title
stringlengths 10
260
| context
stringlengths 28
181k
| raw
stringlengths 39
181k
| url
stringlengths 0
53
|
---|---|---|---|
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. อนุชา กำชับ สคบ. รับฟังเสียงทุกภาคส่วนก่อนทำร่างประกาศธุรกิจให้เช่าซื้อรถ หลังภาคเอกชนเข้าหารือ พร้อมขอผู้ประกอบการร่วมช่วยเหลือประชาชนผ่อนคลายภาระหนี้ช่วงสถานการณ์โควิด | วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564
รมต.นร. อนุชา กําชับ สคบ. รับฟังเสียงทุกภาคส่วนก่อนทําร่างประกาศธุรกิจให้เช่าซื้อรถ หลังภาคเอกชนเข้าหารือ พร้อมขอผู้ประกอบการร่วมช่วยเหลือประชาชนผ่อนคลายภาระหนี้ช่วงสถานการณ์โควิด
รมต.นร. อนุชา กําชับ สคบ. รับฟังเสียงทุกภาคส่วนก่อนทําร่างประกาศธุรกิจให้เช่าซื้อรถ หลังภาคเอกชนเข้าหารือ พร้อมขอผู้ประกอบการร่วมช่วยเหลือประชาชนผ่อนคลายภาระหนี้ช่วงสถานการณ์โควิด
วันนี้(26พ.ย.64)เวลา13.30น.นายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมจากกรณีที่สมาคมธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไทยมีหนังสือถึงรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเพื่อขอเข้าหารือแนวทางการแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาพ.ศ.2561โดยมีนายสิริพงศ์อังคสกุลเกียรติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษนายอนุรุทธิ์นาคาศัยที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายศุภกิตต์มะลิผู้อํานวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญาผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.)ผู้แทนสมาคมธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไทยผู้แทนสมาคมผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์ไทยผู้แทนสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยผู้แทนสมาคมธนาคารไทยและผู้แทนสมาคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเข้าร่วม
สําหรับการประชุมหารือในครั้งนี้เกิดจากข้อกังวลของทางสมาคมฯต่อ(ร่าง)ประกาศของคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์รถจักรยานยนต์รถแทรกเตอร์และเครื่องจักรกลการเกษตรเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาพ.ศ. ...ซึ่งออกโดยคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาสคบ.และได้จัดทําประชาพิจารณ์(ร่าง)ประกาศดังกล่าวระหว่างวันที่8ตุลาคม– 7พฤศจิกายนพ.ศ.2564เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยภาคเอกชนมีข้อกังวลเรื่องการกําหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อที่อัตรา15%มาตรการคืนรถจบหนี้มาตรการให้ส่วนลดไม่น้อยกว่า50%ของมูลค่าหนี้ส่วนที่ขาด(ติ่งหนี้)และมาตรการให้ส่วนลดไม่น้อยกว่า80%ของดอกเบี้ยที่ยังไม่ถึงกําหนดในกรณีปิดบัญชีซึ่งมาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้ประกอบการ
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชามีความห่วงใยทุกภาคส่วนรวมถึงภาคธุรกิจการค้าที่เป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศทั้งนี้(ร่าง)ประกาศดังกล่าวที่ภาคเอกชนมีข้อกังวลยังคงอยู่ในส่วนของการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนยังไม่มีการประกาศใช้ซึ่งข้อเสนอแนะและแนวทางที่ได้หารือในวันนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาจัดทํา(ร่าง)ประกาศเพื่อให้เกิดความสมดุลทุกฝ่ายพร้อมกันนี้ได้กําชับทางสคบ.ให้นําข้อเสนอแนะทุกภาคส่วนมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อความเป็นธรรม
พร้อมนี้รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้ขอความร่วมมือให้ทางสมาคมฯคํานึงถึงภาคการเกษตรที่ซึ่งเป็นกําลังซื้อหลักของประเทศหากภาคเกษตรไม่มีเงินทุนการค้าขายในภาพรวมก็จะฝืดเคืองและขอให้ภาคเอกชนคํานึงถึงความยากลําบากของประชาชนระดับรากหญ้าขอให้เห็นใจซึ่งกันและกันในเชิงสังคมมากกว่าธุรกิจเพื่อช่วยผ่อนคลายภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่น่ากังวลในสถานการณ์เช่นนี้ยืนยันทุกเรื่องที่มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจต่อประชาชนรัฐบาลจะพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจดําเนินการ
---------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมต.นร. อนุชา กำชับ สคบ. รับฟังเสียงทุกภาคส่วนก่อนทำร่างประกาศธุรกิจให้เช่าซื้อรถ หลังภาคเอกชนเข้าหารือ พร้อมขอผู้ประกอบการร่วมช่วยเหลือประชาชนผ่อนคลายภาระหนี้ช่วงสถานการณ์โควิด
วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน 2564
รมต.นร. อนุชา กําชับ สคบ. รับฟังเสียงทุกภาคส่วนก่อนทําร่างประกาศธุรกิจให้เช่าซื้อรถ หลังภาคเอกชนเข้าหารือ พร้อมขอผู้ประกอบการร่วมช่วยเหลือประชาชนผ่อนคลายภาระหนี้ช่วงสถานการณ์โควิด
รมต.นร. อนุชา กําชับ สคบ. รับฟังเสียงทุกภาคส่วนก่อนทําร่างประกาศธุรกิจให้เช่าซื้อรถ หลังภาคเอกชนเข้าหารือ พร้อมขอผู้ประกอบการร่วมช่วยเหลือประชาชนผ่อนคลายภาระหนี้ช่วงสถานการณ์โควิด
วันนี้(26พ.ย.64)เวลา13.30น.นายอนุชานาคาศัยรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเป็นประธานการประชุมจากกรณีที่สมาคมธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไทยมีหนังสือถึงรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเพื่อขอเข้าหารือแนวทางการแก้ไขปรับปรุงเพิ่มเติมประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาพ.ศ.2561โดยมีนายสิริพงศ์อังคสกุลเกียรติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดศรีสะเกษนายอนุรุทธิ์นาคาศัยที่ปรึกษารัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายศุภกิตต์มะลิผู้อํานวยการกองคุ้มครองผู้บริโภคด้านสัญญาผู้แทนสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.)ผู้แทนสมาคมธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ไทยผู้แทนสมาคมผู้ประกอบการรถจักรยานยนต์ไทยผู้แทนสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทยผู้แทนสมาคมธนาคารไทยและผู้แทนสมาคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเข้าร่วม
สําหรับการประชุมหารือในครั้งนี้เกิดจากข้อกังวลของทางสมาคมฯต่อ(ร่าง)ประกาศของคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์รถจักรยานยนต์รถแทรกเตอร์และเครื่องจักรกลการเกษตรเป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญาพ.ศ. ...ซึ่งออกโดยคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาสคบ.และได้จัดทําประชาพิจารณ์(ร่าง)ประกาศดังกล่าวระหว่างวันที่8ตุลาคม– 7พฤศจิกายนพ.ศ.2564เป็นที่เรียบร้อยแล้วโดยภาคเอกชนมีข้อกังวลเรื่องการกําหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อที่อัตรา15%มาตรการคืนรถจบหนี้มาตรการให้ส่วนลดไม่น้อยกว่า50%ของมูลค่าหนี้ส่วนที่ขาด(ติ่งหนี้)และมาตรการให้ส่วนลดไม่น้อยกว่า80%ของดอกเบี้ยที่ยังไม่ถึงกําหนดในกรณีปิดบัญชีซึ่งมาตรการดังกล่าวอาจส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้ประกอบการ
รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชามีความห่วงใยทุกภาคส่วนรวมถึงภาคธุรกิจการค้าที่เป็นส่วนสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศทั้งนี้(ร่าง)ประกาศดังกล่าวที่ภาคเอกชนมีข้อกังวลยังคงอยู่ในส่วนของการรับฟังความคิดเห็นจากภาคประชาชนหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนยังไม่มีการประกาศใช้ซึ่งข้อเสนอแนะและแนวทางที่ได้หารือในวันนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาจัดทํา(ร่าง)ประกาศเพื่อให้เกิดความสมดุลทุกฝ่ายพร้อมกันนี้ได้กําชับทางสคบ.ให้นําข้อเสนอแนะทุกภาคส่วนมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเพื่อความเป็นธรรม
พร้อมนี้รัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรีได้ขอความร่วมมือให้ทางสมาคมฯคํานึงถึงภาคการเกษตรที่ซึ่งเป็นกําลังซื้อหลักของประเทศหากภาคเกษตรไม่มีเงินทุนการค้าขายในภาพรวมก็จะฝืดเคืองและขอให้ภาคเอกชนคํานึงถึงความยากลําบากของประชาชนระดับรากหญ้าขอให้เห็นใจซึ่งกันและกันในเชิงสังคมมากกว่าธุรกิจเพื่อช่วยผ่อนคลายภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่น่ากังวลในสถานการณ์เช่นนี้ยืนยันทุกเรื่องที่มีผลกระทบต่อภาคธุรกิจต่อประชาชนรัฐบาลจะพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจดําเนินการ
---------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48749 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. รุกตลาด รับ-ส่ง พัสดุภัณฑ์ จัดโปรโมชั่นให้สมาชิกใหม่ รับส่วนลดทันที 20% คุ้มต่อสะสมยอดรับส่วนลดถึง 10% ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป | วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565
บขส. รุกตลาด รับ-ส่ง พัสดุภัณฑ์ จัดโปรโมชั่นให้สมาชิกใหม่ รับส่วนลดทันที 20% คุ้มต่อสะสมยอดรับส่วนลดถึง 10% ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ งานการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ โทร.0-2537-8737 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ในเวลาทําการ หรือโทร Call Center 1490 เรียก บขส.ตลอด 24 ชั่วโมง
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าปัจจุบันบริการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ได้รับความนิยมและมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทําให้ผู้บริโภคหันมาสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้นเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) จึงได้มีแผนพัฒนาสถานีเดินรถให้เป็นจุดกระจายสินค้าและพัสดุภัณฑ์ข้ามภาค ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดําเนินการ เพื่ออํานวยความสะดวกและรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการ โดย บขส. มีความพร้อมสามารถให้บริการขนส่งแบบ One Day One Night รับส่งได้ในวันเดียว รวมทั้งมีรับประกันความเสียหายของสินค้าด้วย ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาการบริการรับส่งพัสดุภัณฑ์และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้บริการ บขส. ได้จัดโปรโมชันพิเศษ ดังนี้
1) มอบส่วนลดค่าบริการ 20% ให้กับลูกค้าที่สมัครสมาชิกใหม่และเพิ่มความคุ้มด้วยการสะสมยอดรับส่วนสดสูงสุดถึง 10%
2) เมื่อส่งพัสดุภัณฑ์ด่วน (ตามขนาดที่กําหนด) ราคาเริ่มต้นที่ 39 บาท
3) ส่งพัสดุภัณฑ์ทุกวันอาทิตย์ และวันจันทร์ รับส่วนลดค่าบริการ 15%
เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเงื่อนไขเป็นไปตามที่ บขส. กําหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์รับ-ส่งพัสดุภัณฑ์ (จตุจักร) โทร. 0 2537 8480 ศูนย์รับ-ส่ง พัสดุภัณฑ์ (รังสิต) โทร. 0 2901 2673 ศูนย์รับ-ส่งพัสดุภัณฑ์ สายใต้ (บรมราชชนนี) โทร. 0 2422 4413
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวเพิ่มเติมว่า บขส. ได้จัดโปรโมชันพิเศษ “เดินทาง 5.5 รับแต้มคูณ 2” เมื่อจองตั๋วโดยสารผ่านช่องทางออนไลน์ Application : E-Ticket Website ของ บขส. ทุกเส้นทางทั่วประเทศและเดินทางในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 ซึ่งโปรโมชันพิเศษนี้จะมีการจัดอย่างต่อเนื่อง สามารถติดตามได้ที่ Facebook Fanpage : บขส. และ Line@Borkorsor99
รวมทั้งสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่งานการตลาด และลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 0 2537 8737 ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ ในเวลาทําการ หรือ Call Center โทร. 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. รุกตลาด รับ-ส่ง พัสดุภัณฑ์ จัดโปรโมชั่นให้สมาชิกใหม่ รับส่วนลดทันที 20% คุ้มต่อสะสมยอดรับส่วนลดถึง 10% ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม 2565
บขส. รุกตลาด รับ-ส่ง พัสดุภัณฑ์ จัดโปรโมชั่นให้สมาชิกใหม่ รับส่วนลดทันที 20% คุ้มต่อสะสมยอดรับส่วนลดถึง 10% ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ งานการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ โทร.0-2537-8737 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ ในเวลาทําการ หรือโทร Call Center 1490 เรียก บขส.ตลอด 24 ชั่วโมง
นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าปัจจุบันบริการขนส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ได้รับความนิยมและมีการเติบโตแบบก้าวกระโดด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ทําให้ผู้บริโภคหันมาสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้นเพื่อปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) จึงได้มีแผนพัฒนาสถานีเดินรถให้เป็นจุดกระจายสินค้าและพัสดุภัณฑ์ข้ามภาค ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างดําเนินการ เพื่ออํานวยความสะดวกและรองรับความต้องการของผู้ใช้บริการ โดย บขส. มีความพร้อมสามารถให้บริการขนส่งแบบ One Day One Night รับส่งได้ในวันเดียว รวมทั้งมีรับประกันความเสียหายของสินค้าด้วย ทั้งนี้ เพื่อพัฒนาการบริการรับส่งพัสดุภัณฑ์และเพิ่มทางเลือกให้กับผู้ใช้บริการ บขส. ได้จัดโปรโมชันพิเศษ ดังนี้
1) มอบส่วนลดค่าบริการ 20% ให้กับลูกค้าที่สมัครสมาชิกใหม่และเพิ่มความคุ้มด้วยการสะสมยอดรับส่วนสดสูงสุดถึง 10%
2) เมื่อส่งพัสดุภัณฑ์ด่วน (ตามขนาดที่กําหนด) ราคาเริ่มต้นที่ 39 บาท
3) ส่งพัสดุภัณฑ์ทุกวันอาทิตย์ และวันจันทร์ รับส่วนลดค่าบริการ 15%
เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเงื่อนไขเป็นไปตามที่ บขส. กําหนด สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์รับ-ส่งพัสดุภัณฑ์ (จตุจักร) โทร. 0 2537 8480 ศูนย์รับ-ส่ง พัสดุภัณฑ์ (รังสิต) โทร. 0 2901 2673 ศูนย์รับ-ส่งพัสดุภัณฑ์ สายใต้ (บรมราชชนนี) โทร. 0 2422 4413
กรรมการผู้จัดการใหญ่ บขส. กล่าวเพิ่มเติมว่า บขส. ได้จัดโปรโมชันพิเศษ “เดินทาง 5.5 รับแต้มคูณ 2” เมื่อจองตั๋วโดยสารผ่านช่องทางออนไลน์ Application : E-Ticket Website ของ บขส. ทุกเส้นทางทั่วประเทศและเดินทางในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 ซึ่งโปรโมชันพิเศษนี้จะมีการจัดอย่างต่อเนื่อง สามารถติดตามได้ที่ Facebook Fanpage : บขส. และ Line@Borkorsor99
รวมทั้งสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่งานการตลาด และลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 0 2537 8737 ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ ในเวลาทําการ หรือ Call Center โทร. 1490 เรียก บขส. ตลอด 24 ชั่วโมง | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54194 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจยอดส่งออกผลไม้ไทยไปจีนครึ่งปีแรกทะลุ 1 ล้านตัน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 8 หมื่นล้านบาท ย้ำเร่งเดินหน้ายกระดับคุณภาพมาตรฐานผลไม้ไทยตลอดห่วงโซ่การผลิต | วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจยอดส่งออกผลไม้ไทยไปจีนครึ่งปีแรกทะลุ 1 ล้านตัน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 8 หมื่นล้านบาท ย้ําเร่งเดินหน้ายกระดับคุณภาพมาตรฐานผลไม้ไทยตลอดห่วงโซ่การผลิต
โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจยอดส่งออกผลไม้ไทยไปจีนครึ่งปีแรกทะลุ 1 ล้านตัน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 8 หมื่นล้านบาท ย้ําเร่งเดินหน้ายกระดับคุณภาพมาตรฐานผลไม้ไทยตลอดห่วงโซ่การผลิต รองรับการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้นในตลาดส่งออกจีน-ทั่วโลก
วันที่ 16 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามการส่งออกผลไม้ของไทยไปจีนโดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมการดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ หรือฟรุ้ทบอร์ด (Fruit Board) ที่มีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน รายงานผลงานการส่งออกผลไม้ของไทยไปจีนครึ่งปีแรก 2565 ได้เกิน 1 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วกว่า 120,000 ตัน สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรผู้ประกอบการและประเทศกว่า 8 หมื่นล้านบาท โดยนายกรัฐมนตรีได้กําชับให้ฟรุ้ทบอร์ดติดตามสถานการณ์การผลิตไม้ผลปี 2565 เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในการกระจายผลผลิตผลไม้ของเกษตรกร รวมทั้งให้เดินหน้ายกระดับนโยบายคุณภาพและมาตรฐานผลไม้ เร่งเดินหน้าแผนปฏิบัติการพัฒนาผลไม้ปี 2565-2570
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังกําชับให้คาดการณ์ผลผลิต และติดตามสถานการณ์การขนส่ง เพื่อปรับกลยุทธ์ในการในการกระจายผลผลิตผลไม้ของเกษตรกรไม่ให้เกิดปัญหาต่อไป รวมทั้งให้เดินหน้ายกระดับนโยบายคุณภาพและมาตรฐานผลไม้ เร่งเดินหน้าแผนปฏิบัติการพัฒนาผลไม้ปี 2565-2570 เพื่อเพิ่มศักยภาพสู่เป้าหมายเกษตรมูลค่าสูง เน้นการพัฒนาพันธ์ุ การใช้เทคโนโลยีในการผลิต การเพิ่มการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การสร้างแบรนด์ผลไม้ การขยายตลาดทั้งใน-ต่างประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของผลไม้ไทยตลอดห่วงโซ่การผลิต การแปรรูป ตลอดจนการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้นในตลาดส่งออกในจีนและทั่วโลกด้วย
“ด้วยความได้เปรียบในพื้นที่ภาคการเกษตรของไทย มีผลผลิตเป็นที่ต้องการและยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งผลไม้ไทยเป็นพืชที่มีความสําคัญทางเศรษฐกิจและมีมูลค่าการส่งออกสูง สร้างรายได้เข้าประเทศไทยปีละหลายล้านบาท ขอบคุณเกษตรกรและผู้ประกอบการที่ร่วมกันดําเนินตามมาตรการของรัฐอย่างเข้มงวด เพื่อชื่อเสียงของประเทศในการส่งออกสินค้าที่มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพ โดยนายกรัฐมนตรีกําชับให้ทุกหน่วยงานร่วมกันผลักดัน ส่งเสริมการส่งออกผลไม้ไทยให้ขยายสู่ประเทศต่าง ๆ ด้วยคุณภาพและปลอดภัยได้มาตรฐาน” นายธนกร กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจยอดส่งออกผลไม้ไทยไปจีนครึ่งปีแรกทะลุ 1 ล้านตัน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 8 หมื่นล้านบาท ย้ำเร่งเดินหน้ายกระดับคุณภาพมาตรฐานผลไม้ไทยตลอดห่วงโซ่การผลิต
วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจยอดส่งออกผลไม้ไทยไปจีนครึ่งปีแรกทะลุ 1 ล้านตัน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 8 หมื่นล้านบาท ย้ําเร่งเดินหน้ายกระดับคุณภาพมาตรฐานผลไม้ไทยตลอดห่วงโซ่การผลิต
โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” พอใจยอดส่งออกผลไม้ไทยไปจีนครึ่งปีแรกทะลุ 1 ล้านตัน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 8 หมื่นล้านบาท ย้ําเร่งเดินหน้ายกระดับคุณภาพมาตรฐานผลไม้ไทยตลอดห่วงโซ่การผลิต รองรับการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้นในตลาดส่งออกจีน-ทั่วโลก
วันที่ 16 กรกฎาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามการส่งออกผลไม้ของไทยไปจีนโดยนายกรัฐมนตรีชื่นชมการดําเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ หรือฟรุ้ทบอร์ด (Fruit Board) ที่มีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นประธาน รายงานผลงานการส่งออกผลไม้ของไทยไปจีนครึ่งปีแรก 2565 ได้เกิน 1 ล้านตัน ซึ่งมากกว่าปีที่แล้วกว่า 120,000 ตัน สามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรผู้ประกอบการและประเทศกว่า 8 หมื่นล้านบาท โดยนายกรัฐมนตรีได้กําชับให้ฟรุ้ทบอร์ดติดตามสถานการณ์การผลิตไม้ผลปี 2565 เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในการกระจายผลผลิตผลไม้ของเกษตรกร รวมทั้งให้เดินหน้ายกระดับนโยบายคุณภาพและมาตรฐานผลไม้ เร่งเดินหน้าแผนปฏิบัติการพัฒนาผลไม้ปี 2565-2570
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า นายกรัฐมนตรียังกําชับให้คาดการณ์ผลผลิต และติดตามสถานการณ์การขนส่ง เพื่อปรับกลยุทธ์ในการในการกระจายผลผลิตผลไม้ของเกษตรกรไม่ให้เกิดปัญหาต่อไป รวมทั้งให้เดินหน้ายกระดับนโยบายคุณภาพและมาตรฐานผลไม้ เร่งเดินหน้าแผนปฏิบัติการพัฒนาผลไม้ปี 2565-2570 เพื่อเพิ่มศักยภาพสู่เป้าหมายเกษตรมูลค่าสูง เน้นการพัฒนาพันธ์ุ การใช้เทคโนโลยีในการผลิต การเพิ่มการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม การสร้างแบรนด์ผลไม้ การขยายตลาดทั้งใน-ต่างประเทศ เพิ่มประสิทธิภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของผลไม้ไทยตลอดห่วงโซ่การผลิต การแปรรูป ตลอดจนการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้นในตลาดส่งออกในจีนและทั่วโลกด้วย
“ด้วยความได้เปรียบในพื้นที่ภาคการเกษตรของไทย มีผลผลิตเป็นที่ต้องการและยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งผลไม้ไทยเป็นพืชที่มีความสําคัญทางเศรษฐกิจและมีมูลค่าการส่งออกสูง สร้างรายได้เข้าประเทศไทยปีละหลายล้านบาท ขอบคุณเกษตรกรและผู้ประกอบการที่ร่วมกันดําเนินตามมาตรการของรัฐอย่างเข้มงวด เพื่อชื่อเสียงของประเทศในการส่งออกสินค้าที่มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพ โดยนายกรัฐมนตรีกําชับให้ทุกหน่วยงานร่วมกันผลักดัน ส่งเสริมการส่งออกผลไม้ไทยให้ขยายสู่ประเทศต่าง ๆ ด้วยคุณภาพและปลอดภัยได้มาตรฐาน” นายธนกร กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56903 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าฯ ตาก ประกอบพิธีถวายคัมภีร์เทศน์เฉลิมพระเกียรติฯ เฉลิมพระธรรมบารมีสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง แด่เจ้าคณะจังหวัดตาก ฝ่ายมหานิกาย ฝ่ายธรรมยุติ และเจ้าอาวาสวัดพระอารามหลวง | วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม 2565
ผู้ว่าฯ ตาก ประกอบพิธีถวายคัมภีร์เทศน์เฉลิมพระเกียรติฯ เฉลิมพระธรรมบารมีสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง แด่เจ้าคณะจังหวัดตาก ฝ่ายมหานิกาย ฝ่ายธรรมยุติ และเจ้าอาวาสวัดพระอารามหลวง
ผู้ว่าฯ ตาก ประกอบพิธีถวายคัมภีร์เทศน์เฉลิมพระเกียรติฯ เฉลิมพระธรรมบารมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แด่เจ้าคณะจังหวัดตาก ฝ่ายมหานิกาย ฝ่ายธรรมยุติ และเจ้าอาวาสวัดพระอารามหลวง
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 65 เวลา 10.00 น. นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีถวายคัมภีร์เทศน์เฉลิมพระเกียรติฯ บทพระธรรมเทศนาเฉลิมพระกียรติพระธรรมบารมีใน "อุภินนมัตถจรกถา" เฉลิมพระธรรมบารมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แด่เจ้าคณะจังหวัดตาก ฝ่ายมหานิกาย , ฝ่ายธรรมยุติ และเจ้าอาวาสวัดพระอารามหลวง โดยมีพระสุเมธีธรรมภาณ เจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย-ตาก (ธรรมยุต) มพระครูเมธีวรคุณ เจ้าอาวาสวัดมณีบรรพตวรวิหาร (พระอารามหลวง) พระมหาสุทัศน์ อุชุจาโร เลขานุการเจ้าคณะจังหวัด ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าคณะจังหวัดตาก พร้อมด้วย นางวรรณฤดี กิจเจริญรุ่งโรจน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดตาก รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก หัวหน้าส่วนราชการ และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมในพิธีฯ ณ อาคารหอประชุมจังหวัดตาก ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดตาก เพื่อนําไปแสดงเผยแผ่ให้พุทธศาสนิกชนได้สดับต่อไป
นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เปิดเผยว่า ด้วยในปีพุทธศักราช 2565 เป็นปีมหามงคล เนื่องด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2565 โดยตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี ที่ทรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงข้างพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" ให้แก่พสกนิกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟูงานหัตถศิลป์อันงดงามหลากหลายสาขา ส่งผลให้ราษฎรมีอาชีพ มีรายได้ และมีความมั่นคงในครอบครัว นําความผาสุกร่มเย็นไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และเพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ได้จัดทําคัมภีร์เทศน์เฉลิมพระเกียรติบทพระธรรมเทศนาเฉลิมพระธรรมบารมีใน "อุภินนมัตถจรกถา" เฉลิมพระธรรมบารมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม พรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 โดยได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ รจนาบทพระธรรมเทศนาเฉลิมพระธรรมบารมีดังกล่าว และคณะกรรมการมหาเถรสมาคมได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ได้ดําเนินการจัดพิมพ์ จํานวน 84,000 กัณฑ์ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนําไปถวายวัด สําหรับนําไปแสดงพระธรรมเทศนา ให้พุทธศาสนิกชนได้สดับ และน้อมเกล้า ฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทุกวันธรรมสวนะหรือวันพระตลอดทั้งปี
สําหรับจังหวัดตาก ได้รับมอบคัมภีร์เทศน์เฉลิมพระเกียรติฯ จํานวน 279 คัมภีร์ เพื่อนําไปถวายแด่คณะสงฆ์ในพื้นที่ได้นําไปเทศน์เฉลิมพระเกียรติฯ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2565 และวันพระตลอดปี 2565 ประกอบด้วย วัดราษฎร์ ประเภทมหานิกาย จํานวน 262 แห่ง ประเภทธรรมยุต จํานวน 16 แห่ง และวัดพระอารามหลวง 1 แห่ง นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผู้ว่าฯ ตาก ประกอบพิธีถวายคัมภีร์เทศน์เฉลิมพระเกียรติฯ เฉลิมพระธรรมบารมีสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง แด่เจ้าคณะจังหวัดตาก ฝ่ายมหานิกาย ฝ่ายธรรมยุติ และเจ้าอาวาสวัดพระอารามหลวง
วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม 2565
ผู้ว่าฯ ตาก ประกอบพิธีถวายคัมภีร์เทศน์เฉลิมพระเกียรติฯ เฉลิมพระธรรมบารมีสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง แด่เจ้าคณะจังหวัดตาก ฝ่ายมหานิกาย ฝ่ายธรรมยุติ และเจ้าอาวาสวัดพระอารามหลวง
ผู้ว่าฯ ตาก ประกอบพิธีถวายคัมภีร์เทศน์เฉลิมพระเกียรติฯ เฉลิมพระธรรมบารมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แด่เจ้าคณะจังหวัดตาก ฝ่ายมหานิกาย ฝ่ายธรรมยุติ และเจ้าอาวาสวัดพระอารามหลวง
เมื่อวันที่ 5 ส.ค. 65 เวลา 10.00 น. นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในพิธีถวายคัมภีร์เทศน์เฉลิมพระเกียรติฯ บทพระธรรมเทศนาเฉลิมพระกียรติพระธรรมบารมีใน "อุภินนมัตถจรกถา" เฉลิมพระธรรมบารมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แด่เจ้าคณะจังหวัดตาก ฝ่ายมหานิกาย , ฝ่ายธรรมยุติ และเจ้าอาวาสวัดพระอารามหลวง โดยมีพระสุเมธีธรรมภาณ เจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย-ตาก (ธรรมยุต) มพระครูเมธีวรคุณ เจ้าอาวาสวัดมณีบรรพตวรวิหาร (พระอารามหลวง) พระมหาสุทัศน์ อุชุจาโร เลขานุการเจ้าคณะจังหวัด ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าคณะจังหวัดตาก พร้อมด้วย นางวรรณฤดี กิจเจริญรุ่งโรจน์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดตาก รองผู้ว่าราชการจังหวัดตาก หัวหน้าส่วนราชการ และผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมในพิธีฯ ณ อาคารหอประชุมจังหวัดตาก ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดตาก เพื่อนําไปแสดงเผยแผ่ให้พุทธศาสนิกชนได้สดับต่อไป
นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เปิดเผยว่า ด้วยในปีพุทธศักราช 2565 เป็นปีมหามงคล เนื่องด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงเจริญพระชนมพรรษา 90 พรรษา ในวันที่ 12 สิงหาคม 2565 โดยตลอดระยะเวลากว่า 70 ปี ที่ทรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการ เคียงข้างพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อ "บําบัดทุกข์ บํารุงสุข" ให้แก่พสกนิกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟูงานหัตถศิลป์อันงดงามหลากหลายสาขา ส่งผลให้ราษฎรมีอาชีพ มีรายได้ และมีความมั่นคงในครอบครัว นําความผาสุกร่มเย็นไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และเพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้
นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงมหาดไทย ได้จัดทําคัมภีร์เทศน์เฉลิมพระเกียรติบทพระธรรมเทศนาเฉลิมพระธรรมบารมีใน "อุภินนมัตถจรกถา" เฉลิมพระธรรมบารมีสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม พรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 โดยได้รับพระเมตตาจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ รจนาบทพระธรรมเทศนาเฉลิมพระธรรมบารมีดังกล่าว และคณะกรรมการมหาเถรสมาคมได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ซึ่งกระทรวงมหาดไทย ได้ดําเนินการจัดพิมพ์ จํานวน 84,000 กัณฑ์ โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนําไปถวายวัด สําหรับนําไปแสดงพระธรรมเทศนา ให้พุทธศาสนิกชนได้สดับ และน้อมเกล้า ฯ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทุกวันธรรมสวนะหรือวันพระตลอดทั้งปี
สําหรับจังหวัดตาก ได้รับมอบคัมภีร์เทศน์เฉลิมพระเกียรติฯ จํานวน 279 คัมภีร์ เพื่อนําไปถวายแด่คณะสงฆ์ในพื้นที่ได้นําไปเทศน์เฉลิมพระเกียรติฯ ในวันที่ 12 สิงหาคม 2565 และวันพระตลอดปี 2565 ประกอบด้วย วัดราษฎร์ ประเภทมหานิกาย จํานวน 262 แห่ง ประเภทธรรมยุต จํานวน 16 แห่ง และวัดพระอารามหลวง 1 แห่ง นายสมชัย กิจเจริญรุ่งโรจน์ กล่าวทิ้งท้าย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57719 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.วันดีฯ นำทีมที่ปรึกษา-อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย หารือเตรียมการจัดพิธีมอบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” และการประชุมคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย | วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565
ดร.วันดีฯ นําทีมที่ปรึกษา-อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย หารือเตรียมการจัดพิธีมอบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” และการประชุมคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย
ดร.วันดีฯ นําทีมที่ปรึกษา-อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย หารือเตรียมการจัดพิธีมอบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” และการประชุมคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 65 เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมดํารงธรรม อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อเตรียมการจัดพิธีมอบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” และเตรียมการจัดประชุมคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ครั้งที่ 1/2565 โดยมี นางรชตภร โตดิลกเวชช์ ที่ปรึกษาสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ นางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร นางอุษณี จงจิระ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศศิธร จันทมฤก อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางสุภา สุนันทพงศ์ศักดิ์ กรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านมหาดไทย การประปาส่วนภูมิภาค นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ พร้อมด้วยคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมประชุม
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เปิดเผยว่า ในคราวเสด็จกลุ่มทอผ้าไหมกลุ่มแรกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่บ้านนาหว้า อําเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2565 นับเป็นพระมหากรุณาที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้พระราชทานแบบลายผ้า “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ผ่านนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และตน เพื่อมอบให้กับช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค นําไปใช้ทอผ้าผลิตผ้าตามอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นทั่วประเทศ ซึ่ง “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” พระองค์ทรงได้รับแรงบันดาลพระทัยจาก “ผ้าขิดลายสมเด็จ” ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้พระราชทานแก่ราษฎร อันเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาผ้าไทยให้มีความร่วมสมัย โดยในลวดลายผ้าแต่ละลวดลายแฝงไปด้วยความหมายที่มีความลึกซึ้ง ได้แก่ “ลาย S ที่ท้องผ้า” หมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงเป็นต้นแบบในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไทย โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้ทรงออกแบบให้เว้นช่องว่างไว้ เพื่อให้ราษฎรได้ร่วมถักทอลวดลายของตนเองลงในช่องว่าง เป็นการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากแต่ละท้องถิ่น ต่อมา “ลายบิดที่เป็นกรอบล้อมรอบตัว S” หมายถึง ความจงรักภักดีที่ปวงชนชาวไทยมีต่อพระบรมราชจักรีวงศ์ “ลายเชิงผ้ารูปหัวใจ” หมายถึง ความรักของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย “ลาย S ประกอบกับลายขิดที่เชิงผ้า” หมายถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงปรารถนาให้คนไทยอยู่ดีมีสุข “ลายต้นสนที่เชิงผ้า” หมายถึง พระดําริในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ของโครงการศิลปาชีพฯ ซึ่งลายต้นสนนี้ เป็นลวดลายพื้นถิ่นที่ถักทออยู่บนผืนผ้าของบ้านนาหว้า จังหวัดนครพนม ที่เป็นจุดกําเนิดโครงการศิลปาชีพฯ และ “ลายหางนกยูงที่เชิงผ้า” หมายถึง ความตั้งพระทัยมั่นของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชกรณียกิจของสมเด็จย่าของพระองค์ ในการฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยให้ดํารงคงอยู่คู่แผ่นดิน
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า เพื่อเป็นการสนองพระมหากรุณาที่พระองค์ท่านได้พระราชทานแบบลายผ้า “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ให้กับช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค ทั่วประเทศ สมาคมแม่บ้านมหาดไทยจึงได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กําหนดจัดพิธีมอบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดทั่วประเทศ ในช่วงเช้าของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 เพื่อเชิญแบบลายผ้า “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” มอบให้กับช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค นําไปใช้ทอผ้า ผลิตผ้าตามอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นทั่วประเทศ และจะมีการเสวนาขับเคลื่อนโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ประจําปี 2565 โดยผู้ทรงคุณวุฒิด้านผ้าไทย จากนั้นในช่วงบ่าย จะเป็นการประชุมคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ครั้งที่ 1/2565 และระดมสมอง (Workshop) แนวทางการขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการใช้ผ้าไทยเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2565 ครอบคลุมการส่งเสริมการใช้ผ้าไทย ทั้งมิติการผลิต การตลาด และการจําหน่าย ให้กับช่างทอผ้าในทุกพื้นที่ ทุกท้องถิ่นของประเทศไทย โดยในการจัดงานฯ ได้กําหนดให้ทุกคนต้องผ่านการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK ก่อนเข้าพื้นที่บริเวณงาน และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และการจัดสถานที่แบบเว้นระยะห่างทางสังคม
“ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผ้ามากที่สุดในโลก เช่น ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าทอ ผ้าตีนจก ผ้าหม้อห้อม ฯลฯ ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นเอกลักษณ์ประจําชาติ เป็นศิลปะที่มีความวิจิตรสวยงาม เป็นวิถีชีวิตของคนไทย และนับเป็นความโชคดีของพวกเราพสกนิกรชาวไทยทุกคน ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงส่งเสริมให้พี่น้องคนไทยรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มศิลปาชีพ โดยนําเอาภูมิปัญญาฝีไม้ลายมือที่บรรพบุรุษถ่ายทอด ผลิตเป็นงานหัตถศิลป์ หัตถกรรมมากมาย และมี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการส่งเสริมทักษะและต่อยอดแนวคิดในการพัฒนาลวดลายผ้าให้แก่สมาชิกกลุ่มทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค ทั่วประเทศ และทรงเน้นย้ําถึงการใช้สีธรรมชาติในการย้อมผ้าเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย นอกจากนี้ ยังทรงเป็นแบบอย่างให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบเสื้อผ้าไทยให้ทันสมัย สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกโอกาส อันเป็นการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาของคนไทย ก่อให้เกิดรายได้สู่ชุมชนเศรษฐกิจฐานราก เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนผู้ประกอบการผ้าไทยให้มีรายได้ไปจุนเจือครอบครัว เงินทองของพวกเราที่ซื้อผ้าไทย ตามกําลังตามความสามารถ ก็จะหมุนเวียนสร้างรายได้ให้กับพวกเราคนไทยด้วยกันอย่างยั่งยืน” ดร.วันดีฯ กล่าวเน้นย้ํา
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 สมาคมแม่บ้านมหาดไทย น้อมนําพระราชปณิธานในการขับเคลื่อนภารกิจของสมาคมแม่บ้านมหาดไทยผ่าน “โครงการส่งเสริมการใช้ผ้าไทย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565” ตลอดทั้งปี รวมทั้งขับเคลื่อนภารกิจ 5 ด้าน ได้แก่ 1) โครงการเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร น้อมนําแนวพระราชดําริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” โดยการปลูกผักสวนครัวในทุกครัวเรือน 2) โครงการสวมใส่ผ้าไทย น้อมนําแนวพระราชดําริ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตราชกัญญา “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ 3) ส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนได้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 อย่างทั่วถึง ตามเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ 4) โครงการ “ครอบครัวมหาดไทย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” โดยการจัดทําถังขยะเปียกลดโลกร้อนเพื่อการคัดแยกขยะแห้ง ขยะเปียกเพื่อให้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ 5) ส่งเสริมการสร้างสุขอนามัยให้แก่เด็กและแม่ เติบโตอย่างถูกต้องตามเกณฑ์มาตรฐานสุขลักษณะ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” พี่น้องประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสภาพเศรษฐกิจฐานราก เศรษฐกิจครัวเรือนที่มั่นคง ใช้ชีวิตมีความสุขอย่างยั่งยืน
ประชาสัมพันธ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดร.วันดีฯ นำทีมที่ปรึกษา-อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย หารือเตรียมการจัดพิธีมอบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” และการประชุมคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565
ดร.วันดีฯ นําทีมที่ปรึกษา-อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย หารือเตรียมการจัดพิธีมอบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” และการประชุมคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย
ดร.วันดีฯ นําทีมที่ปรึกษา-อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย หารือเตรียมการจัดพิธีมอบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” และการประชุมคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย
เมื่อวันที่ 7 ก.พ. 65 เวลา 13.00 น. ที่ห้องประชุมดํารงธรรม อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อเตรียมการจัดพิธีมอบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” และเตรียมการจัดประชุมคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ครั้งที่ 1/2565 โดยมี นางรชตภร โตดิลกเวชช์ ที่ปรึกษาสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางกุลทรัพย์ ชื่นโกสุม นางจิณณารัชช์ สัมพันธรัตน์ นางกุสุมาล พงษ์สิทธิถาวร นางอุษณี จงจิระ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ศศิธร จันทมฤก อุปนายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย นางสุภา สุนันทพงศ์ศักดิ์ กรรมการบริหารสมาคมแม่บ้านมหาดไทย การประปาส่วนภูมิภาค นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ รักษาการในตําแหน่งที่ปรึกษาด้านการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ พร้อมด้วยคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ร่วมประชุม
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เปิดเผยว่า ในคราวเสด็จกลุ่มทอผ้าไหมกลุ่มแรกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ที่บ้านนาหว้า อําเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2565 นับเป็นพระมหากรุณาที่ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้พระราชทานแบบลายผ้า “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ผ่านนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย และตน เพื่อมอบให้กับช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค นําไปใช้ทอผ้าผลิตผ้าตามอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นทั่วประเทศ ซึ่ง “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” พระองค์ทรงได้รับแรงบันดาลพระทัยจาก “ผ้าขิดลายสมเด็จ” ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้พระราชทานแก่ราษฎร อันเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาผ้าไทยให้มีความร่วมสมัย โดยในลวดลายผ้าแต่ละลวดลายแฝงไปด้วยความหมายที่มีความลึกซึ้ง ได้แก่ “ลาย S ที่ท้องผ้า” หมายถึง สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงเป็นต้นแบบในการอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไทย โดยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้ทรงออกแบบให้เว้นช่องว่างไว้ เพื่อให้ราษฎรได้ร่วมถักทอลวดลายของตนเองลงในช่องว่าง เป็นการสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากแต่ละท้องถิ่น ต่อมา “ลายบิดที่เป็นกรอบล้อมรอบตัว S” หมายถึง ความจงรักภักดีที่ปวงชนชาวไทยมีต่อพระบรมราชจักรีวงศ์ “ลายเชิงผ้ารูปหัวใจ” หมายถึง ความรักของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย “ลาย S ประกอบกับลายขิดที่เชิงผ้า” หมายถึง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงปรารถนาให้คนไทยอยู่ดีมีสุข “ลายต้นสนที่เชิงผ้า” หมายถึง พระดําริในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการฟื้นฟูประวัติศาสตร์ของโครงการศิลปาชีพฯ ซึ่งลายต้นสนนี้ เป็นลวดลายพื้นถิ่นที่ถักทออยู่บนผืนผ้าของบ้านนาหว้า จังหวัดนครพนม ที่เป็นจุดกําเนิดโครงการศิลปาชีพฯ และ “ลายหางนกยูงที่เชิงผ้า” หมายถึง ความตั้งพระทัยมั่นของ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ในการสืบสาน รักษาและต่อยอด พระราชกรณียกิจของสมเด็จย่าของพระองค์ ในการฟื้นคืนภูมิปัญญาผ้าไทยให้ดํารงคงอยู่คู่แผ่นดิน
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า เพื่อเป็นการสนองพระมหากรุณาที่พระองค์ท่านได้พระราชทานแบบลายผ้า “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ให้กับช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค ทั่วประเทศ สมาคมแม่บ้านมหาดไทยจึงได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กําหนดจัดพิธีมอบลายผ้าพระราชทาน “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” ให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดและประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดทั่วประเทศ ในช่วงเช้าของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2565 เพื่อเชิญแบบลายผ้า “ผ้าขิดลายนารีรัตนราชกัญญา” มอบให้กับช่างทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค นําไปใช้ทอผ้า ผลิตผ้าตามอัตลักษณ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นทั่วประเทศ และจะมีการเสวนาขับเคลื่อนโครงการผ้าไทยใส่ให้สนุก ประจําปี 2565 โดยผู้ทรงคุณวุฒิด้านผ้าไทย จากนั้นในช่วงบ่าย จะเป็นการประชุมคณะกรรมการสมาคมแม่บ้านมหาดไทย ครั้งที่ 1/2565 และระดมสมอง (Workshop) แนวทางการขับเคลื่อนโครงการส่งเสริมการใช้ผ้าไทยเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2565 ครอบคลุมการส่งเสริมการใช้ผ้าไทย ทั้งมิติการผลิต การตลาด และการจําหน่าย ให้กับช่างทอผ้าในทุกพื้นที่ ทุกท้องถิ่นของประเทศไทย โดยในการจัดงานฯ ได้กําหนดให้ทุกคนต้องผ่านการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจ ATK ก่อนเข้าพื้นที่บริเวณงาน และปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย การล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และการจัดสถานที่แบบเว้นระยะห่างทางสังคม
“ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีผ้ามากที่สุดในโลก เช่น ผ้าไหม ผ้าฝ้าย ผ้าทอ ผ้าตีนจก ผ้าหม้อห้อม ฯลฯ ซึ่งถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นเอกลักษณ์ประจําชาติ เป็นศิลปะที่มีความวิจิตรสวยงาม เป็นวิถีชีวิตของคนไทย และนับเป็นความโชคดีของพวกเราพสกนิกรชาวไทยทุกคน ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงส่งเสริมให้พี่น้องคนไทยรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มศิลปาชีพ โดยนําเอาภูมิปัญญาฝีไม้ลายมือที่บรรพบุรุษถ่ายทอด ผลิตเป็นงานหัตถศิลป์ หัตถกรรมมากมาย และมี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด พระราชปณิธานในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการส่งเสริมทักษะและต่อยอดแนวคิดในการพัฒนาลวดลายผ้าให้แก่สมาชิกกลุ่มทอผ้าทุกกลุ่ม ทุกเทคนิค ทั่วประเทศ และทรงเน้นย้ําถึงการใช้สีธรรมชาติในการย้อมผ้าเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย นอกจากนี้ ยังทรงเป็นแบบอย่างให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบเสื้อผ้าไทยให้ทันสมัย สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกโอกาส อันเป็นการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาของคนไทย ก่อให้เกิดรายได้สู่ชุมชนเศรษฐกิจฐานราก เกิดการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนผู้ประกอบการผ้าไทยให้มีรายได้ไปจุนเจือครอบครัว เงินทองของพวกเราที่ซื้อผ้าไทย ตามกําลังตามความสามารถ ก็จะหมุนเวียนสร้างรายได้ให้กับพวกเราคนไทยด้วยกันอย่างยั่งยืน” ดร.วันดีฯ กล่าวเน้นย้ํา
ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 สมาคมแม่บ้านมหาดไทย น้อมนําพระราชปณิธานในการขับเคลื่อนภารกิจของสมาคมแม่บ้านมหาดไทยผ่าน “โครงการส่งเสริมการใช้ผ้าไทย เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565” ตลอดทั้งปี รวมทั้งขับเคลื่อนภารกิจ 5 ด้าน ได้แก่ 1) โครงการเสริมสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร น้อมนําแนวพระราชดําริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “บ้านนี้มีรัก ปลูกผักกินเอง” โดยการปลูกผักสวนครัวในทุกครัวเรือน 2) โครงการสวมใส่ผ้าไทย น้อมนําแนวพระราชดําริ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตราชกัญญา “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ 3) ส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนได้เข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด – 19 อย่างทั่วถึง ตามเป้าหมายไม่น้อยกว่าร้อยละ 70 เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ 4) โครงการ “ครอบครัวมหาดไทย ใส่ใจสิ่งแวดล้อม” โดยการจัดทําถังขยะเปียกลดโลกร้อนเพื่อการคัดแยกขยะแห้ง ขยะเปียกเพื่อให้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ 5) ส่งเสริมการสร้างสุขอนามัยให้แก่เด็กและแม่ เติบโตอย่างถูกต้องตามเกณฑ์มาตรฐานสุขลักษณะ เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการ “บําบัดทุกข์ บํารุงสุข” พี่น้องประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีสภาพเศรษฐกิจฐานราก เศรษฐกิจครัวเรือนที่มั่นคง ใช้ชีวิตมีความสุขอย่างยั่งยืน
ประชาสัมพันธ์สมาคมแม่บ้านมหาดไทย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51341 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศ พบหลายองค์กรไม่ยอมรับแต่งกายตามเพศสภาพ | วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม 2564
รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศ พบหลายองค์กรไม่ยอมรับแต่งกายตามเพศสภาพ
รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศ พบหลายองค์กรไม่ยอมรับแต่งกายตามเพศสภาพ
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ (สทพ.) ซึ่งมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการและการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ประจําปีงบประมาณ 2565 จํานวน 7.3 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยสี่แผนงาน คือ 1) การขจัดการเลือกปฏิบัติและความไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ 2) การสร้างความตระหนักเรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศในสังคม 3) การสนับสนุนโครงการเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศการบริหาร 4) กองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ
นายจุรินทร์ ยังได้ติดตามเรื่องการดําเนินการวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติ/ความไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ซึ่งขณะนี้ ระเบียบใหม่ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการยื่นคําร้อง การพิจารณาและการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ได้มีผลบังคับใช้แล้ว โดยคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ต้องดําเนินการวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนให้แล้วเสร็จภายใน 96 วัน นับแต่วันรับเรื่อง จากเดิมที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา ทําให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาที่ล่าช้าจึงเกิดความไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา มีเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการ วลพ. จํานวน 61 เรื่อง โดยมาก เกี่ยวข้องกับ การจํากัดสิทธิการแต่งกายและไว้ทรงผมตามเพศสภาพ ในการเข้าเรียน การสอบวัดผล การฝึกปฏิบัติงาน การเข้าอบรมวิชาชีพ การแต่งกายชุดครุยวิทยฐานะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร
นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า คณะกรรมการฯส่งเสริมให้สังคมปรับหลักคิด มีความเข้าใจ และตระหนักในความสําคัญของความเท่าเทียมระหว่างเพศ เพราะจะเป็นการสร้างความเท่าเทียมในสังคมให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง และได้ดําเนินการผลักดันนโยบายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ส่งเสริมให้องค์กรมีนโยบาย กฎระเบียบ และกลไกต่างๆที่เอื้อต่อการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศ พบหลายองค์กรไม่ยอมรับแต่งกายตามเพศสภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม 2564
รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศ พบหลายองค์กรไม่ยอมรับแต่งกายตามเพศสภาพ
รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมระหว่างเพศ พบหลายองค์กรไม่ยอมรับแต่งกายตามเพศสภาพ
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ (สทพ.) ซึ่งมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ที่ประชุมมีมติเห็นชอบแผนปฏิบัติการและการใช้จ่ายงบประมาณของกองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ ประจําปีงบประมาณ 2565 จํานวน 7.3 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยสี่แผนงาน คือ 1) การขจัดการเลือกปฏิบัติและความไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ 2) การสร้างความตระหนักเรื่องความเท่าเทียมระหว่างเพศในสังคม 3) การสนับสนุนโครงการเพื่อส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศการบริหาร 4) กองทุนส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ
นายจุรินทร์ ยังได้ติดตามเรื่องการดําเนินการวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนที่เกี่ยวกับการเลือกปฏิบัติ/ความไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ซึ่งขณะนี้ ระเบียบใหม่ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการยื่นคําร้อง การพิจารณาและการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ได้มีผลบังคับใช้แล้ว โดยคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ (วลพ.) ต้องดําเนินการวินิจฉัยเรื่องร้องเรียนให้แล้วเสร็จภายใน 96 วัน นับแต่วันรับเรื่อง จากเดิมที่ไม่มีกําหนดระยะเวลา ทําให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาที่ล่าช้าจึงเกิดความไม่เป็นธรรม ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา มีเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการ วลพ. จํานวน 61 เรื่อง โดยมาก เกี่ยวข้องกับ การจํากัดสิทธิการแต่งกายและไว้ทรงผมตามเพศสภาพ ในการเข้าเรียน การสอบวัดผล การฝึกปฏิบัติงาน การเข้าอบรมวิชาชีพ การแต่งกายชุดครุยวิทยฐานะเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร
นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า คณะกรรมการฯส่งเสริมให้สังคมปรับหลักคิด มีความเข้าใจ และตระหนักในความสําคัญของความเท่าเทียมระหว่างเพศ เพราะจะเป็นการสร้างความเท่าเทียมในสังคมให้เกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง และได้ดําเนินการผลักดันนโยบายให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร ส่งเสริมให้องค์กรมีนโยบาย กฎระเบียบ และกลไกต่างๆที่เอื้อต่อการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45184 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ ต่อเนื่อง นำทีมเยี่ยมชมการดำเนินงานสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ – ลำพูน | วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565
ปลัดเกษตรฯ ต่อเนื่อง นําทีมเยี่ยมชมการดําเนินงานสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ – ลําพูน
ปลัดเกษตรฯ ลุยตรวจงาน 17 จังหวัดภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง นําทีมเยี่ยมชมการดําเนินงานสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ – ลําพูน
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ - ลําพูน จํากัด ตําบลน้ําแพร่ อําเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการกระทรวงเกษตรฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ตลอดจนเกษตรกรให้การต้อนรับ ว่า สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ - ลําพูน จํากัด เป็นตัวอย่างของการรวมกลุ่มของเกษตรกร เพิ่มความเข้มแข็งในธุรกิจภาคเกษตร สร้างมูลค่าให้กับสินค้าไข่ไก่ สอดคล้องกับนโยบายและโครงการต่างๆ ของกระทรวงเกษตรฯ อาทิ เกษตรแปลงใหญ่ (แปลงใหญ่ไข่ไก่) โดยสหกรณ์ดังกล่าวฯ ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร มีสาขาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดลําพูน รวม 4 สาขา
สําหรับการสนับสนุนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์นั้น ได้มีการเข้าไปดูแลและให้คําแนะนําเกี่ยวกับการดําเนินงานของสหกรณ์ ตลอดจนสนับสนุนอุปกรณ์การตลาดต่างๆ อาทิ โกดังเก็บสินค้า ชุดเครื่องโม่และเครื่องผสมอาหาร ห้องเย็น ไซโลเก็บข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เครื่องล้างถาดไข่อัตโนมัติ เครื่องคัดไข่ไก่ เครื่องทําเต้าหู้ไข่ไก่ นอกจากนี้ ยังได้มีความร่วมมือในการทําศูนย์การเรียนรู้และส่งเสริมอาชีพเลี้ยงไข่ไก่ในรูปแบบฟาร์มกลาง โดยจะมีการสร้างโรงเรือนและติดตั้งกรงไก่แบบอัตโนมัติ เพื่อเลี้ยงไก่รุ่นและไก่ไข่ ติดตั้งระบบไบโอแก๊ส เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าไว้ใช้ภายในโรงเรือน มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแหล่งเรียนรู้การเลี้ยงไข่ไก่ให้กับคนที่สนใจในอาชีพเลี้ยงไก่ไข่ และเพื่อทดแทนปริมาณไข่ไก่ของสมาชิกรายย่อยที่เลิกเลี้ยง รวมถึงเพื่อใช้อุปกรณ์การตลาดที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างคุ้มค่า โดยปัจจุบันศูนย์การเรียนรู้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จ พร้อมดําเนินงานในปี 2566
ทั้งนี้ สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ - ลําพูน จํากัด เกิดจากการรวมตัวของเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะราคาไข่ไก่ตกต่ํา และต้นทุนวัตถุดิบและอาหารสัตว์มีราคาที่สูงขึ้น จึงได้รวมตัวจัดตั้งสหกรณ์ขึ้น เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งในอาชีพ ปัจจุบันมีสมาชิกสามัญทั้งหมด 66 ราย สมาชิกสมทบ จํานวน 110 ราย มีทุนดําเนินงานอยู่ที่ 114,634,800 บาท อาชีพหลักของสมาชิกคือการเลี้ยงไก่ไข่ โดยมีไก่ไข่ประมาณ 800,000 ตัว สําหรับ ธุรกิจของสหกรณ์ มีทั้งหมด 5 ธุรกิจ ประกอบด้วย 1) ธุรกิจรวบรวมผลผลิตไข่ไก่ 2) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจําหน่าย 3) ธุรกิจแปรรูป (อาหารสัตว์และผลผลิต) 4) ธุรกิจสินเชื่อ 5) ธุรกิจบริการรับฝากเงิน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดเกษตรฯ ต่อเนื่อง นำทีมเยี่ยมชมการดำเนินงานสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ – ลำพูน
วันพุธที่ 10 สิงหาคม 2565
ปลัดเกษตรฯ ต่อเนื่อง นําทีมเยี่ยมชมการดําเนินงานสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ – ลําพูน
ปลัดเกษตรฯ ลุยตรวจงาน 17 จังหวัดภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง นําทีมเยี่ยมชมการดําเนินงานสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ – ลําพูน
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดําเนินงานสหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ - ลําพูน จํากัด ตําบลน้ําแพร่ อําเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีหัวหน้าส่วนราชการกระทรวงเกษตรฯ 17 จังหวัดภาคเหนือ ตลอดจนเกษตรกรให้การต้อนรับ ว่า สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ - ลําพูน จํากัด เป็นตัวอย่างของการรวมกลุ่มของเกษตรกร เพิ่มความเข้มแข็งในธุรกิจภาคเกษตร สร้างมูลค่าให้กับสินค้าไข่ไก่ สอดคล้องกับนโยบายและโครงการต่างๆ ของกระทรวงเกษตรฯ อาทิ เกษตรแปลงใหญ่ (แปลงใหญ่ไข่ไก่) โดยสหกรณ์ดังกล่าวฯ ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตร มีสาขาอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดลําพูน รวม 4 สาขา
สําหรับการสนับสนุนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์นั้น ได้มีการเข้าไปดูแลและให้คําแนะนําเกี่ยวกับการดําเนินงานของสหกรณ์ ตลอดจนสนับสนุนอุปกรณ์การตลาดต่างๆ อาทิ โกดังเก็บสินค้า ชุดเครื่องโม่และเครื่องผสมอาหาร ห้องเย็น ไซโลเก็บข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เครื่องล้างถาดไข่อัตโนมัติ เครื่องคัดไข่ไก่ เครื่องทําเต้าหู้ไข่ไก่ นอกจากนี้ ยังได้มีความร่วมมือในการทําศูนย์การเรียนรู้และส่งเสริมอาชีพเลี้ยงไข่ไก่ในรูปแบบฟาร์มกลาง โดยจะมีการสร้างโรงเรือนและติดตั้งกรงไก่แบบอัตโนมัติ เพื่อเลี้ยงไก่รุ่นและไก่ไข่ ติดตั้งระบบไบโอแก๊ส เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าไว้ใช้ภายในโรงเรือน มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นแหล่งเรียนรู้การเลี้ยงไข่ไก่ให้กับคนที่สนใจในอาชีพเลี้ยงไก่ไข่ และเพื่อทดแทนปริมาณไข่ไก่ของสมาชิกรายย่อยที่เลิกเลี้ยง รวมถึงเพื่อใช้อุปกรณ์การตลาดที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างคุ้มค่า โดยปัจจุบันศูนย์การเรียนรู้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จ พร้อมดําเนินงานในปี 2566
ทั้งนี้ สหกรณ์ผู้เลี้ยงไก่ไข่เชียงใหม่ - ลําพูน จํากัด เกิดจากการรวมตัวของเกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากภาวะราคาไข่ไก่ตกต่ํา และต้นทุนวัตถุดิบและอาหารสัตว์มีราคาที่สูงขึ้น จึงได้รวมตัวจัดตั้งสหกรณ์ขึ้น เพื่อเพิ่มความเข้มแข็งในอาชีพ ปัจจุบันมีสมาชิกสามัญทั้งหมด 66 ราย สมาชิกสมทบ จํานวน 110 ราย มีทุนดําเนินงานอยู่ที่ 114,634,800 บาท อาชีพหลักของสมาชิกคือการเลี้ยงไก่ไข่ โดยมีไก่ไข่ประมาณ 800,000 ตัว สําหรับ ธุรกิจของสหกรณ์ มีทั้งหมด 5 ธุรกิจ ประกอบด้วย 1) ธุรกิจรวบรวมผลผลิตไข่ไก่ 2) ธุรกิจจัดหาสินค้ามาจําหน่าย 3) ธุรกิจแปรรูป (อาหารสัตว์และผลผลิต) 4) ธุรกิจสินเชื่อ 5) ธุรกิจบริการรับฝากเงิน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57862 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ บุญชอบ มอบแนวทางการปฏิบัติงานสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน | วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564
