู้เงิน วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ออมสินเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อลิงค์ปลอมชวนกู้เงิน ขณะนี้ได้มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างใช้ชื่อ “สินเชื่อ GSB ออมสิน” ในรูปแบบข้อความลิงค์ส่งไปที่กล่องข้อความ SMS และ Line เข้ามือถือของประชาชนจํานวนมาก โดยใช้ข้อความเชิญชวนลักษณะกระตุ้นให้ กดรับสิทธิกู้เงินหลายรูปแบบ เพื่อหลอกให้ประชาชนที่ต้องการเงินกู้ด่วน รายงานข่าวจากธนาคารออมสิน แจ้งว่าขณะนี้ได้มีกลุ่มมิจฉาชีพแอบอ้างใช้ชื่อ “สินเชื่อ GSB ออมสิน” ในรูปแบบข้อความลิงค์ส่งไปที่กล่องข้อความ SMS และ Line เข้ามือถือของประชาชนจํานวนมาก โดยใช้ข้อความเชิญชวนลักษณะกระตุ้นให้ กดรับสิทธิกู้เงินหลายรูปแบบ เพื่อหลอกให้ประชาชนที่ต้องการเงินกู้ด่วน เกิดความสนใจและกดลิงค์เข้าไป ทั้งนี้ ลิงค์ข้อความดังกล่าวไม่ใช่ของธนาคารออมสิน ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ ไม่คลิก ไม่กด ไม่กรอกข้อความใดๆ เด็ดขาด อนึ่ง ปัจจุบันมิจฉาชีพได้พยายามปรับเปลี่ยนรูปแบบข้อความ ด้วยการแอบอ้างชื่อหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ หากประชาชนพบพฤติกรรมในสื่อสังคมออนไลน์ใดเป็นที่น่าสงสัยไปในทางทุจริตหรือหลอกลวง ขอให้รีบแจ้งธนาคาร ตามช่องทางต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ ธนาคารจะดําเนินการเอาผิดทางกฎหมายในลักษณะดังกล่าวให้ถึงที่สุดต่อไป https://www.gsb.or.th/news/gsbpr02/
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51411
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย ไทยเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ โควิด-19/สงคราม ที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบสินค้า-พลังงาน “นายก”กำชับหน่วยงานสอดส่องดูแลประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย ไทยเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ โควิด-19/สงคราม ที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบสินค้า-พลังงาน “นายก”กําชับหน่วยงานสอดส่องดูแลประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โฆษกรัฐบาลเผย ไทยเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ โควิด-19/สงคราม ที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบสินค้า-พลังงาน “นายก”กําชับหน่วยงานสอดส่องดูแลประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ยันใช้เงินกองทุนดูแลราคาน้ํามันเต็มที่ วันที่ 21 พ.ค. 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์พลังงานในทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ได้รับผลกระทบของวิกฤตจากความขัดแย้ง ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็นการเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 ที่ยืดยื้อทําให้ทรัพยากรที่เคยสมดุลต้องขาดแคลน มีผลให้ราคาสินค้า ราคาพลังงาน และค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น โดยรัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เช่น วิกฤติพลังงาน สินค้าขาดแคลน ความยากจน เพื่อให้ประชาชนอยู่รอดอย่างพอเพียง ด้วยมาตรการลดค่าครองชีพ เช่น การช่วยเหลือเพื่อซื้อก๊าซหุงต้ม การช่วยเหลือค่าน้ํามันให้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง การช่วยลดภาระค่าไฟฟ้า การตรึงราคาขายปลีกน้ํามันดีเซล ตลอดจนการลดอัตราเงินสมทบของนายจ้างและลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคม เป็นต้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้กระทรวงพลังงานได้มีการอุดหนุนราคาน้ํามันผ่านกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง ซึ่งล่าสุดมีการใช้วงเงินไปแล้วกว่า 112,000 ล้านบาททําให้สถานะของทางกองทุนติดลบอยู่ที่ 72,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ารัฐบาล จะดูแลเรื่องดังกล่าวและบริหารจัดการเพื่อช่วยลดภาระประชาชน ควบคู่ไปกับการผลักดันให้เกิดการใช้รถไฟฟ้าหรือ EV ให้มากขึ้นในอนาคต เพื่อให้เกิดความยั่งยืนด้านพลังงาน รวมไปถึงการกระตุ้นการใช้พลังงานหมุนเวียนลดการใช้พลังงานจากฟอร์ดซิลด์ เพื่อลดต้นทุนทั้งในการผลิตไฟฟ้าและการใช้ชีวิตประจําวันของประชาชน สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อลดปัญหามลพิษ และรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ราคาน้ํามันของหลายประเทศในอาเซียนก็ปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ราคาน้ํามันเบนซินอ้างอิง ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 ประเทศไทยขายอยู่ที่ 41.95 บาท/ลิตร กัมพูชา 48.33 บาท/ลิตร และสิงคโปร์ 79.40 บาท/ลิตร ส่วนราคาน้ํามันดีเซลอ้างอิง ณ วันที่ 16 พฤษภาคม เช่นกัน ประเทศไทยขายอยู่ที่ 31.94 บาท/ลิตร กัมพูชา 47.05 บาท/ลิตร และสิงคโปร์ 75.92 บาท/ลิตร โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกําชับให้รัฐบาลติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และต่อเนื่อง เพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติ และประชาชน ในระยะต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย ไทยเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ โควิด-19/สงคราม ที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบสินค้า-พลังงาน “นายก”กำชับหน่วยงานสอดส่องดูแลประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย ไทยเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ โควิด-19/สงคราม ที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบสินค้า-พลังงาน “นายก”กําชับหน่วยงานสอดส่องดูแลประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โฆษกรัฐบาลเผย ไทยเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ โควิด-19/สงคราม ที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบสินค้า-พลังงาน “นายก”กําชับหน่วยงานสอดส่องดูแลประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ยันใช้เงินกองทุนดูแลราคาน้ํามันเต็มที่ วันที่ 21 พ.ค. 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สถานการณ์พลังงานในทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ได้รับผลกระทบของวิกฤตจากความขัดแย้ง ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งเป็นการเผชิญวิกฤติซ้อนวิกฤติ หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด–19 ที่ยืดยื้อทําให้ทรัพยากรที่เคยสมดุลต้องขาดแคลน มีผลให้ราคาสินค้า ราคาพลังงาน และค่าครองชีพปรับตัวสูงขึ้น โดยรัฐบาลได้เร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน เช่น วิกฤติพลังงาน สินค้าขาดแคลน ความยากจน เพื่อให้ประชาชนอยู่รอดอย่างพอเพียง ด้วยมาตรการลดค่าครองชีพ เช่น การช่วยเหลือเพื่อซื้อก๊าซหุงต้ม การช่วยเหลือค่าน้ํามันให้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง การช่วยลดภาระค่าไฟฟ้า การตรึงราคาขายปลีกน้ํามันดีเซล ตลอดจนการลดอัตราเงินสมทบของนายจ้างและลูกจ้างที่อยู่ในระบบประกันสังคม เป็นต้น โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้กระทรวงพลังงานได้มีการอุดหนุนราคาน้ํามันผ่านกองทุนน้ํามันเชื้อเพลิง ซึ่งล่าสุดมีการใช้วงเงินไปแล้วกว่า 112,000 ล้านบาททําให้สถานะของทางกองทุนติดลบอยู่ที่ 72,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่ารัฐบาล จะดูแลเรื่องดังกล่าวและบริหารจัดการเพื่อช่วยลดภาระประชาชน ควบคู่ไปกับการผลักดันให้เกิดการใช้รถไฟฟ้าหรือ EV ให้มากขึ้นในอนาคต เพื่อให้เกิดความยั่งยืนด้านพลังงาน รวมไปถึงการกระตุ้นการใช้พลังงานหมุนเวียนลดการใช้พลังงานจากฟอร์ดซิลด์ เพื่อลดต้นทุนทั้งในการผลิตไฟฟ้าและการใช้ชีวิตประจําวันของประชาชน สนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อลดปัญหามลพิษ และรักษาสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ ราคาน้ํามันของหลายประเทศในอาเซียนก็ปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ราคาน้ํามันเบนซินอ้างอิง ณ วันที่ 16 พฤษภาคม 2565 ประเทศไทยขายอยู่ที่ 41.95 บาท/ลิตร กัมพูชา 48.33 บาท/ลิตร และสิงคโปร์ 79.40 บาท/ลิตร ส่วนราคาน้ํามันดีเซลอ้างอิง ณ วันที่ 16 พฤษภาคม เช่นกัน ประเทศไทยขายอยู่ที่ 31.94 บาท/ลิตร กัมพูชา 47.05 บาท/ลิตร และสิงคโปร์ 75.92 บาท/ลิตร โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกําชับให้รัฐบาลติดตามประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และต่อเนื่อง เพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศชาติ และประชาชน ในระยะต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54833
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ต้อนรับเปิดเทอม!“จุรินทร์”ลุย”พาณิชย์ลดราคา!ชุดนักเรียน” 7 ยี่ห้อ 10 ห้างทุกสาขา ลดสูงสุด 65% กว่า 5,000 รายการ ทั่วประเทศ ถึงเดือน มิ.ย.นี้
วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ต้อนรับเปิดเทอม!“จุรินทร์”ลุย”พาณิชย์ลดราคา!ชุดนักเรียน” 7 ยี่ห้อ 10 ห้างทุกสาขา ลดสูงสุด 65% กว่า 5,000 รายการ ทั่วประเทศ ถึงเดือน มิ.ย.นี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ผู้แทนห้างสรรพสินค้า ผู้ผลิตเครื่องแบบนักเรียนและรองเท้านักเรียนร่วมด้วย แถลงข่าวจัดโครงการ “พาณิชย์ลดราคา!ช่วยประชาชน Lot 17 Back to School “ ที่ห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาสะพานควาย กรุงเทพมหานคร นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการเปิดโครงการเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศ ในช่วงต้อนรับการเปิดเทอม เป็นโครงการ “พาณิชย์ลดราคา!ช่วยประชาชน Lot 17 ล็อต 17 Back to School สินค้าที่จะนํามาลดราคามีทั้งหมดมี 7 หมวด มากกว่า 5,000 รายการลดราคาสูงสุด 65% และส่วนที่ไม่ได้ลดราคาเป็นการตรึงราคาซึ่งเจรจาจบแล้วกับกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ สินค้าที่นํามาลดราคา 7 ยี่ห้อประกอบด้วย 1.ตราศึกษาภัณฑ์ 2.น้อมจิตต์ 3.สมใจนึก 4.ตราสมอ 5.บาจา 6.พีเอส จูเนียร์ และ7.ยี่ห้อนันยาง โดยจะจําหน่ายในห้างสรรพสินค้าและห้างท้องถิ่นรวมทั้งหมด 10 ห้างทุกสาขาทั่วประเทศ ประกอบด้วย 1.ห้างบิ๊กซี2.แม็คโคร 3.โลตัส 4.The Mall 5.เซ็นทรัล 6.โรบินสัน 7.B2S 8.Office Mate 9.Power Buy และ 10.Supersports สินค้าทั้ง 7 หมวดประกอบด้วย 1.ชุดนักเรียนลดราคา 3,345 รายการ สูงสุด 50% 2.รองเท้า ถุงเท้า 185 รายการ ลดสูงสุด 34% 3.กระเป๋านักเรียน 61 รายการ ลดสูงสุด 65% 4.ตําราเรียนและหนังสือเรียน 523 รายการ ลดสูงสุด 30% 5.เครื่องเขียน 59 รายการ ลดสูงสุด 50% 6.สื่อการเรียนการสอน 187 รายการ ลดสูงสุด 20% แล ะ7.อื่นๆ เช่น กระติกน้ํา กล่องกล่อง ข้าวโต๊ะนักเรียน สมาร์ทวอทช์ 732 รายการ ลดสูงสุด 65% “โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าครองชีพได้ให้กับผู้ปกครองและนักเรียนได้จํานวนมาก”รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ต้อนรับเปิดเทอม!“จุรินทร์”ลุย”พาณิชย์ลดราคา!ชุดนักเรียน” 7 ยี่ห้อ 10 ห้างทุกสาขา ลดสูงสุด 65% กว่า 5,000 รายการ ทั่วประเทศ ถึงเดือน มิ.ย.นี้ วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม 2565 ต้อนรับเปิดเทอม!“จุรินทร์”ลุย”พาณิชย์ลดราคา!ชุดนักเรียน” 7 ยี่ห้อ 10 ห้างทุกสาขา ลดสูงสุด 65% กว่า 5,000 รายการ ทั่วประเทศ ถึงเดือน มิ.ย.นี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ รองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ผู้แทนห้างสรรพสินค้า ผู้ผลิตเครื่องแบบนักเรียนและรองเท้านักเรียนร่วมด้วย แถลงข่าวจัดโครงการ “พาณิชย์ลดราคา!ช่วยประชาชน Lot 17 Back to School “ ที่ห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ สาขาสะพานควาย กรุงเทพมหานคร นายจุรินทร์ กล่าวว่า วันนี้เป็นการเปิดโครงการเพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วทั้งประเทศ ในช่วงต้อนรับการเปิดเทอม เป็นโครงการ “พาณิชย์ลดราคา!ช่วยประชาชน Lot 17 ล็อต 17 Back to School สินค้าที่จะนํามาลดราคามีทั้งหมดมี 7 หมวด มากกว่า 5,000 รายการลดราคาสูงสุด 65% และส่วนที่ไม่ได้ลดราคาเป็นการตรึงราคาซึ่งเจรจาจบแล้วกับกรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ สินค้าที่นํามาลดราคา 7 ยี่ห้อประกอบด้วย 1.ตราศึกษาภัณฑ์ 2.น้อมจิตต์ 3.สมใจนึก 4.ตราสมอ 5.บาจา 6.พีเอส จูเนียร์ และ7.ยี่ห้อนันยาง โดยจะจําหน่ายในห้างสรรพสินค้าและห้างท้องถิ่นรวมทั้งหมด 10 ห้างทุกสาขาทั่วประเทศ ประกอบด้วย 1.ห้างบิ๊กซี2.แม็คโคร 3.โลตัส 4.The Mall 5.เซ็นทรัล 6.โรบินสัน 7.B2S 8.Office Mate 9.Power Buy และ 10.Supersports สินค้าทั้ง 7 หมวดประกอบด้วย 1.ชุดนักเรียนลดราคา 3,345 รายการ สูงสุด 50% 2.รองเท้า ถุงเท้า 185 รายการ ลดสูงสุด 34% 3.กระเป๋านักเรียน 61 รายการ ลดสูงสุด 65% 4.ตําราเรียนและหนังสือเรียน 523 รายการ ลดสูงสุด 30% 5.เครื่องเขียน 59 รายการ ลดสูงสุด 50% 6.สื่อการเรียนการสอน 187 รายการ ลดสูงสุด 20% แล ะ7.อื่นๆ เช่น กระติกน้ํา กล่องกล่อง ข้าวโต๊ะนักเรียน สมาร์ทวอทช์ 732 รายการ ลดสูงสุด 65% “โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดภาระค่าครองชีพได้ให้กับผู้ปกครองและนักเรียนได้จํานวนมาก”รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54379
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมการประชุม APT สมัยที่ ๔๕ ผลักดันการพัฒนาศักยภาพด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564 ดีอีเอส ร่วมการประชุม APT สมัยที่ ๔๕ ผลักดันการพัฒนาศักยภาพด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ดีอีเอส ร่วมการประชุม APT สมัยที่ ๔๕ ผลักดันการพัฒนาศักยภาพด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เมื่อวันที่๓ ธันวาคม๒๕๖๔นางสาวชมภารีชมภูรัตน์ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการจัดการสมัยที่๔๕ขององค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก(APT)ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่๓๐พฤศจิกายน–๓ธันวาคม๒๕๖๔ในรูปแบบการประชุมทางไกลโดยวันที่๓ธันวาคม๒๕๖๔เป็นวันสุดท้ายของการประชุมฯเพื่อรับรองรายงานการประชุมฯรวมทั้งแผนงาน/โครงการของAPTและงบประมาณสําหรับการดําเนินโครงการของAPT สําหรับปีค.ศ.๒๐๒๒ สําหรับการประชุมคณะกรรมการจัดการสมัยที่๔๕ขององค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก(APT)มีผู้เข้าร่วม๒๒๔คนจากประเทศสมาชิก๓๑ประเทศรวมถึงสมาชิกสมทบสมาชิกในเครือและองค์การระหว่างประเทศอื่นๆซึ่งไทยในฐานะประเทศสมาชิกที่ร่วมก่อตั้งAPTจะให้ความร่วมมือและสนับสนุนAPTในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาศักยภาพด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก *************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ร่วมการประชุม APT สมัยที่ ๔๕ ผลักดันการพัฒนาศักยภาพด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564 ดีอีเอส ร่วมการประชุม APT สมัยที่ ๔๕ ผลักดันการพัฒนาศักยภาพด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ดีอีเอส ร่วมการประชุม APT สมัยที่ ๔๕ ผลักดันการพัฒนาศักยภาพด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก เมื่อวันที่๓ ธันวาคม๒๕๖๔นางสาวชมภารีชมภูรัตน์ผู้ช่วยปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการจัดการสมัยที่๔๕ขององค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก(APT)ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่๓๐พฤศจิกายน–๓ธันวาคม๒๕๖๔ในรูปแบบการประชุมทางไกลโดยวันที่๓ธันวาคม๒๕๖๔เป็นวันสุดท้ายของการประชุมฯเพื่อรับรองรายงานการประชุมฯรวมทั้งแผนงาน/โครงการของAPTและงบประมาณสําหรับการดําเนินโครงการของAPT สําหรับปีค.ศ.๒๐๒๒ สําหรับการประชุมคณะกรรมการจัดการสมัยที่๔๕ขององค์การโทรคมนาคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก(APT)มีผู้เข้าร่วม๒๒๔คนจากประเทศสมาชิก๓๑ประเทศรวมถึงสมาชิกสมทบสมาชิกในเครือและองค์การระหว่างประเทศอื่นๆซึ่งไทยในฐานะประเทศสมาชิกที่ร่วมก่อตั้งAPTจะให้ความร่วมมือและสนับสนุนAPTในการผลักดันให้เกิดการพัฒนาศักยภาพด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49091
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด กษ. เข้าร่วมวางยุทธศาสตร์และกำหนดแนวทางการเพิ่มพูนความร่วมมือในการส่งเสริมความยืดหยุ่นและความสามารถในการฟื้นตัวของไทย-มาเลเซีย
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565 รองปลัด กษ. เข้าร่วมวางยุทธศาสตร์และกําหนดแนวทางการเพิ่มพูนความร่วมมือในการส่งเสริมความยืดหยุ่นและความสามารถในการฟื้นตัวของไทย-มาเลเซีย จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสําหรับพื้นที่ชายแดนระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 5 (The Joint Development Strategy (JDS) for Border Areas) และการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ครั้งที่ 14 (The Joint Commission for Bilateral Cooperation: JC) ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ร่วมกับนายถาวร ทันใจ รองอธิบดีกรมประมง และ ดร.วนิดา กําเนิดเพ็ชร์ ผู้อํานวยการสํานักการเกษตรต่างประเทศ ณ โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพมหานคร โดยมี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และดาโตะ ซรี ไซฟุดดิน อับดุลละฮ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย เป็นประธานร่วมของการประชุมฯ ภายใต้หัวข้อหลัก “เสริมสร้างความยืดหยุ่นฟื้นตัวได้ในช่วงเวลาแห่งความท้าทาย” ซึ่งสะท้อนถึงความสําคัญที่ไทยและมาเลเซียจะร่วมกันวางยุทธศาสตร์และกําหนดแนวทางการเพิ่มพูนความร่วมมือในการส่งเสริมความยืดหยุ่นและความสามารถในการฟื้นตัวของทั้งสองประเทศจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และเพื่อรับมือความท้าทายอื่น ๆ โดยที่ประชุมได้ติดตามความก้าวหน้าเกี่ยวกับการพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ซึ่งจะรวมถึงความร่วมมือด้านการประมงระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัด กษ. เข้าร่วมวางยุทธศาสตร์และกำหนดแนวทางการเพิ่มพูนความร่วมมือในการส่งเสริมความยืดหยุ่นและความสามารถในการฟื้นตัวของไทย-มาเลเซีย วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565 รองปลัด กษ. เข้าร่วมวางยุทธศาสตร์และกําหนดแนวทางการเพิ่มพูนความร่วมมือในการส่งเสริมความยืดหยุ่นและความสามารถในการฟื้นตัวของไทย-มาเลเซีย จากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นายสมชวน รัตนมังคลานนท์ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการว่าด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาร่วมสําหรับพื้นที่ชายแดนระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 5 (The Joint Development Strategy (JDS) for Border Areas) และการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ครั้งที่ 14 (The Joint Commission for Bilateral Cooperation: JC) ระหว่างไทยกับมาเลเซีย ร่วมกับนายถาวร ทันใจ รองอธิบดีกรมประมง และ ดร.วนิดา กําเนิดเพ็ชร์ ผู้อํานวยการสํานักการเกษตรต่างประเทศ ณ โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพมหานคร โดยมี นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และดาโตะ ซรี ไซฟุดดิน อับดุลละฮ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย เป็นประธานร่วมของการประชุมฯ ภายใต้หัวข้อหลัก “เสริมสร้างความยืดหยุ่นฟื้นตัวได้ในช่วงเวลาแห่งความท้าทาย” ซึ่งสะท้อนถึงความสําคัญที่ไทยและมาเลเซียจะร่วมกันวางยุทธศาสตร์และกําหนดแนวทางการเพิ่มพูนความร่วมมือในการส่งเสริมความยืดหยุ่นและความสามารถในการฟื้นตัวของทั้งสองประเทศจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) และเพื่อรับมือความท้าทายอื่น ๆ โดยที่ประชุมได้ติดตามความก้าวหน้าเกี่ยวกับการพิจารณาร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร ซึ่งจะรวมถึงความร่วมมือด้านการประมงระหว่างทั้งสองฝ่ายด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57859
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ปล่อยคาราวาน อสม. จ.สระบุรี ปราบลูกน้ำยุงลาย ป้องกันโรคไข้เลือดออก
วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2565 “อนุทิน” ปล่อยคาราวาน อสม. จ.สระบุรี ปราบลูกน้ํายุงลาย ป้องกันโรคไข้เลือดออก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานมหกรรม “คนสระบุรี ร่วมใจ เก็บให้เกลี้ยง ไม่เลี้ยงยุงลาย” ปล่อยคาราวาน อสม. 13 อําเภอ ร่วมกับเจ้าหน้าที่และภาคีเครือข่าย ออกรณรงค์สร้างความตระหนักให้กับประชาชนในการสํารวจและกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานมหกรรม “คนสระบุรี ร่วมใจ เก็บให้เกลี้ยง ไม่เลี้ยงยุงลาย” ปล่อยคาราวาน อสม. 13 อําเภอ ร่วมกับเจ้าหน้าที่และภาคีเครือข่าย ออกรณรงค์สร้างความตระหนักให้กับประชาชนในการสํารวจและกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ตามมาตรการ 3 เก็บป้องกัน 3 โรคเพื่อลดป่วย ลดเสียชีวิต จากโรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย วันนี้ (2 มิถุนายน 2565) ที่ สนามกีฬาเทศบาลตําบลหนองแค จังหวัดสระบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานมหกรรม “คนสระบุรี ร่วมใจเก็บให้เกลี้ยง ไม่เลี้ยงยุงลาย” พร้อมมอบเกียรติบัตรแก่ อสม. และหน่วยงานระดับอําเภอ และปล่อยคาราวาน อสม. รณรงค์ให้คนในชุมชนสํารวจและกําจัดลูกน้ํายุงลาย โดยมีหน่วยงานภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ เอกชน และอสม. เข้าร่วมกิจกรรม จํานวน 3,000 คน นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาและยกระดับความรู้ อสม. ให้เป็น “อสม. หมอประจําบ้าน”ซึ่งปัจจุบันมีอสม. ทั้งประเทศกว่า 1,040,000 คน ร่วมดูแลสุขภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชน จนได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างกว้างขวาง สําหรับโรคไข้เลือดออกซึ่งยังเป็นปัญหาสําคัญทางสาธารณสุขอันดับต้น ๆของประเทศ การรณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้และร่วมมือในการสํารวจและกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย เป็นแนวทางสําคัญที่จะช่วยควบคุมโรคไข้เลือดออกได้ จังหวัดสระบุรี ได้ตระหนักถึงความสําคัญของเรื่องนี้ จึงมีการปล่อยคาราวาน อสม. 13 อําเภอ เจ้าหน้าที่ และภาคีเครือข่าย ร่วมกันรณรงค์ถ่ายทอดความรู้เรื่องไข้เลือดออกและกระตุ้นเตือนคนในชุมชนให้ช่วยกันสํารวจและจัดการสภาพแวดล้อมทั้งในบ้านและรอบบ้าน โรงเรียน วัด รวมถึงสวนสาธารณะ ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายอย่างจริงจัง ด้วยการกําจัดลูกน้ําอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยทุกๆ 7 วัน และป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด โดยใช้มาตรการ 3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค ได้แก่ เก็บบ้าน เก็บขยะ เก็บภาชนะใส่น้ํา ป้องกันโรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย เพื่อลดการระบาดในพื้นที่และคนในชุมชนจะได้ไม่มีผู้ป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออก ด้านนพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ในปี 2565 คาดว่าสถานการณ์โรคไข้เลือดออกจะเพิ่มขึ้นทุกภาคทั่วประเทศ เนื่องจากมีฝนตกในหลายพื้นที่ ทําให้เกิดน้ําท่วมขังตามภาชนะและวัสดุต่างๆ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ซึ่งจากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 25 พฤษภาคม 2565 พบผู้ป่วย 2,220 ราย เสียชีวิต 3 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยเรียน จึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยกันทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในโรงเรียน รวมถึงให้ความรู้นักเรียนเรื่องการป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง สําหรับกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต คือ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัวเรื้อรัง และผู้ที่มีน้ําหนักเกินเกณฑ์ จึงขอให้สังเกตอาการตนเองและคนในครอบครัว หากมีไข้สูง 2-3 วัน รับประทานยาแล้วยังไม่ดีขึ้น ปวดเมื่อย ตาแดง หรือมีผื่นขึ้นใต้ผิวหนัง ตามแขนขาหรือข้อพับ ต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ไม่ควรซื้อยาแอสไพรินและยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเสดมารับประทานเองเพราะจะทําให้เกิดเลือดออกในทางเดินอาหารจนเสียชีวิตได้ ************************************** 2 มิถุนายน 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” ปล่อยคาราวาน อสม. จ.สระบุรี ปราบลูกน้ำยุงลาย ป้องกันโรคไข้เลือดออก วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน 2565 “อนุทิน” ปล่อยคาราวาน อสม. จ.สระบุรี ปราบลูกน้ํายุงลาย ป้องกันโรคไข้เลือดออก รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานมหกรรม “คนสระบุรี ร่วมใจ เก็บให้เกลี้ยง ไม่เลี้ยงยุงลาย” ปล่อยคาราวาน อสม. 13 อําเภอ ร่วมกับเจ้าหน้าที่และภาคีเครือข่าย ออกรณรงค์สร้างความตระหนักให้กับประชาชนในการสํารวจและกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานมหกรรม “คนสระบุรี ร่วมใจ เก็บให้เกลี้ยง ไม่เลี้ยงยุงลาย” ปล่อยคาราวาน อสม. 13 อําเภอ ร่วมกับเจ้าหน้าที่และภาคีเครือข่าย ออกรณรงค์สร้างความตระหนักให้กับประชาชนในการสํารวจและกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ตามมาตรการ 3 เก็บป้องกัน 3 โรคเพื่อลดป่วย ลดเสียชีวิต จากโรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย วันนี้ (2 มิถุนายน 2565) ที่ สนามกีฬาเทศบาลตําบลหนองแค จังหวัดสระบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานมหกรรม “คนสระบุรี ร่วมใจเก็บให้เกลี้ยง ไม่เลี้ยงยุงลาย” พร้อมมอบเกียรติบัตรแก่ อสม. และหน่วยงานระดับอําเภอ และปล่อยคาราวาน อสม. รณรงค์ให้คนในชุมชนสํารวจและกําจัดลูกน้ํายุงลาย โดยมีหน่วยงานภาคีเครือข่ายในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ เอกชน และอสม. เข้าร่วมกิจกรรม จํานวน 3,000 คน นายอนุทิน กล่าวว่า รัฐบาลมีนโยบายพัฒนาและยกระดับความรู้ อสม. ให้เป็น “อสม. หมอประจําบ้าน”ซึ่งปัจจุบันมีอสม. ทั้งประเทศกว่า 1,040,000 คน ร่วมดูแลสุขภาพของตนเอง ครอบครัว และชุมชน จนได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างกว้างขวาง สําหรับโรคไข้เลือดออกซึ่งยังเป็นปัญหาสําคัญทางสาธารณสุขอันดับต้น ๆของประเทศ การรณรงค์ให้ประชาชนมีความรู้และร่วมมือในการสํารวจและกําจัดแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ํายุงลาย เป็นแนวทางสําคัญที่จะช่วยควบคุมโรคไข้เลือดออกได้ จังหวัดสระบุรี ได้ตระหนักถึงความสําคัญของเรื่องนี้ จึงมีการปล่อยคาราวาน อสม. 13 อําเภอ เจ้าหน้าที่ และภาคีเครือข่าย ร่วมกันรณรงค์ถ่ายทอดความรู้เรื่องไข้เลือดออกและกระตุ้นเตือนคนในชุมชนให้ช่วยกันสํารวจและจัดการสภาพแวดล้อมทั้งในบ้านและรอบบ้าน โรงเรียน วัด รวมถึงสวนสาธารณะ ไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายอย่างจริงจัง ด้วยการกําจัดลูกน้ําอย่างต่อเนื่องอย่างน้อยทุกๆ 7 วัน และป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด โดยใช้มาตรการ 3 เก็บ ป้องกัน 3 โรค ได้แก่ เก็บบ้าน เก็บขยะ เก็บภาชนะใส่น้ํา ป้องกันโรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย เพื่อลดการระบาดในพื้นที่และคนในชุมชนจะได้ไม่มีผู้ป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออก ด้านนพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ในปี 2565 คาดว่าสถานการณ์โรคไข้เลือดออกจะเพิ่มขึ้นทุกภาคทั่วประเทศ เนื่องจากมีฝนตกในหลายพื้นที่ ทําให้เกิดน้ําท่วมขังตามภาชนะและวัสดุต่างๆ เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย ซึ่งจากการเฝ้าระวังของกรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 25 พฤษภาคม 2565 พบผู้ป่วย 2,220 ราย เสียชีวิต 3 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยเรียน จึงขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยกันทําลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในโรงเรียน รวมถึงให้ความรู้นักเรียนเรื่องการป้องกันโรคไข้เลือดออกอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง สําหรับกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเสียชีวิต คือ ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจําตัวเรื้อรัง และผู้ที่มีน้ําหนักเกินเกณฑ์ จึงขอให้สังเกตอาการตนเองและคนในครอบครัว หากมีไข้สูง 2-3 วัน รับประทานยาแล้วยังไม่ดีขึ้น ปวดเมื่อย ตาแดง หรือมีผื่นขึ้นใต้ผิวหนัง ตามแขนขาหรือข้อพับ ต้องรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว ไม่ควรซื้อยาแอสไพรินและยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเสดมารับประทานเองเพราะจะทําให้เกิดเลือดออกในทางเดินอาหารจนเสียชีวิตได้ ************************************** 2 มิถุนายน 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55315
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ชู มวยไทยเป็น Soft Power สู่เวทีระดับโลก แนะกระทรวงการท่องเที่ยวฯ หารือภาคเอกชน จัดเทศกาลมวยไทยในประเทศ เพื่อร่วมส่งเสริมวัฒนธรรมไทย
วันอังคารที่ 11 มกราคม 2565 นายกรัฐมนตรี ชู มวยไทยเป็น Soft Power สู่เวทีระดับโลก แนะกระทรวงการท่องเที่ยวฯ หารือภาคเอกชน จัดเทศกาลมวยไทยในประเทศ เพื่อร่วมส่งเสริมวัฒนธรรมไทย นายกรัฐมนตรี ชู มวยไทยเป็น Soft Power สู่เวทีระดับโลก แนะกระทรวงการท่องเที่ยวฯ หารือภาคเอกชน จัดเทศกาลมวยไทยในประเทศ เพื่อร่วมส่งเสริมวัฒนธรรมไทย วันนี้ (11 มกราคม 2565) เวลา 08.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ธันวาคม ทิพยจันทร์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและนายกสมาคมพันธมิตรมวยไทยโลก เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อหารือถึงแนวทางการพัฒนาสนับสนุนมวยไทยซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยในการสร้างมูลค่าเพิ่มในระดับท้องถิ่น ประเทศ และขยายสู่ระดับสากล โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ พลเอก ธันวาคม รายงานนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางและข้อเสนอแนะถึงแผนในการขับเคลื่อนมวยไทย เพื่อให้มีการสร้างมูลค่า สร้างงาน และสร้างรายได้ ให้กับคนไทยในประเทศ และเพื่อพัฒนาศิลปะมวยไทยซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ประจําชาติไทยไปสู่ระดับสากล โดยการสร้างแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมกิจกรรมที่เกี่ยวกับมวยไทยไว้ทั้งหมด เช่น เรื่องของการเรียนการสอนมวยไทย การฝึกและแข่งขันมวยไทย ตํารามวยไทย และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับมวยไทย ตลอดจนการใช้ศิลปะมวยไทยในการสร้างสุขภาพที่ดีในการออกกําลังกายให้กับผู้สูงอายุด้วย โดยเป็นการประสานความร่วมมือของทุกหน่วยงานและกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น พร้อมเสนอให้มีการเรียนการสอนมวยไทยในเด็กทุกโรงเรียน รวมทั้งยังได้เสนอแนวทางให้มีการจัดเทศกาลมวยไทย เพื่อแสดงศักยภาพศิลปะการต่อสู้เพื่อสร้างมูลค่าของวัฒนธรรมไทยให้มีค่ามากยิ่งขึ้น ที่สําคัญคือจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับประเทศอีกด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณถึงข้อเสนอแนะ และแผนงานแนวทางในการพัฒนาขับเคลื่อนมวยไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรมไทย เพราะมวยไทยถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ที่สําคัญของประเทศไทย เพราะในการต่อสู้ในเวทีระดับโลกมักจะมีการนําท่าทางของมวยไทยไปดัดแปลงผสมผสานอยู่เสมอ โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการดําเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าว รวมทั้งแนะนําให้พิจารณาประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน ถึงความเป็นไปได้ในการจัดเทศกาลมวยไทยในประเทศไทย เพราะจะเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยในด้านอื่นด้วย อาทิ อาหารไทย เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า โดยขอให้คํานึงถึงกติกาและความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ........................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี ชู มวยไทยเป็น Soft Power สู่เวทีระดับโลก แนะกระทรวงการท่องเที่ยวฯ หารือภาคเอกชน จัดเทศกาลมวยไทยในประเทศ เพื่อร่วมส่งเสริมวัฒนธรรมไทย วันอังคารที่ 11 มกราคม 2565 นายกรัฐมนตรี ชู มวยไทยเป็น Soft Power สู่เวทีระดับโลก แนะกระทรวงการท่องเที่ยวฯ หารือภาคเอกชน จัดเทศกาลมวยไทยในประเทศ เพื่อร่วมส่งเสริมวัฒนธรรมไทย นายกรัฐมนตรี ชู มวยไทยเป็น Soft Power สู่เวทีระดับโลก แนะกระทรวงการท่องเที่ยวฯ หารือภาคเอกชน จัดเทศกาลมวยไทยในประเทศ เพื่อร่วมส่งเสริมวัฒนธรรมไทย วันนี้ (11 มกราคม 2565) เวลา 08.00 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ธันวาคม ทิพยจันทร์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและนายกสมาคมพันธมิตรมวยไทยโลก เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อหารือถึงแนวทางการพัฒนาสนับสนุนมวยไทยซึ่งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทยในการสร้างมูลค่าเพิ่มในระดับท้องถิ่น ประเทศ และขยายสู่ระดับสากล โดยมี นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมด้วย นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ พลเอก ธันวาคม รายงานนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับแนวทางและข้อเสนอแนะถึงแผนในการขับเคลื่อนมวยไทย เพื่อให้มีการสร้างมูลค่า สร้างงาน และสร้างรายได้ ให้กับคนไทยในประเทศ และเพื่อพัฒนาศิลปะมวยไทยซึ่งเป็นศิลปะการต่อสู้ประจําชาติไทยไปสู่ระดับสากล โดยการสร้างแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมกิจกรรมที่เกี่ยวกับมวยไทยไว้ทั้งหมด เช่น เรื่องของการเรียนการสอนมวยไทย การฝึกและแข่งขันมวยไทย ตํารามวยไทย และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับมวยไทย ตลอดจนการใช้ศิลปะมวยไทยในการสร้างสุขภาพที่ดีในการออกกําลังกายให้กับผู้สูงอายุด้วย โดยเป็นการประสานความร่วมมือของทุกหน่วยงานและกระทรวงต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น พร้อมเสนอให้มีการเรียนการสอนมวยไทยในเด็กทุกโรงเรียน รวมทั้งยังได้เสนอแนวทางให้มีการจัดเทศกาลมวยไทย เพื่อแสดงศักยภาพศิลปะการต่อสู้เพื่อสร้างมูลค่าของวัฒนธรรมไทยให้มีค่ามากยิ่งขึ้น ที่สําคัญคือจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างรายได้ให้กับประเทศอีกด้วย โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณถึงข้อเสนอแนะ และแผนงานแนวทางในการพัฒนาขับเคลื่อนมวยไทยเพื่อเพิ่มมูลค่าทางวัฒนธรรมไทย เพราะมวยไทยถือว่าเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ที่สําคัญของประเทศไทย เพราะในการต่อสู้ในเวทีระดับโลกมักจะมีการนําท่าทางของมวยไทยไปดัดแปลงผสมผสานอยู่เสมอ โดยนายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการดําเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าว รวมทั้งแนะนําให้พิจารณาประสานความร่วมมือกับภาคเอกชน ถึงความเป็นไปได้ในการจัดเทศกาลมวยไทยในประเทศไทย เพราะจะเป็นการส่งเสริมวัฒนธรรมไทยในด้านอื่นด้วย อาทิ อาหารไทย เครื่องแต่งกาย เสื้อผ้า โดยขอให้คํานึงถึงกติกาและความคุ้มค่าในการใช้งบประมาณให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ........................ กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50402
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ดัน “หมอพร้อม” สู่ Digital Health Pass แสดงข้อมูลวัคซีน-ผลตรวจเชื้อก่อนใช้บริการ รองรับเปิดประเทศ
วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564 สธ.ดัน “หมอพร้อม” สู่ Digital Health Pass แสดงข้อมูลวัคซีน-ผลตรวจเชื้อก่อนใช้บริการ รองรับเปิดประเทศ กระทรวงสาธารณสุขยกระดับ “หมอพร้อม” เป็น Digital Health Pass แสดงหลักฐานการรับวัคซีนโควิด 19 ผลการตรวจหาเชื้อทั้ง RT-PCR และ ATK รวมถึงประวัติการติดเชื้อ ช่วยอํานวยความสะดวกในการเดินทางและเข้ารับบริการในสถานที่ต่างๆ ตามมาตรการ COVID Free Setting กระทรวงสาธารณสุขยกระดับ “หมอพร้อม” เป็นDigital Health Pass แสดงหลักฐานการรับวัคซีนโควิด 19ผลการตรวจหาเชื้อทั้งRT-PCR และ ATK รวมถึงประวัติการติดเชื้อ ช่วยอํานวยความสะดวกในการเดินทางและเข้ารับบริการในสถานที่ต่างๆ ตามมาตรการ COVID Free Setting เพื่ออยู่ร่วมกับโควิดอย่างปลอดภัย วันนี้ (18 ตุลาคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคโควิด 19 ให้อยู่ในระดับทรงตัว มีการทยอยเปิดกิจการกิจกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การเปิดประเทศ โดยยึดหลักว่าประชาชนสามารถใช้ชีวิตร่วมกับโรคโควิด 19 อย่างปลอดภัย สิ่งสําคัญคือการเข้มมาตรการป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา (Universal Prevention) การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมตามเป้าหมาย เพื่อช่วยลดการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต และสถานประกอบการต่างๆ ใช้มาตรการองค์กรปลอดเชื้อโควิด หรือ COVID Free Setting ซึ่งจําเป็นต้องมีระบบมารองรับให้สามารถตรวจสอบประวัติการรับวัคซีน ผลการตรวจหาเชื้อ และการวินิจฉัยโควิด 19 ได้ นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขจึงพัฒนาระบบ “หมอพร้อม” ซึ่งเดิมเป็นระบบที่รวบรวมรายงานผลการฉีดวัคซีนโควิด 19 และอาการไม่พึงประสงค์ ให้เป็นDigital Health Pass เพื่อรองรับการเปิดประเทศ อํานวยความสะดวกแก่สถานประกอบการในการตรวจสอบและประชาชนในการแสดงหลักฐานข้อมูล ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.การรับวัคซีนโควิด 19 ซึ่งจะถูกบันทึกโดยหน่วยบริการวัคซีนโควิด 19 ทั่วประเทศหากประชาชนได้รับวัคซีนครบ ระบบจะแสดงสถานะสีเขียวว่า “รับวัคซีนแล้ว (Vaccinated)” 2.ผลตรวจหาเชื้อโควิด 19 ทั้งแบบ RT-PCR และ ATK โดยข้อมูลจะถูกส่งมาจากโรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยา และหน่วยงานอื่นๆ ที่ร่วมโครงการ “หมอพร้อม Station” ในการบันทึกข้อมูลการตรวจหาเชื้อโควิด 19 และ 3.ประวัติการวินิจฉัยโควิด 19 ที่จะแสดงสถานะการวินิจฉัยโควิด 19 โดยแพทย์ สําหรับผู้ที่หายป่วยแล้ว “ข้อมูลที่แสดงบนDigital Health Pass เป็นข้อมูลแบบย่อเพื่อให้ผู้ให้บริการตรวจสอบ และสามารถสแกน QR Code ที่อยู่ด้านล่างสุด เพื่อตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ซึ่งการแสดงข้อมูลบนแพลตฟอร์มเดียว ช่วยลดการพกพาเอกสารหลายฉบับ โดยหมอพร้อมได้เพิ่มระบบความปลอดภัยในการแสดงข้อมูลส่วนบุคคล ประชาชนสามารถกดปุ่มเปิดปิดการแสดงข้อมูลส่วนบุคคลได้ มีระบบเข้ารหัสเพื่อป้องกันการปลอมแปลงและอ่านข้อมูลจัดเก็บข้อมูลด้วยเทคโนโลยีBlockchain ที่เป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ตรวจสอบที่มาที่ไปของข้อมูลได้ที่ผ่านมามีการนํา Digital Health Pass มาใช้ตรวจสอบการเดินทางโดยสารการบินภายในประเทศไทย และหลังจากนี้สามารถนํามาใช้แสดงสถานะสุขภาพเพื่อเดินทางเข้าจังหวัด หรือเข้าใช้บริการสถานที่ต่างๆ ได้” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว *********************************** 18 ตุลาคม 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ดัน “หมอพร้อม” สู่ Digital Health Pass แสดงข้อมูลวัคซีน-ผลตรวจเชื้อก่อนใช้บริการ รองรับเปิดประเทศ วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564 สธ.ดัน “หมอพร้อม” สู่ Digital Health Pass แสดงข้อมูลวัคซีน-ผลตรวจเชื้อก่อนใช้บริการ รองรับเปิดประเทศ กระทรวงสาธารณสุขยกระดับ “หมอพร้อม” เป็น Digital Health Pass แสดงหลักฐานการรับวัคซีนโควิด 19 ผลการตรวจหาเชื้อทั้ง RT-PCR และ ATK รวมถึงประวัติการติดเชื้อ ช่วยอํานวยความสะดวกในการเดินทางและเข้ารับบริการในสถานที่ต่างๆ ตามมาตรการ COVID Free Setting กระทรวงสาธารณสุขยกระดับ “หมอพร้อม” เป็นDigital Health Pass แสดงหลักฐานการรับวัคซีนโควิด 19ผลการตรวจหาเชื้อทั้งRT-PCR และ ATK รวมถึงประวัติการติดเชื้อ ช่วยอํานวยความสะดวกในการเดินทางและเข้ารับบริการในสถานที่ต่างๆ ตามมาตรการ COVID Free Setting เพื่ออยู่ร่วมกับโควิดอย่างปลอดภัย วันนี้ (18 ตุลาคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยสามารถควบคุมโรคโควิด 19 ให้อยู่ในระดับทรงตัว มีการทยอยเปิดกิจการกิจกรรมต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อมุ่งสู่การเปิดประเทศ โดยยึดหลักว่าประชาชนสามารถใช้ชีวิตร่วมกับโรคโควิด 19 อย่างปลอดภัย สิ่งสําคัญคือการเข้มมาตรการป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา (Universal Prevention) การฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมตามเป้าหมาย เพื่อช่วยลดการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิต และสถานประกอบการต่างๆ ใช้มาตรการองค์กรปลอดเชื้อโควิด หรือ COVID Free Setting ซึ่งจําเป็นต้องมีระบบมารองรับให้สามารถตรวจสอบประวัติการรับวัคซีน ผลการตรวจหาเชื้อ และการวินิจฉัยโควิด 19 ได้ นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขจึงพัฒนาระบบ “หมอพร้อม” ซึ่งเดิมเป็นระบบที่รวบรวมรายงานผลการฉีดวัคซีนโควิด 19 และอาการไม่พึงประสงค์ ให้เป็นDigital Health Pass เพื่อรองรับการเปิดประเทศ อํานวยความสะดวกแก่สถานประกอบการในการตรวจสอบและประชาชนในการแสดงหลักฐานข้อมูล ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.การรับวัคซีนโควิด 19 ซึ่งจะถูกบันทึกโดยหน่วยบริการวัคซีนโควิด 19 ทั่วประเทศหากประชาชนได้รับวัคซีนครบ ระบบจะแสดงสถานะสีเขียวว่า “รับวัคซีนแล้ว (Vaccinated)” 2.ผลตรวจหาเชื้อโควิด 19 ทั้งแบบ RT-PCR และ ATK โดยข้อมูลจะถูกส่งมาจากโรงพยาบาล คลินิก ร้านขายยา และหน่วยงานอื่นๆ ที่ร่วมโครงการ “หมอพร้อม Station” ในการบันทึกข้อมูลการตรวจหาเชื้อโควิด 19 และ 3.ประวัติการวินิจฉัยโควิด 19 ที่จะแสดงสถานะการวินิจฉัยโควิด 19 โดยแพทย์ สําหรับผู้ที่หายป่วยแล้ว “ข้อมูลที่แสดงบนDigital Health Pass เป็นข้อมูลแบบย่อเพื่อให้ผู้ให้บริการตรวจสอบ และสามารถสแกน QR Code ที่อยู่ด้านล่างสุด เพื่อตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ซึ่งการแสดงข้อมูลบนแพลตฟอร์มเดียว ช่วยลดการพกพาเอกสารหลายฉบับ โดยหมอพร้อมได้เพิ่มระบบความปลอดภัยในการแสดงข้อมูลส่วนบุคคล ประชาชนสามารถกดปุ่มเปิดปิดการแสดงข้อมูลส่วนบุคคลได้ มีระบบเข้ารหัสเพื่อป้องกันการปลอมแปลงและอ่านข้อมูลจัดเก็บข้อมูลด้วยเทคโนโลยีBlockchain ที่เป็นมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ตรวจสอบที่มาที่ไปของข้อมูลได้ที่ผ่านมามีการนํา Digital Health Pass มาใช้ตรวจสอบการเดินทางโดยสารการบินภายในประเทศไทย และหลังจากนี้สามารถนํามาใช้แสดงสถานะสุขภาพเพื่อเดินทางเข้าจังหวัด หรือเข้าใช้บริการสถานที่ต่างๆ ได้” นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว *********************************** 18 ตุลาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47123
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชัยวุฒิ ย้ำตำรวจทั่วประเทศ PDPA มุ่งคุ้มครองสิทธิข้อมูลส่วนบุคคลของ ปชช.
วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565 ชัยวุฒิ ย้ําตํารวจทั่วประเทศ PDPA มุ่งคุ้มครองสิทธิข้อมูลส่วนบุคคลของ ปชช. ชัยวุฒิ ย้ําตํารวจทั่วประเทศ PDPA มุ่งคุ้มครองสิทธิข้อมูลส่วนบุคคลของ ปชช. นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมย้ําตํารวจทั่วประเทศว่าPDPAมุ่งคุ้มครองสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยทุกคนทั้งเบอร์โทรศัพท์ที่อยู่ประวัติรสนิยมทางเพศเป็นต้นขอให้ตํารวจช่วยชี้แจงพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562 (PDPA) ที่เริ่มบังคับใช้1มิ.ย. 65ให้ประชาชนเข้าใจว่ายังใช้ชีวิตเหมือนปกติถ่ายรูปโพสท์รูปติดคนอื่นได้ไม่ต้องกังวลตราบใดที่ไม่ไปสร้างความเสียหายหรือเอารูปคนอื่นไปหาผลประโยชน์ ในวันที่10มิ.ย.นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้กล่าวเปิดงานอบรม“PDPAข้อกฎหมายและแนวปฏิบัติสําหรับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ”สําหรับตํารวจทั่วทั้งประเทศโดยเป็นการร่วมจัดอบรมระหว่างสํานักงานตํารวจแห่งชาติและกระทรวงดิจทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเพื่อมุ่งให้ความรู้ที่ถูกต้องตลอดจนแนวปฏิบัติสําหรับตํารวจทั่วประเทศ นายชัยวุฒิกล่าวว่าข้าราชการตํารวจและสํานักงานตํารวจแห่งชาติเป็นกลไกสําคัญในการคุ้มครองสิทธิข้อมูลส่วนบุคคลของปชช.โดยเฉพาะกฎหมายฉบับนี้มีทั้งโทษทางแพ่งโทษทางอาญาและโทษทางปกครองมุ่งลงโทษอาชญากรและคนร้ายซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องที่สําคัญที่ทางผู้เข้าร่วมอบรมต้องรู้ให้ครบถ้วนถูกต้อง นายเวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกล่าวว่าการจัดอบรมในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงดิจิทัลฯที่ต้องการให้PDPAเกิดประโยชน์กับประชาชนในขณะเดียวกันมุ่งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีภาระในการปฎิบัติตามกฎหมายน้อยที่สุดสะท้อนการเริ่มบังคับใช้ในช่วงแรกที่ไม่ควรเป็นภาระมากเกินไปเน้นการให้ความรู้และตักเตือนและการอบรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องโดยกระทรวงดิจิทัลฯจัดร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ “PDPAสนับสนุนการทํางานของตํารวจมีการยกเว้นPDPAสําหรับตํารวจที่ทํางานตามอํานาจหน้าที่ตามกฎหมายอย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตํารวจต้องมีความระมัดระวังในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่ได้มาอย่าให้รั่วไหลหรือถูกนําไปใช้อย่างผิดกฎหมาย”รัฐมนตรีชัยวุฒิกล่าว ข้อมูลเพิ่มเติมfb PDPC Thailandหรือโทร1111 **************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชัยวุฒิ ย้ำตำรวจทั่วประเทศ PDPA มุ่งคุ้มครองสิทธิข้อมูลส่วนบุคคลของ ปชช. วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2565 ชัยวุฒิ ย้ําตํารวจทั่วประเทศ PDPA มุ่งคุ้มครองสิทธิข้อมูลส่วนบุคคลของ ปชช. ชัยวุฒิ ย้ําตํารวจทั่วประเทศ PDPA มุ่งคุ้มครองสิทธิข้อมูลส่วนบุคคลของ ปชช. นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมย้ําตํารวจทั่วประเทศว่าPDPAมุ่งคุ้มครองสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลของคนไทยทุกคนทั้งเบอร์โทรศัพท์ที่อยู่ประวัติรสนิยมทางเพศเป็นต้นขอให้ตํารวจช่วยชี้แจงพ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลพ.ศ. 2562 (PDPA) ที่เริ่มบังคับใช้1มิ.ย. 65ให้ประชาชนเข้าใจว่ายังใช้ชีวิตเหมือนปกติถ่ายรูปโพสท์รูปติดคนอื่นได้ไม่ต้องกังวลตราบใดที่ไม่ไปสร้างความเสียหายหรือเอารูปคนอื่นไปหาผลประโยชน์ ในวันที่10มิ.ย.นายชัยวุฒิธนาคมานุสรณ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้กล่าวเปิดงานอบรม“PDPAข้อกฎหมายและแนวปฏิบัติสําหรับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ”สําหรับตํารวจทั่วทั้งประเทศโดยเป็นการร่วมจัดอบรมระหว่างสํานักงานตํารวจแห่งชาติและกระทรวงดิจทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเพื่อมุ่งให้ความรู้ที่ถูกต้องตลอดจนแนวปฏิบัติสําหรับตํารวจทั่วประเทศ นายชัยวุฒิกล่าวว่าข้าราชการตํารวจและสํานักงานตํารวจแห่งชาติเป็นกลไกสําคัญในการคุ้มครองสิทธิข้อมูลส่วนบุคคลของปชช.โดยเฉพาะกฎหมายฉบับนี้มีทั้งโทษทางแพ่งโทษทางอาญาและโทษทางปกครองมุ่งลงโทษอาชญากรและคนร้ายซึ่งคิดว่าเป็นเรื่องที่สําคัญที่ทางผู้เข้าร่วมอบรมต้องรู้ให้ครบถ้วนถูกต้อง นายเวทางค์พ่วงทรัพย์รองปลัดกระทรวงดิจิทัลฯปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลกล่าวว่าการจัดอบรมในครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงดิจิทัลฯที่ต้องการให้PDPAเกิดประโยชน์กับประชาชนในขณะเดียวกันมุ่งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีภาระในการปฎิบัติตามกฎหมายน้อยที่สุดสะท้อนการเริ่มบังคับใช้ในช่วงแรกที่ไม่ควรเป็นภาระมากเกินไปเน้นการให้ความรู้และตักเตือนและการอบรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องโดยกระทรวงดิจิทัลฯจัดร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติ “PDPAสนับสนุนการทํางานของตํารวจมีการยกเว้นPDPAสําหรับตํารวจที่ทํางานตามอํานาจหน้าที่ตามกฎหมายอย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตํารวจต้องมีความระมัดระวังในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชนที่ได้มาอย่าให้รั่วไหลหรือถูกนําไปใช้อย่างผิดกฎหมาย”รัฐมนตรีชัยวุฒิกล่าว ข้อมูลเพิ่มเติมfb PDPC Thailandหรือโทร1111 **************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55584
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. อาสาจัดรถขนส่งสิ่งของ - เครื่องอุปโภคบริโภค บริการให้กับประชาชนที่ต้องการช่วยผู้ป่วย COVID-19 และบุคลากรทางการแพทย์
วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 ธ.ก.ส. อาสาจัดรถขนส่งสิ่งของ - เครื่องอุปโภคบริโภค บริการให้กับประชาชนที่ต้องการช่วยผู้ป่วย COVID-19 และบุคลากรทางการแพทย์ ธ.ก.ส.ร่วมส่งต่อน้ําใจสู่สังคม ด้วยการจัดรถให้บริการขนส่งสิ่งของ เครื่องอุปโภคบริโภคของผู้บริจาคไปยังบุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ธ.ก.ส.ร่วมส่งต่อน้ําใจสู่สังคม ด้วยการจัดรถให้บริการขนส่งสิ่งของ เครื่องอุปโภคบริโภคของผู้บริจาคไปยังบุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้ที่ประสงค์ใช้บริการติดต่อได้ที่ Call Center 02 555 0555 นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ยังคงเกิดขึ้นในขณะนี้ ส่งผลให้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจํานวนมาก ทําให้การเข้าไปดูแลช่วยเหลือไม่สามารถดําเนินไปได้อย่างทันท่วงทีและไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ธ.ก.ส. ได้ดําเนินโครงการช่วยขนส่งสิ่งของอุปโภคบริโภคของผู้ปันน้ําใจไปให้บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วยการจัดรถให้บริการขนส่งสิ่งของในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนหน่วยงานหรือบุคคลที่มีความประสงค์บริจาคอาหารหรือสิ่งจําเป็นในการดํารงชีวิตหรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยไปให้บุคลากรทางการแพทย์หรือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยผู้ที่มีความประสงค์ใช้บริการดังกล่าว สามารถติดต่อ ได้ที่ Call Center 02 555 0555 ธ.ก.ส.ในฐานะหน่วยงานของรัฐภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือและให้บริการกับประชาชน ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลําบากอย่างเต็มที่ เพื่อให้คนไทยทุกคนก้าวข้ามวิกฤติต่าง ๆ ไปด้วยกัน โดยที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้มีนโยบายให้สาขาทั่วประเทศ เข้าไปสนับสนุน น้ําดื่ม อาหารกล่อง รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หน่วยให้บริการฉีดวัคซีนในพื้นที่ อีกทั้งได้สมทบทุนเงินบริจาคให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อาทิ มูลนิธิโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช มูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ในการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19 มูลนิธิไทยพีบีเอส เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วไปผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อสนับสนุนโครงการตรวจคัดกรองโควิดทันใจ (Rapid Antigen Test) นําไปใช้สําหรับรองรับตรวจสอบการได้รับเชื้อไวรัส COVID-19 เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส. อาสาจัดรถขนส่งสิ่งของ - เครื่องอุปโภคบริโภค บริการให้กับประชาชนที่ต้องการช่วยผู้ป่วย COVID-19 และบุคลากรทางการแพทย์ วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 ธ.ก.ส. อาสาจัดรถขนส่งสิ่งของ - เครื่องอุปโภคบริโภค บริการให้กับประชาชนที่ต้องการช่วยผู้ป่วย COVID-19 และบุคลากรทางการแพทย์ ธ.ก.ส.ร่วมส่งต่อน้ําใจสู่สังคม ด้วยการจัดรถให้บริการขนส่งสิ่งของ เครื่องอุปโภคบริโภคของผู้บริจาคไปยังบุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ธ.ก.ส.ร่วมส่งต่อน้ําใจสู่สังคม ด้วยการจัดรถให้บริการขนส่งสิ่งของ เครื่องอุปโภคบริโภคของผู้บริจาคไปยังบุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย ผู้ที่ประสงค์ใช้บริการติดต่อได้ที่ Call Center 02 555 0555 นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ยังคงเกิดขึ้นในขณะนี้ ส่งผลให้มียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นจํานวนมาก ทําให้การเข้าไปดูแลช่วยเหลือไม่สามารถดําเนินไปได้อย่างทันท่วงทีและไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบดังกล่าว ธ.ก.ส. ได้ดําเนินโครงการช่วยขนส่งสิ่งของอุปโภคบริโภคของผู้ปันน้ําใจไปให้บุคลากรทางการแพทย์หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วยการจัดรถให้บริการขนส่งสิ่งของในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่าย เพื่อสนับสนุนหน่วยงานหรือบุคคลที่มีความประสงค์บริจาคอาหารหรือสิ่งจําเป็นในการดํารงชีวิตหรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขอนามัยไปให้บุคลากรทางการแพทย์หรือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยผู้ที่มีความประสงค์ใช้บริการดังกล่าว สามารถติดต่อ ได้ที่ Call Center 02 555 0555 ธ.ก.ส.ในฐานะหน่วยงานของรัฐภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือและให้บริการกับประชาชน ภายใต้สถานการณ์ที่ยากลําบากอย่างเต็มที่ เพื่อให้คนไทยทุกคนก้าวข้ามวิกฤติต่าง ๆ ไปด้วยกัน โดยที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้มีนโยบายให้สาขาทั่วประเทศ เข้าไปสนับสนุน น้ําดื่ม อาหารกล่อง รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้กับโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม หน่วยให้บริการฉีดวัคซีนในพื้นที่ อีกทั้งได้สมทบทุนเงินบริจาคให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ในการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อาทิ มูลนิธิโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช มูลนิธิชัยพัฒนา เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ในการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ในการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19 มูลนิธิไทยพีบีเอส เพื่อช่วยเหลือประชาชนทั่วไปผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด และสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เพื่อสนับสนุนโครงการตรวจคัดกรองโควิดทันใจ (Rapid Antigen Test) นําไปใช้สําหรับรองรับตรวจสอบการได้รับเชื้อไวรัส COVID-19 เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44362
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งกรมคุ้มครองสิทธิฯ และยุติธรรมจังหวัดนนทบุรี เยียวยาผู้เสียหาย หลังสามีเก่าบุกคอนโดยิงอดีตภรรยาดับ
วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งกรมคุ้มครองสิทธิฯ และยุติธรรมจังหวัดนนทบุรี เยียวยาผู้เสียหาย หลังสามีเก่าบุกคอนโดยิงอดีตภรรยาดับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งกรมคุ้มครองสิทธิฯ และยุติธรรมจังหวัดนนทบุรี เยียวยาผู้เสียหาย หลังสามีเก่าบุกคอนโดยิงอดีตภรรยาดับ สามีใหม่ได้รับบาดเจ็บ จากกรณี สามีเก่าเมาบุกคอนโดฯ รัวยิงอดีตภรรยาที่เพิ่งเลิก ร่างพรุนดับคาเตียง ก่อนระเบิดขมับฆ่าตัวตายตามส่วนแฟนใหม่ที่อยู่ด้วยขณะเกิดเหตุโดนยิงเจ็บ เผยแต่งงานอยู่กินกันจนมีลูก 3 คน แต่เพิ่งเลิกกันได้ 3 เดือน ฝ่ายชายพยายามง้อ ขอคืนดีแต่ผู้หญิงไม่ยอม ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี วันนี้ (วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2564) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ตนได้มีความห่วงใยครอบครัวผู้เสียชีวิตซึ่งมีบุตรจํานวน 3 คน ต้องสูญเสียมารดาจากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงสั่งการให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และสํานักงานยุติธรรมจังหวัดนนทบุรี ช่วยเหลือเยียวยาตามแนวทาง “ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน” เพื่อให้ครอบครัวผู้เสียหายได้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าว ได้ประสานงานกับนาย นําโชค พงศ์จันทรเสถียร ยุติธรรมจังหวัดนนทบุรีเพื่อให้ความช่วยเหลือในกรณีดังกล่าว โดยคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ประจําจังหวัดนนทบุรี ได้มีการประชุม ในครั้งที่ 12/2564 วันที่ 16 ธันวาคม 2564 พิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ทายาทของผู้เสียชีวิตตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่ จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ดังนี้ (1) ค่าตอบแทนกรณีผู้เสียหายถึงแก่ความตาย จํานวน 50,000 บาท (2) ค่าจัดการศพ 20,000 บาท (3) ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 110,000 บาท กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม หรือผู้เสียหาย หรือพยานในคดีอาญา เพื่ออํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ ส่วนกลาง (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) และส่วนภูมิภาค (สํานักงานยุติธรรมจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ) หรือติดต่อได้ที่ สายด่วนยุติธรรม โทร. 1111 กด 77
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งกรมคุ้มครองสิทธิฯ และยุติธรรมจังหวัดนนทบุรี เยียวยาผู้เสียหาย หลังสามีเก่าบุกคอนโดยิงอดีตภรรยาดับ วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งกรมคุ้มครองสิทธิฯ และยุติธรรมจังหวัดนนทบุรี เยียวยาผู้เสียหาย หลังสามีเก่าบุกคอนโดยิงอดีตภรรยาดับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม สั่งกรมคุ้มครองสิทธิฯ และยุติธรรมจังหวัดนนทบุรี เยียวยาผู้เสียหาย หลังสามีเก่าบุกคอนโดยิงอดีตภรรยาดับ สามีใหม่ได้รับบาดเจ็บ จากกรณี สามีเก่าเมาบุกคอนโดฯ รัวยิงอดีตภรรยาที่เพิ่งเลิก ร่างพรุนดับคาเตียง ก่อนระเบิดขมับฆ่าตัวตายตามส่วนแฟนใหม่ที่อยู่ด้วยขณะเกิดเหตุโดนยิงเจ็บ เผยแต่งงานอยู่กินกันจนมีลูก 3 คน แต่เพิ่งเลิกกันได้ 3 เดือน ฝ่ายชายพยายามง้อ ขอคืนดีแต่ผู้หญิงไม่ยอม ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี วันนี้ (วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2564) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า ตนได้มีความห่วงใยครอบครัวผู้เสียชีวิตซึ่งมีบุตรจํานวน 3 คน ต้องสูญเสียมารดาจากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงสั่งการให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ และสํานักงานยุติธรรมจังหวัดนนทบุรี ช่วยเหลือเยียวยาตามแนวทาง “ยุติธรรมสร้างสุข ยุติธรรมเชิงรุก สร้างสุขให้ประชาชน” เพื่อให้ครอบครัวผู้เสียหายได้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าว ได้ประสานงานกับนาย นําโชค พงศ์จันทรเสถียร ยุติธรรมจังหวัดนนทบุรีเพื่อให้ความช่วยเหลือในกรณีดังกล่าว โดยคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา ประจําจังหวัดนนทบุรี ได้มีการประชุม ในครั้งที่ 12/2564 วันที่ 16 ธันวาคม 2564 พิจารณาให้ความช่วยเหลือแก่ทายาทของผู้เสียชีวิตตามพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่ จําเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2559 ดังนี้ (1) ค่าตอบแทนกรณีผู้เสียหายถึงแก่ความตาย จํานวน 50,000 บาท (2) ค่าจัดการศพ 20,000 บาท (3) ค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 110,000 บาท กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พร้อมให้ความช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม หรือผู้เสียหาย หรือพยานในคดีอาญา เพื่ออํานวยความยุติธรรม ลดความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งสามารถติดต่อขอรับความช่วยเหลือได้ที่ ส่วนกลาง (กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ) และส่วนภูมิภาค (สํานักงานยุติธรรมจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ) หรือติดต่อได้ที่ สายด่วนยุติธรรม โทร. 1111 กด 77
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49883
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง กระตุ้นเตือนนายจ้างรีบยื่นขอรับเงินเยียวยาผ่าน e – service เว็บไซต์ สปส.
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564 รมว.เฮ้ง กระตุ้นเตือนนายจ้างรีบยื่นขอรับเงินเยียวยาผ่าน e – service เว็บไซต์ สปส. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กระตุ้นเตือนไปยังนายจ้างที่ยังไม่ได้ยื่นขอรับค่าชดเชยเยียวยาสามารถยื่นความประสงค์ขอรับเงินได้ที่ ระบบ e – service ของประกันสังคม เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกํากับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เห็นความยากลําบากและมีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ “ล็อกดาวน์” ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เพิ่มเติม จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ นั้น ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร นั้น นายสุชาติ กล่าวว่า สําหรับความคืบหน้าการเยียวยากลุ่มนายจ้างมาตรา 33 จํานวน 3,000 บาท ต่อลูกจ้างไม่เกิน 200 คน นั้น ขณะนี้มีนายจ้างได้ทยอยยื่นขอรับเงินชดเชยเข้ามาในระบบ e -service โดยในพื้นที่ 13 จังหวัดนั้นมีนายจ้างทั้งหมดประมาณ 180,000 ราย ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ยังได้สั่งการให้สํานักงานประกันสังคม เร่งประชาสัมพันธ์กระตุ้นเตือนไปยังนายจ้างที่ยังไม่ได้ยื่นขอรับค่าชดเชยเยียวยาสามารถยื่นความประสงค์ขอรับเงินได้ที่ ระบบ e – service ของประกันสังคม จากนั้นปริ้นข้อมูลแบบรับการเยียวยาแล้วกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์ม ส่งกลับมาให้ประกันสังคมโดยถ้าเป็นนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลต้องแนบเลขบัญชีธนาคารกลับมาด้วย แต่ถ้าเป็นนายจ้างบุคคลธรรมดาให้นายจ้างผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนเพื่อประกันสังคมจะได้โอนเงินให้โดยเร็ว ” รัฐบาล กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความห่วงใยและเห็นความสําคัญของนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกอบการในพื้นที่สีแดงทุกจังหวัด และเข้าใจดีว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ทําให้ทุกคน ทุกกลุ่ม และหลายกิจการได้รับความเดือดร้อนตาม ๆ กัน จึงอยากให้นายจ้างได้รีบยื่นขอรับเงินเยียวยา อย่างน้อยจะช่วยบรรเทาเพื่อลดผลกระทบในเบื้องต้น และช่วยประคองให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ตามเจตนารมย์ของรัฐบาลที่จะฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจให้เดินได้ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง กระตุ้นเตือนนายจ้างรีบยื่นขอรับเงินเยียวยาผ่าน e – service เว็บไซต์ สปส. วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564 รมว.เฮ้ง กระตุ้นเตือนนายจ้างรีบยื่นขอรับเงินเยียวยาผ่าน e – service เว็บไซต์ สปส. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กระตุ้นเตือนไปยังนายจ้างที่ยังไม่ได้ยื่นขอรับค่าชดเชยเยียวยาสามารถยื่นความประสงค์ขอรับเงินได้ที่ ระบบ e – service ของประกันสังคม เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกํากับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เห็นความยากลําบากและมีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการ “ล็อกดาวน์” ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา เพิ่มเติม จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ครอบคลุม 9 ประเภทกิจการ นั้น ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร นั้น นายสุชาติ กล่าวว่า สําหรับความคืบหน้าการเยียวยากลุ่มนายจ้างมาตรา 33 จํานวน 3,000 บาท ต่อลูกจ้างไม่เกิน 200 คน นั้น ขณะนี้มีนายจ้างได้ทยอยยื่นขอรับเงินชดเชยเข้ามาในระบบ e -service โดยในพื้นที่ 13 จังหวัดนั้นมีนายจ้างทั้งหมดประมาณ 180,000 ราย ทั้งนี้ รมว.แรงงาน ยังได้สั่งการให้สํานักงานประกันสังคม เร่งประชาสัมพันธ์กระตุ้นเตือนไปยังนายจ้างที่ยังไม่ได้ยื่นขอรับค่าชดเชยเยียวยาสามารถยื่นความประสงค์ขอรับเงินได้ที่ ระบบ e – service ของประกันสังคม จากนั้นปริ้นข้อมูลแบบรับการเยียวยาแล้วกรอกข้อมูลตามแบบฟอร์ม ส่งกลับมาให้ประกันสังคมโดยถ้าเป็นนายจ้างที่เป็นนิติบุคคลต้องแนบเลขบัญชีธนาคารกลับมาด้วย แต่ถ้าเป็นนายจ้างบุคคลธรรมดาให้นายจ้างผูกพร้อมเพย์กับบัตรประชาชนเพื่อประกันสังคมจะได้โอนเงินให้โดยเร็ว ” รัฐบาล กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีความห่วงใยและเห็นความสําคัญของนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกอบการในพื้นที่สีแดงทุกจังหวัด และเข้าใจดีว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในครั้งนี้ทําให้ทุกคน ทุกกลุ่ม และหลายกิจการได้รับความเดือดร้อนตาม ๆ กัน จึงอยากให้นายจ้างได้รีบยื่นขอรับเงินเยียวยา อย่างน้อยจะช่วยบรรเทาเพื่อลดผลกระทบในเบื้องต้น และช่วยประคองให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ตามเจตนารมย์ของรัฐบาลที่จะฟื้นฟูระบบเศรษฐกิจให้เดินได้ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”นายสุชาติ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44551
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เกษตรฯ เยี่ยมชมแปลงใหญ่แพะ จ.อำนาจเจริญ
วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม 2564 รมว.เกษตรฯ เยี่ยมชมแปลงใหญ่แพะ จ.อํานาจเจริญ รมว.เกษตรฯ เยี่ยมชมแปลงใหญ่แพะ จ.อํานาจเจริญ สนับสนุนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนและผู้ที่สนใจ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนนโยบาย "เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" ภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนําการผลิตของสินค้าปศุสัตว์จังหวัดอํานาจเจริญ ณ แปลงใหญ่แพะ ม.7 ต.นาป่าแซง อ.ปทุมราชวงศา จ.อํานาจเจริญ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มขึ้นทะเบียนในโครงการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ด้านปศุสัตว์ มีสมาชิกที่เป็นเกษตรกรต้นแบบที่ประสบความสําเร็จในการเลี้ยงแพะ จนสามารถเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนและผู้ที่สนใจ อีกทั้งยังสามารถจําหน่ายแพะทั้งในและต่างประเทศได้ 12 ครั้ง/ปี ปริมาณครั้งละ 300 - 400 ตัว/ครั้ง ในราคา กก.ละ 100 - 150 บาท ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทางกรมปศุสัตว์ได้สนับสนุนส่งเสริมด้านวิชาการในการเลี้ยงแพะ การจัดการฟาร์ม การแปรรูปและการตลาด โรคระบาดและการบริการในการตรวจโรค การยกระดับฟาร์มให้ได้รับมาตรฐาน และให้การสนับสนุนปัจจัยการผลิตด้วย "กระทรวงเกษตรฯ พร้อมให้การสนับสนุนทั้งในด้านวิชาการ และปัจจัยการผลิต รวมถึงส่งเสริมในเรื่องของการตลาด โดยร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการหาช่องทางตลาดทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เกษตรกรจะต้องมีการเชื่อมโยงเครือข่ายและยกระดับการผลิตทั้งด้านคุณภาพและปริมาณให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดต่อไป" ดร.เฉลิมชัย กล่าว กิจกรรมของกลุ่มแปลงใหญ่แพะ มีสมาชิกเริ่มต้นในปี 2560 จํานวน 35 ราย พื้นที่ดําเนินการ 300 ไร่ จํานวนแพะเริ่มต้นในปี 2560 มีจํานวน 500 ตัว ในปัจจุบันมีแพะจํานวนทั้งสิ้น 3,100 ตัว แบ่งออกเป็นแม่พันธุ์ 2,500 ตัว พ่อพันธุ์ 100 ตัว แพะลูกขุน 500 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแพะพันธุ์ลูกผสมบอร์ โดยมีฟาร์มเครือข่ายผู้เลี้ยงแพะในจังหวัดอํานาจเจริญจํานวน 50 ฟาร์ม และฟาร์มเครือข่ายนอกจังหวัดอํานาจเจริญจํานวน 5 ฟาร์ม ซึ่งเป็นจังหวัดพื้นที่ใกล้เคียง ในด้านการตลาด ทางกลุ่มได้มีการจําหน่ายแพะในประเทศ ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี และมีการจําหน่ายไปยังประเทศเวียดนาม ลาว มาเลเซีย โดยมีพ่อค้ามารับถึงหน้าฟาร์ม มีปริมาณการจําหน่ายอยู่ที่ 4,500 ตัวต่อปี ในด้านผลิตภัณฑ์และการแปรรูป ได้มีการนําเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องจักรกล เข้ามาใช้ในการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้แก่ การทําส้มแพะ แพะฮ้องเต้ แพะหยอง เป็นต้น โดยช่องทางการจําหน่าย มีการจําหน่ายที่หน้าฟาร์ม การออกงานแสดงสินค้าของหน่วยงานต่างๆ ทั้งจําหน่ายผ่านทางแอพพิเคชั่น เพจ เฟสบุ๊ค นอกจากนี้กลุ่มแปลงใหญ่แพะ ได้มีการใช้เทคโนโลยีการผสมเทียมแพะ เข้ามาปรับปรุงพันธุ์ให้กับสมาชิก และยังเป็นเครือข่ายสัตว์พันธุ์ดีของกรมปศุสัตว์ อนึ่ง กลุ่มแปลงใหญ่แพะได้เข้าร่วมโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 โดยได้รับอุดหนุนเป็นจํานวนเงิน 3 ล้านบาท โดยในวันนี้ได้จัดพิธีมอบวัสดุและเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่ตัวแทนเกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการฯ อาทิ อาหารสัตว์ หญ้าแห้ง รถแทรกเตอร์ รถเกี่ยวข้าว รถตัก รถบรรทุกพืชผล เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เกษตรฯ เยี่ยมชมแปลงใหญ่แพะ จ.อำนาจเจริญ วันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม 2564 รมว.เกษตรฯ เยี่ยมชมแปลงใหญ่แพะ จ.อํานาจเจริญ รมว.เกษตรฯ เยี่ยมชมแปลงใหญ่แพะ จ.อํานาจเจริญ สนับสนุนเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนและผู้ที่สนใจ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตรวจเยี่ยมการขับเคลื่อนนโยบาย "เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาด" ภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนําการผลิตของสินค้าปศุสัตว์จังหวัดอํานาจเจริญ ณ แปลงใหญ่แพะ ม.7 ต.นาป่าแซง อ.ปทุมราชวงศา จ.อํานาจเจริญ ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มขึ้นทะเบียนในโครงการส่งเสริมการเกษตรแบบแปลงใหญ่ด้านปศุสัตว์ มีสมาชิกที่เป็นเกษตรกรต้นแบบที่ประสบความสําเร็จในการเลี้ยงแพะ จนสามารถเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนและผู้ที่สนใจ อีกทั้งยังสามารถจําหน่ายแพะทั้งในและต่างประเทศได้ 12 ครั้ง/ปี ปริมาณครั้งละ 300 - 400 ตัว/ครั้ง ในราคา กก.ละ 100 - 150 บาท ทั้งนี้ ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทางกรมปศุสัตว์ได้สนับสนุนส่งเสริมด้านวิชาการในการเลี้ยงแพะ การจัดการฟาร์ม การแปรรูปและการตลาด โรคระบาดและการบริการในการตรวจโรค การยกระดับฟาร์มให้ได้รับมาตรฐาน และให้การสนับสนุนปัจจัยการผลิตด้วย "กระทรวงเกษตรฯ พร้อมให้การสนับสนุนทั้งในด้านวิชาการ และปัจจัยการผลิต รวมถึงส่งเสริมในเรื่องของการตลาด โดยร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์ในการหาช่องทางตลาดทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม เกษตรกรจะต้องมีการเชื่อมโยงเครือข่ายและยกระดับการผลิตทั้งด้านคุณภาพและปริมาณให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดต่อไป" ดร.เฉลิมชัย กล่าว กิจกรรมของกลุ่มแปลงใหญ่แพะ มีสมาชิกเริ่มต้นในปี 2560 จํานวน 35 ราย พื้นที่ดําเนินการ 300 ไร่ จํานวนแพะเริ่มต้นในปี 2560 มีจํานวน 500 ตัว ในปัจจุบันมีแพะจํานวนทั้งสิ้น 3,100 ตัว แบ่งออกเป็นแม่พันธุ์ 2,500 ตัว พ่อพันธุ์ 100 ตัว แพะลูกขุน 500 ตัว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแพะพันธุ์ลูกผสมบอร์ โดยมีฟาร์มเครือข่ายผู้เลี้ยงแพะในจังหวัดอํานาจเจริญจํานวน 50 ฟาร์ม และฟาร์มเครือข่ายนอกจังหวัดอํานาจเจริญจํานวน 5 ฟาร์ม ซึ่งเป็นจังหวัดพื้นที่ใกล้เคียง ในด้านการตลาด ทางกลุ่มได้มีการจําหน่ายแพะในประเทศ ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี และมีการจําหน่ายไปยังประเทศเวียดนาม ลาว มาเลเซีย โดยมีพ่อค้ามารับถึงหน้าฟาร์ม มีปริมาณการจําหน่ายอยู่ที่ 4,500 ตัวต่อปี ในด้านผลิตภัณฑ์และการแปรรูป ได้มีการนําเทคโนโลยี เครื่องมือเครื่องจักรกล เข้ามาใช้ในการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้แก่ การทําส้มแพะ แพะฮ้องเต้ แพะหยอง เป็นต้น โดยช่องทางการจําหน่าย มีการจําหน่ายที่หน้าฟาร์ม การออกงานแสดงสินค้าของหน่วยงานต่างๆ ทั้งจําหน่ายผ่านทางแอพพิเคชั่น เพจ เฟสบุ๊ค นอกจากนี้กลุ่มแปลงใหญ่แพะ ได้มีการใช้เทคโนโลยีการผสมเทียมแพะ เข้ามาปรับปรุงพันธุ์ให้กับสมาชิก และยังเป็นเครือข่ายสัตว์พันธุ์ดีของกรมปศุสัตว์ อนึ่ง กลุ่มแปลงใหญ่แพะได้เข้าร่วมโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด ภายใต้แผนฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด – 19 โดยได้รับอุดหนุนเป็นจํานวนเงิน 3 ล้านบาท โดยในวันนี้ได้จัดพิธีมอบวัสดุและเครื่องจักรกลการเกษตรให้แก่ตัวแทนเกษตรกร ที่เข้าร่วมโครงการฯ อาทิ อาหารสัตว์ หญ้าแห้ง รถแทรกเตอร์ รถเกี่ยวข้าว รถตัก รถบรรทุกพืชผล เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46781
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมและบริการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน/ยาในประเทศ
วันจันทร์ที่ 6 กันยายน 2564 บีโอไอส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมและบริการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน/ยาในประเทศ บอร์ดบีโอไอ ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้กับนักลงทุน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่ได้บีโอไอสนับสนุนเงินทุนแก่โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยา พร้อมวางมาตรการส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงปรับปรุงมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในระดับภูมิภาค เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอเปิดเผยว่า วันนี้ (6กันยายน2564) ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบมาตรการสําคัญ3เรื่อง 1.สนับสนุนการพัฒนาวัคซีนและ/หรือยาในประเทศและการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(โควิด-19)ซึ่งประกอบด้วย2เรื่อง ดังนี้ 1)ผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสามารถนําเงินสนับสนุนแก่โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาของสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย หรือหน่วยงานภาครัฐมาขอสิทธิประโยชน์ตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based Incentives)ได้ กรณีที่เงินสนับสนุนมีมูลค่าอย่างน้อยร้อยละ 1 ของยอดขายของโครงการใน 3 ปีแรกรวมกัน หรืออย่างน้อย 200 ล้านบาท จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก 1-3 ปี และเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 100 ของค่าใช้จ่าย ในกรณีที่ค่าใช้จ่ายไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ํา จะเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 100 ของค่าใช้จ่ายเท่านั้น 2)ผ่อนปรนเงื่อนไขและขยายเวลาการดําเนินการที่เกี่ยวข้องกับการได้สิทธิบีโอไอ ได้แก่การผ่อนผันขยายเวลาการดําเนินการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลเช่นISO 9002,CMMIเป็นต้น แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการตรวจประเมินที่ล่าช้า หรือไม่สามารถตรวจประเมินในสถานประกอบการได้ โดยขยายเวลาออกไปอีก 6 เดือน นับจากวันครบกําหนดการดําเนินการระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม 2564 และการผ่อนผันการขออนุญาตหยุดดําเนินกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลาเกินกว่า2เดือนระหว่างวันที่1เมษายน- 31ธันวาคม2564ทั้งนี้ สามารถกรอกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์โดยไม่ต้องยื่นขออนุญาตจากบีโอไอ 2.กระตุ้นไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ที่ประชุมฯ เห็นชอบการปรับปรุงนโยบายส่งเสริมการลงทุนการผลิตยานพาหนะไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยขยายขอบข่ายของประเภทกิจการผลิต ยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้า และรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ให้ครอบคลุมการผลิตแพลตฟอร์มสําหรับยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV Platform)ที่สามารถนําไปใช้งานร่วมกันได้ระหว่างยานยนต์ไฟฟ้าหลายแบรนด์และรุ่นที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยลดจํานวนวัตถุดิบที่ต้องใช้ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) โดยแพลตฟอร์มต้องประกอบด้วยEnergy Storage System, Charging ModuleและFront & Rear Axle Moduleพร้อมกันนี้ยังเปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถจักรยานไฟฟ้า (Electric BicycleหรือE-BIKE)โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และหากมีการผลิตTraction Motorและ/หรือการผลิตโครงรถจักรยานไฟฟ้าจากวัสดุน้ําหนักเบาภายใน3ปี นับจากวันออกบัตรส่งเสริม จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีกกรณีละ1ปี นอกจากนี้ ยังขอสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมหากมีการวิจัยพัฒนาได้ด้วย 3. ขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่ประชุมฯ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ดังนี้ 1)ขยายขอบข่ายการสนับสนุนตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานรากให้ครอบคลุมถึงการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นในการพัฒนากิจการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกข้าวแบบปล่อยมีเทนต่ํา เป็นต้น นอกจากนี้ ได้ขยายระยะเวลาการยื่นขอรับการส่งเสริมตามมาตรการเศรษฐกิจฐานรากออกไปอีก1ปี จากเดิมจะสิ้นสุดในปี2564เป็นภายในวันทําการสุดท้ายของปี2565 2)เพิ่มขอบข่ายมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพภายใต้มาตรการย่อยด้านการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้ครอบคลุมกรณีการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดปริมาณ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การปรับเปลี่ยนมาใช้สารทําความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระบบทําความเย็นของโรงงานและห้องแช่แข็ง เป็นต้น โดยได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล3ปี สัดส่วนร้อยละ50 ของเงินลงทุน 3)การปรับปรุงประเภทกิจการ สิทธิและประโยชน์ใน2กิจการ คือกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในกรณีใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน(Carbon Capture, Storage and Utilization: CCSU)โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และกิจการห้องเย็นหรือกิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็นในกรณีใช้สารทําความเย็นธรรมชาติ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล3ปี 4)เปิดให้ส่งเสริมการลงทุนกิจการโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และ การกักเก็บคาร์บอน โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี ****************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บีโอไอส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมและบริการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน/ยาในประเทศ วันจันทร์ที่ 6 กันยายน 2564 บีโอไอส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมและบริการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน/ยาในประเทศ บอร์ดบีโอไอ ออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้กับนักลงทุน ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่ได้บีโอไอสนับสนุนเงินทุนแก่โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยา พร้อมวางมาตรการส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมลดก๊าซเรือนกระจก รวมถึงปรับปรุงมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า มุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตในระดับภูมิภาค เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการเติบโตทางเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอเปิดเผยว่า วันนี้ (6กันยายน2564) ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้พิจารณาเห็นชอบมาตรการสําคัญ3เรื่อง 1.สนับสนุนการพัฒนาวัคซีนและ/หรือยาในประเทศและการบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา2019(โควิด-19)ซึ่งประกอบด้วย2เรื่อง ดังนี้ 1)ผู้ประกอบการที่อยู่ระหว่างได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสามารถนําเงินสนับสนุนแก่โครงการวิจัยและพัฒนาวัคซีนและยาของสถาบันการศึกษา สถาบันวิจัย หรือหน่วยงานภาครัฐมาขอสิทธิประโยชน์ตามคุณค่าของโครงการ (Merit-based Incentives)ได้ กรณีที่เงินสนับสนุนมีมูลค่าอย่างน้อยร้อยละ 1 ของยอดขายของโครงการใน 3 ปีแรกรวมกัน หรืออย่างน้อย 200 ล้านบาท จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มอีก 1-3 ปี และเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 100 ของค่าใช้จ่าย ในกรณีที่ค่าใช้จ่ายไม่ถึงเกณฑ์ขั้นต่ํา จะเพิ่มวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในสัดส่วนร้อยละ 100 ของค่าใช้จ่ายเท่านั้น 2)ผ่อนปรนเงื่อนไขและขยายเวลาการดําเนินการที่เกี่ยวข้องกับการได้สิทธิบีโอไอ ได้แก่การผ่อนผันขยายเวลาการดําเนินการให้ได้รับการรับรองมาตรฐานสากลเช่นISO 9002,CMMIเป็นต้น แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการตรวจประเมินที่ล่าช้า หรือไม่สามารถตรวจประเมินในสถานประกอบการได้ โดยขยายเวลาออกไปอีก 6 เดือน นับจากวันครบกําหนดการดําเนินการระหว่างวันที่ 1 เมษายน - 31 ธันวาคม 2564 และการผ่อนผันการขออนุญาตหยุดดําเนินกิจการชั่วคราวเป็นระยะเวลาเกินกว่า2เดือนระหว่างวันที่1เมษายน- 31ธันวาคม2564ทั้งนี้ สามารถกรอกข้อมูลผ่านระบบออนไลน์โดยไม่ต้องยื่นขออนุญาตจากบีโอไอ 2.กระตุ้นไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ที่ประชุมฯ เห็นชอบการปรับปรุงนโยบายส่งเสริมการลงทุนการผลิตยานพาหนะไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ โดยขยายขอบข่ายของประเภทกิจการผลิต ยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า รถสามล้อไฟฟ้า และรถโดยสารไฟฟ้าและรถบรรทุกไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ให้ครอบคลุมการผลิตแพลตฟอร์มสําหรับยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV Platform)ที่สามารถนําไปใช้งานร่วมกันได้ระหว่างยานยนต์ไฟฟ้าหลายแบรนด์และรุ่นที่แตกต่างกัน ซึ่งจะช่วยลดจํานวนวัตถุดิบที่ต้องใช้ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการผลิตและพัฒนายานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ เข้าสู่ตลาด ก่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of Scale) โดยแพลตฟอร์มต้องประกอบด้วยEnergy Storage System, Charging ModuleและFront & Rear Axle Moduleพร้อมกันนี้ยังเปิดให้การส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถจักรยานไฟฟ้า (Electric BicycleหรือE-BIKE)โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี และหากมีการผลิตTraction Motorและ/หรือการผลิตโครงรถจักรยานไฟฟ้าจากวัสดุน้ําหนักเบาภายใน3ปี นับจากวันออกบัตรส่งเสริม จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีกกรณีละ1ปี นอกจากนี้ ยังขอสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมหากมีการวิจัยพัฒนาได้ด้วย 3. ขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อม ที่ประชุมฯ เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนซึ่งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (BCG) ดังนี้ 1)ขยายขอบข่ายการสนับสนุนตามมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานรากให้ครอบคลุมถึงการสนับสนุนองค์กรท้องถิ่นในการพัฒนากิจการเกษตรที่ยั่งยืน เช่น การปลูกข้าวแบบปล่อยมีเทนต่ํา เป็นต้น นอกจากนี้ ได้ขยายระยะเวลาการยื่นขอรับการส่งเสริมตามมาตรการเศรษฐกิจฐานรากออกไปอีก1ปี จากเดิมจะสิ้นสุดในปี2564เป็นภายในวันทําการสุดท้ายของปี2565 2)เพิ่มขอบข่ายมาตรการปรับปรุงประสิทธิภาพภายใต้มาตรการย่อยด้านการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ให้ครอบคลุมกรณีการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อลดปริมาณ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น การปรับเปลี่ยนมาใช้สารทําความเย็นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระบบทําความเย็นของโรงงานและห้องแช่แข็ง เป็นต้น โดยได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล3ปี สัดส่วนร้อยละ50 ของเงินลงทุน 3)การปรับปรุงประเภทกิจการ สิทธิและประโยชน์ใน2กิจการ คือกิจการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในกรณีใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บคาร์บอน(Carbon Capture, Storage and Utilization: CCSU)โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี และกิจการห้องเย็นหรือกิจการห้องเย็นและขนส่งห้องเย็นในกรณีใช้สารทําความเย็นธรรมชาติ จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล3ปี 4)เปิดให้ส่งเสริมการลงทุนกิจการโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ใช้เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และ การกักเก็บคาร์บอน โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี ****************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45558