ปลัดฯ บุญชอบ มอบแนวทางการปฏิบัติงานสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน
ปลัดกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการปฏิบัติงานสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน เน้นย้ําการบูรณาการการทํางานเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการปฏิบัติงานสํานักงานปลัดกระทรวง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อรับฟังการนําเสนอภารกิจในภาพรวมของกระทรวงแรงงาน การนําเสนองานสําคัญของสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงานที่มีการดําเนินการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การนําเสนองานสนับสนุนและการพัฒนาองค์กรจากผู้อํานวยการที่รับผิดชอบในแต่ละเรื่อง รวมถึงมอบแนวทางการปฏิบัติงานให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ประจํากระทรวงแรงงาน โดยมีนางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารระดับสูง และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
นายบุญชอบ กล่าวว่า สําหรับภารกิจต่าง ๆ ของกระทรวงแรงงานนั้น บางภารกิจอาจจะทําให้รู้สึกว่ากําลังทํางานเกินขอบข่ายในหน้าที่ของตนเอง เช่น การช่วยเหลือกลุ่มคนพิการ ผู้ประกอบการ SMEs การจัดหาวัคซีนมาฉีดให้ประชาชน เป็นต้น แต่ขอให้เข้าใจว่าเราคือข้าราชการ จึงอยากให้ทุกคนทําความเข้าใจในมิติใหม่ว่า การที่เราสามารถทําให้ประชาชนทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับประโยชน์จากภาครัฐคือหน้าที่ของพวกเราทุกคน ซึ่งเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ที่ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงาน ได้มอบเอาไว้ และความสําเร็จในภารกิจต่าง ๆ ก็ต้องขอขอบคุณและเป็นกําลังใจให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ร่วมกันทุ่มเทการทํางานมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นฟันเฟืองที่ก่อให้เกิดความสําเร็จและมีประสิทธิภาพ
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้พวกเราเน้นการทํางานในเชิงรุก และเน้นประสิทธิภาพของการทํางานควบคู่ไปกับความสําเร็จ ซึ่งที่ผ่านมาผมขอชื่นชมว่าพวกเรามีระบบการทํางานที่ทําได้ดีอยู่แล้วจึงขอให้รักษามาตรฐานนี้เอาไว้และพัฒนาให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผนึกกําลังของ 5 เสือแรงงานให้เข้มแข็ง เพื่อช่วยเหลือกันทํางานให้แก่พี่น้องประชาชนต่อไป
-------------------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ บุญชอบ มอบแนวทางการปฏิบัติงานสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564
ปลัดฯ บุญชอบ มอบแนวทางการปฏิบัติงานสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน
ปลัดกระทรวงแรงงาน ตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการปฏิบัติงานสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงาน เน้นย้ําการบูรณาการการทํางานเชิงรุกอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อประโยชน์ต่อประชาชนสูงสุด
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมตรวจเยี่ยมและมอบแนวทางการปฏิบัติงานสํานักงานปลัดกระทรวง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อรับฟังการนําเสนอภารกิจในภาพรวมของกระทรวงแรงงาน การนําเสนองานสําคัญของสํานักงานปลัดกระทรวงแรงงานที่มีการดําเนินการทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การนําเสนองานสนับสนุนและการพัฒนาองค์กรจากผู้อํานวยการที่รับผิดชอบในแต่ละเรื่อง รวมถึงมอบแนวทางการปฏิบัติงานให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ประจํากระทรวงแรงงาน โดยมีนางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน ผู้บริหารระดับสูง และผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมประสงค์ รณะนันทน์ ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน
นายบุญชอบ กล่าวว่า สําหรับภารกิจต่าง ๆ ของกระทรวงแรงงานนั้น บางภารกิจอาจจะทําให้รู้สึกว่ากําลังทํางานเกินขอบข่ายในหน้าที่ของตนเอง เช่น การช่วยเหลือกลุ่มคนพิการ ผู้ประกอบการ SMEs การจัดหาวัคซีนมาฉีดให้ประชาชน เป็นต้น แต่ขอให้เข้าใจว่าเราคือข้าราชการ จึงอยากให้ทุกคนทําความเข้าใจในมิติใหม่ว่า การที่เราสามารถทําให้ประชาชนทุกคนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ได้รับประโยชน์จากภาครัฐคือหน้าที่ของพวกเราทุกคน ซึ่งเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ที่ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่ากระทรวงแรงงาน ได้มอบเอาไว้ และความสําเร็จในภารกิจต่าง ๆ ก็ต้องขอขอบคุณและเป็นกําลังใจให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ได้ร่วมกันทุ่มเทการทํางานมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นฟันเฟืองที่ก่อให้เกิดความสําเร็จและมีประสิทธิภาพ
ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอให้พวกเราเน้นการทํางานในเชิงรุก และเน้นประสิทธิภาพของการทํางานควบคู่ไปกับความสําเร็จ ซึ่งที่ผ่านมาผมขอชื่นชมว่าพวกเรามีระบบการทํางานที่ทําได้ดีอยู่แล้วจึงขอให้รักษามาตรฐานนี้เอาไว้และพัฒนาให้ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการผนึกกําลังของ 5 เสือแรงงานให้เข้มแข็ง เพื่อช่วยเหลือกันทํางานให้แก่พี่น้องประชาชนต่อไป
-------------------------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48089 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ หารือความร่วมมือ USABC หนุนเกษตรกรเข้มแข็ง ปรับตัวรับวิกฤตโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ หารือความร่วมมือ USABC หนุนเกษตรกรเข้มแข็ง ปรับตัวรับวิกฤตโควิด-19
กระทรวงเกษตรฯ หารือความร่วมมือ USABC หนุนเกษตรกรเข้มแข็ง ปรับตัวรับวิกฤตโควิด-19 และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามนโยบาย 3’s
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือร่วมกับ นายไมเคิล มิคาลัค (Amb. Michael W. Michalak) รองประธานกรรมการอาวุโสและกรรมการผู้จัดการประจําภูมิภาคของ USABC (Senior Vice President and Regional Managing Director, USABC) เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 64 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเกษตร และความร่วมมือในการสนับสนุนโครงการต่างๆ โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กรมการข้าว กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร สํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ตลอดจนผู้แทนจาก 8 บริษัท หน่วยงานยูเอส แดรี่ เอ็กซ์ปอร์ต เคาน์ซิล (U.S. Dairy Export Council: USDEC) และผู้แทน USABC เข้าร่วม ผ่านระบบ Zoom ณ ห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างหนักและค่อยๆ เริ่มฟื้นตัวขึ้น ภาคเกษตรของไทยได้รับผลกระทบเช่นกัน และต้องมีการฟื้นฟูเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป โดย GDP เกษตร ในไตรมาส 3 ปีนี้ (ก.ค. - ก.ย. 64) ขยายตัว 6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาขาที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น คือ พืช ปศุสัตว์ บริการทางการเกษตร และป่าไม้ ผลผลิตพืชที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสําปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ํามัน ทุเรียน มังคุด ลําไย เนื่องจากสภาพอากาศและน้ําเอื้ออํานวย กลุ่มสินค้าปศุสัตว์มีปริมาณการผลิตไก่เนื้อ สุกร ไข่ไก่ น้ํานมดิบเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด ส่วนบริการทางการเกษตรเพิ่มขึ้นตามพื้นที่เพาะปลูก และพื้นที่เก็บเกี่ยวในพืชสําคัญที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่สาขาประมง หดตัวร้อยละ 3 เนื่องจากผลผลิตประมงลดลง โดยเฉพาะกุ้งแวนาไมที่ลดลงประมาณ 8% เพราะมีการปรับลดพื้นที่การเลี้ยงและลูกพันธุ์ช่วงโควิด-19 ระบาด อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ยังคงเน้นย้ําเดินหน้าขับเคลื่อนงานเพื่อช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรเร่งด่วน ทั้งการบริหารจัดการน้ํา การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม สร้างโอกาสให้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงเทคโนโลยี สร้างมูลค่าสินค้าเกษตร เพิ่มช่องทางตลาดผ่านนโยบายตลาดนําการผลิต และขับเคลื่อนภาคเกษตรด้วย BCG Economy Model เป็นต้น
ทั้งนี้ นายนราพัฒน์ได้รับฟังรายงานข้อมูลจากแต่ละบริษัทซึ่งมีส่วนร่วมในการจัดทําโครงการ กิจกรรม และการดําเนินงานต่างๆ ด้านการเกษตร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคเกษตรและอาหารของไทย มีความเข้มแข็ง สามารถปรับตัวรองรับผลกระทบจากโควิด-19 และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนด้านการวิจัยพัฒนา การสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับสินค้าเกษตรไทยชนิดใหม่ๆ ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ยินดีให้ความร่วมมือในโครงการต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ 3’S (Safety – Security – Sustainability) เพื่อตอบโจทย์ความมุ่งมั่นในการยกระดับ Global Food Security Index ของไทยในปีต่อๆ ไปให้สูงขึ้น ได้แก่ ด้าน Safety ยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร ข้าว ประมง ปศุสัตว์ ยกระดับการผลิตสู่มาตรฐานความปลอดภัยตลอดห่วงโซ่การผลิต ส่งเสริมการรับรองมาตรฐานเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ และระบบการตรวจสอบย้อนกลับ ด้าน Security ควบคุมและป้องกันโรคระบาดในพืชและสัตว์ ผ่านการส่งเสริมการอารักขาพืชเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร พัฒนาศักยภาพการปศุสัตว์ และปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรสัตว์น้ําจืดและทะเล พัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําด้วยระบบหมุนเวียน และด้าน Sustainability เน้นระบบการทําเกษตรที่ยั่งยืน ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในสินค้าพืช ประมง ปศุสัตว์ ข้าว และหม่อนไหม กระจายและพัฒนาแหล่งน้ําอย่างทั่วถึง และป้องกันบรรเทาปัญหาน้ําท่วม ภัยแล้ง
“นายกรัฐมนตรีฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้สนับสนุนการเป็น Partnership ร่วมกับประเทศต่างๆ ในเรื่องที่มีความสนใจร่วมกัน ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ยินดีร่วมมือกับภาคธุรกิจต่างชาติ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกร เชื่อมโยงตลาด ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมเกษตร ตามนโยบาย 3’S รวมถึงความร่วมมือเพื่อปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตร เพื่อระบบอาหารและเกษตรที่ยั่งยืน” นายนราพัฒน์ กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ หารือความร่วมมือ USABC หนุนเกษตรกรเข้มแข็ง ปรับตัวรับวิกฤตโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 2 ธันวาคม 2564
กระทรวงเกษตรฯ หารือความร่วมมือ USABC หนุนเกษตรกรเข้มแข็ง ปรับตัวรับวิกฤตโควิด-19
กระทรวงเกษตรฯ หารือความร่วมมือ USABC หนุนเกษตรกรเข้มแข็ง ปรับตัวรับวิกฤตโควิด-19 และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตามนโยบาย 3’s
นายนราพัฒน์ แก้วทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือร่วมกับ นายไมเคิล มิคาลัค (Amb. Michael W. Michalak) รองประธานกรรมการอาวุโสและกรรมการผู้จัดการประจําภูมิภาคของ USABC (Senior Vice President and Regional Managing Director, USABC) เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 64 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเกษตร และความร่วมมือในการสนับสนุนโครงการต่างๆ โดยมีหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กรมการข้าว กรมประมง กรมปศุสัตว์ กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมการเกษตร สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร สํานักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ตลอดจนผู้แทนจาก 8 บริษัท หน่วยงานยูเอส แดรี่ เอ็กซ์ปอร์ต เคาน์ซิล (U.S. Dairy Export Council: USDEC) และผู้แทน USABC เข้าร่วม ผ่านระบบ Zoom ณ ห้องประชุม 123 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจโลกได้รับผลกระทบอย่างหนักและค่อยๆ เริ่มฟื้นตัวขึ้น ภาคเกษตรของไทยได้รับผลกระทบเช่นกัน และต้องมีการฟื้นฟูเพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไป โดย GDP เกษตร ในไตรมาส 3 ปีนี้ (ก.ค. - ก.ย. 64) ขยายตัว 6.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาขาที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น คือ พืช ปศุสัตว์ บริการทางการเกษตร และป่าไม้ ผลผลิตพืชที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสําปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ํามัน ทุเรียน มังคุด ลําไย เนื่องจากสภาพอากาศและน้ําเอื้ออํานวย กลุ่มสินค้าปศุสัตว์มีปริมาณการผลิตไก่เนื้อ สุกร ไข่ไก่ น้ํานมดิบเพิ่มขึ้นตามความต้องการของตลาด ส่วนบริการทางการเกษตรเพิ่มขึ้นตามพื้นที่เพาะปลูก และพื้นที่เก็บเกี่ยวในพืชสําคัญที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่สาขาประมง หดตัวร้อยละ 3 เนื่องจากผลผลิตประมงลดลง โดยเฉพาะกุ้งแวนาไมที่ลดลงประมาณ 8% เพราะมีการปรับลดพื้นที่การเลี้ยงและลูกพันธุ์ช่วงโควิด-19 ระบาด อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ ยังคงเน้นย้ําเดินหน้าขับเคลื่อนงานเพื่อช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรเร่งด่วน ทั้งการบริหารจัดการน้ํา การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรม สร้างโอกาสให้เกษตรกรรายย่อยเข้าถึงเทคโนโลยี สร้างมูลค่าสินค้าเกษตร เพิ่มช่องทางตลาดผ่านนโยบายตลาดนําการผลิต และขับเคลื่อนภาคเกษตรด้วย BCG Economy Model เป็นต้น
ทั้งนี้ นายนราพัฒน์ได้รับฟังรายงานข้อมูลจากแต่ละบริษัทซึ่งมีส่วนร่วมในการจัดทําโครงการ กิจกรรม และการดําเนินงานต่างๆ ด้านการเกษตร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนให้เกษตรกรและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาคเกษตรและอาหารของไทย มีความเข้มแข็ง สามารถปรับตัวรองรับผลกระทบจากโควิด-19 และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ผ่านการลงทุนด้านการวิจัยพัฒนา การสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับสินค้าเกษตรไทยชนิดใหม่ๆ ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบายและยุทธศาสตร์ของประเทศไทย ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ยินดีให้ความร่วมมือในโครงการต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายหลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือ 3’S (Safety – Security – Sustainability) เพื่อตอบโจทย์ความมุ่งมั่นในการยกระดับ Global Food Security Index ของไทยในปีต่อๆ ไปให้สูงขึ้น ได้แก่ ด้าน Safety ยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตร ข้าว ประมง ปศุสัตว์ ยกระดับการผลิตสู่มาตรฐานความปลอดภัยตลอดห่วงโซ่การผลิต ส่งเสริมการรับรองมาตรฐานเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ และระบบการตรวจสอบย้อนกลับ ด้าน Security ควบคุมและป้องกันโรคระบาดในพืชและสัตว์ ผ่านการส่งเสริมการอารักขาพืชเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร พัฒนาศักยภาพการปศุสัตว์ และปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งทรัพยากรสัตว์น้ําจืดและทะเล พัฒนาเทคโนโลยีการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําด้วยระบบหมุนเวียน และด้าน Sustainability เน้นระบบการทําเกษตรที่ยั่งยืน ส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในสินค้าพืช ประมง ปศุสัตว์ ข้าว และหม่อนไหม กระจายและพัฒนาแหล่งน้ําอย่างทั่วถึง และป้องกันบรรเทาปัญหาน้ําท่วม ภัยแล้ง
“นายกรัฐมนตรีฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ได้สนับสนุนการเป็น Partnership ร่วมกับประเทศต่างๆ ในเรื่องที่มีความสนใจร่วมกัน ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ ยินดีร่วมมือกับภาคธุรกิจต่างชาติ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกร เชื่อมโยงตลาด ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีนวัตกรรมเกษตร ตามนโยบาย 3’S รวมถึงความร่วมมือเพื่อปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภาคเกษตร เพื่อระบบอาหารและเกษตรที่ยั่งยืน” นายนราพัฒน์ กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48988 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แจงแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทยฯ อยู่ในเกณฑ์ที่เริ่มดีขึ้น ยืนยันการบินไทยยังเป็นสายการบินแห่งชาติของไทยตลอดไป | วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564
นายกฯ แจงแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทยฯ อยู่ในเกณฑ์ที่เริ่มดีขึ้น ยืนยันการบินไทยยังเป็นสายการบินแห่งชาติของไทยตลอดไป
นายกฯ แจงแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทยฯ อยู่ในเกณฑ์ที่เริ่มดีขึ้น ยืนยันการบินไทยยังเป็นสายการบินแห่งชาติของไทยตลอดไป
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการรับฟังการแถลงผลงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภารกิจในช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้หารือร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องการพํานักระยะยาว หรือ Long term Resident ในประเทศไทย ของผู้ที่จะต้องการเดินทางเข้ามาประเทศไทยหรือลงทุนในประเทศหลังรัฐบาลเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งต้องมีการพิจารณาอย่างรอบด้านรวมถึงการที่จะมีเม็ดเงินที่จะเข้ามาในประเทศด้วยนอกจากนี้ ยังได้รับฟังความก้าวหน้าเกี่ยวกับการบริหารแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ที่เริ่มดีขึ้น เนื่องจากมีการปรับลดค่าใช้จ่ายรายเดือนลงควบคู่กับการปรับลดคนให้สอดคล้องกับหน้าที่และความจําเป็น ส่งผลให้ขณะนี้มีเงินหมุนเวียนพอสมควร โดยนายกรัฐมนตรียังยืนยันการบินไทยยังเป็นสายการบินแห่งชาติของไทยตลอดไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ แจงแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทยฯ อยู่ในเกณฑ์ที่เริ่มดีขึ้น ยืนยันการบินไทยยังเป็นสายการบินแห่งชาติของไทยตลอดไป
วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน 2564
นายกฯ แจงแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทยฯ อยู่ในเกณฑ์ที่เริ่มดีขึ้น ยืนยันการบินไทยยังเป็นสายการบินแห่งชาติของไทยตลอดไป
นายกฯ แจงแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทยฯ อยู่ในเกณฑ์ที่เริ่มดีขึ้น ยืนยันการบินไทยยังเป็นสายการบินแห่งชาติของไทยตลอดไป
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการรับฟังการแถลงผลงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภารกิจในช่วงเช้าที่ผ่านมา ได้หารือร่วมกันระหว่างรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่องการพํานักระยะยาว หรือ Long term Resident ในประเทศไทย ของผู้ที่จะต้องการเดินทางเข้ามาประเทศไทยหรือลงทุนในประเทศหลังรัฐบาลเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ซึ่งต้องมีการพิจารณาอย่างรอบด้านรวมถึงการที่จะมีเม็ดเงินที่จะเข้ามาในประเทศด้วยนอกจากนี้ ยังได้รับฟังความก้าวหน้าเกี่ยวกับการบริหารแผนฟื้นฟูบริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งทุกอย่างอยู่ในเกณฑ์ที่เริ่มดีขึ้น เนื่องจากมีการปรับลดค่าใช้จ่ายรายเดือนลงควบคู่กับการปรับลดคนให้สอดคล้องกับหน้าที่และความจําเป็น ส่งผลให้ขณะนี้มีเงินหมุนเวียนพอสมควร โดยนายกรัฐมนตรียังยืนยันการบินไทยยังเป็นสายการบินแห่งชาติของไทยตลอดไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47957 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับ ศธ.ติดตามมาตรการเยียวยานักเรียน เงินต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมอย่างเด็ดขาด | วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม 2564
นายกฯ กําชับ ศธ.ติดตามมาตรการเยียวยานักเรียน เงินต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมอย่างเด็ดขาด
นายกฯ กําชับ ศธ.ติดตามมาตรการเยียวยานักเรียน เงินต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมอย่างเด็ดขาด
วันที่ 28 ส.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เตรียมจ่ายเงินให้แก่ผู้ปกครอง 2,000 บาทต่อนักเรียน 1 คน ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับนักเรียนในระบบการศึกษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองหลายช่องทางว่าโรงเรียนบางแห่ง โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนแจ้งกับผู้ปกครองว่า จะหักเงินเยียวยาดังกล่าวกับผู้ปกครองที่ค้างค่าเทอมสําหรับภาคเรียนที่ 1 ซึ่งจะทําให้ผู้ปกครองไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาล
นายกรัฐมนตรี จึงกําชับกระทรวงศึกษาธิการให้ติดตาม ตรวจสอบระบบการจ่ายเงินอย่างใกล้ชิด โดยเงินทุกบาทต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆอย่างเด็ดขาด เพราะถือว่าผิดวัตถุประสงค์ของการช่วยเหลือเยียวยา โดยโรงเรียนมีหน้าที่จ่ายเงินให้กับผู้ปกครองเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เก็บเงินดังกล่าวไว้แต่อย่างใด โดยเบื้องต้น กระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเพื่อช่วยเหลือผู้ปกครอง เป็นช่องทางให้ผู้ปกครองแจ้งเรื่องมาที่กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดําเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สําหรับกระบวนการจ่ายเงินเยียวยาผู้ปกครอง จะเริ่มขึ้นในเร็วๆนี้ เมื่อสํานักงบประมาณตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จะส่งเรื่องไปยังกระทรวงการคลัง ก่อนที่กระทรวงการคลัง จะส่งต่อให้กรมบัญชีกลาง เพื่อโอนเงินเยียวยาทั้งหมดมาให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยกระทรวงศึกษาธิการ จะใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน ในการโอนเงินไปยังสถานศึกษาในระบบ เพื่อจ่ายเงินให้กับผู้ปกครองทั้งการผ่านบัญชีธนาคารและการจ่ายเป็นเงินสดในกรณีที่ไม่สามารถโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารได้
“นายกรัฐมนตรี มั่นใจในกระบวนการอนุมัติงบประมาณดังกล่าว ว่ามีความรอบคอบรัดกุม โดยผ่านความเห็นชอบจากทั้งสภาพัฒน์และกระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนจ่ายเงินขอให้ดําเนินการด้วยความโปร่งใส โดยกําชับให้กระทรวงศึกษาธิการติดตามตรวจสอบการจ่ายเงินทุกขั้นตอน ห้ามปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตอย่างเด็ดขาด ให้เงินทุกบาททุกสตางค์ถึงมือผู้ปกครองอย่างแท้จริง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
------------------ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับ ศธ.ติดตามมาตรการเยียวยานักเรียน เงินต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมอย่างเด็ดขาด
วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม 2564
นายกฯ กําชับ ศธ.ติดตามมาตรการเยียวยานักเรียน เงินต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมอย่างเด็ดขาด
นายกฯ กําชับ ศธ.ติดตามมาตรการเยียวยานักเรียน เงินต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมอย่างเด็ดขาด
วันที่ 28 ส.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ เตรียมจ่ายเงินให้แก่ผู้ปกครอง 2,000 บาทต่อนักเรียน 1 คน ตามมาตรการให้ความช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาในช่วงการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สําหรับนักเรียนในระบบการศึกษาไทย ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2564 นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ปกครองหลายช่องทางว่าโรงเรียนบางแห่ง โดยเฉพาะโรงเรียนเอกชนแจ้งกับผู้ปกครองว่า จะหักเงินเยียวยาดังกล่าวกับผู้ปกครองที่ค้างค่าเทอมสําหรับภาคเรียนที่ 1 ซึ่งจะทําให้ผู้ปกครองไม่ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาล
นายกรัฐมนตรี จึงกําชับกระทรวงศึกษาธิการให้ติดตาม ตรวจสอบระบบการจ่ายเงินอย่างใกล้ชิด โดยเงินทุกบาทต้องถึงมือผู้ปกครอง ห้ามโรงเรียนหักเก็บค่าเทอมหรือค่าใช้จ่ายอื่นๆอย่างเด็ดขาด เพราะถือว่าผิดวัตถุประสงค์ของการช่วยเหลือเยียวยา โดยโรงเรียนมีหน้าที่จ่ายเงินให้กับผู้ปกครองเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์เก็บเงินดังกล่าวไว้แต่อย่างใด โดยเบื้องต้น กระทรวงศึกษาธิการได้ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนเพื่อช่วยเหลือผู้ปกครอง เป็นช่องทางให้ผู้ปกครองแจ้งเรื่องมาที่กระทรวงศึกษาธิการ ให้ดําเนินการแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สําหรับกระบวนการจ่ายเงินเยียวยาผู้ปกครอง จะเริ่มขึ้นในเร็วๆนี้ เมื่อสํานักงบประมาณตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อยแล้ว จะส่งเรื่องไปยังกระทรวงการคลัง ก่อนที่กระทรวงการคลัง จะส่งต่อให้กรมบัญชีกลาง เพื่อโอนเงินเยียวยาทั้งหมดมาให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยกระทรวงศึกษาธิการ จะใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน ในการโอนเงินไปยังสถานศึกษาในระบบ เพื่อจ่ายเงินให้กับผู้ปกครองทั้งการผ่านบัญชีธนาคารและการจ่ายเป็นเงินสดในกรณีที่ไม่สามารถโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารได้
“นายกรัฐมนตรี มั่นใจในกระบวนการอนุมัติงบประมาณดังกล่าว ว่ามีความรอบคอบรัดกุม โดยผ่านความเห็นชอบจากทั้งสภาพัฒน์และกระทรวงการคลัง อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนจ่ายเงินขอให้ดําเนินการด้วยความโปร่งใส โดยกําชับให้กระทรวงศึกษาธิการติดตามตรวจสอบการจ่ายเงินทุกขั้นตอน ห้ามปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตอย่างเด็ดขาด ให้เงินทุกบาททุกสตางค์ถึงมือผู้ปกครองอย่างแท้จริง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว
------------------ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45256 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Ministry of Agriculture and Cooperatives to advance agricultural cooperation with Saudi Arabia in various areas | วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565
Ministry of Agriculture and Cooperatives to advance agricultural cooperation with Saudi Arabia in various areas
Ministry of Agriculture and Cooperatives to advance agricultural cooperation with Saudi Arabia in various areas
June 8, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha was pleased with the Rice Department’s plan to promote agro-product cooperation with Saudi Arabia, following the earlier visit of Ministry of Agriculture and Cooperatives’ delegation to the country to explore agricultural cooperation expansion.
The Prime Minister made an order for concerned agencies to continue mobilizing cooperation, and build upon outcomes of the official visit of the Thai delegation, comprising representatives from 28 government agencies and 57 representatives from 39 private companies, to Saudi Arabia in May. Ministry of Agriculture and Cooperatives strives to advance cooperation with the country in agriculture, irrigation, livestock and fishery, Halal products, agro industry, and agricultural technology.
In addition, executive committee of the Rice Department, in its 6/2022 meeting, deliberated the opportunity of Thai rice amidst the current global food security situation. Coupling with Saudi Arabia’s high demand for the import of 30 million tons of rice, this would be a good opportunity to mobilize the Prime Minister’s policy to promote cooperation of the two countries. Concerned agencies have started exploring the feasibility of basmati rice cultivation to further expand Thai rice export to Saudi Arabia, and leverage bargaining power of Thai rice in the global market.
According to the Government Spokesperson, the Prime Minister thanked all sides for their integrated effort and mobilization of the policy for national interest. He was also pleased to be reported that 1.76 million tons of Thai rice has been exported in the first quarter of 2022 (January-March 2022), an increase of 48.5% and the highest in 5 years. Thailand expects to export more than 7 million tons of rice this year. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-Ministry of Agriculture and Cooperatives to advance agricultural cooperation with Saudi Arabia in various areas
วันพุธที่ 8 มิถุนายน 2565
Ministry of Agriculture and Cooperatives to advance agricultural cooperation with Saudi Arabia in various areas
Ministry of Agriculture and Cooperatives to advance agricultural cooperation with Saudi Arabia in various areas
June 8, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha was pleased with the Rice Department’s plan to promote agro-product cooperation with Saudi Arabia, following the earlier visit of Ministry of Agriculture and Cooperatives’ delegation to the country to explore agricultural cooperation expansion.
The Prime Minister made an order for concerned agencies to continue mobilizing cooperation, and build upon outcomes of the official visit of the Thai delegation, comprising representatives from 28 government agencies and 57 representatives from 39 private companies, to Saudi Arabia in May. Ministry of Agriculture and Cooperatives strives to advance cooperation with the country in agriculture, irrigation, livestock and fishery, Halal products, agro industry, and agricultural technology.
In addition, executive committee of the Rice Department, in its 6/2022 meeting, deliberated the opportunity of Thai rice amidst the current global food security situation. Coupling with Saudi Arabia’s high demand for the import of 30 million tons of rice, this would be a good opportunity to mobilize the Prime Minister’s policy to promote cooperation of the two countries. Concerned agencies have started exploring the feasibility of basmati rice cultivation to further expand Thai rice export to Saudi Arabia, and leverage bargaining power of Thai rice in the global market.
According to the Government Spokesperson, the Prime Minister thanked all sides for their integrated effort and mobilization of the policy for national interest. He was also pleased to be reported that 1.76 million tons of Thai rice has been exported in the first quarter of 2022 (January-March 2022), an increase of 48.5% and the highest in 5 years. Thailand expects to export more than 7 million tons of rice this year. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55513 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เปิดเผยยอดกลุ่มเปราะบางกว่า 66,000 คน ทั่วประเทศ ได้รับความช่วยเหลือแล้ว โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ เดือดร้อนจากโควิด-19 | วันพุธที่ 1 กันยายน 2564
พม. เปิดเผยยอดกลุ่มเปราะบางกว่า 66,000 คน ทั่วประเทศ ได้รับความช่วยเหลือแล้ว โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ เดือดร้อนจากโควิด-19
พม. เปิดเผยยอดกลุ่มเปราะบางกว่า 66,000 คน ทั่วประเทศ ได้รับความช่วยเหลือแล้ว โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ เดือดร้อนจากโควิด-19
วันที่ 31 ส.ค. 64ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เปิดเผยว่า ด้วยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบริหารภาวะวิกฤติโควิด-19 กระทรวง พม. เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านข้อมูลและการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนเร่ร่อน ไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้ป่วยติดเตียง ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลําบากจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมทั้งการสื่อสารสังคม การรายงาน และติดตามผลการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางจนสิ้นสุดกระบวนการ โดยทํางานเชื่อมโยงกับศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ที่ทํางานตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบริหารภาวะวิกฤติโควิด- 19 ระดับจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อประสานการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่อย่างครอบคลุม
นางพัชรีกล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. 64 จนถึงวันที่ 30 ส.ค. 64 กระทรวง พม. ได้ดําเนินการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 และประสบปัญหาทางสังคมทั่วประเทศ รวมจํานวน 66,048 ราย โดยทํางานประสานความร่วมมือกับ กระทรวงสาธาณสุข สํานักอนามัยกรุงเทพมหานคร ภาคเอกชน มูลนิธิต่างๆตลอดทั้งสื่อมวลชน แบ่งเป็นในพื้นที่ กทม. 8,670 ราย และส่วนภูมิภาค 57,378 ราย โดยแบ่งเป็น 1. เด็กและเยาวชน 11,489 ราย 2. คนพิการ 14,842 ราย 3. ผู้สูงอายุ 9,697 ราย 4. ผู้ป่วยติดเตียงและป่วยเรื้อรัง 1,153 ราย 5. คนเร่ร่อนและคนไร้ที่พึ่ง 2,355 ราย 6. สตรีตั้งครรภ์ 126 ราย และ 7. ผู้ประสบปัญหาทางสังคมอื่นๆ 26,386 ราย สําหรับการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตามภารกิจ กระทรวง พม. มีการดําเนินการที่สําคัญ ดังนี้ 1. กระบวนการสังคมสงเคราะห์ ได้แก่ 1.1) การให้คําปรึกษา 20,064 ราย 1.2) ประสานส่งกลับภูมิลําเนา 475 ราย 1.3) ประสานส่งต่อ 3,374 ราย 1.4) การมอบเครื่องอุปโภคและบริโภค 215,205 ชุด และ 1.6) การช่วยเหลือเป็นเงิน 62,562,278 บาท และ 2. ประสานกระบวนการสาธารณสุข ได้แก่ 2.1) การตรวจเชื้อ 2,792 ราย 2.2) การรักษา 2,238 ราย 2.3) ฉีดวัคซีน 17,022 ราย และ 2.4) จัดหาที่พักชั่วคราวและศูนย์พักคอย 1,430 ราย
นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า หากประชาชนกลุ่มเปราะบางที่กําลังประสบปัญหาทางสังคมและได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 1) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง 2) สายด่วนคนพิการ โทร. 1479บริการ 24 ชั่วโมง 3) สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ และ 4) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เปิดเผยยอดกลุ่มเปราะบางกว่า 66,000 คน ทั่วประเทศ ได้รับความช่วยเหลือแล้ว โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ เดือดร้อนจากโควิด-19
วันพุธที่ 1 กันยายน 2564
พม. เปิดเผยยอดกลุ่มเปราะบางกว่า 66,000 คน ทั่วประเทศ ได้รับความช่วยเหลือแล้ว โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ เดือดร้อนจากโควิด-19
พม. เปิดเผยยอดกลุ่มเปราะบางกว่า 66,000 คน ทั่วประเทศ ได้รับความช่วยเหลือแล้ว โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชน คนพิการ ผู้สูงอายุ เดือดร้อนจากโควิด-19
วันที่ 31 ส.ค. 64ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.)เปิดเผยว่า ด้วยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบริหารภาวะวิกฤติโควิด-19 กระทรวง พม. เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านข้อมูลและการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนเร่ร่อน ไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส รวมทั้งผู้ป่วยติดเตียง ที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนและความยากลําบากจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมทั้งการสื่อสารสังคม การรายงาน และติดตามผลการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางจนสิ้นสุดกระบวนการ โดยทํางานเชื่อมโยงกับศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 ที่ทํางานตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งได้มีการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบริหารภาวะวิกฤติโควิด- 19 ระดับจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อประสานการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่อย่างครอบคลุม
นางพัชรีกล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. 64 จนถึงวันที่ 30 ส.ค. 64 กระทรวง พม. ได้ดําเนินการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 และประสบปัญหาทางสังคมทั่วประเทศ รวมจํานวน 66,048 ราย โดยทํางานประสานความร่วมมือกับ กระทรวงสาธาณสุข สํานักอนามัยกรุงเทพมหานคร ภาคเอกชน มูลนิธิต่างๆตลอดทั้งสื่อมวลชน แบ่งเป็นในพื้นที่ กทม. 8,670 ราย และส่วนภูมิภาค 57,378 ราย โดยแบ่งเป็น 1. เด็กและเยาวชน 11,489 ราย 2. คนพิการ 14,842 ราย 3. ผู้สูงอายุ 9,697 ราย 4. ผู้ป่วยติดเตียงและป่วยเรื้อรัง 1,153 ราย 5. คนเร่ร่อนและคนไร้ที่พึ่ง 2,355 ราย 6. สตรีตั้งครรภ์ 126 ราย และ 7. ผู้ประสบปัญหาทางสังคมอื่นๆ 26,386 ราย สําหรับการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตามภารกิจ กระทรวง พม. มีการดําเนินการที่สําคัญ ดังนี้ 1. กระบวนการสังคมสงเคราะห์ ได้แก่ 1.1) การให้คําปรึกษา 20,064 ราย 1.2) ประสานส่งกลับภูมิลําเนา 475 ราย 1.3) ประสานส่งต่อ 3,374 ราย 1.4) การมอบเครื่องอุปโภคและบริโภค 215,205 ชุด และ 1.6) การช่วยเหลือเป็นเงิน 62,562,278 บาท และ 2. ประสานกระบวนการสาธารณสุข ได้แก่ 2.1) การตรวจเชื้อ 2,792 ราย 2.2) การรักษา 2,238 ราย 2.3) ฉีดวัคซีน 17,022 ราย และ 2.4) จัดหาที่พักชั่วคราวและศูนย์พักคอย 1,430 ราย
นางพัชรีกล่าวเพิ่มเติมว่า หากประชาชนกลุ่มเปราะบางที่กําลังประสบปัญหาทางสังคมและได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 1) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 บริการ 24 ชั่วโมง 2) สายด่วนคนพิการ โทร. 1479บริการ 24 ชั่วโมง 3) สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ และ 4) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45387 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงรายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2564 | วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม 2564
กรมทางหลวงรายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจําวันที่ 30 ตุลาคม 2564
พบทางหลวงที่ยังไม่สามารถเปิดการสัญจรเหลือเพียงทางหลวงหมายเลข 3412 ตอนบางบาล - ผักไห่ พร้อมเร่งระบายน้ํา ทําความสะอาด ซ่อมแซมผิวทางเพื่ออํานวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชน 24 ชั่วโมง
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีความเป็นห่วงใยต่อการเดินทางของประชาชนจึงขอให้เร่งทําความสะอาดและซ่อมแซมผิวจราจรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ที่น้ําลดลงเพื่อเปิดการสัญจรให้ผู้ใช้เส้นทาง พร้อมเร่งรัดให้ระบายน้ําในพื้นที่ที่ยังมีน้ําท่วมขังและจัดเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชนในการเดินทาง และกําชับให้เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่องเพราะตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาได้แจ้งว่ายังคงมีฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักบางแห่งในระยะนี้
สําหรับสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจําวันที่ 30 ตุลาคม 2564 พบทางหลวงถูกน้ําท่วม ดินสไลด์ 5 จังหวัด 9 สายทาง 18 แห่ง โดยทางหลวงในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม ซึ่งสามารถสัญจรได้โดยมอบให้เจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวกด้านการจราจร ทั้งนี้ทางหลวงที่ยังไม่สามารถเปิดการสัญจรได้ขณะนี้เหลือเพียงทางหลวงหมายเลข 3412 ตอนบางบาล - ผักไห่ ช่วง กม. ที่ 13+900 - 15+800 ระดับน้ําสูง 25 เซนติเมตร และช่วง กม. ที่ 17+400 - 23+900 ระดับน้ําสูง 20 เซนติเมตร โดยน้ําภายนอกผิวจราจรสูงประมาณ 68 เซนติเมตร เนื่องจากการผันน้ําเข้าทุ่งนาพื้นที่แก้มลิงเพื่อบรรเทาปัญหาน้ําท่วมริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ประกอบกับยังมีฝนตกอยู่ทําให้น้ําท่วมขัง จึงจําเป็นต้องปิดการจราจรเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางและแจ้งให้ใช้เส้นทางเลี่ยงทางหลวงชนบทหมายเลข 4047 บริเวณแยกวัดไผ่ล้อมและแยกวัดกอไผ่แทน พร้อมให้เจ้าหน้าที่ตั้งเครื่องสูบน้ํา ป้ายเตือน ปั้นคันดิน และอุปกรณ์อํานวยความสะดวกและปลอดภัยพร้อมให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางหลวงเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย พร้อมปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนําและคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สํานักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง โทร.1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางได้ที่ทวิตเตอร์กรมทางหลวง @prdoh1 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงรายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจำวันที่ 30 ตุลาคม 2564
วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม 2564
กรมทางหลวงรายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจําวันที่ 30 ตุลาคม 2564
พบทางหลวงที่ยังไม่สามารถเปิดการสัญจรเหลือเพียงทางหลวงหมายเลข 3412 ตอนบางบาล - ผักไห่ พร้อมเร่งระบายน้ํา ทําความสะอาด ซ่อมแซมผิวทางเพื่ออํานวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชน 24 ชั่วโมง
นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีความเป็นห่วงใยต่อการเดินทางของประชาชนจึงขอให้เร่งทําความสะอาดและซ่อมแซมผิวจราจรที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ที่น้ําลดลงเพื่อเปิดการสัญจรให้ผู้ใช้เส้นทาง พร้อมเร่งรัดให้ระบายน้ําในพื้นที่ที่ยังมีน้ําท่วมขังและจัดเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวกปลอดภัยให้กับประชาชนในการเดินทาง และกําชับให้เฝ้าระวังสถานการณ์อย่างต่อเนื่องเพราะตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาได้แจ้งว่ายังคงมีฝนฟ้าคะนองและฝนตกหนักบางแห่งในระยะนี้
สําหรับสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจําวันที่ 30 ตุลาคม 2564 พบทางหลวงถูกน้ําท่วม ดินสไลด์ 5 จังหวัด 9 สายทาง 18 แห่ง โดยทางหลวงในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี และนครปฐม ซึ่งสามารถสัญจรได้โดยมอบให้เจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวกด้านการจราจร ทั้งนี้ทางหลวงที่ยังไม่สามารถเปิดการสัญจรได้ขณะนี้เหลือเพียงทางหลวงหมายเลข 3412 ตอนบางบาล - ผักไห่ ช่วง กม. ที่ 13+900 - 15+800 ระดับน้ําสูง 25 เซนติเมตร และช่วง กม. ที่ 17+400 - 23+900 ระดับน้ําสูง 20 เซนติเมตร โดยน้ําภายนอกผิวจราจรสูงประมาณ 68 เซนติเมตร เนื่องจากการผันน้ําเข้าทุ่งนาพื้นที่แก้มลิงเพื่อบรรเทาปัญหาน้ําท่วมริมฝั่งแม่น้ําเจ้าพระยา ประกอบกับยังมีฝนตกอยู่ทําให้น้ําท่วมขัง จึงจําเป็นต้องปิดการจราจรเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้เส้นทางและแจ้งให้ใช้เส้นทางเลี่ยงทางหลวงชนบทหมายเลข 4047 บริเวณแยกวัดไผ่ล้อมและแยกวัดกอไผ่แทน พร้อมให้เจ้าหน้าที่ตั้งเครื่องสูบน้ํา ป้ายเตือน ปั้นคันดิน และอุปกรณ์อํานวยความสะดวกและปลอดภัยพร้อมให้บริการประชาชนตลอด 24 ชั่วโมง
ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางหลวงเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย พร้อมปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนําและคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สํานักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง โทร.1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางได้ที่ทวิตเตอร์กรมทางหลวง @prdoh1 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47626 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.คาดครึ่งปีหลัง 2565 "โควิด" แนวโน้มลดลง เตือนไข้หวัดใหญ่-ไข้เลือดออกอาจสูงขึ้น | วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565
สธ.คาดครึ่งปีหลัง 2565 "โควิด" แนวโน้มลดลง เตือนไข้หวัดใหญ่-ไข้เลือดออกอาจสูงขึ้น
กระทรวงสาธารณสุขแจงสถานการณ์โควิดพิจารณาจากจํานวนผู้ป่วยอาการหนัก ใส่เครื่องช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิต ยังอยู่ในระดับคงตัว ระบบสาธารณสุขรองรับได้ แม้ผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ย้ํายังต้องช่วยกันเข้มมาตรการป้องกันโรค เหตุ "โอมิครอน" แพร่ง่าย
กระทรวงสาธารณสุขแจงสถานการณ์โควิดพิจารณาจากจํานวนผู้ป่วยอาการหนัก ใส่เครื่องช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิต ยังอยู่ในระดับคงตัว ระบบสาธารณสุขรองรับได้ แม้ผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ย้ํายังต้องช่วยกันเข้มมาตรการป้องกันโรค เหตุ "โอมิครอน" แพร่ง่าย อัตราติดเชื้อในครัวเรือนสูง 40-50% ส่วนพยากรณ์โรคปี 2565 คาด "โควิด" ครึ่งปีหลังผู้ติดเชื้อลดลง หากไม่มีการกลายพันธุ์เพิ่ม เตือนไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก อุบัติเหตุจราจร และเด็กจมน้ํา มีแนวโน้มสูงขึ้น
วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อํานวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด 19 และการพยากรณ์โรคในปี 2565
นพ.โอภาสกล่าวว่า ขณะนี้โรคโควิด 19 มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นไปตามการคาดการณ์และสามารถควบคุมได้ ส่วนที่ผู้ติดเชื้อใกล้ 1 หมื่นรายขอว่าอย่ากังวลกับตัวเลขจนเกินไป ซึ่งการพิจารณาสถานการณ์สิ่งสําคัญคือ จํานวนผู้ติดเชื้ออาการหนัก ใส่เครื่องช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิต ซึ่งปัจจุบันลดลงมากจากช่วงที่ระบาดใหญ่ ขณะนี้ค่อนข้างคงตัว และระบบสาธารณสุขรองรับได้ ซึ่งต่างประเทศก็พิจารณาในแนวทางนี้เช่นกัน โดยอนาคตหากจะเป็นโรคประจําถิ่นและอยู่ร่วมกับโรคให้ได้ ก็จะพิจารณาจากรายงานผู้ป่วยที่มีอาการในโรงพยาบาลเหมือนโรคอื่นๆ ทั่วไป
นพ.โอภาสกล่าวว่า การติดเชื้อระยะนี้ส่วนใหญ่เป็นคลัสเตอร์เล็กๆ กระจายทั่วทุกจังหวัด เกิดจากงานเลี้ยงสังสรรค์ งานบุญ งานแต่งงาน งานศพ งานบวช ทําให้กลับไปติดที่บ้าน ซึ่งโอมิครอนเบื้องต้นมีอัตราติดเชื้อในครอบครัว 40-50% จากเดิมสายพันธุ์เดลตาที่มีอัตราการติดเชื้อในครอบครัว 10-20% จะเห็นว่าติดเชื้อค่อนข้างง่าย ไม่รุนแรงไปกว่าเดลตา ส่วนใหญ่อาการน้อย โดยเฉพาะคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งขณะนี้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นไปได้แล้ว 15 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เชื่อว่าจะทําให้ระบบสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตได้ ขอให้กลุ่มเสี่ยงอายุ 60 ปีขึ้นไป 7 โรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นตามกําหนด อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นใกล้ระดับหลักหมื่นรายต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ให้เพิ่มมากไปกว่านี้
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ไม่ใช่เพียงแค่โรคโควิด 19 เท่านั้น แต่ยังมีโรคและภัยสุขภาพอื่นๆ ที่ต้องระวังด้วย โดยสถานการณ์ในปี 2564 พบว่า โรคไข้มาลาเรีย โรคเท้าช้าง และโรคเรื้อน มีการป่วยลดลงมาก และไม่มีผู้เสียชีวิตเลย เป็นกลุ่มที่จะกําจัดโรคให้หมดไปจากประเทศไทย ส่วนโรคไข้เลือดและวัณโรค ถือว่าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ สําหรับโรคโควิด 19 พบผู้ติดเชื้อ 2,216,551 ราย เสียชีวิต 21,637 ราย สถานการณ์ถือว่ามีการระบาดที่รุนแรง ขณะที่โรคไข้หวัดใหญ่ อุบัติเหตุจราจร และเด็กจมน้ํา มีอุบัติการณ์ลดลง สําหรับการพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพในปี 2565 มี 5 เรื่องที่ต้องแจ้งเตือน ได้แก่ 1.โรคโควิด 19 หากไม่มีการกลายพันธุ์ที่มีนัยสําคัญคาดว่าครึ่งปีหลัง จํานวนผู้ติดเชื้อจะลดลง เนื่องจากคนไทยฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตามเป้าหมาย มีการฉีดเพิ่มเติมในเด็ก2.ไข้หวัดใหญ่ คาดว่าผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้น 2 เท่า คือ 22,817 ราย โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนและปลายฝนต้นหนาว เนื่องจากช่วงต้นปี 2565 การใส่หน้ากากอนามัยของคนไทยยังดี แต่ช่วงปลายปีหากสถานการณ์ดีขึ้น การใส่หน้ากากอนามัยลดลง อาจมีการระบาดของโรคเพิ่มขึ้นได้ 3.ไข้เลือดออก คาดว่าจะมีการระบาดเพิ่มขึ้นมีผู้ป่วยถึง 85,000 ราย เนื่องจากปกติไข้เลือดออกจะระบาดปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อน้อย ภูมิคุ้มกันจึงมีน้อยและมีกิจกรรมทางสังคมเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยจะสูงสุดช่วงมิถุนายน-สิงหาคม 2565 จึงต้องเริ่มรณรงค์โดยเฉพาะการเป็นไข้ต้องคิดถึงโรคไข้เลือดออกด้วย ไม่ควรซื้อยาแก้ปวดแอสไรินและกลุ่มเอ็นเสดรับประทาน เรพาะจะทําให้เลือดออกในทางเดินอาหารจนเสียชีวิตได้ ซึ่งล่าสุดพบรายงานการเสียชีวิตรายแรกของปีแล้ว 4.อุบัติเหตุทางถนน อาจสูง 17,000 - 20,000 ราย มีสัญญาณเพิ่มขึ้น จึงต้องรณรงค์บังคับใช้กฎหมาย ร่วมมือร่วมใจทําตามวินัยจราจร จะช่วยลดการเสียชีวิตได้ และ 5.เด็กจมน้ํา เนื่องจากโรงเรียนมีการเปิดเรียนแบบออนไซต์ มีกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น คาดว่ามีนาคม-เมษายนจะมีเด็กจมน้ําเสียชีวิตมากขึ้น จึงต้องแจ้งตือนพ่อแม่ให้ระวังมากขึ้น
ด้าน นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยรายงานหายป่วย 7,827 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 9,909 ราย แม้จะสูงขึ้นแต่ยังอยู่ในความคาดหมายและควบคุมได้ พบผู้เสียชีวิต 22 ราย จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ 516 ราย และใส่ท่อช่วยหายใจ 105 ราย ถือว่าค่อนข้างคงตัว ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 จากการเก็บข้อมูลผู้ติดเชื้อ9,267 ราย พบว่าเป็นไทย 96% ช่วงอายุที่ป่วยสูงสุดคือ 20-29 ปี ส่วนเด็กอายุต่ํากว่า 10 ปี พบ 10.3% ปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อยังเป็นการไปร่วมงานปาร์ตี้ สังสรรค์ รับประทานอาหารร่วมกันซึ่งต้องเ0ปิดหน้ากากอนามัย โดยพบว่าเป้นการติดจากการไปสถานที่เสี่ยงที่เป็นคลัสเตอร์ 48% เป็นกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง 47%
"เราสามารถรักษาสถานการณ์การระบาดให้อยู่ในระดับเส้นสีเขียวหรือการคาดการณ์ที่ดีที่สุดได้ แม้ช่วงนี้จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นก็ยังอยู่ในเส้นที่คาดกาณ์ไว้และยังมีมาตรการรองรับ แต่ยังต้องขอความร่วมมือช่วยกันรักษามาตรการVUCA คือ ฉีดวัคซีน ป้องกันตนเองตลอดเวลา COVID Free Setting และตรวจ ATK" นพ.เฉวตสรร กล่าว
**************************************4 กุมภาพันธ์ 2565 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.คาดครึ่งปีหลัง 2565 "โควิด" แนวโน้มลดลง เตือนไข้หวัดใหญ่-ไข้เลือดออกอาจสูงขึ้น
วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565
สธ.คาดครึ่งปีหลัง 2565 "โควิด" แนวโน้มลดลง เตือนไข้หวัดใหญ่-ไข้เลือดออกอาจสูงขึ้น
กระทรวงสาธารณสุขแจงสถานการณ์โควิดพิจารณาจากจํานวนผู้ป่วยอาการหนัก ใส่เครื่องช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิต ยังอยู่ในระดับคงตัว ระบบสาธารณสุขรองรับได้ แม้ผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ย้ํายังต้องช่วยกันเข้มมาตรการป้องกันโรค เหตุ "โอมิครอน" แพร่ง่าย
กระทรวงสาธารณสุขแจงสถานการณ์โควิดพิจารณาจากจํานวนผู้ป่วยอาการหนัก ใส่เครื่องช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิต ยังอยู่ในระดับคงตัว ระบบสาธารณสุขรองรับได้ แม้ผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มสูงขึ้น ย้ํายังต้องช่วยกันเข้มมาตรการป้องกันโรค เหตุ "โอมิครอน" แพร่ง่าย อัตราติดเชื้อในครัวเรือนสูง 40-50% ส่วนพยากรณ์โรคปี 2565 คาด "โควิด" ครึ่งปีหลังผู้ติดเชื้อลดลง หากไม่มีการกลายพันธุ์เพิ่ม เตือนไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก อุบัติเหตุจราจร และเด็กจมน้ํา มีแนวโน้มสูงขึ้น
วันนี้ (4 กุมภาพันธ์ 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย นพ.เฉวตสรร นามวาท ผู้อํานวยการกองควบคุมโรคและภัยสุขภาพในภาวะฉุกเฉิน กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด 19 และการพยากรณ์โรคในปี 2565
นพ.โอภาสกล่าวว่า ขณะนี้โรคโควิด 19 มีแนวโน้มผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นไปตามการคาดการณ์และสามารถควบคุมได้ ส่วนที่ผู้ติดเชื้อใกล้ 1 หมื่นรายขอว่าอย่ากังวลกับตัวเลขจนเกินไป ซึ่งการพิจารณาสถานการณ์สิ่งสําคัญคือ จํานวนผู้ติดเชื้ออาการหนัก ใส่เครื่องช่วยหายใจ และผู้เสียชีวิต ซึ่งปัจจุบันลดลงมากจากช่วงที่ระบาดใหญ่ ขณะนี้ค่อนข้างคงตัว และระบบสาธารณสุขรองรับได้ ซึ่งต่างประเทศก็พิจารณาในแนวทางนี้เช่นกัน โดยอนาคตหากจะเป็นโรคประจําถิ่นและอยู่ร่วมกับโรคให้ได้ ก็จะพิจารณาจากรายงานผู้ป่วยที่มีอาการในโรงพยาบาลเหมือนโรคอื่นๆ ทั่วไป
นพ.โอภาสกล่าวว่า การติดเชื้อระยะนี้ส่วนใหญ่เป็นคลัสเตอร์เล็กๆ กระจายทั่วทุกจังหวัด เกิดจากงานเลี้ยงสังสรรค์ งานบุญ งานแต่งงาน งานศพ งานบวช ทําให้กลับไปติดที่บ้าน ซึ่งโอมิครอนเบื้องต้นมีอัตราติดเชื้อในครอบครัว 40-50% จากเดิมสายพันธุ์เดลตาที่มีอัตราการติดเชื้อในครอบครัว 10-20% จะเห็นว่าติดเชื้อค่อนข้างง่าย ไม่รุนแรงไปกว่าเดลตา ส่วนใหญ่อาการน้อย โดยเฉพาะคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว ซึ่งขณะนี้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นไปได้แล้ว 15 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เชื่อว่าจะทําให้ระบบสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตได้ ขอให้กลุ่มเสี่ยงอายุ 60 ปีขึ้นไป 7 โรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ เข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นตามกําหนด อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นใกล้ระดับหลักหมื่นรายต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชนในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ให้เพิ่มมากไปกว่านี้
นพ.โอภาสกล่าวต่อว่า ไม่ใช่เพียงแค่โรคโควิด 19 เท่านั้น แต่ยังมีโรคและภัยสุขภาพอื่นๆ ที่ต้องระวังด้วย โดยสถานการณ์ในปี 2564 พบว่า โรคไข้มาลาเรีย โรคเท้าช้าง และโรคเรื้อน มีการป่วยลดลงมาก และไม่มีผู้เสียชีวิตเลย เป็นกลุ่มที่จะกําจัดโรคให้หมดไปจากประเทศไทย ส่วนโรคไข้เลือดและวัณโรค ถือว่าอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ สําหรับโรคโควิด 19 พบผู้ติดเชื้อ 2,216,551 ราย เสียชีวิต 21,637 ราย สถานการณ์ถือว่ามีการระบาดที่รุนแรง ขณะที่โรคไข้หวัดใหญ่ อุบัติเหตุจราจร และเด็กจมน้ํา มีอุบัติการณ์ลดลง สําหรับการพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพในปี 2565 มี 5 เรื่องที่ต้องแจ้งเตือน ได้แก่ 1.โรคโควิด 19 หากไม่มีการกลายพันธุ์ที่มีนัยสําคัญคาดว่าครึ่งปีหลัง จํานวนผู้ติดเชื้อจะลดลง เนื่องจากคนไทยฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นตามเป้าหมาย มีการฉีดเพิ่มเติมในเด็ก2.ไข้หวัดใหญ่ คาดว่าผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้น 2 เท่า คือ 22,817 ราย โดยเฉพาะช่วงฤดูฝนและปลายฝนต้นหนาว เนื่องจากช่วงต้นปี 2565 การใส่หน้ากากอนามัยของคนไทยยังดี แต่ช่วงปลายปีหากสถานการณ์ดีขึ้น การใส่หน้ากากอนามัยลดลง อาจมีการระบาดของโรคเพิ่มขึ้นได้ 3.ไข้เลือดออก คาดว่าจะมีการระบาดเพิ่มขึ้นมีผู้ป่วยถึง 85,000 ราย เนื่องจากปกติไข้เลือดออกจะระบาดปีเว้นปี หรือปีเว้น 2 ปี ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อน้อย ภูมิคุ้มกันจึงมีน้อยและมีกิจกรรมทางสังคมเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยจะสูงสุดช่วงมิถุนายน-สิงหาคม 2565 จึงต้องเริ่มรณรงค์โดยเฉพาะการเป็นไข้ต้องคิดถึงโรคไข้เลือดออกด้วย ไม่ควรซื้อยาแก้ปวดแอสไรินและกลุ่มเอ็นเสดรับประทาน เรพาะจะทําให้เลือดออกในทางเดินอาหารจนเสียชีวิตได้ ซึ่งล่าสุดพบรายงานการเสียชีวิตรายแรกของปีแล้ว 4.อุบัติเหตุทางถนน อาจสูง 17,000 - 20,000 ราย มีสัญญาณเพิ่มขึ้น จึงต้องรณรงค์บังคับใช้กฎหมาย ร่วมมือร่วมใจทําตามวินัยจราจร จะช่วยลดการเสียชีวิตได้ และ 5.เด็กจมน้ํา เนื่องจากโรงเรียนมีการเปิดเรียนแบบออนไซต์ มีกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น คาดว่ามีนาคม-เมษายนจะมีเด็กจมน้ําเสียชีวิตมากขึ้น จึงต้องแจ้งตือนพ่อแม่ให้ระวังมากขึ้น
ด้าน นพ.เฉวตสรร กล่าวว่า วันนี้ประเทศไทยรายงานหายป่วย 7,827 ราย ติดเชื้อรายใหม่ 9,909 ราย แม้จะสูงขึ้นแต่ยังอยู่ในความคาดหมายและควบคุมได้ พบผู้เสียชีวิต 22 ราย จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบ 516 ราย และใส่ท่อช่วยหายใจ 105 ราย ถือว่าค่อนข้างคงตัว ทั้งนี้ ผู้ติดเชื้อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 จากการเก็บข้อมูลผู้ติดเชื้อ9,267 ราย พบว่าเป็นไทย 96% ช่วงอายุที่ป่วยสูงสุดคือ 20-29 ปี ส่วนเด็กอายุต่ํากว่า 10 ปี พบ 10.3% ปัจจัยเสี่ยงการติดเชื้อยังเป็นการไปร่วมงานปาร์ตี้ สังสรรค์ รับประทานอาหารร่วมกันซึ่งต้องเ0ปิดหน้ากากอนามัย โดยพบว่าเป้นการติดจากการไปสถานที่เสี่ยงที่เป็นคลัสเตอร์ 48% เป็นกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง 47%
"เราสามารถรักษาสถานการณ์การระบาดให้อยู่ในระดับเส้นสีเขียวหรือการคาดการณ์ที่ดีที่สุดได้ แม้ช่วงนี้จะมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นก็ยังอยู่ในเส้นที่คาดกาณ์ไว้และยังมีมาตรการรองรับ แต่ยังต้องขอความร่วมมือช่วยกันรักษามาตรการVUCA คือ ฉีดวัคซีน ป้องกันตนเองตลอดเวลา COVID Free Setting และตรวจ ATK" นพ.เฉวตสรร กล่าว
**************************************4 กุมภาพันธ์ 2565 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51261 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งฟื้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติโควิด “เฉลิมชัย”เห็นชอบ”พิมพ์เขียววิสัยทัศน์ฮาลาล”(Thailand Halal Blueprint) | วันพุธที่ 23 มิถุนายน 2564
กระทรวงเกษตรฯ เร่งฟื้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติโควิด “เฉลิมชัย”เห็นชอบ”พิมพ์เขียววิสัยทัศน์ฮาลาล”(Thailand Halal Blueprint)
กระทรวงเกษตรฯ เร่งฟื้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติโควิด “เฉลิมชัย”เห็นชอบ”พิมพ์เขียววิสัยทัศน์ฮาลาล”(Thailand Halal Blueprint)
นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน“ฮาลาล” (ฮาลาลบอร์ด-Halal Board)แถลงวันนี้(23มิ.ย.)ที่กระทรวงเกษตรฯว่าดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ลงนามเห็นชอบ“วิสัยทัศน์นโยบายและแผนพัฒนาสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาล”แล้วโดยสั่งการให้กระทรวงเกษตรฯเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไปโดยเร็วนับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีวิสัยทัศน์นโยบายแผนและโครงการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบครบวงจรเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรอาหารฮาลาลของไทยสู่เป้าหมายฮับฮาลาลโลกโดยดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ย้ําว่า“ในยุคโควิดเราต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆสําหรับสินค้าเกษตรและอาหารเพื่อสร้างโอกาสในวิกฤติและตลาดฮาลาลคืออนาคต”ซึ่งในปี2563ที่ผ่านมาตลาดอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง1,533,280ล้านดอลลาร์สหรัฐ(48ล้านล้านบาท)โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ20%คิดเป็นมูลค่าเพิ่มปีละ560พันล้านดอลลาร์สหรัฐ(16.8ล้านล้านบาท)และประเมินว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น2,285,190ล้านดอลลาร์สหรัฐ(68ล้านล้านบาท)ภายใน5ปีข้างหน้าทั้งนี้ยังไม่รวมตลาดที่ไม่ใช่มุสลิม(non-muslim market)
“ด้วยศักยภาพของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกสินค้าอาหารอันดับ2ของเอเชียและอันดับ11
ของโลกในปี2562และภายใต้“5ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตรฯ”ของดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์บนความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์กระทรวงอุตสาหกรรมคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทยสถาบันฮาลาลมอ.สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหอการค้าศูนย์AIC (Agritech and Innovation Center)และทุกภาคีภาคส่วนจะเป็นฐานการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีพลังและพลวัตรเมื่อเป้าหมายชัดนโยบายชัดความร่วมมือแข็งแกร่ง”
ดร.วินัยดะห์ลันผู้อํานวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประธาน. คณะอนุกรรมการจัดทําวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน“ฮาลาล”ได้กล่าวว่าวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาลมีเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศผู้นําในการผลิตการแปรรูปการส่งออกและการพัฒนาสินค้าเกษตรและอาหารฮาลาลที่ได้รับความเชื่อมั่นในระดับสากลและเข้าสู่ตลาดโลกด้วยมาตรฐานฮาลาลไทยโดยใช้หลักศาสนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมภายในปี2570ผ่านการขับเคลื่อนการดําเนินงานที่กําหนดทั้งหมด5แนวทางได้แก่(1)การเพิ่มศักยภาพหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาล(2)การสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้าเกษตรและอาหารด้วยมาตรฐานฮาลาลไทยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม(3)การเสริมสร้างองค์ความรู้ในการผลิตและการบริหารจัดการตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงผู้บริโภค(4)การเพิ่มศักยภาพทางตลาดและโลจิสติกส์(5)การยกระดับความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศทั้งนี้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวฮาลาลไทย(Thailand Halal Blueprint)ฉบับแรกที่มีความสมบูรณ์ประกอบด้วยเป้าหมายวิสัยทัศน์แผนปฏิบัติการ(Action Plan)โครงการและงบประมาณเป็นแผนแม่บทสําหรับ
การพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก
นายอลงกรณ์ยังเปิดเผยด้วยว่าในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน
“ฮาลาล”ครั้งที่3/2564เมื่อวันที่21มิถุนายนที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตและการลงทุนเกี่ยวกับสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน“ฮาลาล”และคณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน“ฮาลาล”ในพื้นที่ชายแดนใต้ได้รายงานความก้าวหน้าของโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรฮาลาล3โครงการและตั้งเป้าหมายจะขยายอีก5โครงการในยะลาปัตตานีและนราธิวาสโดยความร่วมมือกับศอบต.อย่างใกล้ชิดเพื่อให้
3จังหวัดภาคใต้เป็นฮับของอุตสาหกรรมฮาลาลภายใต้แนวทางระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล(Halal Economic Corridor)
“ที่ประชุมยังให้ขยายการส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรอาหารฮาลาลในภาคเหนือภาคอีสาน
ภาคกลางและภาคตะวันออกโดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนที่เป็นเมืองท่าหน้าด่านเช่นอุดรธานีเชียงรายตากกาญจนบุรีเป็นต้นโดยประสานกับโครงการ1กลุ่มจังหวัด1นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและศูนย์AICเพื่อขยายฐานการผลิตตั้งแต่ต้นน้ํากลางน้ําปลายน้ําไปทุกภาคทั่วประเทศ
ฟื้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติโควิดสร้างงานสร้างอาชีพสร้างผลิตภัณฑ์สร้างตลาดใหม่ๆให้มากที่สุดเร็วที่สุดรวมทั้งเห็นควรขยายความร่วมมือกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ(สคช.)ในการพัฒนามาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพฮาลาลตลอดจนการขยายผลการเรียนการสอนหลักสูตรการบริหารจัดการฮาลาลและโครงการโรงเชือดแพะต้นแบบมาตรฐานฮาลาลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(มอ.-หาดใหญ่)สําหรับผู้ประกอบการและเกษตรกร
นอกจากนี้ที่ประชุมยังรับทราบรายงานผลการแก้ไขปัญหาเนื้อวัวปลอมได้ผลเป็นที่น่าพอใจและได้มีการติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคนับเป็นมาตรการป้องกันและปราบปรามประสบผลสําเร็จแต่ก็ต้องเฝ้าระวังต่อไป. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงเกษตรฯ เร่งฟื้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติโควิด “เฉลิมชัย”เห็นชอบ”พิมพ์เขียววิสัยทัศน์ฮาลาล”(Thailand Halal Blueprint)
วันพุธที่ 23 มิถุนายน 2564
กระทรวงเกษตรฯ เร่งฟื้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติโควิด “เฉลิมชัย”เห็นชอบ”พิมพ์เขียววิสัยทัศน์ฮาลาล”(Thailand Halal Blueprint)
กระทรวงเกษตรฯ เร่งฟื้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติโควิด “เฉลิมชัย”เห็นชอบ”พิมพ์เขียววิสัยทัศน์ฮาลาล”(Thailand Halal Blueprint)
นายอลงกรณ์พลบุตรที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน“ฮาลาล” (ฮาลาลบอร์ด-Halal Board)แถลงวันนี้(23มิ.ย.)ที่กระทรวงเกษตรฯว่าดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ลงนามเห็นชอบ“วิสัยทัศน์นโยบายและแผนพัฒนาสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาล”แล้วโดยสั่งการให้กระทรวงเกษตรฯเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบต่อไปโดยเร็วนับเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีวิสัยทัศน์นโยบายแผนและโครงการขับเคลื่อนอย่างเป็นระบบครบวงจรเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมเกษตรอาหารฮาลาลของไทยสู่เป้าหมายฮับฮาลาลโลกโดยดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ย้ําว่า“ในยุคโควิดเราต้องแสวงหาตลาดใหม่ๆสําหรับสินค้าเกษตรและอาหารเพื่อสร้างโอกาสในวิกฤติและตลาดฮาลาลคืออนาคต”ซึ่งในปี2563ที่ผ่านมาตลาดอาหารและเครื่องดื่มฮาลาลทั่วโลกมีมูลค่าสูงถึง1,533,280ล้านดอลลาร์สหรัฐ(48ล้านล้านบาท)โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ20%คิดเป็นมูลค่าเพิ่มปีละ560พันล้านดอลลาร์สหรัฐ(16.8ล้านล้านบาท)และประเมินว่ามูลค่าตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น2,285,190ล้านดอลลาร์สหรัฐ(68ล้านล้านบาท)ภายใน5ปีข้างหน้าทั้งนี้ยังไม่รวมตลาดที่ไม่ใช่มุสลิม(non-muslim market)
“ด้วยศักยภาพของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ส่งออกสินค้าอาหารอันดับ2ของเอเชียและอันดับ11
ของโลกในปี2562และภายใต้“5ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตรฯ”ของดร.เฉลิมชัยศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์บนความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์กระทรวงอุตสาหกรรมคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย
ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทยสถาบันฮาลาลมอ.สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยหอการค้าศูนย์AIC (Agritech and Innovation Center)และทุกภาคีภาคส่วนจะเป็นฐานการขับเคลื่อนสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างมีพลังและพลวัตรเมื่อเป้าหมายชัดนโยบายชัดความร่วมมือแข็งแกร่ง”
ดร.วินัยดะห์ลันผู้อํานวยการศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประธาน. คณะอนุกรรมการจัดทําวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน“ฮาลาล”ได้กล่าวว่าวิสัยทัศน์และนโยบายการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐานฮาลาลมีเป้าหมายให้ไทยเป็นประเทศผู้นําในการผลิตการแปรรูปการส่งออกและการพัฒนาสินค้าเกษตรและอาหารฮาลาลที่ได้รับความเชื่อมั่นในระดับสากลและเข้าสู่ตลาดโลกด้วยมาตรฐานฮาลาลไทยโดยใช้หลักศาสนาวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรมภายในปี2570ผ่านการขับเคลื่อนการดําเนินงานที่กําหนดทั้งหมด5แนวทางได้แก่(1)การเพิ่มศักยภาพหน่วยงานรับรองมาตรฐานฮาลาล(2)การสร้างความเชื่อมั่นให้กับสินค้าเกษตรและอาหารด้วยมาตรฐานฮาลาลไทยวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม(3)การเสริมสร้างองค์ความรู้ในการผลิตและการบริหารจัดการตั้งแต่ระดับฟาร์มจนถึงผู้บริโภค(4)การเพิ่มศักยภาพทางตลาดและโลจิสติกส์(5)การยกระดับความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศทั้งนี้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวฮาลาลไทย(Thailand Halal Blueprint)ฉบับแรกที่มีความสมบูรณ์ประกอบด้วยเป้าหมายวิสัยทัศน์แผนปฏิบัติการ(Action Plan)โครงการและงบประมาณเป็นแผนแม่บทสําหรับ
การพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของไทยให้มีศักยภาพในการแข่งขันระดับโลก
นายอลงกรณ์ยังเปิดเผยด้วยว่าในการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน
“ฮาลาล”ครั้งที่3/2564เมื่อวันที่21มิถุนายนที่ผ่านมาคณะอนุกรรมการส่งเสริมการผลิตและการลงทุนเกี่ยวกับสินค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน“ฮาลาล”และคณะอนุกรรมการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการค้าและผลิตผลการเกษตรมาตรฐาน“ฮาลาล”ในพื้นที่ชายแดนใต้ได้รายงานความก้าวหน้าของโครงการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรฮาลาล3โครงการและตั้งเป้าหมายจะขยายอีก5โครงการในยะลาปัตตานีและนราธิวาสโดยความร่วมมือกับศอบต.อย่างใกล้ชิดเพื่อให้
3จังหวัดภาคใต้เป็นฮับของอุตสาหกรรมฮาลาลภายใต้แนวทางระเบียงเศรษฐกิจฮาลาล(Halal Economic Corridor)
“ที่ประชุมยังให้ขยายการส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรอาหารฮาลาลในภาคเหนือภาคอีสาน
ภาคกลางและภาคตะวันออกโดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนที่เป็นเมืองท่าหน้าด่านเช่นอุดรธานีเชียงรายตากกาญจนบุรีเป็นต้นโดยประสานกับโครงการ1กลุ่มจังหวัด1นิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารภายใต้ความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรฯกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและศูนย์AICเพื่อขยายฐานการผลิตตั้งแต่ต้นน้ํากลางน้ําปลายน้ําไปทุกภาคทั่วประเทศ
ฟื้นเศรษฐกิจฝ่าวิกฤติโควิดสร้างงานสร้างอาชีพสร้างผลิตภัณฑ์สร้างตลาดใหม่ๆให้มากที่สุดเร็วที่สุดรวมทั้งเห็นควรขยายความร่วมมือกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ(สคช.)ในการพัฒนามาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพฮาลาลตลอดจนการขยายผลการเรียนการสอนหลักสูตรการบริหารจัดการฮาลาลและโครงการโรงเชือดแพะต้นแบบมาตรฐานฮาลาลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(มอ.-หาดใหญ่)สําหรับผู้ประกอบการและเกษตรกร
นอกจากนี้ที่ประชุมยังรับทราบรายงานผลการแก้ไขปัญหาเนื้อวัวปลอมได้ผลเป็นที่น่าพอใจและได้มีการติดตามผลอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคนับเป็นมาตรการป้องกันและปราบปรามประสบผลสําเร็จแต่ก็ต้องเฝ้าระวังต่อไป. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43004 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM urges provinces to prepare action plan for endemic phase transition | วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565
PM urges provinces to prepare action plan for endemic phase transition
PM urges provinces to prepare action plan for endemic phase transition
May 10, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha suggested that all provinces develop an action plan for the transition to endemic phase, following the decision of Public Health Ministry’s Emergency Operations Center for COVID-19 to downgrade COVID-19 alert nationwide from level 4 to level 3 to be in line with the global situation and the decrease in number of patients who have developed pneumonia. Besides, infection is now in plateau in 23 provinces, and declining in 54 provinces. Nevertheless, everyone is strongly advised to comply with “2U”, which is the Universal Prevention and Universal Vaccination, in order for the country to transition to the endemic phase.
As of today (May 10, 2022), a total of 6,230 new confirmed cases is reported, among which 6,226 were found domestically, and 4 from overseas traveling. The total of 53 deaths and 11,132 recoveries were reported with 80,002 active cases. From January 1, 2022, cumulative number of cases are 2,114,133, and cumulative number of recoveries, 2,059,876. There are 1,481 active case patients who have developed pneumonia (an average of 19 persons per province). Bed occupancy rate is 18.5%. Cumulative number of vaccinations across the country from February 28, 2021 to May 8, 2022 is 134,727,990 doses (1st shot: 56,409,347, 2nd shot: 51,658,780, 3rd shot 23,804,324, and 4th shot: 2,855,539. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-PM urges provinces to prepare action plan for endemic phase transition
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565
PM urges provinces to prepare action plan for endemic phase transition
PM urges provinces to prepare action plan for endemic phase transition
May 10, 2022, Government Spokesperson Thanakorn Wangboonkongchana disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha suggested that all provinces develop an action plan for the transition to endemic phase, following the decision of Public Health Ministry’s Emergency Operations Center for COVID-19 to downgrade COVID-19 alert nationwide from level 4 to level 3 to be in line with the global situation and the decrease in number of patients who have developed pneumonia. Besides, infection is now in plateau in 23 provinces, and declining in 54 provinces. Nevertheless, everyone is strongly advised to comply with “2U”, which is the Universal Prevention and Universal Vaccination, in order for the country to transition to the endemic phase.
As of today (May 10, 2022), a total of 6,230 new confirmed cases is reported, among which 6,226 were found domestically, and 4 from overseas traveling. The total of 53 deaths and 11,132 recoveries were reported with 80,002 active cases. From January 1, 2022, cumulative number of cases are 2,114,133, and cumulative number of recoveries, 2,059,876. There are 1,481 active case patients who have developed pneumonia (an average of 19 persons per province). Bed occupancy rate is 18.5%. Cumulative number of vaccinations across the country from February 28, 2021 to May 8, 2022 is 134,727,990 doses (1st shot: 56,409,347, 2nd shot: 51,658,780, 3rd shot 23,804,324, and 4th shot: 2,855,539. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54413 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงาน สถานีกลางบางซื่อและศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ | วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงาน สถานีกลางบางซื่อและศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ
โดยมีปลัดกระทรวงคมนาคม รองปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคมและกระทรวงสาธารณสุข ให้การต้อนรับ
วันนี้ 1 ตุลาคม 2564 เวลา 10.00 น. ณ สถานีกลางบางซื่อ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster dose) (เข็มที่ 3) ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ สถานีกลางบางซื่อ โดยมีปลัดกระทรวงคมนาคม รองปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคมและกระทรวงสาธารณสุข ให้การต้อนรับ
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า หลังจากที่กระทรวงคมนาคมได้รับนโยบายจากรัฐบาล ทําหน้าที่สนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จึงได้มีการจัดเตรียมพื้นที่บางส่วนของสถานีกลางบางซื่อ เพื่อเปิดเป็น “ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ” สําหรับรองรับการให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นมา รวมทั้งสิ้น 130 วัน โดยปัจจุบันได้ให้บริการฉีดวัคซีนแก่บุคลากรด่านหน้ากระทรวงคมนาคม พนักงานผู้ให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งทางบก ทางน้ํา ทางราง และทางอากาศ รวมถึงประชาชนทั่วไปแล้วทั้งสิ้น 1,948,160 โดส รองรับการฉีดวัคซีนได้เฉลี่ย 14,986 คนต่อวัน แบ่งออกเป็นการฉีดวัคซีนเข็มแรกจํานวน 1,358,923 โดส เข็มที่ 2 จํานวน 514,353 โดส และเข็มที่ 3 ซึ่งเริ่มฉีดไปเมื่อ 24 กันยายน 2564 จํานวน 74,884 โดส โดยคาดว่าในส่วนของการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จะฉีดได้ครบเป้าหมายภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564ตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังพร้อมสนับสนุนให้ศูนย์วัคซีนกลางบางซื่อ รองรับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 สําหรับผู้ที่เคยได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 จากศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2564 โดยได้จัดเตรียมพื้นที่บริเวณประตู 2 และประตู 3 รองรับผู้มารับวัคซีนอย่างต่อเนื่อง โดยไม่กระทบต่อแผนการเปิดให้บริการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ซึ่งได้ทดลองเปิดให้บริการไปแล้วเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2564 รวมถึงแผนการให้บริการรถไฟทางไกลในอนาคต ซึ่งกําหนดใช้พื้นที่ประตู 4 เป็นทางเข้า - ออกสําหรับรถไฟทางไกล และใช้ประตู 1 สําหรับเป็นทางเข้า-ออก รถไฟชานเมืองสายสีแดง
ส่วนของความคืบหน้าการเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบของสถานีกลางบางซื่อ ได้มอบให้การรถไฟฯ ดําเนินการทั้งในส่วนการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในสถานีกลางบางซื่อ และสถานีรถไฟสายสีแดง 12 สถานี โดยแบ่งเป็น 4 สัญญาได้แก่ 1. เชิญชวนยื่นข้อเสนอผลตอบแทนการใช้ประโยชน์พื้นที่เพื่อประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์บริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อ 2. เชิญชวนยื่นข้อเสนอเพื่อสิทธิการบริหารจัดการพื้นที่ติดตั้งป้ายโฆษณาบริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อ โดยทั้ง 2 สัญญานี้จะเป็นสัญญาระยะยาว 20 ปี เพื่อให้เกิดประโยชน์ตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุน 3. เชิญชวนยื่นข้อเสนอผลตอบแทนการใช้ประโยชน์พื้นที่เพื่อประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์บริเวณอาคารสถานีรถไฟชานเมืองสายสีแดง 12 สถานี และ 4. เชิญชวนยื่นข้อเสนอเพื่อสิทธิการบริหารจัดการพื้นที่ติดตั้งป้ายโฆษณา บริเวณอาคารสถานีรถไฟชานเมืองสายสีแดง 12 สถานี ซึ่ง 2 สัญญานี้เป็นสัญญาระยะสั้น 3 ปี
ทั้งนี้ การรถไฟฯ กําหนดออกประกาศเชิญชวนเอกชนเข้ามายื่นข้อเสนอในเดือนตุลาคมนี้ ในส่วนกระบวนการพิจารณาผลการประกวดราคาและเอกชนสามารถเข้ามาดําเนินการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในต้นปี 2565 โดยระยะเร่งด่วนจะต้องเข้ามาบริหารพื้นที่บริเวณประตู 4 ซึ่งจะพัฒนาเป็นร้านอาหารสําหรับให้บริการแก่ผู้โดยสาร ตามด้วยการพัฒนาพื้นที่ห้างร้านต่างๆ ในรูปแบบชอปปิ้งมอลล์ ซึ่งเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่ได้จัดเตรียมตู้จําหน่ายสินค้าอัตโนมัติ หรือคีออสมาให้บริการอาหารและเครื่องดื่มแก่ประชาชนไว้แล้ว
ส่วนการให้บริการรถทางไกล บริเวณสถานีกลางบางซื่อ ขณะนี้ได้เริ่มทดลองขบวนรถทางไกลขึ้น - ลง สถานีกลางบางซื่อ ชั้นที่ 2 ซึ่งได้เริ่มทดสอบตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา โดยให้ประเมินการควบคุมเวลาของขบวนรถทางไกล และจัดทําตารางเดินรถใหม่ให้แล้วเสร็จ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 60 วัน ก่อนเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 ธันวาคม 2564นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)มีการเตรียมความพร้อมด้านสิ่งอํานวยความสะดวก และความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ โดยจัดพื้นที่จอดรถยนต์ชั้นใต้ดินของสถานีกลางบางซื่อ ให้บริการฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย 1,700 คัน และยังได้รับความร่วมมือจากกรมการขนส่งทางบก กองบังคับการตํารวจรถไฟ หน่วยงานทหาร จัดเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัย เพื่อกํากับดูแลพื้นที่โดยรอบสถานีให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย รฟท. ไม่อนุญาตให้หาบเร่แผงลอยเข้ามาค้าขายในพื้นที่สถานีกลางบางซื่อ ผู้ฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฎหมาย
นอกจากนี้ รฟท. ยังเชิญชวนให้ผู้ได้รับสิทธิฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เดินทางด้วยระบบขนส่งรถไฟชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินหรือระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ มาที่ศูนย์ฉีดวัดซีนกลางบางซื่อได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณภายในสถานี โดยมีขบวนรถไฟชานเมืองสายสีแดงเปิดให้บริการ ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึง 20.00 น. เดินรถในช่วงเวลาเร่งด่วนทุก ๆ 15 นาที ช่วงเวลาปกติทุก ๆ 30 นาที โดยประชาชนสามารถนํารถยนต์ไปจอดที่สถานีรถไฟชานเมืองสายสีแดงได้ทุกสถานี และยังคงดําเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
ด้วยการจํากัดจํานวนผู้โดยสารในขบวนรถและสถานีไม่เกินร้อยละ 50 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดำเนินงาน สถานีกลางบางซื่อและศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ
วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามการดําเนินงาน สถานีกลางบางซื่อและศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ
โดยมีปลัดกระทรวงคมนาคม รองปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคมและกระทรวงสาธารณสุข ให้การต้อนรับ
วันนี้ 1 ตุลาคม 2564 เวลา 10.00 น. ณ สถานีกลางบางซื่อ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น (Booster dose) (เข็มที่ 3) ณ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ สถานีกลางบางซื่อ โดยมีปลัดกระทรวงคมนาคม รองปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคมและกระทรวงสาธารณสุข ให้การต้อนรับ
นายศักดิ์สยาม กล่าวว่า หลังจากที่กระทรวงคมนาคมได้รับนโยบายจากรัฐบาล ทําหน้าที่สนับสนุนภารกิจด้านสาธารณสุขดูแลผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 จึงได้มีการจัดเตรียมพื้นที่บางส่วนของสถานีกลางบางซื่อ เพื่อเปิดเป็น “ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ” สําหรับรองรับการให้บริการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนตั้งแต่วันที่ 24 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นมา รวมทั้งสิ้น 130 วัน โดยปัจจุบันได้ให้บริการฉีดวัคซีนแก่บุคลากรด่านหน้ากระทรวงคมนาคม พนักงานผู้ให้บริการระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งทางบก ทางน้ํา ทางราง และทางอากาศ รวมถึงประชาชนทั่วไปแล้วทั้งสิ้น 1,948,160 โดส รองรับการฉีดวัคซีนได้เฉลี่ย 14,986 คนต่อวัน แบ่งออกเป็นการฉีดวัคซีนเข็มแรกจํานวน 1,358,923 โดส เข็มที่ 2 จํานวน 514,353 โดส และเข็มที่ 3 ซึ่งเริ่มฉีดไปเมื่อ 24 กันยายน 2564 จํานวน 74,884 โดส โดยคาดว่าในส่วนของการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 จะฉีดได้ครบเป้าหมายภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564ตามนโยบายของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังพร้อมสนับสนุนให้ศูนย์วัคซีนกลางบางซื่อ รองรับการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็มที่ 3 สําหรับผู้ที่เคยได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 และ 2 จากศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม 2564 โดยได้จัดเตรียมพื้นที่บริเวณประตู 2 และประตู 3 รองรับผู้มารับวัคซีนอย่างต่อเนื่อง โดยไม่กระทบต่อแผนการเปิดให้บริการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ซึ่งได้ทดลองเปิดให้บริการไปแล้วเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2564 รวมถึงแผนการให้บริการรถไฟทางไกลในอนาคต ซึ่งกําหนดใช้พื้นที่ประตู 4 เป็นทางเข้า - ออกสําหรับรถไฟทางไกล และใช้ประตู 1 สําหรับเป็นทางเข้า-ออก รถไฟชานเมืองสายสีแดง
ส่วนของความคืบหน้าการเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบของสถานีกลางบางซื่อ ได้มอบให้การรถไฟฯ ดําเนินการทั้งในส่วนการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ภายในสถานีกลางบางซื่อ และสถานีรถไฟสายสีแดง 12 สถานี โดยแบ่งเป็น 4 สัญญาได้แก่ 1. เชิญชวนยื่นข้อเสนอผลตอบแทนการใช้ประโยชน์พื้นที่เพื่อประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์บริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อ 2. เชิญชวนยื่นข้อเสนอเพื่อสิทธิการบริหารจัดการพื้นที่ติดตั้งป้ายโฆษณาบริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อ โดยทั้ง 2 สัญญานี้จะเป็นสัญญาระยะยาว 20 ปี เพื่อให้เกิดประโยชน์ตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุน 3. เชิญชวนยื่นข้อเสนอผลตอบแทนการใช้ประโยชน์พื้นที่เพื่อประกอบกิจกรรมเชิงพาณิชย์บริเวณอาคารสถานีรถไฟชานเมืองสายสีแดง 12 สถานี และ 4. เชิญชวนยื่นข้อเสนอเพื่อสิทธิการบริหารจัดการพื้นที่ติดตั้งป้ายโฆษณา บริเวณอาคารสถานีรถไฟชานเมืองสายสีแดง 12 สถานี ซึ่ง 2 สัญญานี้เป็นสัญญาระยะสั้น 3 ปี
ทั้งนี้ การรถไฟฯ กําหนดออกประกาศเชิญชวนเอกชนเข้ามายื่นข้อเสนอในเดือนตุลาคมนี้ ในส่วนกระบวนการพิจารณาผลการประกวดราคาและเอกชนสามารถเข้ามาดําเนินการบริหารพื้นที่เชิงพาณิชย์ในต้นปี 2565 โดยระยะเร่งด่วนจะต้องเข้ามาบริหารพื้นที่บริเวณประตู 4 ซึ่งจะพัฒนาเป็นร้านอาหารสําหรับให้บริการแก่ผู้โดยสาร ตามด้วยการพัฒนาพื้นที่ห้างร้านต่างๆ ในรูปแบบชอปปิ้งมอลล์ ซึ่งเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่ได้จัดเตรียมตู้จําหน่ายสินค้าอัตโนมัติ หรือคีออสมาให้บริการอาหารและเครื่องดื่มแก่ประชาชนไว้แล้ว
ส่วนการให้บริการรถทางไกล บริเวณสถานีกลางบางซื่อ ขณะนี้ได้เริ่มทดลองขบวนรถทางไกลขึ้น - ลง สถานีกลางบางซื่อ ชั้นที่ 2 ซึ่งได้เริ่มทดสอบตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564 ที่ผ่านมา โดยให้ประเมินการควบคุมเวลาของขบวนรถทางไกล และจัดทําตารางเดินรถใหม่ให้แล้วเสร็จ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 60 วัน ก่อนเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในวันที่ 23 ธันวาคม 2564นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)มีการเตรียมความพร้อมด้านสิ่งอํานวยความสะดวก และความปลอดภัยให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ โดยจัดพื้นที่จอดรถยนต์ชั้นใต้ดินของสถานีกลางบางซื่อ ให้บริการฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย 1,700 คัน และยังได้รับความร่วมมือจากกรมการขนส่งทางบก กองบังคับการตํารวจรถไฟ หน่วยงานทหาร จัดเจ้าหน้าที่อํานวยความสะดวก ดูแลความปลอดภัย เพื่อกํากับดูแลพื้นที่โดยรอบสถานีให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย รฟท. ไม่อนุญาตให้หาบเร่แผงลอยเข้ามาค้าขายในพื้นที่สถานีกลางบางซื่อ ผู้ฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฎหมาย
นอกจากนี้ รฟท. ยังเชิญชวนให้ผู้ได้รับสิทธิฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เดินทางด้วยระบบขนส่งรถไฟชานเมืองสายสีแดง และรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงินหรือระบบขนส่งสาธารณะอื่น ๆ มาที่ศูนย์ฉีดวัดซีนกลางบางซื่อได้อย่างสะดวกรวดเร็ว และช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณภายในสถานี โดยมีขบวนรถไฟชานเมืองสายสีแดงเปิดให้บริการ ช่วงบางซื่อ - รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถึง 20.00 น. เดินรถในช่วงเวลาเร่งด่วนทุก ๆ 15 นาที ช่วงเวลาปกติทุก ๆ 30 นาที โดยประชาชนสามารถนํารถยนต์ไปจอดที่สถานีรถไฟชานเมืองสายสีแดงได้ทุกสถานี และยังคงดําเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด
ด้วยการจํากัดจํานวนผู้โดยสารในขบวนรถและสถานีไม่เกินร้อยละ 50 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46464 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือนอย่าหลงเชื่อ กระชาย บอระเพ็ด ไม้ก้องขม และฟ้าทะลายโจร บดเป็นผงบรรจุแคปซูล กินช่วยรักษาโควิด-19 | วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม 2564
ดีอีเอส เตือนอย่าหลงเชื่อ กระชาย บอระเพ็ด ไม้ก้องขม และฟ้าทะลายโจร บดเป็นผงบรรจุแคปซูล กินช่วยรักษาโควิด-19
ดีอีเอส เตือนอย่าหลงเชื่อ กระชาย บอระเพ็ด ไม้ก้องขม และฟ้าทะลายโจร บดเป็นผงบรรจุแคปซูล กินช่วยรักษาโควิด-19
ดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อกระชายบอระเพ็ดไม้ก้องขมและฟ้าทะลายโจรบดเป็นผงบรรจุแคปซูลกินช่วยรักษาโควิด-19แนะการใช้ยาสมุนไพรกับโควิดควรมีการแนะนําให้ส่งต่อกับแพทย์แผนปัจจุบันก่อนเป็นเบื้องต้นเพื่อลดอันตรายและลดภาวะแทรกซ้อนในการรักษา
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าในขณะนี้มีประชาชนให้ความสนใจซื้อสมุนไพรจํานวนมากจึงมีผลิตภัณฑ์ปลอมหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานมาจําหน่าย ขณะนี้ตามที่ได้มีข่าวปรากฏในสื่อออนไลน์ต่างๆในประเด็นเรื่องกระชายบอระเพ็ดไม้ก้องขมและฟ้าทะลายโจรบดเป็นผงบรรจุแคปซูลกินช่วยรักษาโควิด-19ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารณสุขพบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ
จากที่มีการแชร์ข้อมูลว่าให้นํากระชายบอระเพ็ดไม้ก้องขมและฟ้าทะลายโจรมาบดเป็นผงบรรจุแคปซูลกินเพื่อรักษาโควิด-19นั้นทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่าขณะนี้ยังไม่พบการศึกษาวิจัยใดๆที่ระบุว่าการผสมหัวกระชายขาวบอระเพ็ดไม้ก้องขมและฟ้าทะลายโจรช่วยรักษาโควิด-19ได้
โดยกระชายและpanduratin Aมีฤทธิ์ยับยั้งการติดเชื้อSARS-CoV-2ทั้งในระยะก่อนการติดเชื้อและหลังการติดเชื้อนอกจากเซลล์ในเซลล์Vero E6แล้วการรักษาด้วยสารสําคัญนี้สามารถยับยั้งการติดเชื้อไวรัสในเซลล์เยื่อบุผิวทางเดินหายใจของมนุษย์ได้ส่วนบอระเพ็ดมีสารออกฤทธิ์ทางพฤกษเคมีที่แยกได้จากGC-MSพบว่าเป็นสารยับยั้งSARS-CoV-2 main protease (Mpro)โดยใช้การศึกษาเทียบเท่าระดับโมเลกุล(molecular docking)แต่ทั้งนี้จากการสืบค้นไม่พบการศึกษาเชิงประจักษ์ของไม้ก้องขมเนื่องจากเป็นพันธ์ไม้เฉพาะถิ่นและสุดท้ายการใช้ยาจากผงฟ้าทะลายโจรในบัญชียาหลักแห่งชาติในการรักษาโรคโควิด-19ในขณะนี้ได้กําหนดการใช้ดังนี้(สั่งจ่ายโดยแพทย์เวชกรรมเนื่องจากโรคโควิด19ต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์)
เงื่อนไขของการใช้ฟ้าทะลายโจร
1.ใช้กับผู้ป่วยโรคโควิด-19ที่มีความรุนแรงน้อยเพื่อลดการเกิดโรคที่รุนแรง
2.เฉพาะผลิตภัณฑ์สําเร็จรูปที่มีการควบคุมปริมาณandrographolide
3.รับประทานในขนาดยาที่มีปริมาณandrographolide 180มิลลิกรัมต่อวันโดยแบ่งให้วันละ3ครั้ง
4.ใช้ได้โดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
5.มีการติดตามประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยหลังการใช้อย่างเป็นระบบ
จากที่มีการเพิ่มเติมรายละเอียดของการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อบรรเทาอาการของโรคหวัดและการใช้เพื่อรักษาโรคโควิด-19แต่ยังไม่มีการรายงานว่าสามารถใช้เพื่อการป้องกันโรคได้
อีกทั้งตํารับยานี้เป็นยารสขมทั้งหมดรสยาของตํารับแก้ไข้ได้แก้ร้อนในกระหายน้ําได้แต่ยารสขมอยู่ในกลุ่มยาเย็นจะทําให้ธาตุไฟอ่อนลง(การลดไข้)ถ้ากินนานจะไม่ดีต่อธาตุไฟในร่างกาย(ธาตุไฟอ่อน)ลมกําเริบเฉพาะที่ได้(ไม่พัด)ธาตุกําเริบเฉพาะที่(น้ําคั่ง)และลมเริบเฉพาะที่ได้(ปวดเมื่อยหรือชาเฉพาะที่ได้)ทั้งนี้ตํารับนี้ไม่มีตัวยาช่วยไม่มีตัวยาคุมไม่มีน้ํากระสายยาซึ่งเป็นการตั้งตํารับยาหมอพื้นบ้านอย่างแท้จริง(มีแต่ตัวยาหลัก)เท่านั้นยานี้รักษาอาการไข้ได้แต่รักษาโควิค-19ไม่ได้การตั้งตํารับยานี้ไม่เป็นไปตามองค์ความรู้แพทย์แผนไทยเพราะองค์ประกอบในการตั้งตํารับยาไม่ครบคือมีแต่ตัวยาหลักคือยารสขมทั้ง4ตัวและตัวยาหลักมีจํานวนมากเกินไปไม่มีตัวยาช่วย(ช่วยลดฤทธิ์ให้ขมหรือเย็นให้น้อยลง)ไม่มีตัวยาคุมฤทธิ์ที่ทําให้ตัวยานั้นเย็นน้อยลงเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับร่างกายและไม่มีตัวยาแต่งรสของยาเพื่อทําให้ยานั้นกินได้ง่ายขึ้น(ขมมากเกินไป)และอีกประการหนึ่งคือการใช้ยาสมุนไพรกับโควิคซึ่งเป็นโรคติดต่อเฉียบพลันและร้ายแรงควรมีการแนะนําให้ส่งต่อกับแพทย์แผนปัจจุบันก่อนเป็นเบื้องต้นเพื่อลดอันตรายและลดภาวะแทรกซ้อนในการรักษา
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และขอแนะนําว่าก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ขอให้ตรวจสอบการอนุญาตที่www.fda.moph.go.thหรือOryor Smart Applicationเพื่อจะได้ไม่เสี่ยงกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานหรือผลิตภัณฑ์ปลอม
นอกจากนี้หากพี่น้องประชาชนพบเบาะแสการกระทําความผิดสามารถแจ้งผ่าน4ช่องทางได้แก่เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com ,เฟซบุ๊กANTI-FAKE NEWS CENTER,ทวิตเตอร์@AFNCThailand,ไลน์@antifakenewscenterและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87ได้ตลอด24ชั่วโมง
************* | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส เตือนอย่าหลงเชื่อ กระชาย บอระเพ็ด ไม้ก้องขม และฟ้าทะลายโจร บดเป็นผงบรรจุแคปซูล กินช่วยรักษาโควิด-19
วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม 2564
ดีอีเอส เตือนอย่าหลงเชื่อ กระชาย บอระเพ็ด ไม้ก้องขม และฟ้าทะลายโจร บดเป็นผงบรรจุแคปซูล กินช่วยรักษาโควิด-19
ดีอีเอส เตือนอย่าหลงเชื่อ กระชาย บอระเพ็ด ไม้ก้องขม และฟ้าทะลายโจร บดเป็นผงบรรจุแคปซูล กินช่วยรักษาโควิด-19
ดีอีเอสเตือนอย่าหลงเชื่อกระชายบอระเพ็ดไม้ก้องขมและฟ้าทะลายโจรบดเป็นผงบรรจุแคปซูลกินช่วยรักษาโควิด-19แนะการใช้ยาสมุนไพรกับโควิดควรมีการแนะนําให้ส่งต่อกับแพทย์แผนปัจจุบันก่อนเป็นเบื้องต้นเพื่อลดอันตรายและลดภาวะแทรกซ้อนในการรักษา
นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าในขณะนี้มีประชาชนให้ความสนใจซื้อสมุนไพรจํานวนมากจึงมีผลิตภัณฑ์ปลอมหรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานมาจําหน่าย ขณะนี้ตามที่ได้มีข่าวปรากฏในสื่อออนไลน์ต่างๆในประเด็นเรื่องกระชายบอระเพ็ดไม้ก้องขมและฟ้าทะลายโจรบดเป็นผงบรรจุแคปซูลกินช่วยรักษาโควิด-19ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารณสุขพบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้นเป็นข้อมูลเท็จ
จากที่มีการแชร์ข้อมูลว่าให้นํากระชายบอระเพ็ดไม้ก้องขมและฟ้าทะลายโจรมาบดเป็นผงบรรจุแคปซูลกินเพื่อรักษาโควิด-19นั้นทางกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวและชี้แจงว่าขณะนี้ยังไม่พบการศึกษาวิจัยใดๆที่ระบุว่าการผสมหัวกระชายขาวบอระเพ็ดไม้ก้องขมและฟ้าทะลายโจรช่วยรักษาโควิด-19ได้
โดยกระชายและpanduratin Aมีฤทธิ์ยับยั้งการติดเชื้อSARS-CoV-2ทั้งในระยะก่อนการติดเชื้อและหลังการติดเชื้อนอกจากเซลล์ในเซลล์Vero E6แล้วการรักษาด้วยสารสําคัญนี้สามารถยับยั้งการติดเชื้อไวรัสในเซลล์เยื่อบุผิวทางเดินหายใจของมนุษย์ได้ส่วนบอระเพ็ดมีสารออกฤทธิ์ทางพฤกษเคมีที่แยกได้จากGC-MSพบว่าเป็นสารยับยั้งSARS-CoV-2 main protease (Mpro)โดยใช้การศึกษาเทียบเท่าระดับโมเลกุล(molecular docking)แต่ทั้งนี้จากการสืบค้นไม่พบการศึกษาเชิงประจักษ์ของไม้ก้องขมเนื่องจากเป็นพันธ์ไม้เฉพาะถิ่นและสุดท้ายการใช้ยาจากผงฟ้าทะลายโจรในบัญชียาหลักแห่งชาติในการรักษาโรคโควิด-19ในขณะนี้ได้กําหนดการใช้ดังนี้(สั่งจ่ายโดยแพทย์เวชกรรมเนื่องจากโรคโควิด19ต้องได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์)
เงื่อนไขของการใช้ฟ้าทะลายโจร
1.ใช้กับผู้ป่วยโรคโควิด-19ที่มีความรุนแรงน้อยเพื่อลดการเกิดโรคที่รุนแรง
2.เฉพาะผลิตภัณฑ์สําเร็จรูปที่มีการควบคุมปริมาณandrographolide
3.รับประทานในขนาดยาที่มีปริมาณandrographolide 180มิลลิกรัมต่อวันโดยแบ่งให้วันละ3ครั้ง
4.ใช้ได้โดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม
5.มีการติดตามประเมินประสิทธิผลและความปลอดภัยหลังการใช้อย่างเป็นระบบ
จากที่มีการเพิ่มเติมรายละเอียดของการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อบรรเทาอาการของโรคหวัดและการใช้เพื่อรักษาโรคโควิด-19แต่ยังไม่มีการรายงานว่าสามารถใช้เพื่อการป้องกันโรคได้
อีกทั้งตํารับยานี้เป็นยารสขมทั้งหมดรสยาของตํารับแก้ไข้ได้แก้ร้อนในกระหายน้ําได้แต่ยารสขมอยู่ในกลุ่มยาเย็นจะทําให้ธาตุไฟอ่อนลง(การลดไข้)ถ้ากินนานจะไม่ดีต่อธาตุไฟในร่างกาย(ธาตุไฟอ่อน)ลมกําเริบเฉพาะที่ได้(ไม่พัด)ธาตุกําเริบเฉพาะที่(น้ําคั่ง)และลมเริบเฉพาะที่ได้(ปวดเมื่อยหรือชาเฉพาะที่ได้)ทั้งนี้ตํารับนี้ไม่มีตัวยาช่วยไม่มีตัวยาคุมไม่มีน้ํากระสายยาซึ่งเป็นการตั้งตํารับยาหมอพื้นบ้านอย่างแท้จริง(มีแต่ตัวยาหลัก)เท่านั้นยานี้รักษาอาการไข้ได้แต่รักษาโควิค-19ไม่ได้การตั้งตํารับยานี้ไม่เป็นไปตามองค์ความรู้แพทย์แผนไทยเพราะองค์ประกอบในการตั้งตํารับยาไม่ครบคือมีแต่ตัวยาหลักคือยารสขมทั้ง4ตัวและตัวยาหลักมีจํานวนมากเกินไปไม่มีตัวยาช่วย(ช่วยลดฤทธิ์ให้ขมหรือเย็นให้น้อยลง)ไม่มีตัวยาคุมฤทธิ์ที่ทําให้ตัวยานั้นเย็นน้อยลงเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายกับร่างกายและไม่มีตัวยาแต่งรสของยาเพื่อทําให้ยานั้นกินได้ง่ายขึ้น(ขมมากเกินไป)และอีกประการหนึ่งคือการใช้ยาสมุนไพรกับโควิคซึ่งเป็นโรคติดต่อเฉียบพลันและร้ายแรงควรมีการแนะนําให้ส่งต่อกับแพทย์แผนปัจจุบันก่อนเป็นเบื้องต้นเพื่อลดอันตรายและลดภาวะแทรกซ้อนในการรักษา
ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อและขอความร่วมมือไม่ส่งหรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และขอแนะนําว่าก่อนซื้อผลิตภัณฑ์ขอให้ตรวจสอบการอนุญาตที่www.fda.moph.go.thหรือOryor Smart Applicationเพื่อจะได้ไม่เสี่ยงกับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานหรือผลิตภัณฑ์ปลอม
นอกจากนี้หากพี่น้องประชาชนพบเบาะแสการกระทําความผิดสามารถแจ้งผ่าน4ช่องทางได้แก่เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com ,เฟซบุ๊กANTI-FAKE NEWS CENTER,ทวิตเตอร์@AFNCThailand,ไลน์@antifakenewscenterและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87ได้ตลอด24ชั่วโมง
************* | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44496 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน เร่งจัดส่งแรงงานไทยทำงานต่างประเทศตามเป้าปี 64 เผยสร้างรายได้เข้าประเทศแล้ว 1.5 แสนล้านบาท | วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2564
รมว.แรงงาน เร่งจัดส่งแรงงานไทยทํางานต่างประเทศตามเป้าปี 64 เผยสร้างรายได้เข้าประเทศแล้ว 1.5 แสนล้านบาท
รมว.แรงงาน เผยเป้าหมายจัดส่งแรงงานทํางานต่างประเทศ จํานวน 100,000 คน จัดส่งแล้ว 38,019 คน เตรียมส่งตามแผน 61,981 คน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 153,006 ล้านบาท
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จํานวน 100,000 คน โดยจัดส่งแล้ว 38,019 คน แบ่งเป็นไต้หวัน 10,641 คน อิสราเอล 5,593 คน สวีเดน 5,287 คน ฟินแลนด์ 3,363 คน ญี่ปุ่น 1,948 คน ประเทศอื่นๆ 11,187 คน และอยู่ระหว่างจัดส่งตามแผนอีก 61,981 คน ซึ่งจากข้อมูล ณ เดือน ก.ค. 64 มีแรงงานไทยที่ยังทํางานอยู่ในต่างประเทศรวม 110 ประเทศ จํานวนทั้งสิ้น 118,572 คน ส่งรายได้กลับประเทศผ่านระบบธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว 153,006 ล้านบาท
“รัฐบาลภายใต้การนําของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสําคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศอย่างมาก โดยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 จะมุ่งเน้นการรักษาตลาดแรงงานเดิมซึ่งก็คือการส่งเสริมการจ้างงานอย่างต่อเนื่องกับงานภาคการเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (TIC) งานภาคอุตสาหกรรมในประเทศญี่ปุ่น ผ่านองค์กร IM JAPAN และงานภาคก่อสร้าง อุตสาหกรรม และการเกษตรในสาธารณรัฐเกาหลี ผ่านระบบ EPS ควบคู่การขยายตลาดแรงงานใหม่ที่มีแนวโน้มความต้องการแรงงานไทย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน มีกําหนดการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ ก่อนสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ จํานวน 410 คน แบ่งเป็น สาธารณรัฐเกาหลี 60 คน เดินทางระหว่างวันที่ 17 – 19 สิงหาคม และรัฐอิสราเอล 350 คน ทะยอยเดินทางวันที่ 25 สิงหาคม จํานวน 150 คน และวันที่ 30 สิงหาคม จํานวน 200 คน โดยแรงงานไทยสามารถเดินทางไปทํางานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย 5 วิธี คือ 1.กรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง 2.บริษัทจัดหางานจัดส่ง 3.นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างของตนไปทํางานต่างประเทศ 4.นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างของตนไปฝึกงานในต่างประเทศ 5.คนหางานแจ้งการเดินทางไปทํางานต่างประเทศด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีเดินทางถูกกฎหมายดังกล่าวจะทําให้แรงงานไทยได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ได้ค่าจ้างที่เหมาะสม และยังได้รับการดูแลที่ดีตามสิทธิที่พึงมีด้วย
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ www.doe.go.th/overseas | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.แรงงาน เร่งจัดส่งแรงงานไทยทำงานต่างประเทศตามเป้าปี 64 เผยสร้างรายได้เข้าประเทศแล้ว 1.5 แสนล้านบาท
วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2564
รมว.แรงงาน เร่งจัดส่งแรงงานไทยทํางานต่างประเทศตามเป้าปี 64 เผยสร้างรายได้เข้าประเทศแล้ว 1.5 แสนล้านบาท
รมว.แรงงาน เผยเป้าหมายจัดส่งแรงงานทํางานต่างประเทศ จํานวน 100,000 คน จัดส่งแล้ว 38,019 คน เตรียมส่งตามแผน 61,981 คน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 153,006 ล้านบาท
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จํานวน 100,000 คน โดยจัดส่งแล้ว 38,019 คน แบ่งเป็นไต้หวัน 10,641 คน อิสราเอล 5,593 คน สวีเดน 5,287 คน ฟินแลนด์ 3,363 คน ญี่ปุ่น 1,948 คน ประเทศอื่นๆ 11,187 คน และอยู่ระหว่างจัดส่งตามแผนอีก 61,981 คน ซึ่งจากข้อมูล ณ เดือน ก.ค. 64 มีแรงงานไทยที่ยังทํางานอยู่ในต่างประเทศรวม 110 ประเทศ จํานวนทั้งสิ้น 118,572 คน ส่งรายได้กลับประเทศผ่านระบบธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว 153,006 ล้านบาท
“รัฐบาลภายใต้การนําของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสําคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศอย่างมาก โดยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 จะมุ่งเน้นการรักษาตลาดแรงงานเดิมซึ่งก็คือการส่งเสริมการจ้างงานอย่างต่อเนื่องกับงานภาคการเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (TIC) งานภาคอุตสาหกรรมในประเทศญี่ปุ่น ผ่านองค์กร IM JAPAN และงานภาคก่อสร้าง อุตสาหกรรม และการเกษตรในสาธารณรัฐเกาหลี ผ่านระบบ EPS ควบคู่การขยายตลาดแรงงานใหม่ที่มีแนวโน้มความต้องการแรงงานไทย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน มีกําหนดการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานต่างประเทศ ก่อนสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ จํานวน 410 คน แบ่งเป็น สาธารณรัฐเกาหลี 60 คน เดินทางระหว่างวันที่ 17 – 19 สิงหาคม และรัฐอิสราเอล 350 คน ทะยอยเดินทางวันที่ 25 สิงหาคม จํานวน 150 คน และวันที่ 30 สิงหาคม จํานวน 200 คน โดยแรงงานไทยสามารถเดินทางไปทํางานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย 5 วิธี คือ 1.กรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง 2.บริษัทจัดหางานจัดส่ง 3.นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างของตนไปทํางานต่างประเทศ 4.นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างของตนไปฝึกงานในต่างประเทศ 5.คนหางานแจ้งการเดินทางไปทํางานต่างประเทศด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีเดินทางถูกกฎหมายดังกล่าวจะทําให้แรงงานไทยได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ได้ค่าจ้างที่เหมาะสม และยังได้รับการดูแลที่ดีตามสิทธิที่พึงมีด้วย
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ www.doe.go.th/overseas | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44815 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายจ้างปลื้ม นำเข้า MoU ฉลุย “รมว.เฮ้ง” กำชับกรมการจัดหางาน ประสานจังหวัดเตรียมความพร้อมสถานที่กักตัว | วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565
นายจ้างปลื้ม นําเข้า MoU ฉลุย “รมว.เฮ้ง” กําชับกรมการจัดหางาน ประสานจังหวัดเตรียมความพร้อมสถานที่กักตัว
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 แรงงานกัมพูชา ที่เข้ามาทํางานกับนายจ้างในประเทศตาม MOU จํานวน 185 คน ได้เดินทางเข้าประเทศไทยทางด่านผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
หลังจากการดําเนินการตามขั้นตอนของทางการไทย มีแรงงาน จํานวน 158 คน เข้ากักตัวในสถานที่กักกันรูปแบบเฉพาะองค์กร (Organization Quarantine) ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ณ อาคาร อินโดจีน Grand Residence ศูนย์ OQ บริษัท สุวรรณภูมิอินเตอร์เฮลท์เมด จํากัด โดยจะต้องกักตัวอย่างน้อย 7 วัน ตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข โดยแรงงานกลุ่มนี้ได้รับวัคซีน ครบ 2 เข็มจากประเทศต้นทาง และมีการซื้อกรมธรรม์ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาล ซึ่งคุ้มครองการรักษาโรคโควิด-19 เมื่อครบกําหนดนายจ้างจะรับคนต่างด้าวไปยังสถานประกอบการ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 64 ถึงปัจจุบัน มีนายจ้างยื่นคําร้องขอนําคนต่างด้าวเข้ามาทํางานในประเทศ (Demand) แล้ว จํานวน 1,349 คําร้อง ต้องการแรงงานต่างด้าว จํานวน 90,071 คน แบ่งเป็นสัญชาติเมียนมา 65,064 กัมพูชา 18,873 คน ลาว 6,134 คน โดยจะเดินทางเข้าทางด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก 64,616 คน สระแก้ว 18,873 คน หนองคาย 6,128 คน ระนอง 448 คน มุกดาหาร 6 คน
“สําหรับทางการไทย เรามีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงแรงงาน สํานักงานตํารวจตรวจคนเข้าเมือง กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สาธารณสุข และส่วนราชการจังหวัด ในการจัดเจ้าหน้าที่ดูแลให้เกิดความสะดวกทุกขั้นตอน นอกจากนี้ผมได้กําชับกรมการจัดหางานประสานจังหวัดเพื่อจัดเตรียมความพร้อมสถานที่กักกัน เพื่อรองรับแรงงานที่จะเข้ามาทํางานตาม MoU และทําให้นายจ้าง สถานประกอบการที่ต้องการจ้างงานแรงงาน 3 สัญชาติมีแรงงานขับเคลื่อนกิจการโดยเร็ว เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยและติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะปัญหาขาดแคลนแรงงานสามารถส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ”
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า ในรอบนี้กรมการจัดหางานอนุมัติบัญชีรายชื่อทั้งสิ้น 220 คน แต่มีแรงงานกัมพูชาที่ไม่ได้เดินทางเข้ามาเพราะยังไม่มีความพร้อม จํานวน 35 คน ที่เหลือจํานวน 185 คน เดินทางผ่านตรวจคนเข้าเมืองกัมพูชา ผ่านการคัดกรองจากด่านควบคุมโรคคลองลึก จนได้รับการตรวจลงตราวีซ่า 158 คน และถูกผลักดันกลับประเทศ จํานวน 27 คน เนื่องจากพบประวัติว่าแรงงานกลุ่มดังกล่าวเคยลักลอบเดินทางกลับประเทศต้นทางตามช่องทางธรรมชาติ ซึ่งขอฝากถึงแรงงานทุกสัญชาติที่จะเข้ามาทํางานในประเทศ ขอให้เคารพกฎหมายของประเทศไทย เพราะเป็นผลดีกับตัวของแรงงานเอง หากมีการตรวจสอบ พบเคยกระทําความผิดเช่นกรณีดังกล่าว ท่านก็จะเสียโอกาสในการเข้ามาทํางานในประเทศไทย
ทางนายวิสุทธิ์ สาริกา ผู้จัดการฝ่ายบริหารบุคคล บ.พนัสโพลทรี่ กรุ๊ป จํากัด กล่าว่า ตนรอคอยการนําเข้าแรงงาน MoU มา 2 ปี ตั้งแต่ช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด และวันนี้เราก็นําแรงงานเข้ามาได้ ต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ทําให้มีวันนี้ ได้แรงงานกัมพูชาเข้ามาทํางานได้ และตนยังคาดหวังว่าจะมีแรงงานเมียนมาตามเข้ามาเพื่อช่วยขับเคลื่อนกิจการโดยเร็ว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายจ้างปลื้ม นำเข้า MoU ฉลุย “รมว.เฮ้ง” กำชับกรมการจัดหางาน ประสานจังหวัดเตรียมความพร้อมสถานที่กักตัว
วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ 2565
นายจ้างปลื้ม นําเข้า MoU ฉลุย “รมว.เฮ้ง” กําชับกรมการจัดหางาน ประสานจังหวัดเตรียมความพร้อมสถานที่กักตัว
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 แรงงานกัมพูชา ที่เข้ามาทํางานกับนายจ้างในประเทศตาม MOU จํานวน 185 คน ได้เดินทางเข้าประเทศไทยทางด่านผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว
หลังจากการดําเนินการตามขั้นตอนของทางการไทย มีแรงงาน จํานวน 158 คน เข้ากักตัวในสถานที่กักกันรูปแบบเฉพาะองค์กร (Organization Quarantine) ในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ณ อาคาร อินโดจีน Grand Residence ศูนย์ OQ บริษัท สุวรรณภูมิอินเตอร์เฮลท์เมด จํากัด โดยจะต้องกักตัวอย่างน้อย 7 วัน ตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข โดยแรงงานกลุ่มนี้ได้รับวัคซีน ครบ 2 เข็มจากประเทศต้นทาง และมีการซื้อกรมธรรม์ที่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพและรักษาพยาบาล ซึ่งคุ้มครองการรักษาโรคโควิด-19 เมื่อครบกําหนดนายจ้างจะรับคนต่างด้าวไปยังสถานประกอบการ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 64 ถึงปัจจุบัน มีนายจ้างยื่นคําร้องขอนําคนต่างด้าวเข้ามาทํางานในประเทศ (Demand) แล้ว จํานวน 1,349 คําร้อง ต้องการแรงงานต่างด้าว จํานวน 90,071 คน แบ่งเป็นสัญชาติเมียนมา 65,064 กัมพูชา 18,873 คน ลาว 6,134 คน โดยจะเดินทางเข้าทางด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก 64,616 คน สระแก้ว 18,873 คน หนองคาย 6,128 คน ระนอง 448 คน มุกดาหาร 6 คน
“สําหรับทางการไทย เรามีการบูรณาการร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงแรงงาน สํานักงานตํารวจตรวจคนเข้าเมือง กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สาธารณสุข และส่วนราชการจังหวัด ในการจัดเจ้าหน้าที่ดูแลให้เกิดความสะดวกทุกขั้นตอน นอกจากนี้ผมได้กําชับกรมการจัดหางานประสานจังหวัดเพื่อจัดเตรียมความพร้อมสถานที่กักกัน เพื่อรองรับแรงงานที่จะเข้ามาทํางานตาม MoU และทําให้นายจ้าง สถานประกอบการที่ต้องการจ้างงานแรงงาน 3 สัญชาติมีแรงงานขับเคลื่อนกิจการโดยเร็ว เนื่องจากเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ห่วงใยและติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะปัญหาขาดแคลนแรงงานสามารถส่งผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ”
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า ในรอบนี้กรมการจัดหางานอนุมัติบัญชีรายชื่อทั้งสิ้น 220 คน แต่มีแรงงานกัมพูชาที่ไม่ได้เดินทางเข้ามาเพราะยังไม่มีความพร้อม จํานวน 35 คน ที่เหลือจํานวน 185 คน เดินทางผ่านตรวจคนเข้าเมืองกัมพูชา ผ่านการคัดกรองจากด่านควบคุมโรคคลองลึก จนได้รับการตรวจลงตราวีซ่า 158 คน และถูกผลักดันกลับประเทศ จํานวน 27 คน เนื่องจากพบประวัติว่าแรงงานกลุ่มดังกล่าวเคยลักลอบเดินทางกลับประเทศต้นทางตามช่องทางธรรมชาติ ซึ่งขอฝากถึงแรงงานทุกสัญชาติที่จะเข้ามาทํางานในประเทศ ขอให้เคารพกฎหมายของประเทศไทย เพราะเป็นผลดีกับตัวของแรงงานเอง หากมีการตรวจสอบ พบเคยกระทําความผิดเช่นกรณีดังกล่าว ท่านก็จะเสียโอกาสในการเข้ามาทํางานในประเทศไทย
ทางนายวิสุทธิ์ สาริกา ผู้จัดการฝ่ายบริหารบุคคล บ.พนัสโพลทรี่ กรุ๊ป จํากัด กล่าว่า ตนรอคอยการนําเข้าแรงงาน MoU มา 2 ปี ตั้งแต่ช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด และวันนี้เราก็นําแรงงานเข้ามาได้ ต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ทําให้มีวันนี้ ได้แรงงานกัมพูชาเข้ามาทํางานได้ และตนยังคาดหวังว่าจะมีแรงงานเมียนมาตามเข้ามาเพื่อช่วยขับเคลื่อนกิจการโดยเร็ว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51178 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 12 – 18 พฤศจิกายน 2564 | วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 12 – 18 พฤศจิกายน 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 12 – 18 พฤศจิกายน 2564 พบการกระทําผิด จํานวน 611 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.67 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2565 (ระหว่างวันที่ 12 – 18 พฤศจิกายน 2564) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 611 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.67 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 300 คดี ค่าปรับ 2.30 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 254 คดี ค่าปรับ 7.81 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 8 คดี ค่าปรับ 0.12 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 17 คดี ค่าปรับ 0.31 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 3 คดี ค่าปรับ 0.03 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 20 คดี ค่าปรับ 0.51 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 9 คดี ค่าปรับ 0.59 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,450.080 ลิตร ยาสูบ จํานวน 14,674 ซอง ไพ่ จํานวน 528 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 4,275.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 1,320 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 25 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 18 พฤศจิกายน 2564 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 3,654 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 85.31 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 1,818 คดี ค่าปรับ 15.88 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 1,358 คดี ค่าปรับ 42.49 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 52 คดี ค่าปรับ 0.54 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 84 คดี ค่าปรับ 13.61 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 22 คดี ค่าปรับ 1.00 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 239 คดี ค่าปรับ จํานวน 5.20 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 81 คดี ค่าปรับ 6.59 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 18,572.755 ลิตร ยาสูบ จํานวน 1,180,520 ซอง ไพ่ จํานวน 2,333 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 379,768.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 25,633 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 292 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://webdev.excise.go.th/act2560/suppress-news/37-2564/726-2565-12-18-2564-57 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ผลการปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 12 – 18 พฤศจิกายน 2564
วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 12 – 18 พฤศจิกายน 2564
ผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ระหว่างวันที่ 12 – 18 พฤศจิกายน 2564 พบการกระทําผิด จํานวน 611 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.67 ล้านบาท
นายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า ได้ดําเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทําแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกําลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสํานักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกําลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทําผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน
สําหรับผลการปราบปรามผู้กระทําผิดกฎหมายสรรพสามิตทั่วประเทศ ปีงบประมาณ 2565 (ระหว่างวันที่ 12 – 18 พฤศจิกายน 2564) พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 611 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 11.67 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 300 คดี ค่าปรับ 2.30 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 254 คดี ค่าปรับ 7.81 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 8 คดี ค่าปรับ 0.12 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 17 คดี ค่าปรับ 0.31 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 3 คดี ค่าปรับ 0.03 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 20 คดี ค่าปรับ 0.51 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 9 คดี ค่าปรับ 0.59 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 1,450.080 ลิตร ยาสูบ จํานวน 14,674 ซอง ไพ่ จํานวน 528 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 4,275.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 1,320 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 25 คัน
สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 18 พฤศจิกายน 2564 พบว่ามีการกระทําผิด จํานวน 3,654 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 85.31 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จํานวน 1,818 คดี ค่าปรับ 15.88 ล้านบาท ยาสูบ จํานวน 1,358 คดี ค่าปรับ 42.49 ล้านบาท ไพ่ จํานวน 52 คดี ค่าปรับ 0.54 ล้านบาท น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 84 คดี ค่าปรับ 13.61 ล้านบาท น้ําหอม จํานวน 22 คดี ค่าปรับ 1.00 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จํานวน 239 คดี ค่าปรับ จํานวน 5.20 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จํานวน 81 คดี ค่าปรับ 6.59 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ําสุรา จํานวน 18,572.755 ลิตร ยาสูบ จํานวน 1,180,520 ซอง ไพ่ จํานวน 2,333 สํารับ น้ํามันและผลิตภัณฑ์น้ํามัน จํานวน 379,768.000 ลิตร น้ําหอม จํานวน 25,633 ขวด รถจักรยานยนต์ จํานวน 292 คัน
“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทําความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสํานักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ”
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สํานักงานเลขานุการกรม กรมสรรพสามิต
โทร/โทรสาร 0 2241 4778
https://webdev.excise.go.th/act2560/suppress-news/37-2564/726-2565-12-18-2564-57 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48462 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เปิดโอกาสให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด เข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ยหนี้ | วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม เปิดโอกาสให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และไม่สามารถชําระหนี้ได้ตามกําหนด เข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ยหนี้
....