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. ร่วมจัดงานสัมมนาออนไลน์ให้ความรู้บุคลากรในธุรกิจตลาดทุน เพื่อส่งเสริมหลักการลงทุนที่รับผิดชอบ
วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 กบข. ร่วมจัดงานสัมมนาออนไลน์ให้ความรู้บุคลากรในธุรกิจตลาดทุน เพื่อส่งเสริมหลักการลงทุนที่รับผิดชอบ กบข. ร่วมกับ ก.ล.ต. UN PRI และ AIMC จัดงานสัมมนาออนไลน์ให้ความรู้แก่บุคลากรในตลาดทุน พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ PRI Signatories และมุมมองการลงทุนอย่างรับผิดชอบ มุ่งขับเคลื่อนภาคการเงินการลงทุนไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) ร่วมกับ สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) องค์การสหประชาชาติ (UN) Principles for Responsible Investment (PRI) และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) จัดงานสัมมนาออนไลน์ให้ความรู้แก่บุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ในหัวข้อ “Getting Started in Responsible Investment: An Introduction to Key Concepts, Practices and the PRI for Thai Market Participants” เพื่อร่วมแบ่งปันประสบการณ์จากการเป็น PRI Signatories และแลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ โดยงานดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 คน จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ดร. ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า กบข. ในฐานะนักลงทุนสถาบันไทยที่ตระหนักถึงความสําคัญและส่งเสริมการดําเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ (Sustainable Finance) ของภาคสถาบันนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง มุ่งผลักดันและขยายผลการบูรณาการกรอบการลงทุนอย่างยั่งยืน ครอบคลุมการดําเนินงานในทุกมิติภายใต้กรอบ PRI สําหรับในปี 2565 กบข. ได้มีการกําหนดยุทธศาสตร์สู่การเป็น Sustainable Pension โดยตั้งเป้าหมายกําหนดเกณฑ์วัดผลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ นําไปสู่การวิเคราะห์ผลการลงทุนในธุรกิจ ESG พร้อมทั้งจัดทําและเผยแพร่รายงานแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) งานสัมมนาในครั้งนี้เป็นพันธกิจสืบเนื่องต่อจากโครงการ Sustainable Thailand 2021 เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในหลักการลงทุนที่รับผิดชอบ อันเป็นกลไกสําคัญสู่การบรรลุเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่ง และสนับสนุนการขับเคลื่อนพัฒนาภาคการเงินการลงทุนไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับภูมิภาคและระดับโลกสืบไป เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.16 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.12 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 พ.ย. 2564) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสําหรับสื่อมวลชน : ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , raviwan@gpf.or.th
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กบข. ร่วมจัดงานสัมมนาออนไลน์ให้ความรู้บุคลากรในธุรกิจตลาดทุน เพื่อส่งเสริมหลักการลงทุนที่รับผิดชอบ วันพุธที่ 8 ธันวาคม 2564 กบข. ร่วมจัดงานสัมมนาออนไลน์ให้ความรู้บุคลากรในธุรกิจตลาดทุน เพื่อส่งเสริมหลักการลงทุนที่รับผิดชอบ กบข. ร่วมกับ ก.ล.ต. UN PRI และ AIMC จัดงานสัมมนาออนไลน์ให้ความรู้แก่บุคลากรในตลาดทุน พร้อมแบ่งปันประสบการณ์ PRI Signatories และมุมมองการลงทุนอย่างรับผิดชอบ มุ่งขับเคลื่อนภาคการเงินการลงทุนไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) ร่วมกับ สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) องค์การสหประชาชาติ (UN) Principles for Responsible Investment (PRI) และสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) จัดงานสัมมนาออนไลน์ให้ความรู้แก่บุคลากรในธุรกิจตลาดทุน ในหัวข้อ “Getting Started in Responsible Investment: An Introduction to Key Concepts, Practices and the PRI for Thai Market Participants” เพื่อร่วมแบ่งปันประสบการณ์จากการเป็น PRI Signatories และแลกเปลี่ยนมุมมองการลงทุนอย่างมีความรับผิดชอบ โดยงานดังกล่าวมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 300 คน จัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ดร. ศรีกัญญา ยาทิพย์ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) กล่าวว่า กบข. ในฐานะนักลงทุนสถาบันไทยที่ตระหนักถึงความสําคัญและส่งเสริมการดําเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ (Sustainable Finance) ของภาคสถาบันนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง มุ่งผลักดันและขยายผลการบูรณาการกรอบการลงทุนอย่างยั่งยืน ครอบคลุมการดําเนินงานในทุกมิติภายใต้กรอบ PRI สําหรับในปี 2565 กบข. ได้มีการกําหนดยุทธศาสตร์สู่การเป็น Sustainable Pension โดยตั้งเป้าหมายกําหนดเกณฑ์วัดผลเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ นําไปสู่การวิเคราะห์ผลการลงทุนในธุรกิจ ESG พร้อมทั้งจัดทําและเผยแพร่รายงานแนวปฏิบัติที่ดี (Best Practice) งานสัมมนาในครั้งนี้เป็นพันธกิจสืบเนื่องต่อจากโครงการ Sustainable Thailand 2021 เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในหลักการลงทุนที่รับผิดชอบ อันเป็นกลไกสําคัญสู่การบรรลุเป้าหมายสร้างความแข็งแกร่ง และสนับสนุนการขับเคลื่อนพัฒนาภาคการเงินการลงทุนไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับภูมิภาคและระดับโลกสืบไป เกี่ยวกับ กบข. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ (กบข.) จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ. กองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 เพื่อเป็นหลักประกันการจ่ายบําเหน็จบํานาญและให้ประโยชน์ตอบแทนการรับราชการแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการ ส่งเสริมการออมทรัพย์ของสมาชิก และจัดสวัสดิการและสิทธิประโยชน์อื่นให้แก่สมาชิก กบข. มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐจัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ มีคณะกรรมการ กบข. เป็นผู้กําหนดนโยบาย ปัจจุบัน กบข. มีสมาชิกประมาณ 1.16 ล้านคน มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิประมาณ 1.12 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ 30 พ.ย. 2564) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมสําหรับสื่อมวลชน : ฝ่ายประชาสัมพันธ์องค์กร: รวิวรรณ ทิวาเจริญ (พลอย) 0-2636-1000 ต่อ 264 , raviwan@gpf.or.th
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49247
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “อนาคต โครงข่ายคมนาคม ของประเทศไทย” ในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2564
วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2564 นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “อนาคต โครงข่ายคมนาคม ของประเทศไทย” ในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2564 ... นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “อนาคต โครงข่ายคมนาคมของประเทศไทย” วิศวกรรมแห่งชาติ 2564 (National Engineering 2021) Engineering for Society: Smart Engineering and Innovation for Society ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ผ่านระบบออนไลน์ การจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิชาชีพ วิชาการสู่วิศวกร ผู้ออกแบบ ผู้ผลิต ผู้ใช้งาน และประชาชนทั่วไป รวมถึงการส่งเสริมวิชาชีพ วิชาการ ทั้งในระดับอุตสาหกรรมและบุคคล เพื่อเป็นสร้างการรับรู้และความเข้าใจในบทบาทวิศวกรที่สร้างคุณูปการต่อการดําเนินชีวิตของประชาชนด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยนําเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมที่ทันสมัย เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาความรู้ ความสามารถ และศักยภาพของประชาชน รวมถึงการตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยสาธารณะ โดยการจัดงานครั้งนี้เป็นเวทีกิจกรรมให้กับเด็กรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยีได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า อนาคตโครงข่ายคมนาคมของประเทศไทย จะเป็นการบูรณาการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านทุกรูปแบบ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนในการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าจากต้นทางไปสู่ปลายทาง ตามภารกิจหลักของกระทรวงคมนาคม ด้วย “ความสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา ราคาสมเหตุสมผล” รวมถึงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานที่ขนส่งมวลชน โดยกระทรวงคมนาคมได้บูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนํายุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศไทยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) ตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การบริหารงานของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เห็นความสําคัญในการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศไทย ให้มีประสิทธิภาพทั้งในเมือง (Urban Transport) และระหว่างเมือง (Intercity Transport) โดยต้องเป็นระบบที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้นํานโยบายของรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง รวมถึงการนําเทคโนโลยีดิจิทัล 5G มาใช้ในภาคคมนาคมขนส่ง เพื่อยกระดับระบบการให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์มาสู่การปฏิบัติ โดยมอบให้ สํานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยทั้ง 4 มิติ ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ํา และทางอากาศ โดยมีโครงการสําคัญ ดังนี้ แผนพัฒนารถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (Urban Mass Transit) ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โครงการศึกษาพัฒนาเมืองกับระบบโครงสร้างพื้นฐานด้าน คมนาคมขนส่ง (Transit-Oriented Development: TOD) รวมถึงโครงการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมและโลจิสติกส์ภายในประเทศไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ แผนพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง (MR-Map) และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทย และอันดามัน (Land Bridge) ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ช่วยลดอุบัติเหตุให้กับผู้ใช้ทางอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว อันจะก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “อนาคต โครงข่ายคมนาคม ของประเทศไทย” ในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2564 วันพุธที่ 17 พฤศจิกายน 2564 นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “อนาคต โครงข่ายคมนาคม ของประเทศไทย” ในงานวิศวกรรมแห่งชาติ 2564 ... นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “อนาคต โครงข่ายคมนาคมของประเทศไทย” วิศวกรรมแห่งชาติ 2564 (National Engineering 2021) Engineering for Society: Smart Engineering and Innovation for Society ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 ผ่านระบบออนไลน์ การจัดงานในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์กลางติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวิชาชีพ วิชาการสู่วิศวกร ผู้ออกแบบ ผู้ผลิต ผู้ใช้งาน และประชาชนทั่วไป รวมถึงการส่งเสริมวิชาชีพ วิชาการ ทั้งในระดับอุตสาหกรรมและบุคคล เพื่อเป็นสร้างการรับรู้และความเข้าใจในบทบาทวิศวกรที่สร้างคุณูปการต่อการดําเนินชีวิตของประชาชนด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยนําเสนอผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีด้านวิศวกรรมที่ทันสมัย เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาความรู้ ความสามารถ และศักยภาพของประชาชน รวมถึงการตระหนักรู้ถึงความปลอดภัยสาธารณะ โดยการจัดงานครั้งนี้เป็นเวทีกิจกรรมให้กับเด็กรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยีได้เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า อนาคตโครงข่ายคมนาคมของประเทศไทย จะเป็นการบูรณาการเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านทุกรูปแบบ เพื่ออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนในการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าจากต้นทางไปสู่ปลายทาง ตามภารกิจหลักของกระทรวงคมนาคม ด้วย “ความสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา ราคาสมเหตุสมผล” รวมถึงการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานที่ขนส่งมวลชน โดยกระทรวงคมนาคมได้บูรณาการกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อนํายุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศไทยระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) ตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้การบริหารงานของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เห็นความสําคัญในการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของประเทศไทย ให้มีประสิทธิภาพทั้งในเมือง (Urban Transport) และระหว่างเมือง (Intercity Transport) โดยต้องเป็นระบบที่ปลอดภัย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และประชาชนสามารถเข้าถึงได้อย่างเสมอภาคและเท่าเทียม เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างมั่นคง มั่นคั่ง และยั่งยืน ทั้งนี้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้นํานโยบายของรัฐบาลที่มุ่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง รวมถึงการนําเทคโนโลยีดิจิทัล 5G มาใช้ในภาคคมนาคมขนส่ง เพื่อยกระดับระบบการให้บริการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์มาสู่การปฏิบัติ โดยมอบให้ สํานักงานนโยบายและแผนการขนส่งและการจราจร บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทยทั้ง 4 มิติ ทั้งทางบก ทางราง ทางน้ํา และทางอากาศ โดยมีโครงการสําคัญ ดังนี้ แผนพัฒนารถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (Urban Mass Transit) ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โครงการศึกษาพัฒนาเมืองกับระบบโครงสร้างพื้นฐานด้าน คมนาคมขนส่ง (Transit-Oriented Development: TOD) รวมถึงโครงการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมและโลจิสติกส์ภายในประเทศไปยังประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ แผนพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษระหว่างเมืองและระบบราง (MR-Map) และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเพื่อพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้และเชื่อมโยงการขนส่งระหว่างอ่าวไทย และอันดามัน (Land Bridge) ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ช่วยลดอุบัติเหตุให้กับผู้ใช้ทางอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว อันจะก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48332
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘มนัญญา’ เปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์จังหวัดพิจิตร สร้างงาน-รายได้สู่สมาชิกในชุมชน
วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม 2564 ‘มนัญญา’ เปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์จังหวัดพิจิตร สร้างงาน-รายได้สู่สมาชิกในชุมชน ‘มนัญญา’ เปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์จังหวัดพิจิตร สร้างงาน-รายได้สู่สมาชิกในชุมชน นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการดําเนินธุรกิจร้านสหกรณ์ในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ของจังหวัดพิจิตร ณ สหกรณ์การเกษตรโพทะเล จํากัด อําเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร โดยมี นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นางสาวอิงอร ปัญญากิจ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และเกษตรกร เข้าร่วม ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมการทําอาชีพการเกษตร จึงได้ดําเนินนโยบายส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรในรูปแบบการทําเกษตรที่ดีและเหมาะสม (GAP) เพื่อให้สินค้าเกษตรมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค การยกระดับความเข้มแข็งของสหกรณ์ให้เป็นองค์กรในระดับชุมชน ในการรวบรวม จัดเก็บ แปรรูป ผลผลิตทางการเกษตรในระดับพื้นที่ การจัดหาตลาดโดยการจัดทําโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ เพื่อให้เป็นสถานที่จําหน่ายสินค้าของสมาชิกที่มีคุณภาพ รวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายการตลาดระหว่างขบวนการสหกรณ์ ภาคเอกชน เพื่อกระจายผลผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัยไปสู่ผู้บริโภค ซึ่งซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ถือเป็นจุดจําหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพเพื่อการบริโภคจากขบวนการสหกรณ์สู่สมาชิกและผู้บริโภค มีการส่งเสริมและพัฒนาการดําเนินธุรกิจร้านค้าสหกรณ์ ซึ่งสินค้าที่นํามาจัดจําหน่ายเป็นสินค้าจากสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร หรือเกษตรกรสมาชิก ที่มีความสด สะอาด และปลอดภัย โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เยี่ยมชมบูธสินค้าของกลุ่มอาชีพ ในสังกัดสหกรณ์และเยี่ยมชมบูธสินค้าผลิตภัณฑ์ OTOP ของจังหวัดพิจิตร พร้อมพบปะผู้แทนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนําลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร ซึ่งในจังหวัดพิจิตรมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 52 ราย ซึ่งทางสํานักงานสหกรณ์จังหวัดพิจิตร ได้ดําเนินจัดกิจกรรม ให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการเกษตร ช่องทางการจัดจําหน่าย แหล่งเงินทุน การแปรรูปเพิ่มมูลค่าของสินค้า มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเรียนรู้ร่วมกัน โดยเน้นการสร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรต่าง ๆ ตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายสามารถนํามาใช้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรได้ รวมทั้งจัดการศึกษาดูงาน จัดทําแผนการผลิต การลดต้นทุนด้วยเทคโนโลยีการเกษตร จัดการระบบน้ํา เกษตรอัจฉริยะ การควบคุมการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่แม่นยํา รวมทั้งมีการแนะนําให้ความรู้และส่งเสริมให้ผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยด้วย สําหรับสหกรณ์การเกษตรโพทะเล จํากัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2517 ดําเนินการมาแล้ว 47 ปี ปัจจุบันมีสมาชิก 1,243 คน มีทุนเรือนหุ้น 27.5 ล้านบาท มีทุนดาเนินงานทั้งสิ้น 47.3 ล้านบาท สหกรณ์ดําเนินธุรกิจในหลายด้าน ประกอบด้วย ธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจการจัดหาสินค้ามาจําหน่าย ธุรกิจการรวบรวมผลผลิตของสมาชิก ธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร ธุรกิจการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพและการแปรรูปข้าวสารคุณภาพของสหกรณ์ สหกรณ์การเกษตรโพทะเล จํากัด ได้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ เมื่อปี 2563 ดําเนินงานเป็นระยะเวลา 1 ปีกว่า จําหน่ายสินค้าประเภท ข้าว กาแฟ สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวไรซ์เบอรรี่ กาแฟเขาทะลุ น้ํามันพืช น้ําปลาร้า เป็นต้น ซึ่งเป็นสหกรณ์ สมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน กลุ่มอาชีพสังกัดสังกัดสหกรณ์ ที่มาเชื่อมโยงเครือข่ายและเป็นสินค้าของสหกรณ์เอง ทั้งนี้ การขับเคลื่อนการดําเนินงานร้านซูเปอร์มาร์เก็ตของสหกรณ์นั้น ได้มีการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบร้านค้าของสหกรณ์ให้เป็นจุดจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพสดใหม่จากฟาร์มที่ได้มาตรฐานมีความปลอดภัยต่อการบริโภค เป็นจุดรวบรวมสินค้าจากเครือข่ายเกษตรกร กลุ่มอาชีพ ผู้ประกอบการสินค้า OTOP และสินค้าของเกษตรกรในโครงการนําลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านสานต่ออาชีพเกษตรกรของจังหวัดพิจิตร รวมเป็นศูนย์รวบรวม และจําหน่ายสินค้าผลผลิตที่มีคุณภาพปลอดภัยและราคาประหยัดให้แก่สมาชิกสหกรณ์และประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าสหกรณ์ที่มีคุณภาพที่ดีได้มากขึ้นอีกด้วย.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-‘มนัญญา’ เปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์จังหวัดพิจิตร สร้างงาน-รายได้สู่สมาชิกในชุมชน วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม 2564 ‘มนัญญา’ เปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์จังหวัดพิจิตร สร้างงาน-รายได้สู่สมาชิกในชุมชน ‘มนัญญา’ เปิดร้านซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์จังหวัดพิจิตร สร้างงาน-รายได้สู่สมาชิกในชุมชน นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในโอกาสเป็นประธานพิธีเปิดโครงการประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการดําเนินธุรกิจร้านสหกรณ์ในรูปแบบซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ของจังหวัดพิจิตร ณ สหกรณ์การเกษตรโพทะเล จํากัด อําเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร โดยมี นายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นางสาวอิงอร ปัญญากิจ รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร ผู้บริหาร หัวหน้าส่วนราชการ และเกษตรกร เข้าร่วม ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ความสําคัญกับการส่งเสริมการทําอาชีพการเกษตร จึงได้ดําเนินนโยบายส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพอย่างครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ํา กลางน้ํา และปลายน้ํา ส่งเสริมการผลิตสินค้าเกษตรในรูปแบบการทําเกษตรที่ดีและเหมาะสม (GAP) เพื่อให้สินค้าเกษตรมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค การยกระดับความเข้มแข็งของสหกรณ์ให้เป็นองค์กรในระดับชุมชน ในการรวบรวม จัดเก็บ แปรรูป ผลผลิตทางการเกษตรในระดับพื้นที่ การจัดหาตลาดโดยการจัดทําโครงการซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ เพื่อให้เป็นสถานที่จําหน่ายสินค้าของสมาชิกที่มีคุณภาพ รวมทั้งการเชื่อมโยงเครือข่ายการตลาดระหว่างขบวนการสหกรณ์ ภาคเอกชน เพื่อกระจายผลผลิตที่มีคุณภาพ ปลอดภัยไปสู่ผู้บริโภค ซึ่งซูเปอร์มาร์เก็ตสหกรณ์ ถือเป็นจุดจําหน่ายสินค้าเกษตรคุณภาพเพื่อการบริโภคจากขบวนการสหกรณ์สู่สมาชิกและผู้บริโภค มีการส่งเสริมและพัฒนาการดําเนินธุรกิจร้านค้าสหกรณ์ ซึ่งสินค้าที่นํามาจัดจําหน่ายเป็นสินค้าจากสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร หรือเกษตรกรสมาชิก ที่มีความสด สะอาด และปลอดภัย โอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เยี่ยมชมบูธสินค้าของกลุ่มอาชีพ ในสังกัดสหกรณ์และเยี่ยมชมบูธสินค้าผลิตภัณฑ์ OTOP ของจังหวัดพิจิตร พร้อมพบปะผู้แทนเกษตรกรรุ่นใหม่ที่เข้าร่วมโครงการนําลูกหลานเกษตรกรกลับบ้าน สานต่ออาชีพการเกษตร ซึ่งในจังหวัดพิจิตรมีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 52 ราย ซึ่งทางสํานักงานสหกรณ์จังหวัดพิจิตร ได้ดําเนินจัดกิจกรรม ให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการเกษตร ช่องทางการจัดจําหน่าย แหล่งเงินทุน การแปรรูปเพิ่มมูลค่าของสินค้า มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ และเรียนรู้ร่วมกัน โดยเน้นการสร้างและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรต่าง ๆ ตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายสามารถนํามาใช้ในการประกอบอาชีพเกษตรกรได้ รวมทั้งจัดการศึกษาดูงาน จัดทําแผนการผลิต การลดต้นทุนด้วยเทคโนโลยีการเกษตร จัดการระบบน้ํา เกษตรอัจฉริยะ การควบคุมการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่แม่นยํา รวมทั้งมีการแนะนําให้ความรู้และส่งเสริมให้ผลิตสินค้าเกษตรปลอดภัยด้วย สําหรับสหกรณ์การเกษตรโพทะเล จํากัด จดทะเบียนเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2517 ดําเนินการมาแล้ว 47 ปี ปัจจุบันมีสมาชิก 1,243 คน มีทุนเรือนหุ้น 27.5 ล้านบาท มีทุนดาเนินงานทั้งสิ้น 47.3 ล้านบาท สหกรณ์ดําเนินธุรกิจในหลายด้าน ประกอบด้วย ธุรกิจสินเชื่อ ธุรกิจการจัดหาสินค้ามาจําหน่าย ธุรกิจการรวบรวมผลผลิตของสมาชิก ธุรกิจการให้บริการและส่งเสริมการเกษตร ธุรกิจการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพและการแปรรูปข้าวสารคุณภาพของสหกรณ์ สหกรณ์การเกษตรโพทะเล จํากัด ได้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ เมื่อปี 2563 ดําเนินงานเป็นระยะเวลา 1 ปีกว่า จําหน่ายสินค้าประเภท ข้าว กาแฟ สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวไรซ์เบอรรี่ กาแฟเขาทะลุ น้ํามันพืช น้ําปลาร้า เป็นต้น ซึ่งเป็นสหกรณ์ สมาชิกสหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน กลุ่มอาชีพสังกัดสังกัดสหกรณ์ ที่มาเชื่อมโยงเครือข่ายและเป็นสินค้าของสหกรณ์เอง ทั้งนี้ การขับเคลื่อนการดําเนินงานร้านซูเปอร์มาร์เก็ตของสหกรณ์นั้น ได้มีการพัฒนาปรับปรุงรูปแบบร้านค้าของสหกรณ์ให้เป็นจุดจําหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพสดใหม่จากฟาร์มที่ได้มาตรฐานมีความปลอดภัยต่อการบริโภค เป็นจุดรวบรวมสินค้าจากเครือข่ายเกษตรกร กลุ่มอาชีพ ผู้ประกอบการสินค้า OTOP และสินค้าของเกษตรกรในโครงการนําลูกหลานเกษตรกรกลับบ้านสานต่ออาชีพเกษตรกรของจังหวัดพิจิตร รวมเป็นศูนย์รวบรวม และจําหน่ายสินค้าผลผลิตที่มีคุณภาพปลอดภัยและราคาประหยัดให้แก่สมาชิกสหกรณ์และประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าสหกรณ์ที่มีคุณภาพที่ดีได้มากขึ้นอีกด้วย.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45005
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังเตือนภัยข่าวปลอม ชี้ “แจกเงิน ID ละล้าน หลอกลวง Reset ระบบการเงินโลกล้างหนี้ไม่มีจริง”
วันเสาร์ที่ 25 กันยายน 2564 คลังเตือนภัยข่าวปลอม ชี้ “แจกเงิน ID ละล้าน หลอกลวง Reset ระบบการเงินโลกล้างหนี้ไม่มีจริง” ตามที่มีผู้ไม่หวังดีหรือมิจฉาชีพออกข่าวหลอกลวงประชาชนซึ่งแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์โดยเฉพาะ LINE Open Chat (โอเพนแชท) อย่างกว้างขวาง เป็นประเด็นการออกใบกระจายเงินพิเศษ จ่ายเงินให้ประชาชนรายชื่อละหลักล้านบาท ปลอดภาษี ชําระหนี้ให้ศูนย์ ตามที่มีผู้ไม่หวังดีหรือมิจฉาชีพออกข่าวหลอกลวงประชาชนซึ่งแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์โดยเฉพาะ LINE Open Chat (โอเพนแชท) อย่างกว้างขวาง เป็นประเด็นการออกใบกระจายเงินพิเศษ จ่ายเงินให้ประชาชนรายชื่อละหลักล้านบาท ปลอดภาษี ชําระหนี้ให้ศูนย์ (ล้างหนี้ให้)โดยมีการกล่าวอ้างและปลอมแปลงหลักฐานว่าได้รับการรับรองจากกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงประเด็นที่กล่าวอ้างว่าธนาคารโลก (World Bank) จะมีการปรับปรุงระบบการเงินโลก (Reset) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างๆ ทั่วโลกในเรต 1:1 และยกเลิกบัตรบัตรเครดิต การจํานอง การล้างหนี้ โดยระบุว่ามีประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมตัวกันอย่างลับๆ เพื่อสนับสนุนการสร้างระบบหรือกองทุนที่เรียกว่า Gesara นี้ โดยโน้มน้าวให้ประชาชนมาร่วมลงทุนกับระบบดังกล่าว กระทรวงการคลังขอเรียนว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ภาครัฐโดยเฉพาะกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่เคยมีการดําเนินงานใดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือกองทุนในลักษณะนี้ เป็นการหลอกลวงประชาชน ขอประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ ทั้งนี้ การลงทุนหลอกลวงลักษณะนี้ เกิดขึ้นมานานแล้ว และที่ผ่านมาผู้หลงเชื่อไม่เคยมีใครได้รับประโยชน์ที่กล่าวอ้าง หรือหากได้รับก็เป็นการหลอกล่อให้เหยื่อตายใจเพื่อลงทุนเพิ่มกับมิจฉาชีพ ขณะนี้กระทรวงการคลังกําลังอยู่ระหว่างการร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดําเนินคดีกับมิจฉาชีพผู้กระทําผิดและขอให้ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อและผู้ที่ได้รับผลกระทบได้โปรดรวบรวมหลักฐานและแจ้งความเอาผิดเครือข่ายดังกล่าวกับทางเจ้าหน้าที่ตํารวจเพื่อเอาผิดมิจฉาชีพดังกล่าวต่อไป สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร 0-2126-5800
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คลังเตือนภัยข่าวปลอม ชี้ “แจกเงิน ID ละล้าน หลอกลวง Reset ระบบการเงินโลกล้างหนี้ไม่มีจริง” วันเสาร์ที่ 25 กันยายน 2564 คลังเตือนภัยข่าวปลอม ชี้ “แจกเงิน ID ละล้าน หลอกลวง Reset ระบบการเงินโลกล้างหนี้ไม่มีจริง” ตามที่มีผู้ไม่หวังดีหรือมิจฉาชีพออกข่าวหลอกลวงประชาชนซึ่งแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์โดยเฉพาะ LINE Open Chat (โอเพนแชท) อย่างกว้างขวาง เป็นประเด็นการออกใบกระจายเงินพิเศษ จ่ายเงินให้ประชาชนรายชื่อละหลักล้านบาท ปลอดภาษี ชําระหนี้ให้ศูนย์ ตามที่มีผู้ไม่หวังดีหรือมิจฉาชีพออกข่าวหลอกลวงประชาชนซึ่งแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์โดยเฉพาะ LINE Open Chat (โอเพนแชท) อย่างกว้างขวาง เป็นประเด็นการออกใบกระจายเงินพิเศษ จ่ายเงินให้ประชาชนรายชื่อละหลักล้านบาท ปลอดภาษี ชําระหนี้ให้ศูนย์ (ล้างหนี้ให้)โดยมีการกล่าวอ้างและปลอมแปลงหลักฐานว่าได้รับการรับรองจากกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงประเด็นที่กล่าวอ้างว่าธนาคารโลก (World Bank) จะมีการปรับปรุงระบบการเงินโลก (Reset) อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างๆ ทั่วโลกในเรต 1:1 และยกเลิกบัตรบัตรเครดิต การจํานอง การล้างหนี้ โดยระบุว่ามีประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมตัวกันอย่างลับๆ เพื่อสนับสนุนการสร้างระบบหรือกองทุนที่เรียกว่า Gesara นี้ โดยโน้มน้าวให้ประชาชนมาร่วมลงทุนกับระบบดังกล่าว กระทรวงการคลังขอเรียนว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ภาครัฐโดยเฉพาะกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่เคยมีการดําเนินงานใดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือกองทุนในลักษณะนี้ เป็นการหลอกลวงประชาชน ขอประชาชนอย่าได้หลงเชื่อ ทั้งนี้ การลงทุนหลอกลวงลักษณะนี้ เกิดขึ้นมานานแล้ว และที่ผ่านมาผู้หลงเชื่อไม่เคยมีใครได้รับประโยชน์ที่กล่าวอ้าง หรือหากได้รับก็เป็นการหลอกล่อให้เหยื่อตายใจเพื่อลงทุนเพิ่มกับมิจฉาชีพ ขณะนี้กระทรวงการคลังกําลังอยู่ระหว่างการร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดําเนินคดีกับมิจฉาชีพผู้กระทําผิดและขอให้ประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อและผู้ที่ได้รับผลกระทบได้โปรดรวบรวมหลักฐานและแจ้งความเอาผิดเครือข่ายดังกล่าวกับทางเจ้าหน้าที่ตํารวจเพื่อเอาผิดมิจฉาชีพดังกล่าวต่อไป สํานักงานปลัดกระทรวงการคลัง โทร 0-2126-5800
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46203
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นิพนธ์ เตือน จังหวัดภาคใต้ ฝั่งอ่าวไทย เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน สั่งการ ปภ. ผู้ว่าฯ เฝ้าระวังอย่างเนื่อง หลังภาคใต้ยังเผชิญช่วงมรสุม
วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2564 นิพนธ์ เตือน จังหวัดภาคใต้ ฝั่งอ่าวไทย เสี่ยงน้ําท่วมฉับพลัน สั่งการ ปภ. ผู้ว่าฯ เฝ้าระวังอย่างเนื่อง หลังภาคใต้ยังเผชิญช่วงมรสุม นิพนธ์ เตือน จังหวัดภาคใต้ ฝั่งอ่าวไทย เสี่ยงน้ําท่วมฉับพลัน สั่งการ ปภ. ผู้ว่าฯ เฝ้าระวังอย่างเนื่อง หลังภาคใต้ยังเผชิญช่วงมรสุม เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ได้มีการติดตามสภาวะอากาศในช่วงฤดูมรสุมของภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศแจ้งรายงานว่า สถานการณ์ของการเกิดร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและ ภาคใต้มีกําลังค่อนข้างแรง ทําให้ภาคใต้ทั่วทั้งภาคมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่มีผลกระทบจนตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ ร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ําที่ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างจะเคลื่อนเข้าสู่แนวร่องมรสุมที่พาดผ่านบริเวณภาคใต้ตอนล่าง ในขณะที่มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกําลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ลักษณะเช่นนี้ทําให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุงสงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ทําให้พื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าวเสี่ยงอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลันและน้ําป่าไหลหลากได้ สําหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกําลังปานกลาง และมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร นายนิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้กําชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพื้นที่ภาคใต้ได้เร่งเตรียมความพร้อมทั้งเครื่องมือ เครื่องจักรกลสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่ ในการเตรียมแผนเผชิญเหตุเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเกิดน้ําท่วมฉับพลันนอกจากนี้ ให้ปภ.ได้ติดตามสถานการณ์ เพื่อการบูรณาการกับหน่วยข้างเคียงอย่างทันท่วงที รวมทั้งแจ้งข่าวสารที่สําคัญและเร่งด่วนให้ประชาชนได้ทราบอย่างใกล้ชิด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล- นิพนธ์ เตือน จังหวัดภาคใต้ ฝั่งอ่าวไทย เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน สั่งการ ปภ. ผู้ว่าฯ เฝ้าระวังอย่างเนื่อง หลังภาคใต้ยังเผชิญช่วงมรสุม วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2564 นิพนธ์ เตือน จังหวัดภาคใต้ ฝั่งอ่าวไทย เสี่ยงน้ําท่วมฉับพลัน สั่งการ ปภ. ผู้ว่าฯ เฝ้าระวังอย่างเนื่อง หลังภาคใต้ยังเผชิญช่วงมรสุม นิพนธ์ เตือน จังหวัดภาคใต้ ฝั่งอ่าวไทย เสี่ยงน้ําท่วมฉับพลัน สั่งการ ปภ. ผู้ว่าฯ เฝ้าระวังอย่างเนื่อง หลังภาคใต้ยังเผชิญช่วงมรสุม เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2564 นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) กระทรวงมหาดไทย ได้มีการติดตามสภาวะอากาศในช่วงฤดูมรสุมของภาคใต้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้มีประกาศแจ้งรายงานว่า สถานการณ์ของการเกิดร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง และมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและ ภาคใต้มีกําลังค่อนข้างแรง ทําให้ภาคใต้ทั่วทั้งภาคมีฝนตกหนักถึงหนักมากในบางพื้นที่มีผลกระทบจนตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายน - 1 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ ร่องมรสุมพาดผ่านภาคใต้ตอนล่าง ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ําที่ปกคลุมบริเวณทะเลจีนใต้ตอนล่างจะเคลื่อนเข้าสู่แนวร่องมรสุมที่พาดผ่านบริเวณภาคใต้ตอนล่าง ในขณะที่มรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกําลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ลักษณะเช่นนี้ทําให้ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุงสงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล ทําให้พื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณดังกล่าวเสี่ยงอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลันและน้ําป่าไหลหลากได้ สําหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกําลังปานกลาง และมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร นายนิพนธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้กําชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพื้นที่ภาคใต้ได้เร่งเตรียมความพร้อมทั้งเครื่องมือ เครื่องจักรกลสาธารณภัย และเจ้าหน้าที่ ในการเตรียมแผนเผชิญเหตุเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่เสี่ยงเกิดน้ําท่วมฉับพลันนอกจากนี้ ให้ปภ.ได้ติดตามสถานการณ์ เพื่อการบูรณาการกับหน่วยข้างเคียงอย่างทันท่วงที รวมทั้งแจ้งข่าวสารที่สําคัญและเร่งด่วนให้ประชาชนได้ทราบอย่างใกล้ชิด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48811
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี ในการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยระบบอาหารโลก (Food Systems Summit 2021) ผ่านระบบการประชุมทางไกล
วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี ในการประชุมสุดยอดผู้นําว่าด้วยระบบอาหารโลก (Food Systems Summit 2021) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี ในการประชุมสุดยอดผู้นําว่าด้วยระบบอาหารโลก (Food Systems Summit 2021) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี ในการประชุมสุดยอดผู้นําว่าด้วยระบบอาหารโลก (Food Systems Summit 2021) ผ่านระบบการประชุมทางไกล วันที่ 24 กันยายน 2564 * * * * * * * * * * * * ท่านเลขาธิการสหประชาชาติ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีที่ได้เข้าร่วมการประชุม Food Systems Summit ในวันนี้ และในฐานะที่ประเทศไทยมีภาคเกษตรกรรมขนาดใหญ่ ผมตระหนักดีถึงความสําคัญของระบบอาหารที่มีต่อความอยู่รอดของทุกชีวิต สถานการณ์โควิด-19 ได้สะท้อนให้เราได้เห็นถึงความเหลื่อมล้ําทางสังคมและความเปราะบางของระบบอาหารที่เกิดขึ้นในทุกประเทศอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ผมขอผลักดันให้เราร่วมมือกันพลิกโฉมระบบอาหารให้มีความยั่งยืนและสมดุลมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ ประการสําคัญ เราต้องสร้างความมั่นคงทางอาหารและทําให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ เพื่อนําไปสู่การบรรลุเป้าหมาย SDGs สําหรับประเทศไทย เรามีโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นหนึ่งในตัวอย่างของความสําเร็จในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารและภาวะทุพโภชนาการของเยาวชนในพื้นที่ทุรกันดาร กรอบข้อเสนอในการพลิกโฉมระบบอาหารทั้ง 5 ด้าน ของสหประชาชาติ มีความสอดคล้องกับแนวทางของไทย ซึ่งเราได้นําวิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” มากําหนดนโยบายเกษตรและอาหาร “3S” ที่ให้ความสําคัญกับความปลอดภัยทางอาหาร หรือ Safety ความมั่นคง หรือ Security และความยั่งยืนของทรัพยากรและนิเวศการเกษตร หรือ Sustainability นอกจากนั้น ประเทศไทยอยู่ระหว่างขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้มีความยั่งยืน สมดุล และครอบคลุม ซึ่งทั้งหมดนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ได้น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและ SDGs มาเป็นเข็มทิศนําทาง นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้ว รัฐบาลไทยยังให้ความสําคัญกับการจัดการทรัพยากรดินและน้ํา และได้ร่วมกับสหประชาชาติจัดตั้งวัน “วันดินโลก” ซึ่งตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ขณะเดียวกัน ก็ได้ร่วมกับ FAO มอบรางวัล King Bhumibol World Soil Day Award ให้แก่ประเทศ องค์กร หรือบุคคลที่มีผลงานโดดเด่นในด้านดังกล่าวด้วย ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ รัฐบาลไทยยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ทั้งภายในและระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบอาหารโลก ประเทศไทยตระหนักดีว่า การประชุมในวันนี้ เป็น People’s Summit ที่จะเป็นก้าวสําคัญของ Decade of Action ซึ่งจะนําไปสู่การพลิกโฉมระบบอาหาร เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ FoodSystems4SDGs (ฟู้ดซิสเตมฟอร์เอสดีจี) โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ได้ต่อไป ขอบคุณและสวัสดีครับ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี ในการประชุมสุดยอดผู้นำว่าด้วยระบบอาหารโลก (Food Systems Summit 2021) ผ่านระบบการประชุมทางไกล วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2564 ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี ในการประชุมสุดยอดผู้นําว่าด้วยระบบอาหารโลก (Food Systems Summit 2021) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี ในการประชุมสุดยอดผู้นําว่าด้วยระบบอาหารโลก (Food Systems Summit 2021) ผ่านระบบการประชุมทางไกล ถ้อยแถลงนายกรัฐมนตรี ในการประชุมสุดยอดผู้นําว่าด้วยระบบอาหารโลก (Food Systems Summit 2021) ผ่านระบบการประชุมทางไกล วันที่ 24 กันยายน 2564 * * * * * * * * * * * * ท่านเลขาธิการสหประชาชาติ ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้สึกยินดีที่ได้เข้าร่วมการประชุม Food Systems Summit ในวันนี้ และในฐานะที่ประเทศไทยมีภาคเกษตรกรรมขนาดใหญ่ ผมตระหนักดีถึงความสําคัญของระบบอาหารที่มีต่อความอยู่รอดของทุกชีวิต สถานการณ์โควิด-19 ได้สะท้อนให้เราได้เห็นถึงความเหลื่อมล้ําทางสังคมและความเปราะบางของระบบอาหารที่เกิดขึ้นในทุกประเทศอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ ผมขอผลักดันให้เราร่วมมือกันพลิกโฉมระบบอาหารให้มีความยั่งยืนและสมดุลมากยิ่งขึ้นในทุกมิติ ประการสําคัญ เราต้องสร้างความมั่นคงทางอาหารและทําให้ทุกคนสามารถเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ เพื่อนําไปสู่การบรรลุเป้าหมาย SDGs สําหรับประเทศไทย เรามีโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราช สุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นหนึ่งในตัวอย่างของความสําเร็จในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอาหารและภาวะทุพโภชนาการของเยาวชนในพื้นที่ทุรกันดาร กรอบข้อเสนอในการพลิกโฉมระบบอาหารทั้ง 5 ด้าน ของสหประชาชาติ มีความสอดคล้องกับแนวทางของไทย ซึ่งเราได้นําวิสัยทัศน์ “มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” มากําหนดนโยบายเกษตรและอาหาร “3S” ที่ให้ความสําคัญกับความปลอดภัยทางอาหาร หรือ Safety ความมั่นคง หรือ Security และความยั่งยืนของทรัพยากรและนิเวศการเกษตร หรือ Sustainability นอกจากนั้น ประเทศไทยอยู่ระหว่างขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้มีความยั่งยืน สมดุล และครอบคลุม ซึ่งทั้งหมดนี้ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ได้น้อมนําหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงและ SDGs มาเป็นเข็มทิศนําทาง นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้ว รัฐบาลไทยยังให้ความสําคัญกับการจัดการทรัพยากรดินและน้ํา และได้ร่วมกับสหประชาชาติจัดตั้งวัน “วันดินโลก” ซึ่งตรงกับวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ขณะเดียวกัน ก็ได้ร่วมกับ FAO มอบรางวัล King Bhumibol World Soil Day Award ให้แก่ประเทศ องค์กร หรือบุคคลที่มีผลงานโดดเด่นในด้านดังกล่าวด้วย ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านครับ รัฐบาลไทยยืนยันความพร้อมที่จะร่วมมือกับภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ทั้งภายในและระหว่างประเทศอย่างใกล้ชิด เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบอาหารโลก ประเทศไทยตระหนักดีว่า การประชุมในวันนี้ เป็น People’s Summit ที่จะเป็นก้าวสําคัญของ Decade of Action ซึ่งจะนําไปสู่การพลิกโฉมระบบอาหาร เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ FoodSystems4SDGs (ฟู้ดซิสเตมฟอร์เอสดีจี) โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ได้ต่อไป ขอบคุณและสวัสดีครับ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46160
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ย้ำ จะเปิดกิจการ/เปิดเมืองได้ปลอดภัย ทุกฝ่ายต้องเข้ม 4 มาตรการ
วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2564 สธ. ย้ํา จะเปิดกิจการ/เปิดเมืองได้ปลอดภัย ทุกฝ่ายต้องเข้ม 4 มาตรการ กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 ในประเทศแนวโน้มยังทรงตัว บางพื้นที่ยังพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน ขณะที่บางพื้นที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น เตรียมเปิดกิจการ กิจกรรม เปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยว ย้ําทุกฝ่ายต้องเข้ม 4 มาตรการ กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 ในประเทศแนวโน้มยังทรงตัว บางพื้นที่ยังพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน ขณะที่บางพื้นที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น เตรียมเปิดกิจการ กิจกรรม เปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยว ย้ําทุกฝ่ายต้องเข้ม 4 มาตรการ เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติแบบวิถีใหม่ วันนี้ (10 ตุลาคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้มีผู้ป่วยโควิด 19 หายกลับบ้านได้ 9,981 ราย หายป่วยสะสม 1,554,887 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 10,817 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 110,880 ราย และเสียชีวิต 84 ราย ภาพรวมในขณะนี้แนวโน้มทรงตัว บางพื้นที่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนจากการรวมกลุ่มทํากิจกรรม อาทิ งานสังสรรค์ งานศพ รวมถึงยังพบการติดเชื้อในโรงงาน สถานประกอบการ แคมป์ก่อสร้าง สถานที่ดูแลกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มแรงงานต่างด้าว ขณะที่บางพื้นที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น พบผู้ติดเชื้อประปรายและสามารถควบคุมได้ รัฐบาลจึงมีแนวทางที่จะเปิดกิจการ กิจกรรม และเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ในชุมชนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศมากขึ้น นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า การดําเนินกิจการ กิจกรรมต่างๆ และการเปิดเมืองให้ปลอดภัยและยั่งยืน ทุกคน ทุกฝ่าย ต้องตระหนักและเคร่งครัดใน 4 มาตรการสําคัญคือ 1.การฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายและครอบคลุม ซึ่งขณะนี้ได้จัดหาวัคซีนไว้เพียงพอที่จะให้กับประชาชนตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป 2.การป้องกันตนเองขั้นสูงสุด (Universal Prevention) โดยคิดไว้เสมอว่าทุกคนอาจเป็นผู้ติดเชื้อแฝง และป้องกันตนเองอย่างเข้มงวดกับทุกคน 3.การใช้ชุดตรวจ ATK คัดกรอง เพื่อให้ผลเร็ว เข้าสู่ระบบรักษารวดเร็ว ลดการแพร่เชื้อ และ4.การดําเนินการตามแนวทาง COVID Free Setting ซึ่งองค์กร สถานประกอบการต่างๆ ต้องปฏิบัติอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ซึ่งหากดําเนินการได้ครบถ้วนทั้ง 4 มาตรการ มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์โควิด 19 ได้ และประชาชนจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติแบบวิถีใหม่ ทั้งนี้ จากการนําร่องเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวใน 4 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า)พังงา (เขาหลัก เกาะยาว) กระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ คลองม่วง ทับแขก) ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่กําหนด ถือว่าประสบผลสําเร็จอย่างดี สามารถเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ในแผนจะเปิดเพิ่ม โดยต้องจัดตั้งศูนย์บัญชาการเพื่อติดตามเฝ้าระวังและควบคุมโรค เข้มงวดการปฏิบัติตามมาตรการCOVID Free Setting และมาตรการ Bubble and Seal ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศ ต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มตามเกณฑ์ และมีผลการตรวจ RT-PCR ไม่พบเชื้อ ภายใน 72 ชม. จะลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน แต่หากไม่ได้ฉีดวัคซีน จะลดวันกักตัวจาก 14 วัน เหลือ 10 วัน ระหว่างอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว จะต้องตรวจ RT-PCR /ATK ตามกําหนด ส่วนประชาชนในพื้นที่ต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 80% ****************************** 10 ตุลาคม 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. ย้ำ จะเปิดกิจการ/เปิดเมืองได้ปลอดภัย ทุกฝ่ายต้องเข้ม 4 มาตรการ วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม 2564 สธ. ย้ํา จะเปิดกิจการ/เปิดเมืองได้ปลอดภัย ทุกฝ่ายต้องเข้ม 4 มาตรการ กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 ในประเทศแนวโน้มยังทรงตัว บางพื้นที่ยังพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน ขณะที่บางพื้นที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น เตรียมเปิดกิจการ กิจกรรม เปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยว ย้ําทุกฝ่ายต้องเข้ม 4 มาตรการ กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 ในประเทศแนวโน้มยังทรงตัว บางพื้นที่ยังพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อน ขณะที่บางพื้นที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น เตรียมเปิดกิจการ กิจกรรม เปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยว ย้ําทุกฝ่ายต้องเข้ม 4 มาตรการ เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดระลอกใหม่ และสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติแบบวิถีใหม่ วันนี้ (10 ตุลาคม 2564) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้มีผู้ป่วยโควิด 19 หายกลับบ้านได้ 9,981 ราย หายป่วยสะสม 1,554,887 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 10,817 ราย อยู่ระหว่างการรักษา 110,880 ราย และเสียชีวิต 84 ราย ภาพรวมในขณะนี้แนวโน้มทรงตัว บางพื้นที่พบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนจากการรวมกลุ่มทํากิจกรรม อาทิ งานสังสรรค์ งานศพ รวมถึงยังพบการติดเชื้อในโรงงาน สถานประกอบการ แคมป์ก่อสร้าง สถานที่ดูแลกลุ่มเปราะบาง และกลุ่มแรงงานต่างด้าว ขณะที่บางพื้นที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้น พบผู้ติดเชื้อประปรายและสามารถควบคุมได้ รัฐบาลจึงมีแนวทางที่จะเปิดกิจการ กิจกรรม และเปิดพื้นที่รับนักท่องเที่ยวเพื่อสร้างรายได้ในชุมชนและขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศมากขึ้น นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า การดําเนินกิจการ กิจกรรมต่างๆ และการเปิดเมืองให้ปลอดภัยและยั่งยืน ทุกคน ทุกฝ่าย ต้องตระหนักและเคร่งครัดใน 4 มาตรการสําคัญคือ 1.การฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมายและครอบคลุม ซึ่งขณะนี้ได้จัดหาวัคซีนไว้เพียงพอที่จะให้กับประชาชนตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป 2.การป้องกันตนเองขั้นสูงสุด (Universal Prevention) โดยคิดไว้เสมอว่าทุกคนอาจเป็นผู้ติดเชื้อแฝง และป้องกันตนเองอย่างเข้มงวดกับทุกคน 3.การใช้ชุดตรวจ ATK คัดกรอง เพื่อให้ผลเร็ว เข้าสู่ระบบรักษารวดเร็ว ลดการแพร่เชื้อ และ4.การดําเนินการตามแนวทาง COVID Free Setting ซึ่งองค์กร สถานประกอบการต่างๆ ต้องปฏิบัติอย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ซึ่งหากดําเนินการได้ครบถ้วนทั้ง 4 มาตรการ มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์โควิด 19 ได้ และประชาชนจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติแบบวิถีใหม่ ทั้งนี้ จากการนําร่องเปิดพื้นที่ท่องเที่ยวใน 4 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า)พังงา (เขาหลัก เกาะยาว) กระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ คลองม่วง ทับแขก) ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่กําหนด ถือว่าประสบผลสําเร็จอย่างดี สามารถเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ในแผนจะเปิดเพิ่ม โดยต้องจัดตั้งศูนย์บัญชาการเพื่อติดตามเฝ้าระวังและควบคุมโรค เข้มงวดการปฏิบัติตามมาตรการCOVID Free Setting และมาตรการ Bubble and Seal ผู้ที่เดินทางเข้ามาในประเทศ ต้องฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มตามเกณฑ์ และมีผลการตรวจ RT-PCR ไม่พบเชื้อ ภายใน 72 ชม. จะลดวันกักตัวเหลือ 7 วัน แต่หากไม่ได้ฉีดวัคซีน จะลดวันกักตัวจาก 14 วัน เหลือ 10 วัน ระหว่างอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว จะต้องตรวจ RT-PCR /ATK ตามกําหนด ส่วนประชาชนในพื้นที่ต้องได้รับวัคซีนอย่างน้อย 80% ****************************** 10 ตุลาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46806
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 10 – 16 กันยายน 2564
วันศุกร์ที่ 17 กันยายน 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 10 – 16 กันยายน 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 10 – 16 กันยายน 2564 พบการกระทําผิด จํานวน 537 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.03 ล้านบาท นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 10 – 16 กันยายน 2564) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 537 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.03 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 293 คดี ค่าปรับ 2.20 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 148 คดี ค่าปรับ 3.09 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 8 คดี ค่าปรับ 0.06 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 26 คดี ค่าปรับ 2.83 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 2 คดี ค่าปรับ 0.06 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 45 คดี ค่าปรับ 0.87 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 15 คดี ค่าปรับ 0.92 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 755.990 ลิตร ยาสูบ จํานวน 37,603 ซอง ไพ่ จํานวน 262 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 80,110.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 42 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 47 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 16 กันยายน 2564 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 24,362 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 546.07 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 13,866 คดี ค่าปรับ 124.34 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 6,729 คดี ค่าปรับ 259.48 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 501 คดี ค่าปรับ 7.36 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 1,277 คดี ค่าปรับ 73.82 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 97 คดี ค่าปรับ 4.29 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 1,342 คดี ค่าปรับ จํานวน 33.76 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 550 คดี ค่าปรับ 43.02 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,692,137.489 ลิตร ยาสูบ จํานวน 768,341 ซอง ไพ่ จํานวน 37,895 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 2,116,431.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 124,423 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 2,204 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 10 – 16 กันยายน 2564 วันศุกร์ที่ 17 กันยายน 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 10 – 16 กันยายน 2564 ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิต ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ระหว่างวันที่ 10 – 16 กันยายน 2564 พบการกระทําผิด จํานวน 537 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.03 ล้านบาท นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2564 (ระหว่างวันที่ 10 – 16 กันยายน 2564) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 537 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 10.03 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 293 คดี ค่าปรับ 2.20 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 148 คดี ค่าปรับ 3.09 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 8 คดี ค่าปรับ 0.06 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 26 คดี ค่าปรับ 2.83 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 2 คดี ค่าปรับ 0.06 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 45 คดี ค่าปรับ 0.87 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 15 คดี ค่าปรับ 0.92 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 755.990 ลิตร ยาสูบ จํานวน 37,603 ซอง ไพ่ จํานวน 262 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 80,110.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 42 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 47 คัน สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 – 16 กันยายน 2564 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 24,362 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 546.07 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 13,866 คดี ค่าปรับ 124.34 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 6,729 คดี ค่าปรับ 259.48 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 501 คดี ค่าปรับ 7.36 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 1,277 คดี ค่าปรับ 73.82 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 97 คดี ค่าปรับ 4.29 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 1,342 คดี ค่าปรับ จํานวน 33.76 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 550 คดี ค่าปรับ 43.02 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,692,137.489 ลิตร ยาสูบ จํานวน 768,341 ซอง ไพ่ จํานวน 37,895 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 2,116,431.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 124,423 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 2,204 คัน “หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ” ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45928
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. พร้อมจัดประชุม “APEC Health Week” 22 - 26 ส.ค. 65 ที่กรุงเทพฯ เร่งหารือสร้างความสมดุลสาธารณสุข - เศรษฐกิจ
วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม 2565 สธ. พร้อมจัดประชุม “APEC Health Week” 22 - 26 ส.ค. 65 ที่กรุงเทพฯ เร่งหารือสร้างความสมดุลสาธารณสุข - เศรษฐกิจ ..... กระทรวงสาธารณสุขเตรียมจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขของเขตเศรษฐกิจเอเปค ภายใต้หัวข้อ “Open to partnership. Connect with the World. Balance Health and the Economy. (เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์กับภาคี เชื่อมโยงกันกับโลก สู่สมดุลระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ) ระหว่างวันที่ 22 - 26 ส.ค. 65 ณ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ . การจัดประชุมดังกล่าว เป็นการจัดประชุมด้านสาธารณสุขครั้งแรกของประเทศไทย (APEC Health Week) มีผู้เข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขจากเขตเศรษฐกิจเอเปค ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ จีนไทเป ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม เข้าร่วมแบบออนไซต์ ส่วนรูปแบบออนไลน์มี จีน จีนฮ่องกง เกาหลีใต้ และรัสเซีย . นอกจากนี้ ยังมีผู้นําระดับสูงของหน่วยงานระหว่างประเทศ คือ เลขาธิการอาเซียน รองประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย และผู้อํานวยการบริหารสํานักงานเลขาธิการเอเปค รวมทั้งข้าราชการระดับสูงและภาคเอกชนอีก 150 คน . มี 4 เป้าหมายสําคัญ คือ ระดมสมองแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และกําหนดทิศทางการทํางานร่วมกัน, สร้างความร่วมมือด้านการแพทย์และการสาธารณสุข, แสดงศักยภาพด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของไทย และเผยแพร่วัฒนธรรมและประเพณีอันงดงามของไทย . ประกอบด้วย 10 กิจกรรม เช่น การหารือทวิภาคีกับ 3 เขตเศรษฐกิจ, การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขและภาคเอกชนในรูปแบบการเสวนาเรื่องการสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหลังสถานการณ์ระบาดโควิด-19 และการประชุมโต๊ะกลมเรื่องการลงทุนด้านสุขภาพ เพื่อเป็นการกระตุ้นและตอกย้ําให้ทุกเขตเศรษฐกิจเพิ่มการลงทุนด้านสุขภาพ สําหรับรองรับการระบาดต่าง ๆ . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58039 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. พร้อมจัดประชุม “APEC Health Week” 22 - 26 ส.ค. 65 ที่กรุงเทพฯ เร่งหารือสร้างความสมดุลสาธารณสุข - เศรษฐกิจ วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม 2565 สธ. พร้อมจัดประชุม “APEC Health Week” 22 - 26 ส.ค. 65 ที่กรุงเทพฯ เร่งหารือสร้างความสมดุลสาธารณสุข - เศรษฐกิจ ..... กระทรวงสาธารณสุขเตรียมจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขของเขตเศรษฐกิจเอเปค ภายใต้หัวข้อ “Open to partnership. Connect with the World. Balance Health and the Economy. (เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์กับภาคี เชื่อมโยงกันกับโลก สู่สมดุลระหว่างสาธารณสุขและเศรษฐกิจ) ระหว่างวันที่ 22 - 26 ส.ค. 65 ณ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน กรุงเทพฯ . การจัดประชุมดังกล่าว เป็นการจัดประชุมด้านสาธารณสุขครั้งแรกของประเทศไทย (APEC Health Week) มีผู้เข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขจากเขตเศรษฐกิจเอเปค ได้แก่ บรูไนดารุสซาลาม อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ จีนไทเป ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม เข้าร่วมแบบออนไซต์ ส่วนรูปแบบออนไลน์มี จีน จีนฮ่องกง เกาหลีใต้ และรัสเซีย . นอกจากนี้ ยังมีผู้นําระดับสูงของหน่วยงานระหว่างประเทศ คือ เลขาธิการอาเซียน รองประธานธนาคารพัฒนาเอเชีย และผู้อํานวยการบริหารสํานักงานเลขาธิการเอเปค รวมทั้งข้าราชการระดับสูงและภาคเอกชนอีก 150 คน . มี 4 เป้าหมายสําคัญ คือ ระดมสมองแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และกําหนดทิศทางการทํางานร่วมกัน, สร้างความร่วมมือด้านการแพทย์และการสาธารณสุข, แสดงศักยภาพด้านการแพทย์และการสาธารณสุขของไทย และเผยแพร่วัฒนธรรมและประเพณีอันงดงามของไทย . ประกอบด้วย 10 กิจกรรม เช่น การหารือทวิภาคีกับ 3 เขตเศรษฐกิจ, การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขและภาคเอกชนในรูปแบบการเสวนาเรื่องการสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหลังสถานการณ์ระบาดโควิด-19 และการประชุมโต๊ะกลมเรื่องการลงทุนด้านสุขภาพ เพื่อเป็นการกระตุ้นและตอกย้ําให้ทุกเขตเศรษฐกิจเพิ่มการลงทุนด้านสุขภาพ สําหรับรองรับการระบาดต่าง ๆ . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58039 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58179
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 แนวทางเร่งดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กทม.และปริมณฑล
วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม 2564 3 แนวทางเร่งดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กทม.และปริมณฑล วันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลกําหนดแนวทางดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ซึ่งมีผู้รอตรวจเชื้อและรอเตียงรักษาจํานวนมาก ประกอบด้วย แนวทางที่ 1 เร่งให้บริการตรวจเชื้อโดยใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit ซึ่งทราบผลได้รวดเร็ว มีความแม่นยําร้อยละ 90 และอนุญาตให้ประชาชนหาซื้อได้ตามสถานพยาบาล คลินิกเวชกรรม และร้านขายยาที่มีเภสัชกร แนวทางที่ 2 ให้ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการรักษาตัวที่บ้านหรือชุมชน ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผ่านระบบเทเลเมดิซีนอย่างใกล้ชิด และแนวทางที่ 3 ส่งทีม CCRT ที่ประกอบด้วยบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่เขต ทหาร ตํารวจ รวม 188 ทีม ลงไปดูแลผู้ป่วยที่รักษาตัวที่บ้านหรือชุมชน และหากพบผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง และสตรีมีครรภ์ จะช่วยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้อีกด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-3 แนวทางเร่งดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กทม.และปริมณฑล วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม 2564 3 แนวทางเร่งดูแลผู้ป่วยโควิด-19 กทม.และปริมณฑล วันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2564 Your browser does not support the audio element. ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลกําหนดแนวทางดูแลผู้ป่วยโควิด-19 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ซึ่งมีผู้รอตรวจเชื้อและรอเตียงรักษาจํานวนมาก ประกอบด้วย แนวทางที่ 1 เร่งให้บริการตรวจเชื้อโดยใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit ซึ่งทราบผลได้รวดเร็ว มีความแม่นยําร้อยละ 90 และอนุญาตให้ประชาชนหาซื้อได้ตามสถานพยาบาล คลินิกเวชกรรม และร้านขายยาที่มีเภสัชกร แนวทางที่ 2 ให้ผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการรักษาตัวที่บ้านหรือชุมชน ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผ่านระบบเทเลเมดิซีนอย่างใกล้ชิด และแนวทางที่ 3 ส่งทีม CCRT ที่ประกอบด้วยบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่เขต ทหาร ตํารวจ รวม 188 ทีม ลงไปดูแลผู้ป่วยที่รักษาตัวที่บ้านหรือชุมชน และหากพบผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเรื้อรัง และสตรีมีครรภ์ จะช่วยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้อีกด้วย “รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44962
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวน “ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ” เข้ารับการฉีด LAAB เสริมภูมิคุ้มกันโควิด ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 65 เป็นต้นไป
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 รัฐบาลเชิญชวน “ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ํา” เข้ารับการฉีด LAAB เสริมภูมิคุ้มกันโควิด ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 65 เป็นต้นไป ..... นับตั้งแต่รัฐบาลได้เริ่มดําเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 64 เป็นต้นมา ปัจจุบันได้ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 140 ล้านโดส แต่ยังมีประชากรบางกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ํา หรือเมื่อได้รับวัคซีนแล้วร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอต่อการป้องกันโรค . ปัญหาดังกล่าวรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และกระทรวงสาธารณสุขได้เร่งจัดหา LAAB ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันสําเร็จรูปที่สามารถออกฤทธิ์ลบล้างเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมและกลายพันธุ์ได้แล้ว โดยรับมอบ LAAB ล็อตแรกจํานวน 7,000 โดสเมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา จากที่สั่งซื้อไป 2.5 แสนโดส และที่เหลือจะทยอยจัดส่งเข้ามาจนครบภายในปีนี้ . ดังนั้น ประชาชนผู้มีภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 ต่ํา หรือผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ สามารถติดต่อเข้ารับการฉีดภูมิคุ้มกันสําเร็จรูป หรือ Long Acting Antibody (LAAB) ได้ที่สถานพยาบาลตามคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกําหนดไว้ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 65 เป็นต้นไป . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57438 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเชิญชวน “ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ” เข้ารับการฉีด LAAB เสริมภูมิคุ้มกันโควิด ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 65 เป็นต้นไป วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 รัฐบาลเชิญชวน “ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ํา” เข้ารับการฉีด LAAB เสริมภูมิคุ้มกันโควิด ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 65 เป็นต้นไป ..... นับตั้งแต่รัฐบาลได้เริ่มดําเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 28 ก.พ. 64 เป็นต้นมา ปัจจุบันได้ฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 140 ล้านโดส แต่ยังมีประชากรบางกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่ํา หรือเมื่อได้รับวัคซีนแล้วร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้เพียงพอต่อการป้องกันโรค . ปัญหาดังกล่าวรัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ และกระทรวงสาธารณสุขได้เร่งจัดหา LAAB ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันสําเร็จรูปที่สามารถออกฤทธิ์ลบล้างเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ทั้งสายพันธุ์ดั้งเดิมและกลายพันธุ์ได้แล้ว โดยรับมอบ LAAB ล็อตแรกจํานวน 7,000 โดสเมื่อวันที่ 25 ก.ค.ที่ผ่านมา จากที่สั่งซื้อไป 2.5 แสนโดส และที่เหลือจะทยอยจัดส่งเข้ามาจนครบภายในปีนี้ . ดังนั้น ประชาชนผู้มีภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 ต่ํา หรือผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วร่างกายไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ สามารถติดต่อเข้ารับการฉีดภูมิคุ้มกันสําเร็จรูป หรือ Long Acting Antibody (LAAB) ได้ที่สถานพยาบาลตามคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกําหนดไว้ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. 65 เป็นต้นไป . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57438 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57478
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. นำคณะผู้บริหารระดับสูง และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลรัชกาลที่ 9 และวางพานพุ่ม-ถวายบังคม น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ
วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2564 รมว.มท. นําคณะผู้บริหารระดับสูง และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลรัชกาลที่ 9 และวางพานพุ่ม-ถวายบังคม น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ รมว.มท. นําคณะผู้บริหารระดับสูง และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลรัชกาลที่ 9 และวางพานพุ่ม-ถวายบังคม น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธ.ค. 2564 เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 64 เวลา 07.30 น. ที่ท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564 โดย สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ และสามเณร รวม 89 รูป สวดพระพุทธมนต์และรับบิณฑบาต โดย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ร่วมพิธี จากนั้นในเวลา 08.30 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ที่โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยทรงเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 โดยตลอดรัชสมัยของพระองค์ ทรงพระวิริยอุตสาหะ ปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเป็นอเนกอนันต์ บําบัดทุกข์ บํารุงสุข ปวงพสกนิกรให้ได้รับความร่มเย็นใต้ร่มพระบารมี ทรงริเริ่มโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริกว่า 4,000 โครงการ ซึ่งล้วนเป็นการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน โดยพระราชทานแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทําให้ประชาชนชาวไทยสามารถดําเนินชีวิตด้วยความผาสุก กระทั่งได้รับการถวายรางวัลความสําเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์จากสหประชาชาติ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี ในปีพุทธศักราช 2559 และเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 สิริพระชนมพรรษา 88 พรรษา “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปวงพสกนิกรชาวไทยต่างน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ และจดจารึกไว้ในดวงใจ อย่างมิเสื่อมคลาย 70 ปีแห่งการครองราชย์ เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่ปวงประชาว่า ทรงยึดมั่นในทศพิธราชธรรม ทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อทํานุบํารุงอาณาประชาราษฎร์ สร้างความผาสุกร่มเย็นให้แก่ชาติบ้านเมือง ทรงเป็นพ่อของแผ่นดินที่พระราชทานความรัก ความเอื้ออาทรห่วงใยแก่ราษฎรโดยถ้วนหน้า เมล็ดพันธุ์การพัฒนาในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริหลายพันโครงการ ยังคงเจริญงอกงาม ผลิดอกออกผลทั่วสารทิศ หล่อเลี้ยงทุกชีวิต ทุกสรรพสิ่งบนผืนแผ่นดินไทย หลักในการดําเนินชีวิต ทั้งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระบรมราโชวาท และพระราชดํารัสที่พระราชทานในโอกาสต่าง ๆ ได้เป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวให้ทุกฝ่ายยึดถือปฏิบัติ ทั้งเป็นแนวทางสําคัญที่เป็นภูมิคุ้มกันให้พสกนิกรสามารถดําเนินชีวิตได้อย่างมั่นคง พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมโลกยุคปัจจุบัน ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พระองค์จึงสถิตอยู่ในดวงใจของ ทวยราษฎร์ตลอดมา ทรงเป็นประดุจดวงประทีปส่องชีวิตผองพสกนิกรทั่วหล้า ก่อเกิดความสมานฉันท์ นํามาซึ่งความเป็นปึกแผ่นของชาติไทย ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักขอสืบสานพระราชปณิธานด้วยความจงรักภักดี และจักมุ่งมั่นเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท เพื่อร่วมกันพัฒนาและสรรค์สร้างสังคมไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าสืบไป” พลเอก ประยุทธ์ กล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.มท. นำคณะผู้บริหารระดับสูง และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลรัชกาลที่ 9 และวางพานพุ่ม-ถวายบังคม น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2564 รมว.มท. นําคณะผู้บริหารระดับสูง และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลรัชกาลที่ 9 และวางพานพุ่ม-ถวายบังคม น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ รมว.มท. นําคณะผู้บริหารระดับสูง และนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศลรัชกาลที่ 9 และวางพานพุ่ม-ถวายบังคม น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธ.ค. 2564 เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 64 เวลา 07.30 น. ที่ท้องสนามหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์และสามเณร เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม 2564 โดย สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ และสามเณร รวม 89 รูป สวดพระพุทธมนต์และรับบิณฑบาต โดย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย และประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ ร่วมพิธี จากนั้นในเวลา 08.30 น. พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมพิธีวางพานพุ่มและถวายบังคม น้อมรําลึกในพระมหากรุณาธิคุณ เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ที่โรงพยาบาลเมาต์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐ ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กับสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี โดยทรงเป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 โดยตลอดรัชสมัยของพระองค์ ทรงพระวิริยอุตสาหะ ปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเป็นอเนกอนันต์ บําบัดทุกข์ บํารุงสุข ปวงพสกนิกรให้ได้รับความร่มเย็นใต้ร่มพระบารมี ทรงริเริ่มโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริกว่า 4,000 โครงการ ซึ่งล้วนเป็นการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าอย่างยั่งยืน โดยพระราชทานแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ทําให้ประชาชนชาวไทยสามารถดําเนินชีวิตด้วยความผาสุก กระทั่งได้รับการถวายรางวัลความสําเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์จากสหประชาชาติ เป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์นานที่สุดในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยทรงครองสิริราชสมบัติครบ 70 ปี ในปีพุทธศักราช 2559 และเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2559 สิริพระชนมพรรษา 88 พรรษา “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ปวงพสกนิกรชาวไทยต่างน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ และจดจารึกไว้ในดวงใจ อย่างมิเสื่อมคลาย 70 ปีแห่งการครองราชย์ เป็นที่ประจักษ์ชัดแก่ปวงประชาว่า ทรงยึดมั่นในทศพิธราชธรรม ทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อทํานุบํารุงอาณาประชาราษฎร์ สร้างความผาสุกร่มเย็นให้แก่ชาติบ้านเมือง ทรงเป็นพ่อของแผ่นดินที่พระราชทานความรัก ความเอื้ออาทรห่วงใยแก่ราษฎรโดยถ้วนหน้า เมล็ดพันธุ์การพัฒนาในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริหลายพันโครงการ ยังคงเจริญงอกงาม ผลิดอกออกผลทั่วสารทิศ หล่อเลี้ยงทุกชีวิต ทุกสรรพสิ่งบนผืนแผ่นดินไทย หลักในการดําเนินชีวิต ทั้งปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พระบรมราโชวาท และพระราชดํารัสที่พระราชทานในโอกาสต่าง ๆ ได้เป็นเครื่อง ยึดเหนี่ยวให้ทุกฝ่ายยึดถือปฏิบัติ ทั้งเป็นแนวทางสําคัญที่เป็นภูมิคุ้มกันให้พสกนิกรสามารถดําเนินชีวิตได้อย่างมั่นคง พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมโลกยุคปัจจุบัน ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น พระองค์จึงสถิตอยู่ในดวงใจของ ทวยราษฎร์ตลอดมา ทรงเป็นประดุจดวงประทีปส่องชีวิตผองพสกนิกรทั่วหล้า ก่อเกิดความสมานฉันท์ นํามาซึ่งความเป็นปึกแผ่นของชาติไทย ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักขอสืบสานพระราชปณิธานด้วยความจงรักภักดี และจักมุ่งมั่นเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาท เพื่อร่วมกันพัฒนาและสรรค์สร้างสังคมไทยให้มีความเจริญก้าวหน้าสืบไป” พลเอก ประยุทธ์ กล่าวสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49156
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งดำเนินคดี ฉ้อโกง - หลอกขายของออนไลน์ ปชช. สามารถร้องเรียน/ร้องทุกข์ โทร. สายด่วน 1212 และ 1441
วันอังคารที่ 12 ตุลาคม 2564 รัฐบาลเร่งดําเนินคดี ฉ้อโกง - หลอกขายของออนไลน์ ปชช. สามารถร้องเรียน/ร้องทุกข์ โทร. สายด่วน 1212 และ 1441 .... กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และหน่วยงานอื่น ๆ กําลังเร่งดําเนินการสืบสวนเอาผิดมิจฉาชีพออนไลน์ คดีฉ้อโกงและหลอกหลวงประชาชน . เนื่องจากตั้งแต่เดือนม.ค. - ต.ค. ที่ผ่านมา มีประชาชนร้องเรียนผ่านสายด่วน 1212 เข้ามามาก เช่น การสั่งซื้อสินค้าแล้วไม่ได้รับสินค้า ได้รับสินค้าไม่ตรงตามโฆษณาเป็นต้น . สําหรับสัดส่วนการร้องเรียนจากการซื้อผ่านเฟซบุ๊ก สูงสุดถึง 82.4% (19,296 ครั้ง) เว็บไซต์ 4.6% และอินสตาแกรม 4.3% . โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเร่งดําเนินคดีกับผู้กระทําผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ อีกทั้งยังเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 11 ที่ต้องโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท อีกด้วย . ประชาชนสามารถร้องเรียน/ร้องทุกข์ ได้ที่ > สายด่วน 1212 และ เบอร์ 1441 สายด่วนตํารวจไซเบอร์ >https://www.1212occ.com/ > อีเมล์ 1212@mdes.go.th . อ่านเพิ่มเติมhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46795 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งดำเนินคดี ฉ้อโกง - หลอกขายของออนไลน์ ปชช. สามารถร้องเรียน/ร้องทุกข์ โทร. สายด่วน 1212 และ 1441 วันอังคารที่ 12 ตุลาคม 2564 รัฐบาลเร่งดําเนินคดี ฉ้อโกง - หลอกขายของออนไลน์ ปชช. สามารถร้องเรียน/ร้องทุกข์ โทร. สายด่วน 1212 และ 1441 .... กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับตํารวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และหน่วยงานอื่น ๆ กําลังเร่งดําเนินการสืบสวนเอาผิดมิจฉาชีพออนไลน์ คดีฉ้อโกงและหลอกหลวงประชาชน . เนื่องจากตั้งแต่เดือนม.ค. - ต.ค. ที่ผ่านมา มีประชาชนร้องเรียนผ่านสายด่วน 1212 เข้ามามาก เช่น การสั่งซื้อสินค้าแล้วไม่ได้รับสินค้า ได้รับสินค้าไม่ตรงตามโฆษณาเป็นต้น . สําหรับสัดส่วนการร้องเรียนจากการซื้อผ่านเฟซบุ๊ก สูงสุดถึง 82.4% (19,296 ครั้ง) เว็บไซต์ 4.6% และอินสตาแกรม 4.3% . โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะเร่งดําเนินคดีกับผู้กระทําผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจําทั้งปรับ อีกทั้งยังเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 11 ที่ต้องโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท อีกด้วย . ประชาชนสามารถร้องเรียน/ร้องทุกข์ ได้ที่ > สายด่วน 1212 และ เบอร์ 1441 สายด่วนตํารวจไซเบอร์ >https://www.1212occ.com/ > อีเมล์ 1212@mdes.go.th . อ่านเพิ่มเติมhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46795 #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติหลักการการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล (Medical Treatment Visa) ระยะเวลา 1 ปี เน้นดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพและมีกำลังใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล ตามนโยบาย Medical Hub
วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ครม. อนุมัติหลักการการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล (Medical Treatment Visa) ระยะเวลา 1 ปี เน้นดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพและมีกําลังใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล ตามนโยบาย Medical Hub ครม. อนุมัติหลักการการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล (Medical Treatment Visa) ระยะเวลา 1 ปี เน้นดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพและมีกําลังใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล ตามนโยบาย Medical Hub ของประเทศไทย นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล ระยะเวลา 1 ปี (Medical Treatment Visa) รหัส Non-MT ซึ่งการตรวจลงตราฯ จะมีอายุ 1 ปี มีผู้ติดตามไม่เกิน 3 ราย เมื่อครบกําหนด 1 ปีแล้ว ไม่สามารถขยายอายุต่อได้ ระยะเวลาพํานักในประเทศไทย ครั้งละไม่เกิน 90 วัน หากมีความจําเป็นต้องรักษาต่อเนื่องผู้ป่วยต้องแสดงใบรับรองแพทย์ที่ออกโดยโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน และสถาบันทางการแพทย์ภาครัฐเท่านั้น พร้อมรายงานตัวต่อพนักเจ้างานเจ้าหน้าที่ทุก 90 วัน ทั้งนี้ กําหนดประเภทการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาลประเภทใหม่ให้สอดรับกับระยะเวลาและกระบวนการรักษาพยาบาลในปัจจุบัน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลและมีความจําเป็นต้องเข้ารับการดูแลต่อเนื่อง และผู้ติดตามผู้ป่วย กลุ่มโรคที่อนุญาตให้เข้ามารับการขอรับการตรวจลงตราฯ เป็นกลุ่มโรค/หัตถการที่ประเทศไทยมีศักยภาพ ที่มีระยะเวลาการรักษาต่อเนื่องที่ต้องใช้เวลามากกว่า 90 วัน อาทิ เวชศาสตร์ชะลอวัยและการฟื้นฟูสุขภาพ โรคระบบหัวใจหลอดเลือด โรคมะเร็ง ทันตกรรม ศัลยกรรมความงาม เป็นต้น โดยผู้ป่วยและผู้ติดตาม จะต้องมีหลักฐานทางการเงินที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายภายในประเทษเป็นเงินสดไม่น้อยกว่ารายละ 800,000 บาท (Bank Statement) และมีการนัดหมายกับสถานพยาบาลล่วงหน้า 30 วัน รวมถึงแสดงหลักฐานประกันภัยกรณีอุบัติเหตุและการช่วยเหลือฉุกเฉินรวมความคุ้มครองโรคโควิด-19 ในประเทศไทย วงเงินไม่น้อยกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,000,000 บาท รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการตรวจลงตราเพื่อรักษาพยาบาลเป็นการเฉพาะ ดังนั้น การกําหนดให้มีการตรวจลงตราประเภทรักษาพยาบาล Medical Treatment Visa รหัส Non-MT เป็นระยะเวลา 1 ปี เข้าออกได้หลายครั้ง (Multiple Entry) เป็นการเฉพาะ เพื่อเป็นการเพิ่มตัวเลือกในการเดินทางเข้าสู่ประเทศให้แก่ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพและมีกําลังใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลเป็นระยะเวลานาน รวมทั้งช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนรองรับนโยบายรัฐบาลด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) พ.ศ. 2560 – 2569 อีกด้วย ......................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติหลักการการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล (Medical Treatment Visa) ระยะเวลา 1 ปี เน้นดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพและมีกำลังใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล ตามนโยบาย Medical Hub วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2564 ครม. อนุมัติหลักการการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล (Medical Treatment Visa) ระยะเวลา 1 ปี เน้นดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพและมีกําลังใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล ตามนโยบาย Medical Hub ครม. อนุมัติหลักการการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล (Medical Treatment Visa) ระยะเวลา 1 ปี เน้นดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพและมีกําลังใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล ตามนโยบาย Medical Hub ของประเทศไทย นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาล ระยะเวลา 1 ปี (Medical Treatment Visa) รหัส Non-MT ซึ่งการตรวจลงตราฯ จะมีอายุ 1 ปี มีผู้ติดตามไม่เกิน 3 ราย เมื่อครบกําหนด 1 ปีแล้ว ไม่สามารถขยายอายุต่อได้ ระยะเวลาพํานักในประเทศไทย ครั้งละไม่เกิน 90 วัน หากมีความจําเป็นต้องรักษาต่อเนื่องผู้ป่วยต้องแสดงใบรับรองแพทย์ที่ออกโดยโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน และสถาบันทางการแพทย์ภาครัฐเท่านั้น พร้อมรายงานตัวต่อพนักเจ้างานเจ้าหน้าที่ทุก 90 วัน ทั้งนี้ กําหนดประเภทการตรวจลงตราเพื่อการรักษาพยาบาลประเภทใหม่ให้สอดรับกับระยะเวลาและกระบวนการรักษาพยาบาลในปัจจุบัน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยเพื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลและมีความจําเป็นต้องเข้ารับการดูแลต่อเนื่อง และผู้ติดตามผู้ป่วย กลุ่มโรคที่อนุญาตให้เข้ามารับการขอรับการตรวจลงตราฯ เป็นกลุ่มโรค/หัตถการที่ประเทศไทยมีศักยภาพ ที่มีระยะเวลาการรักษาต่อเนื่องที่ต้องใช้เวลามากกว่า 90 วัน อาทิ เวชศาสตร์ชะลอวัยและการฟื้นฟูสุขภาพ โรคระบบหัวใจหลอดเลือด โรคมะเร็ง ทันตกรรม ศัลยกรรมความงาม เป็นต้น โดยผู้ป่วยและผู้ติดตาม จะต้องมีหลักฐานทางการเงินที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายภายในประเทษเป็นเงินสดไม่น้อยกว่ารายละ 800,000 บาท (Bank Statement) และมีการนัดหมายกับสถานพยาบาลล่วงหน้า 30 วัน รวมถึงแสดงหลักฐานประกันภัยกรณีอุบัติเหตุและการช่วยเหลือฉุกเฉินรวมความคุ้มครองโรคโควิด-19 ในประเทศไทย วงเงินไม่น้อยกว่า 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 3,000,000 บาท รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีการตรวจลงตราเพื่อรักษาพยาบาลเป็นการเฉพาะ ดังนั้น การกําหนดให้มีการตรวจลงตราประเภทรักษาพยาบาล Medical Treatment Visa รหัส Non-MT เป็นระยะเวลา 1 ปี เข้าออกได้หลายครั้ง (Multiple Entry) เป็นการเฉพาะ เพื่อเป็นการเพิ่มตัวเลือกในการเดินทางเข้าสู่ประเทศให้แก่ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพและมีกําลังใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลเป็นระยะเวลานาน รวมทั้งช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศด้านโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนรองรับนโยบายรัฐบาลด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) พ.ศ. 2560 – 2569 อีกด้วย ......................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48893
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 ย้ำให้พัฒนาต่อยอดให้ตรงกับความต้องการเพื่อสร้างมูลค่าและให้ใช้ประโยชน์ได้จริง
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565 นายกฯ ชื่นชมผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 ย้ําให้พัฒนาต่อยอดให้ตรงกับความต้องการเพื่อสร้างมูลค่าและให้ใช้ประโยชน์ได้จริง นายกรัฐมนตรีชื่นชมผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 ย้ําให้พัฒนาต่อยอดให้ตรงกับความต้องการเพื่อสร้างมูลค่าและให้ใช้ประโยชน์ได้จริง วันนี้ (11 ส.ค.65) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม (ดีอีเอส) นําคณะนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 จํานวน 6 สถาบัน เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้กับทีมหุ่นยนต์ประเทศไทยในการพัฒนาความสามารถต่อยอดองค์ความรู้ในการแข่งขันเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยมี นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง คณะผู้จัดงาน World RoboCup 2022 (มหาวิทยาลัยมหิดล) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรี ชมการสาธิตการแสดงหุ่นยนต์จากทีมนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 โดยกล่าวชื่นชมกับความสําเร็จของทุกคน พร้อมแนะนําให้มีการพัฒนาศักยภาพหุ่นยนต์ให้มีความสามารถที่หลากหลายภายในหุ่นยนต์ตัวเดียวกันสามารถทําหน้าที่ได้หลายอย่าง รวมทั้งมีการติดตั้งอุปกรณ์ที่จําเป็นสําหรับการปฏิบัติหน้าที่ของหุ่นยนต์และให้สามารถเข้าไปในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยากลําบากซึ่งคนไม่สามารถเข้าไปได้ เช่น ในพื้นที่แคบหรือที่สูง โดยเฉพาะหุ่นยนต์ในการกู้ภัยต่าง ๆ หรือหุ่นยนต์ที่ใช้สําหรับการปฏิบัติหน้าที่ทางทหาร เป็นต้น ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแนะนําให้มีการนําคณะนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับรางวัลฯ ไปศึกษาดูงานในพื้นที่ EEC ซึ่งรัฐบาลได้มีการวางแผนและดําเนินการในหลายด้านทั้ง EECh EECd EECi EECmd EECa เพื่อพัฒนาขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตตามเป้าหมายที่กําหนด ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนได้มีการนําความรู้ไปต่อยอดพัฒนาศักภาพตนเองให้สอดคล้องกันการพัฒนาประเทศในอนาคต รวมถึงเน้นย้ําให้พัฒนาศักยภาพตนเองไปสู่การเป็น Start up เพื่อเพิ่มมูลค่าและสามารถสร้างอาชีพและรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณคณะครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษาที่ได้รับรางวัลฯ ตลอดจนคณะผู้จัดงาน World RoboCup 2022 (มหาวิทยาลัยมหิดล) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนที่ร่วมกันดําเนินการจนเกิดผลสําเร็จตามเป้าหมาย พร้อมย้ําให้พัฒนาขีดความสามารถผลิตหุ่นยนต์ให้ตรงกับความต้องการและความมุ่งหมายในการใช้ประโยชน์ได้จริง เกิดผลเป็นรูปธรรม และสามารถสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นได้ โดยขอให้ประสานความร่วมมือและบูรณาการการทํางานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่มีการดําเนินการในเรื่องนี้อยู่แล้วทั้งในส่วนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงกลาโหม เป็นต้น โดยขณะนี้รัฐบาลได้มีนโยบายในการใช้จ่ายงบประมาณส่วนหนึ่งในการจัดหาอุปกรณ์และยุทโธปกรณ์ที่ผลิตเองในประเทศแล้วซึ่งจะสามารถลดค่าใช้จ่ายและงบประมาณในการจัดซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศได้ด้วย ทั้งนี้ในส่วนของคณะทํางานและนักเรียนนักศึกษา พร้อมรับจะนําข้อเสนอแนะนายกรัฐมนตรีไปพัฒนาปรับปรุงหุ่นยนต์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและสามารถใช้งานให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริงตามเป้าหมายที่กําหนด สําหรับการจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลกภายใต้ชื่องาน “World RoboCup 2022, BangKok, Thailand” คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 13 – 17 กรกฎาคม 2565 เพื่อส่งเสริมผลักดันในการวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์และการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับความสนใจมีผู้เข้าร่วมงานจากหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลกลงทะเบียนมากว่า 3,000 คน จาก 45 ประเทศทั่วโลก และเยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพในการแข่งขันฯ จนได้รับรางวัลหลายรายการ ทั้งนี้ ทีมนักเรียนนักศึกษาหุ่นยนต์ประเทศไทยที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 ประกอบด้วย 1) การแข่งขันลีค RoboCup@home ได้แก่ ทีม SeaSky จากโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ ได้รับรางวัล Best Performance Award, RoboCup@home Education 2) การแข่งขันลีค RoboCup Rescue Robot ได้แก่ (1) ทีม iRAP ROBOT จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้รับรางวัลที่ 2 ประเภท RoboCup Rescue Robot และ (2) ทีม BART LAP Rescue Robotics จากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับรางวัล Best Team Description Paper – RoboCup Rescue Robot 3) การแข่งขันระดับเยาวชน ประเภทหุ่นยนต์กู้ภัยแบบผลิตรวดเร็ว ได้แก่ (1) ทีม E-TECH All DAY จากวิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค) ได้รับรางวัลที่ 1 (2) ทีม E-TECH All NIGHT จากวิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค) ได้รับรางวัลที่ 2 และ (3) ทีม SMT robot จากโรงเรียนราชวินิตบางแก้ว ได้รับรางวัลที่ 3 ตามลําดับ และ 4) การแข่งขันระดับเยาวชน ประเภทหุ่นยนต์กู้ภัย ได้แก่ ทีม TPA-TOA Witthaya จากโรงเรียนทีโอเอวิทยา เทศบาล 1 วัดคําสายทอง ได้รับรางวัลที่ 1 ประเภท Super Team -–RoboCupJunior Rescue Line ...........
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ชื่นชมผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 ย้ำให้พัฒนาต่อยอดให้ตรงกับความต้องการเพื่อสร้างมูลค่าและให้ใช้ประโยชน์ได้จริง วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565 นายกฯ ชื่นชมผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 ย้ําให้พัฒนาต่อยอดให้ตรงกับความต้องการเพื่อสร้างมูลค่าและให้ใช้ประโยชน์ได้จริง นายกรัฐมนตรีชื่นชมผู้ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 ย้ําให้พัฒนาต่อยอดให้ตรงกับความต้องการเพื่อสร้างมูลค่าและให้ใช้ประโยชน์ได้จริง วันนี้ (11 ส.ค.65) เวลา 09.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจเเละสังคม (ดีอีเอส) นําคณะนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 จํานวน 6 สถาบัน เข้าพบพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อเป็นขวัญและกําลังใจให้กับทีมหุ่นยนต์ประเทศไทยในการพัฒนาความสามารถต่อยอดองค์ความรู้ในการแข่งขันเพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต โดยมี นายประทีป กีรติเรขา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง คณะผู้จัดงาน World RoboCup 2022 (มหาวิทยาลัยมหิดล) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมด้วย ทั้งนี้ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสําคัญ ดังนี้ นายกรัฐมนตรี ชมการสาธิตการแสดงหุ่นยนต์จากทีมนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 โดยกล่าวชื่นชมกับความสําเร็จของทุกคน พร้อมแนะนําให้มีการพัฒนาศักยภาพหุ่นยนต์ให้มีความสามารถที่หลากหลายภายในหุ่นยนต์ตัวเดียวกันสามารถทําหน้าที่ได้หลายอย่าง รวมทั้งมีการติดตั้งอุปกรณ์ที่จําเป็นสําหรับการปฏิบัติหน้าที่ของหุ่นยนต์และให้สามารถเข้าไปในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยากลําบากซึ่งคนไม่สามารถเข้าไปได้ เช่น ในพื้นที่แคบหรือที่สูง โดยเฉพาะหุ่นยนต์ในการกู้ภัยต่าง ๆ หรือหุ่นยนต์ที่ใช้สําหรับการปฏิบัติหน้าที่ทางทหาร เป็นต้น ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีแนะนําให้มีการนําคณะนักเรียนนักศึกษาที่ได้รับรางวัลฯ ไปศึกษาดูงานในพื้นที่ EEC ซึ่งรัฐบาลได้มีการวางแผนและดําเนินการในหลายด้านทั้ง EECh EECd EECi EECmd EECa เพื่อพัฒนาขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคตตามเป้าหมายที่กําหนด ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนได้มีการนําความรู้ไปต่อยอดพัฒนาศักภาพตนเองให้สอดคล้องกันการพัฒนาประเทศในอนาคต รวมถึงเน้นย้ําให้พัฒนาศักยภาพตนเองไปสู่การเป็น Start up เพื่อเพิ่มมูลค่าและสามารถสร้างอาชีพและรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว และสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย ในตอนท้ายนายกรัฐมนตรีได้ขอบคุณคณะครู อาจารย์ นักเรียน นักศึกษาที่ได้รับรางวัลฯ ตลอดจนคณะผู้จัดงาน World RoboCup 2022 (มหาวิทยาลัยมหิดล) และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกคนที่ร่วมกันดําเนินการจนเกิดผลสําเร็จตามเป้าหมาย พร้อมย้ําให้พัฒนาขีดความสามารถผลิตหุ่นยนต์ให้ตรงกับความต้องการและความมุ่งหมายในการใช้ประโยชน์ได้จริง เกิดผลเป็นรูปธรรม และสามารถสร้างรายได้ให้เกิดขึ้นได้ โดยขอให้ประสานความร่วมมือและบูรณาการการทํางานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่มีการดําเนินการในเรื่องนี้อยู่แล้วทั้งในส่วนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงกลาโหม เป็นต้น โดยขณะนี้รัฐบาลได้มีนโยบายในการใช้จ่ายงบประมาณส่วนหนึ่งในการจัดหาอุปกรณ์และยุทโธปกรณ์ที่ผลิตเองในประเทศแล้วซึ่งจะสามารถลดค่าใช้จ่ายและงบประมาณในการจัดซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศได้ด้วย ทั้งนี้ในส่วนของคณะทํางานและนักเรียนนักศึกษา พร้อมรับจะนําข้อเสนอแนะนายกรัฐมนตรีไปพัฒนาปรับปรุงหุ่นยนต์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและสามารถใช้งานให้เกิดประโยชน์ได้อย่างแท้จริงตามเป้าหมายที่กําหนด สําหรับการจัดการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลกภายใต้ชื่องาน “World RoboCup 2022, BangKok, Thailand” คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เป็นเจ้าภาพจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 13 – 17 กรกฎาคม 2565 เพื่อส่งเสริมผลักดันในการวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์และการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับความสนใจมีผู้เข้าร่วมงานจากหน่วยงานวิจัยต่าง ๆ ทั่วโลกลงทะเบียนมากว่า 3,000 คน จาก 45 ประเทศทั่วโลก และเยาวชนไทยได้แสดงศักยภาพในการแข่งขันฯ จนได้รับรางวัลหลายรายการ ทั้งนี้ ทีมนักเรียนนักศึกษาหุ่นยนต์ประเทศไทยที่ได้รับรางวัลจากการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก World RoboCup 2022 ประกอบด้วย 1) การแข่งขันลีค RoboCup@home ได้แก่ ทีม SeaSky จากโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ ได้รับรางวัล Best Performance Award, RoboCup@home Education 2) การแข่งขันลีค RoboCup Rescue Robot ได้แก่ (1) ทีม iRAP ROBOT จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ได้รับรางวัลที่ 2 ประเภท RoboCup Rescue Robot และ (2) ทีม BART LAP Rescue Robotics จากมหาวิทยาลัยมหิดล ได้รับรางวัล Best Team Description Paper – RoboCup Rescue Robot 3) การแข่งขันระดับเยาวชน ประเภทหุ่นยนต์กู้ภัยแบบผลิตรวดเร็ว ได้แก่ (1) ทีม E-TECH All DAY จากวิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค) ได้รับรางวัลที่ 1 (2) ทีม E-TECH All NIGHT จากวิทยาลัยเทคโนโลยีภาคตะวันออก (อี.เทค) ได้รับรางวัลที่ 2 และ (3) ทีม SMT robot จากโรงเรียนราชวินิตบางแก้ว ได้รับรางวัลที่ 3 ตามลําดับ และ 4) การแข่งขันระดับเยาวชน ประเภทหุ่นยนต์กู้ภัย ได้แก่ ทีม TPA-TOA Witthaya จากโรงเรียนทีโอเอวิทยา เทศบาล 1 วัดคําสายทอง ได้รับรางวัลที่ 1 ประเภท Super Team -–RoboCupJunior Rescue Line ...........
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57906
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. อนุชา ลงพื้นที่ให้กำลังใจผู้ประสบอัคคีภัยชัยนาท ย้ำชัด "คนชัยนาทไม่ทิ้งกัน" พร้อมมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือเบื้องต้น
วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 รมต.นร. อนุชา ลงพื้นที่ให้กําลังใจผู้ประสบอัคคีภัยชัยนาท ย้ําชัด "คนชัยนาทไม่ทิ้งกัน" พร้อมมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือเบื้องต้น รมต.นร. อนุชา ลงพื้นที่ให้กําลังใจผู้ประสบอัคคีภัยชัยนาท ย้ําชัด "คนชัยนาทไม่ทิ้งกัน" พร้อมมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือเบื้องต้น วันนี้ (6 มกราคม 2565) เวลา 18.00 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนผู้ประสบอัคคีภัยในชุมชนบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดชัยนาท โดยมีนายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท นายอนุสรณ์ นาคาศัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท นายเจษฎา สี่พี่น้อง นายกเทศมนตรีเมืองชัยนาท และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ร่วมต้อนรับ ทั้งนี้ สถานการณ์อัคคีภัยเกิดขึ้นเมื่อเวลา 02.50 น. ของวันที่ 6 มกราคม 2564 โดยเพลิงเริ่มลุกไหม้จากบ้านเช่าและลามไปติดอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ถ.พรหมประเสริฐ อ.เมือง จ.ชัยนาท เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและรถน้ําจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่และนอกเขตจังหวัดเร่งเข้าให้ความช่วยเหลือทันทีที่ได้รับแจ้งเหตุ จนกระทั่งเพลิงสงบในเวลา 09.00 น. ส่วนความหายที่เกิดขึ้น ประกอบด้วย อาคารพาณิชย์ได้รับความเสียหาย 6 คูหา บ้านเรือน (บ้านเช่า) ได้รับความเสียหายทั้งหลัง 12 ห้อง มีผู้เสียชีวิตเป็นชาย 2 ราย หนึ่งในนั้นเป็นผู้ป่วยติดเตียง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย การช่วยเหลือเบื้องต้นทางจังหวัดได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัย ณ มูลนิธิชัยนาทการกุศล (โรงเรียนจีน) โดยจัดที่พัก พร้อมอาหาร และเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น และได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกล่าวให้กําลังใจครอบครัวผู้ที่ได้รับความเสียหายและครอบครัวผู้เสียชีวิต ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ในนามของผู้แทนรัฐบาลซึ่งมีการจัดตั้งกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ได้มอบเงินเยียวยาเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยที่บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง หลังละ 230,000 บาท ค่าจัดการศพ รายละ 50,000 บาท และค่าอุปการะเลี้ยงดู จํานวน 30,000 บาท และเงินทุนเลี้ยงชีพแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตที่มีบุตรอายุไม่เกิน 25 ปี อีกครอบครัวละ 50,000 บาท นอกจากนี้ ทางจังหวัดยังได้มอบเงินสนับสนุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย 12 ครัวเรือน เป็นเงินทั้งสิ้น 501,500 บาท รวมถึงสโมสรฟุตบอลชัยนาทฮอนบิลล์ มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 3,000 บาท และนายอนุสรณ์ นาคาศัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 3,000 บาท ภายหลังจากลงพื้นที่ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปยังศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัย เพื่อเยี่ยมให้กําลังใจผู้ประสบภัย โดยย้ําว่าให้มีความเข้มแข็ง ทุกฝ่ายจะร่วมฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน พร้อมย้ําว่าคนชัยนาทไม่ทิ้งกันอย่างแน่นอน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. อนุชา ลงพื้นที่ให้กำลังใจผู้ประสบอัคคีภัยชัยนาท ย้ำชัด "คนชัยนาทไม่ทิ้งกัน" พร้อมมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือเบื้องต้น วันพฤหัสบดีที่ 6 มกราคม 2565 รมต.นร. อนุชา ลงพื้นที่ให้กําลังใจผู้ประสบอัคคีภัยชัยนาท ย้ําชัด "คนชัยนาทไม่ทิ้งกัน" พร้อมมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือเบื้องต้น รมต.นร. อนุชา ลงพื้นที่ให้กําลังใจผู้ประสบอัคคีภัยชัยนาท ย้ําชัด "คนชัยนาทไม่ทิ้งกัน" พร้อมมอบเงินเยียวยาช่วยเหลือเบื้องต้น วันนี้ (6 มกราคม 2565) เวลา 18.00 น. นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่เยี่ยมประชาชนผู้ประสบอัคคีภัยในชุมชนบริเวณหน้าศาลากลางจังหวัดชัยนาท โดยมีนายรังสรรค์ ตันเจริญ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาท นายอนุสรณ์ นาคาศัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท นายเจษฎา สี่พี่น้อง นายกเทศมนตรีเมืองชัยนาท และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ร่วมต้อนรับ ทั้งนี้ สถานการณ์อัคคีภัยเกิดขึ้นเมื่อเวลา 02.50 น. ของวันที่ 6 มกราคม 2564 โดยเพลิงเริ่มลุกไหม้จากบ้านเช่าและลามไปติดอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น ถ.พรหมประเสริฐ อ.เมือง จ.ชัยนาท เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและรถน้ําจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่และนอกเขตจังหวัดเร่งเข้าให้ความช่วยเหลือทันทีที่ได้รับแจ้งเหตุ จนกระทั่งเพลิงสงบในเวลา 09.00 น. ส่วนความหายที่เกิดขึ้น ประกอบด้วย อาคารพาณิชย์ได้รับความเสียหาย 6 คูหา บ้านเรือน (บ้านเช่า) ได้รับความเสียหายทั้งหลัง 12 ห้อง มีผู้เสียชีวิตเป็นชาย 2 ราย หนึ่งในนั้นเป็นผู้ป่วยติดเตียง มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย การช่วยเหลือเบื้องต้นทางจังหวัดได้จัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัย ณ มูลนิธิชัยนาทการกุศล (โรงเรียนจีน) โดยจัดที่พัก พร้อมอาหาร และเครื่องอุปโภคบริโภคที่จําเป็น และได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชน รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมกล่าวให้กําลังใจครอบครัวผู้ที่ได้รับความเสียหายและครอบครัวผู้เสียชีวิต ถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ในนามของผู้แทนรัฐบาลซึ่งมีการจัดตั้งกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สํานักนายกรัฐมนตรี ได้มอบเงินเยียวยาเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยที่บ้านเรือนเสียหายทั้งหลัง หลังละ 230,000 บาท ค่าจัดการศพ รายละ 50,000 บาท และค่าอุปการะเลี้ยงดู จํานวน 30,000 บาท และเงินทุนเลี้ยงชีพแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตที่มีบุตรอายุไม่เกิน 25 ปี อีกครอบครัวละ 50,000 บาท นอกจากนี้ ทางจังหวัดยังได้มอบเงินสนับสนุนช่วยเหลือผู้ประสบภัย 12 ครัวเรือน เป็นเงินทั้งสิ้น 501,500 บาท รวมถึงสโมสรฟุตบอลชัยนาทฮอนบิลล์ มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 3,000 บาท และนายอนุสรณ์ นาคาศัย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยนาท มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวละ 3,000 บาท ภายหลังจากลงพื้นที่ รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีและคณะได้เดินทางไปยังศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัย เพื่อเยี่ยมให้กําลังใจผู้ประสบภัย โดยย้ําว่าให้มีความเข้มแข็ง ทุกฝ่ายจะร่วมฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน พร้อมย้ําว่าคนชัยนาทไม่ทิ้งกันอย่างแน่นอน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50286
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงรายงานสถานการณ์อุทกภัยประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2564 เตรียมพร้อมรับมือพายุลูกใหม่ตามแผนบรรเทาสาธารณภัยเพื่อความปลอดภัยของประชาชน
วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวงรายงานสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 7 ตุลาคม 2564 เตรียมพร้อมรับมือพายุลูกใหม่ตามแผนบรรเทาสาธารณภัยเพื่อความปลอดภัยของประชาชน สําหรับสถานการณ์ประจําวันที่ 7 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น. พบทางหลวงถูกน้ําท่วม ดินสไลด์ และสะพานชํารุด จํานวน 9 จังหวัด 21 สายทาง รวม 44 แห่ง โดยมีการการจราจรผ่านไม่ได้ 19 แห่ง นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมือพายุดีเปรสชัน ไลออนร็อก ในช่วงนี้โดยให้ติดตามการเตือนภัยของกรมอุตุนิยมวิทยาและศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้ดําเนินการตามแผนป้องกันสาธารณภัยอย่างเคร่งครัด และมีประสิทธิภาพเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงทีในการป้องกัน การฟื้นฟู และการเยียวยาหลังสถานการณ์คลี่คลายในทุกมิติ นอกจากนี้ให้รายงานผลการดําเนินงานมายังกระทรวงฯ รับทราบทุกวัน และให้ประชาสัมพันธ์การดําเนินการไปยังสื่อมวลชนและประชาชนให้รับทราบด้วยตามแผนปฏิบัติการเดิมที่ได้สั่งไว้ พร้อมกําชับให้บูรณาการการทํางานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ปลอดภัย ทั้งนี้จึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเตรียมความพร้อมทั้งบุคลากรและเครื่องจักรตลอดเวลา 24 ชั่วโมง และเมื่อเกิดภัยพิบัติให้เข้าไปดําเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุดรวมถึงการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ หากมีสถานการณ์ฉุกเฉินให้ผู้บริหารในพื้นที่เข้าไปดําเนินแก้ไขปัญหาทันที และรายงานผู้บริหารในส่วนกลางจนกว่าเหตุการณ์จะยุติ และเมื่อเกิดเหตุทางขาด สะพานขาดหรือชํารุด ให้จัดเจ้าหน้าที่เครื่องจักรและสะพานเบลีย์ (สะพานเหล็กชั่วคราว) เข้าดําเนินการแก้ไขปัญหาทันที พร้อมทั้งให้ทุกหน่วยงานติดตามเฝ้าระวังและรายงานข้อมูลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าระบบบริหารงานภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉินของกรมทางหลวงอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะปกติ สําหรับสถานการณ์ประจําวันที่ 7 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น. พบทางหลวงถูกน้ําท่วมดินสไลด์ และสะพานชํารุด จํานวน 9 จังหวัด 21 สายทาง รวม 44 แห่ง โดยทางหลวงในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 11 จังหวัด ได้แก่ 1) จังหวัดขอนแก่น 2) จังหวัดนนทบุรี 3) จังหวัดสระบุรี 4) จังหวัดอ่างทอง5) จังหวัดลพบุรี 6) จังหวัดกําแพงเพชร 7) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 8) จังหวัดสุพรรณบุรี 9) จังหวัดนครสวรรค์ โดยทางหลวงที่มีระดับน้ําสูงได้แก่ ทล. 2 ท่าพระ - ขอนแก่น ระดับน้ําสูง 280 เซนติเมตร ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ระดับน้ําสูง 150 เซนติเมตร ทล.32 อ่างทอง - ไชโย ระดับน้ําสูง 130 - 150 เซนติเมตร และ ทล. 3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ระดับน้ําสูง 175 เซนติเมตร โดยมีการการจราจรผ่านไม่ได้ 19 แห่ง ดังนี้ 1. จังหวัดขอนแก่น จํานวน 2 แห่ง 2 สายทาง ได้แก่ - ทล.2 ท่าพระ - ขอนแก่น ช่วง กม. ที่ 329+913 (จุดกลับรถใต้สะพานบ้านกุดกว้าง)ระดับน้ําสูง 280 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ - ทล.2131 บ้านสะอาด - เหล่านางงาม ช่วง กม. ที่ 6+800 - 8+500 ด้านซ้ายทางและขวาทาง ระดับน้ําสูง 90 - 100 เซนติเมตร ใช้ทางเลี่ยง ทล.2062 บ้านทุ่ม - มัญจาคีรี กม. ที่ 0 ไปออก ทล.12 บ้านฝาง - ขอนแก่น กม. ที่ 540 เข้าเมืองขอนแก่น 2. จังหวัดนนทบุรี จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ - ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า - ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 16+950 (จุดกลับรถใต้สะพานคลองบางแพรกมุ่งหน้าแคราย) ระดับน้ําสูง 30 เซนติเมตร ใช้จุดกลับรถต่างระดับบางใหญ่ ที่ กม. 18+500 ทดแทน - ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า-ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 17+000 (จุดกลับรถใต้สะพานคลองบางแพรกมุ่งหน้าถนนกาญจนาภิเษก ระดับน้ําสูง 30 เซนติเมตร ใช้จุดกลับรถใต้สะพานคลองบางไผ่ ที่ กม. 16+600 ทดแทน 3. จังหวัดอ่างทอง จํานวน 5 แห่ง ได้แก่ - ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 32+607 (จุดกลับรถคลองกะท่อ) ระดับน้ําสูง 150 เซนติเมตร จุดกลับรถผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 33+200 จุดกลับรถใต้ท่อ Box Cul. (วัดค่าย) ระดับน้ําสูง 80 เซนติเมตร ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 39+843 (จุดกลับรถวัดดอกไม้) ระดับน้ําสูง 59-55 เซนติเมตร จุดกลับรถผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล.32 อ่างทอง - ไชโย ช่วง กม. ที่ 57+500 จุดกลับรถบางศาลา ระดับน้ําสูง 130 - 150 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล.33 นาคู - ป่าโมก ช่วง กม. ที่ 36+000 - 36+400 (จุดกลับรถใต้สะพานฝั่งป่าโมก) ระดับน้ําสูง 40 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน 4. จังหวัดลพบุรี จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ - ทล.3019 สามแยกโคกกระเทียม - สถานีรถไฟโคกกระเทียม ช่วง กม. ที่ 1+750 - 1+825 ระดับน้ําสูง 35 เซนติเมตร ทางเลี่ยงใช้ทางท้องถิ่นแทน - ทล.3024 บ้านหมี่ - เขาช่องลม ช่วง กม. ที่ 5+600 - 7+300 ระดับน้ําสูง 100 เซนติเมตร ทางเลี่ยงใช้ทางท้องถิ่นแทน 5. จังหวัดกําแพงเพชร จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ - ทล.1117 คลองแม่ลาย - อุ้มผาง ช่วง กม. ที่ 89+100 ดินสไลด์ - ทล.1117 ตอน คลองแม่ลาย - อุ้มผาง ช่วง กม. ที่ 93+155 ดินสไลด์ 6. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จํานวน 3 แห่ง ได้แก่ - ทล.347 บางกระสั้น - บางปะหัน ช่วง กม. ที่ 40+860 (จุดกลับรถใต้สะพานข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา) ระดับน้ําสูง 50 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 10+940 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ําสูง 175 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล 3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 11+100 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ําสูง 175 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน 7. จังหวัดสุพรรณบุรี จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ - ทล.33 สุพรรณบุรี - นาคู ช่วง กม. ที่ 9+886 (สะพานคลองทับน้ํา) ระดับน้ําสูง 70 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล.340 สาลี - สุพรรณบุรี กม. ที่ 59+674 (สะพานศาลเจ้าแม่ทับทิม) ระดับน้ําสูง 100 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน 8. จังหวัดนครสวรรค์ จํานวน 1 แห่ง ได้แก่ ทล.1 บ้านหว้า - วังไผ่ ช่วง กม. ที่ 339+600 ใต้สะพาน เดชาติวงศ์ ระดับน้ําสูง 80 เซนติเมตร ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางหลวงเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงเส้นทางที่คาดว่าจะเกิดความสุ่มเสี่ยง พร้อมขอให้ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนําและคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สํานักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง โทร.1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางได้ที่ทวิตเตอร์กรมทางหลวง @prdoh1
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงรายงานสถานการณ์อุทกภัยประจำวันที่ 7 ตุลาคม 2564 เตรียมพร้อมรับมือพายุลูกใหม่ตามแผนบรรเทาสาธารณภัยเพื่อความปลอดภัยของประชาชน วันพฤหัสบดีที่ 7 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวงรายงานสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 7 ตุลาคม 2564 เตรียมพร้อมรับมือพายุลูกใหม่ตามแผนบรรเทาสาธารณภัยเพื่อความปลอดภัยของประชาชน สําหรับสถานการณ์ประจําวันที่ 7 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น. พบทางหลวงถูกน้ําท่วม ดินสไลด์ และสะพานชํารุด จํานวน 9 จังหวัด 21 สายทาง รวม 44 แห่ง โดยมีการการจราจรผ่านไม่ได้ 19 แห่ง นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ตามที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับมือพายุดีเปรสชัน ไลออนร็อก ในช่วงนี้โดยให้ติดตามการเตือนภัยของกรมอุตุนิยมวิทยาและศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้ดําเนินการตามแผนป้องกันสาธารณภัยอย่างเคร่งครัด และมีประสิทธิภาพเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างทันท่วงทีในการป้องกัน การฟื้นฟู และการเยียวยาหลังสถานการณ์คลี่คลายในทุกมิติ นอกจากนี้ให้รายงานผลการดําเนินงานมายังกระทรวงฯ รับทราบทุกวัน และให้ประชาสัมพันธ์การดําเนินการไปยังสื่อมวลชนและประชาชนให้รับทราบด้วยตามแผนปฏิบัติการเดิมที่ได้สั่งไว้ พร้อมกําชับให้บูรณาการการทํางานร่วมกับทุกภาคส่วนเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ปลอดภัย ทั้งนี้จึงได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเตรียมความพร้อมทั้งบุคลากรและเครื่องจักรตลอดเวลา 24 ชั่วโมง และเมื่อเกิดภัยพิบัติให้เข้าไปดําเนินการแก้ไขปัญหาโดยเร็วที่สุดรวมถึงการให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ หากมีสถานการณ์ฉุกเฉินให้ผู้บริหารในพื้นที่เข้าไปดําเนินแก้ไขปัญหาทันที และรายงานผู้บริหารในส่วนกลางจนกว่าเหตุการณ์จะยุติ และเมื่อเกิดเหตุทางขาด สะพานขาดหรือชํารุด ให้จัดเจ้าหน้าที่เครื่องจักรและสะพานเบลีย์ (สะพานเหล็กชั่วคราว) เข้าดําเนินการแก้ไขปัญหาทันที พร้อมทั้งให้ทุกหน่วยงานติดตามเฝ้าระวังและรายงานข้อมูลสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าระบบบริหารงานภัยพิบัติและสถานการณ์ฉุกเฉินของกรมทางหลวงอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์จะปกติ สําหรับสถานการณ์ประจําวันที่ 7 ตุลาคม 2564 เวลา 13.30 น. พบทางหลวงถูกน้ําท่วมดินสไลด์ และสะพานชํารุด จํานวน 9 จังหวัด 21 สายทาง รวม 44 แห่ง โดยทางหลวงในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย 11 จังหวัด ได้แก่ 1) จังหวัดขอนแก่น 2) จังหวัดนนทบุรี 3) จังหวัดสระบุรี 4) จังหวัดอ่างทอง5) จังหวัดลพบุรี 6) จังหวัดกําแพงเพชร 7) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 8) จังหวัดสุพรรณบุรี 9) จังหวัดนครสวรรค์ โดยทางหลวงที่มีระดับน้ําสูงได้แก่ ทล. 2 ท่าพระ - ขอนแก่น ระดับน้ําสูง 280 เซนติเมตร ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ระดับน้ําสูง 150 เซนติเมตร ทล.32 อ่างทอง - ไชโย ระดับน้ําสูง 130 - 150 เซนติเมตร และ ทล. 3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ระดับน้ําสูง 175 เซนติเมตร โดยมีการการจราจรผ่านไม่ได้ 19 แห่ง ดังนี้ 1. จังหวัดขอนแก่น จํานวน 2 แห่ง 2 สายทาง ได้แก่ - ทล.2 ท่าพระ - ขอนแก่น ช่วง กม. ที่ 329+913 (จุดกลับรถใต้สะพานบ้านกุดกว้าง)ระดับน้ําสูง 280 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ - ทล.2131 บ้านสะอาด - เหล่านางงาม ช่วง กม. ที่ 6+800 - 8+500 ด้านซ้ายทางและขวาทาง ระดับน้ําสูง 90 - 100 เซนติเมตร ใช้ทางเลี่ยง ทล.2062 บ้านทุ่ม - มัญจาคีรี กม. ที่ 0 ไปออก ทล.12 บ้านฝาง - ขอนแก่น กม. ที่ 540 เข้าเมืองขอนแก่น 2. จังหวัดนนทบุรี จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ - ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า - ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 16+950 (จุดกลับรถใต้สะพานคลองบางแพรกมุ่งหน้าแคราย) ระดับน้ําสูง 30 เซนติเมตร ใช้จุดกลับรถต่างระดับบางใหญ่ ที่ กม. 18+500 ทดแทน - ทล.302 สะพานพระนั่งเกล้า-ต่างระดับบางใหญ่ ช่วง กม. ที่ 17+000 (จุดกลับรถใต้สะพานคลองบางแพรกมุ่งหน้าถนนกาญจนาภิเษก ระดับน้ําสูง 30 เซนติเมตร ใช้จุดกลับรถใต้สะพานคลองบางไผ่ ที่ กม. 16+600 ทดแทน 3. จังหวัดอ่างทอง จํานวน 5 แห่ง ได้แก่ - ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 32+607 (จุดกลับรถคลองกะท่อ) ระดับน้ําสูง 150 เซนติเมตร จุดกลับรถผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 33+200 จุดกลับรถใต้ท่อ Box Cul. (วัดค่าย) ระดับน้ําสูง 80 เซนติเมตร ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล.32 นครหลวง - อ่างทอง ช่วง กม. ที่ 39+843 (จุดกลับรถวัดดอกไม้) ระดับน้ําสูง 59-55 เซนติเมตร จุดกลับรถผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล.32 อ่างทอง - ไชโย ช่วง กม. ที่ 57+500 จุดกลับรถบางศาลา ระดับน้ําสูง 130 - 150 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล.33 นาคู - ป่าโมก ช่วง กม. ที่ 36+000 - 36+400 (จุดกลับรถใต้สะพานฝั่งป่าโมก) ระดับน้ําสูง 40 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน 4. จังหวัดลพบุรี จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ - ทล.3019 สามแยกโคกกระเทียม - สถานีรถไฟโคกกระเทียม ช่วง กม. ที่ 1+750 - 1+825 ระดับน้ําสูง 35 เซนติเมตร ทางเลี่ยงใช้ทางท้องถิ่นแทน - ทล.3024 บ้านหมี่ - เขาช่องลม ช่วง กม. ที่ 5+600 - 7+300 ระดับน้ําสูง 100 เซนติเมตร ทางเลี่ยงใช้ทางท้องถิ่นแทน 5. จังหวัดกําแพงเพชร จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ - ทล.1117 คลองแม่ลาย - อุ้มผาง ช่วง กม. ที่ 89+100 ดินสไลด์ - ทล.1117 ตอน คลองแม่ลาย - อุ้มผาง ช่วง กม. ที่ 93+155 ดินสไลด์ 6. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จํานวน 3 แห่ง ได้แก่ - ทล.347 บางกระสั้น - บางปะหัน ช่วง กม. ที่ 40+860 (จุดกลับรถใต้สะพานข้ามแม่น้ําเจ้าพระยา) ระดับน้ําสูง 50 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล.3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 10+940 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ําสูง 175 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล 3263 อยุธยา - ไผ่กองดิน ช่วง กม. ที่ 11+100 (จุดกลับรถใต้สะพานสีกุก) ระดับน้ําสูง 175 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน 7. จังหวัดสุพรรณบุรี จํานวน 2 แห่ง ได้แก่ - ทล.33 สุพรรณบุรี - นาคู ช่วง กม. ที่ 9+886 (สะพานคลองทับน้ํา) ระดับน้ําสูง 70 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน - ทล.340 สาลี - สุพรรณบุรี กม. ที่ 59+674 (สะพานศาลเจ้าแม่ทับทิม) ระดับน้ําสูง 100 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้ ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน 8. จังหวัดนครสวรรค์ จํานวน 1 แห่ง ได้แก่ ทล.1 บ้านหว้า - วังไผ่ ช่วง กม. ที่ 339+600 ใต้สะพาน เดชาติวงศ์ ระดับน้ําสูง 80 เซนติเมตร ใช้ทางกลับรถข้างหน้าแทน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางหลวงเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัยและหลีกเลี่ยงเส้นทางที่คาดว่าจะเกิดความสุ่มเสี่ยง พร้อมขอให้ปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนําและคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สํานักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง โทร.1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางได้ที่ทวิตเตอร์กรมทางหลวง @prdoh1
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46677
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่ง อสม. แนะนำการใช้ ATK ย้ำป้องกันโควิดขั้นสูงสุด ปักธงเขียวสร้างตำบลปลอดภัย
วันศุกร์ที่ 10 กันยายน 2564 สธ.ส่ง อสม. แนะนําการใช้ ATK ย้ําป้องกันโควิดขั้นสูงสุด ปักธงเขียวสร้างตําบลปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุขมอบ อสม.ลุย 5 มาตรการจัดการโควิดเข้มแข็ง เคาะประตูบ้านรณรงค์ป้องกันตนเองสูงสุด ทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง แนะนําประชาชนใช้ชุดตรวจ ATK ชักชวนฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย หวังปักธงเขียวเป็นตําบลปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุขมอบ อสม.ลุย 5 มาตรการจัดการโควิดเข้มแข็ง เคาะประตูบ้านรณรงค์ป้องกันตนเองสูงสุด ทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง แนะนําประชาชนใช้ชุดตรวจATK ชักชวนฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย หวังปักธงเขียวเป็นตําบลปลอดภัย ตั้งเป้าจังหวัดละ 1 อําเภอ อําเภอละ 1 ตําบล ขยายพื้นออกไปเพื่ออยู่ร่วมกับโควิดและเปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย วันนี้ (10 กันยายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ แถลงข่าว อสม.ติดอาวุธประชาชนตรวจATK ด้วยตนเองและการป้องกันตนเองขั้นสูงสุด โดยนายแพทย์ธเรศกล่าวว่า อสม.มีบทบาทสําคัญช่วยควบคุมโรคในชุมชนมาตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด 19 ทําให้องค์การอนามัยโลกยกย่องว่าเป็นกลไกสําคัญภาคประชาชนที่ช่วยให้การควบคุมโรคประสบความสําเร็จ ได้รับการเผยแพร่ในวารสารต่างประเทศว่าเป็นต้นแบบการจัดการโรคอุบัติใหม่ โดยที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 อสม.ได้เคาะประตูบ้านให้ความรู้ประชาชน ชักชวนลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 รวม 4,800,059 คน ทั้งผ่านไลน์ “หมอพร้อม” หน่วยบริการสุขภาพ และระบบ Smart อสม. นอกจากนี้ ยังช่วยติดตามกลุ่มเป้าหมาย 608 จํานวน 3,419,961 คน ให้ได้รับวัคซีนแล้ว 1,091,954 คนคิดเป็น 31.93% อํานวยความสะดวกในการฉีดวัคซีน ทั้งลงทะเบียนที่จุดฉีด วัดความดันโลหิตและอุณหภูมิ นอกจากนี้ยังร่วมดูแลผู้ติดเชื้อที่แยกกักในชุมชน (Community Isolation) 4,900 แห่ง แยกกักที่บ้าน (Home Isolation) รวม 26,513 คน ทําหน้าที่เป็นไรเดอร์ส่งอาหารถึงบ้าน และเฝ้าระวังแรงงานกลับบ้าน 299,840 คน สามารถติดตามกลุ่มเสี่ยงจนครบ 14 วัน 251,642 คน และส่งต่อเมื่อมีอาการ 15,893 คน ด้านนายแพทย์ภานุวัฒน์กล่าวว่า ภารกิจที่มอบหมายให้ อสม.ดําเนินการเพิ่มในช่วงนี้ คือ แนะนําการใช้ชุดตรวจATK แก่ประชาชน และวิธีปฏิบัติตัวเมื่อทราบผล โดยในกลุ่มเสี่ยงหากผลเป็นลบต้องกักตัว ติดตามอาการจนครบ 14 วัน และตรวจซ้ําอีกครั้งใน 5 วัน หากผลบวกจะช่วยประสานหน่วยบริการเพื่อพิจารณาส่งแยกกักที่บ้าน ชุมชน หรือส่งโรงพยาบาล โดยศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพทุกเขตและชมรม อสม.แห่งประเทศไทย ได้จัดอบรมพร้อมเผยแพร่ชุดความรู้ผ่านแอปพลิเคชัน Smart อสม.ที่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา และให้ชักชวนคนในชุมชน ผู้นําชุมชน สร้างตําบลโควิด 19 เข้มแข็ง โดยใช้หลักการ 5 ข้อ ได้แก่ 1.มาตรการป้องกันตนเองสูงสุดทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา (Universal Prevention) แม้แต่คนในบ้านเดียวกัน 2.การจัดการสิ่งแวดล้อมป้องกันโควิด 19 โดยกิจการต่างๆ ต้องทําตามมาตรการที่กําหนด 3.เฝ้าระวังคัดกรองคนเข้าออกพื้นที่ กลุ่มเสี่ยงตรวจ ATK 4.ชวนฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมตามเป้าหมาย และ 5.มีระบบบริหารจัดการและเฝ้าระวังควบคุมโรคโควิดที่ดี “ได้สื่อสารให้ อสม.ทุกตําบลใช้กลไก 3 หมอดําเนินการเป็นแซนด์บ็อกซ์ให้ได้จังหวัดละ 1 อําเภอ และอําเภอละ 1 ตําบล เพื่อปักธงสีเขียวเป็นพื้นที่ปลอดโควิด คือไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ หรือมีผู้ป่วยกําลังรักษา แต่มีมาตรการควบคุมโรคที่ดี หากมีตําบลทําได้มากกว่า 80% ก็จะเป็นอําเภอปลอดโควิด หากมีหลายอําเภอทําได้จะเป็นจังหวัดปลอดโควิด เมื่อทุกจังหวัดทําได้ ประเทศก็จะปลอดภัย ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างยั่งยืน เดินหน้าเศรษฐกิจและเปิดประเทศได้” นายแพทย์ภานุวัฒน์กล่าว ************************************** 10 กันยายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ส่ง อสม. แนะนำการใช้ ATK ย้ำป้องกันโควิดขั้นสูงสุด ปักธงเขียวสร้างตำบลปลอดภัย วันศุกร์ที่ 10 กันยายน 2564 สธ.ส่ง อสม. แนะนําการใช้ ATK ย้ําป้องกันโควิดขั้นสูงสุด ปักธงเขียวสร้างตําบลปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุขมอบ อสม.ลุย 5 มาตรการจัดการโควิดเข้มแข็ง เคาะประตูบ้านรณรงค์ป้องกันตนเองสูงสุด ทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง แนะนําประชาชนใช้ชุดตรวจ ATK ชักชวนฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย หวังปักธงเขียวเป็นตําบลปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุขมอบ อสม.ลุย 5 มาตรการจัดการโควิดเข้มแข็ง เคาะประตูบ้านรณรงค์ป้องกันตนเองสูงสุด ทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา เฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยง แนะนําประชาชนใช้ชุดตรวจATK ชักชวนฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย หวังปักธงเขียวเป็นตําบลปลอดภัย ตั้งเป้าจังหวัดละ 1 อําเภอ อําเภอละ 1 ตําบล ขยายพื้นออกไปเพื่ออยู่ร่วมกับโควิดและเปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย วันนี้ (10 กันยายน 2564) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และนายแพทย์ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ แถลงข่าว อสม.ติดอาวุธประชาชนตรวจATK ด้วยตนเองและการป้องกันตนเองขั้นสูงสุด โดยนายแพทย์ธเรศกล่าวว่า อสม.มีบทบาทสําคัญช่วยควบคุมโรคในชุมชนมาตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของโควิด 19 ทําให้องค์การอนามัยโลกยกย่องว่าเป็นกลไกสําคัญภาคประชาชนที่ช่วยให้การควบคุมโรคประสบความสําเร็จ ได้รับการเผยแพร่ในวารสารต่างประเทศว่าเป็นต้นแบบการจัดการโรคอุบัติใหม่ โดยที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 อสม.ได้เคาะประตูบ้านให้ความรู้ประชาชน ชักชวนลงทะเบียนฉีดวัคซีนโควิด 19 รวม 4,800,059 คน ทั้งผ่านไลน์ “หมอพร้อม” หน่วยบริการสุขภาพ และระบบ Smart อสม. นอกจากนี้ ยังช่วยติดตามกลุ่มเป้าหมาย 608 จํานวน 3,419,961 คน ให้ได้รับวัคซีนแล้ว 1,091,954 คนคิดเป็น 31.93% อํานวยความสะดวกในการฉีดวัคซีน ทั้งลงทะเบียนที่จุดฉีด วัดความดันโลหิตและอุณหภูมิ นอกจากนี้ยังร่วมดูแลผู้ติดเชื้อที่แยกกักในชุมชน (Community Isolation) 4,900 แห่ง แยกกักที่บ้าน (Home Isolation) รวม 26,513 คน ทําหน้าที่เป็นไรเดอร์ส่งอาหารถึงบ้าน และเฝ้าระวังแรงงานกลับบ้าน 299,840 คน สามารถติดตามกลุ่มเสี่ยงจนครบ 14 วัน 251,642 คน และส่งต่อเมื่อมีอาการ 15,893 คน ด้านนายแพทย์ภานุวัฒน์กล่าวว่า ภารกิจที่มอบหมายให้ อสม.ดําเนินการเพิ่มในช่วงนี้ คือ แนะนําการใช้ชุดตรวจATK แก่ประชาชน และวิธีปฏิบัติตัวเมื่อทราบผล โดยในกลุ่มเสี่ยงหากผลเป็นลบต้องกักตัว ติดตามอาการจนครบ 14 วัน และตรวจซ้ําอีกครั้งใน 5 วัน หากผลบวกจะช่วยประสานหน่วยบริการเพื่อพิจารณาส่งแยกกักที่บ้าน ชุมชน หรือส่งโรงพยาบาล โดยศูนย์สนับสนุนบริการสุขภาพทุกเขตและชมรม อสม.แห่งประเทศไทย ได้จัดอบรมพร้อมเผยแพร่ชุดความรู้ผ่านแอปพลิเคชัน Smart อสม.ที่สามารถเรียนรู้ได้ตลอดเวลา และให้ชักชวนคนในชุมชน ผู้นําชุมชน สร้างตําบลโควิด 19 เข้มแข็ง โดยใช้หลักการ 5 ข้อ ได้แก่ 1.มาตรการป้องกันตนเองสูงสุดทุกคน ทุกที่ ทุกเวลา (Universal Prevention) แม้แต่คนในบ้านเดียวกัน 2.การจัดการสิ่งแวดล้อมป้องกันโควิด 19 โดยกิจการต่างๆ ต้องทําตามมาตรการที่กําหนด 3.เฝ้าระวังคัดกรองคนเข้าออกพื้นที่ กลุ่มเสี่ยงตรวจ ATK 4.ชวนฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมตามเป้าหมาย และ 5.มีระบบบริหารจัดการและเฝ้าระวังควบคุมโรคโควิดที่ดี “ได้สื่อสารให้ อสม.ทุกตําบลใช้กลไก 3 หมอดําเนินการเป็นแซนด์บ็อกซ์ให้ได้จังหวัดละ 1 อําเภอ และอําเภอละ 1 ตําบล เพื่อปักธงสีเขียวเป็นพื้นที่ปลอดโควิด คือไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ หรือมีผู้ป่วยกําลังรักษา แต่มีมาตรการควบคุมโรคที่ดี หากมีตําบลทําได้มากกว่า 80% ก็จะเป็นอําเภอปลอดโควิด หากมีหลายอําเภอทําได้จะเป็นจังหวัดปลอดโควิด เมื่อทุกจังหวัดทําได้ ประเทศก็จะปลอดภัย ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกับโควิดได้อย่างยั่งยืน เดินหน้าเศรษฐกิจและเปิดประเทศได้” นายแพทย์ภานุวัฒน์กล่าว ************************************** 10 กันยายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45706
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน แจงวัคซีนไฟเซอร์ที่สหรัฐบริจาค 1 ล้านโดสไม่ล่าช้า อยู่ในขั้นตอนเตรียมเอกสารจากต้นทาง
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564 อนุทิน แจงวัคซีนไฟเซอร์ที่สหรัฐบริจาค 1 ล้านโดสไม่ล่าช้า อยู่ในขั้นตอนเตรียมเอกสารจากต้นทาง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แจงวัคซีนไฟเซอร์บริจาค 1 ล้านโดสจากสหรัฐอเมริกาอยู่ในขั้นตอนการจัดเตรียมเอกสารจากต้นทาง ยืนยันไม่ล่าช้า หากเอกสารมาถึงดําเนินการแล้วเสร็จใน 2 สัปดาห์ วันนี้ (27 กันยายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ กรณีสหรัฐอเมริกาจะบริจาควัคซีนไฟเซอร์ 1 ล้านโดสให้ประเทศไทย ว่า สถานทูตสหรัฐอเมริกาได้ออกแถลงการณ์ว่าอยู่ในขั้นตอนการจัดเตรียมเอกสาร รวมถึงแถลงการณ์จากเอกอัครราชทูตไทยประจํากรุงวอชิงตันระบุอย่างชัดเจนว่ายังไม่ได้รับบริจาค ซึ่งวัคซีนไฟเซอร์ที่รัฐบาลไทยจะได้รับจากสหรัฐอเมริกามีทั้งหมด 2.5 ล้านโดส มาถึงแล้ว 1.5 ล้านโดส ส่วนอีก 1 ล้านโดสเป็นเจตจํานงที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะมอบให้ซึ่งยังไม่มีการดําเนินการใดๆ ขอยืนยันว่าวัคซีนที่ได้รับบริจาคถือเป็นการเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นายอนุทินกล่าวต่อว่า วัคซีนบริจาคเราจะได้รับเมื่อทางสหรัฐอเมริกามีความพร้อมซึ่งเป็นสิทธิของประเทศต้นทางที่จะบริจาค ไม่สามารถไปทวงได้ ยืนยันว่าหากส่งเอกสารมาเราไม่มีทางล่าช้าแน่นอน เช่นที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นได้บริจาควัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 4 แสนกว่าโดสให้ไทยใช้เวลาติดต่อไม่เกิน 2 สัปดาห์วัคซีนล็อตดังกล่าวได้ถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ วัคซีนล็อตที่ได้รับการบริจาคจะต้องมีการละเว้นการเรียกร้องสิทธิ์ต่างๆ เช่น อาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นตามหลักสากล ******************************************** 27 กันยายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน แจงวัคซีนไฟเซอร์ที่สหรัฐบริจาค 1 ล้านโดสไม่ล่าช้า อยู่ในขั้นตอนเตรียมเอกสารจากต้นทาง วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564 อนุทิน แจงวัคซีนไฟเซอร์ที่สหรัฐบริจาค 1 ล้านโดสไม่ล่าช้า อยู่ในขั้นตอนเตรียมเอกสารจากต้นทาง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข แจงวัคซีนไฟเซอร์บริจาค 1 ล้านโดสจากสหรัฐอเมริกาอยู่ในขั้นตอนการจัดเตรียมเอกสารจากต้นทาง ยืนยันไม่ล่าช้า หากเอกสารมาถึงดําเนินการแล้วเสร็จใน 2 สัปดาห์ วันนี้ (27 กันยายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ กรณีสหรัฐอเมริกาจะบริจาควัคซีนไฟเซอร์ 1 ล้านโดสให้ประเทศไทย ว่า สถานทูตสหรัฐอเมริกาได้ออกแถลงการณ์ว่าอยู่ในขั้นตอนการจัดเตรียมเอกสาร รวมถึงแถลงการณ์จากเอกอัครราชทูตไทยประจํากรุงวอชิงตันระบุอย่างชัดเจนว่ายังไม่ได้รับบริจาค ซึ่งวัคซีนไฟเซอร์ที่รัฐบาลไทยจะได้รับจากสหรัฐอเมริกามีทั้งหมด 2.5 ล้านโดส มาถึงแล้ว 1.5 ล้านโดส ส่วนอีก 1 ล้านโดสเป็นเจตจํานงที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาจะมอบให้ซึ่งยังไม่มีการดําเนินการใดๆ ขอยืนยันว่าวัคซีนที่ได้รับบริจาคถือเป็นการเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นายอนุทินกล่าวต่อว่า วัคซีนบริจาคเราจะได้รับเมื่อทางสหรัฐอเมริกามีความพร้อมซึ่งเป็นสิทธิของประเทศต้นทางที่จะบริจาค ไม่สามารถไปทวงได้ ยืนยันว่าหากส่งเอกสารมาเราไม่มีทางล่าช้าแน่นอน เช่นที่ผ่านมารัฐบาลญี่ปุ่นได้บริจาควัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 4 แสนกว่าโดสให้ไทยใช้เวลาติดต่อไม่เกิน 2 สัปดาห์วัคซีนล็อตดังกล่าวได้ถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ วัคซีนล็อตที่ได้รับการบริจาคจะต้องมีการละเว้นการเรียกร้องสิทธิ์ต่างๆ เช่น อาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นตามหลักสากล ******************************************** 27 กันยายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46240
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรก้าวสู่สังคมไร้เงิน 100% ด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Tax Compensation:DEC) “ดีเดย์ กันยายน ปีนี้”
วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2564 กรมศุลกากรก้าวสู่สังคมไร้เงิน 100% ด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Tax Compensation:DEC) “ดีเดย์ กันยายน ปีนี้” อธิบดีกรมศุลกากรเปิดงานสัมมนา “โครงการพัฒนาระบบชําระค่าภาษีอากรด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Tax Compensation : DTC)” ผ่านระบบ Video Conference : Zoom Cloud Meeting วันนี้ (20 สิงหาคม 2564) เวลา 09.00 น. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “โครงการพัฒนาระบบชําระค่าภาษีอากรด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Tax Compensation : DTC)” เพื่อให้ผู้ประกอบการหรือตัวแทนเข้าใจการชําระเงินค่าภาษีอากรด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาประมาณ 500 คน ผ่านระบบ Video Conference : Zoom Cloud Meeting นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า งานสัมมนา“โครงการพัฒนาระบบชําระค่าภาษีอากรด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Tax Compensation : DTC)” ในครั้งนี้จัดขึ้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดําเนินธุรกรรมในระบบอิเล็กทรอนิกส์สําหรับชําระค่าภาษีอากร โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ การยื่นขอรับเงินชดเชยค่าภาษีอากร การเปลี่ยนบัตรภาษีกระดาษเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ การชําระค่าภาษีอากรด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของกรมศุลกากร กรมสรรพากร และกรมสรรพสามิต เป็นต้น สําหรับในส่วนของกรมศุลกากรผู้เข้าร่วมสัมมนาจะมีความเข้าใจในระบบการชําระค่าภาษีอากรด้วยวงเงินชดเชยอิเล็กทรอนิกส์พร้อมกับใบขนสินค้าขาเข้าและใบขนสินค้าขาออก ซึ่งจะสามารถชําระเงินค่าภาษีอากรด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วยตนเองตลอด 24 ชั่วโมง และไม่ต้องเดินทางมายังกรมศุลกากร ซึ่งจะทําให้การดําเนินธุรกิจมีความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนโครงการ National e-Payment ตามนโยบายของรัฐบาล โดยจะเริ่มใช้วันที่ 21 กันยายน 2564 เป็นต้นไป อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมา กรมศุลกากรมีช่องทางการชําระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ แล้ว 2 ช่องทาง ดังนี้ 1. การชําระเงินโดยวิธีตัดบัญชีธนาคาร e-Payment และ 2. การชําระเงินโดยผ่านช่องทางการให้บริการของธนาคาร/ตัวแทนรับชําระเงิน Bill Payment และ ในครั้งนี้กรมศุลกากรได้เปิดตัว บัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ก็จะครบกระบวนการ การชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมศุลกากรเป็น 100% อีกทั้ง ยังลดการเดินทาง ลดการสัมผัส ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) อีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรก้าวสู่สังคมไร้เงิน 100% ด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Tax Compensation:DEC) “ดีเดย์ กันยายน ปีนี้” วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 2564 กรมศุลกากรก้าวสู่สังคมไร้เงิน 100% ด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Tax Compensation:DEC) “ดีเดย์ กันยายน ปีนี้” อธิบดีกรมศุลกากรเปิดงานสัมมนา “โครงการพัฒนาระบบชําระค่าภาษีอากรด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Tax Compensation : DTC)” ผ่านระบบ Video Conference : Zoom Cloud Meeting วันนี้ (20 สิงหาคม 2564) เวลา 09.00 น. นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เป็นประธานเปิดงานสัมมนา “โครงการพัฒนาระบบชําระค่าภาษีอากรด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Tax Compensation : DTC)” เพื่อให้ผู้ประกอบการหรือตัวแทนเข้าใจการชําระเงินค่าภาษีอากรด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ โดยมีผู้เข้าร่วมสัมมนาประมาณ 500 คน ผ่านระบบ Video Conference : Zoom Cloud Meeting นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า งานสัมมนา“โครงการพัฒนาระบบชําระค่าภาษีอากรด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Tax Compensation : DTC)” ในครั้งนี้จัดขึ้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมสัมมนามีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดําเนินธุรกรรมในระบบอิเล็กทรอนิกส์สําหรับชําระค่าภาษีอากร โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจ อาทิ การยื่นขอรับเงินชดเชยค่าภาษีอากร การเปลี่ยนบัตรภาษีกระดาษเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ การชําระค่าภาษีอากรด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของกรมศุลกากร กรมสรรพากร และกรมสรรพสามิต เป็นต้น สําหรับในส่วนของกรมศุลกากรผู้เข้าร่วมสัมมนาจะมีความเข้าใจในระบบการชําระค่าภาษีอากรด้วยวงเงินชดเชยอิเล็กทรอนิกส์พร้อมกับใบขนสินค้าขาเข้าและใบขนสินค้าขาออก ซึ่งจะสามารถชําระเงินค่าภาษีอากรด้วยบัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ได้ด้วยตนเองตลอด 24 ชั่วโมง และไม่ต้องเดินทางมายังกรมศุลกากร ซึ่งจะทําให้การดําเนินธุรกิจมีความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนโครงการ National e-Payment ตามนโยบายของรัฐบาล โดยจะเริ่มใช้วันที่ 21 กันยายน 2564 เป็นต้นไป อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมา กรมศุลกากรมีช่องทางการชําระเงินด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ แล้ว 2 ช่องทาง ดังนี้ 1. การชําระเงินโดยวิธีตัดบัญชีธนาคาร e-Payment และ 2. การชําระเงินโดยผ่านช่องทางการให้บริการของธนาคาร/ตัวแทนรับชําระเงิน Bill Payment และ ในครั้งนี้กรมศุลกากรได้เปิดตัว บัตรภาษีอิเล็กทรอนิกส์ ก็จะครบกระบวนการ การชําระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ของกรมศุลกากรเป็น 100% อีกทั้ง ยังลดการเดินทาง ลดการสัมผัส ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44929
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. และนายกสมาคมแม่บ้าน มท. เยี่ยมชมพร้อมให้กำลังใจผู้ประกอบการโอทอป ส่งท้ายงาน “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” สร้างรอยยิ้มหยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันด้วยยอดจำหน่ายกว่า 500 ล้านบาท
วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2564 ปลัด มท. และนายกสมาคมแม่บ้าน มท. เยี่ยมชมพร้อมให้กําลังใจผู้ประกอบการโอทอป ส่งท้ายงาน “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” สร้างรอยยิ้มหยาดน้ําตาแห่งความตื้นตันด้วยยอดจําหน่ายกว่า 500 ล้านบาท ปลัด มท. และนายกสมาคมแม่บ้าน มท. เยี่ยมชมพร้อมให้กําลังใจผู้ประกอบการโอทอป ส่งท้ายงาน “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” สร้างรอยยิ้มหยาดน้ําตาแห่งความตื้นตันด้วยยอดจําหน่ายกว่า 500 ล้านบาท พลิกฟื้นเศรษฐกิจฐานราก นํารายได้กลับสู่ชุมชน วันนี้ (26 ธ.ค. 64) เวลา 18.15 น. ที่ชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ เยี่ยมชมและให้กําลังใจผู้ประกอบการโอทอปในงาน “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” ซึ่งจัดขึ้นเป็นวันสุดท้าย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้ได้เดินทางมาเยี่ยมชมและเป็นกําลังใจให้กับพี่น้องผู้ประกอบการโอทอปในงาน "โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19" ซึ่งจัดขึ้นในวันนี้เป็นวันสุดท้าย โดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้มีความพิเศษ เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ OTOP ทุกกลุ่ม ทุกระดับ ทุกดาว ได้นําสินค้าที่ได้รังสรรค์และทุ่มเทชีวิตในการผลิตจากภูมิปัญญามานําเสนอในราคาที่ยุติธรรม ทําให้พวกเราได้มีโอกาสช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน ช่วยกันอุดหนุนสินค้าจากผู้ผลิตผู้ประกอบการโดยตรง สินค้าทุกอย่างเกิดจากน้ําพักน้ําแรงของคนไทยด้วยกัน ซึ่งจากการที่ผมและท่านนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยได้เยี่ยมชมและพบปะให้กําลังใจพี่น้องผู้ประกอบการ OTOP ตลอด 9 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ ทําให้ได้เห็นรอยยิ้ม และเห็นหยาดน้ําตา แห่งความตื้นตัน รวมทั้งความรู้สึกของผู้ประกอบการที่ได้แสดงออกผ่านคําพูด และแววตา ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนเดินทางมาร่วมงานเป็นจํานวนมาก หลังจากที่เราไม่ได้จัดงานในลักษณะนี้มาเป็นเวลา 1 ปี การอุดหนุนสินค้าภูมิปัญญาจากพี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกันในการจัดงานครั้งนี้ เป็นการตอกน้ําและแสดงให้เห็นถึงน้ําใจของคนไทยที่หลั่งไหลมาให้กําลังใจ มาช่วยกันพลิกฟื้นต่อลมหายใจผู้ประกอบการโอทอป เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยทุกคนที่ร่วมงานพร้อมใจกันให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด "รอยยิ้มและหยาดน้ําตาแห่งความตื้นตันของผู้ประกอบการ OTOP ในวันนี้ คือเครื่องหมาย ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งกําลังใจจากพี่น้องคนไทยทั่วทั้งประเทศ ที่ได้ส่งมอบให้กับผู้ประกอบการผ่านการช่วยกันอุดหนุน ช่วยกันจับจ่ายใช้สอย สนับสนุน ภูมิปัญญาและสินค้าต่าง ๆ ในงานโอทอปไทยสู้ภัย โควิด-19 ซึ่งเงินเหล่านี้เป็นขวัญกําลังใจและจะกลับคืนสู่ชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและต่อยอดพัฒนาสินค้าต่าง ๆ ให้เกิดความหลากหลายและยั่งยืนต่อไป" นายสุทธิพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวว่า จากการได้เยี่ยมชมงาน "OTOP ไทย สู้ภัยโควิด-19" ตลอด 9 วัน โดยเฉพาะยิ่ง ในโซนผ้าถิ่นไทย และร้านผู้ประกอบการผ้าจากทั่วประเทศ เป็นสิ่งที่ตอกย้ําให้เห็นว่า น้ําพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงส่งเสริมให้พี่น้องคนไทยรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มศิลปาชีพ นําเอาภูมิปัญญาฝีไม้ลายมือที่บรรพบุรุษถ่ายทอด มาถักทอเป็นผ้าไทยผืนต่าง ๆ กระทั่งได้รับการสืบสาน รักษา และต่อยอดโดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โดยทรงพระราชทานแบบผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ และพระราชทานคําแนะนําและกําลังใจให้กับประชาชนผู้ประกอบการผ้าไทย ทําให้ผลงานลวดลายผ้าไทยที่ถูกนํามานําเสนอ นํามาจัดแสดง และนํามาจําหน่ายในงานครั้งนี้ สามารถสร้างรายได้กลับคืนสู่พี่น้องประชาชนในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งสมาคมแม่บ้านมหาดไทย จะได้น้อมนําแนวพระราชดําริของทั้งสองพระองค์ มาขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนผ่านโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ เช่น โครงการ "สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดํารงไว้ในแผ่นดิน" รณรงค์ให้คนไทยทั้งประเทศ ร่วมมือร่วมใจกันใส่ผ้าทอไทย ไม่ว่าจะเป็นผ้าฝ้าย ผ้าไหม เพื่อช่วยกันสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก และโครงการ "คาราวานสินค้าชุมชน" สัญจรไปจําหน่ายผ้าไทยและสินค้าชุมชน ที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในการรณรงค์ให้เพิ่มวันสวมใส่ผ้าไทย "สิ่งที่ได้เห็นและเป็นกําลังใจที่สําคัญของผู้ประกอบการผ้าไทย คือ การที่พี่น้องคนไทย ต่างพร้อมใจกันสวมใส่ผ้าไทยมาเดินเยี่ยมชมงาน OTOP ไทยสู้ภัยโควิด-19 ในครั้งนี้ ถ้าเราช่วยกันอุดหนุนผ้าไทย และร่วมกันใส่ผ้าไทยจนเป็นวิถีชีวิต ก็จะเป็นการช่วยเหลือชุมชน ช่วยเหลือเศรษฐกิจฐานราก เราทุกคนต้องช่วยกัน" ดร.วันดี กล่าวทิ้งท้าย นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย มีความตั้งใจจะส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้มีความเข้มแข็ง เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศให้มากยิ่งขึ้น โดยมียอดการจําหน่ายรวม 500 ล้านบาท ซึ่งการจัดงาน “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” ในครั้งนี้ ยังเป็นการขานรับนโยบายของรัฐบาล ในการร่วมสนับสนุนกระเช้าของขวัญจากผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อใช้เป็นสื่อกลางมอบความปรารถนาดีให้แก่กันเนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2565 และเพื่อให้ประชาชน ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ สินค้า OTOP ในชุมชนหมู่บ้านมีรายได้กระจายไปทั่วประเทศ ยกระดับสินค้าให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยการสร้างโอกาสให้ชุมชนได้นําสินค้าที่มีคุณภาพออกสู่ตลาด ทั้งนี้ กรมการพัฒนาชุมชน ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า OTOP ในทุกมิติ เพื่อสนับสนุนการสร้างงาน สร้างรายได้สู่ชุมชนหมู่บ้านทั่วประเทศ เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง มั่นคง ยั่งยืน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากพี่น้องประชาชนอย่างนี้ตลอดไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด มท. และนายกสมาคมแม่บ้าน มท. เยี่ยมชมพร้อมให้กำลังใจผู้ประกอบการโอทอป ส่งท้ายงาน “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” สร้างรอยยิ้มหยาดน้ำตาแห่งความตื้นตันด้วยยอดจำหน่ายกว่า 500 ล้านบาท วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2564 ปลัด มท. และนายกสมาคมแม่บ้าน มท. เยี่ยมชมพร้อมให้กําลังใจผู้ประกอบการโอทอป ส่งท้ายงาน “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” สร้างรอยยิ้มหยาดน้ําตาแห่งความตื้นตันด้วยยอดจําหน่ายกว่า 500 ล้านบาท ปลัด มท. และนายกสมาคมแม่บ้าน มท. เยี่ยมชมพร้อมให้กําลังใจผู้ประกอบการโอทอป ส่งท้ายงาน “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” สร้างรอยยิ้มหยาดน้ําตาแห่งความตื้นตันด้วยยอดจําหน่ายกว่า 500 ล้านบาท พลิกฟื้นเศรษฐกิจฐานราก นํารายได้กลับสู่ชุมชน วันนี้ (26 ธ.ค. 64) เวลา 18.15 น. ที่ชาเลนเจอร์ 1-3 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อําเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ เยี่ยมชมและให้กําลังใจผู้ประกอบการโอทอปในงาน “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” ซึ่งจัดขึ้นเป็นวันสุดท้าย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า วันนี้ได้เดินทางมาเยี่ยมชมและเป็นกําลังใจให้กับพี่น้องผู้ประกอบการโอทอปในงาน "โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19" ซึ่งจัดขึ้นในวันนี้เป็นวันสุดท้าย โดยกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้มีความพิเศษ เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ OTOP ทุกกลุ่ม ทุกระดับ ทุกดาว ได้นําสินค้าที่ได้รังสรรค์และทุ่มเทชีวิตในการผลิตจากภูมิปัญญามานําเสนอในราคาที่ยุติธรรม ทําให้พวกเราได้มีโอกาสช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน ช่วยกันอุดหนุนสินค้าจากผู้ผลิตผู้ประกอบการโดยตรง สินค้าทุกอย่างเกิดจากน้ําพักน้ําแรงของคนไทยด้วยกัน ซึ่งจากการที่ผมและท่านนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยได้เยี่ยมชมและพบปะให้กําลังใจพี่น้องผู้ประกอบการ OTOP ตลอด 9 วัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ ทําให้ได้เห็นรอยยิ้ม และเห็นหยาดน้ําตา แห่งความตื้นตัน รวมทั้งความรู้สึกของผู้ประกอบการที่ได้แสดงออกผ่านคําพูด และแววตา ซึ่งการจัดงานในครั้งนี้ได้รับการตอบรับจากพี่น้องประชาชนเดินทางมาร่วมงานเป็นจํานวนมาก หลังจากที่เราไม่ได้จัดงานในลักษณะนี้มาเป็นเวลา 1 ปี การอุดหนุนสินค้าภูมิปัญญาจากพี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกันในการจัดงานครั้งนี้ เป็นการตอกน้ําและแสดงให้เห็นถึงน้ําใจของคนไทยที่หลั่งไหลมาให้กําลังใจ มาช่วยกันพลิกฟื้นต่อลมหายใจผู้ประกอบการโอทอป เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากของชุมชนให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยทุกคนที่ร่วมงานพร้อมใจกันให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด "รอยยิ้มและหยาดน้ําตาแห่งความตื้นตันของผู้ประกอบการ OTOP ในวันนี้ คือเครื่องหมาย ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งกําลังใจจากพี่น้องคนไทยทั่วทั้งประเทศ ที่ได้ส่งมอบให้กับผู้ประกอบการผ่านการช่วยกันอุดหนุน ช่วยกันจับจ่ายใช้สอย สนับสนุน ภูมิปัญญาและสินค้าต่าง ๆ ในงานโอทอปไทยสู้ภัย โควิด-19 ซึ่งเงินเหล่านี้เป็นขวัญกําลังใจและจะกลับคืนสู่ชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากและต่อยอดพัฒนาสินค้าต่าง ๆ ให้เกิดความหลากหลายและยั่งยืนต่อไป" นายสุทธิพงษ์ กล่าวทิ้งท้าย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทยและประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวว่า จากการได้เยี่ยมชมงาน "OTOP ไทย สู้ภัยโควิด-19" ตลอด 9 วัน โดยเฉพาะยิ่ง ในโซนผ้าถิ่นไทย และร้านผู้ประกอบการผ้าจากทั่วประเทศ เป็นสิ่งที่ตอกย้ําให้เห็นว่า น้ําพระราชหฤทัยที่เปี่ยมล้นของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงส่งเสริมให้พี่น้องคนไทยรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มศิลปาชีพ นําเอาภูมิปัญญาฝีไม้ลายมือที่บรรพบุรุษถ่ายทอด มาถักทอเป็นผ้าไทยผืนต่าง ๆ กระทั่งได้รับการสืบสาน รักษา และต่อยอดโดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา โดยทรงพระราชทานแบบผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ และพระราชทานคําแนะนําและกําลังใจให้กับประชาชนผู้ประกอบการผ้าไทย ทําให้ผลงานลวดลายผ้าไทยที่ถูกนํามานําเสนอ นํามาจัดแสดง และนํามาจําหน่ายในงานครั้งนี้ สามารถสร้างรายได้กลับคืนสู่พี่น้องประชาชนในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ ซึ่งสมาคมแม่บ้านมหาดไทย จะได้น้อมนําแนวพระราชดําริของทั้งสองพระองค์ มาขับเคลื่อนเพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในชุมชนผ่านโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ เช่น โครงการ "สืบสาน อนุรักษ์ศิลป์ผ้าถิ่นไทย ดํารงไว้ในแผ่นดิน" รณรงค์ให้คนไทยทั้งประเทศ ร่วมมือร่วมใจกันใส่ผ้าทอไทย ไม่ว่าจะเป็นผ้าฝ้าย ผ้าไหม เพื่อช่วยกันสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก และโครงการ "คาราวานสินค้าชุมชน" สัญจรไปจําหน่ายผ้าไทยและสินค้าชุมชน ที่หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ซึ่งได้รับความร่วมมือจากหลายหน่วยงานในการรณรงค์ให้เพิ่มวันสวมใส่ผ้าไทย "สิ่งที่ได้เห็นและเป็นกําลังใจที่สําคัญของผู้ประกอบการผ้าไทย คือ การที่พี่น้องคนไทย ต่างพร้อมใจกันสวมใส่ผ้าไทยมาเดินเยี่ยมชมงาน OTOP ไทยสู้ภัยโควิด-19 ในครั้งนี้ ถ้าเราช่วยกันอุดหนุนผ้าไทย และร่วมกันใส่ผ้าไทยจนเป็นวิถีชีวิต ก็จะเป็นการช่วยเหลือชุมชน ช่วยเหลือเศรษฐกิจฐานราก เราทุกคนต้องช่วยกัน" ดร.วันดี กล่าวทิ้งท้าย นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย มีความตั้งใจจะส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนฐานรากให้มีความเข้มแข็ง เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศให้มากยิ่งขึ้น โดยมียอดการจําหน่ายรวม 500 ล้านบาท ซึ่งการจัดงาน “โอทอปไทย สู้ภัยโควิด-19” ในครั้งนี้ ยังเป็นการขานรับนโยบายของรัฐบาล ในการร่วมสนับสนุนกระเช้าของขวัญจากผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อใช้เป็นสื่อกลางมอบความปรารถนาดีให้แก่กันเนื่องในเทศกาลปีใหม่ 2565 และเพื่อให้ประชาชน ผู้ผลิต ผู้ประกอบการ สินค้า OTOP ในชุมชนหมู่บ้านมีรายได้กระจายไปทั่วประเทศ ยกระดับสินค้าให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยการสร้างโอกาสให้ชุมชนได้นําสินค้าที่มีคุณภาพออกสู่ตลาด ทั้งนี้ กรมการพัฒนาชุมชน ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาสินค้า OTOP ในทุกมิติ เพื่อสนับสนุนการสร้างงาน สร้างรายได้สู่ชุมชนหมู่บ้านทั่วประเทศ เสริมสร้างเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง มั่นคง ยั่งยืน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากพี่น้องประชาชนอย่างนี้ตลอดไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49915
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตรียมลงพื้นที่สุโขทัย 2 กรกฎาคมนี้ เจรจาเจ้าหนี้-พบ 4 แม่เฒ่าอีกครั้ง ลั่นไม่ยอมแพ้ เดินหน้าทำให้ดีที่สุด
วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตรียมลงพื้นที่สุโขทัย 2 กรกฎาคมนี้ เจรจาเจ้าหนี้-พบ 4 แม่เฒ่าอีกครั้ง ลั่นไม่ยอมแพ้ เดินหน้าทําให้ดีที่สุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตรียมลงพื้นที่สุโขทัย 2 กรกฎาคมนี้ เจรจาเจ้าหนี้-พบ 4 แม่เฒ่าอีกครั้ง ลั่นไม่ยอมแพ้ เดินหน้าทําให้ดีที่สุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนจะเดินทางลงพื้นที่ จังหวัดสุโขทัย อีกครั้งในวันที่ 2 กรกฎาคม เพื่อเจรจากับ นางนิตยา จิวตระกูล เจ้าของที่ดินและโจทย์ที่ฟ้อง 4 แม่เฒ่า คือ นางโปรย อนุเคราะห์ อายุ 94 ปี นางสาวศรีนวล ทิมแย้ม อายุ 82 ปี นางสาวแฉล้ม ทิมแย้ม อายุ 80 ปี และนางตะล่อม ทิมแย้ม อายุ 77 ปี แต่หากการเจรจาครั้งนี้ไม่เป็นผลอาจจะต้องพายายทั้ง 4 คนเข้าบ้านใหม่ในสัปดาห์นี้ แต่หากสําเร็จ ยายจะได้อยู่บ้านเดิม โดยหลังจากที่ตนได้ลงไปเจรจรากับเจ้าหนี้ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนไปแล้วครั้งหนึ่งแต่ยังไม่เป็นผล ตนยังไม่ยอมแพ้ จะเดินหน้าทําให้ดีที่สุด โดยระหว่างที่เดินทางกลับมาตนได้หารือกับเจ้าหนี้ และธนาคารต่างๆ เพื่อหาที่ดินที่เหมาะสม การดําเนินการครั้งนี้จะทําให้ดีที่สุด หลังตนทราบมาว่า ยายทั้ง 4 คน ยังคงอยู่ในอาการซึมเศร้า นอกจากนี้ในส่วนของคณะทํางานของอําเภอและท้องที่ได้ดําเนินการประชุมและเปิดบัญชีสําหรับสงเคราะห์คุณยายทั้ง 4 เรียบร้อยและเตรียมข้อมูลทั้งหมดเพื่อพูดคุยกัน ในวันที่ 3 กรกฎาคม ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตรียมลงพื้นที่สุโขทัย 2 กรกฎาคมนี้ เจรจาเจ้าหนี้-พบ 4 แม่เฒ่าอีกครั้ง ลั่นไม่ยอมแพ้ เดินหน้าทำให้ดีที่สุด วันพุธที่ 30 มิถุนายน 2564 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตรียมลงพื้นที่สุโขทัย 2 กรกฎาคมนี้ เจรจาเจ้าหนี้-พบ 4 แม่เฒ่าอีกครั้ง ลั่นไม่ยอมแพ้ เดินหน้าทําให้ดีที่สุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เตรียมลงพื้นที่สุโขทัย 2 กรกฎาคมนี้ เจรจาเจ้าหนี้-พบ 4 แม่เฒ่าอีกครั้ง ลั่นไม่ยอมแพ้ เดินหน้าทําให้ดีที่สุด นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า ตนจะเดินทางลงพื้นที่ จังหวัดสุโขทัย อีกครั้งในวันที่ 2 กรกฎาคม เพื่อเจรจากับ นางนิตยา จิวตระกูล เจ้าของที่ดินและโจทย์ที่ฟ้อง 4 แม่เฒ่า คือ นางโปรย อนุเคราะห์ อายุ 94 ปี นางสาวศรีนวล ทิมแย้ม อายุ 82 ปี นางสาวแฉล้ม ทิมแย้ม อายุ 80 ปี และนางตะล่อม ทิมแย้ม อายุ 77 ปี แต่หากการเจรจาครั้งนี้ไม่เป็นผลอาจจะต้องพายายทั้ง 4 คนเข้าบ้านใหม่ในสัปดาห์นี้ แต่หากสําเร็จ ยายจะได้อยู่บ้านเดิม โดยหลังจากที่ตนได้ลงไปเจรจรากับเจ้าหนี้ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายนไปแล้วครั้งหนึ่งแต่ยังไม่เป็นผล ตนยังไม่ยอมแพ้ จะเดินหน้าทําให้ดีที่สุด โดยระหว่างที่เดินทางกลับมาตนได้หารือกับเจ้าหนี้ และธนาคารต่างๆ เพื่อหาที่ดินที่เหมาะสม การดําเนินการครั้งนี้จะทําให้ดีที่สุด หลังตนทราบมาว่า ยายทั้ง 4 คน ยังคงอยู่ในอาการซึมเศร้า นอกจากนี้ในส่วนของคณะทํางานของอําเภอและท้องที่ได้ดําเนินการประชุมและเปิดบัญชีสําหรับสงเคราะห์คุณยายทั้ง 4 เรียบร้อยและเตรียมข้อมูลทั้งหมดเพื่อพูดคุยกัน ในวันที่ 3 กรกฎาคม ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43301
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่น 5 จังหวัดชายแดนใต้ปรับตัวสูงขึ้น
วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ดัชนีความเชื่อมั่น 5 จังหวัดชายแดนใต้ปรับตัวสูงขึ้น วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2564 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ ดัชนีความเชื่อมั่นจังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล ในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 โดยรวมปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 51.87 จากเดิม 50.9 ซึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจและสังคมที่มีมากขึ้นจากการดําเนินนโยบายตามแผนบูรณาการใน 2 มิติ ได้แก่ การพัฒนาตามศักยภาพพื้นที่ในระดับฐานราก 290 ตําบล เพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้ประชาชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และการพัฒนาเสริมสร้างความมั่นคงที่เน้น 3 ด้าน คือ ด้านการสร้างความเข้มแข็งสังคมพหุวัฒนธรรม ด้านการเยียวยาร่างกายและจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบอย่างทั่วถึงเป็นธรรม และด้านการเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่ “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่น 5 จังหวัดชายแดนใต้ปรับตัวสูงขึ้น วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ดัชนีความเชื่อมั่น 5 จังหวัดชายแดนใต้ปรับตัวสูงขึ้น วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2564 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ ดัชนีความเชื่อมั่นจังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ จ.ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล ในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 โดยรวมปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 51.87 จากเดิม 50.9 ซึ่งเป็นผลจากความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจและสังคมที่มีมากขึ้นจากการดําเนินนโยบายตามแผนบูรณาการใน 2 มิติ ได้แก่ การพัฒนาตามศักยภาพพื้นที่ในระดับฐานราก 290 ตําบล เพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้ประชาชนพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืน และการพัฒนาเสริมสร้างความมั่นคงที่เน้น 3 ด้าน คือ ด้านการสร้างความเข้มแข็งสังคมพหุวัฒนธรรม ด้านการเยียวยาร่างกายและจิตใจผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบอย่างทั่วถึงเป็นธรรม และด้านการเสริมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่ “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47975
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมืออากาศแปรปรวน มั่นใจสถานการณ์น้ำไม่ท่วมซ้ำรอยปี 54 แน่นอน
วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมืออากาศแปรปรวน มั่นใจสถานการณ์น้ําไม่ท่วมซ้ํารอยปี 54 แน่นอน รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมืออากาศแปรปรวน มั่นใจสถานการณ์น้ําไม่ท่วมซ้ํารอยปี 54 แน่นอน วันที่ 11 เมษายน 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศแปรปรวน มีฝนตกหนักและอากาศหนาวเย็นในช่วงต้นเดือน เม.ย.65 ที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์คล้ายคลึงกับเมื่อปี 54 จนทําให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ําในช่วงฤดูฝนที่กําลังมาถึง อาจซ้ํารอยมหาอุทกภัยน้ําท่วมใหญ่ในปี 2554 ในเรื่องนี้ กองอํานวยการน้ําแห่งชาติ (กอนช.) รายงานว่า การคาดการณ์ปริมาณฝนช่วงน้ําหลากยังต่ํากว่าค่าปกติ และแหล่งน้ํายังสามารถเก็บน้ําได้อีกจํานวนมาก ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝนของรัฐบาล จะไม่เกิดเหตุการณ์น้ําท่วมซ้ํารอยปี 2554 อย่างแน่นอน ทั้งนี้ กอนช. ได้ติดตามสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องพบว่า อากาศค่อนข้างแปรปรวนตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 65 มีปริมาณฝนตกมากกว่าค่าปกติ 107% เช่นเดียวกับปริมาณฝนในช่วงเดือน เม.ย. 65 และ มิ.ย. 65 ที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ปริมาณฝนจะตกมากกว่าค่าปกติ สําหรับเดือน พ.ค. 65 และช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.6 5 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดภาวะน้ําท่วมใหญ่ในปี 54 คาดการณ์ปริมาณฝนจะตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติ และน้อยกว่าปริมาณฝนที่ตกในปี 54 สําหรับปริมาณน้ําต้นทุนในแหล่งน้ําต่าง ๆ ทั่วประเทศ ช่วงต้นเดือน เม.ย. 65 มีปริมาณ 58,525 ล้าน ลบ.ม. หรือ 62 % ของปริมาณการกักเก็บ สามารถรองรับน้ําหลากได้อีกถึง 28,000 ล้าน ลบ.ม. โดยเฉพาะในลุ่มน้ําที่สําคัญ ได้แก่ ลุ่มน้ําเจ้าพระยา ลุ่มน้ํามูล และลุ่มน้ําชี รวมถึงแหล่งน้ําธรรมชาติ ได้มีการเตรียมการขุดลอกเพื่อรองรับน้ําหลาก อีกทั้งแหล่งน้ําที่มีการพัฒนาเพิ่มเติมในช่วงปี 63-64 ที่ได้รับการสนับสนุนงบกลางจากรัฐบาลที่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 2.6 หมื่นแห่ง ถือเป็นอีกส่วนสําคัญที่จะเข้ามาช่วยเก็บกักน้ําฝนชะลอน้ําหลากได้เช่นกัน ดังนั้น หากพิจารณาจากปริมาณฝนที่จะตก และขีดความสามารถในการกักเก็บน้ําของแหล่งน้ําที่มีอยู่แล้ว สถานการณ์น้ําในปีนี้จะไม่ซ้ํารอยหรือเกิดวิกฤตเหมือนปี 2554 “นายกรัฐมนตรีกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้บูรณาการ และติดตามการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งให้เร่งรัดการจัดทําแผนปฏิบัติการของแต่ละหน่วยงานให้แล้วเสร็จก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูฝนปี 65 เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า สถานการณ์น้ําปีนี้จะไม่เหมือนปี 54 อย่างแน่นอน” นางสาวรัชดาฯ ย้ํา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมืออากาศแปรปรวน มั่นใจสถานการณ์น้ำไม่ท่วมซ้ำรอยปี 54 แน่นอน วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565 รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมืออากาศแปรปรวน มั่นใจสถานการณ์น้ําไม่ท่วมซ้ํารอยปี 54 แน่นอน รัฐบาลเตรียมพร้อมรับมืออากาศแปรปรวน มั่นใจสถานการณ์น้ําไม่ท่วมซ้ํารอยปี 54 แน่นอน วันที่ 11 เมษายน 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสภาพอากาศแปรปรวน มีฝนตกหนักและอากาศหนาวเย็นในช่วงต้นเดือน เม.ย.65 ที่ผ่านมา ซึ่งสถานการณ์คล้ายคลึงกับเมื่อปี 54 จนทําให้หลายฝ่ายเกิดความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ําในช่วงฤดูฝนที่กําลังมาถึง อาจซ้ํารอยมหาอุทกภัยน้ําท่วมใหญ่ในปี 2554 ในเรื่องนี้ กองอํานวยการน้ําแห่งชาติ (กอนช.) รายงานว่า การคาดการณ์ปริมาณฝนช่วงน้ําหลากยังต่ํากว่าค่าปกติ และแหล่งน้ํายังสามารถเก็บน้ําได้อีกจํานวนมาก ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นมาตรการเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝนของรัฐบาล จะไม่เกิดเหตุการณ์น้ําท่วมซ้ํารอยปี 2554 อย่างแน่นอน ทั้งนี้ กอนช. ได้ติดตามสภาพภูมิอากาศอย่างต่อเนื่องพบว่า อากาศค่อนข้างแปรปรวนตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 65 มีปริมาณฝนตกมากกว่าค่าปกติ 107% เช่นเดียวกับปริมาณฝนในช่วงเดือน เม.ย. 65 และ มิ.ย. 65 ที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดการณ์ปริมาณฝนจะตกมากกว่าค่าปกติ สําหรับเดือน พ.ค. 65 และช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย.6 5 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดภาวะน้ําท่วมใหญ่ในปี 54 คาดการณ์ปริมาณฝนจะตกน้อยกว่าค่าเฉลี่ยปกติ และน้อยกว่าปริมาณฝนที่ตกในปี 54 สําหรับปริมาณน้ําต้นทุนในแหล่งน้ําต่าง ๆ ทั่วประเทศ ช่วงต้นเดือน เม.ย. 65 มีปริมาณ 58,525 ล้าน ลบ.ม. หรือ 62 % ของปริมาณการกักเก็บ สามารถรองรับน้ําหลากได้อีกถึง 28,000 ล้าน ลบ.ม. โดยเฉพาะในลุ่มน้ําที่สําคัญ ได้แก่ ลุ่มน้ําเจ้าพระยา ลุ่มน้ํามูล และลุ่มน้ําชี รวมถึงแหล่งน้ําธรรมชาติ ได้มีการเตรียมการขุดลอกเพื่อรองรับน้ําหลาก อีกทั้งแหล่งน้ําที่มีการพัฒนาเพิ่มเติมในช่วงปี 63-64 ที่ได้รับการสนับสนุนงบกลางจากรัฐบาลที่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 2.6 หมื่นแห่ง ถือเป็นอีกส่วนสําคัญที่จะเข้ามาช่วยเก็บกักน้ําฝนชะลอน้ําหลากได้เช่นกัน ดังนั้น หากพิจารณาจากปริมาณฝนที่จะตก และขีดความสามารถในการกักเก็บน้ําของแหล่งน้ําที่มีอยู่แล้ว สถานการณ์น้ําในปีนี้จะไม่ซ้ํารอยหรือเกิดวิกฤตเหมือนปี 2554 “นายกรัฐมนตรีกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้บูรณาการ และติดตามการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งให้เร่งรัดการจัดทําแผนปฏิบัติการของแต่ละหน่วยงานให้แล้วเสร็จก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูฝนปี 65 เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรับมือและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่า สถานการณ์น้ําปีนี้จะไม่เหมือนปี 54 อย่างแน่นอน” นางสาวรัชดาฯ ย้ํา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53492
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ”ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานไฟไหม้ สั่ง กรอ.เกาะติดสถานการณ์ กำกับแนวทางป้องกัน หวั่นสารเคมีระเบิดเพิ่ม!
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2564 “สุริยะ”ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานไฟไหม้ สั่ง กรอ.เกาะติดสถานการณ์ กํากับแนวทางป้องกัน หวั่นสารเคมีระเบิดเพิ่ม! “สุริยะ”ลงพื้นที่ไฟไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จํากัด จังหวัดสมุทรปราการ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สั่ง กรอ.เฝ้าระวังเข้ม พร้อมกํากับดูแลหาแนวทางป้องกันในโรงงานทั่วประเทศ ด้าน กรอ.ได้ส่งรถเคลื่อนที่เร็ว และรถตรวจสภาพอากาศเข้าพื้นที่เกิดเหตุแล้ว! นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีไฟไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จํากัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโฟม และเม็ดพลาสติก ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการไฟไหม้ ว่าได้รับรายงานตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ (5 ก.ค.) และได้สั่งการให้นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ให้เจ้าหน้าที่กรมโรงงานฯ ลงพื้นที่ด่วน เพื่อไปติดตามสถานการณ์โรงงานไฟไหม้ใกล้ชิด ซึ่งทาง กรอ.ได้ร่วมประชุมกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเร่งหาสาเหตุและแนวทางอพยพช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เป็นการเร่งด่วน โดยเบื้องต้นได้ส่งหน่วยเคลื่อนที่เร็วของ กรอ. เข้าไปในพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา พร้อมกับส่งรถตรวจสภาพอากาศเข้าไปในพื้นที่แล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหาสาเหตุ และให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน สําหรับมาตรการเร่งด่วนในขณะนี้การดําเนินการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ ที่ กรอ. กรมควบคุมมลพิษ และสํานักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยรอบ พร้อมตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตราย “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนายกรัฐมนตรี(พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา) ได้แสดงความเป็นห่วงอย่างมาก โดยได้สั่งการตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุให้ผมลงพื้นที่ตรวจสอบว่าโรงงานประเภทดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าทั่วประเทศมีโรงงานประกอบกิจการผลิตเม็ดโฟม ESP (Expandable Polystyrene) จํานวน 2 แห่ง คือที่จังหวัดสมุทรปราการ และโรงงานไออาร์พีซี ที่จังหวัดระยอง ซึ่งโรงงานแห่งนี้ได้เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2532 และได้ตั้งก่อนที่จะมีชุมชนเข้าไปตั้งในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งการจะตั้งโรงงานประเภทนี้จะมีการทําEIA และ EHIA อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม สําหรับความช่วยเหลือเบื้องต้น ได้มีการตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่มูลนิธิร่วมกตัญญูในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการในเบื้องต้นแล้ว”นายสุริยะฯ กล่าว ด้านนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในเบื้องต้น กรอ.ได้เคลื่อนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่ไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยให้ห่างจากพื้นที่ที่สามารถติดไฟได้ พร้อมกับล้างสารเคมีที่เหลือด้วยน้ําปริมาณมากๆ ซึ่งสารสไตรีนโมโนเมอร์ (Styrene Monomer) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นผลิตโฟมก็มีคุณสมบัติติดไฟได้ง่าย ส่วนสารพอลิสไตรีนนั้น เมื่อถูกความร้อนสูง จะให้สาร 2 ชนิดคือ สไตรีน (Styrene) และเบนซีน (Benzene) โดยเบนซีนเป็นสารพิษอันตราย มีความเป็นพิษสูงและเป็นสารก่อมะเร็ง โดยอาการของผู้ที่ได้รับเบนซีนเมื่อหายใจเข้าไปในระดับสูงและเป็นเวลานาน คือในระยะแรก ๆ จะเกิดอาการซึม วิงเวียน คลื่นไส้ หมดสติ ใจสั่น เมื่อสูดดมเป็นเวลานานจะทําให้เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด (Leukemia) ได้ สําหรับเหตุไฟไหม้ โรงงาน หมิงตี้ เคมีคอล ซอยกิ่งแก้ว 21 ล่าสุดยังไม่สามารถคุมเพลิงได้ แลละคาดว่ามูลค่าสินทรัพย์ในกองเพลิงเกือบ 700 ล้านบาท มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บนับสิบราย แรงระเบิดทําให้บ้านเรือนเสียหายเป็นวงกว้าง ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้สั่งเร่งอพยพ รัศมี 5 กิโลเมตร เนื่องจากมีสารเคมี กว่า 10 ชนิด เพราะยังคุมเพลิงไม่ได้ เจ้าหน้าที่ถอนกําลังหวั่นระเบิดซ้ํา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สุริยะ”ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานไฟไหม้ สั่ง กรอ.เกาะติดสถานการณ์ กำกับแนวทางป้องกัน หวั่นสารเคมีระเบิดเพิ่ม! วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2564 “สุริยะ”ลงพื้นที่ตรวจสอบโรงงานไฟไหม้ สั่ง กรอ.เกาะติดสถานการณ์ กํากับแนวทางป้องกัน หวั่นสารเคมีระเบิดเพิ่ม! “สุริยะ”ลงพื้นที่ไฟไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จํากัด จังหวัดสมุทรปราการ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด สั่ง กรอ.เฝ้าระวังเข้ม พร้อมกํากับดูแลหาแนวทางป้องกันในโรงงานทั่วประเทศ ด้าน กรอ.ได้ส่งรถเคลื่อนที่เร็ว และรถตรวจสภาพอากาศเข้าพื้นที่เกิดเหตุแล้ว! นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีไฟไหม้โรงงานบริษัท หมิงตี้เคมีคอล จํากัด ซึ่งเป็นโรงงานผลิตโฟม และเม็ดพลาสติก ภายในซอยกิ่งแก้ว 21 ถนนกิ่งแก้ว ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการไฟไหม้ ว่าได้รับรายงานตั้งแต่ช่วงเช้าวันนี้ (5 ก.ค.) และได้สั่งการให้นายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ให้เจ้าหน้าที่กรมโรงงานฯ ลงพื้นที่ด่วน เพื่อไปติดตามสถานการณ์โรงงานไฟไหม้ใกล้ชิด ซึ่งทาง กรอ.ได้ร่วมประชุมกับทางผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ และหน่วยงานในพื้นที่เพื่อเร่งหาสาเหตุและแนวทางอพยพช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่เป็นการเร่งด่วน โดยเบื้องต้นได้ส่งหน่วยเคลื่อนที่เร็วของ กรอ. เข้าไปในพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา พร้อมกับส่งรถตรวจสภาพอากาศเข้าไปในพื้นที่แล้ว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการหาสาเหตุ และให้ความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน สําหรับมาตรการเร่งด่วนในขณะนี้การดําเนินการแก้ไขปัญหาสภาพอากาศ ที่ กรอ. กรมควบคุมมลพิษ และสํานักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 ได้ลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่โดยรอบ พร้อมตรวจวัดคุณภาพอากาศและปริมาณสารเคมีที่ก่อให้เกิดอันตราย “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนายกรัฐมนตรี(พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา) ได้แสดงความเป็นห่วงอย่างมาก โดยได้สั่งการตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุให้ผมลงพื้นที่ตรวจสอบว่าโรงงานประเภทดังกล่าว ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าทั่วประเทศมีโรงงานประกอบกิจการผลิตเม็ดโฟม ESP (Expandable Polystyrene) จํานวน 2 แห่ง คือที่จังหวัดสมุทรปราการ และโรงงานไออาร์พีซี ที่จังหวัดระยอง ซึ่งโรงงานแห่งนี้ได้เริ่มดําเนินการมาตั้งแต่ปี 2532 และได้ตั้งก่อนที่จะมีชุมชนเข้าไปตั้งในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งการจะตั้งโรงงานประเภทนี้จะมีการทําEIA และ EHIA อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม สําหรับความช่วยเหลือเบื้องต้น ได้มีการตั้งโรงพยาบาลสนาม เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยที่มูลนิธิร่วมกตัญญูในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการในเบื้องต้นแล้ว”นายสุริยะฯ กล่าว ด้านนายประกอบ วิวิธจินดา อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในเบื้องต้น กรอ.ได้เคลื่อนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่ไปยังพื้นที่ปลอดภัย โดยให้ห่างจากพื้นที่ที่สามารถติดไฟได้ พร้อมกับล้างสารเคมีที่เหลือด้วยน้ําปริมาณมากๆ ซึ่งสารสไตรีนโมโนเมอร์ (Styrene Monomer) ซึ่งเป็นสารตั้งต้นผลิตโฟมก็มีคุณสมบัติติดไฟได้ง่าย ส่วนสารพอลิสไตรีนนั้น เมื่อถูกความร้อนสูง จะให้สาร 2 ชนิดคือ สไตรีน (Styrene) และเบนซีน (Benzene) โดยเบนซีนเป็นสารพิษอันตราย มีความเป็นพิษสูงและเป็นสารก่อมะเร็ง โดยอาการของผู้ที่ได้รับเบนซีนเมื่อหายใจเข้าไปในระดับสูงและเป็นเวลานาน คือในระยะแรก ๆ จะเกิดอาการซึม วิงเวียน คลื่นไส้ หมดสติ ใจสั่น เมื่อสูดดมเป็นเวลานานจะทําให้เป็นโรคมะเร็งเม็ดเลือด (Leukemia) ได้ สําหรับเหตุไฟไหม้ โรงงาน หมิงตี้ เคมีคอล ซอยกิ่งแก้ว 21 ล่าสุดยังไม่สามารถคุมเพลิงได้ แลละคาดว่ามูลค่าสินทรัพย์ในกองเพลิงเกือบ 700 ล้านบาท มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และมีผู้บาดเจ็บนับสิบราย แรงระเบิดทําให้บ้านเรือนเสียหายเป็นวงกว้าง ล่าสุดเจ้าหน้าที่ได้สั่งเร่งอพยพ รัศมี 5 กิโลเมตร เนื่องจากมีสารเคมี กว่า 10 ชนิด เพราะยังคุมเพลิงไม่ได้ เจ้าหน้าที่ถอนกําลังหวั่นระเบิดซ้ํา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43484
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เข้ม หนาวนี้ภาคอุตสาหกรรมต้องไม่สร้างปัญหา PM2.5
วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 ก.อุตฯ เข้ม หนาวนี้ภาคอุตสาหกรรมต้องไม่สร้างปัญหา PM2.5 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งการให้กรมโรงงาน ปูพรมตรวจกํากับโรงงานอย่างเข้มงวด ตลอดฤดูหนาวนี้ ก.อุตฯ เข้ม หนาวนี้ภาคอุตสาหกรรมต้องไม่สร้างปัญหา PM2.5 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมโรงงาน ปูพรมตรวจกํากับโรงงานอย่างเข้มงวด ตลอดฤดูหนาวนี้ เน้นตรวจโรงงานที่มีกระบวนการเผาไหม้ โรงงานที่มีการใช้หม้อน้ํา โรงงานหลอมเหล็กหรือโลหะ โรงงานผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ และโรงงานผลิตแอสฟัสติก ที่มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 2,570 โรงงาน โดยแบ่งเป็นโรงงานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 268 โรงงาน โรงงานในเขตปริมณฑล (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร) จํานวน 2,245 โรงงาน โรงงานที่ตั้งในเขตประกอบการ จํานวน 6 เขต รวม 35 โรงงาน และโรงงานรีไซเคิล กากอุตสาหกรรมและเตาเผากากของเสีย จํานวน 32 โรงงาน ตั้งเป้าตรวจเสร็จก่อนสิ้นปี 2564 พร้อมกําชับผู้ประกอบการวางแผนการผลิต และควบคุมดูแลการประกอบกิจการ ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ย้ําต้องดูแลรักษาระบบบําบัดมลพิษอากาศให้มีประสิทธิภาพตลอดเวลา หากพบการกระทําผิด จะให้สั่งหยุดประกอบกิจการทันที นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวต่อว่า ในช่วงฤดูหนาว การหมุนเวียนของอากาศไม่ดี ทําให้มีฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) สะสมจํานวนมาก กรอ. จึงดําเนินการเชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่า การประกอบกิจการโรงงานจะไม่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ด้วยการนํารถตรวจวัดคุณภาพอากาศเคลื่อนที่ เร่งตรวจวัดคุณภาพอากาศทั่วไป โดยรอบพื้นที่เขตประกอบการและพื้นที่โรงงานหนาแน่น จํานวน 12 พื้นที่ รวม 130 จุด ซึ่งจะดําเนินการต่อเนื่องทั้งปี รวมทั้งสิ้น 516 จุด รวมถึงจะทําการตรวจวัดฝุ่นละอองจากปล่องระบายของโรงงานเพิ่มอีก 104 โรงงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้โรงงานสร้างความเดือดร้อน หรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน อีกทั้งเป็นการป้องปรามให้โรงงานประกอบกิจการด้วยความระมัดระวังอีกด้วย “นอกจากนี้ กรอ. ได้เร่งปรับปรุงระบบตรวจสอบมลพิษระยะไกล และปรับปรุงกฎหมาย ให้โรงงานที่มีความเสี่ยงด้านมลพิษอากาศ ต้องติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดมลพิษทางอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ หรือ CEMS ที่รายงานข้อมูลแบบเรียลไทม์มายัง กรอ. คาดว่าจะมีโรงงานทั่วประเทศเข้าข่ายต้องติดตั้งเครื่องมือเพิ่มทั้งหมด 600 โรงงาน รวม 1,300 ปล่อง จากเดิมที่มีการติดตั้งอยู่แล้วจํานวน 855 ปล่อง เพื่อให้การกํากับดูแลการระบายมลพิษจากโรงงาน มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมปัญหาด้านฝุ่นละอองอย่างทั่วถึง” อธิบดีกรมโรงงานฯ กล่าวปิดท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ เข้ม หนาวนี้ภาคอุตสาหกรรมต้องไม่สร้างปัญหา PM2.5 วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 ก.อุตฯ เข้ม หนาวนี้ภาคอุตสาหกรรมต้องไม่สร้างปัญหา PM2.5 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งการให้กรมโรงงาน ปูพรมตรวจกํากับโรงงานอย่างเข้มงวด ตลอดฤดูหนาวนี้ ก.อุตฯ เข้ม หนาวนี้ภาคอุตสาหกรรมต้องไม่สร้างปัญหา PM2.5 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมโรงงาน ปูพรมตรวจกํากับโรงงานอย่างเข้มงวด ตลอดฤดูหนาวนี้ เน้นตรวจโรงงานที่มีกระบวนการเผาไหม้ โรงงานที่มีการใช้หม้อน้ํา โรงงานหลอมเหล็กหรือโลหะ โรงงานผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ และโรงงานผลิตแอสฟัสติก ที่มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จํานวน 2,570 โรงงาน โดยแบ่งเป็นโรงงานในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 268 โรงงาน โรงงานในเขตปริมณฑล (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร) จํานวน 2,245 โรงงาน โรงงานที่ตั้งในเขตประกอบการ จํานวน 6 เขต รวม 35 โรงงาน และโรงงานรีไซเคิล กากอุตสาหกรรมและเตาเผากากของเสีย จํานวน 32 โรงงาน ตั้งเป้าตรวจเสร็จก่อนสิ้นปี 2564 พร้อมกําชับผู้ประกอบการวางแผนการผลิต และควบคุมดูแลการประกอบกิจการ ให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ย้ําต้องดูแลรักษาระบบบําบัดมลพิษอากาศให้มีประสิทธิภาพตลอดเวลา หากพบการกระทําผิด จะให้สั่งหยุดประกอบกิจการทันที นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) กล่าวต่อว่า ในช่วงฤดูหนาว การหมุนเวียนของอากาศไม่ดี ทําให้มีฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) สะสมจํานวนมาก กรอ. จึงดําเนินการเชิงรุก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่า การประกอบกิจการโรงงานจะไม่ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชน ด้วยการนํารถตรวจวัดคุณภาพอากาศเคลื่อนที่ เร่งตรวจวัดคุณภาพอากาศทั่วไป โดยรอบพื้นที่เขตประกอบการและพื้นที่โรงงานหนาแน่น จํานวน 12 พื้นที่ รวม 130 จุด ซึ่งจะดําเนินการต่อเนื่องทั้งปี รวมทั้งสิ้น 516 จุด รวมถึงจะทําการตรวจวัดฝุ่นละอองจากปล่องระบายของโรงงานเพิ่มอีก 104 โรงงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้โรงงานสร้างความเดือดร้อน หรือก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชน อีกทั้งเป็นการป้องปรามให้โรงงานประกอบกิจการด้วยความระมัดระวังอีกด้วย “นอกจากนี้ กรอ. ได้เร่งปรับปรุงระบบตรวจสอบมลพิษระยะไกล และปรับปรุงกฎหมาย ให้โรงงานที่มีความเสี่ยงด้านมลพิษอากาศ ต้องติดตั้งเครื่องมือตรวจวัดมลพิษทางอากาศจากปล่องแบบอัตโนมัติ หรือ CEMS ที่รายงานข้อมูลแบบเรียลไทม์มายัง กรอ. คาดว่าจะมีโรงงานทั่วประเทศเข้าข่ายต้องติดตั้งเครื่องมือเพิ่มทั้งหมด 600 โรงงาน รวม 1,300 ปล่อง จากเดิมที่มีการติดตั้งอยู่แล้วจํานวน 855 ปล่อง เพื่อให้การกํากับดูแลการระบายมลพิษจากโรงงาน มีประสิทธิภาพ และครอบคลุมปัญหาด้านฝุ่นละอองอย่างทั่วถึง” อธิบดีกรมโรงงานฯ กล่าวปิดท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49920