โครงการ "บังคับคดีร่วมใจไกล่เกลี่ยช่วยเหลือเกษตรกรถูกยึดทรัพย์จํานอง" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ก.ค. - 15 ก.ย. 64 ณ ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรมบังคับคดี /สํานักงานบังคับคดีจังหวัด /สาขาทั่วประเทศ รวม 116 แห่ง
.
ลูกหนี้เกษตรกรที่กําลังประสบปัญหาหนี้สิน สามารถยื่นคําร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้www.led.go.thและขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Session call
.
สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2881 4840 , 0 2887 5072 หรือสายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 และสํานักงานบังคับคดีทั่วประเทศ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม เปิดโอกาสให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด เข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ยหนี้
วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม เปิดโอกาสให้เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และไม่สามารถชําระหนี้ได้ตามกําหนด เข้าร่วมโครงการไกล่เกลี่ยหนี้
....
โครงการ "บังคับคดีร่วมใจไกล่เกลี่ยช่วยเหลือเกษตรกรถูกยึดทรัพย์จํานอง" จัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 ก.ค. - 15 ก.ย. 64 ณ ศูนย์ไกล่เกลี่ยข้อพิพาท กรมบังคับคดี /สํานักงานบังคับคดีจังหวัด /สาขาทั่วประเทศ รวม 116 แห่ง
.
ลูกหนี้เกษตรกรที่กําลังประสบปัญหาหนี้สิน สามารถยื่นคําร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทได้www.led.go.thและขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทออนไลน์ผ่านแอปพลิเคชัน Session call
.
สอบถามเพิ่มเติม โทร. 0 2881 4840 , 0 2887 5072 หรือสายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 และสํานักงานบังคับคดีทั่วประเทศ
#ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44575 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ฝรั่งเศส ลงนามใน Roadmap ยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ | วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564
ไทย-ฝรั่งเศส ลงนามใน Roadmap ยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม 2564
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
ประเทศไทยลงนามร่วมกับประเทศฝรั่งเศสใน Roadmap ค.ศ.2021-2023 เพื่อยกระดับความสัมพันธ์สู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและกลุ่มประเทศ G7 ณ สหราชอาณาจักร ในวันที่ 11-12 ธ.ค.64 ประกอบด้วยความร่วมมือ 4 ด้าน ได้แก่ 1.สันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคง 2.หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน 3.การแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน และ 4.ความร่วมมือในประเด็นระดับโลก เช่น ความร่วมมือในสาขาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ความร่วมมือต่อต้านภัยคุกคามทั้งระดับภูมิภาคและภัยข้ามชาติ ความร่วมมือด้านสาธารณสุขโดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนาวัคซีน ผลักดันการลงทุน ส่งเสริมการท่องเที่ยว และการใช้พลังงานทดแทน
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-ฝรั่งเศส ลงนามใน Roadmap ยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564
ไทย-ฝรั่งเศส ลงนามใน Roadmap ยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์
วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม 2564
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
ประเทศไทยลงนามร่วมกับประเทศฝรั่งเศสใน Roadmap ค.ศ.2021-2023 เพื่อยกระดับความสัมพันธ์สู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ ระหว่างการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนและกลุ่มประเทศ G7 ณ สหราชอาณาจักร ในวันที่ 11-12 ธ.ค.64 ประกอบด้วยความร่วมมือ 4 ด้าน ได้แก่ 1.สันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคง 2.หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สอดคล้องกับหลักการพัฒนาที่ยั่งยืน 3.การแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชน และ 4.ความร่วมมือในประเด็นระดับโลก เช่น ความร่วมมือในสาขาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ความร่วมมือต่อต้านภัยคุกคามทั้งระดับภูมิภาคและภัยข้ามชาติ ความร่วมมือด้านสาธารณสุขโดยเฉพาะการวิจัยและพัฒนาวัคซีน ผลักดันการลงทุน ส่งเสริมการท่องเที่ยว และการใช้พลังงานทดแทน
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49380 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงข้อเรียกร้องให้ทบทวนแผนการปรับลดค่าส่วนแบ่งการขายในธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี | วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564
กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงข้อเรียกร้องให้ทบทวนแผนการปรับลดค่าส่วนแบ่งการขายในธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี
อธิบดีกรมการค้าภายใน ยืนยันการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ ไม่ได้มีผลให้ตัวแทนไรเดอร์ผู้จัดส่งอาหารต้องสูญเสียรายได้แต่อย่างใด
วันที่ 28 สิงหาคม 2564 นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ covid 19 ส่งผลให้ รัฐบาลจําเป็นต้องกําหนดมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ โดยมาตรการหนึ่งคือการจํากัดการนั่งรับประทานอาหารในร้าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ส่วนหนึ่งของร้านอาหาร กระทรวงพาณิชย์จึงได้ร่วมมือกับ Food Delivery platform ได้แก่ Food Panda Grab Gojek LINEMAN และ Robinhood จํานวน 5 แพลตฟอร์ม ในการจัดโปรโมชั่นสําหรับการสั่งซื้ออาหารผ่านแพลตฟอร์ม เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และอีกส่วนหนึ่ง เป็นการลดค่า GP ที่เรียกเก็บจากร้านอาหาร จากเดิมให้เหลือไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างวันที่ 1 ถึง 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งผลจากการดําเนินการดังกล่าวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่ต่ํากว่า 2,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เพื่อดูแลให้เกิดความเป็นธรรมในระบบการค้าในธุรกิจ Food Delivery platform คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าบริการจําหน่ายและขนส่งอาหารผ่านแพลตฟอร์ม ประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สํานักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า กรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมโลจิสติกส์ไทย มีกรมการค้าภายในเป็นฝ่ายเลขานุการ โดยมีหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์เกี่ยวกับรูปแบบธุรกิจการบริการจําหน่ายและขนส่งอาหาร รวมถึงอัตราการเรียกเก็บค่าบริการและแนวทางหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจ ซึ่งคณะอนุกรรมการมีหลักการพิจารณาจะคํานึงถึงการสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างสมดุล กล่าวคือ (1) ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการใช้บริการ (2) ร้านค้าสามารถสร้างรายได้จากการขายผ่านแพลตฟอร์ม (3) ไรเดอร์มีผลตอบแทนที่เหมาะสม และ (4) แพลตฟอร์มสามารถประกอบธุรกิจและสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม การดําเนินการของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งในส่วนของกิจกรรมโปรโมชั่นและการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ จึงไม่ได้มีผลให้ตัวแทนไรเดอร์ผู้จัดส่งอาหารต้องสูญเสียรายได้แต่อย่างใด | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงข้อเรียกร้องให้ทบทวนแผนการปรับลดค่าส่วนแบ่งการขายในธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564
กระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงข้อเรียกร้องให้ทบทวนแผนการปรับลดค่าส่วนแบ่งการขายในธุรกิจฟู้ดเดลิเวอรี
อธิบดีกรมการค้าภายใน ยืนยันการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ ไม่ได้มีผลให้ตัวแทนไรเดอร์ผู้จัดส่งอาหารต้องสูญเสียรายได้แต่อย่างใด
วันที่ 28 สิงหาคม 2564 นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ covid 19 ส่งผลให้ รัฐบาลจําเป็นต้องกําหนดมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ โดยมาตรการหนึ่งคือการจํากัดการนั่งรับประทานอาหารในร้าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ส่วนหนึ่งของร้านอาหาร กระทรวงพาณิชย์จึงได้ร่วมมือกับ Food Delivery platform ได้แก่ Food Panda Grab Gojek LINEMAN และ Robinhood จํานวน 5 แพลตฟอร์ม ในการจัดโปรโมชั่นสําหรับการสั่งซื้ออาหารผ่านแพลตฟอร์ม เพื่อลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และอีกส่วนหนึ่ง เป็นการลดค่า GP ที่เรียกเก็บจากร้านอาหาร จากเดิมให้เหลือไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ ระหว่างวันที่ 1 ถึง 30 มิถุนายน 2564 ซึ่งผลจากการดําเนินการดังกล่าวช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่ต่ํากว่า 2,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เพื่อดูแลให้เกิดความเป็นธรรมในระบบการค้าในธุรกิจ Food Delivery platform คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ จึงได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าบริการจําหน่ายและขนส่งอาหารผ่านแพลตฟอร์ม ประกอบด้วยผู้แทนจากกระทรวงคมนาคม กระทรวงดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สํานักงานคณะกรรมการแข่งขันทางการค้า กรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมโลจิสติกส์ไทย มีกรมการค้าภายในเป็นฝ่ายเลขานุการ โดยมีหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์เกี่ยวกับรูปแบบธุรกิจการบริการจําหน่ายและขนส่งอาหาร รวมถึงอัตราการเรียกเก็บค่าบริการและแนวทางหลักเกณฑ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจ ซึ่งคณะอนุกรรมการมีหลักการพิจารณาจะคํานึงถึงการสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายอย่างสมดุล กล่าวคือ (1) ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการใช้บริการ (2) ร้านค้าสามารถสร้างรายได้จากการขายผ่านแพลตฟอร์ม (3) ไรเดอร์มีผลตอบแทนที่เหมาะสม และ (4) แพลตฟอร์มสามารถประกอบธุรกิจและสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม การดําเนินการของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งในส่วนของกิจกรรมโปรโมชั่นและการพิจารณาของคณะอนุกรรมการฯ จึงไม่ได้มีผลให้ตัวแทนไรเดอร์ผู้จัดส่งอาหารต้องสูญเสียรายได้แต่อย่างใด | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45296 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ | วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564
ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อําเภอ และจังหวัดคุณธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
การประชุมคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อําเภอ และจังหวัดคุณธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ (ประชุมทางไกลผ่านระบบ Zoom Meeting)
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อําเภอ และจังหวัดคุณธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ (ประชุมทางไกลผ่านระบบ Zoom Meeting) โดยมีนางพิมพ์กาญจน์ ชัยจิตร์สกุล ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนองค์การมหาชน ผู้บริหารกรมการศาสนา ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุมกรมการศาสนา ชั้น ๒ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อำเภอ และจังหวัดคุณธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564
ปลัด วธ. เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อําเภอ และจังหวัดคุณธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔
การประชุมคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อําเภอ และจังหวัดคุณธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ (ประชุมทางไกลผ่านระบบ Zoom Meeting)
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๓๐ น. นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านการประเมินชุมชน องค์กร อําเภอ และจังหวัดคุณธรรม ครั้งที่ ๒/๒๕๖๔ (ประชุมทางไกลผ่านระบบ Zoom Meeting) โดยมีนางพิมพ์กาญจน์ ชัยจิตร์สกุล ที่ปรึกษากระทรวงวัฒนธรรม นายเกรียงศักดิ์ บุญประสิทธิ์ อธิบดีกรมการศาสนา ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนองค์การมหาชน ผู้บริหารกรมการศาสนา ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ ห้องประชุมกรมการศาสนา ชั้น ๒ อาคารวัฒนธรรมวิศิษฏ์ กระทรวงวัฒนธรรม | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46252 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง เตรียมการจัดส่งแรงงานไทยทำงานซาอุ ภายใน 3 เดือน หลังลงนาม MoU | วันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2565
รมว.เฮ้ง เตรียมการจัดส่งแรงงานไทยทํางานซาอุ ภายใน 3 เดือน หลังลงนาม MoU
กระทรวงแรงงาน ชวนคนหางานที่สนใจทํางานซาอุดีอาระเบีย ภาคการบริการสุขภาพ
ภาคอุตสาหกรรมและภาคการท่องเที่ยว ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ toea.doe.go.th พร้อมแจงค่าใช้จ่ายเดินทางทํางานซาอุฯ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาสังคมแห่งซาอุดีอาระเบีย ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้าน จํานวน 2 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ข้อตกลงว่าด้วยการจัดหาแรงงาน และ 2. ข้อตกลงว่าด้วยการจัดหาแรงงานทํางานในบ้าน แรงงาน เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 65 ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายกระทรวงแรงงาน เร่งดําเนินการขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม ทั้งการเตรียมความพร้อมพัฒนากําลังแรงงานมีทักษะฝีมือให้ตรงกับความต้องการของนายจ้างและสถานประกอบการของซาอุดีอาระเบีย และดําเนินการรับสมัครคนหางานที่ประสงค์จะเดินทางไปทํางานในซาอุดีอาระเบีย โดยเบื้องต้นตั้งเป้าจัดส่งแรงงานไทยภาคการบริการสุขภาพ ที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย เนื่องจากมีความคล้ายคลึงทางศาสนา และวัฒนธรรม และเป็นประเภทแรงงานที่ทางซาอุฯมีความต้องการมากที่สุด โดยหลังจากที่นายจ้างซาอุฯแจ้งความต้องการตําแหน่งงาน เงื่อนไขการจ้างงานและคุณสมบัติของแรงงาน มายังกระทรวงแรงงานแล้ว กรมการจัดหางานจะคัดเลือกคนหางานจากศูนย์ทะเบียนคนหางานที่ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไว้เป็นลําดับแรก และหากคนหางานในศูนย์ทะเบียนไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของนายจ้าง จะดําเนินการประกาศรับสมัครต่อไป โดยจะจัดเร่งส่งแรงงานกลุ่มแรกภายใน 3 เดือนหลังการลงนาม MoU
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น มีข้อสั่งการให้กรมการจัดหางานเตรียมความพร้อมด้านการจัดหาแรงงานไทย ในภาคบริการสุขภาพ งานดูแลผู้ป่วย และงานดูแลผู้สูงอายุ ภาคอุสาหกรรม งานช่าง วิศวกร ภาคท่องเที่ยว โรงแรม นวดสปา และเชฟ โดยจะมีการลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อหารือข้อราชการเกี่ยวกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานซาอุฯ นอกเหนือจากก่อนหน้าที่ได้มอบนโยบายการขยายตลาดแรงงานแก่จัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด ให้ประชาสัมพันธ์ข้อมูลแก่คนหางานในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และประสานหน่วยงานในพื้นที่ทั้งภาครัฐ และเอกชน
“เบื้องต้นคนไทยที่ต้องการเดินทางไปทํางานที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย สามารถติดต่อได้ที่สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสํานักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ toea.doe.go.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์สําหรับลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไปทํางานต่างประเทศ ของกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โดยมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทํางาน กรณีจัดส่งโดยรัฐ ประมาณ 32,800 บาท ประกอบด้วย ค่าบัตรโดยสารเครื่องบินไปซาอุดีอาระเบีย ประมาณ 20,000 บาท ค่าธรรมเนียมการยื่นขอวีซ่าแบบเข้าออกครั้งเดียว 6,000 บาท ค่าหนังสือเดินทาง 1,500 บาท ค่าตรวจสุขภาพ 2,300 บาท ค่าตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประมาณ 1,000 บาท ค่าประกันสุขภาพโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประมาณ 1,000 บาท ค่าทดสอบฝีมือแรงงาน 500 บาท ค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม 100 บาท ค่าสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ 400 บาท” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
สําหรับผู้ที่สนใจไปทํางานต่างประเทศ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือหากสนใจเข้ารับการฝึกอบรมหรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน สอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง เตรียมการจัดส่งแรงงานไทยทำงานซาอุ ภายใน 3 เดือน หลังลงนาม MoU
วันศุกร์ที่ 8 เมษายน 2565
รมว.เฮ้ง เตรียมการจัดส่งแรงงานไทยทํางานซาอุ ภายใน 3 เดือน หลังลงนาม MoU
กระทรวงแรงงาน ชวนคนหางานที่สนใจทํางานซาอุดีอาระเบีย ภาคการบริการสุขภาพ
ภาคอุตสาหกรรมและภาคการท่องเที่ยว ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ toea.doe.go.th พร้อมแจงค่าใช้จ่ายเดินทางทํางานซาอุฯ
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากกระทรวงแรงงานแห่งราชอาณาจักรไทย และกระทรวงทรัพยากรมนุษย์ และการพัฒนาสังคมแห่งซาอุดีอาระเบีย ได้ลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้าน จํานวน 2 ฉบับ ประกอบด้วย 1. ข้อตกลงว่าด้วยการจัดหาแรงงาน และ 2. ข้อตกลงว่าด้วยการจัดหาแรงงานทํางานในบ้าน แรงงาน เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 65 ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายกระทรวงแรงงาน เร่งดําเนินการขับเคลื่อนให้เป็นรูปธรรม ทั้งการเตรียมความพร้อมพัฒนากําลังแรงงานมีทักษะฝีมือให้ตรงกับความต้องการของนายจ้างและสถานประกอบการของซาอุดีอาระเบีย และดําเนินการรับสมัครคนหางานที่ประสงค์จะเดินทางไปทํางานในซาอุดีอาระเบีย โดยเบื้องต้นตั้งเป้าจัดส่งแรงงานไทยภาคการบริการสุขภาพ ที่อยู่ทางภาคใต้ของประเทศไทย เนื่องจากมีความคล้ายคลึงทางศาสนา และวัฒนธรรม และเป็นประเภทแรงงานที่ทางซาอุฯมีความต้องการมากที่สุด โดยหลังจากที่นายจ้างซาอุฯแจ้งความต้องการตําแหน่งงาน เงื่อนไขการจ้างงานและคุณสมบัติของแรงงาน มายังกระทรวงแรงงานแล้ว กรมการจัดหางานจะคัดเลือกคนหางานจากศูนย์ทะเบียนคนหางานที่ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไว้เป็นลําดับแรก และหากคนหางานในศูนย์ทะเบียนไม่เพียงพอหรือไม่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของนายจ้าง จะดําเนินการประกาศรับสมัครต่อไป โดยจะจัดเร่งส่งแรงงานกลุ่มแรกภายใน 3 เดือนหลังการลงนาม MoU
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น มีข้อสั่งการให้กรมการจัดหางานเตรียมความพร้อมด้านการจัดหาแรงงานไทย ในภาคบริการสุขภาพ งานดูแลผู้ป่วย และงานดูแลผู้สูงอายุ ภาคอุสาหกรรม งานช่าง วิศวกร ภาคท่องเที่ยว โรงแรม นวดสปา และเชฟ โดยจะมีการลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ เพื่อหารือข้อราชการเกี่ยวกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานซาอุฯ นอกเหนือจากก่อนหน้าที่ได้มอบนโยบายการขยายตลาดแรงงานแก่จัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด ให้ประชาสัมพันธ์ข้อมูลแก่คนหางานในเขตพื้นที่รับผิดชอบ และประสานหน่วยงานในพื้นที่ทั้งภาครัฐ และเอกชน
“เบื้องต้นคนไทยที่ต้องการเดินทางไปทํางานที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย สามารถติดต่อได้ที่สํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือสํานักงานจัดหางานจังหวัดทั่วประเทศ หรือลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ toea.doe.go.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์สําหรับลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ไปทํางานต่างประเทศ ของกองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ กรมการจัดหางาน โดยมีค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทํางาน กรณีจัดส่งโดยรัฐ ประมาณ 32,800 บาท ประกอบด้วย ค่าบัตรโดยสารเครื่องบินไปซาอุดีอาระเบีย ประมาณ 20,000 บาท ค่าธรรมเนียมการยื่นขอวีซ่าแบบเข้าออกครั้งเดียว 6,000 บาท ค่าหนังสือเดินทาง 1,500 บาท ค่าตรวจสุขภาพ 2,300 บาท ค่าตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประมาณ 1,000 บาท ค่าประกันสุขภาพโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ประมาณ 1,000 บาท ค่าทดสอบฝีมือแรงงาน 500 บาท ค่าตรวจสอบประวัติอาชญากรรม 100 บาท ค่าสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ 400 บาท” อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าว
สําหรับผู้ที่สนใจไปทํางานต่างประเทศ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือหากสนใจเข้ารับการฝึกอบรมหรือทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน สอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 4 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53415 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 18 จังหวัดประจำวันที่ 24 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. สามารถสัญจรได้ 39 สายทาง ไม่สามารถสัญจรได้ 24 สายทาง | วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564
กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 18 จังหวัดประจําวันที่ 24 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. สามารถสัญจรได้ 39 สายทาง ไม่สามารถสัญจรได้ 24 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 23 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ว่ามีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 18 จังหวัด รวม 63 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 39 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 24 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 24 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 18 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ นครสวรรค์ อุทัยธานี นครราชสีมา นครนายก สุพรรณบุรี นครปฐม และกาญจนบุรี รวม 63 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 39 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 24 สายทาง แบ่งเป็น น้ําท่วมสูง 18 สายทาง (18 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 4 สายทาง (4 แห่ง) สะพานขาด คอสะพานขาด ทรุดตัว กัดเซาะ 1 สายทาง (1 แห่ง) ไหล่ทาง คันทางพังทลาย ดินไหล่เขาสไลด์ 1 สายทาง (1 แห่ง) รายละเอียดดังนี้
1. สายทาง นว.3102 แยก ทล.117 - บ้านเนิน อําเภอเก้าเลี้ยว และชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ น้ําท่วมสูง 45 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 8+300 - 11+100)
2. สายทาง นว.017 สะพานบางเคียน อําเภอเก้าเลี้ยว และชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 1+619)
3. สายทาง ชย.3002 แยก ทล.201 - บ้านเขว้า อําเภอเมือง และบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+800 - 3+900)
4. สายทาง ชย.3003 แยก ทล. 202 (กม. ที่ 124+200) - แยก ทล. 2065 (กม. ที่ 6+997) อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 4+450 - 4+900)
5. สายทาง ชย.3010 แยก ทล.205 - อ่างเก็บน้ําลําคันฉู อําเภอบําเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+600 - 2+800)
6. สายทาง ชย.4040 แยก ทล. 2065 (กม. ที่ 10+445) - แยก ทล. 2233 อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ สะพานขาด (ช่วง กม. ที่ 11+200)
7. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ําชี ท่านกโง่ อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600)
8. สายทาง สร.012 ถนนเชิงลาดสะพานใหม่นาหนองไผ่ - กระโพ อําเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 70 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 6+600)
9. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+800)
10. สายทาง สร.022 สะพานมิตรภาพบะ - หนองเรือ อําเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 120 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+600 - 4+200)
11. สายทาง บร.018 สะพานชุมชนข้ามแม่น้ํามูล อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ น้ําท่วมสูง 70 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+250 - 1+725)
12. สายทาง ขก.1011 แยก ทล.2 - บ้านพระยืน อําเภอเมือง และพระยืน จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 1+900 - 2+100)
13. สายทาง มค.005 ถนนเชิงลาดสะพานลดาวัลย์ข้ามลําน้ําชี อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร
14. สายทาง มค.009 ถนนเชิงลาดสะพานบ้านคุยเชือก อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร
15. สายทาง รอ.033 ถนนเชิงลาดสะพานข้ามลําน้ําชี สะพานคุยโพธิ์ - หนองแก่ง อําเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+070 - 3+365)
16. สายทาง อย.019 สะพานข้ามแม่น้ําน้อย อําเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 43 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+050)
17. สายทาง อย.026 สะพานวัดอินทาราม อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 85 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+075)
18. สายทาง อท.2034 แยก ทล.32 - บ้านมหานาม อําเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+500 - 7+300)
19. สายทาง ลบ.1030 แยก ทล.1 (กม. ที่ 197+000) - บ้านถลุงเหล็ก อําเภอโคกสําโรง จังหวัดลพบุรี เส้นทางขาด (ช่วง กม.ที่ 11+600 - 11+650)
20. สายทาง สห.2006 แยก ทล.32 - แยก ทล.311 อําเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+300 - 2+500)
21. สายทาง สพ.005 สะพานบางแม่หม้าย - บางเลน อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+100 - 0+800)
22. สายทาง นฐ.058 สะพานบางไผ่นารถข้ามแม่น้ําท่าจีน อําเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+563)
23. สายทาง กจ.4041 แยก ทล.3199 - บ้านท่าลําใย อําเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ดินไหล่เขาสไลด์ (ช่วง กม. ที่ 22+000 - 25+000)
24. สายทาง กจ.4051 แยก ทล.3086 - บ้านสลอบ อําเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+200 - 2+300)
ทั้งนี้ ทช. ได้ดําเนินการติดตั้งป้ายเตือนบริเวณสายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และขอความร่วมมือโปรดใช้ความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน โดย ทช. ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การบรรเทาความเดือดร้อนและอํานวยความปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยหรือสอบถามเส้นทางได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 18 จังหวัดประจำวันที่ 24 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. สามารถสัญจรได้ 39 สายทาง ไม่สามารถสัญจรได้ 24 สายทาง
วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564
กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ 18 จังหวัดประจําวันที่ 24 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. สามารถสัญจรได้ 39 สายทาง ไม่สามารถสัญจรได้ 24 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 23 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ว่ามีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 18 จังหวัด รวม 63 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 39 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 24 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยประจําวันที่ 24 ตุลาคม 2564 เวลา 17.00 น. ว่า มีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 18 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี ชัยภูมิ สุรินทร์ บุรีรัมย์ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ นครสวรรค์ อุทัยธานี นครราชสีมา นครนายก สุพรรณบุรี นครปฐม และกาญจนบุรี รวม 63 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 39 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 24 สายทาง แบ่งเป็น น้ําท่วมสูง 18 สายทาง (18 แห่ง) ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 4 สายทาง (4 แห่ง) สะพานขาด คอสะพานขาด ทรุดตัว กัดเซาะ 1 สายทาง (1 แห่ง) ไหล่ทาง คันทางพังทลาย ดินไหล่เขาสไลด์ 1 สายทาง (1 แห่ง) รายละเอียดดังนี้
1. สายทาง นว.3102 แยก ทล.117 - บ้านเนิน อําเภอเก้าเลี้ยว และชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ น้ําท่วมสูง 45 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 8+300 - 11+100)
2. สายทาง นว.017 สะพานบางเคียน อําเภอเก้าเลี้ยว และชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 1+619)
3. สายทาง ชย.3002 แยก ทล.201 - บ้านเขว้า อําเภอเมือง และบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+800 - 3+900)
4. สายทาง ชย.3003 แยก ทล. 202 (กม. ที่ 124+200) - แยก ทล. 2065 (กม. ที่ 6+997) อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 4+450 - 4+900)
5. สายทาง ชย.3010 แยก ทล.205 - อ่างเก็บน้ําลําคันฉู อําเภอบําเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+600 - 2+800)
6. สายทาง ชย.4040 แยก ทล. 2065 (กม. ที่ 10+445) - แยก ทล. 2233 อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ สะพานขาด (ช่วง กม. ที่ 11+200)
7. สายทาง ชย.024 สะพานข้ามแม่น้ําชี ท่านกโง่ อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 3+600)
8. สายทาง สร.012 ถนนเชิงลาดสะพานใหม่นาหนองไผ่ - กระโพ อําเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 70 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+000 - 6+600)
9. สายทาง สร.021 ถนนเชิงลาดสะพานมิตรภาพสระขุด อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+200 - 3+800)
10. สายทาง สร.022 สะพานมิตรภาพบะ - หนองเรือ อําเภอท่าตูม และชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ น้ําท่วมสูง 120 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+600 - 4+200)
11. สายทาง บร.018 สะพานชุมชนข้ามแม่น้ํามูล อําเภอสตึก จังหวัดบุรีรัมย์ น้ําท่วมสูง 70 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+250 - 1+725)
12. สายทาง ขก.1011 แยก ทล.2 - บ้านพระยืน อําเภอเมือง และพระยืน จังหวัดขอนแก่น เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 1+900 - 2+100)
13. สายทาง มค.005 ถนนเชิงลาดสะพานลดาวัลย์ข้ามลําน้ําชี อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร
14. สายทาง มค.009 ถนนเชิงลาดสะพานบ้านคุยเชือก อําเภอโกสุมพิสัย จังหวัดมหาสารคาม น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร
15. สายทาง รอ.033 ถนนเชิงลาดสะพานข้ามลําน้ําชี สะพานคุยโพธิ์ - หนองแก่ง อําเภอโพธิ์ชัย จังหวัดร้อยเอ็ด น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+070 - 3+365)
16. สายทาง อย.019 สะพานข้ามแม่น้ําน้อย อําเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 43 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+050)
17. สายทาง อย.026 สะพานวัดอินทาราม อําเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา น้ําท่วมสูง 85 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+075)
18. สายทาง อท.2034 แยก ทล.32 - บ้านมหานาม อําเภอไชโย จังหวัดอ่างทอง น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+500 - 7+300)
19. สายทาง ลบ.1030 แยก ทล.1 (กม. ที่ 197+000) - บ้านถลุงเหล็ก อําเภอโคกสําโรง จังหวัดลพบุรี เส้นทางขาด (ช่วง กม.ที่ 11+600 - 11+650)
20. สายทาง สห.2006 แยก ทล.32 - แยก ทล.311 อําเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+300 - 2+500)
21. สายทาง สพ.005 สะพานบางแม่หม้าย - บางเลน อําเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+100 - 0+800)
22. สายทาง นฐ.058 สะพานบางไผ่นารถข้ามแม่น้ําท่าจีน อําเภอบางเลน จังหวัดนครปฐม น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 - 0+563)
23. สายทาง กจ.4041 แยก ทล.3199 - บ้านท่าลําใย อําเภอศรีสวัสดิ์ จังหวัดกาญจนบุรี ดินไหล่เขาสไลด์ (ช่วง กม. ที่ 22+000 - 25+000)
24. สายทาง กจ.4051 แยก ทล.3086 - บ้านสลอบ อําเภอบ่อพลอย จังหวัดกาญจนบุรี น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+200 - 2+300)
ทั้งนี้ ทช. ได้ดําเนินการติดตั้งป้ายเตือนบริเวณสายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และขอความร่วมมือโปรดใช้ความระมัดระวังในการใช้รถใช้ถนน โดย ทช. ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อให้การบรรเทาความเดือดร้อนและอํานวยความปลอดภัยในการเดินทางให้กับประชาชนเป็นไปอย่างรวดเร็ว ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยหรือสอบถามเส้นทางได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47335 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพัฒนาย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน | วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565
รัฐบาลพัฒนาย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลเดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนด้านสาธารณสุข โดยพัฒนาย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสถาบันการแพทย์และสาธารณสุขตั้งอยู่อย่างหนาแน่นที่สุดของประเทศไทยให้เป็นพื้นที่ต้นแบบ ในการพัฒนานวัตกรรมการแพทย์ของประเทศ โดย รพ.ในพื้นที่จะแบ่งปันทรัพยากรร่วมกัน เช่น ยืมเครื่องมือแพทย์จาก รพ.หนึ่งไปใช้ในอีก รพ.หนึ่ง หรือ ส่งคนไข้จาก รพ.หนึ่งไปนอนสังเกตอาการที่อีก รพ.ได้ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการการแพทย์ที่ทันสมัย รวดเร็ว ปลอดภัย และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมองตีบ โรคมะเร็ง และไส้ติ่งอักเสบที่ต้องผ่าตัด จะสามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้นภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ของสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพัฒนาย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565
รัฐบาลพัฒนาย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลเดินหน้ายกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนด้านสาธารณสุข โดยพัฒนาย่านนวัตกรรมการแพทย์โยธี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสถาบันการแพทย์และสาธารณสุขตั้งอยู่อย่างหนาแน่นที่สุดของประเทศไทยให้เป็นพื้นที่ต้นแบบ ในการพัฒนานวัตกรรมการแพทย์ของประเทศ โดย รพ.ในพื้นที่จะแบ่งปันทรัพยากรร่วมกัน เช่น ยืมเครื่องมือแพทย์จาก รพ.หนึ่งไปใช้ในอีก รพ.หนึ่ง หรือ ส่งคนไข้จาก รพ.หนึ่งไปนอนสังเกตอาการที่อีก รพ.ได้ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการการแพทย์ที่ทันสมัย รวดเร็ว ปลอดภัย และเกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมองตีบ โรคมะเร็ง และไส้ติ่งอักเสบที่ต้องผ่าตัด จะสามารถเข้าถึงการรักษาได้มากขึ้นภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ของสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54309 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขา. สมช. ในนาม ผอ. ศปก.ศบค. ไขข้อข้องใจประเด็นสถานการณ์โควิด-19 ย้ำทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อมาตรการสัมฤทธิ์ผล | วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564
เลขา. สมช. ในนาม ผอ. ศปก.ศบค. ไขข้อข้องใจประเด็นสถานการณ์โควิด-19 ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อมาตรการสัมฤทธิ์ผล
เลขา. สมช. ในนาม ผอ. ศปก.ศบค. ไขข้อข้องใจประเด็นสถานการณ์โควิด-19 ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อมาตรการสัมฤทธิ์ผล
วันนี้ (19 กรกฎาคม 2564) ณ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภา
ความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ผอ.ศปก.ศบค.) ชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิดซึ่งสืบเนื่องมาจากการออกประกาศราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 28) ซึ่งได้ยกระดับ 13 จังหวัด เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (แดงเข้ม) กําหนดมาตรการลดการเคลื่อนย้ายและการเดินทางประชาชน ห้ามออกนอกเคหสถาน ยกเว้น จัดหา อาหาร ยา เวชภัณฑ์ ส่วน ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ เปิดได้ถึง 20.00 น. และห้ามรวมกลุ่มเกิน 5 คน
พลเอก ณัฐพลฯ ตอบคําถามสื่อมวลชนเพื่อสร้างความกระจ่างให้กับประชาชน โดยเน้นว่ามาตรการที่ออกมานั้นจะประสบความสําเร็จได้ต้องประกอบไปด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐจะต้องมีความเข้มข้น จริงจัง ประณีตในการกําหนดรายละเอียดการปฏิบัติ ภาคเอกชน จะต้องให้การสนับสนุนมาตรการที่ ศบค.กําหนด พี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมือ นอกจากนั้นสื่อมวลชนก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเข้าใจ
นอกจากนั้น ยังได้ตอบประเด็นคําถามที่สื่อมวลชนได้ถาม อาทิ เรื่องของการปฏิบัติงานของสื่อมวลชนยังคงทําได้ โดยให้ยึดหลัก DMHTT ส่วนอาสาสมัครก็ยังทําได้เพราะถือเป็นการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับบริการสาธารณสุข เรื่องของการเดินทางมาฉีดวัคซีนที่ กทม. นั้น แสดงใบนัดเป็นหลักฐานแก่เจ้าหน้าที่ และยังมีเว็บไซต์ “หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” เพื่อกรอกแบบฟอร์มรับ QR Code เพื่อแสดงแก่เจ้าหน้าที่ เรื่องของเคอร์ฟิวในห้วงเวลาช่วงกลางวันจะเป็นลักษณะการ “ให้งดเว้นหรือหลีกเลี่ยง” และยังยืนยันว่า ศบค. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้มีการเตรียมการไว้แล้วทุกสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง สําหรับกรณีโมเดลอู่ฮั่นเป็นข้อพิจารณา ของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะต้องประเมินสถานการณ์ในลําดับต่อไป ส่วนมาตรการล็อคดาวน์แบบเต็มรูปแบบ (Full Lockdown) จะประเมินจากหลายๆปัจจัยอาทิ ยอดผู้ติดเชื้อ จํานวนสถานพยาบาล และมิติผลกระทบทางเศรษฐกิจ
เลขา สมช. ยังขอให้สื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนเห็นใจการทํางานของกระทรวงสาธารณสุข ในการจัดหาวัคซีน เพราะปัจจัยต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พร้อมได้ชี้แจงแนวทางแก้ไขปัญหาการรอเตียงจํานวนมาก ได้แก่ มีการเร่งมาตรการการแยกกักที่บ้าน Home Isolation การจัดตั้งศูนย์พักคอยซึ่งจะมีครบทั้ง 50 เขต ใน กทม. ภายเดือนกรกฎาคมนี้ และพยายามแก้ปัญหา Call Center โดยเพิ่มคู่สายให้มากขึ้น
“ทาง ศบค. เองตระหนักว่าการใช้มาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นจะทําให้พี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อน จึงต้องขอความกรุณาทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการ เพื่อให้ในเวลา 14 วันข้างหน้านี้มาตรการนั้นเกิดประสิทธิผล และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นจะได้เร่งผ่อนคลายมาตรการ ศบค.จะได้มีการติดตามสถานการณ์รายวัน และต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด” พลเอก ณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย
อนึ่ง สําหรับเนื้อหาเพิ่มเติมสามารถเข้าถึงได้จาก Youtube “ไทยคู่ฟ้า”
https://www.youtube.com/watch?v=5qAxL2ydurU | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขา. สมช. ในนาม ผอ. ศปก.ศบค. ไขข้อข้องใจประเด็นสถานการณ์โควิด-19 ย้ำทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อมาตรการสัมฤทธิ์ผล
วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564
เลขา. สมช. ในนาม ผอ. ศปก.ศบค. ไขข้อข้องใจประเด็นสถานการณ์โควิด-19 ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อมาตรการสัมฤทธิ์ผล
เลขา. สมช. ในนาม ผอ. ศปก.ศบค. ไขข้อข้องใจประเด็นสถานการณ์โควิด-19 ย้ําทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อมาตรการสัมฤทธิ์ผล
วันนี้ (19 กรกฎาคม 2564) ณ ทําเนียบรัฐบาล พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภา
ความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในฐานะผู้อํานวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ผอ.ศปก.ศบค.) ชี้แจงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์โควิดซึ่งสืบเนื่องมาจากการออกประกาศราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 (ฉบับที่ 28) ซึ่งได้ยกระดับ 13 จังหวัด เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (แดงเข้ม) กําหนดมาตรการลดการเคลื่อนย้ายและการเดินทางประชาชน ห้ามออกนอกเคหสถาน ยกเว้น จัดหา อาหาร ยา เวชภัณฑ์ ส่วน ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านสะดวกซื้อ เปิดได้ถึง 20.00 น. และห้ามรวมกลุ่มเกิน 5 คน
พลเอก ณัฐพลฯ ตอบคําถามสื่อมวลชนเพื่อสร้างความกระจ่างให้กับประชาชน โดยเน้นว่ามาตรการที่ออกมานั้นจะประสบความสําเร็จได้ต้องประกอบไปด้วยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐจะต้องมีความเข้มข้น จริงจัง ประณีตในการกําหนดรายละเอียดการปฏิบัติ ภาคเอกชน จะต้องให้การสนับสนุนมาตรการที่ ศบค.กําหนด พี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมือ นอกจากนั้นสื่อมวลชนก็เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความเข้าใจ
นอกจากนั้น ยังได้ตอบประเด็นคําถามที่สื่อมวลชนได้ถาม อาทิ เรื่องของการปฏิบัติงานของสื่อมวลชนยังคงทําได้ โดยให้ยึดหลัก DMHTT ส่วนอาสาสมัครก็ยังทําได้เพราะถือเป็นการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับบริการสาธารณสุข เรื่องของการเดินทางมาฉีดวัคซีนที่ กทม. นั้น แสดงใบนัดเป็นหลักฐานแก่เจ้าหน้าที่ และยังมีเว็บไซต์ “หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” เพื่อกรอกแบบฟอร์มรับ QR Code เพื่อแสดงแก่เจ้าหน้าที่ เรื่องของเคอร์ฟิวในห้วงเวลาช่วงกลางวันจะเป็นลักษณะการ “ให้งดเว้นหรือหลีกเลี่ยง” และยังยืนยันว่า ศบค. และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมดได้มีการเตรียมการไว้แล้วทุกสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง สําหรับกรณีโมเดลอู่ฮั่นเป็นข้อพิจารณา ของกระทรวงสาธารณสุข ที่จะต้องประเมินสถานการณ์ในลําดับต่อไป ส่วนมาตรการล็อคดาวน์แบบเต็มรูปแบบ (Full Lockdown) จะประเมินจากหลายๆปัจจัยอาทิ ยอดผู้ติดเชื้อ จํานวนสถานพยาบาล และมิติผลกระทบทางเศรษฐกิจ
เลขา สมช. ยังขอให้สื่อมวลชนและพี่น้องประชาชนเห็นใจการทํางานของกระทรวงสาธารณสุข ในการจัดหาวัคซีน เพราะปัจจัยต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พร้อมได้ชี้แจงแนวทางแก้ไขปัญหาการรอเตียงจํานวนมาก ได้แก่ มีการเร่งมาตรการการแยกกักที่บ้าน Home Isolation การจัดตั้งศูนย์พักคอยซึ่งจะมีครบทั้ง 50 เขต ใน กทม. ภายเดือนกรกฎาคมนี้ และพยายามแก้ปัญหา Call Center โดยเพิ่มคู่สายให้มากขึ้น
“ทาง ศบค. เองตระหนักว่าการใช้มาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นจะทําให้พี่น้องประชาชนต้องเดือดร้อน จึงต้องขอความกรุณาทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการ เพื่อให้ในเวลา 14 วันข้างหน้านี้มาตรการนั้นเกิดประสิทธิผล และเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นจะได้เร่งผ่อนคลายมาตรการ ศบค.จะได้มีการติดตามสถานการณ์รายวัน และต้องขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีมาโดยตลอด” พลเอก ณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย
อนึ่ง สําหรับเนื้อหาเพิ่มเติมสามารถเข้าถึงได้จาก Youtube “ไทยคู่ฟ้า”
https://www.youtube.com/watch?v=5qAxL2ydurU | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43907 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอาใจผู้สูงวัย! ครม.อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษผู้สูงอายุ 100 - 200 บาท ตามช่วงวัย รวม 6 เดือน บรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจ ช่วยผู้สูงอายุกว่า 10 ล้านคน | วันอังคารที่ 26 เมษายน 2565
เอาใจผู้สูงวัย! ครม.อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษผู้สูงอายุ 100 - 200 บาท ตามช่วงวัย รวม 6 เดือน บรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจ ช่วยผู้สูงอายุกว่า 10 ล้านคน
เอาใจผู้สูงวัย! ครม.อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษผู้สูงอายุ 100 - 200 บาท ตามช่วงวัย รวม 6 เดือน บรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจ ช่วยผู้สูงอายุกว่า 10 ล้านคน
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2565 ว่า ครม.อนุมัติหลักการจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษแก่ผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิสวัสดิการเบี้ยยังชีพในปีงบประมาณ 2565 เฉลี่ยรายละ 100 - 200 บาท ตามช่วงอายุ จํานวน 10,896,444 ล้านคน วงเงินรวม 8,348.16 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน – กันยายน 2565 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ผู้สูงอายุได้รับผลกระทบทางรายได้คิดเป็นร้อยละ 50.7 ของผู้สูงอายุทั้งหมด และรายได้ของผู้สูงอายุที่มาจากการทํางานมีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 40 เหลือเพียงร้อยละ 22 (ข้อมูลจากสํานักงานสถิติแห่งชาติ)
การจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษแก่ผู้สูงอายุในครั้งนี้ จะจ่ายเพิ่มจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นรายเดือนตามช่วงอายุ เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน – กันยายน 2565 ดังนี้
1.อายุ 60 -69 ปี รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600 บ./เดือน รับเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่ม 100 บ./เดือน รวมเป็น 700 บ./เดือน
2.อายุ 70 -79 ปี รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 700 บ./เดือน รับเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่ม 150 บ./เดือน รวมเป็น 850 บ./เดือน
3.อายุ 80 -89 ปี รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 800 บ./เดือน รับเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่ม 200 บ./เดือน รวมเป็น 1,000 บ./เดือน
4.อายุ 90 ปีขึ้นไป รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 1,000บ./เดือน รับเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่ม 250 บาท/เดือน รวมเป็น 1,250บ./เดือน
นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่า ที่ประชุมมอบหมายกระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ดําเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษผู้สูงอายุต่อไป ส่วนกรณีผู้สูงอายุที่ถูกระงับสิทธิ เนื่องจากได้รับสวัสดิการอื่นซ้ําซ้อนจากรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้รับสิทธิเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ปรับเพิ่มด้วย โดยจะได้รับเมื่อมีการออกระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฉบับใหม่ ตามคําวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เอาใจผู้สูงวัย! ครม.อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษผู้สูงอายุ 100 - 200 บาท ตามช่วงวัย รวม 6 เดือน บรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจ ช่วยผู้สูงอายุกว่า 10 ล้านคน
วันอังคารที่ 26 เมษายน 2565
เอาใจผู้สูงวัย! ครม.อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษผู้สูงอายุ 100 - 200 บาท ตามช่วงวัย รวม 6 เดือน บรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจ ช่วยผู้สูงอายุกว่า 10 ล้านคน
เอาใจผู้สูงวัย! ครม.อนุมัติจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษผู้สูงอายุ 100 - 200 บาท ตามช่วงวัย รวม 6 เดือน บรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจ ช่วยผู้สูงอายุกว่า 10 ล้านคน
นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2565 ว่า ครม.อนุมัติหลักการจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษแก่ผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิสวัสดิการเบี้ยยังชีพในปีงบประมาณ 2565 เฉลี่ยรายละ 100 - 200 บาท ตามช่วงอายุ จํานวน 10,896,444 ล้านคน วงเงินรวม 8,348.16 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน – กันยายน 2565 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ เพื่อบรรเทาผลกระทบด้านเศรษฐกิจในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ผู้สูงอายุได้รับผลกระทบทางรายได้คิดเป็นร้อยละ 50.7 ของผู้สูงอายุทั้งหมด และรายได้ของผู้สูงอายุที่มาจากการทํางานมีสัดส่วนลดลงจากร้อยละ 40 เหลือเพียงร้อยละ 22 (ข้อมูลจากสํานักงานสถิติแห่งชาติ)
การจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษแก่ผู้สูงอายุในครั้งนี้ จะจ่ายเพิ่มจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเป็นรายเดือนตามช่วงอายุ เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน – กันยายน 2565 ดังนี้
1.อายุ 60 -69 ปี รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 600 บ./เดือน รับเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่ม 100 บ./เดือน รวมเป็น 700 บ./เดือน
2.อายุ 70 -79 ปี รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 700 บ./เดือน รับเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่ม 150 บ./เดือน รวมเป็น 850 บ./เดือน
3.อายุ 80 -89 ปี รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 800 บ./เดือน รับเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่ม 200 บ./เดือน รวมเป็น 1,000 บ./เดือน
4.อายุ 90 ปีขึ้นไป รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 1,000บ./เดือน รับเงินช่วยเหลือพิเศษเพิ่ม 250 บาท/เดือน รวมเป็น 1,250บ./เดือน
นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่า ที่ประชุมมอบหมายกระทรวงมหาดไทย โดยกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ดําเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณ งบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น เพื่อจ่ายเงินช่วยเหลือพิเศษผู้สูงอายุต่อไป ส่วนกรณีผู้สูงอายุที่ถูกระงับสิทธิ เนื่องจากได้รับสวัสดิการอื่นซ้ําซ้อนจากรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้รับสิทธิเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่ปรับเพิ่มด้วย โดยจะได้รับเมื่อมีการออกระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นฉบับใหม่ ตามคําวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53931 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จีนเปิดด่านโมฮ่านนำเข้าทุเรียนไทยแล้ว “อลงกรณ์” ย้ำต้องเข้มงวดมาตรการปัองกันปนเปื้อนโควิด | วันเสาร์ที่ 16 เมษายน 2565
จีนเปิดด่านโมฮ่านนําเข้าทุเรียนไทยแล้ว “อลงกรณ์” ย้ําต้องเข้มงวดมาตรการปัองกันปนเปื้อนโควิด
จีนเปิดด่านโมฮ่านนําเข้าทุเรียนไทยแล้ว “อลงกรณ์” ย้ําต้องเข้มงวดมาตรการปัองกันปนเปื้อนโควิด แนะผู้ส่งออกบริหารความเสี่ยงเพิ่มการขนส่งทางเรือทางอากาศเพิ่ม
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทํางานแก้ไขปัญหาผลไม้ล่วงหน้าในคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจํากรุงปักกิ่ง ฝ่ายเกษตร ประจําสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ฝ่ายเกษตร ประจําสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ว่า ด่านโม่ฮานในมณฑลยูนนานเปิดนําเข้าทุเรียนไทยจากด่านบ่อเต็นของลาวแล้วตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากระงับการนําเข้าทุเรียนไทย 3 วัน ระหว่างวันที่ 12 – 14 เมษายน จากตรวจพบการปนเปื้อนโควิดในรถบรรทุกคอนเทนเนอร์จากไทย โดยด่านเปิดทําการระหว่างเวลา 08.30 - 21.00 น. และในเวลา 17.30 - 21.00 น. เป็นช่วงให้รถบรรทุกเปล่าผ่าน ส่วนโหย่วอี้กวน (กว่างซีจ้วง) ยังเปิดให้บริการระหว่างเวลา 08.00 - 19.00 น. แต่มีความแออัดจึงควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยง
“ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกอบการดําเนินมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโควิดและฆ่าเชื้อสินค้าตามข้อกําหนดของทางราชการอย่างเคร่งครัดตามข้อสั่งการของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board)” นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ ได้แนะนําให้เพิ่มการขนส่งทางเรือและทางอากาศ โดยกล่าวว่า ท่าเรือของจีนที่เปิดให้บริการนําเข้าผลไม้ไทยได้แก่ 1.ท่าเรือชินโจว (กว่างซีจ้วง) มีเที่ยวเรือในเส้นทางระหว่างท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือชินโจวสัปดาห์ละ 4 - 7 เที่ยว ระยะเวลา 3 - 8 วัน ระยะเวลาในการตรวจปล่อยและผ่านโกดังห่วงโซ่ควบคุมความเย็นประมาณ 3 - 4 วัน 2.ท่าเรือเสอโข่ว (เซินเจิ้น) มีเที่ยวเรือในเส้นทางระหว่างท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือเสอโข่วเฉลี่ยวันละ 1 - 4 เที่ยว ระยะเวลา 6 - 11 วัน ท่าเรือหนานซา (กว่างโจว) มีเที่ยวเรือในเส้นทางระหว่างท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือหนานซาเฉลี่ยวันละ 1 - 3 เที่ยว ระยะเวลา 5 - 9 วัน ส่วนท่าเรือเซินเจิ้นวาน และท่าเรือเซี่ยงไฮ้ แม้เปิดบริการแต่มีมาตรการตรวจโควิดเข้มข้นอาจเกิดความล่าช้ามากกว่าปกติ
ในส่วนการขนส่งทางอากาศนั้น สนามบินเซินเจิ้น เป่าอัน มีเที่ยวบินคาร์โกของบริษัท S.F. รองรับน้ําหนักบรรทุก ประมาณ 25 ตันต่อเที่ยว จากสนามบินสุวรรณภูมิไปสนามบินเซินเจิ้น สัปดาห์ละ 6 เที่ยว (ยกวันวันเสาร์) ส่วนสนามบินเซียงไฮ้ ผู่ตงยังเปิดให้บริการ แต่เนื่องจากนครเซี่ยงไฮ้ขยายการล็อคดาวน์ออกไปอย่างไม่มีกําหนด ทําให้การตรวจปล่อยและขนส่งสินค้าล่าช้าติดขัด
“ขอให้ผู้ส่งออกติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด เพราะสถานการณ์ด่านนําเข้าของจีนอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่” นายอลงกรณ์ กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-จีนเปิดด่านโมฮ่านนำเข้าทุเรียนไทยแล้ว “อลงกรณ์” ย้ำต้องเข้มงวดมาตรการปัองกันปนเปื้อนโควิด
วันเสาร์ที่ 16 เมษายน 2565
จีนเปิดด่านโมฮ่านนําเข้าทุเรียนไทยแล้ว “อลงกรณ์” ย้ําต้องเข้มงวดมาตรการปัองกันปนเปื้อนโควิด
จีนเปิดด่านโมฮ่านนําเข้าทุเรียนไทยแล้ว “อลงกรณ์” ย้ําต้องเข้มงวดมาตรการปัองกันปนเปื้อนโควิด แนะผู้ส่งออกบริหารความเสี่ยงเพิ่มการขนส่งทางเรือทางอากาศเพิ่ม
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทํางานแก้ไขปัญหาผลไม้ล่วงหน้าในคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ ประจํากรุงปักกิ่ง ฝ่ายเกษตร ประจําสถานกงสุลใหญ่ ณ นครกว่างโจว ฝ่ายเกษตร ประจําสถานกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ว่า ด่านโม่ฮานในมณฑลยูนนานเปิดนําเข้าทุเรียนไทยจากด่านบ่อเต็นของลาวแล้วตั้งแต่วันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากระงับการนําเข้าทุเรียนไทย 3 วัน ระหว่างวันที่ 12 – 14 เมษายน จากตรวจพบการปนเปื้อนโควิดในรถบรรทุกคอนเทนเนอร์จากไทย โดยด่านเปิดทําการระหว่างเวลา 08.30 - 21.00 น. และในเวลา 17.30 - 21.00 น. เป็นช่วงให้รถบรรทุกเปล่าผ่าน ส่วนโหย่วอี้กวน (กว่างซีจ้วง) ยังเปิดให้บริการระหว่างเวลา 08.00 - 19.00 น. แต่มีความแออัดจึงควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยง
“ทั้งนี้ ขอให้ผู้ประกอบการดําเนินมาตรการป้องกันการปนเปื้อนเชื้อโควิดและฆ่าเชื้อสินค้าตามข้อกําหนดของทางราชการอย่างเคร่งครัดตามข้อสั่งการของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board)” นายอลงกรณ์ กล่าว
นายอลงกรณ์ ได้แนะนําให้เพิ่มการขนส่งทางเรือและทางอากาศ โดยกล่าวว่า ท่าเรือของจีนที่เปิดให้บริการนําเข้าผลไม้ไทยได้แก่ 1.ท่าเรือชินโจว (กว่างซีจ้วง) มีเที่ยวเรือในเส้นทางระหว่างท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือชินโจวสัปดาห์ละ 4 - 7 เที่ยว ระยะเวลา 3 - 8 วัน ระยะเวลาในการตรวจปล่อยและผ่านโกดังห่วงโซ่ควบคุมความเย็นประมาณ 3 - 4 วัน 2.ท่าเรือเสอโข่ว (เซินเจิ้น) มีเที่ยวเรือในเส้นทางระหว่างท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือเสอโข่วเฉลี่ยวันละ 1 - 4 เที่ยว ระยะเวลา 6 - 11 วัน ท่าเรือหนานซา (กว่างโจว) มีเที่ยวเรือในเส้นทางระหว่างท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือหนานซาเฉลี่ยวันละ 1 - 3 เที่ยว ระยะเวลา 5 - 9 วัน ส่วนท่าเรือเซินเจิ้นวาน และท่าเรือเซี่ยงไฮ้ แม้เปิดบริการแต่มีมาตรการตรวจโควิดเข้มข้นอาจเกิดความล่าช้ามากกว่าปกติ
ในส่วนการขนส่งทางอากาศนั้น สนามบินเซินเจิ้น เป่าอัน มีเที่ยวบินคาร์โกของบริษัท S.F. รองรับน้ําหนักบรรทุก ประมาณ 25 ตันต่อเที่ยว จากสนามบินสุวรรณภูมิไปสนามบินเซินเจิ้น สัปดาห์ละ 6 เที่ยว (ยกวันวันเสาร์) ส่วนสนามบินเซียงไฮ้ ผู่ตงยังเปิดให้บริการ แต่เนื่องจากนครเซี่ยงไฮ้ขยายการล็อคดาวน์ออกไปอย่างไม่มีกําหนด ทําให้การตรวจปล่อยและขนส่งสินค้าล่าช้าติดขัด
“ขอให้ผู้ส่งออกติดตามข่าวสารจากทางราชการอย่างใกล้ชิด เพราะสถานการณ์ด่านนําเข้าของจีนอาจเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่” นายอลงกรณ์ กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53632 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสเพื่อสังคม | วันอังคารที่ 14 กันยายน 2564
รฟม. ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสเพื่อสังคม
มอบเงินบริจาคและสนับสนุนของที่ระลึกผ่านการออกแบบภายใต้แนวคิด “Metro For All รถไฟฟ้าเพื่อทุกคน” มูลนิธิออทิสติกไทย เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันก่อตั้ง รฟม. ครบรอบ 29 ปี
นางกนกกาญจน์ เกศะรักษ์ ผู้อํานวยการกองกิจกรรมเพื่อสังคม เป็นผู้แทนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม มอบเงินบริจาค จํานวน 115,000 บาท ให้แก่ มูลนิธิออทิสติกไทย โดยมี นายชูศักดิ์ จันทยานนท์ ประธานมูลนิธิ เป็นผู้รับมอบ โดยเงินดังกล่าว รฟม. ร่วมกับ หน่วยงานพันธมิตรที่มาร่วมแสดงความยินดี และร่วมบริจาค เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันก่อตั้ง รฟม. ครบรอบ 29 ปี
ทั้งนี้ รฟม. ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสเพื่อสังคม ด้วยการเปิดพื้นที่ให้น้องๆจากมูลนิธิออทิสติกไทยได้แสดงออกถึงพรสวรรค์และจินตนาการผ่านผลงานศิลปะ โดยการออกแบบชุดของที่ระลึกเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันก่อตั้ง รฟม. ภายใต้แนวคิด “Metro For All รถไฟฟ้าเพื่อทุกคน” เพื่อสื่อให้เห็นว่า รฟม. ได้คํานึงถึงหลักการออกแบบโครงการรถไฟฟ้าทุกสายเพื่อทุกคน สําหรับคนทุกกลุ่ม (Universal Design)โดยไม่มีข้อจํากัดทางด้านอายุและสภาพร่างกาย ให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งนอกจากจะเป็นการนําผลงานศิลปะของน้อง ๆ ออกมาแสดงให้คนภายนอกได้ชื่นชมแล้ว ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ ความภาคภูมิใจจากภายในตนเอง และเป็นการส่งต่อโอกาสให้มีอาชีพ สามารถพึ่งพาตนเองได้ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน
สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของ รฟม. ได้ที่http://www.mrta.co.th และ เฟซบุ๊กแฟนเพจ : การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสเพื่อสังคม
วันอังคารที่ 14 กันยายน 2564
รฟม. ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสเพื่อสังคม
มอบเงินบริจาคและสนับสนุนของที่ระลึกผ่านการออกแบบภายใต้แนวคิด “Metro For All รถไฟฟ้าเพื่อทุกคน” มูลนิธิออทิสติกไทย เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันก่อตั้ง รฟม. ครบรอบ 29 ปี
นางกนกกาญจน์ เกศะรักษ์ ผู้อํานวยการกองกิจกรรมเพื่อสังคม เป็นผู้แทนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม มอบเงินบริจาค จํานวน 115,000 บาท ให้แก่ มูลนิธิออทิสติกไทย โดยมี นายชูศักดิ์ จันทยานนท์ ประธานมูลนิธิ เป็นผู้รับมอบ โดยเงินดังกล่าว รฟม. ร่วมกับ หน่วยงานพันธมิตรที่มาร่วมแสดงความยินดี และร่วมบริจาค เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันก่อตั้ง รฟม. ครบรอบ 29 ปี
ทั้งนี้ รฟม. ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสเพื่อสังคม ด้วยการเปิดพื้นที่ให้น้องๆจากมูลนิธิออทิสติกไทยได้แสดงออกถึงพรสวรรค์และจินตนาการผ่านผลงานศิลปะ โดยการออกแบบชุดของที่ระลึกเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันก่อตั้ง รฟม. ภายใต้แนวคิด “Metro For All รถไฟฟ้าเพื่อทุกคน” เพื่อสื่อให้เห็นว่า รฟม. ได้คํานึงถึงหลักการออกแบบโครงการรถไฟฟ้าทุกสายเพื่อทุกคน สําหรับคนทุกกลุ่ม (Universal Design)โดยไม่มีข้อจํากัดทางด้านอายุและสภาพร่างกาย ให้สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งนอกจากจะเป็นการนําผลงานศิลปะของน้อง ๆ ออกมาแสดงให้คนภายนอกได้ชื่นชมแล้ว ยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจ ความภาคภูมิใจจากภายในตนเอง และเป็นการส่งต่อโอกาสให้มีอาชีพ สามารถพึ่งพาตนเองได้ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน
สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารของ รฟม. ได้ที่http://www.mrta.co.th และ เฟซบุ๊กแฟนเพจ : การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45799 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ออกไปอีก 1 ปี เพื่อให้แรงงานเมียนมามีเอกสารประจำตัว | วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565
ครม.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ออกไปอีก 1 ปี เพื่อให้แรงงานเมียนมามีเอกสารประจําตัว
ครม.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ออกไปอีก 1 ปี เพื่อให้แรงงานเมียนมามีเอกสารประจําตัว โดยไม่ต้องเดินทางกลับประเทศ
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection : TDCC) ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ออกไปอีก 1 ปี เพื่อให้แรงงานเมียนมามีเอกสารประจําตัว โดยไม่ต้องเดินทางกลับประเทศ และทําให้การบริหารจัดการแรงงานเมียนมาในประเทศไทยเกิดความต่อเนื่อง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาครพิจารณากําหนดวัน เวลา ในการเริ่มเปิดดําเนินการ รวมทั้งแนวทางการปฏิบัติงานของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯของทางการเมียนมา ให้สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)
ทั้งนี้ในปัจจุบันศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯของทางการเมียนมาได้ยุติการดําเนินการแล้วตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2564 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจําประเทศไทยได้มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2564 แจ้งความประสงค์ขอให้ฝ่ายไทยพิจารณาขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯของทางการเมียนมาออกไปอีก 1 ปี เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นายจ้าง และแรงงานเมียนมาให้สามารถมีเอกสารประจําตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ต้องเดินทางกลับประเทศ รวมทั้งเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในภาพรวมได้อย่างต่อเนื่อง
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า แนวทางการดําเนินการของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯของทางการเมียนมา ยังคงให้เป็นไปตามแนวทางที่ครม.ได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 เช่น มีกลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มแรงงานเมียนมา ไม่รวมคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาที่อยู่ในประเทศไทยด้วยวัตถุประสงค์อื่น เป็นการดําเนินการชั่วคราวระยะเวลา 1 ปี สถานที่ตั้ง ตลาดทะเลไทย ตําบลท่าจีน อําเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณาได้แก่ แบบคําขอ บัตรประจําตัวประชาชนเมียนมา และสําเนาทะเบียนบ้านเมียนมา ส่วนค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ จะไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ยกเว้นเมื่อไปรับหนังสือเดินทาง ณ จุดที่กําหนด ต้องเสียค่าใช้จ่ายจํานวน 1,050 บาท
ขณะที่สถานที่สําหรับรับหนังสือเดินทาง ประกอบด้วย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจําประเทศไทย และศูนย์ออกหนังสือเดินทางบริเวณชายแดน 3 แห่ง ได้แก่ ฝั่งท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามอําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ฝั่งเมียวดี ตรงข้ามอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก และฝั่งเกาะสอง ตรงข้ามอําเภอเมือง จังหวัดระนอง
----------------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ออกไปอีก 1 ปี เพื่อให้แรงงานเมียนมามีเอกสารประจำตัว
วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565
ครม.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ออกไปอีก 1 ปี เพื่อให้แรงงานเมียนมามีเอกสารประจําตัว
ครม.เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ออกไปอีก 1 ปี เพื่อให้แรงงานเมียนมามีเอกสารประจําตัว โดยไม่ต้องเดินทางกลับประเทศ
วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2565 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราว (The Temporary Data Collection : TDCC) ของทางการเมียนมา ณ จังหวัดสมุทรสาคร ออกไปอีก 1 ปี เพื่อให้แรงงานเมียนมามีเอกสารประจําตัว โดยไม่ต้องเดินทางกลับประเทศ และทําให้การบริหารจัดการแรงงานเมียนมาในประเทศไทยเกิดความต่อเนื่อง เป็นไปด้วยความเรียบร้อย โดยให้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดสมุทรสาครพิจารณากําหนดวัน เวลา ในการเริ่มเปิดดําเนินการ รวมทั้งแนวทางการปฏิบัติงานของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯของทางการเมียนมา ให้สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019(โควิด-19)
ทั้งนี้ในปัจจุบันศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯของทางการเมียนมาได้ยุติการดําเนินการแล้วตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2564 สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจําประเทศไทยได้มีหนังสือถึงกระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2564 แจ้งความประสงค์ขอให้ฝ่ายไทยพิจารณาขยายระยะเวลาการดําเนินการศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯของทางการเมียนมาออกไปอีก 1 ปี เพื่ออํานวยความสะดวกแก่นายจ้าง และแรงงานเมียนมาให้สามารถมีเอกสารประจําตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ต้องเดินทางกลับประเทศ รวมทั้งเป็นประโยชน์ในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในภาพรวมได้อย่างต่อเนื่อง
น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า แนวทางการดําเนินการของศูนย์จัดเก็บข้อมูลฯของทางการเมียนมา ยังคงให้เป็นไปตามแนวทางที่ครม.ได้ให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2563 เช่น มีกลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มแรงงานเมียนมา ไม่รวมคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาที่อยู่ในประเทศไทยด้วยวัตถุประสงค์อื่น เป็นการดําเนินการชั่วคราวระยะเวลา 1 ปี สถานที่ตั้ง ตลาดทะเลไทย ตําบลท่าจีน อําเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร เอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณาได้แก่ แบบคําขอ บัตรประจําตัวประชาชนเมียนมา และสําเนาทะเบียนบ้านเมียนมา ส่วนค่าใช้จ่ายในการดําเนินการ จะไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ยกเว้นเมื่อไปรับหนังสือเดินทาง ณ จุดที่กําหนด ต้องเสียค่าใช้จ่ายจํานวน 1,050 บาท
ขณะที่สถานที่สําหรับรับหนังสือเดินทาง ประกอบด้วย สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาประจําประเทศไทย และศูนย์ออกหนังสือเดินทางบริเวณชายแดน 3 แห่ง ได้แก่ ฝั่งท่าขี้เหล็ก ตรงข้ามอําเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ฝั่งเมียวดี ตรงข้ามอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก และฝั่งเกาะสอง ตรงข้ามอําเภอเมือง จังหวัดระนอง
----------------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51361 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งปรับเปลี่ยนเส้นทาง และงดเดินรถท้องถิ่นสายตะวันออกเฉียงเหนือ (หนองคาย) เป็นการชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วม | วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งปรับเปลี่ยนเส้นทาง และงดเดินรถท้องถิ่นสายตะวันออกเฉียงเหนือ (หนองคาย) เป็นการชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์น้ําท่วม
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถสายหนองคาย ช่วงระหว่างสถานีบําเหน็จณรงค์ - จัตุรัส ไปใช้เส้นทางชุมทางแก่งคอย - นครราชสีมา - ชุมทางบัวใหญ่ แทน พร้อมกับงดเดินขบวนรถท้องถิ่น จํานวน 2 ขบวน ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2564
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ทําให้ช่วงเช้าของวันที่ 25 กันยายน 2564 ได้เกิดน้ําท่วมเส้นทางรถไฟระหว่างสถานีบําเหน็จณรงค์ - จัตุรัส ส่งผลกระทบให้ขบวนรถในเส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ (สายหนองคาย) ไม่สามารถเดินรถผ่านได้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จึงจําเป็นต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถสายหนองคาย ช่วงระหว่างสถานีบําเหน็จณรงค์ - จัตุรัส ไปใช้เส้นทางชุมทางแก่งคอย - นครราชสีมา - ชุมทางบัวใหญ่ แทน พร้อมกับงดเดินขบวนรถท้องถิ่น จํานวน 2 ขบวน ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ดังนี้
1. ขบวนรถด่วนที่ 75/76 กรุงเทพ - หนองคาย - กรุงเทพ ปรับเปลี่ยนเส้นทางช่วงชุมทางแก่งคอย - ชุมทางบัวใหญ่ ไปใช้เส้นทางช่วงชุมทางแก่งคอย - นครราชสีมา - ชุมทางบัวใหญ่ แทน
2. งดเดินขบวนรถท้องถิ่นที่ 433/434 ชุมทางแก่งคอย - ชุมทางบัวใหญ่ - ชุมทางแก่งคอย
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ รฟท. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายในเบื้องต้นพบว่า เส้นทางรถไฟ ช่วง สทล. 296/5-297/7 ระหว่างสถานีบําเหน็จณรงค์ - จตุรัส มีความเสียหายเล็กน้อย และเมื่อระดับน้ําลดจะสามารถเข้าดําเนินการซ่อมแซมอัดหินได้ ส่วนเส้นทางรถไฟช่วง สทล.352/13-14 ระหว่างสถานีบ้านเหลื่อม - หนองพลวง พบความเสียหายมาก เนื่องจากหินบนทางรถไฟถูกพัดไปกับกระแสน้ํา ระบบอาณัติสัญญาณได้รับความเสียหาย อีกทั้งระดับน้ํายังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้สั่งการให้ฝ่ายการช่างโยธาเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ โดยขอให้พนักงาน เจ้าหน้าที่บํารุงทางตรวจทางและเฝ้าระวังสังเกตการณ์ระดับน้ําตลอด 24 ชั่วโมง โดยประชาชนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-การรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งปรับเปลี่ยนเส้นทาง และงดเดินรถท้องถิ่นสายตะวันออกเฉียงเหนือ (หนองคาย) เป็นการชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วม
วันจันทร์ที่ 27 กันยายน 2564
การรถไฟแห่งประเทศไทย แจ้งปรับเปลี่ยนเส้นทาง และงดเดินรถท้องถิ่นสายตะวันออกเฉียงเหนือ (หนองคาย) เป็นการชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์น้ําท่วม
การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ปรับเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถสายหนองคาย ช่วงระหว่างสถานีบําเหน็จณรงค์ - จัตุรัส ไปใช้เส้นทางชุมทางแก่งคอย - นครราชสีมา - ชุมทางบัวใหญ่ แทน พร้อมกับงดเดินขบวนรถท้องถิ่น จํานวน 2 ขบวน ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2564
นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ทําให้ช่วงเช้าของวันที่ 25 กันยายน 2564 ได้เกิดน้ําท่วมเส้นทางรถไฟระหว่างสถานีบําเหน็จณรงค์ - จัตุรัส ส่งผลกระทบให้ขบวนรถในเส้นทางสายตะวันออกเฉียงเหนือ (สายหนองคาย) ไม่สามารถเดินรถผ่านได้ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จึงจําเป็นต้องปรับเปลี่ยนเส้นทางการเดินรถสายหนองคาย ช่วงระหว่างสถานีบําเหน็จณรงค์ - จัตุรัส ไปใช้เส้นทางชุมทางแก่งคอย - นครราชสีมา - ชุมทางบัวใหญ่ แทน พร้อมกับงดเดินขบวนรถท้องถิ่น จํานวน 2 ขบวน ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลง เพื่อความปลอดภัยของผู้โดยสาร ดังนี้
1. ขบวนรถด่วนที่ 75/76 กรุงเทพ - หนองคาย - กรุงเทพ ปรับเปลี่ยนเส้นทางช่วงชุมทางแก่งคอย - ชุมทางบัวใหญ่ ไปใช้เส้นทางช่วงชุมทางแก่งคอย - นครราชสีมา - ชุมทางบัวใหญ่ แทน
2. งดเดินขบวนรถท้องถิ่นที่ 433/434 ชุมทางแก่งคอย - ชุมทางบัวใหญ่ - ชุมทางแก่งคอย
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ รฟท. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบความเสียหายในเบื้องต้นพบว่า เส้นทางรถไฟ ช่วง สทล. 296/5-297/7 ระหว่างสถานีบําเหน็จณรงค์ - จตุรัส มีความเสียหายเล็กน้อย และเมื่อระดับน้ําลดจะสามารถเข้าดําเนินการซ่อมแซมอัดหินได้ ส่วนเส้นทางรถไฟช่วง สทล.352/13-14 ระหว่างสถานีบ้านเหลื่อม - หนองพลวง พบความเสียหายมาก เนื่องจากหินบนทางรถไฟถูกพัดไปกับกระแสน้ํา ระบบอาณัติสัญญาณได้รับความเสียหาย อีกทั้งระดับน้ํายังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงได้สั่งการให้ฝ่ายการช่างโยธาเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ โดยขอให้พนักงาน เจ้าหน้าที่บํารุงทางตรวจทางและเฝ้าระวังสังเกตการณ์ระดับน้ําตลอด 24 ชั่วโมง โดยประชาชนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มได้ที่ศูนย์บริการลูกค้าสัมพันธ์ หมายเลขโทรศัพท์ 1690 ตลอด 24 ชั่วโมง หรือเฟซบุ๊ก แฟนเพจ ทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46214 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ ระดมกำลัง นำผู้ถูกคุมความประพฤติ ช่วยงาน โรงพยาบาลสนาม | วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ ระดมกําลัง นําผู้ถูกคุมความประพฤติ ช่วยงาน โรงพยาบาลสนาม
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ ระดมกําลัง นําผู้ถูกคุมความประพฤติ ช่วยงาน โรงพยาบาลสนาม
วันนี้ (7 สิงหาคม 2564) นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นการแพร่ระบาดที่รวดเร็วและส่งผลกระทบต่อสังคมไทยเป็นวงกว้าง รวมถึงผู้ติดเชื้อก็ขาดแคลนเตียงในการรักษา ทําให้ต้องจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขึ้นทั่วประเทศ
กรมคุมประพฤติจึงระดมกําลัง นําผู้ถูกคุมความประพฤติ ทํางานบริการสังคม เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในการจัดเตรียมสถานที่ ศูนย์พักคอย และสร้างเตียงสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยโรคโควิท-19 ที่กําลังระบาดหนักในขณะนี้
โดยสํานักงานคุมประพฤติจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้การบูรณาการประสานความร่วมมือในการสนับสนุนกิจกรรมทํางานบริการสังคม ณ โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (มทร.) ศูนย์หันตรา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วม กับหน่วยงานฝ่ายปกครอง ฝ่ายสาธารณสุข ฝ่ายทหารและอาสาสมัครคุมประพฤติ
โดยนําผู้ถูกคุมความประพฤติ ช่วยขนย้ายน้ํา เพื่อให้ความสะดวกกับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาและยังได้พัฒนาทําความสะอาดตัดหญ้าบริเวณรอบโรงพยาบาลสนาม มทร.
นอกจากนี้สํานักงานคุมประพฤติจังหวัดนครราชสีมา สาขาสีคิ้ว นําผู้ถูกคุมความประพฤติ จัดเตรียมที่นอน ประกอบพัดลม หมอน ผ้าห่ม กล่องพลาสติกมีลิ้นชักสําหรับใส่ของใช้ส่วนตัว โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ และทําความสะอาดบริเวณโดยรอบ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วยที่พักอยู่ ซึ่งการนําผู้ถูกคุมความประพฤติ ทํางานบริการสังคม เป็นอีกกิจกรรมในการสร้างความตระหนักในการเห็นคุณค่าของตนเอง ของผู้ถูกคุมความประพฤติ และทําให้ชุมชนเกิดการยอมรับและให้โอกาส การจัดกิจกรรมครั้งนี้ ดําเนินการภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด 19 อย่างเคร่งครัด | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ ระดมกำลัง นำผู้ถูกคุมความประพฤติ ช่วยงาน โรงพยาบาลสนาม
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ ระดมกําลัง นําผู้ถูกคุมความประพฤติ ช่วยงาน โรงพยาบาลสนาม
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุมประพฤติ ระดมกําลัง นําผู้ถูกคุมความประพฤติ ช่วยงาน โรงพยาบาลสนาม
วันนี้ (7 สิงหาคม 2564) นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวถึง สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นการแพร่ระบาดที่รวดเร็วและส่งผลกระทบต่อสังคมไทยเป็นวงกว้าง รวมถึงผู้ติดเชื้อก็ขาดแคลนเตียงในการรักษา ทําให้ต้องจัดตั้งโรงพยาบาลสนามขึ้นทั่วประเทศ
กรมคุมประพฤติจึงระดมกําลัง นําผู้ถูกคุมความประพฤติ ทํางานบริการสังคม เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในการจัดเตรียมสถานที่ ศูนย์พักคอย และสร้างเตียงสนามเพื่อรองรับผู้ป่วยโรคโควิท-19 ที่กําลังระบาดหนักในขณะนี้
โดยสํานักงานคุมประพฤติจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้การบูรณาการประสานความร่วมมือในการสนับสนุนกิจกรรมทํางานบริการสังคม ณ โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ (มทร.) ศูนย์หันตรา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วม กับหน่วยงานฝ่ายปกครอง ฝ่ายสาธารณสุข ฝ่ายทหารและอาสาสมัครคุมประพฤติ
โดยนําผู้ถูกคุมความประพฤติ ช่วยขนย้ายน้ํา เพื่อให้ความสะดวกกับผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาและยังได้พัฒนาทําความสะอาดตัดหญ้าบริเวณรอบโรงพยาบาลสนาม มทร.
นอกจากนี้สํานักงานคุมประพฤติจังหวัดนครราชสีมา สาขาสีคิ้ว นําผู้ถูกคุมความประพฤติ จัดเตรียมที่นอน ประกอบพัดลม หมอน ผ้าห่ม กล่องพลาสติกมีลิ้นชักสําหรับใส่ของใช้ส่วนตัว โต๊ะ เก้าอี้ ฯลฯ และทําความสะอาดบริเวณโดยรอบ เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่ผู้ป่วยที่พักอยู่ ซึ่งการนําผู้ถูกคุมความประพฤติ ทํางานบริการสังคม เป็นอีกกิจกรรมในการสร้างความตระหนักในการเห็นคุณค่าของตนเอง ของผู้ถูกคุมความประพฤติ และทําให้ชุมชนเกิดการยอมรับและให้โอกาส การจัดกิจกรรมครั้งนี้ ดําเนินการภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด 19 อย่างเคร่งครัด | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44547 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ อำพันธุ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 7/2564 | วันอังคารที่ 28 กันยายน 2564
รองปลัดฯ อําพันธุ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 7/2564
รองปลัดฯ อําพันธุ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 7/2564
นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 7/2564 โดยมีผู้แทนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้แทนจากสํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ และคณะทํางานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาหารือข้ออุทธรณ์ ตามระเบียบว่าด้วยการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. 2563 จํานวน 5 เรื่อง | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองปลัดฯ อำพันธุ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 7/2564
วันอังคารที่ 28 กันยายน 2564
รองปลัดฯ อําพันธุ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 7/2564
รองปลัดฯ อําพันธุ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 7/2564
นายอําพันธุ์ เวฬุตันติ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ครั้งที่ 7/2564 โดยมีผู้แทนจากกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้แทนจากสํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ และคณะทํางานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วม ณ ห้องประชุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยที่ประชุมได้มีการพิจารณาหารือข้ออุทธรณ์ ตามระเบียบว่าด้วยการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. 2563 จํานวน 5 เรื่อง | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46321 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลสวนฝ่ายค้าน โหมโรงศึกซักฟอกอย่าท่าดีทีเหลว ย้ำพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่นเป็นเอกภาพ | วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565
โฆษกรัฐบาลสวนฝ่ายค้าน โหมโรงศึกซักฟอกอย่าท่าดีทีเหลว ย้ําพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่นเป็นเอกภาพ
โฆษกรัฐบาลสวนฝ่ายค้าน โหมโรงศึกซักฟอกอย่าท่าดีทีเหลว ย้ําพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่นเป็นเอกภาพ
วันที่ 28 ก.พ. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุว่า การเปิดประชุมสภาฯ สมัยหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม อยู่ในภาวะเสี่ยงสูงจากปัจจัยหลายเรื่อง อาจจะทําให้รัฐบาลหลับกลางอากาศได้ว่า รัฐบาลไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร เพราะฝ่ายค้านมักจะหลอกตัวเองแบบนี้เป็นประจําอยู่แล้ว ท่าดีทีเหลว เช่น เรื่องที่ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และครม.นั้น ฝ่ายค้านก็มักจะโหมโรงเหมือนมีข้อมูลล้นมือ แต่พอเอาเข้าจริงประชาชนแทบจะปิดโทรทัศน์หนี เพราะไม่ต่างอะไรจากการเอาข่าวที่สื่อมวลชนนําเสนอมาเล่าซ้ํา
ส่วนกรณีที่นายสุทินระบุว่า วันนี้พรรคภูมิใจไทยมีความพร้อมทุกด้าน ถ้าคู่ต่อสู้อ่อนแอเมื่อไหร่ อะไรก็เป็นไปได้นั้น นายธนกร กล่าวว่า เมื่อสู้กันด้วยผลงานในสภาฯ ไม่ได้ จุดกระแสไม่ติด ก็หันกลับมาใช้วิธียุหรือเสี้ยมให้พรรคร่วมรัฐบาลแตกคอกันแทน ยืนยันว่า วันนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่น ทํางานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ดังนั้น ฝ่ายค้านควรจะเตรียมข้อมูลให้พร้อมหากคิดจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะดีกว่า อย่าเสียเวลามาตีโพยตีพาย แล้วสุดท้ายรําไม่ดีก็โทษปี่โทษกลอง ประชาชนจะได้รู้สึกว่า สภาฯ ยังมีฝ่ายค้านทําหน้าที่แทนเขาอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าจะยื่นช่วงเวลาไหนก็ยังไม่รู้ แต่โหมโรงรายวันไปเรื่อยเปื่อย ทางที่ดีรีบไปหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันเองให้รู้เรื่องก่อนดีกว่า | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลสวนฝ่ายค้าน โหมโรงศึกซักฟอกอย่าท่าดีทีเหลว ย้ำพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่นเป็นเอกภาพ
วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565
โฆษกรัฐบาลสวนฝ่ายค้าน โหมโรงศึกซักฟอกอย่าท่าดีทีเหลว ย้ําพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่นเป็นเอกภาพ
โฆษกรัฐบาลสวนฝ่ายค้าน โหมโรงศึกซักฟอกอย่าท่าดีทีเหลว ย้ําพรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่นเป็นเอกภาพ
วันที่ 28 ก.พ. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่นายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุว่า การเปิดประชุมสภาฯ สมัยหน้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม อยู่ในภาวะเสี่ยงสูงจากปัจจัยหลายเรื่อง อาจจะทําให้รัฐบาลหลับกลางอากาศได้ว่า รัฐบาลไม่ได้รู้สึกตกใจอะไร เพราะฝ่ายค้านมักจะหลอกตัวเองแบบนี้เป็นประจําอยู่แล้ว ท่าดีทีเหลว เช่น เรื่องที่ฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี และครม.นั้น ฝ่ายค้านก็มักจะโหมโรงเหมือนมีข้อมูลล้นมือ แต่พอเอาเข้าจริงประชาชนแทบจะปิดโทรทัศน์หนี เพราะไม่ต่างอะไรจากการเอาข่าวที่สื่อมวลชนนําเสนอมาเล่าซ้ํา
ส่วนกรณีที่นายสุทินระบุว่า วันนี้พรรคภูมิใจไทยมีความพร้อมทุกด้าน ถ้าคู่ต่อสู้อ่อนแอเมื่อไหร่ อะไรก็เป็นไปได้นั้น นายธนกร กล่าวว่า เมื่อสู้กันด้วยผลงานในสภาฯ ไม่ได้ จุดกระแสไม่ติด ก็หันกลับมาใช้วิธียุหรือเสี้ยมให้พรรคร่วมรัฐบาลแตกคอกันแทน ยืนยันว่า วันนี้พรรคร่วมรัฐบาลยังเหนียวแน่น ทํางานร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ดังนั้น ฝ่ายค้านควรจะเตรียมข้อมูลให้พร้อมหากคิดจะยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลจะดีกว่า อย่าเสียเวลามาตีโพยตีพาย แล้วสุดท้ายรําไม่ดีก็โทษปี่โทษกลอง ประชาชนจะได้รู้สึกว่า สภาฯ ยังมีฝ่ายค้านทําหน้าที่แทนเขาอยู่บ้าง ไม่ใช่ว่าจะยื่นช่วงเวลาไหนก็ยังไม่รู้ แต่โหมโรงรายวันไปเรื่อยเปื่อย ทางที่ดีรีบไปหารือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านด้วยกันเองให้รู้เรื่องก่อนดีกว่า | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52000 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก จ.ลพบุรี | วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2565
รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ําพื้นที่ลุ่มต่ําฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก จ.ลพบุรี
รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ําพื้นที่ลุ่มต่ําฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก จ.ลพบุรี มอบกรมชลฯ บริหารจัดการน้ําให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ําพื้นที่ลุ่มต่ําฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก และพบปะกับกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมทั้งร่วมกิจกรรมเกี่ยวข้าว ณ อําเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ว่า จากสภาพอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา และสถานการณ์น้ําของ 4 เขื่อนหลักของลุ่มเจ้าพระยาที่มีอยู่อย่างจํากัด รัฐบาลจึงได้กําหนดพื้นที่เป้าหมายการทํานาปรังของพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งจะอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ํา จํานวน 10 ทุ่ง โดยจังหวัดลพบุรี มีพื้นที่เป้าหมายการทํานาปรัง 3 ทุ่ง ได้แก่ 1) ทุ่งท่าวุ้ง อ.ท่าวุ้ง 2) ทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท – ป่าสัก และ 3) ทุ่งบางกุ่ม อ.เมืองลพบุรี จํานวน 119,555 ไร่ เพาะปลูกแล้วรวม 110,904 ไร่ หรือ 93% เก็บเกี่ยวแล้ว 32,227 ไร่ หรือ 29% (ข้อมูล ณ วันที่ 4 เม.ย. 65) และคาดว่าจะเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จภายในต้นเดือน เม.ย. 65 เนื่องจากกรมชลประทานมีแผนปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวนาปีของพื้นที่ลุ่มต่ําทั้ง 10 ทุ่งของลุ่มเจ้าพระยา โดยจะเริ่มส่งน้ําให้เกษตรกรทํานาปี ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. 65 เพื่อให้ทันการเก็บเกี่ยวต้นเดือน ก.ย. 65 โดยพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังที่รับน้ําจากสถานีสูบน้ําด้วยไฟฟ้าปากคลองสะพานขาว ซึ่งเป็น 1 ใน 6 สถานีสูบน้ําฯ ของพื้นที่ลุ่มต่ําทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท – ป่าสัก (มีกลุ่มผู้ใช้น้ํา จํานวน 8 กลุ่ม) มีการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จํานวน 2,400 ไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว 1,800 ไร่ หรือ 75%
สําหรับสภาพโดยทั่วไปของพื้นที่ลุ่มต่ําทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท – ป่าสัก จะมีความลาดเทเข้าหาตัวคลองชัยนาท – ป่าสัก ดังนั้น ในช่วงฤดูน้ําหลาก จะมีน้ําป่าจากพื้นที่ตอนบน ได้แก่ พื้นที่ อ.โคกเจริญ อ.สระโบสถ์ อ.หนองม่วง และ อ.โคกสําโรง ไหลลงมาปะทะแนวคันคลองชัยนาท – ป่าสัก และเกิดน้ําท่วมขังพื้นที่การเกษตรในเขต อ.บ้านหมี่ ซ้ําซากอยู่เป็นประจําทุกปี เพราะพื้นที่เป็นที่ลุ่มต่ํากว่าบริเวณอื่น และไม่สามารถระบายน้ําท่วมขังลงคลองชัยนาท – ป่าสักได้ เนื่องจากช่วงระยะเวลาดังกล่าว คลองชัยนาท – ป่าสัก จะมีน้ํา Side Flow และต้องรับน้ําจาก แม่น้ําเจ้าพระยาเข้ามาสมทบเกือบตลอดเวลา กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน และจังหวัดลพบุรี จึงได้กําหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยก่อสร้างสถานีสูบน้ําริมคลองฝั่งซ้ายของคลองชัยนาท – ป่าสัก เมื่อปี พ.ศ. 2555 – 2556 เพื่อสูบระบายน้ําท่วมขังลงสู่คลองชัยนาท – ป่าสัก จํานวน 16 สถานี สามารถระบายน้ําได้วันละ 7.430 ล้าน ลบ.ม. รวมถึงการปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวนาปีของพื้นที่ลุ่มต่ําทุ่งฝั่งซ้ายของคลองชัยนาท – ป่าสัก จํานวน 72,680 ไร่ โดยส่งน้ําให้เกษตรกรทํานาปี ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. เพื่อให้ทันเก็บเกี่ยวต้นเดือน ก.ย. ของทุกปี จากนั้นจะใช้ทุ่งดังกล่าวรับน้ําหลากที่ไหลลงมาจากพื้นที่ตอนบนในลักษณะแก้มลิงธรรมชาติ พื้นที่ 72,680 ไร่ ตัดยอดน้ําหลาก 116 ล้าน ลบ.ม.
นอกจากนี้ ยังมีการจัดจราจรน้ําในคลองชัยนาท – ป่าสัก ให้สอดคล้องกับช่วงระยะเวลาที่น้ําป่าไหลหลากลงมา และเร่งรัดการพัฒนาแหล่งน้ําในพื้นที่ตอนบน อาทิ ก่อสร้างแก้มลิง และอ่างเก็บน้ํา เพื่อตัดยอดน้ําหลากที่จะไหลหลากลงมาและเก็บกักน้ําไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง โดยมีแผนระยะยาวที่จะเร่งรัดการดําเนินงานโครงการคลองระบายน้ําหลากชัยนาท – ป่าสัก ให้สามารถระบายน้ําได้สูงสุด 930 ลบ.ม./วินาที เพื่อแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังพื้นที่ฝั่งซ้ายของคลองชัยนาท – ป่าสัก
ทั้งนี้ จังหวัดลพบุรี มีพื้นที่ชลประทาน จํานวนทั้งสิ้น 668,201 ล้านไร่ หรือประมาณ 24% ของพื้นที่การเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่จะรับน้ําจากคลองชัยนาท – ป่าสักเป็นหลัก โดยในจํานวนนี้จะเป็นพื้นที่ลุ่มต่ํา จํานวน 3 ทุ่ง พื้นที่ชลประทาน 132,884 ไร่ ได้แก่ 1) ทุ่งท่าวุ้ง อ.ท่าวุ้ง จํานวน 56,517 ไร่ 2) ทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท – ป่าสัก อ.บ้านหมี่ จํานวน 72,680 ไร่ และ 3) ทุ่งบางกุ่ม (บางส่วน) อ.เมืองลพบุรี จํานวน 3,687 ไร่
"วันนี้ตั้งใจมาพูดคุยกับพี่น้องเกษตรกร และขอบคุณที่เสียสละพื้นที่ในการเป็นพื้นที่รับน้ําให้กับคนอีกจํานวนมาก เพื่อบรรเทาอุทกภัยในฤดูน้ําหลาก ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ผู้นําท้องถิ่น ผู้นําชุมชน และส่วนราชการทุกภาคส่วน ที่ทํางานแบบบูรณาการร่วมกัน จนทําให้ไม่เกิดความเสียหาย นอกจากนี้ ได้มอบหมายกรมชลประทานในการบริหารจัดการน้ําทั้งหน้าแล้งและหน้าฝน โดยในหน้าแล้งที่ผ่านมาได้จัดเตรียมเครื่องสูบน้ําไว้อํานวยความสะดวก มีการปล่อยน้ําให้กับพี่น้องเกษตรกรในการใช้น้ําทํานาปรัง และในส่วนของฤดูฝน ได้มอบให้กรมชลประทานเตรียมวางแผนการเก็บกักน้ําฝน และการระบายน้ําเพื่อให้พื้นที่ของเกษตรกรได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งมีการเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือและกําลังคนไว้พร้อมสําหรับการออกปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรณรงค์ให้ใช้น้ําอย่างมีคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดด้วย" ดร.เฉลิมชัย กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ำพื้นที่ลุ่มต่ำฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก จ.ลพบุรี
วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 2565
รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ําพื้นที่ลุ่มต่ําฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก จ.ลพบุรี
รัฐมนตรีเกษตรฯ ติดตามการบริหารจัดการน้ําพื้นที่ลุ่มต่ําฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก จ.ลพบุรี มอบกรมชลฯ บริหารจัดการน้ําให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ติดตามการบริหารจัดการน้ําพื้นที่ลุ่มต่ําฝั่งซ้ายคลองชัยนาท-ป่าสัก และพบปะกับกลุ่มเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมทั้งร่วมกิจกรรมเกี่ยวข้าว ณ อําเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ว่า จากสภาพอุทกภัยในช่วงที่ผ่านมา และสถานการณ์น้ําของ 4 เขื่อนหลักของลุ่มเจ้าพระยาที่มีอยู่อย่างจํากัด รัฐบาลจึงได้กําหนดพื้นที่เป้าหมายการทํานาปรังของพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งจะอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ํา จํานวน 10 ทุ่ง โดยจังหวัดลพบุรี มีพื้นที่เป้าหมายการทํานาปรัง 3 ทุ่ง ได้แก่ 1) ทุ่งท่าวุ้ง อ.ท่าวุ้ง 2) ทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท – ป่าสัก และ 3) ทุ่งบางกุ่ม อ.เมืองลพบุรี จํานวน 119,555 ไร่ เพาะปลูกแล้วรวม 110,904 ไร่ หรือ 93% เก็บเกี่ยวแล้ว 32,227 ไร่ หรือ 29% (ข้อมูล ณ วันที่ 4 เม.ย. 65) และคาดว่าจะเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จภายในต้นเดือน เม.ย. 65 เนื่องจากกรมชลประทานมีแผนปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวนาปีของพื้นที่ลุ่มต่ําทั้ง 10 ทุ่งของลุ่มเจ้าพระยา โดยจะเริ่มส่งน้ําให้เกษตรกรทํานาปี ตั้งแต่วันที่ 15 เม.ย. 65 เพื่อให้ทันการเก็บเกี่ยวต้นเดือน ก.ย. 65 โดยพื้นที่เพาะปลูกข้าวนาปรังที่รับน้ําจากสถานีสูบน้ําด้วยไฟฟ้าปากคลองสะพานขาว ซึ่งเป็น 1 ใน 6 สถานีสูบน้ําฯ ของพื้นที่ลุ่มต่ําทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท – ป่าสัก (มีกลุ่มผู้ใช้น้ํา จํานวน 8 กลุ่ม) มีการเพาะปลูกข้าวนาปรัง จํานวน 2,400 ไร่ เก็บเกี่ยวแล้ว 1,800 ไร่ หรือ 75%
สําหรับสภาพโดยทั่วไปของพื้นที่ลุ่มต่ําทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท – ป่าสัก จะมีความลาดเทเข้าหาตัวคลองชัยนาท – ป่าสัก ดังนั้น ในช่วงฤดูน้ําหลาก จะมีน้ําป่าจากพื้นที่ตอนบน ได้แก่ พื้นที่ อ.โคกเจริญ อ.สระโบสถ์ อ.หนองม่วง และ อ.โคกสําโรง ไหลลงมาปะทะแนวคันคลองชัยนาท – ป่าสัก และเกิดน้ําท่วมขังพื้นที่การเกษตรในเขต อ.บ้านหมี่ ซ้ําซากอยู่เป็นประจําทุกปี เพราะพื้นที่เป็นที่ลุ่มต่ํากว่าบริเวณอื่น และไม่สามารถระบายน้ําท่วมขังลงคลองชัยนาท – ป่าสักได้ เนื่องจากช่วงระยะเวลาดังกล่าว คลองชัยนาท – ป่าสัก จะมีน้ํา Side Flow และต้องรับน้ําจาก แม่น้ําเจ้าพระยาเข้ามาสมทบเกือบตลอดเวลา กระทรวงเกษตรฯ โดยกรมชลประทาน และจังหวัดลพบุรี จึงได้กําหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยก่อสร้างสถานีสูบน้ําริมคลองฝั่งซ้ายของคลองชัยนาท – ป่าสัก เมื่อปี พ.ศ. 2555 – 2556 เพื่อสูบระบายน้ําท่วมขังลงสู่คลองชัยนาท – ป่าสัก จํานวน 16 สถานี สามารถระบายน้ําได้วันละ 7.430 ล้าน ลบ.ม. รวมถึงการปรับปฏิทินการเพาะปลูกข้าวนาปีของพื้นที่ลุ่มต่ําทุ่งฝั่งซ้ายของคลองชัยนาท – ป่าสัก จํานวน 72,680 ไร่ โดยส่งน้ําให้เกษตรกรทํานาปี ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. เพื่อให้ทันเก็บเกี่ยวต้นเดือน ก.ย. ของทุกปี จากนั้นจะใช้ทุ่งดังกล่าวรับน้ําหลากที่ไหลลงมาจากพื้นที่ตอนบนในลักษณะแก้มลิงธรรมชาติ พื้นที่ 72,680 ไร่ ตัดยอดน้ําหลาก 116 ล้าน ลบ.ม.
นอกจากนี้ ยังมีการจัดจราจรน้ําในคลองชัยนาท – ป่าสัก ให้สอดคล้องกับช่วงระยะเวลาที่น้ําป่าไหลหลากลงมา และเร่งรัดการพัฒนาแหล่งน้ําในพื้นที่ตอนบน อาทิ ก่อสร้างแก้มลิง และอ่างเก็บน้ํา เพื่อตัดยอดน้ําหลากที่จะไหลหลากลงมาและเก็บกักน้ําไว้ใช้ในช่วงฤดูแล้ง โดยมีแผนระยะยาวที่จะเร่งรัดการดําเนินงานโครงการคลองระบายน้ําหลากชัยนาท – ป่าสัก ให้สามารถระบายน้ําได้สูงสุด 930 ลบ.ม./วินาที เพื่อแก้ไขปัญหาน้ําท่วมขังพื้นที่ฝั่งซ้ายของคลองชัยนาท – ป่าสัก
ทั้งนี้ จังหวัดลพบุรี มีพื้นที่ชลประทาน จํานวนทั้งสิ้น 668,201 ล้านไร่ หรือประมาณ 24% ของพื้นที่การเกษตร ซึ่งส่วนใหญ่จะรับน้ําจากคลองชัยนาท – ป่าสักเป็นหลัก โดยในจํานวนนี้จะเป็นพื้นที่ลุ่มต่ํา จํานวน 3 ทุ่ง พื้นที่ชลประทาน 132,884 ไร่ ได้แก่ 1) ทุ่งท่าวุ้ง อ.ท่าวุ้ง จํานวน 56,517 ไร่ 2) ทุ่งฝั่งซ้ายคลองชัยนาท – ป่าสัก อ.บ้านหมี่ จํานวน 72,680 ไร่ และ 3) ทุ่งบางกุ่ม (บางส่วน) อ.เมืองลพบุรี จํานวน 3,687 ไร่
"วันนี้ตั้งใจมาพูดคุยกับพี่น้องเกษตรกร และขอบคุณที่เสียสละพื้นที่ในการเป็นพื้นที่รับน้ําให้กับคนอีกจํานวนมาก เพื่อบรรเทาอุทกภัยในฤดูน้ําหลาก ซึ่งได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ผู้นําท้องถิ่น ผู้นําชุมชน และส่วนราชการทุกภาคส่วน ที่ทํางานแบบบูรณาการร่วมกัน จนทําให้ไม่เกิดความเสียหาย นอกจากนี้ ได้มอบหมายกรมชลประทานในการบริหารจัดการน้ําทั้งหน้าแล้งและหน้าฝน โดยในหน้าแล้งที่ผ่านมาได้จัดเตรียมเครื่องสูบน้ําไว้อํานวยความสะดวก มีการปล่อยน้ําให้กับพี่น้องเกษตรกรในการใช้น้ําทํานาปรัง และในส่วนของฤดูฝน ได้มอบให้กรมชลประทานเตรียมวางแผนการเก็บกักน้ําฝน และการระบายน้ําเพื่อให้พื้นที่ของเกษตรกรได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งมีการเตรียมเครื่องจักรเครื่องมือและกําลังคนไว้พร้อมสําหรับการออกปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตาม ขอความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการรณรงค์ให้ใช้น้ําอย่างมีคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดด้วย" ดร.เฉลิมชัย กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53376 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจับกุมชาวปากีสถานลักลอบนำเข้าเฮโรอีนและเคตามีน มูลค่ากว่า 95 ล้านบาท | วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2564
กรมศุลกากรจับกุมชาวปากีสถานลักลอบนําเข้าเฮโรอีนและเคตามีน มูลค่ากว่า 95 ล้านบาท
กรมศุลกากรร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้โดยสารชายชาวปากีสถาน 2 คน ลักลอบนําเข้าเฮโรอีน น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 1.1 กก. และเคตามีน น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 30.6 กก. รวมมูลค่ากว่า 95 ล้านบาท ณ กรมศุลกากร
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2564) กรมศุลกากร พร้อมด้วยสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด และศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้โดยสารชายชาวปากีสถาน 2 คน ลักลอบนําเข้าเฮโรอีน น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 1.1 กก. และเคตามีน น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 30.6 กก. รวมมูลค่ากว่า 95 ล้านบาท ณ กรมศุลกากร
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันและสกัดกั้นยาเสพติดให้โทษ โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 กรมศุลกากรใช้ข้อมูลทางการข่าวและข้อมูลความเสี่ยง เพื่อเฝ้าระวังการลักลอบนําเข้าสิ่งผิดกฎหมาย ได้ทําการตรวจค้นผู้โดยสารชายชาวปากีสถาน
2 ราย ขณะผ่านเข้าช่องตรวจผู้โดยสารไม่มีสิ่งของต้องสําแดง (ช่องเขียว) บริเวณห้องโถงผู้โดยสารขาเข้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเดินทางมาจากท่าอากาศยานนานาชาติจินนาห์ เมืองการาจี ประเทศปากีสถาน ผ่านท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปลายทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย โดยสายการบิน
เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ ผลการตรวจค้นพบ ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 1 (เฮโรอีน) น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 1.1 กิโลกรัม และวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภทที่ 2 (เคตามีน) น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 30.6 กิโลกรัม บรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ชาผงสําเร็จรูป ของกลางดังกล่าวเก็บในกระเป๋าสัมภาระปะปนกับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นชาผงสําเร็จรูปปกติ เพื่ออําพรางไม่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจพบ รวมมูลค่า 95,100,000 บาท
จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การว่าได้รับว่าจ้างจากชายชาวปากีสถาน อาศัยอยู่ประเทศปากีสถาน ให้ตนและเพื่อนลักลอบนํายาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 1 (เฮโรอีน) และวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภทที่ 2 (เคตามีน) เข้าประเทศไทย ทั้งนี้ การกระทําดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 242 ประกอบมาตรา 166 และมาตรา 252 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559
อนึ่ง สถิติผลงานการจับกุมยาเสพติดของกรมศุลกากร ในปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563 ถึงกันยายน 2564) มีจํานวน 188 ราย มูลค่า 7,566,322,562 บาท ปีงบประมาณ 2565 (ตุลาคม 2564 ถึง ปัจจุบัน) จํานวน 14 ราย มูลค่า 1,075,515,840 บาท | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจับกุมชาวปากีสถานลักลอบนำเข้าเฮโรอีนและเคตามีน มูลค่ากว่า 95 ล้านบาท
วันอังคารที่ 30 พฤศจิกายน 2564
กรมศุลกากรจับกุมชาวปากีสถานลักลอบนําเข้าเฮโรอีนและเคตามีน มูลค่ากว่า 95 ล้านบาท
กรมศุลกากรร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้โดยสารชายชาวปากีสถาน 2 คน ลักลอบนําเข้าเฮโรอีน น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 1.1 กก. และเคตามีน น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 30.6 กก. รวมมูลค่ากว่า 95 ล้านบาท ณ กรมศุลกากร
วันนี้ (30 พฤศจิกายน 2564) กรมศุลกากร พร้อมด้วยสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตํารวจปราบปรามยาเสพติด และศูนย์รักษาความปลอดภัย กองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้โดยสารชายชาวปากีสถาน 2 คน ลักลอบนําเข้าเฮโรอีน น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 1.1 กก. และเคตามีน น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 30.6 กก. รวมมูลค่ากว่า 95 ล้านบาท ณ กรมศุลกากร
นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เพิ่มความเข้มงวดในการป้องกันและสกัดกั้นยาเสพติดให้โทษ โดยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 กรมศุลกากรใช้ข้อมูลทางการข่าวและข้อมูลความเสี่ยง เพื่อเฝ้าระวังการลักลอบนําเข้าสิ่งผิดกฎหมาย ได้ทําการตรวจค้นผู้โดยสารชายชาวปากีสถาน
2 ราย ขณะผ่านเข้าช่องตรวจผู้โดยสารไม่มีสิ่งของต้องสําแดง (ช่องเขียว) บริเวณห้องโถงผู้โดยสารขาเข้า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งเดินทางมาจากท่าอากาศยานนานาชาติจินนาห์ เมืองการาจี ประเทศปากีสถาน ผ่านท่าอากาศยานนานาชาติดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ปลายทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประเทศไทย โดยสายการบิน
เอมิเรตส์ แอร์ไลน์ ผลการตรวจค้นพบ ยาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 1 (เฮโรอีน) น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 1.1 กิโลกรัม และวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภทที่ 2 (เคตามีน) น้ําหนักรวมสิ่งห่อหุ้ม 30.6 กิโลกรัม บรรจุอยู่ในบรรจุภัณฑ์ชาผงสําเร็จรูป ของกลางดังกล่าวเก็บในกระเป๋าสัมภาระปะปนกับบรรจุภัณฑ์ที่เป็นชาผงสําเร็จรูปปกติ เพื่ออําพรางไม่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจพบ รวมมูลค่า 95,100,000 บาท
จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การว่าได้รับว่าจ้างจากชายชาวปากีสถาน อาศัยอยู่ประเทศปากีสถาน ให้ตนและเพื่อนลักลอบนํายาเสพติดให้โทษ ประเภทที่ 1 (เฮโรอีน) และวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภทที่ 2 (เคตามีน) เข้าประเทศไทย ทั้งนี้ การกระทําดังกล่าวเป็นความผิดตามมาตรา 242 ประกอบมาตรา 166 และมาตรา 252 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559
อนึ่ง สถิติผลงานการจับกุมยาเสพติดของกรมศุลกากร ในปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563 ถึงกันยายน 2564) มีจํานวน 188 ราย มูลค่า 7,566,322,562 บาท ปีงบประมาณ 2565 (ตุลาคม 2564 ถึง ปัจจุบัน) จํานวน 14 ราย มูลค่า 1,075,515,840 บาท | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48879 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ปรับ 69 จว. เป็นพื้นที่ควบคุมสีส้ม และ 8 จว. นำร่องท่องเที่ยว ให้สถานบันเทิงเปิดในรูปแบบร้านอาหาร ที่ผ่าน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2 Plus | วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565
ศบค. ปรับ 69 จว. เป็นพื้นที่ควบคุมสีส้ม และ 8 จว. นําร่องท่องเที่ยว ให้สถานบันเทิงเปิดในรูปแบบร้านอาหาร ที่ผ่าน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2 Plus
.....
ที่ประชุม ศบค. (7 ม.ค. 65) มีมติปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร มีผลตั้งแต่ 9 ม.ค. 65 เป็นต้นไป ดังนี้พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด 0 จว./ พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) จากเดิม 39 จว. เพิ่มเป็น 69 จว./ และพื้นที่สีฟ้า (นําร่องท่องเที่ยว) คงเดิม 8 จว.
.
ให้ขยายระยะเวลาทํางานที่บ้าน work from home จนถึงวันที่ 31 ม.ค. 65 แต่ต้องไม่กระทบต่อบริการประชาชน และการดําเนินงานขององค์กร
.
สําหรับมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ในสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ให้เปิดในรูปแบบร้านอาหาร ซึ่งให้ผู้ประกอบการต้องได้รับอนุญาตจาก คกก.โรคติดต่อจังหวัดก่อนวันที่ 15 ม.ค. 65 และเริ่มเปิดบริการได้ตังแต่วันที่ 16 ม.ค. 65
.
พร้อมปรับมาตรการในพื้นที่นําร่องการท่องเที่ยว 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี กระบี่ ชลบุรี นนทบุรี ปทุมธานี พังงา และภูเก็ต ให้บริโภคสุราในร้านอาหารได้ไม่เกิน 21.00 น. และต้องเป็นร้านอาหารที่ผ่าน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2 Plus เท่านั้น
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50317
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบค. ปรับ 69 จว. เป็นพื้นที่ควบคุมสีส้ม และ 8 จว. นำร่องท่องเที่ยว ให้สถานบันเทิงเปิดในรูปแบบร้านอาหาร ที่ผ่าน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2 Plus
วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565
ศบค. ปรับ 69 จว. เป็นพื้นที่ควบคุมสีส้ม และ 8 จว. นําร่องท่องเที่ยว ให้สถานบันเทิงเปิดในรูปแบบร้านอาหาร ที่ผ่าน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2 Plus
.....
ที่ประชุม ศบค. (7 ม.ค. 65) มีมติปรับระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร มีผลตั้งแต่ 9 ม.ค. 65 เป็นต้นไป ดังนี้พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด พื้นที่ควบคุมสูงสุด และพื้นที่เฝ้าระวังสูงสุด 0 จว./ พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) จากเดิม 39 จว. เพิ่มเป็น 69 จว./ และพื้นที่สีฟ้า (นําร่องท่องเที่ยว) คงเดิม 8 จว.
.
ให้ขยายระยะเวลาทํางานที่บ้าน work from home จนถึงวันที่ 31 ม.ค. 65 แต่ต้องไม่กระทบต่อบริการประชาชน และการดําเนินงานขององค์กร
.
สําหรับมาตรการควบคุมโรคโควิด-19 ในสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ ให้เปิดในรูปแบบร้านอาหาร ซึ่งให้ผู้ประกอบการต้องได้รับอนุญาตจาก คกก.โรคติดต่อจังหวัดก่อนวันที่ 15 ม.ค. 65 และเริ่มเปิดบริการได้ตังแต่วันที่ 16 ม.ค. 65
.
พร้อมปรับมาตรการในพื้นที่นําร่องการท่องเที่ยว 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร กาญจนบุรี กระบี่ ชลบุรี นนทบุรี ปทุมธานี พังงา และภูเก็ต ให้บริโภคสุราในร้านอาหารได้ไม่เกิน 21.00 น. และต้องเป็นร้านอาหารที่ผ่าน SHA+ หรือ Thai Stop COVID 2 Plus เท่านั้น
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50317
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50326 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ ลงนาม MOU ขับเคลื่อนนโยบาย พัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน | วันพุธที่ 19 มกราคม 2565
แรงงาน ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ ลงนาม MOU ขับเคลื่อนนโยบาย พัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน
กระทรวงแรงงานผนึกกําลังกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษาและการมีงานทําให้แก่นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับ โดยมุ่งหวังพัฒนาระบบฐานข้อมูล (Big Data) ด้านอุปสงค์อุปทานของตลาดแรงงาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษาและการมีงานทําให้แก่นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับ ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร รัฐบาลโดยการนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมทั้งพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลกระทรวงแรงงานมีนโยบายส่งเสริมพัฒนาทักษะทางอาชีพและส่งเสริมการมีงานทํา และให้ความสําคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัยโดยเฉพาะในวัยกําลังแรงงานที่จะต้องได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือให้สูงขึ้นสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ทั้งสองหน่วยงานจึงขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวโดยใช้แนวทางประชารัฐในการสร้างความร่วมมือ โดยร่วมกันพัฒนาระบบฐานข้อมูล (Big Data)ด้านอุปสงค์อุปทานของตลาดแรงงานเพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาพัฒนาทักษะทางอาชีพและการมีงานทํา จัดฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้แก่บุคลากรและครูผู้สอนเพื่อนําความรู้ไปขยายผลให้แก่นักเรียน นักศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และแรงงานทุกระดับ พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมฝีมือแรงงานไปสู่การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติและการประเมินความรู้ความสามารถ ร่วมกันจัดการแข่งทักษะฝีมือระดับภูมิภาค ระดับประเทศ ระดับอาเซียน และระดับนานาชาติ เผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีงานทํา การคุ้มครองแรงงาน และด้านประกันสังคม
นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โดยมีเจตนารมณ์ร่วมในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานคุณภาพทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดกิจกรรมตลาดนัดแรงงานและข้อมูลความต้องการแรงงานเพื่อการส่งเสริมการมีงานทําให้กับผู้จบการศึกษา พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการมีงานทําด้านการคุ้มครองแรงงาน สิทธิประโยชน์และสวัสดิการให้กับนักเรียน นักศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และแรงงานทุกระดับ เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แรงงาน ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ ลงนาม MOU ขับเคลื่อนนโยบาย พัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน
วันพุธที่ 19 มกราคม 2565
แรงงาน ร่วมกับ กระทรวงศึกษาธิการ ลงนาม MOU ขับเคลื่อนนโยบาย พัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน
กระทรวงแรงงานผนึกกําลังกระทรวงศึกษาธิการ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษาและการมีงานทําให้แก่นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับ โดยมุ่งหวังพัฒนาระบบฐานข้อมูล (Big Data) ด้านอุปสงค์อุปทานของตลาดแรงงาน เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ จัดพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษาและการมีงานทําให้แก่นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับ ณ ห้องประชุมราชวัลลภ อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ กรุงเทพมหานคร รัฐบาลโดยการนําของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมทั้งพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลกระทรวงแรงงานมีนโยบายส่งเสริมพัฒนาทักษะทางอาชีพและส่งเสริมการมีงานทํา และให้ความสําคัญในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ทุกช่วงวัยโดยเฉพาะในวัยกําลังแรงงานที่จะต้องได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือให้สูงขึ้นสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีลดปัญหาการขาดแคลนแรงงานที่มีความรู้ ความสามารถ และทักษะฝีมือที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงานทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ทั้งสองหน่วยงานจึงขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าวโดยใช้แนวทางประชารัฐในการสร้างความร่วมมือ โดยร่วมกันพัฒนาระบบฐานข้อมูล (Big Data)ด้านอุปสงค์อุปทานของตลาดแรงงานเพื่อส่งเสริมการจัดการศึกษาพัฒนาทักษะทางอาชีพและการมีงานทํา จัดฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ให้แก่บุคลากรและครูผู้สอนเพื่อนําความรู้ไปขยายผลให้แก่นักเรียน นักศึกษาในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และแรงงานทุกระดับ พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมฝีมือแรงงานไปสู่การทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติและการประเมินความรู้ความสามารถ ร่วมกันจัดการแข่งทักษะฝีมือระดับภูมิภาค ระดับประเทศ ระดับอาเซียน และระดับนานาชาติ เผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายและระเบียบต่างๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีงานทํา การคุ้มครองแรงงาน และด้านประกันสังคม
นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกล่าวเพิ่มเติมว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โดยมีเจตนารมณ์ร่วมในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานคุณภาพทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ ส่งเสริมและสนับสนุนการจัดกิจกรรมตลาดนัดแรงงานและข้อมูลความต้องการแรงงานเพื่อการส่งเสริมการมีงานทําให้กับผู้จบการศึกษา พร้อมทั้งเผยแพร่ความรู้ทางกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการมีงานทําด้านการคุ้มครองแรงงาน สิทธิประโยชน์และสวัสดิการให้กับนักเรียน นักศึกษา ในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และแรงงานทุกระดับ เตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ตลาดแรงงาน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50684 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจด่านท่าฉัตรไชย มั่นใจภูเก็ตพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เชื่อมั่นการท่องเที่ยวจะกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้ง | วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2564
นายกรัฐมนตรีตรวจด่านท่าฉัตรไชย มั่นใจภูเก็ตพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เชื่อมั่นการท่องเที่ยวจะกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้ง
นายกรัฐมนตรีตรวจด่านท่าฉัตรไชย มั่นใจภูเก็ตพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เชื่อมั่นการท่องเที่ยวจะกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้ง
วันนี้ (1 ก.ค. 64) เวลา 10.00 ณ ด่านตรวจภูเก็ต (ด่านท่าฉัตรไชย) ต.ไม้ขาว อ.เมือง จ.ภูเก็ต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจด่านท่าฉัตรไชย ในการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตามโมเดล Phuket Sandbox โดยมีนายณรงค์วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมนําเสนอการเตรียมความพร้อม และมาตรการในการตรวจคัดกรองคนที่เดินทางเข้ามาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ภายหลังการรับฟังบรรยาย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเจ้าที่ทุกภาคส่วน พลเรือน ทหาร ตํารวจ เจ้าหน้าที่ด่าน อสม. ที่ร่วมมือทําหน้าที่คัดกรองนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าออกเมืองภูเก็ต ซึ่งมีทั้งด่านตรวจเก่าและใหม่ ซึ่งต้องเน้นเอกสารความถูกต้อง แม่นยํา ให้มีการบริหารที่ถูกต้อง มีการดําเนินการต่าง ๆ ซึ่งอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน และการประชาสัมพันธ์ที่ดีเพื่อให้นักท่องเที่ยวทราบและเข้าใจในส่วนของระบบต่าง ๆ นายกรัฐมนตรียังเน้นเรื่องความสะอาด การจัดการขยะพลาสติกต่าง ๆ ให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่อยากเดินทางมาประเทศไทยมีความประทับใจ พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม. และเจ้าหน้าที่ด่านตรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ และเต็มกําลังความสามารถ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีแนวโน้มระบาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นกําลังสําคัญดูแลประชาชน และรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาตามโครงการ Phuket Sandbox ซึ่งจังหวัดภูเก็ตเป็นพื้นที่นําร่องในการรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติของประเทศ วันนี้ พบว่าด่านท่าฉัตรไชยมีความพร้อมในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่จะเปิดประเทศ เพื่อให้การท่องเที่ยวของไทยกลับมาเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า ทุกอย่างจะสําเร็จได้ด้วยต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือจากทุกคน และขอให้ทุกคนปลอดภัย ถ้าเราอยากได้การท่องเที่ยวกลับมา ทุกคนต้องช่วยกัน
ระหว่างการตรวจเยี่ยม คณะอสม ยังได้ร้องเพลง อสม. ต้อนรับนายกรัฐมนตรี พร้อมตะโกน “นายกฯ สู้สู้” ซึ่งนายกรัฐมนตรียังฝากขอบคุณครอบครัว อสม. ทุกคน ที่ได้ให้ อสม. ออกมาทําหน้าที่และอวยพรให้ทุกคนปลอดภัยด้วย
.............. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีตรวจด่านท่าฉัตรไชย มั่นใจภูเก็ตพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เชื่อมั่นการท่องเที่ยวจะกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้ง
วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2564
นายกรัฐมนตรีตรวจด่านท่าฉัตรไชย มั่นใจภูเก็ตพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เชื่อมั่นการท่องเที่ยวจะกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้ง
นายกรัฐมนตรีตรวจด่านท่าฉัตรไชย มั่นใจภูเก็ตพร้อมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เชื่อมั่นการท่องเที่ยวจะกลับมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีกครั้ง
วันนี้ (1 ก.ค. 64) เวลา 10.00 ณ ด่านตรวจภูเก็ต (ด่านท่าฉัตรไชย) ต.ไม้ขาว อ.เมือง จ.ภูเก็ต พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ตรวจด่านท่าฉัตรไชย ในการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตามโมเดล Phuket Sandbox โดยมีนายณรงค์วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมนําเสนอการเตรียมความพร้อม และมาตรการในการตรวจคัดกรองคนที่เดินทางเข้ามาเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า ภายหลังการรับฟังบรรยาย นายกรัฐมนตรีกล่าวขอบคุณเจ้าที่ทุกภาคส่วน พลเรือน ทหาร ตํารวจ เจ้าหน้าที่ด่าน อสม. ที่ร่วมมือทําหน้าที่คัดกรองนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่จะเดินทางเข้าออกเมืองภูเก็ต ซึ่งมีทั้งด่านตรวจเก่าและใหม่ ซึ่งต้องเน้นเอกสารความถูกต้อง แม่นยํา ให้มีการบริหารที่ถูกต้อง มีการดําเนินการต่าง ๆ ซึ่งอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน และการประชาสัมพันธ์ที่ดีเพื่อให้นักท่องเที่ยวทราบและเข้าใจในส่วนของระบบต่าง ๆ นายกรัฐมนตรียังเน้นเรื่องความสะอาด การจัดการขยะพลาสติกต่าง ๆ ให้ถูกสุขลักษณะ เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่อยากเดินทางมาประเทศไทยมีความประทับใจ พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม. และเจ้าหน้าที่ด่านตรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ และเต็มกําลังความสามารถ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีแนวโน้มระบาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นกําลังสําคัญดูแลประชาชน และรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาตามโครงการ Phuket Sandbox ซึ่งจังหวัดภูเก็ตเป็นพื้นที่นําร่องในการรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติของประเทศ วันนี้ พบว่าด่านท่าฉัตรไชยมีความพร้อมในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่จะเปิดประเทศ เพื่อให้การท่องเที่ยวของไทยกลับมาเป็นกลไกสําคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่องต่อไป
นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า ทุกอย่างจะสําเร็จได้ด้วยต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือจากทุกคน และขอให้ทุกคนปลอดภัย ถ้าเราอยากได้การท่องเที่ยวกลับมา ทุกคนต้องช่วยกัน
ระหว่างการตรวจเยี่ยม คณะอสม ยังได้ร้องเพลง อสม. ต้อนรับนายกรัฐมนตรี พร้อมตะโกน “นายกฯ สู้สู้” ซึ่งนายกรัฐมนตรียังฝากขอบคุณครอบครัว อสม. ทุกคน ที่ได้ให้ อสม. ออกมาทําหน้าที่และอวยพรให้ทุกคนปลอดภัยด้วย
.............. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43338 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. จัดส่งใบแจ้งยอดเงินสมาชิกประจำปีให้สมาชิกทั่วประเทศ” | วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565
“กอช. จัดส่งใบแจ้งยอดเงินสมาชิกประจําปีให้สมาชิกทั่วประเทศ”
กอช. จัดส่งใบแจ้งยอดเงินสมาชิก ให้สมาชิกทั่วประเทศ เพื่อแจ้งยอดเงินออมประจําปีและใช้เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จัดส่งใบแจ้งยอดเงินสมาชิก ให้สมาชิกทั่วประเทศ เพื่อแจ้งยอดเงินออมประจําปีและใช้เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. จัดส่งใบแจ้งยอดเงินสมาชิก (Statement) ให้แก่สมาชิกทั่วประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้สมาชิกทราบยอดเงินออมประจําปีและใช้เป็นเอกสารหลักฐานในการคํานวณและยื่นลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ได้เต็มจํานวน สูงสุดไม่เกิน 13,200 บาท หากสมาชิกต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถาม ได้ที่ สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 ในวันและเวลาทําการ
นอกจากนี้ สมาชิก กอช. สามารถดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน “กอช.” เพื่อตรวจสอบยอดเงินออมสะสมส่งเงินออมสะสม รวมถึงติดตามข่าวสารและโปรโมชันได้ตลอดเวลา
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ” | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. จัดส่งใบแจ้งยอดเงินสมาชิกประจำปีให้สมาชิกทั่วประเทศ”
วันจันทร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2565
“กอช. จัดส่งใบแจ้งยอดเงินสมาชิกประจําปีให้สมาชิกทั่วประเทศ”
กอช. จัดส่งใบแจ้งยอดเงินสมาชิก ให้สมาชิกทั่วประเทศ เพื่อแจ้งยอดเงินออมประจําปีและใช้เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จัดส่งใบแจ้งยอดเงินสมาชิก ให้สมาชิกทั่วประเทศ เพื่อแจ้งยอดเงินออมประจําปีและใช้เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษี สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. เปิดเผยว่า กอช. จัดส่งใบแจ้งยอดเงินสมาชิก (Statement) ให้แก่สมาชิกทั่วประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้สมาชิกทราบยอดเงินออมประจําปีและใช้เป็นเอกสารหลักฐานในการคํานวณและยื่นลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 ได้เต็มจํานวน สูงสุดไม่เกิน 13,200 บาท หากสมาชิกต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถาม ได้ที่ สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 ในวันและเวลาทําการ
นอกจากนี้ สมาชิก กอช. สามารถดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน “กอช.” เพื่อตรวจสอบยอดเงินออมสะสมส่งเงินออมสะสม รวมถึงติดตามข่าวสารและโปรโมชันได้ตลอดเวลา
“คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ” | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51745 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสำรองยาต้านไวรัสโควิด-19 ให้เพียงพอกับการใช้งาน | วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม 2564
รัฐบาลสํารองยาต้านไวรัสโควิด-19 ให้เพียงพอกับการใช้งาน
วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลปรับแผนการสํารองยาฟาวิพิราเวียร์รองรับแนวทางการรักษาใหม่ที่จะจ่ายยาให้ผู้ป่วยโควิด-19 เร็วขึ้นทั้งส่วนที่องค์การเภสัชกรรมผลิตเองและที่จัดหาจากต่างประเทศ โดยในเดือน ส.ค.-ก.ย. สํารองไว้ 120 ล้านเม็ด และเดือน ต.ค-ธ.ค. เพิ่มอีกเดือนละ 100 ล้านเม็ด รวมเป็น 300 ล้านเม็ด และจัดสรรให้หน่วยบริการสาธารณสุขหรือ รพ.แม่ข่ายต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ตามการบริหารจัดการของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังจัดหายาแรมเดซิเวีย หรือ ยาต้านไวรัสแบบฉีดที่เหมาะสําหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีปัญหาในการดูดซึมยา ผู้ที่มีอาการปอดบวมอย่างรุนแรง และผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้อีก 200,000 ขวด
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลสำรองยาต้านไวรัสโควิด-19 ให้เพียงพอกับการใช้งาน
วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม 2564
รัฐบาลสํารองยาต้านไวรัสโควิด-19 ให้เพียงพอกับการใช้งาน
วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลปรับแผนการสํารองยาฟาวิพิราเวียร์รองรับแนวทางการรักษาใหม่ที่จะจ่ายยาให้ผู้ป่วยโควิด-19 เร็วขึ้นทั้งส่วนที่องค์การเภสัชกรรมผลิตเองและที่จัดหาจากต่างประเทศ โดยในเดือน ส.ค.-ก.ย. สํารองไว้ 120 ล้านเม็ด และเดือน ต.ค-ธ.ค. เพิ่มอีกเดือนละ 100 ล้านเม็ด รวมเป็น 300 ล้านเม็ด และจัดสรรให้หน่วยบริการสาธารณสุขหรือ รพ.แม่ข่ายต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ตามการบริหารจัดการของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข นอกจากนี้ ยังจัดหายาแรมเดซิเวีย หรือ ยาต้านไวรัสแบบฉีดที่เหมาะสําหรับผู้ป่วยโควิด-19 ที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีปัญหาในการดูดซึมยา ผู้ที่มีอาการปอดบวมอย่างรุนแรง และผู้ป่วยที่ไม่สามารถใช้ยาฟาวิพิราเวียร์ได้อีก 200,000 ขวด
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45031 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ ศรีสมาน) (21 ก.ย.64) | วันพุธที่ 22 กันยายน 2564
โครงการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ ศรีสมาน) (21 ก.ย.64)
สู่เป้าหมาย 33,000 คน ภายใน กันยายน 2564
อัปเดต “ศูนย์ฉีดวัคซีนทางเลือก ซิโนฟาร์ม”อํานวยความสะดวกให้ประชาชน พื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
ฉีดวันที่ 21 ก.ย.64 จํานวน 750 คน
ฉีดไปแล้ว 29,750 คน
ต้องฉีดอีก 3,250 คน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ ศรีสมาน) (21 ก.ย.64)
วันพุธที่ 22 กันยายน 2564
โครงการกระจายวัคซีนทางเลือกให้กับประชาชนในพื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี (สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พื้นที่ ศรีสมาน) (21 ก.ย.64)
สู่เป้าหมาย 33,000 คน ภายใน กันยายน 2564
อัปเดต “ศูนย์ฉีดวัคซีนทางเลือก ซิโนฟาร์ม”อํานวยความสะดวกให้ประชาชน พื้นที่ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
ฉีดวันที่ 21 ก.ย.64 จํานวน 750 คน
ฉีดไปแล้ว 29,750 คน
ต้องฉีดอีก 3,250 คน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46073 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวแฟลตดินแดงปลื้ม ลุงตู่ ลุงป้อม ห่วงใย มอบ รมว. เฮ้ง แจกข้าวกล่องบรรเทาความเดือดร้อน | วันเสาร์ที่ 18 กันยายน 2564
ชาวแฟลตดินแดงปลื้ม ลุงตู่ ลุงป้อม ห่วงใย มอบ รมว. เฮ้ง แจกข้าวกล่องบรรเทาความเดือดร้อน
ชาวแฟลตดินแดงปลื้ม ลุงตู่ ลุงป้อม ห่วงใย มอบ รมว. เฮ้ง แจกข้าวกล่องบรรเทาความเดือดร้อน
เมื่อวันที่18กันยายน2564นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่มอบข้าวกล่องครัวลุงตู่ลุงป้อมซึ่งได้ให้แม่ค้าในชุมชนได้ทําข้าวกล่องในมื้อเย็นเพื่อให้มีอาชีพมีรายได้จํานวน1,500กล่องเพื่อนําไปแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านชุมชนดินแดงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19จํานวน3แห่งๆละ500กล่องประกอบด้วยเมนูข้าวคลุกกะปิข้าวไก่ผัดขิงไข่ต้มข้าวมันไก่ต้มข้าวมันไก่ทอดข้าวแพนงหมูได้แก่จุดแรกที่โครงการฟื้นฟูเมืองดินแดงระยะที่1 (ดินแดงแปลงจี)หลังมัสยิดมูฮายีรีนจุดที่สองที่บริเวณสนามอาคาร8ชั้นแยกประชาสงเคราะห์ตรงข้ามโรงเรียนพิบูลประชาสรรค์และจุดที่สามที่บริเวณลานกีฬา51ซอยประชาสงเคราะห์11ใกล้ตลาดเคหะชุมชนดินแดง2โดยมีนายวิชาญเขียวแก้วประธานคณะกรรมการเคหะชุมชนดินแดง2และชาวแฟลตดินแดงร่วมรับมอบโดยนายสุชาติกล่าวว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19โดยเฉพาะผู้สูงอายุเด็กเล็กผู้ป่วยติดเตียงและชาวแฟลตดินแดงที่ไม่มีรายได้เนื่องจากผลกระทบโควิดจึงได้มอบหมายให้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่มอบข้าวกล่องซึ่งได้ให้แม่ค้าในชุมชนได้ทําข้าวกล่องเพื่อให้มีอาชีพมีรายได้วันละ1,500กล่องเพื่อนําไปแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านชุมชนดินแดงที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ในมื้อเย็นรวมทั้งสิ้น3แห่งๆละ500กล่องเริ่มตั้งแต่วันที่16ก.ย. -12ต.ค.64เป็นเวลา27วันเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว
สําหรับชุมชนเคหะดินแดงมีอาคารที่พักจํานวน55อาคารห้องพัก7,697ห้องมีประชาชนพักอาศัยทั้งสิ้น29,810คนมีกลุ่มเปราะบางครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุช่วยเหลือตนเองไม่ได้300ครัวเรือนมีผู้พิการที่ต้องดูแลช่วยเหลือ100ครัวเรือนสําหรับมาตรการป้องกันโควิด-19คณะกรรมการเคหะชุมชนดินแดงมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนผู้อยู่อาศัยได้สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อออกจากที่พักมีการตรวจคัดกรองโควิด-19แก่แม่ค้าพ่อค้าในตลาดกลางเคหะชุมชนดินแดงรวมทั้งกําชับให้มีการปฏิบัติตามมาตรการของศบค.อย่างเคร่งครัดอีกด้วย
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
17กันยายน2564 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ชาวแฟลตดินแดงปลื้ม ลุงตู่ ลุงป้อม ห่วงใย มอบ รมว. เฮ้ง แจกข้าวกล่องบรรเทาความเดือดร้อน
วันเสาร์ที่ 18 กันยายน 2564
ชาวแฟลตดินแดงปลื้ม ลุงตู่ ลุงป้อม ห่วงใย มอบ รมว. เฮ้ง แจกข้าวกล่องบรรเทาความเดือดร้อน
ชาวแฟลตดินแดงปลื้ม ลุงตู่ ลุงป้อม ห่วงใย มอบ รมว. เฮ้ง แจกข้าวกล่องบรรเทาความเดือดร้อน
เมื่อวันที่18กันยายน2564นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่มอบข้าวกล่องครัวลุงตู่ลุงป้อมซึ่งได้ให้แม่ค้าในชุมชนได้ทําข้าวกล่องในมื้อเย็นเพื่อให้มีอาชีพมีรายได้จํานวน1,500กล่องเพื่อนําไปแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านชุมชนดินแดงที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19จํานวน3แห่งๆละ500กล่องประกอบด้วยเมนูข้าวคลุกกะปิข้าวไก่ผัดขิงไข่ต้มข้าวมันไก่ต้มข้าวมันไก่ทอดข้าวแพนงหมูได้แก่จุดแรกที่โครงการฟื้นฟูเมืองดินแดงระยะที่1 (ดินแดงแปลงจี)หลังมัสยิดมูฮายีรีนจุดที่สองที่บริเวณสนามอาคาร8ชั้นแยกประชาสงเคราะห์ตรงข้ามโรงเรียนพิบูลประชาสรรค์และจุดที่สามที่บริเวณลานกีฬา51ซอยประชาสงเคราะห์11ใกล้ตลาดเคหะชุมชนดินแดง2โดยมีนายวิชาญเขียวแก้วประธานคณะกรรมการเคหะชุมชนดินแดง2และชาวแฟลตดินแดงร่วมรับมอบโดยนายสุชาติกล่าวว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงานมีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19โดยเฉพาะผู้สูงอายุเด็กเล็กผู้ป่วยติดเตียงและชาวแฟลตดินแดงที่ไม่มีรายได้เนื่องจากผลกระทบโควิดจึงได้มอบหมายให้ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่มอบข้าวกล่องซึ่งได้ให้แม่ค้าในชุมชนได้ทําข้าวกล่องเพื่อให้มีอาชีพมีรายได้วันละ1,500กล่องเพื่อนําไปแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านชุมชนดินแดงที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ในมื้อเย็นรวมทั้งสิ้น3แห่งๆละ500กล่องเริ่มตั้งแต่วันที่16ก.ย. -12ต.ค.64เป็นเวลา27วันเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว
สําหรับชุมชนเคหะดินแดงมีอาคารที่พักจํานวน55อาคารห้องพัก7,697ห้องมีประชาชนพักอาศัยทั้งสิ้น29,810คนมีกลุ่มเปราะบางครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุช่วยเหลือตนเองไม่ได้300ครัวเรือนมีผู้พิการที่ต้องดูแลช่วยเหลือ100ครัวเรือนสําหรับมาตรการป้องกันโควิด-19คณะกรรมการเคหะชุมชนดินแดงมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนผู้อยู่อาศัยได้สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่อออกจากที่พักมีการตรวจคัดกรองโควิด-19แก่แม่ค้าพ่อค้าในตลาดกลางเคหะชุมชนดินแดงรวมทั้งกําชับให้มีการปฏิบัติตามมาตรการของศบค.อย่างเคร่งครัดอีกด้วย
+++++++++++++++++++
กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์
17กันยายน2564 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45965 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง สรุปอุบัติเหตุบนทางหลวง เดือนมิถุนายน 2565 พบอุบัติเหตุลดลง 23% | วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2565
กรมทางหลวง สรุปอุบัติเหตุบนทางหลวง เดือนมิถุนายน 2565 พบอุบัติเหตุลดลง 23%
สาเหตุหลักขับเร็วเกินกฎหมายกําหนด
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักอํานวยความปลอดภัย ได้สรุปรายงานข้อมูลอุบัติเหตุบนทางหลวงทั่วประเทศประจําเดือน มิถุนายน 2565 จากการรายงานอุบัติเหตุทางระบบ HAIMS พบว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นบนทางหลวงในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง จํานวน 947 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 135 ราย ได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น 663 ราย รถที่เกิดอุบัติเหตุ จํานวน 1,397 คัน เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของกรมทางหลวงเสียหายประมาณ 12 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบสถิติอุบัติเหตุประจําเดือนมิถุนายน 2564 จํานวนอุบัติเหตุลดลง 23% ผู้เสียชีวิตลดลง 7% บาดเจ็บลดลง 13% จํานวนรถที่เกิดอุบัติเหตุลดลง 20% ซึ่งสาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุมาจากผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วสูงกว่ากฎหมายกําหนด 76% (721 ครั้ง) รองลงมา ได้แก่ หลับใน 8% (77 ครั้ง) การตัดหน้าระยะกระชั้นชิด 7% (68 ครั้ง) และอุปกรณ์รถบกพร่อง 4% (41 ครั้ง)
สําหรับอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดบริเวณทางตรง 63% (595 ครั้ง) ทางโค้ง 13% (126 ครั้ง) และทางแยกระดับเดียวกัน 9% (83 ครั้ง) ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่ ได้แก่ รถปิกอัพบรรทุก 4 ล้อ 41% (566 คัน) รถยนต์นั่ง 23% (326 คัน) และรถบรรทุกมากกว่า 10 ล้อ (รถพ่วง) 11% (158 คัน) ซึ่งหากจําแนกตามภาคของการเกิดอุบัติเหตุพบว่าเส้นทางในภาคเหนือเกิดอุบัติเหตุสูงสุด 21% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 21% และภาคตะวันออก 15% นอกจากนี้ ทางหลวงที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ทางหลวงหมายเลข 9 ตอน บางปะอิน - แขวงรามอินทรา จํานวน 49 ครั้ง
ทั้งนี้ ทล. ได้มีมาตรการแก้ไขที่ได้ดําเนินการร่วมกับตํารวจทางหลวงในการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจจับความเร็วยานพาหนะที่วิ่งบนทางหลวงพร้อมทั้งให้แขวงทางหลวงดําเนินการตรวจสอบความปลอดภัยถนน ซึ่งเป็นมาตรการที่สําคัญในการลดและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ทล. ขอความร่วมมือผู้ใช้ทางโปรดขับขี่ด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน เพื่อความปลอดภัยของท่านและผู้ร่วมทาง หากประชาชนผู้ใช้ทางต้องการแจ้งอุบัติเหตุหรือสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตํารวจทางหลวง 1193 ตลอด 24 ชั่วโมง | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง สรุปอุบัติเหตุบนทางหลวง เดือนมิถุนายน 2565 พบอุบัติเหตุลดลง 23%
วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2565
กรมทางหลวง สรุปอุบัติเหตุบนทางหลวง เดือนมิถุนายน 2565 พบอุบัติเหตุลดลง 23%
สาเหตุหลักขับเร็วเกินกฎหมายกําหนด
กรมทางหลวง (ทล.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักอํานวยความปลอดภัย ได้สรุปรายงานข้อมูลอุบัติเหตุบนทางหลวงทั่วประเทศประจําเดือน มิถุนายน 2565 จากการรายงานอุบัติเหตุทางระบบ HAIMS พบว่า อุบัติเหตุเกิดขึ้นบนทางหลวงในความรับผิดชอบของกรมทางหลวง จํานวน 947 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 135 ราย ได้รับบาดเจ็บทั้งสิ้น 663 ราย รถที่เกิดอุบัติเหตุ จํานวน 1,397 คัน เป็นเหตุให้ทรัพย์สินของกรมทางหลวงเสียหายประมาณ 12 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบสถิติอุบัติเหตุประจําเดือนมิถุนายน 2564 จํานวนอุบัติเหตุลดลง 23% ผู้เสียชีวิตลดลง 7% บาดเจ็บลดลง 13% จํานวนรถที่เกิดอุบัติเหตุลดลง 20% ซึ่งสาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุมาจากผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วสูงกว่ากฎหมายกําหนด 76% (721 ครั้ง) รองลงมา ได้แก่ หลับใน 8% (77 ครั้ง) การตัดหน้าระยะกระชั้นชิด 7% (68 ครั้ง) และอุปกรณ์รถบกพร่อง 4% (41 ครั้ง)
สําหรับอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดบริเวณทางตรง 63% (595 ครั้ง) ทางโค้ง 13% (126 ครั้ง) และทางแยกระดับเดียวกัน 9% (83 ครั้ง) ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่ ได้แก่ รถปิกอัพบรรทุก 4 ล้อ 41% (566 คัน) รถยนต์นั่ง 23% (326 คัน) และรถบรรทุกมากกว่า 10 ล้อ (รถพ่วง) 11% (158 คัน) ซึ่งหากจําแนกตามภาคของการเกิดอุบัติเหตุพบว่าเส้นทางในภาคเหนือเกิดอุบัติเหตุสูงสุด 21% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 21% และภาคตะวันออก 15% นอกจากนี้ ทางหลวงที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ ทางหลวงหมายเลข 9 ตอน บางปะอิน - แขวงรามอินทรา จํานวน 49 ครั้ง
ทั้งนี้ ทล. ได้มีมาตรการแก้ไขที่ได้ดําเนินการร่วมกับตํารวจทางหลวงในการบังคับใช้กฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการตรวจจับความเร็วยานพาหนะที่วิ่งบนทางหลวงพร้อมทั้งให้แขวงทางหลวงดําเนินการตรวจสอบความปลอดภัยถนน ซึ่งเป็นมาตรการที่สําคัญในการลดและป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้น ทล. ขอความร่วมมือผู้ใช้ทางโปรดขับขี่ด้วยความระมัดระวังโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูฝน เพื่อความปลอดภัยของท่านและผู้ร่วมทาง หากประชาชนผู้ใช้ทางต้องการแจ้งอุบัติเหตุหรือสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมทางหลวง 1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) สายด่วนมอเตอร์เวย์ 1586 กด 7 และตํารวจทางหลวง 1193 ตลอด 24 ชั่วโมง | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57327 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลผลักดัน คทช. เป็นกลไกให้ประชาชนมีสิทธิทำกินบนที่ดินถูกกฎหมาย | วันพุธที่ 22 กันยายน 2564
รัฐบาลผลักดัน คทช. เป็นกลไกให้ประชาชนมีสิทธิทํากินบนที่ดินถูกกฎหมาย
วันพุธที่ 22 กันยายน 2564
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ํานโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนมีสิทธิในการทํากินที่ถูกต้อง โดยให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. เป็นกลไกสําคัญในการช่วยเหลือประชาชน เช่น แก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนของรัฐกับประชาชน และช่วยเหลือเกษตรกรที่ทํากินในที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิโดยจะเร่งดําเนินการในทุกจังหวัดให้เร็วที่สุด เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถยกระดับคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรได้ตามมาตรฐาน GAP และมาตรฐานการส่งออก ซึ่งให้ความสําคัญกับแหล่งที่มาของผลผลิต โดยจะนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพิ่มช่องทางการตลาดให้แก่เกษตรกร และบูรณาการข้อมูลรัฐแบบ Big Data เพื่อให้ทุกหน่วยงานนําไปใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลผลักดัน คทช. เป็นกลไกให้ประชาชนมีสิทธิทำกินบนที่ดินถูกกฎหมาย
วันพุธที่ 22 กันยายน 2564
รัฐบาลผลักดัน คทช. เป็นกลไกให้ประชาชนมีสิทธิทํากินบนที่ดินถูกกฎหมาย
วันพุธที่ 22 กันยายน 2564
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เน้นย้ํานโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ประชาชนมีสิทธิในการทํากินที่ถูกต้อง โดยให้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ หรือ คทช. เป็นกลไกสําคัญในการช่วยเหลือประชาชน เช่น แก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนของรัฐกับประชาชน และช่วยเหลือเกษตรกรที่ทํากินในที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิโดยจะเร่งดําเนินการในทุกจังหวัดให้เร็วที่สุด เพื่อให้เกษตรกรไทยสามารถยกระดับคุณภาพผลผลิตทางการเกษตรได้ตามมาตรฐาน GAP และมาตรฐานการส่งออก ซึ่งให้ความสําคัญกับแหล่งที่มาของผลผลิต โดยจะนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพิ่มช่องทางการตลาดให้แก่เกษตรกร และบูรณาการข้อมูลรัฐแบบ Big Data เพื่อให้ทุกหน่วยงานนําไปใช้ได้อย่างเกิดประโยชน์สูงสุด
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46081 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม สร้างสะพานเข้าสู่ศูนย์ราชการสระบุรี รุดหน้ากว่า 77% | วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2564
กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม สร้างสะพานเข้าสู่ศูนย์ราชการสระบุรี รุดหน้ากว่า 77%
คาดแล้วเสร็จ ในปี 2564 อํานวยความสะดวกรวดเร็ว ร่นระยะทางให้ประชาชน
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเข้าศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรี อําเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ส่งเสริมการคมนาคมให้มีประสิทธิภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน คาดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564 นี้
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า เดิมประชาชนที่ต้องการเดินทางจากฝั่งตําบลปากเพรียว อําเภอเมือง (ถนนมิตรภาพ) เพื่อเข้าศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรี จะต้องเดินทางอ้อมอ่างเก็บน้ําคลองเพรียวเป็นระยะทางที่ไกลมาก ซึ่งทําให้การสัญจรเกิดความไม่สะดวก ส่งผลให้การเดินทางล่าช้า ทช. จึงได้ดําเนินการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเข้าศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ร่นระยะทาง ให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็วปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการแก้ไขปัญหาการจราจรที่หนาแน่นในเขตชุมชน พัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน สอดรับกับนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเข้าศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรีนั้น มีความยาวสะพาน 670 เมตร สะพานมีความกว้าง 20.60 เมตร ทางเท้ากว้าง 2 เมตร พร้อมถนนต่อเชื่อมสะพานความยาว รวม 485 เมตร ขนาด 4 ช่องจราจรไป - กลับ ปัจจุบันได้ดําเนินการก่อสร้างไปแล้วกว่า77% ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างทางเท้า ราวสะพาน และถนนต่อเชื่อมสะพาน คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ประชาชนใช้สัญจรได้ในเดือนธันวาคม 2564 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม สร้างสะพานเข้าสู่ศูนย์ราชการสระบุรี รุดหน้ากว่า 77%
วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน 2564
กรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม สร้างสะพานเข้าสู่ศูนย์ราชการสระบุรี รุดหน้ากว่า 77%
คาดแล้วเสร็จ ในปี 2564 อํานวยความสะดวกรวดเร็ว ร่นระยะทางให้ประชาชน
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม รายงานความก้าวหน้าโครงการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเข้าศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรี อําเภอเมือง จังหวัดสระบุรี ส่งเสริมการคมนาคมให้มีประสิทธิภาพ ยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน คาดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2564 นี้
นายปฐม เฉลยวาเรศ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท เปิดเผยว่า เดิมประชาชนที่ต้องการเดินทางจากฝั่งตําบลปากเพรียว อําเภอเมือง (ถนนมิตรภาพ) เพื่อเข้าศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรี จะต้องเดินทางอ้อมอ่างเก็บน้ําคลองเพรียวเป็นระยะทางที่ไกลมาก ซึ่งทําให้การสัญจรเกิดความไม่สะดวก ส่งผลให้การเดินทางล่าช้า ทช. จึงได้ดําเนินการก่อสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเข้าศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรี เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ร่นระยะทาง ให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวกรวดเร็วปลอดภัย อีกทั้งยังเป็นการแก้ไขปัญหาการจราจรที่หนาแน่นในเขตชุมชน พัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน สอดรับกับนโยบายของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กเข้าศูนย์ราชการจังหวัดสระบุรีนั้น มีความยาวสะพาน 670 เมตร สะพานมีความกว้าง 20.60 เมตร ทางเท้ากว้าง 2 เมตร พร้อมถนนต่อเชื่อมสะพานความยาว รวม 485 เมตร ขนาด 4 ช่องจราจรไป - กลับ ปัจจุบันได้ดําเนินการก่อสร้างไปแล้วกว่า77% ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างทางเท้า ราวสะพาน และถนนต่อเชื่อมสะพาน คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้ประชาชนใช้สัญจรได้ในเดือนธันวาคม 2564 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42812 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน ประสานสายการบินนกแอร์ เร่งชี้แจงผู้โดยสาร กรณียกเลิกเที่ยวบินเส้นทางดอนเมือง - เบตง | วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565
กรมท่าอากาศยาน ประสานสายการบินนกแอร์ เร่งชี้แจงผู้โดยสาร กรณียกเลิกเที่ยวบินเส้นทางดอนเมือง - เบตง
ตามที่สายการบินนกแอร์ได้ยกเลิกเที่ยวบินเส้นทางดอนเมือง - เบตง - ดอนเมือง ในวันที่ 16 และ 18 มีนาคม 2565 นั้น
กรมท่าอากาศยาน (ทย.) กระทรวงคมนาคม ได้ประสานกับสายการบินนกแอร์ ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวดังนี้
สายการบินนกแอร์ยืนยันว่ามีความพร้อมและจะทําการบินเส้นทางดังกล่าวแน่นอน แต่ทั้งนี้ได้ยกเลิกเที่ยวบินเนื่องจากเกิดข้อผิดพลาดด้านการวางแผนการตลาด จึงต้องมีการทบทวนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 สายการบินจะทําการบินไฟลท์โปรโมตการท่องเที่ยวเบตง (Influencer Flight) โดยจะเชิญนักข่าว Youtuber, Social Media, Influencer และบริษัททัวร์ ซึ่งสายการบินนกแอร์จะมีการแถลงข่าวเพื่อชี้แจงข้อมูลต่างๆเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ในวันที่ 16 มีนาคม 2565
สําหรับแนวทางชดเชยผู้โดยสารที่ได้ทําการซื้อบัตรโดยสาร เส้นทาง ดอนเมือง - เบตง - ดอนเมือง ในวันที่ 16 และ 18 มีนาคม 2565 สายการบินจะทําการคืนเงินค่าโคยสารเต็มจํานวน ภายใน 7 วัน พร้อมทั้งค่าชดเชยการแจ้งยกเลิกเที่ยวบินล่วงหน้าตามประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย อีกรายละ 1,200.- บาท
โดย กรมท่าอากาศยานจะได้ประสานและติดตามกับสายการบินนกแอร์ ถึงแนวทางการปฏิบัติและรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและอํานวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน ประสานสายการบินนกแอร์ เร่งชี้แจงผู้โดยสาร กรณียกเลิกเที่ยวบินเส้นทางดอนเมือง - เบตง
วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565
กรมท่าอากาศยาน ประสานสายการบินนกแอร์ เร่งชี้แจงผู้โดยสาร กรณียกเลิกเที่ยวบินเส้นทางดอนเมือง - เบตง
ตามที่สายการบินนกแอร์ได้ยกเลิกเที่ยวบินเส้นทางดอนเมือง - เบตง - ดอนเมือง ในวันที่ 16 และ 18 มีนาคม 2565 นั้น
กรมท่าอากาศยาน (ทย.) กระทรวงคมนาคม ได้ประสานกับสายการบินนกแอร์ ถึงเหตุการณ์ดังกล่าวดังนี้
สายการบินนกแอร์ยืนยันว่ามีความพร้อมและจะทําการบินเส้นทางดังกล่าวแน่นอน แต่ทั้งนี้ได้ยกเลิกเที่ยวบินเนื่องจากเกิดข้อผิดพลาดด้านการวางแผนการตลาด จึงต้องมีการทบทวนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม 2565 สายการบินจะทําการบินไฟลท์โปรโมตการท่องเที่ยวเบตง (Influencer Flight) โดยจะเชิญนักข่าว Youtuber, Social Media, Influencer และบริษัททัวร์ ซึ่งสายการบินนกแอร์จะมีการแถลงข่าวเพื่อชี้แจงข้อมูลต่างๆเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ในวันที่ 16 มีนาคม 2565
สําหรับแนวทางชดเชยผู้โดยสารที่ได้ทําการซื้อบัตรโดยสาร เส้นทาง ดอนเมือง - เบตง - ดอนเมือง ในวันที่ 16 และ 18 มีนาคม 2565 สายการบินจะทําการคืนเงินค่าโคยสารเต็มจํานวน ภายใน 7 วัน พร้อมทั้งค่าชดเชยการแจ้งยกเลิกเที่ยวบินล่วงหน้าตามประกาศสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย อีกรายละ 1,200.- บาท
โดย กรมท่าอากาศยานจะได้ประสานและติดตามกับสายการบินนกแอร์ ถึงแนวทางการปฏิบัติและรายละเอียดต่าง ๆ เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและอํานวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52609 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบ กปภ. ปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนพิเศษให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นรายละ 7,000 บาทต่อเดือน | วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565
ครม.เห็นชอบ กปภ. ปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนพิเศษให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นรายละ 7,000 บาทต่อเดือน
ครม.เห็นชอบ กปภ. ปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนพิเศษให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นรายละ 7,000 บาทต่อเดือน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นรายละ 7,000 บาทต่อเดือน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ครม.ให้ความเห็นชอบ ซึ่งปัจจุบันกปภ.มีหน่วยงานในสังกัดที่มีสถานที่ตั้งในพื้นที่เสี่ยงภัย จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงหน่วยบริการที่อยู่ในสํานักงานเขตพื้นที่พิเศษ จํานวน 10 แห่ง จํานวนพนักงานรวม 211 ราย
สําหรับการปรับเพิ่มค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวจะทําให้มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 5.09 ล้านบาทต่อปี จากเดิม 12.72 ล้านบาท เพิ่มเป็น 17.81 ล้านบาท ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินในภาพรวมของกปภ. และรายได้ที่นําส่งเข้ารัฐ รวมถึงไม่กระทบต่อภาระงบประมาณหรือภาระการสูญเสียรายได้ของรัฐในอนาคต
ทั้งนี้สถานการณ์ปัจจุบันในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นอยู่เป็นประจําและมีความเสี่ยงสูงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกกลุ่มบุคคล โดยเฉพาะพนักงานบริการและควบคุมน้ําสูญเสียที่มีหน้าที่ซ่อมแซมท่อแตกท่อรั่ว ซึ่งเมื่อได้รับแจ้งเหตุต้องลงพื้นที่สํารวจหาน้ําสูญเสียและพนักงานผลิตเพื่อผลิตน้ําประปาอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงงานอื่นๆ ที่มีภารกิจจําเป็นต้องอยู่เวรประจําสํานักงาน ส่งผลให้การสรรหาบุคคลที่จะมาปฏิบัติหน้าที่ค่อนข้างยาก และพบว่าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอื่นจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ ในอัตรารายละ 7,000 บาทต่อเดือน ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) และธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ดังนั้นกปภ.จึงเสนอขอปรับเพิ่มเงินพิเศษ เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับรัฐวิสาหกิจอื่น และเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดแรงงานรวมทั้งสามารถรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพให้อยู่ปฏิบัติงานกับกปภ.ได้
----------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เห็นชอบ กปภ. ปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนพิเศษให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นรายละ 7,000 บาทต่อเดือน
วันอังคารที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565
ครม.เห็นชอบ กปภ. ปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนพิเศษให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นรายละ 7,000 บาทต่อเดือน
ครม.เห็นชอบ กปภ. ปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนพิเศษให้พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นรายละ 7,000 บาทต่อเดือน
วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ปรับเพิ่มเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่พนักงานที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัย จังหวัดชายแดนภาคใต้ จากรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นรายละ 7,000 บาทต่อเดือน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ครม.ให้ความเห็นชอบ ซึ่งปัจจุบันกปภ.มีหน่วยงานในสังกัดที่มีสถานที่ตั้งในพื้นที่เสี่ยงภัย จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงหน่วยบริการที่อยู่ในสํานักงานเขตพื้นที่พิเศษ จํานวน 10 แห่ง จํานวนพนักงานรวม 211 ราย
สําหรับการปรับเพิ่มค่าตอบแทนพิเศษดังกล่าวจะทําให้มีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 5.09 ล้านบาทต่อปี จากเดิม 12.72 ล้านบาท เพิ่มเป็น 17.81 ล้านบาท ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินในภาพรวมของกปภ. และรายได้ที่นําส่งเข้ารัฐ รวมถึงไม่กระทบต่อภาระงบประมาณหรือภาระการสูญเสียรายได้ของรัฐในอนาคต
ทั้งนี้สถานการณ์ปัจจุบันในพื้นที่เสี่ยงภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นอยู่เป็นประจําและมีความเสี่ยงสูงสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกกลุ่มบุคคล โดยเฉพาะพนักงานบริการและควบคุมน้ําสูญเสียที่มีหน้าที่ซ่อมแซมท่อแตกท่อรั่ว ซึ่งเมื่อได้รับแจ้งเหตุต้องลงพื้นที่สํารวจหาน้ําสูญเสียและพนักงานผลิตเพื่อผลิตน้ําประปาอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงงานอื่นๆ ที่มีภารกิจจําเป็นต้องอยู่เวรประจําสํานักงาน ส่งผลให้การสรรหาบุคคลที่จะมาปฏิบัติหน้าที่ค่อนข้างยาก และพบว่าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจอื่นจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษ ในอัตรารายละ 7,000 บาทต่อเดือน ได้แก่ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธกส.) และธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ดังนั้นกปภ.จึงเสนอขอปรับเพิ่มเงินพิเศษ เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันกับรัฐวิสาหกิจอื่น และเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดแรงงานรวมทั้งสามารถรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพให้อยู่ปฏิบัติงานกับกปภ.ได้
----------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51604 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสอบการให้บริการเดินรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสอบการให้บริการเดินรถโดยสารประจําทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
พร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้บริการ