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM urges public to continue to strictly follow“COVID free setting” and “universal prevention”despite ease of COVID-19 measures
วันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2565 PM urges public to continue to strictly follow“COVID free setting” and “universal prevention”despite ease of COVID-19 measures PM urges public to continue to strictly follow“COVID free setting” and “universal prevention”despite ease of COVID-19 measures January 21, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-chaurgedbusinesses and the public to continue to comply with the “COVID Free Setting” and “universal prevention” against the COVID-19 despite the Center for COVID-19 Situation Administration (CCSA)’s approval to decrease thenumber of orange zonesto 44 provinces from 69 provinces.They are strongly advised to receive 2 shots of vaccination and a booster shot, regularly conduct ATK test, and not to go to risky places. The newly 25 rezoned provinces will bedesignatedas yellow zones(close surveillance), while thenumber oftourism-pilot(blue) zones remain the same (8 provinces). CCSA also approvedease of measure to allow restaurant opening and dine-in in the 44 orange provinces.Thiswill take effect from January 24, 2022 onward. With regard to the entering into the Kingdom, from February 1, 2022, fully vaccinated travelers from any country around the worldmay nowapply for a TEST & GO Thailand Pass up to 60 days in advance.All new TEST & GO applications must submitaproof of prepayment for 2 separate nights of accommodation at government-approved hotel/s, such as, SHA Extra Plus (SHA++), AQ, OQ, or AHQ on Day 1 and Day 5, and the expenses for 2 RT-PCR tests on Day 1 and Day 5. The prepayment for Day 1 must include an accommodation, a test and a prearranged transfer from the airport to the hotel.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM urges public to continue to strictly follow“COVID free setting” and “universal prevention”despite ease of COVID-19 measures วันเสาร์ที่ 22 มกราคม 2565 PM urges public to continue to strictly follow“COVID free setting” and “universal prevention”despite ease of COVID-19 measures PM urges public to continue to strictly follow“COVID free setting” and “universal prevention”despite ease of COVID-19 measures January 21, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-chaurgedbusinesses and the public to continue to comply with the “COVID Free Setting” and “universal prevention” against the COVID-19 despite the Center for COVID-19 Situation Administration (CCSA)’s approval to decrease thenumber of orange zonesto 44 provinces from 69 provinces.They are strongly advised to receive 2 shots of vaccination and a booster shot, regularly conduct ATK test, and not to go to risky places. The newly 25 rezoned provinces will bedesignatedas yellow zones(close surveillance), while thenumber oftourism-pilot(blue) zones remain the same (8 provinces). CCSA also approvedease of measure to allow restaurant opening and dine-in in the 44 orange provinces.Thiswill take effect from January 24, 2022 onward. With regard to the entering into the Kingdom, from February 1, 2022, fully vaccinated travelers from any country around the worldmay nowapply for a TEST & GO Thailand Pass up to 60 days in advance.All new TEST & GO applications must submitaproof of prepayment for 2 separate nights of accommodation at government-approved hotel/s, such as, SHA Extra Plus (SHA++), AQ, OQ, or AHQ on Day 1 and Day 5, and the expenses for 2 RT-PCR tests on Day 1 and Day 5. The prepayment for Day 1 must include an accommodation, a test and a prearranged transfer from the airport to the hotel.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50781
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าผลักดันโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโค เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ฯ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในศักยภาพและความตั้งใจ
วันเสาร์ที่ 30 เมษายน 2565 รัฐบาลเดินหน้าผลักดันโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโค เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ฯ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในศักยภาพและความตั้งใจ รัฐบาลเดินหน้าผลักดันโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโค เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ฯ ขอให้ ประชาชนเชื่อมั่นในศักยภาพและความตั้งใจ วันนี้(30เมษายน2565)เวลา11.00น.ณเทิดไทฟาร์มตําบลวังใหญ่อําเภอศรีสําโรงจังหวัดสุโขทัยภายหลังเปิดโครงการไกล่เกลี่ยหนี้สินหาช่องทางทํากินขจัดสิ้นความยากจนฯเยี่ยมชมโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตภายใต้การดําเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองพื้นที่ต้นแบบจังหวัดสุโขทัยโดยรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณในการดําเนินโครงการจํานวน50ล้านบาทเพื่อให้ประชาชนจํานวน1,000ครอบครัวยืมเป็นทุนในการซื้อพ่อพันธ์ุแม่พันธ์ุโคเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้กับครอบครัว นายสมศักดิ์ฯกล่าวว่าโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตจะนําร่องในพื้นที่สมาชิกกองทุนหมูบ้านของจังหวัดสุโขทัยใช้เวลาในการดําเนินการ5ปีโดยในช่วงเวลา1-2ปีสมาชิกไม่ต้องเสียค่าบริหารจัดการใดๆและไม่ต้องเสียดอกเบี้ยจากเงินยืมในช่วงปีที่3-4สมาชิกจะต้องเสียดอกเบี้ยค่าบริหารจัดการร้อยละ2บาทซึ่งถือว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ํามากพร้อมให้ความเชื่อมั่นกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเรื่องการตลาดขอให้มั่นใจตนเองและรัฐบาลพร้อมเจรจาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันการส่งออกเนื้อวัวสร้างรายได้ที่มั่นคงอย่างแน่นอน นายอนุชาฯกล่าวว่าสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเป็นช่องทางทํากินประชาชนส่วนใหญ่ทําการเกษตรต้องอาศัยปัจจัยหลายๆอย่างทั้งสภาพอากาศราคาตามกลไกลตลาดส่วนการเรื่องวัวถือเป็นอาชีพที่มีรายได้แน่นอนสามารถสร้างเงินให้กับผู้เลี้ยงขอแค่มีวินัยมีความตั้งใจอดทนในช่วง2ปีแรกหลังจากนั้นจะเห็นผลกําไรซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากสําหรับพี่น้องประชาชนในการประกอบอาชีพที่ใช้ต้นทุนค่อนข้างน้อยพร้อมผลักดันให้โครงการดังกล่าวขยายไปยังสมาชิกกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ "ขอให้พี่น้องกองทุนหมู่บ้านเชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาลภายใต้การนําของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเชื่อในความตั้งใจของตนเองและของคณะผู้บริหารฯที่มุ่งหวังที่จะสร้างเงินสร้างงานสร้างอาชีพไม่สร้างหนี้ให้สมาชิกอย่างแน่นอน"นายอนุชาฯเน้นย้ํา _______
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าผลักดันโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโค เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ฯ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในศักยภาพและความตั้งใจ วันเสาร์ที่ 30 เมษายน 2565 รัฐบาลเดินหน้าผลักดันโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโค เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ฯ ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในศักยภาพและความตั้งใจ รัฐบาลเดินหน้าผลักดันโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโค เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ฯ ขอให้ ประชาชนเชื่อมั่นในศักยภาพและความตั้งใจ วันนี้(30เมษายน2565)เวลา11.00น.ณเทิดไทฟาร์มตําบลวังใหญ่อําเภอศรีสําโรงจังหวัดสุโขทัยภายหลังเปิดโครงการไกล่เกลี่ยหนี้สินหาช่องทางทํากินขจัดสิ้นความยากจนฯเยี่ยมชมโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตภายใต้การดําเนินงานของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองพื้นที่ต้นแบบจังหวัดสุโขทัยโดยรัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณในการดําเนินโครงการจํานวน50ล้านบาทเพื่อให้ประชาชนจํานวน1,000ครอบครัวยืมเป็นทุนในการซื้อพ่อพันธ์ุแม่พันธ์ุโคเพื่อสร้างงานสร้างรายได้ให้กับครอบครัว นายสมศักดิ์ฯกล่าวว่าโครงการส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตจะนําร่องในพื้นที่สมาชิกกองทุนหมูบ้านของจังหวัดสุโขทัยใช้เวลาในการดําเนินการ5ปีโดยในช่วงเวลา1-2ปีสมาชิกไม่ต้องเสียค่าบริหารจัดการใดๆและไม่ต้องเสียดอกเบี้ยจากเงินยืมในช่วงปีที่3-4สมาชิกจะต้องเสียดอกเบี้ยค่าบริหารจัดการร้อยละ2บาทซึ่งถือว่าเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ํามากพร้อมให้ความเชื่อมั่นกับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคเรื่องการตลาดขอให้มั่นใจตนเองและรัฐบาลพร้อมเจรจาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผลักดันการส่งออกเนื้อวัวสร้างรายได้ที่มั่นคงอย่างแน่นอน นายอนุชาฯกล่าวว่าสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับโอกาสพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเป็นช่องทางทํากินประชาชนส่วนใหญ่ทําการเกษตรต้องอาศัยปัจจัยหลายๆอย่างทั้งสภาพอากาศราคาตามกลไกลตลาดส่วนการเรื่องวัวถือเป็นอาชีพที่มีรายได้แน่นอนสามารถสร้างเงินให้กับผู้เลี้ยงขอแค่มีวินัยมีความตั้งใจอดทนในช่วง2ปีแรกหลังจากนั้นจะเห็นผลกําไรซึ่งถือว่าคุ้มค่ามากสําหรับพี่น้องประชาชนในการประกอบอาชีพที่ใช้ต้นทุนค่อนข้างน้อยพร้อมผลักดันให้โครงการดังกล่าวขยายไปยังสมาชิกกองทุนหมู่บ้านทั่วประเทศ "ขอให้พี่น้องกองทุนหมู่บ้านเชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาลภายใต้การนําของพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีเชื่อในความตั้งใจของตนเองและของคณะผู้บริหารฯที่มุ่งหวังที่จะสร้างเงินสร้างงานสร้างอาชีพไม่สร้างหนี้ให้สมาชิกอย่างแน่นอน"นายอนุชาฯเน้นย้ํา _______
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54097
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบังคับคดีเปิดช่องทางออนไลน์ในการวางชำระเงินและขอรับเงินในคดีแพ่ง ลดสัมผัส เลี่ยงโควิด
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564 กรมบังคับคดีเปิดช่องทางออนไลน์ในการวางชําระเงินและขอรับเงินในคดีแพ่ง ลดสัมผัส เลี่ยงโควิด .... กรมบังคับคดีเปิดช่องทางการให้บริการในการวางชําระเงินและการขอรับเงินในคดีแพ่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนไม่ต้องเดินทางมาติดต่อราชการด้วยตนเอง ลดการสัมผัส ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 . สามารถวางชําระเงินคดีแพ่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) ในกรณียื่นคําร้องขอตั้งเรื่องยึดทรัพย์ และอายัดทรัพย์โดยคู่ความ ผู้มีส่วนได้เสีย ผ่านเว็บไซต์www.led.go.thในหัวข้อ “E-SERVICE”และกดเลือกระบบ “การยื่นคําร้องทางอิเล็กทรอนิกส์” และพิมพ์ใบแจ้งการชําระเงิน (PAY IN SLIP) ไปชําระเงินผ่านธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือชําระเงินผ่านระบบธนาคาร (mobile-banking) ได้ที่ธนาคารทุกแห่งทั่วประเทศ . ส่วนการขอรับเงินในคดีแพ่ง คู่ความ ผู้มีส่วนได้เสีย สามารถยื่นคําร้องขอรับเงินพร้อมแนบสําเนาสมุดบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินโอนส่วนได้ต่างๆ เข้าบัญชี โดยผู้รับจะต้องเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอน (หากมี) ซึ่งกรมบังคับคดีจะโอนเงินเข้าบัญชีของผู้ที่เป็นตัวความเท่านั้น . สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ผ่านทางไลน์ Open Chat ที่เว็บไซต์www.led.go.thคลิก “E-SERVICE” กดเลือกระบบ “ช่องทางติดต่อหน่วยงานสังกัดกรมบังคับคดีในช่วงสถานการณ์โควิด” และสแกน QR Code ของหน่วยงานที่ต้องการติดต่อได้เลย #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมบังคับคดีเปิดช่องทางออนไลน์ในการวางชำระเงินและขอรับเงินในคดีแพ่ง ลดสัมผัส เลี่ยงโควิด วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564 กรมบังคับคดีเปิดช่องทางออนไลน์ในการวางชําระเงินและขอรับเงินในคดีแพ่ง ลดสัมผัส เลี่ยงโควิด .... กรมบังคับคดีเปิดช่องทางการให้บริการในการวางชําระเงินและการขอรับเงินในคดีแพ่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับประชาชนไม่ต้องเดินทางมาติดต่อราชการด้วยตนเอง ลดการสัมผัส ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 . สามารถวางชําระเงินคดีแพ่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Filing) ในกรณียื่นคําร้องขอตั้งเรื่องยึดทรัพย์ และอายัดทรัพย์โดยคู่ความ ผู้มีส่วนได้เสีย ผ่านเว็บไซต์www.led.go.thในหัวข้อ “E-SERVICE”และกดเลือกระบบ “การยื่นคําร้องทางอิเล็กทรอนิกส์” และพิมพ์ใบแจ้งการชําระเงิน (PAY IN SLIP) ไปชําระเงินผ่านธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือชําระเงินผ่านระบบธนาคาร (mobile-banking) ได้ที่ธนาคารทุกแห่งทั่วประเทศ . ส่วนการขอรับเงินในคดีแพ่ง คู่ความ ผู้มีส่วนได้เสีย สามารถยื่นคําร้องขอรับเงินพร้อมแนบสําเนาสมุดบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินโอนส่วนได้ต่างๆ เข้าบัญชี โดยผู้รับจะต้องเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมในการโอน (หากมี) ซึ่งกรมบังคับคดีจะโอนเงินเข้าบัญชีของผู้ที่เป็นตัวความเท่านั้น . สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ผ่านทางไลน์ Open Chat ที่เว็บไซต์www.led.go.thคลิก “E-SERVICE” กดเลือกระบบ “ช่องทางติดต่อหน่วยงานสังกัดกรมบังคับคดีในช่วงสถานการณ์โควิด” และสแกน QR Code ของหน่วยงานที่ต้องการติดต่อได้เลย #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45293
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.ผนึกกำลังวว.เติมองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มความเข้มแข็งและยั่งยืนแก่ภาคเกษตรไทย
วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ธ.ก.ส.ผนึกกําลังวว.เติมองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มความเข้มแข็งและยั่งยืนแก่ภาคเกษตรไทย ธ.ก.ส.จับมือ วว. นําผลงานวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิต แปรรูปผลผลิตและการตลาดให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตร จนได้มาตรฐานรับรองระดับสากลไปแล้วกว่า 30 ราย ธ.ก.ส.จับมือสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย นําผลงานวิจัยการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการผลิต การแปรรูปผลผลิตและการตลาดให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตร จนได้มาตรฐานรับรองระดับสากลไปแล้วกว่า 30 รายพร้อมตั้งเป้าขยายผลในการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้แก่ภาคเกษตรกรไทยต่อเนื่อง วันนี้ (8 มิถุนายน 2565) ณ ห้องประชุม ชั้น 24 อาคารทาวเวอร์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สํานักงานใหญ่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยี” ระหว่าง ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพื่อนําผลงานวิจัยพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาบูรณาการให้เกิดความยั่งยืนแก่ภาคเกษตรทั้งด้านการผลิต การแปรรูป และการตลาดที่เป็นมาตรฐานและต่อยอดสู่เกษตรกรรุ่นใหม่ในการนําไปใช้ประโยชน์และเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการในการพัฒนาสนับสนุนให้เกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ได้มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การนําภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผนวกกับองค์ความรู้สมัยใหม่โดยนําผลงานวิจัยทั้งด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับปรุง พัฒนาการผลิต การแปรรูปผลผลิต และการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรอย่างตรงจุด รวมถึงประยุกต์ต่อยอดสู่การจดทะเบียนสิทธิบัตร เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรสู่มาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังร่วมกันจัดฝึกอบรม ประชุมวิชาการ การเผยแพร่ประสบการณ์และการร่วมประชาสัมพันธ์ของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งปี 2561-2564 ที่ผ่านมา ธ.ก.ส.ได้ร่วมมือกับวว.และ EXIM Bank เข้าไปเสริมสร้างศักยภาพแก่ผู้ประกอบการ (SMEs) จํานวน 30 ราย อาทิ วิสาหกิจชุมชนกาแฟรัษฏา ผลิตชา กาแฟ สบู่กาแฟ กาแฟคั่ว วิสาหกิจชุมชนลองเลย ผลิตกาแฟอาราบิก้า วิสาหกิจชุมชนออมสินกะลา ผลิตภัณฑ์จากกะลา บริษัท แบมบุรีฟอร์ม จํากัด ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไผ่ และถ่านไม้ไผ่ บริษัทซันโฟรเช่น ฟรุ๊ต จํากัด ผลิตทุเรียนและมังคุด บริษัทบ้านขนมไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ผลิตขนมกล้วยหอมทองทอดกรอบ เป็นต้น ซึ่งสามารถช่วยยกระดับคุณภาพการผลิตให้กับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการด้านการเกษตรได้เป็นอย่างดี จึงวางเป้าหมายที่จะขยายแนวทางการดําเนินงานดังกล่าว เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันให้กับภาคเกษตรไทย ควบคู่กับการเติมทุนผ่านสินเชื่อนวัตกรรมดีมีเงินทุน สินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพ เป็นต้น เพื่อขยายโอกาสและการผลิตที่นําไปสู่การสร้างงานสร้างรายได้ที่มั่นคงต่อไป ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่า วว.เปิดเผยว่า วว. เป็นหน่วยงานหลักด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ที่มีความพร้อม ความเชี่ยวชาญในการบูรณาการงานด้านสารชีวภัณฑ์อย่างครบวงจร มีความพร้อมในการให้บริการแก่เกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ มีผลการศึกษาวิจัยระดับภูมิภาคและ ระดับประเทศ รวมถึงความพร้อมของห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานในการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ นอกจากนี้นักวิจัยและบุคลากรของ วว. ล้วนมีความรู้ ความสามารถ และความมุ่งมั่นที่จะนําองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มี ผลักดันให้เกิดการนํางานวิจัยไปใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม โดยการร่วมมือในครั้งนี้ วว.มุ่งยกระดับเสริมสร้างความเข้มแข็งและต่อยอดยกระดับสินค้าเกษตรเพื่อให้ได้มาตรฐานสากลต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธ.ก.ส.ผนึกกำลังวว.เติมองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มความเข้มแข็งและยั่งยืนแก่ภาคเกษตรไทย วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565 ธ.ก.ส.ผนึกกําลังวว.เติมองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพิ่มความเข้มแข็งและยั่งยืนแก่ภาคเกษตรไทย ธ.ก.ส.จับมือ วว. นําผลงานวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช่วยเพิ่มศักยภาพการผลิต แปรรูปผลผลิตและการตลาดให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตร จนได้มาตรฐานรับรองระดับสากลไปแล้วกว่า 30 ราย ธ.ก.ส.จับมือสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย นําผลงานวิจัยการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มาช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการผลิต การแปรรูปผลผลิตและการตลาดให้เกษตรกรและผู้ประกอบการเกษตร จนได้มาตรฐานรับรองระดับสากลไปแล้วกว่า 30 รายพร้อมตั้งเป้าขยายผลในการเสริมสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้แก่ภาคเกษตรกรไทยต่อเนื่อง วันนี้ (8 มิถุนายน 2565) ณ ห้องประชุม ชั้น 24 อาคารทาวเวอร์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สํานักงานใหญ่ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ “ว่าด้วยความร่วมมือด้านวิชาการและถ่ายทอดเทคโนโลยี” ระหว่าง ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) และนายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เพื่อนําผลงานวิจัยพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมมาบูรณาการให้เกิดความยั่งยืนแก่ภาคเกษตรทั้งด้านการผลิต การแปรรูป และการตลาดที่เป็นมาตรฐานและต่อยอดสู่เกษตรกรรุ่นใหม่ในการนําไปใช้ประโยชน์และเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก นายธนารัตน์ งามวลัยรัตน์ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการในการพัฒนาสนับสนุนให้เกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ได้มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การนําภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผนวกกับองค์ความรู้สมัยใหม่โดยนําผลงานวิจัยทั้งด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับปรุง พัฒนาการผลิต การแปรรูปผลผลิต และการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรอย่างตรงจุด รวมถึงประยุกต์ต่อยอดสู่การจดทะเบียนสิทธิบัตร เพื่อยกระดับสินค้าเกษตรสู่มาตรฐานสากล นอกจากนี้ยังร่วมกันจัดฝึกอบรม ประชุมวิชาการ การเผยแพร่ประสบการณ์และการร่วมประชาสัมพันธ์ของทั้งสองหน่วยงาน เพื่อเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งปี 2561-2564 ที่ผ่านมา ธ.ก.ส.ได้ร่วมมือกับวว.และ EXIM Bank เข้าไปเสริมสร้างศักยภาพแก่ผู้ประกอบการ (SMEs) จํานวน 30 ราย อาทิ วิสาหกิจชุมชนกาแฟรัษฏา ผลิตชา กาแฟ สบู่กาแฟ กาแฟคั่ว วิสาหกิจชุมชนลองเลย ผลิตกาแฟอาราบิก้า วิสาหกิจชุมชนออมสินกะลา ผลิตภัณฑ์จากกะลา บริษัท แบมบุรีฟอร์ม จํากัด ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากไผ่ และถ่านไม้ไผ่ บริษัทซันโฟรเช่น ฟรุ๊ต จํากัด ผลิตทุเรียนและมังคุด บริษัทบ้านขนมไทยอินเตอร์เนชั่นแนล จํากัด ผลิตขนมกล้วยหอมทองทอดกรอบ เป็นต้น ซึ่งสามารถช่วยยกระดับคุณภาพการผลิตให้กับเกษตรกร กลุ่มเกษตรกร และผู้ประกอบการด้านการเกษตรได้เป็นอย่างดี จึงวางเป้าหมายที่จะขยายแนวทางการดําเนินงานดังกล่าว เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันให้กับภาคเกษตรไทย ควบคู่กับการเติมทุนผ่านสินเชื่อนวัตกรรมดีมีเงินทุน สินเชื่อสานฝันสร้างอาชีพ เป็นต้น เพื่อขยายโอกาสและการผลิตที่นําไปสู่การสร้างงานสร้างรายได้ที่มั่นคงต่อไป ดร.ชุติมา เอี่ยมโชติชวลิต ผู้ว่า วว.เปิดเผยว่า วว. เป็นหน่วยงานหลักด้านการวิจัยและพัฒนาของประเทศไทย ที่มีความพร้อม ความเชี่ยวชาญในการบูรณาการงานด้านสารชีวภัณฑ์อย่างครบวงจร มีความพร้อมในการให้บริการแก่เกษตรกร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการ มีผลการศึกษาวิจัยระดับภูมิภาคและ ระดับประเทศ รวมถึงความพร้อมของห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐานในการตรวจวิเคราะห์คุณภาพ เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ นอกจากนี้นักวิจัยและบุคลากรของ วว. ล้วนมีความรู้ ความสามารถ และความมุ่งมั่นที่จะนําองค์ความรู้และประสบการณ์ที่มี ผลักดันให้เกิดการนํางานวิจัยไปใช้ประโยชน์ทั้งในเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม โดยการร่วมมือในครั้งนี้ วว.มุ่งยกระดับเสริมสร้างความเข้มแข็งและต่อยอดยกระดับสินค้าเกษตรเพื่อให้ได้มาตรฐานสากลต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55522
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบาง เดินหน้าส่งเสริมการประกอบอาชีพให้ผู้พิการภายหลังยุคโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2564 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสําคัญกับกลุ่มเปราะบาง เดินหน้าส่งเสริมการประกอบอาชีพให้ผู้พิการภายหลังยุคโควิด-19 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสําคัญกับกลุ่มเปราะบาง เดินหน้าส่งเสริมการประกอบอาชีพให้ผู้พิการภายหลังยุคโควิด-19 นาย ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับคนทุกกลุ่มในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ความสําคัญกับโอกาสในสังคมเพื่อให้กลุ่มเปราะบางทุกคนมีการพัฒนาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนคือได้เปิดโอกาสให้ศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (The Asia-Pacific Development Center on Disability: APCD) เข้ามาถ่ายทําโครงการแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อเผยแพร่ประเด็นธุรกิจที่คนพิการมีส่วนร่วม (Disability Inclusive Business: DIB) ณ ร้าน APCD 60+ Plus Bakery and Chocolate Café สาขาทําเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 20 – 22 ธันวาคม 2564 ซึ่งถือเป็นการประชาสัมพันธ์ความสามารถ ส่งเสริมโอกาสในการประกอบอาชีพให้ผู้พิการและกลุ่มเปราะบาง ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดร้าน เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2563 เพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่การส่งเสริมโอกาสให้ผู้พิการสามารถฝึกอาชีพและให้ดําเนินธุรกิจได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน ด้วยการฝึกอบรมในรูปแบบการฝึกจากสถานที่จริง ปฏิบัติจริง และขายจริง สะท้อนเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการทําตามพันธะสัญญาที่จะดูแลคนไทยทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า ศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APCD) เป็นศูนย์พัฒนาระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกสําหรับคนพิการในภูมิภาคนี้ ก่อตั้งขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นผลสืบเนื่องจากทศวรรษคนพิการแห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ในปี 2536-2545 และความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐบาลไทย องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) รัฐบาลญี่ปุ่น APCD ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสําหรับเอเชียและแปซิฟิก หรือ แอสแคป (Economic and Social Commission for Asia and the Pacific: ESCAP) เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการสร้างความร่วมมือเพื่อส่งเสริมสิทธิสําหรับคนพิการในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบาง เดินหน้าส่งเสริมการประกอบอาชีพให้ผู้พิการภายหลังยุคโควิด-19 วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม 2564 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสําคัญกับกลุ่มเปราะบาง เดินหน้าส่งเสริมการประกอบอาชีพให้ผู้พิการภายหลังยุคโควิด-19 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความสําคัญกับกลุ่มเปราะบาง เดินหน้าส่งเสริมการประกอบอาชีพให้ผู้พิการภายหลังยุคโควิด-19 นาย ธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้ความสําคัญกับคนทุกกลุ่มในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ความสําคัญกับโอกาสในสังคมเพื่อให้กลุ่มเปราะบางทุกคนมีการพัฒนาเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น หนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนคือได้เปิดโอกาสให้ศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (The Asia-Pacific Development Center on Disability: APCD) เข้ามาถ่ายทําโครงการแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อเผยแพร่ประเด็นธุรกิจที่คนพิการมีส่วนร่วม (Disability Inclusive Business: DIB) ณ ร้าน APCD 60+ Plus Bakery and Chocolate Café สาขาทําเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 20 – 22 ธันวาคม 2564 ซึ่งถือเป็นการประชาสัมพันธ์ความสามารถ ส่งเสริมโอกาสในการประกอบอาชีพให้ผู้พิการและกลุ่มเปราะบาง ทั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดร้าน เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2563 เพื่อประชาสัมพันธ์และเผยแพร่การส่งเสริมโอกาสให้ผู้พิการสามารถฝึกอาชีพและให้ดําเนินธุรกิจได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน ด้วยการฝึกอบรมในรูปแบบการฝึกจากสถานที่จริง ปฏิบัติจริง และขายจริง สะท้อนเจตนารมณ์ของรัฐบาลในการทําตามพันธะสัญญาที่จะดูแลคนไทยทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า ศูนย์พัฒนาและฝึกอบรมคนพิการแห่งเอเชียและแปซิฟิก (APCD) เป็นศูนย์พัฒนาระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิกสําหรับคนพิการในภูมิภาคนี้ ก่อตั้งขึ้นในกรุงเทพฯ เป็นผลสืบเนื่องจากทศวรรษคนพิการแห่งภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ในปี 2536-2545 และความร่วมมือระหว่างกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐบาลไทย องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) รัฐบาลญี่ปุ่น APCD ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสําหรับเอเชียและแปซิฟิก หรือ แอสแคป (Economic and Social Commission for Asia and the Pacific: ESCAP) เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการสร้างความร่วมมือเพื่อส่งเสริมสิทธิสําหรับคนพิการในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49799
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันไม่เคยทอดทิ้งชาวสวนทุเรียน กางแผนเจรจาส่งออกผลไม้ไปจีน4ประเด็น พร้อมขยายตลาดสู่ตะวันออกกลาง
วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 รัฐบาลยืนยันไม่เคยทอดทิ้งชาวสวนทุเรียน กางแผนเจรจาส่งออกผลไม้ไปจีน4ประเด็น พร้อมขยายตลาดสู่ตะวันออกกลาง รัฐบาลยืนยันไม่เคยทอดทิ้งชาวสวนทุเรียน กางแผนเจรจาส่งออกผลไม้ไปจีน4ประเด็น พร้อมขยายตลาดสู่ตะวันออกกลาง วันที่ 14 มี.ค. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงประเด็นการส่งออกผลไม้ไทยไปยังประเทศจีน ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบาย Zero-Covid ของจีน ที่มีการตรวจตราอย่างเข้มงวด ณ ด่านโหย่วอี้กวาน ผิงเสียง ตงซิง และโมฮ่าน ทําให้การจราจรติดขัด ส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลไม้ของทุกประเทศไม่ใช่เฉพาะไทยเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลได้บูรณาการการทํางานหลายกระทรวง พร้อมทั้งหารือฝ่ายจีนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การขนส่งสินค้าไทยมีความคล่องตัว ไม่เกิดความเสียหาย และเร่งขยายตลาดสู่ประเทศตะวันออกกลางมากขึ้น มั่นใจปีนี้ส่งออกสินค้าเกษตรโตแน่นอน นางสาวรัชดากล่าวว่า รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจต่อการแก้ปัญหาการส่งสินค้าข้ามพรมแดนไปจีน นับตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ ได้บูรณาการการทํางาน ประสานกับทางการจีนมาอย่างต่อเนื่อง และได้แก้ปัญหาข้อติดขัดที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ จนทําให้การส่งออกผลไม้ในปี 2563 มีมูลค่า 91,000 ล้านบาท และปี 2564 เพิ่มเป็น 160,000 ล้านบาท เฉพาะทุเรียนกว่าหนึ่งแสนล้านบาท มากไปกว่านั้นรัฐบาลได้หารือกับทางจีนในหลายประเด็น กล่าวคือ 1) ขอให้ล้งไทยที่ผ่านกระบวนการอบรมหลักสูตร “ล้งปลอดโควิด-19” มี GMP Plus รับรอง ซึ่งอบรมไปแล้วกว่า 400 แห่ง สามารถผ่านด่านจีนได้โดยไม่ต้องเปิดทุกตู้ 2) การขนส่งบนเส้นทางรถไฟจีน-ลาวโดยการปิดตู้ที่ประเทศลาว และส่งไปคุนหมิงโดยไม่ต้องแวะตรวจที่ด่านโมฮ่านเพื่อให้สามารถส่งทุเรียนและผลไม้เศรษฐกิจอื่น ๆทางรางได้ตั้งแต่เดือน มีนาคมปีนี้ 3) เสนอให้มีการประชุมหารือกับประเทศจีน ลาวและเวียดนามเพื่อตกลงมาตรการร่วมกันเรื่อง protocol ในการเปิด-ปิดด่านชายแดนต่าง ๆ และ 4) เสนอให้ด่านมี Green Lane สําหรับผลไม้ไทยเป็นการเฉพาะ ขณะเดียวกัน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการให้มีมาตรการรองรับปัญหาผลไม้เศรษฐกิจล่วงหน้าทั้งระบบปี 2565 ประกอบด้วย 1) การรองรับเหตุการณ์ไม่ปกติ 2) การช่วยเหลือในการกระจายสินค้า ควบคุมคุณภาพ และกระตุ้นการบริโภคผลไม้ 3) การช่วยเหลือสนับสนุนการส่งออกผลไม้ไทย 4) การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มผลไม้ และ 5) การช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่ปกติ สําหรับตลาดใหม่ที่กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ เร่งทําการตลาดอยู่คือตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลาง อาทิ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งที่ผ่านมามีความต้องการผลไม้สดจากไทยจํานวนมากขึ้นและหลากหลายชนิด เช่น เงาะ มังคุด ลําใย มะม่วง ทุเรียน เป็นต้น “นอกจากการไปเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ที่จะนําไปสู่โอกาสทองการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรของไทยแล้ว ล่าสุด การเจรจาหารือระหว่างรัฐมนตรีเฉลิมชัยฯ กับรัฐมนตรีด้านการค้าระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ณ เมืองดูไบ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จะนําไปสู่การส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรและอาหารอย่างแน่นอน ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ หมื่นกว่าล้านบาท/ปี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 4.6” นางสาวรัชดา กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลยืนยันไม่เคยทอดทิ้งชาวสวนทุเรียน กางแผนเจรจาส่งออกผลไม้ไปจีน4ประเด็น พร้อมขยายตลาดสู่ตะวันออกกลาง วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 รัฐบาลยืนยันไม่เคยทอดทิ้งชาวสวนทุเรียน กางแผนเจรจาส่งออกผลไม้ไปจีน4ประเด็น พร้อมขยายตลาดสู่ตะวันออกกลาง รัฐบาลยืนยันไม่เคยทอดทิ้งชาวสวนทุเรียน กางแผนเจรจาส่งออกผลไม้ไปจีน4ประเด็น พร้อมขยายตลาดสู่ตะวันออกกลาง วันที่ 14 มี.ค. 65 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงประเด็นการส่งออกผลไม้ไทยไปยังประเทศจีน ซึ่งได้รับผลกระทบจากนโยบาย Zero-Covid ของจีน ที่มีการตรวจตราอย่างเข้มงวด ณ ด่านโหย่วอี้กวาน ผิงเสียง ตงซิง และโมฮ่าน ทําให้การจราจรติดขัด ส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลไม้ของทุกประเทศไม่ใช่เฉพาะไทยเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลได้บูรณาการการทํางานหลายกระทรวง พร้อมทั้งหารือฝ่ายจีนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การขนส่งสินค้าไทยมีความคล่องตัว ไม่เกิดความเสียหาย และเร่งขยายตลาดสู่ประเทศตะวันออกกลางมากขึ้น มั่นใจปีนี้ส่งออกสินค้าเกษตรโตแน่นอน นางสาวรัชดากล่าวว่า รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจต่อการแก้ปัญหาการส่งสินค้าข้ามพรมแดนไปจีน นับตั้งแต่เริ่มมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการต่างประเทศ ได้บูรณาการการทํางาน ประสานกับทางการจีนมาอย่างต่อเนื่อง และได้แก้ปัญหาข้อติดขัดที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ จนทําให้การส่งออกผลไม้ในปี 2563 มีมูลค่า 91,000 ล้านบาท และปี 2564 เพิ่มเป็น 160,000 ล้านบาท เฉพาะทุเรียนกว่าหนึ่งแสนล้านบาท มากไปกว่านั้นรัฐบาลได้หารือกับทางจีนในหลายประเด็น กล่าวคือ 1) ขอให้ล้งไทยที่ผ่านกระบวนการอบรมหลักสูตร “ล้งปลอดโควิด-19” มี GMP Plus รับรอง ซึ่งอบรมไปแล้วกว่า 400 แห่ง สามารถผ่านด่านจีนได้โดยไม่ต้องเปิดทุกตู้ 2) การขนส่งบนเส้นทางรถไฟจีน-ลาวโดยการปิดตู้ที่ประเทศลาว และส่งไปคุนหมิงโดยไม่ต้องแวะตรวจที่ด่านโมฮ่านเพื่อให้สามารถส่งทุเรียนและผลไม้เศรษฐกิจอื่น ๆทางรางได้ตั้งแต่เดือน มีนาคมปีนี้ 3) เสนอให้มีการประชุมหารือกับประเทศจีน ลาวและเวียดนามเพื่อตกลงมาตรการร่วมกันเรื่อง protocol ในการเปิด-ปิดด่านชายแดนต่าง ๆ และ 4) เสนอให้ด่านมี Green Lane สําหรับผลไม้ไทยเป็นการเฉพาะ ขณะเดียวกัน นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้สั่งการให้มีมาตรการรองรับปัญหาผลไม้เศรษฐกิจล่วงหน้าทั้งระบบปี 2565 ประกอบด้วย 1) การรองรับเหตุการณ์ไม่ปกติ 2) การช่วยเหลือในการกระจายสินค้า ควบคุมคุณภาพ และกระตุ้นการบริโภคผลไม้ 3) การช่วยเหลือสนับสนุนการส่งออกผลไม้ไทย 4) การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มผลไม้ และ 5) การช่วยเหลือเยียวยาและฟื้นฟูเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ไม่ปกติ สําหรับตลาดใหม่ที่กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ เร่งทําการตลาดอยู่คือตลาดในภูมิภาคตะวันออกกลาง อาทิ ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งที่ผ่านมามีความต้องการผลไม้สดจากไทยจํานวนมากขึ้นและหลากหลายชนิด เช่น เงาะ มังคุด ลําใย มะม่วง ทุเรียน เป็นต้น “นอกจากการไปเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ที่จะนําไปสู่โอกาสทองการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตรของไทยแล้ว ล่าสุด การเจรจาหารือระหว่างรัฐมนตรีเฉลิมชัยฯ กับรัฐมนตรีด้านการค้าระหว่างประเทศแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ณ เมืองดูไบ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จะนําไปสู่การส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตรและอาหารอย่างแน่นอน ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ หมื่นกว่าล้านบาท/ปี และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 4.6” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52500