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสอบการให้บริการเดินรถโดยสารประจําทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) พร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้บริการ ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เวลา 18.00 น. - 20.00 น. บริเวณท้องสนามหลวง เขตพระนคร ถนนเพชรบุรี แยกประตูน้ํา เขตราชเทวี และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แขวงทุ่งพญาไท กรุงเทพฯ โดยมี นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ นางสิริรัตน์ วีรวิศาล รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก นางชะไมพร โชติมาโนช ผู้อํานวยการสํานักการขนส่งผู้โดยสาร กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และนายมนัส ครุธชั่งทอง ผู้ช่วยผู้อํานวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ 1 ขสมก. ร่วมลงพื้นที่ด้วย
รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีข้อห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการเดินรถของ ขสมก. ที่ไม่เพียงพอต่อการให้บริการนั้น กระทรวงฯ กําลังเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งในวันนี้ (15 มิถุนายน 2565) ตนได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเดินรถโดยสารประจําทางของ ขสมก. และรถร่วมบริการ พร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้บริการ บริเวณท้องสนามหลวง เขตพระนคร ถนนเพชรบุรี แยกประตูน้ํา เขตราชเทวี และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แขวงทุ่งพญาไท กรุงเทพฯ พบว่า ประชาชนผู้ใช้บริการต้องรอรถประจําทางของ ขสมก. /รถร่วมบริการ และรถสาธารณะในกํากับของกรมการขนส่งทางบก ในหลายเส้นทางเป็นเวลานาน เนื่องจากรถโดยสารขาดระยะและมีการปล่อยรถไม่สม่ําเสมอ ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ ขบ. และ ขสมก. เร่งดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และรวบรวมข้อมูลรถประจําทางที่พบปัญหาในวันนี้ เข้าหารือกับคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ เพื่อกําหนดมาตรการในกํากับการให้บริการของรถโดยสารร่วมบริการ ให้นํารถออกมาให้บริการประชาชนอย่างเพียงพอ และปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น
กระทรวงคมนาคม ขอยืนยันว่า ในช่วงเวลาหลัง 20.00 น. ขสมก. ยังคงมีรถโดยสารวิ่งให้บริการ ตามปกติ ไม่ได้มีการปรับลดเที่ยววิ่งแต่อย่างใด แต่เนื่องจากในบางเส้นทางอยู่ระหว่างปรับปรุงการจัดเดินรถให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการและจํานวนพนักงานประจํารถ จึงทําให้เกิดปัญหารถโดยสารประจําทางขาดระยะ ไม่เพียงพอในการเดินทางของประชาชน กระทรวงฯ จะเร่งกํากับติดตามบริหารจัดการปริมาณการเดินรถให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการเดินทางของประชาชน โดยเร่งด่วน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสอบการให้บริการเดินรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
วันพุธที่ 15 มิถุนายน 2565
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสอบการให้บริการเดินรถโดยสารประจําทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
พร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้บริการ
นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ตรวจสอบการให้บริการเดินรถโดยสารประจําทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) พร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้บริการ ในวันที่ 15 มิถุนายน 2565 เวลา 18.00 น. - 20.00 น. บริเวณท้องสนามหลวง เขตพระนคร ถนนเพชรบุรี แยกประตูน้ํา เขตราชเทวี และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แขวงทุ่งพญาไท กรุงเทพฯ โดยมี นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ นางสิริรัตน์ วีรวิศาล รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก นางชะไมพร โชติมาโนช ผู้อํานวยการสํานักการขนส่งผู้โดยสาร กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) และนายมนัส ครุธชั่งทอง ผู้ช่วยผู้อํานวยการฝ่ายการเดินรถองค์การ 1 ขสมก. ร่วมลงพื้นที่ด้วย
รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม มีข้อห่วงใยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการเดินรถของ ขสมก. ที่ไม่เพียงพอต่อการให้บริการนั้น กระทรวงฯ กําลังเร่งดําเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งในวันนี้ (15 มิถุนายน 2565) ตนได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเดินรถโดยสารประจําทางของ ขสมก. และรถร่วมบริการ พร้อมรับฟังความคิดเห็นของประชาชนผู้ใช้บริการ บริเวณท้องสนามหลวง เขตพระนคร ถนนเพชรบุรี แยกประตูน้ํา เขตราชเทวี และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แขวงทุ่งพญาไท กรุงเทพฯ พบว่า ประชาชนผู้ใช้บริการต้องรอรถประจําทางของ ขสมก. /รถร่วมบริการ และรถสาธารณะในกํากับของกรมการขนส่งทางบก ในหลายเส้นทางเป็นเวลานาน เนื่องจากรถโดยสารขาดระยะและมีการปล่อยรถไม่สม่ําเสมอ ทั้งนี้ ได้สั่งการให้ ขบ. และ ขสมก. เร่งดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และรวบรวมข้อมูลรถประจําทางที่พบปัญหาในวันนี้ เข้าหารือกับคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง ในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ เพื่อกําหนดมาตรการในกํากับการให้บริการของรถโดยสารร่วมบริการ ให้นํารถออกมาให้บริการประชาชนอย่างเพียงพอ และปรับปรุงประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น
กระทรวงคมนาคม ขอยืนยันว่า ในช่วงเวลาหลัง 20.00 น. ขสมก. ยังคงมีรถโดยสารวิ่งให้บริการ ตามปกติ ไม่ได้มีการปรับลดเที่ยววิ่งแต่อย่างใด แต่เนื่องจากในบางเส้นทางอยู่ระหว่างปรับปรุงการจัดเดินรถให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการและจํานวนพนักงานประจํารถ จึงทําให้เกิดปัญหารถโดยสารประจําทางขาดระยะ ไม่เพียงพอในการเดินทางของประชาชน กระทรวงฯ จะเร่งกํากับติดตามบริหารจัดการปริมาณการเดินรถให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการเดินทางของประชาชน โดยเร่งด่วน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55752 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ขอความร่วมมือนายจ้างรณรงค์ช่วงปีใหม่ ร่วมส่งเสริมด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยลูกจ้าง | วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564
รมว.เฮ้ง ขอความร่วมมือนายจ้างรณรงค์ช่วงปีใหม่ ร่วมส่งเสริมด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยลูกจ้าง
รมว.แรงงาน ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการกํากับ ดูแล ตรวจสอบ และรณรงค์ส่งเสริมด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของลูกจ้างในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของแต่ละปีเป็นช่วงเวลาที่สถานประกอบกิจการหยุดดําเนินการต่อเนื่องหลายวัน เพื่อให้ลูกจ้างและครอบครัวได้เดินทางกลับภูมิลําเนาหรือท่องเที่ยวพักผ่อน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวมักเกิดเหตุไฟฟ้าลัดวงจรหรือเกิดอัคคีภัยขึ้นในสถานประกอบกิจการ เนื่องจากไม่ได้มีการเฝ้าระวังและขาดการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนในอัตราที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับปัจจุบันยังคงมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในหลายพื้นที่ ซึ่งยังต้องดําเนินการป้องกันและควบคุมที่เคร่งครัดเพื่อป้องกันการระบาดที่อาจเกิดขึ้นใหม่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความห่วงใยต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของลูกจ้าง นายจ้าง และประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 อาจเกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัย หรือเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ที่เป็นกลุ่มก้อน (Cluster) ใหม่เพิ่มขึ้น กระทรวงแรงงานจึงมอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ออกประกาศกรมเพื่อขอความร่วมมือนายจ้าง คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานของสถานประกอบกิจการ และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน ดําเนินการกํากับ ดูแล ตรวจสอบ และรณรงค์ส่งเสริมด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของลูกจ้างในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัยทั้งจากการทํางานและจากการเดินทาง รวมทั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565
นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกล่าวเพิ่มเติมว่า กสร. ได้ออกประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการกํากับ ดูแล ตรวจสอบ และรณรงค์ส่งเสริมด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของลูกจ้างในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 และได้สั่งการให้หน่วยปฏิบัติทั่วประเทศขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการตรวจสอบระบบไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องจักร และการจัดเก็บสารเคมีอันตราย ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยก่อนวันหยุดต่อเนื่อง และสร้างการรับรู้ให้ลูกจ้างขับขี่ยานพาหนะด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทาง รวมทั้งเน้นย้ําให้ลูกจ้างปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ขั้นสูงสุดแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention for COVID-19) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนําอย่างเคร่งครัด รวมทั้งดําเนินการตรวจคัดกรองการติดเชื้อของลูกจ้างก่อนกลับเข้าทํางานเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการระบาดในสถานประกอบกิจการที่อาจเกิดขึ้นหลังลูกจ้างกลับเข้าทํางาน หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ กลุ่มงานยุทธศาสตร์ความปลอดภัยในการทํางาน กองความปลอดภัยแรงงาน 0 2448 9128 - 39 ต่อ 603 - 610 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง ขอความร่วมมือนายจ้างรณรงค์ช่วงปีใหม่ ร่วมส่งเสริมด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยลูกจ้าง
วันอังคารที่ 28 ธันวาคม 2564
รมว.เฮ้ง ขอความร่วมมือนายจ้างรณรงค์ช่วงปีใหม่ ร่วมส่งเสริมด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยลูกจ้าง
รมว.แรงงาน ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการกํากับ ดูแล ตรวจสอบ และรณรงค์ส่งเสริมด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของลูกจ้างในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565
นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ของแต่ละปีเป็นช่วงเวลาที่สถานประกอบกิจการหยุดดําเนินการต่อเนื่องหลายวัน เพื่อให้ลูกจ้างและครอบครัวได้เดินทางกลับภูมิลําเนาหรือท่องเที่ยวพักผ่อน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวมักเกิดเหตุไฟฟ้าลัดวงจรหรือเกิดอัคคีภัยขึ้นในสถานประกอบกิจการ เนื่องจากไม่ได้มีการเฝ้าระวังและขาดการตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเกิดอุบัติเหตุจากการใช้รถใช้ถนนในอัตราที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับปัจจุบันยังคงมีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในหลายพื้นที่ ซึ่งยังต้องดําเนินการป้องกันและควบคุมที่เคร่งครัดเพื่อป้องกันการระบาดที่อาจเกิดขึ้นใหม่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความห่วงใยต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของลูกจ้าง นายจ้าง และประชาชน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 อาจเกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัย หรือเกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ที่เป็นกลุ่มก้อน (Cluster) ใหม่เพิ่มขึ้น กระทรวงแรงงานจึงมอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ออกประกาศกรมเพื่อขอความร่วมมือนายจ้าง คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานของสถานประกอบกิจการ และเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทํางาน ดําเนินการกํากับ ดูแล ตรวจสอบ และรณรงค์ส่งเสริมด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของลูกจ้างในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ อุบัติภัยทั้งจากการทํางานและจากการเดินทาง รวมทั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID -19) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565
นายนิยม สองแก้ว อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกล่าวเพิ่มเติมว่า กสร. ได้ออกประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการกํากับ ดูแล ตรวจสอบ และรณรงค์ส่งเสริมด้านความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยของลูกจ้างในช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2565 และได้สั่งการให้หน่วยปฏิบัติทั่วประเทศขอความร่วมมือสถานประกอบกิจการตรวจสอบระบบไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องจักร และการจัดเก็บสารเคมีอันตราย ให้อยู่ในสภาพที่ปลอดภัยก่อนวันหยุดต่อเนื่อง และสร้างการรับรู้ให้ลูกจ้างขับขี่ยานพาหนะด้วยความระมัดระวัง ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขณะเดินทาง รวมทั้งเน้นย้ําให้ลูกจ้างปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ขั้นสูงสุดแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention for COVID-19) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนําอย่างเคร่งครัด รวมทั้งดําเนินการตรวจคัดกรองการติดเชื้อของลูกจ้างก่อนกลับเข้าทํางานเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการระบาดในสถานประกอบกิจการที่อาจเกิดขึ้นหลังลูกจ้างกลับเข้าทํางาน หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ กลุ่มงานยุทธศาสตร์ความปลอดภัยในการทํางาน กองความปลอดภัยแรงงาน 0 2448 9128 - 39 ต่อ 603 - 610 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49959 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.ร.ก.Soft Loan มีเอสเอ็มอีที่ได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมีเพียง 59,528 ราย อะไรเป็นเหตุให้การช่วยเหลือทำได้เพียงเท่านี้ | วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน 2564
พ.ร.ก.Soft Loan มีเอสเอ็มอีที่ได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํามีเพียง 59,528 ราย อะไรเป็นเหตุให้การช่วยเหลือทําได้เพียงเท่านี้
กระทู้ถามของวุฒิสภา เรื่อง การช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID- 19
ถาม พ.ร.ก.Soft Loan มีเอสเอ็มอีที่ได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํามีเพียง 59,528 ราย อะไรเป็นเหตุให้การช่วยเหลือทําได้เพียงเท่านี้
ตอบ 1. พ.ร.ก. Soft Loan มี 2 มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs
1.1 สินเชื่อเพิ่มเติม
1.2 ชะลอการชําระหนี้
2. ณ วันที่ 21 ส.ค. 63 มีผู้ได้รับสินเชื่อกว่า 67,689 ราย วงเงินเฉลี่ย 1.67 ล้านบาท
3. จากสถานการณ์ COVID- 19 ครม.จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 63 อนุมัติ ดังนี้
3.1 โครงการค้ําประกันสินเชื่อ PGS Soft Loan พลัส
- โดย บยส. ค้ําประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs
- คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.75 ต่อปี
- ระยะเวลาค้ําประกัน 8 ปี เริ่มเก็บค่าธรรมเนียมต้นปีที่ 3
- เงินงวดที่ต้องชําระในแต่ละงวดลดลง
- ความสามารถชําระหนี้เพิ่มขึ้นและเข้าถึงสินเชื่อได้มากยิ่งขึ้น
3.2 โครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs 3 กลุ่ม
- กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป
- กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ท่องเที่ยว
- กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยและประชาชน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 138 ตอนพิเศษ 46 ง วันที่ 1 มี.ค. 64 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พ.ร.ก.Soft Loan มีเอสเอ็มอีที่ได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำมีเพียง 59,528 ราย อะไรเป็นเหตุให้การช่วยเหลือทำได้เพียงเท่านี้
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน 2564
พ.ร.ก.Soft Loan มีเอสเอ็มอีที่ได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํามีเพียง 59,528 ราย อะไรเป็นเหตุให้การช่วยเหลือทําได้เพียงเท่านี้
กระทู้ถามของวุฒิสภา เรื่อง การช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID- 19
ถาม พ.ร.ก.Soft Loan มีเอสเอ็มอีที่ได้รับสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํามีเพียง 59,528 ราย อะไรเป็นเหตุให้การช่วยเหลือทําได้เพียงเท่านี้
ตอบ 1. พ.ร.ก. Soft Loan มี 2 มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs
1.1 สินเชื่อเพิ่มเติม
1.2 ชะลอการชําระหนี้
2. ณ วันที่ 21 ส.ค. 63 มีผู้ได้รับสินเชื่อกว่า 67,689 ราย วงเงินเฉลี่ย 1.67 ล้านบาท
3. จากสถานการณ์ COVID- 19 ครม.จึงได้มีมติเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 63 อนุมัติ ดังนี้
3.1 โครงการค้ําประกันสินเชื่อ PGS Soft Loan พลัส
- โดย บยส. ค้ําประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs
- คิดค่าธรรมเนียมร้อยละ 1.75 ต่อปี
- ระยะเวลาค้ําประกัน 8 ปี เริ่มเก็บค่าธรรมเนียมต้นปีที่ 3
- เงินงวดที่ต้องชําระในแต่ละงวดลดลง
- ความสามารถชําระหนี้เพิ่มขึ้นและเข้าถึงสินเชื่อได้มากยิ่งขึ้น
3.2 โครงการช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs 3 กลุ่ม
- กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ทั่วไป
- กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ท่องเที่ยว
- กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs รายย่อยและประชาชน
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 138 ตอนพิเศษ 46 ง วันที่ 1 มี.ค. 64 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45452 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” แนะขั้นตอนเตรียมความพร้อม ก่อนใช้สิทธิคนละครึ่งเฟส 3 วันที่ 1 ก.ค.นี้ | วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2564
“กรุงไทย” แนะขั้นตอนเตรียมความพร้อม ก่อนใช้สิทธิคนละครึ่งเฟส 3 วันที่ 1 ก.ค.นี้
“กรุงไทย” แนะขั้นตอนเตรียมความพร้อม ก่อนเริ่มใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 3 วันที่ 1 ก.ค.นี้ ทั้งดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง เพื่อเปิดใช้งาน G-Wallet ยืนยันตัวตน พร้อมให้ความยินยอมใช้ข้อมูลส่วนบุคคลพิสูจน์ตัวตน เพื่อเข้าร่วมโครงการ
ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า จากการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 จํานวน 31 ล้านสิทธิ ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากประชาชนจํานวนมาก ซึ่งจะเริ่มเปิดใช้สิทธิวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นวันแรก ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการใช้สิทธิ แนะนําผู้ได้รับสิทธิเตรียมความพร้อมก่อนใช้สิทธิ ดังนี้
1.ดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง และทําการเปิดใช้งาน G-wallet เพื่อเตรียมรับสิทธิ
2.ยืนยันตัวตน พร้อมให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อใช้ในการพิสูจน์ตัวตน ป้องกันการทุจริต โดยแอบอ้าง หรือสวมสิทธิเป็นตัวท่าน
ทั้งนี้ ผู้รับสิทธิรายใหม่ จะต้องดําเนินการยืนยันตัวตนทุกคน ส่วนผู้รับสิทธิรายเดิมบางคน อาจจะต้องยืนยันตัวตนเพิ่มเติมอีกครั้ง โดยเมื่อกดเข้า G-wallet ระบบจะขึ้นข้อความว่า “กรุณายืนยันตัวตนเพิ่มเติม เพื่อใช้สิทธิในโครงการ เนื่องจากการยืนยันตัวตนของคุณยังไม่สมบูรณ์” ให้ยืนยันตัวตน โดยสแกนใบหน้า ผ่านแอปฯ เป๋าตัง หรือแอปฯ Krungthai NEXT หรือ นําบัตรประชาชนไปยืนยันตัวตนที่ ตู้ ATM กรุงไทยสีเทา หรือธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ
เมื่อกดเข้า G-Wallet แล้ว ถ้าขึ้นข้อความว่า “ โครงการ “คนละครึ่ง” สามารถใช้ได้วันที่ 1 กรกฎาคม 2564” ก็สามารถใช้สิทธิทันที ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม -31 ธันวาคม 2564 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย” แนะขั้นตอนเตรียมความพร้อม ก่อนใช้สิทธิคนละครึ่งเฟส 3 วันที่ 1 ก.ค.นี้
วันอังคารที่ 29 มิถุนายน 2564
“กรุงไทย” แนะขั้นตอนเตรียมความพร้อม ก่อนใช้สิทธิคนละครึ่งเฟส 3 วันที่ 1 ก.ค.นี้
“กรุงไทย” แนะขั้นตอนเตรียมความพร้อม ก่อนเริ่มใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 3 วันที่ 1 ก.ค.นี้ ทั้งดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง เพื่อเปิดใช้งาน G-Wallet ยืนยันตัวตน พร้อมให้ความยินยอมใช้ข้อมูลส่วนบุคคลพิสูจน์ตัวตน เพื่อเข้าร่วมโครงการ
ธนาคารกรุงไทย แจ้งว่า จากการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งระยะที่ 3 จํานวน 31 ล้านสิทธิ ตั้งแต่วันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากประชาชนจํานวนมาก ซึ่งจะเริ่มเปิดใช้สิทธิวันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นวันแรก ดังนั้น เพื่อความสะดวกในการใช้สิทธิ แนะนําผู้ได้รับสิทธิเตรียมความพร้อมก่อนใช้สิทธิ ดังนี้
1.ดาวน์โหลดแอปฯ เป๋าตัง และทําการเปิดใช้งาน G-wallet เพื่อเตรียมรับสิทธิ
2.ยืนยันตัวตน พร้อมให้ความยินยอมเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อใช้ในการพิสูจน์ตัวตน ป้องกันการทุจริต โดยแอบอ้าง หรือสวมสิทธิเป็นตัวท่าน
ทั้งนี้ ผู้รับสิทธิรายใหม่ จะต้องดําเนินการยืนยันตัวตนทุกคน ส่วนผู้รับสิทธิรายเดิมบางคน อาจจะต้องยืนยันตัวตนเพิ่มเติมอีกครั้ง โดยเมื่อกดเข้า G-wallet ระบบจะขึ้นข้อความว่า “กรุณายืนยันตัวตนเพิ่มเติม เพื่อใช้สิทธิในโครงการ เนื่องจากการยืนยันตัวตนของคุณยังไม่สมบูรณ์” ให้ยืนยันตัวตน โดยสแกนใบหน้า ผ่านแอปฯ เป๋าตัง หรือแอปฯ Krungthai NEXT หรือ นําบัตรประชาชนไปยืนยันตัวตนที่ ตู้ ATM กรุงไทยสีเทา หรือธนาคารกรุงไทยทุกสาขาทั่วประเทศ
เมื่อกดเข้า G-Wallet แล้ว ถ้าขึ้นข้อความว่า “ โครงการ “คนละครึ่ง” สามารถใช้ได้วันที่ 1 กรกฎาคม 2564” ก็สามารถใช้สิทธิทันที ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม -31 ธันวาคม 2564 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43245 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ห่วงใย จัดกิจกรรม “มอบกล่องทันใจเติมความสุขให้ประชาชน ครั้งที่ 3” | วันพุธที่ 22 กันยายน 2564
รฟม. ห่วงใย จัดกิจกรรม “มอบกล่องทันใจเติมความสุขให้ประชาชน ครั้งที่ 3”
แก่ชุมชนที่มีประชาชนรักษาตัวอยู่ที่บ้าน (Home Isolation)
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ได้ส่งมอบอาหารกล่องจากร้านอาหารบริเวณแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า รฟม. ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ภายใต้กิจกรรม “กล่องทันใจ เติมความสุขให้ประชาชน ครั้งที่ 3” โดยได้มอบอาหารกล่อง จํานวน 2,050 กล่อง ในวันที่ 20 – 21 กันยายน 2564 เพื่อแจกจ่ายให้แก่ชุมชนที่มีประชาชนรักษาตัวอยู่ที่บ้านภายในชุมชน (Home Isolation) ได้แก่ ชุมชนรอบมัสยิดสวนพลู ชุมชนหมู่บ้านนักกีฬา ชุมชนมัสยิดย่ามีลุ้ลอิบาดะห์ และชุมชนสุเหร่าเกาะดอน ทั้งนี้ อาหารกล่องดังกล่าว คัดเลือกมาจากร้านอาหารบริเวณแนวสายทางรถไฟฟ้าในความรับผิดชอบของ รฟม. ดังนี้
- ร้านราดหน้าอาหลิว อยู่บริเวณริมถนนสิรินธรฝั่งขาเข้า ใกล้กับสถานีสิรินธร รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ําเงิน)
พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/TVKci97ypqfEb3Cb7
- ร้านสุภากร – อรนิภัทธ์อาหารอิสลาม อยู่ภายในห้างสรรพสินค้า JJ Mall ชั้น 2 บริเวณฟู้ดคอร์ท สถานีกําแพงเพชร รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ําเงิน)
พิกัดร้าน https://g.page/JJMallFoodCourt?share
- ร้านกอเรีย อยู่ภายในโรงอาหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น สถานีพระราม 9 รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ําเงิน)
พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/U9yZJrV5KCGXRdqKA
- ร้านบิงซู นม 6 ฮาลาล สาขาพระราม 9 อยู่บริเวณสถานีรามคําแหง 12 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์)
พิกัดร้าน https://g.page/bingsu-nom6-halal-bangkok?share
- ร้านก๋วยต๋งก๋วยเตี๋ยว อยู่ติดถนนรามอินทรา ซอย 123 ใกล้โรงเรียนเศรษฐบุตรบําเพ็ญ บริเวณสถานี เศรษฐบุตรบําเพ็ญ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี
พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/rdd2dSACqqzazRce6
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพื่อสังคม ที่ รฟม. ได้ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 โดยในครั้งที่ 1 จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2564 ส่งมอบอาหารจํานวน 8,000 กล่อง ให้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยในสถานพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม ส่วนครั้งที่ 2 จัดขึ้นในเดือนสิงหาคม – กันยายน 2564 ส่งมอบอาหารจํานวน 8,000 กล่อง ให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนบริเวณใกล้เคียงกับร้านอาหารที่เข้าร่วมกิจกรรม และในครั้งนี้ รฟม. ได้ตั้งเป้าหมายที่จะสนับสนุนอาหารจากร้านอาหารตามแนวสายทางรถไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 จํานวน 5,200 กล่อง รวมจํานวน 21,200 กล่อง โดยมีระยะเวลาดําเนินกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 20 – 28 กันยายน 2564 ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ห่วงใย จัดกิจกรรม “มอบกล่องทันใจเติมความสุขให้ประชาชน ครั้งที่ 3”
วันพุธที่ 22 กันยายน 2564
รฟม. ห่วงใย จัดกิจกรรม “มอบกล่องทันใจเติมความสุขให้ประชาชน ครั้งที่ 3”
แก่ชุมชนที่มีประชาชนรักษาตัวอยู่ที่บ้าน (Home Isolation)
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ได้ส่งมอบอาหารกล่องจากร้านอาหารบริเวณแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้า รฟม. ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ภายใต้กิจกรรม “กล่องทันใจ เติมความสุขให้ประชาชน ครั้งที่ 3” โดยได้มอบอาหารกล่อง จํานวน 2,050 กล่อง ในวันที่ 20 – 21 กันยายน 2564 เพื่อแจกจ่ายให้แก่ชุมชนที่มีประชาชนรักษาตัวอยู่ที่บ้านภายในชุมชน (Home Isolation) ได้แก่ ชุมชนรอบมัสยิดสวนพลู ชุมชนหมู่บ้านนักกีฬา ชุมชนมัสยิดย่ามีลุ้ลอิบาดะห์ และชุมชนสุเหร่าเกาะดอน ทั้งนี้ อาหารกล่องดังกล่าว คัดเลือกมาจากร้านอาหารบริเวณแนวสายทางรถไฟฟ้าในความรับผิดชอบของ รฟม. ดังนี้
- ร้านราดหน้าอาหลิว อยู่บริเวณริมถนนสิรินธรฝั่งขาเข้า ใกล้กับสถานีสิรินธร รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ําเงิน)
พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/TVKci97ypqfEb3Cb7
- ร้านสุภากร – อรนิภัทธ์อาหารอิสลาม อยู่ภายในห้างสรรพสินค้า JJ Mall ชั้น 2 บริเวณฟู้ดคอร์ท สถานีกําแพงเพชร รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ําเงิน)
พิกัดร้าน https://g.page/JJMallFoodCourt?share
- ร้านกอเรีย อยู่ภายในโรงอาหาร บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น สถานีพระราม 9 รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ําเงิน)
พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/U9yZJrV5KCGXRdqKA
- ร้านบิงซู นม 6 ฮาลาล สาขาพระราม 9 อยู่บริเวณสถานีรามคําแหง 12 โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ - มีนบุรี (สุวินทวงศ์)
พิกัดร้าน https://g.page/bingsu-nom6-halal-bangkok?share
- ร้านก๋วยต๋งก๋วยเตี๋ยว อยู่ติดถนนรามอินทรา ซอย 123 ใกล้โรงเรียนเศรษฐบุตรบําเพ็ญ บริเวณสถานี เศรษฐบุตรบําเพ็ญ โครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี
พิกัดร้าน https://goo.gl/maps/rdd2dSACqqzazRce6
ทั้งนี้ กิจกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมเพื่อสังคม ที่ รฟม. ได้ดําเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 โดยในครั้งที่ 1 จัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม – มิถุนายน 2564 ส่งมอบอาหารจํานวน 8,000 กล่อง ให้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยในสถานพยาบาลและโรงพยาบาลสนาม ส่วนครั้งที่ 2 จัดขึ้นในเดือนสิงหาคม – กันยายน 2564 ส่งมอบอาหารจํานวน 8,000 กล่อง ให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในชุมชนบริเวณใกล้เคียงกับร้านอาหารที่เข้าร่วมกิจกรรม และในครั้งนี้ รฟม. ได้ตั้งเป้าหมายที่จะสนับสนุนอาหารจากร้านอาหารตามแนวสายทางรถไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 จํานวน 5,200 กล่อง รวมจํานวน 21,200 กล่อง โดยมีระยะเวลาดําเนินกิจกรรมตั้งแต่วันที่ 20 – 28 กันยายน 2564 ท่านสามารถติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. ได้ที่ www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46054 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ยกพลังพิพิธภัณฑ์ไทยสร้างคลังสมองขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์ | วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565
วธ.ยกพลังพิพิธภัณฑ์ไทยสร้างคลังสมองขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
วธ.ยกพลังพิพิธภัณฑ์ไทยสร้างคลังสมองขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
วธ.ยกพลังพิพิธภัณฑ์ไทยสร้างคลังสมองขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้ปาฐกถาพิเศษ “Museum Talk” เนื่องในวันพิพิธภัณฑ์สากล 18 พฤษภาคม 2565 ที่อาคารกรมศิลปากรว่า เนื่องในวันพิพิธภัณฑ์สากลประจําปี 2565 ที่ได้กําหนดทิศทางในหัวข้อ พลังของพิพิธภัณฑ์ Power of Museums ซึ่งแสดงให้เห็นความสําคัญของการรวมตัวของพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้เกิดพลังที่ นําการเปลี่ยนแปลงแก่โลก โดยจากฐานข้อมูลศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร สํารวจจํานวนพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยมีจํานวนกว่า 1,528 แห่ง ทั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร พิพิธภัณฑ์หน่วยราชการ สถานศึกษา เอกชน และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมถึงพิพิธภัณฑ์ชุมชนซึ่งมีจํานวนมากที่สุด พิพิธภัณฑ์เหล่านี้ถือเป็นสถาบันแห่งความรู้ ทําหน้าที่เก็บรักษา รวบรวม บันทึกหลักฐานที่แสดงถึงความรู้ของผู้คนในแต่ละยุคสมัย แต่ละภูมิภาค แต่ละชุมชน พิพิธภัณฑ์จึงเป็น “คลังสมองทางวัฒนธรรม” ที่มิเพียงทําหน้าที่สื่อสารให้การเรียนรู้แก่เยาวชน แต่ยังเป็นแหล่งทุนทางวัฒนธรรม Soft Power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์
นายอิทธิพล คุณปลื้มกล่าวว่า สําหรับประเทศไทยแล้ว “วัฒนธรรม” นับเป็น Soft Power ที่โดดเด่น เป็นที่ประจักษ์ในระดับโลก จากสถิติที่ผ่านมาประเทศไทยอยู่ในลําดับต้นในการจัดลําดับแหล่งวัฒนธรรมที่นักท่องเที่ยวใฝ่ฝันจะมาเยี่ยมเยียนของหลายสถาบันอยู่เสมอ ไม่เพียงด้านการท่องเที่ยว ด้านอาหาร ต้มยํากุ้งก็เป็นที่รู้จักทั่วโลก เช่นเดียวกับศิลปะการแสดงโนรา ที่ยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งองค์ความรู้ทางศิลปวัฒนธรรมดังกล่าวบันทึก อนุรักษ์ เก็บรักษา และจัดแสดงเผยแพร่ในพิพิธภัณฑ์โนราเติม วิน วาด จังหวัดสงขลา และการแสดงเรื่องราวของศิลปินหมอลําท้องถิ่นเมืองร้อยเอ็ดที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด รวมถึงเรื่องราวของแม่ฉวีวรรณ ดําเนิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง เป็นต้น พิพิธภัณฑ์จึงนับเป็นแหล่งทุนทางวัฒนธรรมสําคัญ เป็นทุนทางปัญญาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ที่ผ่านมากระทรวงวัฒนธรรมได้เข้าทํางานกับพิพิธภัณฑ์ชุมชนหลายแห่ง เช่น พิพิธภัณฑ์นราธิวาส พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กําแพงเพชร เป็นต้น เพื่อเป็นภาคีเครือข่ายองค์ความรู้ ในการขับเคลื่อนโครงการ “วิถีถิ่น วิถีไทย” ที่มุ่งประชาสัมพันธ์นําวิถีวัฒนธรรมพื้นถิ่นเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่สร้างให้เกิดรายได้เสริมคุณค่า และพัฒนาสังคมในเวลาเดียวกัน
นายอิทธิพล คุณปลื้มยังกล่าวถึงความสําคัญของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ทั้ง 42 แห่ง ของกรมศิลปากร ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่สําคัญ ในช่วงปีที่ผ่านมา ได้พัฒนาปรับปรุงการจัดแสดงที่ทันสมัย เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซึ่งกระตุ้นให้คนไทยเข้าเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์มากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงที่ปิดประเทศ ด้วยเหตุโควิด 19 ระบาด หลังเปิดประเทศ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จึงมีความพร้อมรองรับนักเรียน นักศึกษา นักท่องเที่ยวชาวไทย และต่างประเทศ ที่สําคัญพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติยังเป็นคลังสมองทางวัฒนธรรมจากอดีต ที่ให้โอกาสการเรียนรู้ สืบทอดภูมิปัญญานําไปพัฒนา สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แสดงเอกลักษณ์ไทย เช่น โครงการพิพิธภัณฑ์บันดาลไทย ที่กรมศิลปากรจัดขึ้นโดยชวนน้องนักเรียนมัธยมปลายเข้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับภัณฑารักษ์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และเชิญนักออกแบบคลิปอาร์ต มาร่วมให้ความรู้เทคนิคการสร้างสรรค์สื่อคลิปอาร์ตจากแรงบันดาลใจศิลปกรรมโบราณที่พบในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
นายอิทธิพลกล่าวอีกว่า พลังของชาวพิพิธภัณฑ์ไทย จึงเป็นพลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในหลายมิติ ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมให้ความสําคัญกับการสนับสนุนพัฒนาและดําเนินงานเป็นภาคีเครือข่ายร่วมกันกับพิพิธภัณฑ์ในทุกภูมิภาคของประเทศไทย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ยกพลังพิพิธภัณฑ์ไทยสร้างคลังสมองขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
วันพุธที่ 18 พฤษภาคม 2565
วธ.ยกพลังพิพิธภัณฑ์ไทยสร้างคลังสมองขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
วธ.ยกพลังพิพิธภัณฑ์ไทยสร้างคลังสมองขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
วธ.ยกพลังพิพิธภัณฑ์ไทยสร้างคลังสมองขับเคลื่อนสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้ปาฐกถาพิเศษ “Museum Talk” เนื่องในวันพิพิธภัณฑ์สากล 18 พฤษภาคม 2565 ที่อาคารกรมศิลปากรว่า เนื่องในวันพิพิธภัณฑ์สากลประจําปี 2565 ที่ได้กําหนดทิศทางในหัวข้อ พลังของพิพิธภัณฑ์ Power of Museums ซึ่งแสดงให้เห็นความสําคัญของการรวมตัวของพิพิธภัณฑ์ เพื่อให้เกิดพลังที่ นําการเปลี่ยนแปลงแก่โลก โดยจากฐานข้อมูลศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร สํารวจจํานวนพิพิธภัณฑ์ในประเทศไทยมีจํานวนกว่า 1,528 แห่ง ทั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรมศิลปากร พิพิธภัณฑ์หน่วยราชการ สถานศึกษา เอกชน และพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมถึงพิพิธภัณฑ์ชุมชนซึ่งมีจํานวนมากที่สุด พิพิธภัณฑ์เหล่านี้ถือเป็นสถาบันแห่งความรู้ ทําหน้าที่เก็บรักษา รวบรวม บันทึกหลักฐานที่แสดงถึงความรู้ของผู้คนในแต่ละยุคสมัย แต่ละภูมิภาค แต่ละชุมชน พิพิธภัณฑ์จึงเป็น “คลังสมองทางวัฒนธรรม” ที่มิเพียงทําหน้าที่สื่อสารให้การเรียนรู้แก่เยาวชน แต่ยังเป็นแหล่งทุนทางวัฒนธรรม Soft Power ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์
นายอิทธิพล คุณปลื้มกล่าวว่า สําหรับประเทศไทยแล้ว “วัฒนธรรม” นับเป็น Soft Power ที่โดดเด่น เป็นที่ประจักษ์ในระดับโลก จากสถิติที่ผ่านมาประเทศไทยอยู่ในลําดับต้นในการจัดลําดับแหล่งวัฒนธรรมที่นักท่องเที่ยวใฝ่ฝันจะมาเยี่ยมเยียนของหลายสถาบันอยู่เสมอ ไม่เพียงด้านการท่องเที่ยว ด้านอาหาร ต้มยํากุ้งก็เป็นที่รู้จักทั่วโลก เช่นเดียวกับศิลปะการแสดงโนรา ที่ยูเนสโกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งองค์ความรู้ทางศิลปวัฒนธรรมดังกล่าวบันทึก อนุรักษ์ เก็บรักษา และจัดแสดงเผยแพร่ในพิพิธภัณฑ์โนราเติม วิน วาด จังหวัดสงขลา และการแสดงเรื่องราวของศิลปินหมอลําท้องถิ่นเมืองร้อยเอ็ดที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ร้อยเอ็ด รวมถึงเรื่องราวของแม่ฉวีวรรณ ดําเนิน ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง เป็นต้น พิพิธภัณฑ์จึงนับเป็นแหล่งทุนทางวัฒนธรรมสําคัญ เป็นทุนทางปัญญาในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ที่ผ่านมากระทรวงวัฒนธรรมได้เข้าทํางานกับพิพิธภัณฑ์ชุมชนหลายแห่ง เช่น พิพิธภัณฑ์นราธิวาส พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กําแพงเพชร เป็นต้น เพื่อเป็นภาคีเครือข่ายองค์ความรู้ ในการขับเคลื่อนโครงการ “วิถีถิ่น วิถีไทย” ที่มุ่งประชาสัมพันธ์นําวิถีวัฒนธรรมพื้นถิ่นเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่สร้างให้เกิดรายได้เสริมคุณค่า และพัฒนาสังคมในเวลาเดียวกัน
นายอิทธิพล คุณปลื้มยังกล่าวถึงความสําคัญของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ทั้ง 42 แห่ง ของกรมศิลปากร ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงคุณภาพที่สําคัญ ในช่วงปีที่ผ่านมา ได้พัฒนาปรับปรุงการจัดแสดงที่ทันสมัย เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระปฐมเจดีย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ บ้านเก่า หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ซึ่งกระตุ้นให้คนไทยเข้าเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์มากขึ้นโดยเฉพาะในช่วงที่ปิดประเทศ ด้วยเหตุโควิด 19 ระบาด หลังเปิดประเทศ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ จึงมีความพร้อมรองรับนักเรียน นักศึกษา นักท่องเที่ยวชาวไทย และต่างประเทศ ที่สําคัญพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติยังเป็นคลังสมองทางวัฒนธรรมจากอดีต ที่ให้โอกาสการเรียนรู้ สืบทอดภูมิปัญญานําไปพัฒนา สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่แสดงเอกลักษณ์ไทย เช่น โครงการพิพิธภัณฑ์บันดาลไทย ที่กรมศิลปากรจัดขึ้นโดยชวนน้องนักเรียนมัธยมปลายเข้าแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับภัณฑารักษ์ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และเชิญนักออกแบบคลิปอาร์ต มาร่วมให้ความรู้เทคนิคการสร้างสรรค์สื่อคลิปอาร์ตจากแรงบันดาลใจศิลปกรรมโบราณที่พบในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
นายอิทธิพลกล่าวอีกว่า พลังของชาวพิพิธภัณฑ์ไทย จึงเป็นพลังสําคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในหลายมิติ ซึ่งกระทรวงวัฒนธรรมให้ความสําคัญกับการสนับสนุนพัฒนาและดําเนินงานเป็นภาคีเครือข่ายร่วมกันกับพิพิธภัณฑ์ในทุกภูมิภาคของประเทศไทย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54703 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินจัดให้ เพิ่มรางวัลพิเศษสลากออมสิน 1 ล้านบาท 24 รางวัล เริ่มฝาก 2 ก.ค.65 ทุกสาขาทั่วประเทศ และ แอป MyMo | วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565
ออมสินจัดให้ เพิ่มรางวัลพิเศษสลากออมสิน 1 ล้านบาท 24 รางวัล เริ่มฝาก 2 ก.ค.65 ทุกสาขาทั่วประเทศ และ แอป MyMo
ธนาคารออมสินเปิดรับฝากสลากออมสินงวดใหม่ พร้อมกับเพิ่มรางวัลพิเศษ รางวัลละ 1 ล้านบาท จํานวน 24 รางวัล รวมเป็นเงิน 24 ล้านบาท สําหรับผู้ที่ฝากสลากออมสินตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายน 2565
นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินเปิดรับฝากสลากออมสินงวดใหม่ ทั้งสลากออมสินพิเศษ 2 ปี (แบบใบสลาก) และสลากออมสินดิจิทัล 2 ปี เพื่อส่งเสริมการออมและตอบรับกระแสเรียกร้องจากแฟนพันธุ์แท้สลากออมสิน พร้อมกับเพิ่มรางวัลพิเศษ รางวัลละ 1 ล้านบาท จํานวน 24 รางวัล รวมเป็นเงิน 24 ล้านบาท สําหรับผู้ที่ฝากสลากออมสินตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายน 2565 ซึ่งกําหนดออกรางวัลพิเศษทุกวันที่ 1 ของเดือน รวม 3 ครั้ง โดยแบ่งการออกรางวัลในเดือนสิงหาคม 6 รางวัล กันยายน 8 รางวัล และ ตุลาคม อีก 10 รางวัล ตามลําดับ โดยผู้สนใจสามารถฝากได้ 2 ช่องทาง คือ ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ และ ฝากผ่านแอป MyMo ซึ่งมีความสะดวกอย่างมาก
ทั้งนี้ นอกจากจะมีสิทธิ์ลุ้นเงินรางวัลพิเศษดังกล่าวแล้ว ยังมีสิทธิ์ถูกรางวัลเลขสลากตามปกติอีก 24 ครั้ง มีเงินรางวัลสูงสุดรางวัลที่ 1 เป็นเงิน 5,000,000 บาท และรางวัลอื่น ๆ อีกกว่า 30 รางวัล ฝากครบ 2 ปี จะได้รับดอกเบี้ยอีกหน่วยละ 0.10 บาท พร้อมกับเงินต้น บุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยและเงินรางวัล ยิ่งฝากมากยิ่งได้ลุ้นรางวัลมาก
สลากออมสิน เป็นเงินฝากรูปแบบหนึ่งในการส่งเสริมการออมเงินให้กับประชาชน โดยผู้ฝากจะได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่กําหนด พร้อมมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลทุกเดือน ครบกําหนดได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย ทั้งนี้ ธนาคารมีลูกค้าเงินฝากสลากออมสินจํานวน 2.6 ล้านราย มียอดเงินฝากสลากฯกว่า 1.2 ล้านล้านบาท มีฐานเงินฝากใหญ่ที่สุดของสถาบันการเงินของรัฐ ดําเนินงานตาม พ.ร.บ.ธนาคารออมสิน โดยรัฐบาลเป็นประกัน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 และที่ facebook : GSB Society
https://https://www.gsb.or.th/news/gsbpr17-65/ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ออมสินจัดให้ เพิ่มรางวัลพิเศษสลากออมสิน 1 ล้านบาท 24 รางวัล เริ่มฝาก 2 ก.ค.65 ทุกสาขาทั่วประเทศ และ แอป MyMo
วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565
ออมสินจัดให้ เพิ่มรางวัลพิเศษสลากออมสิน 1 ล้านบาท 24 รางวัล เริ่มฝาก 2 ก.ค.65 ทุกสาขาทั่วประเทศ และ แอป MyMo
ธนาคารออมสินเปิดรับฝากสลากออมสินงวดใหม่ พร้อมกับเพิ่มรางวัลพิเศษ รางวัลละ 1 ล้านบาท จํานวน 24 รางวัล รวมเป็นเงิน 24 ล้านบาท สําหรับผู้ที่ฝากสลากออมสินตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายน 2565
นายวิทัย รัตนากร ผู้อํานวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินเปิดรับฝากสลากออมสินงวดใหม่ ทั้งสลากออมสินพิเศษ 2 ปี (แบบใบสลาก) และสลากออมสินดิจิทัล 2 ปี เพื่อส่งเสริมการออมและตอบรับกระแสเรียกร้องจากแฟนพันธุ์แท้สลากออมสิน พร้อมกับเพิ่มรางวัลพิเศษ รางวัลละ 1 ล้านบาท จํานวน 24 รางวัล รวมเป็นเงิน 24 ล้านบาท สําหรับผู้ที่ฝากสลากออมสินตั้งแต่วันที่ 2 กรกฎาคม ถึง 30 กันยายน 2565 ซึ่งกําหนดออกรางวัลพิเศษทุกวันที่ 1 ของเดือน รวม 3 ครั้ง โดยแบ่งการออกรางวัลในเดือนสิงหาคม 6 รางวัล กันยายน 8 รางวัล และ ตุลาคม อีก 10 รางวัล ตามลําดับ โดยผู้สนใจสามารถฝากได้ 2 ช่องทาง คือ ธนาคารออมสินทุกสาขาทั่วประเทศ และ ฝากผ่านแอป MyMo ซึ่งมีความสะดวกอย่างมาก
ทั้งนี้ นอกจากจะมีสิทธิ์ลุ้นเงินรางวัลพิเศษดังกล่าวแล้ว ยังมีสิทธิ์ถูกรางวัลเลขสลากตามปกติอีก 24 ครั้ง มีเงินรางวัลสูงสุดรางวัลที่ 1 เป็นเงิน 5,000,000 บาท และรางวัลอื่น ๆ อีกกว่า 30 รางวัล ฝากครบ 2 ปี จะได้รับดอกเบี้ยอีกหน่วยละ 0.10 บาท พร้อมกับเงินต้น บุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษีดอกเบี้ยและเงินรางวัล ยิ่งฝากมากยิ่งได้ลุ้นรางวัลมาก
สลากออมสิน เป็นเงินฝากรูปแบบหนึ่งในการส่งเสริมการออมเงินให้กับประชาชน โดยผู้ฝากจะได้รับดอกเบี้ยตามอัตราที่กําหนด พร้อมมีสิทธิ์ลุ้นรางวัลทุกเดือน ครบกําหนดได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ย ทั้งนี้ ธนาคารมีลูกค้าเงินฝากสลากออมสินจํานวน 2.6 ล้านราย มียอดเงินฝากสลากฯกว่า 1.2 ล้านล้านบาท มีฐานเงินฝากใหญ่ที่สุดของสถาบันการเงินของรัฐ ดําเนินงานตาม พ.ร.บ.ธนาคารออมสิน โดยรัฐบาลเป็นประกัน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 และที่ facebook : GSB Society
https://https://www.gsb.or.th/news/gsbpr17-65/ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56427 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับ คุมเข้มแรงงานต่างด้าวทะลักเข้าไทย เร่งนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU เปิดลงทะเบียน 1 ธ.ค. นี้ | วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2564
นายกฯ กําชับ คุมเข้มแรงงานต่างด้าวทะลักเข้าไทย เร่งนําเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU เปิดลงทะเบียน 1 ธ.ค. นี้
....
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกรัฐบาล เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ห่วงปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าว จึงกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวด สกัดกั้นขบวนการขนย้าย ค้าแรงงานต่างด้าวที่แอบลักลอบเข้าประเทศไทยตามแนวชายแดนและจุดเสี่ยงช่องทางธรรมชาติรอบด้านทุกช่องทาง
.
และเพื่อเร่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การขาดแคลนแรงงานในโรงงาน ก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงานจะเปิดให้มีการนําเข้าแรงงานตาม MOU แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชา อย่างถูกกฎหมายภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่จะเริ่มเปิดลงทะเบียนในวันที่ 1 ธ.ค. นี้ เพื่อให้นายจ้างและสถานประกอบการในประเทศมีแรงงานในกิจการเพียงพอ
.
นายจ้างสามารถยื่นคําร้องขอฯหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 ในเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือโทร. สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ กำชับ คุมเข้มแรงงานต่างด้าวทะลักเข้าไทย เร่งนำเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU เปิดลงทะเบียน 1 ธ.ค. นี้
วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2564
นายกฯ กําชับ คุมเข้มแรงงานต่างด้าวทะลักเข้าไทย เร่งนําเข้าแรงงานต่างด้าวตาม MOU เปิดลงทะเบียน 1 ธ.ค. นี้
....
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกรัฐบาล เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ห่วงปัญหาการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายของแรงงานต่างด้าว จึงกําชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวด สกัดกั้นขบวนการขนย้าย ค้าแรงงานต่างด้าวที่แอบลักลอบเข้าประเทศไทยตามแนวชายแดนและจุดเสี่ยงช่องทางธรรมชาติรอบด้านทุกช่องทาง
.
และเพื่อเร่งแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ การขาดแคลนแรงงานในโรงงาน ก่อสร้าง ภาคอุตสาหกรรม กระทรวงแรงงานจะเปิดให้มีการนําเข้าแรงงานตาม MOU แรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว กัมพูชา อย่างถูกกฎหมายภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่จะเริ่มเปิดลงทะเบียนในวันที่ 1 ธ.ค. นี้ เพื่อให้นายจ้างและสถานประกอบการในประเทศมีแรงงานในกิจการเพียงพอ
.
นายจ้างสามารถยื่นคําร้องขอฯหรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่สํานักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด และสํานักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 - 10 ในเขตพื้นที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ หรือโทร. สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48787 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว! นทท. ต่างชาติ เข้าไทยกว่า 4 ล้านคน รัฐเตรียมปรับแผนใหม่ เพิ่มยอดเป็น 10 ล้านคน ภายในปีนี้ | วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565
ท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว! นทท. ต่างชาติ เข้าไทยกว่า 4 ล้านคน รัฐเตรียมปรับแผนใหม่ เพิ่มยอดเป็น 10 ล้านคน ภายในปีนี้
.....
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 16 ส.ค. 65 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว 4,015,504 คน โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 อันดับแรกที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด ประกอบด้วย มาเลเซีย อินเดีย สปป.ลาว สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร นับว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกของภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยที่กําลังกลับมาฟื้นตัว หลังจากที่ภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ
.
จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาหาแนวทางกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อสามารถบรรลุเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 10 ล้านคนในปีนี้ โดยให้สอดคล้องกับมติ ศบค. เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 65 ที่จะมีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. 65 - 31 มี.ค. 66 ดังนี้
.
• ขยายระยะเวลาพํานักสําหรับผู้ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราในการเข้าประเทศ (ผ.30) ทั้งที่ไทยให้แต่ฝ่ายเดียว และที่มีความตกลงระหว่างกัน จากไม่เกิน 30 วัน เป็นไม่เกิน 45 วัน (ผ.45)
.
• ขยายระยะเวลาพํานักสําหรับผู้ได้รับ Visa on Arrival จากไม่เกิน 15 วัน เป็นไม่เกิน 30 วัน
.
ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหาแนวทางและพิจารณามาตรการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับสถานการณ์โลก และสถานการณ์ในประเทศ เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ควบคู่ไปกับการดําเนินมาตรการทางสาธารณสุขอย่างรอบคอบ
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58406
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว! นทท. ต่างชาติ เข้าไทยกว่า 4 ล้านคน รัฐเตรียมปรับแผนใหม่ เพิ่มยอดเป็น 10 ล้านคน ภายในปีนี้
วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม 2565
ท่องเที่ยวไทยฟื้นตัว! นทท. ต่างชาติ เข้าไทยกว่า 4 ล้านคน รัฐเตรียมปรับแผนใหม่ เพิ่มยอดเป็น 10 ล้านคน ภายในปีนี้
.....
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. - 16 ส.ค. 65 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยแล้ว 4,015,504 คน โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ 5 อันดับแรกที่เดินทางเข้าไทยมากที่สุด ประกอบด้วย มาเลเซีย อินเดีย สปป.ลาว สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร นับว่าเป็นสัญญาณเชิงบวกของภาคการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยที่กําลังกลับมาฟื้นตัว หลังจากที่ภาครัฐได้ผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ
.
จากสถานการณ์ดังกล่าว รัฐบาลได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาหาแนวทางกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อสามารถบรรลุเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็น 10 ล้านคนในปีนี้ โดยให้สอดคล้องกับมติ ศบค. เมื่อวันที่ 19 ส.ค. 65 ที่จะมีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. 65 - 31 มี.ค. 66 ดังนี้
.
• ขยายระยะเวลาพํานักสําหรับผู้ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราในการเข้าประเทศ (ผ.30) ทั้งที่ไทยให้แต่ฝ่ายเดียว และที่มีความตกลงระหว่างกัน จากไม่เกิน 30 วัน เป็นไม่เกิน 45 วัน (ผ.45)
.
• ขยายระยะเวลาพํานักสําหรับผู้ได้รับ Visa on Arrival จากไม่เกิน 15 วัน เป็นไม่เกิน 30 วัน
.
ทั้งนี้ รัฐบาลมุ่งหาแนวทางและพิจารณามาตรการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับสถานการณ์โลก และสถานการณ์ในประเทศ เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ควบคู่ไปกับการดําเนินมาตรการทางสาธารณสุขอย่างรอบคอบ
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58406
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58503 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความมั่นใจพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยืนยันรัฐบาลช่วยเหลือเต็มที่ มอบ ก.คลัง-เกษตร-พาณิชย์ แก้ไขราคาสินค้าการเกษตร-ยกระดับผลิตผล-ส่งเสริมการตลาด | วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความมั่นใจพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยืนยันรัฐบาลช่วยเหลือเต็มที่ มอบ ก.คลัง-เกษตร-พาณิชย์ แก้ไขราคาสินค้าการเกษตร-ยกระดับผลิตผล-ส่งเสริมการตลาด
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความมั่นใจพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยืนยันรัฐบาลช่วยเหลือเต็มที่ มอบ ก.คลัง-เกษตร-พาณิชย์ แก้ไขราคาสินค้าการเกษตร-ยกระดับผลิตผล-ส่งเสริมการตลาด ในรอบ 3 ปี อุดหนุนประกันรายได้สินค้าเกษตร 5 ชนิด ไปแล้ว 276,193 ล้านบาท
วันที่ 11 พ.ย.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันดูแลพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ โดยเร่งให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ หารือวิเคราะห์แนวโน้มราคาพืชผลทางการเกษตร หามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรให้เหมาะสม ต้องดูเรื่องความเป็นไปได้ของงบประมาณ ไม่บิดเบือนกลไกตลาด เพื่อให้เป็นไปตามวินัยการเงินการคลัง โดยคํานึงถึงความจําเป็นเร่งด่วนและกรอบวงเงินงบประมาณอย่างรอบคอบและรัดกุม ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างเป็นระบบ ให้ไทยมีพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ เป้าหมายสําคัญ คือ เกษตรกรได้ประโยชน์ รัฐบาลสามารถลดภาระด้านงบประมาณ และงบประมาณประเทศถูกใช้อย่างคุ้มค่า
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการดําเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมาว่า ได้มีมาตรการประกันราคาสินค้าเกษตร 5 ชนิด ทั้ง ข้าว ปาล์ม มันสําปะหลัง ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยในรอบ 3 ปี (พ.ศ. 2562 – 2564) ที่วาระการขออนุมัติผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบงบประมาณ อุดหนุนประกันรายได้ จ่ายส่วนต่างราคาสินค้าเกษตร 5 ชนิด รวมยอด 276,193 ล้านบาท ดังนี้ ข้าว 190,311 ล้านบาท ยางพารา 37,821 ล้านบาท ปาล์ม 22,186 ล้านบาท มันสําปะหลัง 20,372 ล้านบาท ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 5,503 ล้านบาท นายกรัฐมนตรียังเร่งรัดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทําการลงพื้นที่เข้าสํารวจ และดูแลเกษตรกรผู้เพาะปลูก เพื่อวางแผนตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา ครอบคลุมทั้งการผลิต-การจัดจําหน่าย และการตลาดในประเทศและการตลาดต่างประเทศ
“นายกรัฐมนตรีเห็นใจพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ได้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดําเนินโครงการประกันราคาข้าว รวมทั้งยังมีมาตรการคู่ขนาน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวของไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งกําชับทุกฝ่ายให้ช่วยกันดําเนินการอย่างโปร่งใส สุจริต และสามารถตรวจสอบได้ โดยเดินหน้าควบคู่ไปกับการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว ผลิตข้าวทางเลือกที่มีมูลค่าสูง อาทิ ข้าวอินทรีย์ ยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด เพื่อให้พี่น้องชาวนาได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวอินทรีย์ชุมชนและโรงสีข้าวอินทรีย์ของเครือข่าย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดต้นทุนราคาให้ข้าวไทยสามารถแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็เร่งสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกร ที่สําคัญให้การเกษตรไทยสามารถสร้างรายได้เป็นอาชีพอย่างยั่งยืน” นายธนกร กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความมั่นใจพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยืนยันรัฐบาลช่วยเหลือเต็มที่ มอบ ก.คลัง-เกษตร-พาณิชย์ แก้ไขราคาสินค้าการเกษตร-ยกระดับผลิตผล-ส่งเสริมการตลาด
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความมั่นใจพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยืนยันรัฐบาลช่วยเหลือเต็มที่ มอบ ก.คลัง-เกษตร-พาณิชย์ แก้ไขราคาสินค้าการเกษตร-ยกระดับผลิตผล-ส่งเสริมการตลาด
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ให้ความมั่นใจพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ยืนยันรัฐบาลช่วยเหลือเต็มที่ มอบ ก.คลัง-เกษตร-พาณิชย์ แก้ไขราคาสินค้าการเกษตร-ยกระดับผลิตผล-ส่งเสริมการตลาด ในรอบ 3 ปี อุดหนุนประกันรายได้สินค้าเกษตร 5 ชนิด ไปแล้ว 276,193 ล้านบาท
วันที่ 11 พ.ย.64 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยืนยันดูแลพี่น้องเกษตรกรทั่วประเทศ โดยเร่งให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ หารือวิเคราะห์แนวโน้มราคาพืชผลทางการเกษตร หามาตรการช่วยเหลือเกษตรกรให้เหมาะสม ต้องดูเรื่องความเป็นไปได้ของงบประมาณ ไม่บิดเบือนกลไกตลาด เพื่อให้เป็นไปตามวินัยการเงินการคลัง โดยคํานึงถึงความจําเป็นเร่งด่วนและกรอบวงเงินงบประมาณอย่างรอบคอบและรัดกุม ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างเป็นระบบ ให้ไทยมีพันธุ์ข้าวใหม่ ๆ เป้าหมายสําคัญ คือ เกษตรกรได้ประโยชน์ รัฐบาลสามารถลดภาระด้านงบประมาณ และงบประมาณประเทศถูกใช้อย่างคุ้มค่า
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการดําเนินงานของรัฐบาลที่ผ่านมาว่า ได้มีมาตรการประกันราคาสินค้าเกษตร 5 ชนิด ทั้ง ข้าว ปาล์ม มันสําปะหลัง ยางพารา ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยในรอบ 3 ปี (พ.ศ. 2562 – 2564) ที่วาระการขออนุมัติผ่านคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบงบประมาณ อุดหนุนประกันรายได้ จ่ายส่วนต่างราคาสินค้าเกษตร 5 ชนิด รวมยอด 276,193 ล้านบาท ดังนี้ ข้าว 190,311 ล้านบาท ยางพารา 37,821 ล้านบาท ปาล์ม 22,186 ล้านบาท มันสําปะหลัง 20,372 ล้านบาท ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 5,503 ล้านบาท นายกรัฐมนตรียังเร่งรัดให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทําการลงพื้นที่เข้าสํารวจ และดูแลเกษตรกรผู้เพาะปลูก เพื่อวางแผนตลอดห่วงโซ่การผลิต ตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา ครอบคลุมทั้งการผลิต-การจัดจําหน่าย และการตลาดในประเทศและการตลาดต่างประเทศ
“นายกรัฐมนตรีเห็นใจพี่น้องเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ได้มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดําเนินโครงการประกันราคาข้าว รวมทั้งยังมีมาตรการคู่ขนาน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวของไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งกําชับทุกฝ่ายให้ช่วยกันดําเนินการอย่างโปร่งใส สุจริต และสามารถตรวจสอบได้ โดยเดินหน้าควบคู่ไปกับการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาพันธุ์ข้าว ผลิตข้าวทางเลือกที่มีมูลค่าสูง อาทิ ข้าวอินทรีย์ ยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด เพื่อให้พี่น้องชาวนาได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้น รวมทั้งส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวอินทรีย์ชุมชนและโรงสีข้าวอินทรีย์ของเครือข่าย เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ลดต้นทุนราคาให้ข้าวไทยสามารถแข่งขันกับตลาดต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็เร่งสร้างความเข้มแข็งของเกษตรกร ที่สําคัญให้การเกษตรไทยสามารถสร้างรายได้เป็นอาชีพอย่างยั่งยืน” นายธนกร กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48091 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดงานสัมมนาอุตสาหกรรมการบินของไทย ประจำปี 2564 | วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดงานสัมมนาอุตสาหกรรมการบินของไทย ประจําปี 2564
เร่งขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่การบินบริบทใหม่ที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาอุตสาหกรรมการบินของไทย ประจําปี 2564 ภายใต้หัวข้อ ทะยานสู่การบินบริบทใหม่ (Thai Aviation Industry Conference 2021 : flying to the new era of Thai aviation) พร้อมเร่งกําหนดทิศทางและมาตรการรองรับอุตสาหกรรมการบินให้สามารถฟื้นตัวได้โดยเร็ว ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 รวมทั้งขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวสู่การบินบริบทใหม่ในอนาคต ภายใต้รูปแบบวิถีชีวิตการเดินทางแบบ New Normal เพื่อส่งเสริมให้การบินของไทยกลับมาเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย คณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ผู้แทนจากหน่วยงานระหว่างประเทศและผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐ ประกอบด้วย กรมท่าอากาศยาน (ทย.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) และ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด (บวท.) ผู้แทนสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทย และสมาคมสายการบินประเทศไทยและสายการบินไทย ผู้ประกอบการสายการบิน สนามบิน และผู้ให้บริการการเดินอากาศ เข้าร่วมการสัมมนาฯ ในวันที่ 13 ธันวาคม 2564 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า อุตสาหกรรมการบินมีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากเป็นกลไกสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ถือเป็นรายได้หลักของประเทศ ทั้งยังก่อให้เกิดรายได้จากการบริโภค การจ้างงาน การค้า และการลงทุน สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กํากับดูแล และส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย โดยมียุทธศาสตร์ที่ 3 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมการบินอย่างยั่งยืน ซึ่งในปี 2563 อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 รัฐบาลภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดย กบร. และหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม ได้แก่ ทย. ทอท. บวท. และ กพท. จึงได้ดําเนินมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการบิน รวมทั้งมาตรการกระตุ้นความต้องการการเดินทางทางอากาศจากวิกฤติที่เกิดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สายการบินสามารถดําเนินกิจการต่อไปได้ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ประกอบด้วย มาตรการลดค่าใช้จ่าย มาตรการทางการเงิน และมาตรการผ่อนคลายกฎระเบียบ
ทั้งนี้ จากผลการตรวจ Full ICAO Coordinated Validation Mission แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานด้านความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนของประเทศไทยทัดเทียมกับมาตรฐานเฉลี่ยของประเทศสมาชิกอื่น ๆ จึงนับได้ว่าอุตสาหกรรมการบินของไทยมีความแข็งแกร่ง พร้อมที่จะเติบโตและสามารถส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคได้ แต่ด้วยผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ทั่วโลกและประเทศไทยต้องเผชิญ ทําให้อุตสาหกรรมการบินพบกับวิกฤติ จํานวนผู้โดยสารทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศลดลง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่าง ๆ แต่ต่อมาเมื่อมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างแพร่หลายในประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย รัฐบาลจึงได้มีนโยบายเปิดประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับมาตรการด้านสาธารณสุข ส่งผลให้จํานวนผู้โดยสารในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2564 ปรับฟื้นตัวขึ้นจากนโยบายของรัฐบาล การจัดงานสัมมนาฯ ในวันนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้มาร่วมกันระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อเตรียมความพร้อมต่อแผนการเปิดประเทศ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในการกํากับดูแลการบินพลเรือน และบูรณาการการทํางานร่วมกันเพื่อให้อุตสาหกรรมการบินของไทยทุกภาคส่วนมีการดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางทางอากาศภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 คลี่คลาย พร้อมรองรับการเดินทางแบบ New Normal ครอบคลุมในทุกพื้นที่ตามแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมให้การบินของไทยกลับมาเติบโตอย่างยั่งยืน
งานสัมมนาอุตสาหกรรมการบินของไทย ประจําปี 2564 ภายใต้หัวข้อ ทะยานสู่การบินบริบทใหม่ (Thai Aviation Industry Conference 2021 : flying to the new era of Thai aviation) เป็นการจัดสัมมนาในรูปแบบผสม โดยผู้เข้าร่วมการสัมมนาฯ สามารถมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น และสามารถเข้าร่วมงานหรือสัมมนาฯ ในช่องทางออนไลน์ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 กิจกรรมภายในงานสัมมนาฯ ประกอบด้วย การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นในหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้
1) Overcoming today’s challenges and tomorrow’s needs โดย นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
2) Guidance for Air Travel through the COVID-19 Public Health Crisis โดยผู้แทนจากหน่วยงานการบินระหว่างประเทศทั้ง ICAO IATA ACI และ CANSO
3) เดินหน้าพร้อมเปิดประเทศ บริบทใหม่ของการท่องเที่ยว และโอกาสของอุตสาหกรรมการบิน โดยผู้แทนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทย และนักแสดงชื่อดัง ป๋อมแป๋ม นิติ ชัยชิตาทร
4) ถอดบทเรียน COVID-19 ฝ่าวิกฤตสู่บริบทใหม่ของการเดินทางทางอากาศ โดยผู้แทนจากสมาคมสายการบินในประเทศไทยและสายการบินไทย
5) ถอดบทเรียน COVID-19 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเดินทางวิถีใหม่ (new normal) โดยผู้ประกอบการสนามบินและผู้ให้บริการการเดินอากาศ
กพท. ได้จัดสัมมนาแนวโน้มอุตสาหกรรมการบินมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ “Take-off Conference : Chapter 1 - Bound for the Future” ในปี 2561 เพื่อเผยแพร่ข้อมูลแนวโน้มอุตสาหกรรม และรวบรวมประเด็นปัญหา อุปสรรคจากการดําเนินงานที่ผ่านมาของ กพท. จากผู้ประกอบการเพื่อกําหนดทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินร่วมกัน และ “Take-off Conference : Chapter 2 - Ascending to the new height” ในปี 2562 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 (ฉบับปรับปรุงล่าสุด) | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดงานสัมมนาอุตสาหกรรมการบินของไทย ประจำปี 2564
วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดงานสัมมนาอุตสาหกรรมการบินของไทย ประจําปี 2564
เร่งขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่การบินบริบทใหม่ที่แข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานสัมมนาอุตสาหกรรมการบินของไทย ประจําปี 2564 ภายใต้หัวข้อ ทะยานสู่การบินบริบทใหม่ (Thai Aviation Industry Conference 2021 : flying to the new era of Thai aviation) พร้อมเร่งกําหนดทิศทางและมาตรการรองรับอุตสาหกรรมการบินให้สามารถฟื้นตัวได้โดยเร็ว ภายหลังการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 รวมทั้งขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวสู่การบินบริบทใหม่ในอนาคต ภายใต้รูปแบบวิถีชีวิตการเดินทางแบบ New Normal เพื่อส่งเสริมให้การบินของไทยกลับมาเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย คณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ผู้แทนจากหน่วยงานระหว่างประเทศและผู้แทนจากหน่วยงานของรัฐ ประกอบด้วย กรมท่าอากาศยาน (ทย.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (ทอท.) และ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด (บวท.) ผู้แทนสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทย และสมาคมสายการบินประเทศไทยและสายการบินไทย ผู้ประกอบการสายการบิน สนามบิน และผู้ให้บริการการเดินอากาศ เข้าร่วมการสัมมนาฯ ในวันที่ 13 ธันวาคม 2564 ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า อุตสาหกรรมการบินมีส่วนสําคัญต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากเป็นกลไกสนับสนุนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่ถือเป็นรายได้หลักของประเทศ ทั้งยังก่อให้เกิดรายได้จากการบริโภค การจ้างงาน การค้า และการลงทุน สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กํากับดูแล และส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย โดยมียุทธศาสตร์ที่ 3 เพื่อส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมการบินอย่างยั่งยืน ซึ่งในปี 2563 อุตสาหกรรมการบินทั่วโลกได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 รัฐบาลภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดย กบร. และหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม ได้แก่ ทย. ทอท. บวท. และ กพท. จึงได้ดําเนินมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมการบิน รวมทั้งมาตรการกระตุ้นความต้องการการเดินทางทางอากาศจากวิกฤติที่เกิดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สายการบินสามารถดําเนินกิจการต่อไปได้ ซึ่งมาตรการต่าง ๆ ประกอบด้วย มาตรการลดค่าใช้จ่าย มาตรการทางการเงิน และมาตรการผ่อนคลายกฎระเบียบ
ทั้งนี้ จากผลการตรวจ Full ICAO Coordinated Validation Mission แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานด้านความปลอดภัยด้านการบินพลเรือนของประเทศไทยทัดเทียมกับมาตรฐานเฉลี่ยของประเทศสมาชิกอื่น ๆ จึงนับได้ว่าอุตสาหกรรมการบินของไทยมีความแข็งแกร่ง พร้อมที่จะเติบโตและสามารถส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคได้ แต่ด้วยผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ทั่วโลกและประเทศไทยต้องเผชิญ ทําให้อุตสาหกรรมการบินพบกับวิกฤติ จํานวนผู้โดยสารทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศลดลง ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องต่าง ๆ แต่ต่อมาเมื่อมีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างแพร่หลายในประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทย รัฐบาลจึงได้มีนโยบายเปิดประเทศเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวควบคู่ไปกับมาตรการด้านสาธารณสุข ส่งผลให้จํานวนผู้โดยสารในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี 2564 ปรับฟื้นตัวขึ้นจากนโยบายของรัฐบาล การจัดงานสัมมนาฯ ในวันนี้จึงเป็นโอกาสที่ดีที่หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนได้มาร่วมกันระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ เพื่อเตรียมความพร้อมต่อแผนการเปิดประเทศ รวมทั้งสร้างความเชื่อมั่นในการกํากับดูแลการบินพลเรือน และบูรณาการการทํางานร่วมกันเพื่อให้อุตสาหกรรมการบินของไทยทุกภาคส่วนมีการดําเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางทางอากาศภายหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 คลี่คลาย พร้อมรองรับการเดินทางแบบ New Normal ครอบคลุมในทุกพื้นที่ตามแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติของรัฐบาล เพื่อส่งเสริมให้การบินของไทยกลับมาเติบโตอย่างยั่งยืน
งานสัมมนาอุตสาหกรรมการบินของไทย ประจําปี 2564 ภายใต้หัวข้อ ทะยานสู่การบินบริบทใหม่ (Thai Aviation Industry Conference 2021 : flying to the new era of Thai aviation) เป็นการจัดสัมมนาในรูปแบบผสม โดยผู้เข้าร่วมการสัมมนาฯ สามารถมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น และสามารถเข้าร่วมงานหรือสัมมนาฯ ในช่องทางออนไลน์ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 กิจกรรมภายในงานสัมมนาฯ ประกอบด้วย การสัมมนาเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นในหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้
1) Overcoming today’s challenges and tomorrow’s needs โดย นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อํานวยการสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
2) Guidance for Air Travel through the COVID-19 Public Health Crisis โดยผู้แทนจากหน่วยงานการบินระหว่างประเทศทั้ง ICAO IATA ACI และ CANSO
3) เดินหน้าพร้อมเปิดประเทศ บริบทใหม่ของการท่องเที่ยว และโอกาสของอุตสาหกรรมการบิน โดยผู้แทนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว สมาคมโรงแรมไทย และนักแสดงชื่อดัง ป๋อมแป๋ม นิติ ชัยชิตาทร
4) ถอดบทเรียน COVID-19 ฝ่าวิกฤตสู่บริบทใหม่ของการเดินทางทางอากาศ โดยผู้แทนจากสมาคมสายการบินในประเทศไทยและสายการบินไทย
5) ถอดบทเรียน COVID-19 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการเดินทางวิถีใหม่ (new normal) โดยผู้ประกอบการสนามบินและผู้ให้บริการการเดินอากาศ
กพท. ได้จัดสัมมนาแนวโน้มอุตสาหกรรมการบินมาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ “Take-off Conference : Chapter 1 - Bound for the Future” ในปี 2561 เพื่อเผยแพร่ข้อมูลแนวโน้มอุตสาหกรรม และรวบรวมประเด็นปัญหา อุปสรรคจากการดําเนินงานที่ผ่านมาของ กพท. จากผู้ประกอบการเพื่อกําหนดทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินร่วมกัน และ “Take-off Conference : Chapter 2 - Ascending to the new height” ในปี 2562 เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 (ฉบับปรับปรุงล่าสุด) | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49386 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ ใช้กลไกแปลงใหญ่ ขับเคลื่อนการผลิตทุเรียนนนท์ | วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565
ก.เกษตรฯ ใช้กลไกแปลงใหญ่ ขับเคลื่อนการผลิตทุเรียนนนท์
สร้างความเข้มแข็ง เกิดจุดเรียนรู้ในพื้นที่ ต่อยอดสู่เกษตรกรรายอื่น พร้อมส่งเสริมให้พื้นที่จังหวัดนนทบุรีมีการปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น ให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเยี่ยมเยียนสวนเกษตรกรพร้อมตัดทุเรียนนนท์ ณ สวนยายละมัย ตําบลบางกร่าง อําเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายการทํางานปี 2565 ในการวางรากฐานการพัฒนาภาคการเกษตรให้สอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อยกระดับภาคการเกษตรในยุค Next Normal ทั้งการผลิตที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลักดันการแปรรูปเกษตรมูลค่าสูง ใช้การตลาดสมัยใหม่ หรือการตลาด 5.0 ผลักดันให้ไทยเป็น 1 ใน 7 ประเทศสําคัญของผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูงของโลกภายในปี 2580 จึงให้ความสําคัญกับการพัฒนายกระดับสินค้าเกษตรด้วยโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด ซึ่งจังหวัดนนทบุรีมีกลุ่มแปลงใหญ่อยู่หลายกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป ตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น ที่สวนทุเรียนยายละมัย ซึ่งเป็นสมาชิกแปลงใหญ่ทุเรียนอําเภอเมืองนนทบุรี ได้ดําเนินการร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตรในการนําเอาองค์ความรู้การปลุกทุเรียนแบบชาวสวนนนทบุรีดั้งเดิมมาใช้ผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการปลูกทุเรียน พร้อมทั้งนําไปเป็นแบบอย่างต่อยอดพัฒนาให้กับกลุ่มแปลงใหญ่อื่น ๆ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายแปลงใหญ่ที่เข้มแข็ง เป็นพลังในการปฏิรูปภาคการเกษตรที่ทันสมัย ทันสถานการณ์ และทันต่อการเปลี่ยนแปลง
"วันนี้ต้องการมาประชาสัมพันธ์ว่าทุเรียนของไทยมีอยู่หลากหลายพื้นที่ และทุเรียนนนทบุรีเป็นทุเรียนพันธุ์ดั้งเดิมของไทย จึงอยากเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนคนไทยมาบริโภคทุเรียน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ จะเข้ามาส่งเสริมให้พื้นที่จังหวัดนนทบุรีมีการปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันมีปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งทุเรียนเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนต่อไร่สูงที่สุด โดยถือเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ แม้จะอยู่ในสถานการณ์โควิด-19 แต่มีมูลค่าส่งออกกว่าแสนล้านบาท ซึ่งภาคการเกษตรเป็นภาคที่ช่วยผยุง GDP ของประเทศ จึงอยากให้เกษตรกรภาคภูมิใจที่เป็นส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยยังคงเดินไปข้างหน้าได้ และเชื่อมั่นว่าภายใน 2 - 3 ปีข้างหน้า มูลค่าการส่งออกทุเรียนจะสามารถเป็นอันดับ 1 ของประเทศ เนื่องจากมีผลผลิตออกมาอย่างต่อเนื่องและมีมาตรการบริหารจัดการที่ชัดเจน จึงอยากขอให้เกษตรกรยังคงรักษาคุณภาพและมาตรฐาน เพื่อให้ได้ทุเรียนที่มีคุณภาพออกมาให้ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้บริโภคกันต่อไป" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายนวนิตย์ พลเคน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตรใช้ระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่เป็นกลไกขับเคลื่อนหลักในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี มุ่งเน้นการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อย เพื่อรวมกันผลิต รวมกันจําหน่าย และบริหารจัดการร่วมกัน ส่งผลให้มีแปลงใหญ่ทุเรียนจํานวน 5 แปลง ในพื้นที่ 4 อําเภอ ประกอบด้วย อําเภอเมืองนนทบุรี 1 แปลง อําเภอบางใหญ่ 1 แปลง อําเภอบางกรวย 1 แปลง และอําเภอปากเกร็ด 2 แปลง สําหรับสวนทุเรียนยายละมัย เป็นสมาชิกแปลงใหญ่อําเภอเมืองนนทบุรี โดยมีนายสําเริง สุนทรแสง เป็นเจ้าของสวน ทําหน้าที่เป็นผู้จัดการแปลงใหญ่ทุเรียนอําเภอเมืองนนทบุรี และศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) อําเภอเมืองนนทบุรี ด้านไม้ผล (ทุเรียน) รวมทั้งเป็นประธานขับเคลื่อนการรวมกลุ่มแปลงใหญ่อย่างเข้มแข็ง และเป็นจุดเรียนรู้ด้านการปลูกทุเรียนในพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกรที่สนใจและเข้ามาศึกษาเรียนรู้ได้นําความรู้ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเองต่อไป
ทั้งนี้ จังหวัดนนทบุรี มีพื้นที่การเกษตรทั้งหมด 107,938.72 ไร่ เกษตรกร 12,159 ครัวเรือน มีพืชเศรษฐกิจที่สําคัญ ได้แก่ ข้าว 88,804 ไร่ ไม้ผล 10,415.97 ไร่ ไม้ดอกไม้ประดับ 4,195.23 ไร่ และผัก 2,887.19 ไร่ ซึ่งทุเรียนเป็นพืชเศรษฐกิจที่สําคัญและมีชื่อเสียงของจังหวัดและมีหลากหลายสายพันธุ์ เช่น หมอนทอง ก้านยาว ชะนี กระดุม กําปั่น สาวน้อย กบ เป็นต้น เมื่อปี 2553 พื้นที่ปลุกทุเรียนในจังหวัดนนทบุรีมีมากถึง 3,475 ไร่ แต่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยในปี 2554 ทําให้พื้นที่การเกษตรเสียหาย เหลือพื้นที่ปลูกทุเรียนเพียงแค่ 43 ไร่ ส่งผลให้ผลผลิตทุเรียนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ปัจจุบันเกษตรกรมีการปลูกและฟื้นฟูสวนใหม่ ทําให้พื้นที่ปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 2,280 ไร่ เกษตรกร 1,162 ครัวเรือน พื้นที่เก็บเกี่ยว 112.95 ไร่ ปริมาณผลผลิต 9,110 ลูก ผลผลิตเฉลี่ย 119.85 กิโลกรัม/ไร่ ในพื้นที่ 6 อําเภอ ได้แก่ อําเภอเมืองนนทบุรี 5,976 ลูก อําเภอบางใหญ่ 1,744 ลูก อําเภอบางกรวย 810 ลูก อําเภอปากเกร็ด 555 ลูก อําเภอบางบัวทอง 23 ลูก และอําเภอไทรน้อย 2 ลูก โดยผลผลิตจะออกมากที่สุดในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายน ของทุกปี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.เกษตรฯ ใช้กลไกแปลงใหญ่ ขับเคลื่อนการผลิตทุเรียนนนท์
วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม 2565
ก.เกษตรฯ ใช้กลไกแปลงใหญ่ ขับเคลื่อนการผลิตทุเรียนนนท์
สร้างความเข้มแข็ง เกิดจุดเรียนรู้ในพื้นที่ ต่อยอดสู่เกษตรกรรายอื่น พร้อมส่งเสริมให้พื้นที่จังหวัดนนทบุรีมีการปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น ให้เพียงพอต่อความต้องการบริโภค
ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเยี่ยมเยียนสวนเกษตรกรพร้อมตัดทุเรียนนนท์ ณ สวนยายละมัย ตําบลบางกร่าง อําเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายการทํางานปี 2565 ในการวางรากฐานการพัฒนาภาคการเกษตรให้สอดรับกับทิศทางการเปลี่ยนแปลงของโลก เพื่อยกระดับภาคการเกษตรในยุค Next Normal ทั้งการผลิตที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลักดันการแปรรูปเกษตรมูลค่าสูง ใช้การตลาดสมัยใหม่ หรือการตลาด 5.0 ผลักดันให้ไทยเป็น 1 ใน 7 ประเทศสําคัญของผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปมูลค่าสูงของโลกภายในปี 2580 จึงให้ความสําคัญกับการพัฒนายกระดับสินค้าเกษตรด้วยโครงการยกระดับแปลงใหญ่ด้วยเกษตรสมัยใหม่และเชื่อมโยงตลาด ซึ่งจังหวัดนนทบุรีมีกลุ่มแปลงใหญ่อยู่หลายกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลุ่มก็มีจุดเด่นแตกต่างกันไป ตัวอย่างที่น่าสนใจ เช่น ที่สวนทุเรียนยายละมัย ซึ่งเป็นสมาชิกแปลงใหญ่ทุเรียนอําเภอเมืองนนทบุรี ได้ดําเนินการร่วมกับกรมส่งเสริมการเกษตรในการนําเอาองค์ความรู้การปลุกทุเรียนแบบชาวสวนนนทบุรีดั้งเดิมมาใช้ผสมผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่ในการปลูกทุเรียน พร้อมทั้งนําไปเป็นแบบอย่างต่อยอดพัฒนาให้กับกลุ่มแปลงใหญ่อื่น ๆ เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงเป็นเครือข่ายแปลงใหญ่ที่เข้มแข็ง เป็นพลังในการปฏิรูปภาคการเกษตรที่ทันสมัย ทันสถานการณ์ และทันต่อการเปลี่ยนแปลง
"วันนี้ต้องการมาประชาสัมพันธ์ว่าทุเรียนของไทยมีอยู่หลากหลายพื้นที่ และทุเรียนนนทบุรีเป็นทุเรียนพันธุ์ดั้งเดิมของไทย จึงอยากเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนคนไทยมาบริโภคทุเรียน อย่างไรก็ตาม กระทรวงเกษตรฯ จะเข้ามาส่งเสริมให้พื้นที่จังหวัดนนทบุรีมีการปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้น เพราะปัจจุบันมีปริมาณที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งทุเรียนเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนต่อไร่สูงที่สุด โดยถือเป็นผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นพืชเศรษฐกิจของประเทศ แม้จะอยู่ในสถานการณ์โควิด-19 แต่มีมูลค่าส่งออกกว่าแสนล้านบาท ซึ่งภาคการเกษตรเป็นภาคที่ช่วยผยุง GDP ของประเทศ จึงอยากให้เกษตรกรภาคภูมิใจที่เป็นส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยยังคงเดินไปข้างหน้าได้ และเชื่อมั่นว่าภายใน 2 - 3 ปีข้างหน้า มูลค่าการส่งออกทุเรียนจะสามารถเป็นอันดับ 1 ของประเทศ เนื่องจากมีผลผลิตออกมาอย่างต่อเนื่องและมีมาตรการบริหารจัดการที่ชัดเจน จึงอยากขอให้เกษตรกรยังคงรักษาคุณภาพและมาตรฐาน เพื่อให้ได้ทุเรียนที่มีคุณภาพออกมาให้ผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้บริโภคกันต่อไป" ดร.เฉลิมชัย กล่าว
ด้าน นายนวนิตย์ พลเคน รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตรใช้ระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่เป็นกลไกขับเคลื่อนหลักในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี มุ่งเน้นการรวมกลุ่มของเกษตรกรรายย่อย เพื่อรวมกันผลิต รวมกันจําหน่าย และบริหารจัดการร่วมกัน ส่งผลให้มีแปลงใหญ่ทุเรียนจํานวน 5 แปลง ในพื้นที่ 4 อําเภอ ประกอบด้วย อําเภอเมืองนนทบุรี 1 แปลง อําเภอบางใหญ่ 1 แปลง อําเภอบางกรวย 1 แปลง และอําเภอปากเกร็ด 2 แปลง สําหรับสวนทุเรียนยายละมัย เป็นสมาชิกแปลงใหญ่อําเภอเมืองนนทบุรี โดยมีนายสําเริง สุนทรแสง เป็นเจ้าของสวน ทําหน้าที่เป็นผู้จัดการแปลงใหญ่ทุเรียนอําเภอเมืองนนทบุรี และศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) อําเภอเมืองนนทบุรี ด้านไม้ผล (ทุเรียน) รวมทั้งเป็นประธานขับเคลื่อนการรวมกลุ่มแปลงใหญ่อย่างเข้มแข็ง และเป็นจุดเรียนรู้ด้านการปลูกทุเรียนในพื้นที่ เพื่อให้เกษตรกรที่สนใจและเข้ามาศึกษาเรียนรู้ได้นําความรู้ไปประยุกต์ใช้ในพื้นที่ของตนเองต่อไป
ทั้งนี้ จังหวัดนนทบุรี มีพื้นที่การเกษตรทั้งหมด 107,938.72 ไร่ เกษตรกร 12,159 ครัวเรือน มีพืชเศรษฐกิจที่สําคัญ ได้แก่ ข้าว 88,804 ไร่ ไม้ผล 10,415.97 ไร่ ไม้ดอกไม้ประดับ 4,195.23 ไร่ และผัก 2,887.19 ไร่ ซึ่งทุเรียนเป็นพืชเศรษฐกิจที่สําคัญและมีชื่อเสียงของจังหวัดและมีหลากหลายสายพันธุ์ เช่น หมอนทอง ก้านยาว ชะนี กระดุม กําปั่น สาวน้อย กบ เป็นต้น เมื่อปี 2553 พื้นที่ปลุกทุเรียนในจังหวัดนนทบุรีมีมากถึง 3,475 ไร่ แต่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยในปี 2554 ทําให้พื้นที่การเกษตรเสียหาย เหลือพื้นที่ปลูกทุเรียนเพียงแค่ 43 ไร่ ส่งผลให้ผลผลิตทุเรียนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ปัจจุบันเกษตรกรมีการปลูกและฟื้นฟูสวนใหม่ ทําให้พื้นที่ปลูกทุเรียนเพิ่มขึ้นเป็น 2,280 ไร่ เกษตรกร 1,162 ครัวเรือน พื้นที่เก็บเกี่ยว 112.95 ไร่ ปริมาณผลผลิต 9,110 ลูก ผลผลิตเฉลี่ย 119.85 กิโลกรัม/ไร่ ในพื้นที่ 6 อําเภอ ได้แก่ อําเภอเมืองนนทบุรี 5,976 ลูก อําเภอบางใหญ่ 1,744 ลูก อําเภอบางกรวย 810 ลูก อําเภอปากเกร็ด 555 ลูก อําเภอบางบัวทอง 23 ลูก และอําเภอไทรน้อย 2 ลูก โดยผลผลิตจะออกมากที่สุดในช่วงเดือนเมษายน - มิถุนายน ของทุกปี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55084 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวร่วมกับดาโตะ ซรี อิซมาอิล ซาบรี ยาคบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย | วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565
คํากล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวร่วมกับดาโตะ ซรี อิซมาอิล ซาบรี ยาคบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทําเนียบรัฐบาล
ดาโตะ ซรี อิซมาอิล ซาบรี ยาคบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนทุกท่าน
ในนามรัฐบาลไทย ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับท่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อแนะนําตัวในโอกาสที่ท่านเข้ารับตําแหน่ง ตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้นําอาเซียน โดยท่านเป็นผู้นํารัฐบาลต่างประเทศคนแรกที่มาเยือนไทย หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยกับมาเลเซียในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด อีกทั้งการเดินทางมาเยือนของท่านก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 เพื่อเดินหน้าไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศร่วมกัน
ผมชื่นชมและประทับใจในความเป็นผู้นําและความมุ่งมั่นของท่านนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ท่ามกลางความท้าทายทั้งจากสถานการณ์โควิด-19 และสถานการณ์ในภูมิภาค ท่านมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและคํานึงถึงประชาชนในชาติอย่างแท้จริง โดยเฉพาะแนวคิด “เกอ-ลัว-กา มาเลเซีย” หรือ Malaysia Family ที่ขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง โดยก้าวข้ามความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม และส่งเสริมความเป็นเอกภาพและสามัคคี ซึ่งผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงขอยืนยันความตั้งใจที่จะร่วมแรงร่วมใจกับท่านในการเสริมสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งแก่ประชาชนทั้งสองประเทศบนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดดั่ง “ครอบครัวเดียวกัน”
เมื่อสักครู่นี้ ท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิล และผม ได้หารือข้อราชการเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และภัยคุกคามด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการเร่งฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบของโรคโควิด-19 และพัฒนาประเทศให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในการนี้ เราเห็นพ้องกันถึงความจําเป็นที่ทั้งสองประเทศจะต้องผสานความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมโยงในทุกมิติ ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจและแสวงหาความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดนไทยและมาเลเซีย
ผมขอกล่าวถึงประเด็นสําคัญที่ได้มีการหารือกัน ดังนี้ครับ
ประการแรก คือ การฟื้นฟูความเชื่อมโยงในทุกมิติ
ท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิล และผม มีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะสนับสนุนให้มีการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชนในสองประเทศมากขึ้นเมื่อสถานการณ์เอื้ออํานวย โดยเราหวังว่า อีกไม่นาน ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบแล้วจะสามารถเดินทางไปมาระหว่างไทยกับมาเลเซียได้มากขึ้น โดยไม่ต้องกักกันโรค ภายใต้การปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขของแต่ละฝ่าย ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ ซึ่งมาเลเซียเรียกช่องทางดังกล่าวว่า Vaccinated Travel Lane หรือการเปิดช่องทางการเดินทางให้ผู้ฉีดวัคซีนครบแล้ว ขณะที่ฝ่ายไทยได้เปิดให้ผู้ที่เดินทางจากมาเลเซียที่ฉีดวัคซีนครบ เดินทางเข้าไทยทางอากาศโดยไม่ต้องกักกันโรคแล้วด้วยระบบ Test and Go และขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเปิดการเดินทางผ่านด่านพรมแดนทางบกเพิ่มเติม จึงหวังว่าฝ่ายมาเลเซียจะอนุญาตให้ผู้ที่เดินทางจากไทยที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ฝ่ายมาเลเซียกําหนด สามารถเข้ามาเลเซียได้ทั้งทางอากาศและทางบก เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย โดยผมและท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิลเห็นพ้องกัน ให้จัดตั้งคณะทํางานร่วมเพื่อเร่งหารือรายละเอียดให้สามารถเปิดพรมแดนระหว่างกันได้โดยเร็ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนของทั้งสองประเทศที่เป็นดั่งครอบครัวที่ใกล้ชิด เดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวกดังเดิม
นอกจากนี้ ท่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและผม ได้ย้ําความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันผลักดันโครงการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานบริเวณชายแดนไทย - มาเลเซีย ที่คั่งค้างให้มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนนเชื่อมต่อด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่กับด่านบูกิตกายูฮิตัม และการสร้างสะพานข้ามแม่น้ําโก-ลกทั้งสองแห่ง ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์ร่วมของทั้งสองประเทศในการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน
ประการที่สอง คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจและแสวงหาความร่วมมือสาขาใหม่ ๆ
ท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิล และผม ต่างให้ความสําคัญกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศเป็นลําดับต้น โดยไทยและมาเลเซียได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อลดผลกระทบของโรคโควิด-19 ต่อการดํารงชีวิตของประชาชน ซึ่งจากความร่วมมือดังกล่าว ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมา การขนส่งสินค้าผ่านจุดผ่านแดนถาวรไทย - มาเลเซียทั้ง 9 แห่ง สามารถดําเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการค้าชายแดนและผ่านแดนมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย มูลค่าการค้าระหว่างกันน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก ดังนั้น เราจึงเห็นพ้องกันที่จะคงเป้าหมายมูลค่าการค้าระหว่างกันที่ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยขยายระยะเวลาการบรรลุเป้าหมายเป็นภายในปี 2568 และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกันเพื่อจัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 3 ในโอกาสแรก เพื่อจะได้หารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ท่านนายกรัฐมนตรีและผม ยังเห็นตรงกันว่าทั้งสองประเทศจะต้องแสวงหาแนวทางส่งเสริมความร่วมมือด้านใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน เช่น ความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งอาจใช้เป็นตัวอย่างในการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศในอาเซียนได้ต่อไป
ประการที่สาม คือ การพัฒนาพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้และความมั่นคงชายแดน
ผมได้หารือกับท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิล เกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมความร่วมมือเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทยและภาคเหนือของมาเลเซีย พร้อมทั้งเชิญชวนให้ฝ่ายมาเลเซียมาร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมยางพาราและฮาลาล และใช้โอกาสนี้ชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งฝ่ายมาเลเซียยืนยันการสนับสนุนท่าทีของไทยในการแสวงหาทางออกด้วยสันติวิธี และสนับสนุนการขับเคลื่อนการพูดคุยเพื่อสันติสุขให้มีความคืบหน้า โดยมีมาเลเซียทําหน้าที่ผู้อํานวยความสะดวก พร้อมทั้งยืนยันที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ในการเสริมสร้างความมั่นคงชายแดน การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและข้ามแดน คู่ขนานกับการร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้งสองประเทศ
ประการสุดท้าย คือ การรื้อฟื้นกลไกหารือทวิภาคี
การพบหารือระหว่างผมกับท่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในวันนี้ จะปูทางไปสู่การแลกเปลี่ยนการเยือนและการประชุมหารือในรายละเอียดภายใต้กลไกและกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ที่ไทยและมาเลเซียมีร่วมกัน หลังจากได้ว่างเว้นการประชุมมาระยะหนึ่ง เพื่อจะร่วมกันผลักดันความร่วมมือทวิภาคีไทย – มาเลเซียในด้านต่าง ๆ ให้มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม โดยฝ่ายไทยพร้อมจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 14 ซึ่งมีกําหนดจัดขึ้นในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ และหวังว่าจะมีการประชุมหารือในกรอบอื่น ๆ ระหว่างกันอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงการหารือระดับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ของทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย
นอกจากนี้ ผมกับท่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศที่สนใจร่วมกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมบทบาทที่สร้างสรรค์ของอาเซียนในประเด็นสถานการณ์ในเมียนมา รวมทั้งเน้นย้ําถึงการรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียนท่ามกลางบริบทระหว่างประเทศที่มีทั้งโอกาสและความท้าทายเพื่อรักษาดุลยภาพทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาค โดยผมและท่านนายกรัฐมนตรียืนยันที่จะร่วมมือกันในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ โดยเฉพาะอาเซียนและเอเปค ซึ่งผมขอขอบคุณมาเลเซียที่ได้สนับสนุนการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปีนี้ด้วย และหวังว่าจะได้ต้อนรับท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิลอีกครั้งในการประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคที่กรุงเทพมหานคร
การเยือนครั้งนี้แม้จะเป็นการพบปะกันโดยตรงเป็นครั้งแรกระหว่างผมกับท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิล แต่ก็ได้หารือกันในประเด็นสําคัญอย่างรอบด้าน ผมขอยืนยันเจตนารมณ์ของไทยที่จะทํางานร่วมกับท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมาเลเซียในทุกระดับและทุกมิติ โดยมีประโยชน์สุขของ “ครอบครัวชาวไทยและมาเลเซีย” เป็นหมุดหมายสําคัญ พร้อมกันนี้ ผมขอถือโอกาสส่งความปรารถนาดีไปยังประชาชนชาวมาเลเซียทุกคนด้วย
ขอบคุณครับ
******************************** | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวร่วมกับดาโตะ ซรี อิซมาอิล ซาบรี ยาคบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565
คํากล่าวของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการแถลงข่าวร่วมกับดาโตะ ซรี อิซมาอิล ซาบรี ยาคบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย
วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 ณ ตึกสันติไมตรีหลังใน ทําเนียบรัฐบาล
ดาโตะ ซรี อิซมาอิล ซาบรี ยาคบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนทุกท่าน
ในนามรัฐบาลไทย ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับท่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อแนะนําตัวในโอกาสที่ท่านเข้ารับตําแหน่ง ตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้นําอาเซียน โดยท่านเป็นผู้นํารัฐบาลต่างประเทศคนแรกที่มาเยือนไทย หลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งสะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างไทยกับมาเลเซียในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิด อีกทั้งการเดินทางมาเยือนของท่านก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่ทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 เพื่อเดินหน้าไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนของทั้งสองประเทศร่วมกัน
ผมชื่นชมและประทับใจในความเป็นผู้นําและความมุ่งมั่นของท่านนายกรัฐมนตรีในการขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ท่ามกลางความท้าทายทั้งจากสถานการณ์โควิด-19 และสถานการณ์ในภูมิภาค ท่านมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลและคํานึงถึงประชาชนในชาติอย่างแท้จริง โดยเฉพาะแนวคิด “เกอ-ลัว-กา มาเลเซีย” หรือ Malaysia Family ที่ขับเคลื่อนประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง โดยก้าวข้ามความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม และส่งเสริมความเป็นเอกภาพและสามัคคี ซึ่งผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ผมจึงขอยืนยันความตั้งใจที่จะร่วมแรงร่วมใจกับท่านในการเสริมสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งแก่ประชาชนทั้งสองประเทศบนพื้นฐานของความไว้เนื้อเชื่อใจ ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดดั่ง “ครอบครัวเดียวกัน”
เมื่อสักครู่นี้ ท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิล และผม ได้หารือข้อราชการเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างกันให้ใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางความท้าทายด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ และภัยคุกคามด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ โดยมีเป้าหมายร่วมกันในการเร่งฟื้นฟูประเทศจากผลกระทบของโรคโควิด-19 และพัฒนาประเทศให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ในการนี้ เราเห็นพ้องกันถึงความจําเป็นที่ทั้งสองประเทศจะต้องผสานความร่วมมือเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมโยงในทุกมิติ ควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจและแสวงหาความร่วมมือในสาขาใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะในเรื่องการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายแดนไทยและมาเลเซีย
ผมขอกล่าวถึงประเด็นสําคัญที่ได้มีการหารือกัน ดังนี้ครับ
ประการแรก คือ การฟื้นฟูความเชื่อมโยงในทุกมิติ
ท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิล และผม มีเจตนารมณ์ร่วมกันที่จะสนับสนุนให้มีการเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างประชาชนในสองประเทศมากขึ้นเมื่อสถานการณ์เอื้ออํานวย โดยเราหวังว่า อีกไม่นาน ประชาชนที่ฉีดวัคซีนครบแล้วจะสามารถเดินทางไปมาระหว่างไทยกับมาเลเซียได้มากขึ้น โดยไม่ต้องกักกันโรค ภายใต้การปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขของแต่ละฝ่าย ตามความเหมาะสมของสถานการณ์ ซึ่งมาเลเซียเรียกช่องทางดังกล่าวว่า Vaccinated Travel Lane หรือการเปิดช่องทางการเดินทางให้ผู้ฉีดวัคซีนครบแล้ว ขณะที่ฝ่ายไทยได้เปิดให้ผู้ที่เดินทางจากมาเลเซียที่ฉีดวัคซีนครบ เดินทางเข้าไทยทางอากาศโดยไม่ต้องกักกันโรคแล้วด้วยระบบ Test and Go และขณะนี้ไทยอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเปิดการเดินทางผ่านด่านพรมแดนทางบกเพิ่มเติม จึงหวังว่าฝ่ายมาเลเซียจะอนุญาตให้ผู้ที่เดินทางจากไทยที่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ฝ่ายมาเลเซียกําหนด สามารถเข้ามาเลเซียได้ทั้งทางอากาศและทางบก เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย โดยผมและท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิลเห็นพ้องกัน ให้จัดตั้งคณะทํางานร่วมเพื่อเร่งหารือรายละเอียดให้สามารถเปิดพรมแดนระหว่างกันได้โดยเร็ว ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนของทั้งสองประเทศที่เป็นดั่งครอบครัวที่ใกล้ชิด เดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวกดังเดิม
นอกจากนี้ ท่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและผม ได้ย้ําความมุ่งมั่นที่จะร่วมมือกันผลักดันโครงการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานบริเวณชายแดนไทย - มาเลเซีย ที่คั่งค้างให้มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นการสร้างถนนเชื่อมต่อด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่กับด่านบูกิตกายูฮิตัม และการสร้างสะพานข้ามแม่น้ําโก-ลกทั้งสองแห่ง ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์ร่วมของทั้งสองประเทศในการส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างกัน
ประการที่สอง คือ การกระตุ้นเศรษฐกิจและแสวงหาความร่วมมือสาขาใหม่ ๆ
ท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิล และผม ต่างให้ความสําคัญกับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศเป็นลําดับต้น โดยไทยและมาเลเซียได้ร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อลดผลกระทบของโรคโควิด-19 ต่อการดํารงชีวิตของประชาชน ซึ่งจากความร่วมมือดังกล่าว ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมา การขนส่งสินค้าผ่านจุดผ่านแดนถาวรไทย - มาเลเซียทั้ง 9 แห่ง สามารถดําเนินการได้อย่างต่อเนื่อง โดยปริมาณการค้าชายแดนและผ่านแดนมีมูลค่าเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย มูลค่าการค้าระหว่างกันน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีก ดังนั้น เราจึงเห็นพ้องกันที่จะคงเป้าหมายมูลค่าการค้าระหว่างกันที่ 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยขยายระยะเวลาการบรรลุเป้าหมายเป็นภายในปี 2568 และได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหารือกันเพื่อจัดประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้าไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 3 ในโอกาสแรก เพื่อจะได้หารือถึงแนวทางการขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ขณะเดียวกัน ท่านนายกรัฐมนตรีและผม ยังเห็นตรงกันว่าทั้งสองประเทศจะต้องแสวงหาแนวทางส่งเสริมความร่วมมือด้านใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้อย่างยั่งยืน เช่น ความร่วมมือในด้านเศรษฐกิจดิจิทัลและการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจ BCG ซึ่งอาจใช้เป็นตัวอย่างในการส่งเสริมความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับประเทศในอาเซียนได้ต่อไป
ประการที่สาม คือ การพัฒนาพื้นที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้และความมั่นคงชายแดน
ผมได้หารือกับท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิล เกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมความร่วมมือเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทยและภาคเหนือของมาเลเซีย พร้อมทั้งเชิญชวนให้ฝ่ายมาเลเซียมาร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาเศรษฐกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมยางพาราและฮาลาล และใช้โอกาสนี้ชี้แจงเกี่ยวกับสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งฝ่ายมาเลเซียยืนยันการสนับสนุนท่าทีของไทยในการแสวงหาทางออกด้วยสันติวิธี และสนับสนุนการขับเคลื่อนการพูดคุยเพื่อสันติสุขให้มีความคืบหน้า โดยมีมาเลเซียทําหน้าที่ผู้อํานวยความสะดวก พร้อมทั้งยืนยันที่จะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ในการเสริมสร้างความมั่นคงชายแดน การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและข้ามแดน คู่ขนานกับการร่วมกันพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทั้งสองประเทศ
ประการสุดท้าย คือ การรื้อฟื้นกลไกหารือทวิภาคี
การพบหารือระหว่างผมกับท่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในวันนี้ จะปูทางไปสู่การแลกเปลี่ยนการเยือนและการประชุมหารือในรายละเอียดภายใต้กลไกและกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ที่ไทยและมาเลเซียมีร่วมกัน หลังจากได้ว่างเว้นการประชุมมาระยะหนึ่ง เพื่อจะร่วมกันผลักดันความร่วมมือทวิภาคีไทย – มาเลเซียในด้านต่าง ๆ ให้มีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรม โดยฝ่ายไทยพร้อมจะเป็นเจ้าภาพการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - มาเลเซีย ครั้งที่ 14 ซึ่งมีกําหนดจัดขึ้นในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ และหวังว่าจะมีการประชุมหารือในกรอบอื่น ๆ ระหว่างกันอย่างต่อเนื่องต่อไป ทั้งในด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม รวมถึงการหารือระดับนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวงต่าง ๆ ของทั้งสองประเทศอย่างต่อเนื่องต่อไปด้วย
นอกจากนี้ ผมกับท่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซียยังได้แลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับประเด็นภูมิภาคและระหว่างประเทศที่สนใจร่วมกัน โดยเฉพาะการส่งเสริมบทบาทที่สร้างสรรค์ของอาเซียนในประเด็นสถานการณ์ในเมียนมา รวมทั้งเน้นย้ําถึงการรักษาความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาเซียนท่ามกลางบริบทระหว่างประเทศที่มีทั้งโอกาสและความท้าทายเพื่อรักษาดุลยภาพทางยุทธศาสตร์ในภูมิภาค โดยผมและท่านนายกรัฐมนตรียืนยันที่จะร่วมมือกันในกรอบความร่วมมือต่าง ๆ โดยเฉพาะอาเซียนและเอเปค ซึ่งผมขอขอบคุณมาเลเซียที่ได้สนับสนุนการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทยในปีนี้ด้วย และหวังว่าจะได้ต้อนรับท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิลอีกครั้งในการประชุมผู้นําเขตเศรษฐกิจเอเปคที่กรุงเทพมหานคร
การเยือนครั้งนี้แม้จะเป็นการพบปะกันโดยตรงเป็นครั้งแรกระหว่างผมกับท่านนายกรัฐมนตรีอิซมาอิล แต่ก็ได้หารือกันในประเด็นสําคัญอย่างรอบด้าน ผมขอยืนยันเจตนารมณ์ของไทยที่จะทํางานร่วมกับท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมาเลเซียในทุกระดับและทุกมิติ โดยมีประโยชน์สุขของ “ครอบครัวชาวไทยและมาเลเซีย” เป็นหมุดหมายสําคัญ พร้อมกันนี้ ผมขอถือโอกาสส่งความปรารถนาดีไปยังประชาชนชาวมาเลเซียทุกคนด้วย
ขอบคุณครับ
******************************** | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51960 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ เผย งวด 1 และ 16 ส.ค. 64 ออกรางวัลตามปกติ ส่วนงวด 1 ก.ย. 64 ตัวแทนจำหน่ายต้องลงทะเบียนออนไลน์แจ้งความประสงค์รับสลากไปจำหน่าย | วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564
สํานักงานสลากฯ เผย งวด 1 และ 16 ส.ค. 64 ออกรางวัลตามปกติ ส่วนงวด 1 ก.ย. 64 ตัวแทนจําหน่ายต้องลงทะเบียนออนไลน์แจ้งความประสงค์รับสลากไปจําหน่าย
แนวทางการจําหน่ายสลากงวด 1 และ 16 สิงหาคม 2564 จําหน่ายและออกรางวัลตามปกติ ส่วนงวดวันที่ 1 กันยายน 2564 กําหนดให้ตัวแทนจําหน่ายแจ้งความประสงค์จะขอรับสลากไปจําหน่ายผ่านเว็บไซต์ www.glo.or.th ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2564
โฆษกคณะกรรมการสลากฯ เผยแนวทางการจําหน่ายสลากงวด 1 และ 16 สิงหาคม 2564 จําหน่ายและออกรางวัลตามปกติ ส่วนงวดวันที่ 1 กันยายน 2564 กําหนดให้ตัวแทนจําหน่ายแจ้งความประสงค์จะขอรับสลากไปจําหน่ายผ่านเว็บไซต์ www.glo.or.th ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2564 และจะต้องชําระเงินค่าสลากภายในวันที่ 11- 18 สิงหาคม 2564
นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวถึงการจําหน่ายสลากงวดวันที่ 1 สิงหาคม 2564 ว่าจะมีการออกรางวัลตามปกติ ภายใต้มาตรการของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และคําสั่งของจังหวัดนนทบุรีอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การจํากัดจํานวนผู้ปฏิบัติงานในห้องออกรางวัล การจัดสถานที่นั่งห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร การจัดให้มีแผงกั้นระหว่างบุคคล จุดคัดกรองอุณหภูมิผู้ร่วมออกรางวัลทุกคน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ กําหนดให้ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาในห้องออกรางวัล ตลอดจนให้ทําความสะอาดอุปกรณ์ออกรางวัล รวมถึงจุดที่มีการสัมผัสบ่อยๆ ทุก 30 นาที ส่วนในงวดวันที่ 16 สิงหาคม 2564 ยังคงจําหน่ายปกติ แต่หากในอนาคตรัฐบาลมีมาตรการที่เปลี่ยนแปลง คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลจะประชุมอีกครั้ง เพื่อพิจารณากําหนดแนวทางการดําเนินการที่เหมาะสมต่อไป
สําหรับงวดวันที่ 1 กันยายน 2564 สํานักงานสลากฯ จะให้ตัวแทนจําหน่ายทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และนิติบุคคล แจ้งความประสงค์จะขอรับสลากไปจําหน่ายผ่านเว็บไซต์ www.glo.or.th ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2564 และเมื่อแจ้งความประสงค์แล้ว ตัวแทนจําหน่ายจะต้องชําระเงินค่าสลาก ภายในวันที่ 11- 18 สิงหาคม 2564 หากแจ้งความประสงค์แล้ว ไม่ชําระเงินค่าสลากภายในระยะเวลาดังกล่าว จะถูกบอกเลิกสัญญาและตัดสิทธิการเป็นตัวแทนจําหน่าย หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ Call Center สํานักการตลาดและจัดจําหน่าย 0 2528 9555 หรือ 0 2528 9503 – 7, 0 2528 9511 – 23, 0 2528 9533 – 7, 0 2528 9543 – 5, 0 2528 9547, และ 0 2528 9333
นอกจากนี้ สํานักงานสลากฯ ยังได้ขอให้ตัวแทนจําหน่ายสลากทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ประเมินสถานการณ์และความสามารถในการจําหน่ายก่อนตัดสินใจแจ้งความประสงค์ขอรับสลากไปจําหน่าย เนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีข้อจํากัดในการจําหน่ายแตกต่างกัน อาจทําให้การจําหน่ายไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และในขณะจําหน่ายสลากให้ปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด และการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)อย่างเคร่งครัด เช่น การใส่ Face Shield สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ สวมถุงมือขณะจําหน่ายสลาก และรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล 1-2 เมตร เป็นต้น โดยการปฏิบัติดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ซื้อ ผู้ขาย และสังคมส่วนรวม เพื่อควบคุมการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และทําให้การจําหน่ายสลากดําเนินการได้อย่างต่อเนื่องเป็นปกติ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สำนักงานสลากฯ เผย งวด 1 และ 16 ส.ค. 64 ออกรางวัลตามปกติ ส่วนงวด 1 ก.ย. 64 ตัวแทนจำหน่ายต้องลงทะเบียนออนไลน์แจ้งความประสงค์รับสลากไปจำหน่าย
วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564
สํานักงานสลากฯ เผย งวด 1 และ 16 ส.ค. 64 ออกรางวัลตามปกติ ส่วนงวด 1 ก.ย. 64 ตัวแทนจําหน่ายต้องลงทะเบียนออนไลน์แจ้งความประสงค์รับสลากไปจําหน่าย
แนวทางการจําหน่ายสลากงวด 1 และ 16 สิงหาคม 2564 จําหน่ายและออกรางวัลตามปกติ ส่วนงวดวันที่ 1 กันยายน 2564 กําหนดให้ตัวแทนจําหน่ายแจ้งความประสงค์จะขอรับสลากไปจําหน่ายผ่านเว็บไซต์ www.glo.or.th ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2564
โฆษกคณะกรรมการสลากฯ เผยแนวทางการจําหน่ายสลากงวด 1 และ 16 สิงหาคม 2564 จําหน่ายและออกรางวัลตามปกติ ส่วนงวดวันที่ 1 กันยายน 2564 กําหนดให้ตัวแทนจําหน่ายแจ้งความประสงค์จะขอรับสลากไปจําหน่ายผ่านเว็บไซต์ www.glo.or.th ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2564 และจะต้องชําระเงินค่าสลากภายในวันที่ 11- 18 สิงหาคม 2564
นายธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวถึงการจําหน่ายสลากงวดวันที่ 1 สิงหาคม 2564 ว่าจะมีการออกรางวัลตามปกติ ภายใต้มาตรการของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และคําสั่งของจังหวัดนนทบุรีอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การจํากัดจํานวนผู้ปฏิบัติงานในห้องออกรางวัล การจัดสถานที่นั่งห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร การจัดให้มีแผงกั้นระหว่างบุคคล จุดคัดกรองอุณหภูมิผู้ร่วมออกรางวัลทุกคน ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ กําหนดให้ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลาในห้องออกรางวัล ตลอดจนให้ทําความสะอาดอุปกรณ์ออกรางวัล รวมถึงจุดที่มีการสัมผัสบ่อยๆ ทุก 30 นาที ส่วนในงวดวันที่ 16 สิงหาคม 2564 ยังคงจําหน่ายปกติ แต่หากในอนาคตรัฐบาลมีมาตรการที่เปลี่ยนแปลง คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลจะประชุมอีกครั้ง เพื่อพิจารณากําหนดแนวทางการดําเนินการที่เหมาะสมต่อไป
สําหรับงวดวันที่ 1 กันยายน 2564 สํานักงานสลากฯ จะให้ตัวแทนจําหน่ายทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และนิติบุคคล แจ้งความประสงค์จะขอรับสลากไปจําหน่ายผ่านเว็บไซต์ www.glo.or.th ตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2564 และเมื่อแจ้งความประสงค์แล้ว ตัวแทนจําหน่ายจะต้องชําระเงินค่าสลาก ภายในวันที่ 11- 18 สิงหาคม 2564 หากแจ้งความประสงค์แล้ว ไม่ชําระเงินค่าสลากภายในระยะเวลาดังกล่าว จะถูกบอกเลิกสัญญาและตัดสิทธิการเป็นตัวแทนจําหน่าย หากมีข้อสงสัยประการใด สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ Call Center สํานักการตลาดและจัดจําหน่าย 0 2528 9555 หรือ 0 2528 9503 – 7, 0 2528 9511 – 23, 0 2528 9533 – 7, 0 2528 9543 – 5, 0 2528 9547, และ 0 2528 9333
นอกจากนี้ สํานักงานสลากฯ ยังได้ขอให้ตัวแทนจําหน่ายสลากทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ประเมินสถานการณ์และความสามารถในการจําหน่ายก่อนตัดสินใจแจ้งความประสงค์ขอรับสลากไปจําหน่าย เนื่องจากในแต่ละพื้นที่มีข้อจํากัดในการจําหน่ายแตกต่างกัน อาจทําให้การจําหน่ายไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ และในขณะจําหน่ายสลากให้ปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด และการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing)อย่างเคร่งครัด เช่น การใส่ Face Shield สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ สวมถุงมือขณะจําหน่ายสลาก และรักษาระยะห่างระหว่างบุคคล 1-2 เมตร เป็นต้น โดยการปฏิบัติดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ซื้อ ผู้ขาย และสังคมส่วนรวม เพื่อควบคุมการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และทําให้การจําหน่ายสลากดําเนินการได้อย่างต่อเนื่องเป็นปกติ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44164 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ชี้แจงกรณี 7 สายการบิน เสนอให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือธุรกิจการบิน | วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2564
บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด ชี้แจงกรณี 7 สายการบิน เสนอให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือธุรกิจการบิน
บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด (บวท.) ขอชี้แจงถึงมาตรการต่าง ๆ ที่ได้ให้ความช่วยเหลือสายการบิน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงสถานะทางการเงินของ บวท. และแนวโน้มสถานการณ์เที่ยวบินในประเทศไทย
จากกรณีที่ ผู้ประกอบการสายการบินภายในประเทศ 7 สายการบิน ได้รวมกันยื่นข้อเสนอและขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการขอสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (ซอฟต์โลน) พร้อมทั้งขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกเว้นการจัดเก็บค่าบริการขึ้น-ลงอากาศยาน รวมถึงค่าจอด-ค่าปรับออกไปก่อน เพื่อให้สายการบินอยู่ได้ เพราะขณะนี้ประสบปัญหาเรื่องกระแสเงินสดอย่างมาก ซึ่งในส่วนของ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด (บวท.) คือ เรื่องการจัดเก็บค่าบริการการเดินอากาศ โดย บวท. ขอชี้แจงถึงมาตรการต่าง ๆ ที่ บวท. ได้ให้ความช่วยเหลือสายการบิน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงสถานะทางการเงินของ บวท. และแนวโน้มสถานการณ์เที่ยวบินในประเทศไทย
นายทินกร ชูวงศ์ รองกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ รักษาการ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บวท. ชี้แจงถึงผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต่อเนื่องมานับตั้งแต่ต้นปี 2563 และมีแนวโน้มการระบาดที่รุนแรงขึ้น ซึ่งทําให้ภาครัฐต้องดําเนินการเพื่อควบคุมการระบาดอย่างรัดกุม โดยได้ออกมาตรการในการเดินทางอย่างเข้มงวด ส่งผลให้จํานวนผู้โดยสารและปริมาณเที่ยวบินทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศลดลงเป็นอย่างมาก ผู้ประกอบการธุรกิจการบิน รวมถึงหน่วยงานด้านธุรกิจการบินในประเทศ ต่างประสบปัญหาภาวะวิกฤติทางการเงิน โดยที่ผ่านมา บวท. ได้ให้ความร่วมมือภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือสายการบินที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด -19 ตามมติคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ดังนี้
1. ตั้งแต่เดือนมีนาคม - กันยายน 2563 บวท. ได้ยกเว้นค่าปรับจากการชําระล่าช้าของสายการบิน ผู้ถือหุ้นสําหรับค่าบริการควบคุมจราจรทางอากาศ และกลุ่มลูกค้าธุรกิจการบินสําหรับค่าเช่าและค่าบํารุงรักษาอุปกรณ์สื่อสาร ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 24 ล้านบาท
2. ตั้งแต่เดือนเมษายน - ธันวาคม 2563 ได้ปรับลดค่าบริการการเดินอากาศลง 50% สําหรับเที่ยวบินภายในประเทศ และ 20% สําหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 500 ล้านบาท
3. ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน 2564 บวท. เรียกเก็บค่าบริการสําหรับเที่ยวบินทั้งในและต่างประเทศเต็มจํานวน โดยเรียกเก็บเพียง 50% ก่อน และขยายเวลาชําระหนี้ในส่วนที่เหลืออีก 50% ออกไปเป็นระยะเวลา 6 รอบบิล ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของ บวท. ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ บวท. ได้ให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือผู้ประกอบการสายการบินอย่างเต็มกําลังความสามารถ ภายใต้สภาพคล่องที่มีอยู่อย่างจํากัด โดยปัจจุบัน บวท. เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เนื่องจากรายได้หลักของ บวท. มาจากการให้บริการการเดินอากาศ เมื่อปริมาณเที่ยวบินลดลงอย่างต่อเนื่อง รายได้จึงลดลงเช่นกัน ทั้งนี้แม้ว่า บวท. จะมีมาตรการปรับลดค่าใช้จ่ายในองค์กร ที่ไม่กระทบต่อภาคความปลอดภัยในการให้บริการแล้วก็ตาม แต่รายได้ก็ยังคงไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
จากสถิติการให้บริการจราจรทางอากาศเที่ยวบินพาณิชย์ ที่ทําการบินเข้า - ออก ผ่านน่านฟ้าไทย ตั้งแต่ ตุลาคม 2563 - มิถุนายน 2564 มีปริมาณเที่ยวบินลดลงร้อยละ 56 และหากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวของปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ปริมาณเที่ยวบินลดลงสูงถึงร้อยละ 72 จากตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้รายได้ของ บวท. ลดลงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ บวท. ได้คาดการณ์ปริมาณเที่ยวบินในปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563 - กันยายน 2564) ว่าจะมีปริมาณเที่ยวบินลดลงจากปี 2563 ถึงร้อยละ 56 ทําให้ปี 2564 บวท. จะมีรายได้ต่ํากว่าค่าใช้จ่ายกว่า 6,600 ล้านบาท และจากสถานการณ์การระบาดที่ยังคงรุนแรงต่อเนื่อง บวท. คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบไปถึงปี 2565 ประกอบกับสายการบินมีการชําระหนี้เฉลี่ยเพียงร้อยละ 52 ของหนี้ที่ครบกําหนดชําระ จึงทําให้ ปัจจุบัน บวท. ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องเช่นกัน บวท. จึงไม่มีความสามารถให้ความช่วยเหลือสายการบินตามมาตรการช่วยเหลือต่อไปได้ โดย บวท. จําเป็นต้องจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะสั้นเพิ่มเติม เพื่อเสริมสภาพคล่องในปี 2564 - 2565 ซึ่งมีอยู่อย่างจํากัดตามกรอบแผนบริหารหนี้ที่ได้รับอนุมัติ
ทั้งนี้ ตามมติ กบร. ครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ปัจจุบัน บวท.อยู่ระหว่างรอความชัดเจนเรื่องการขอรับเงินสนับสนุนรัฐวิสาหกิจ (Public Service Obligation: PSO) เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ในขณะเดียวกัน บวท. ยังคงดําเนินการตามมาตรการควบคุมค่าใช้จ่าย และรักษาวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ชี้แจงกรณี 7 สายการบิน เสนอให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือธุรกิจการบิน
วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2564
บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด ชี้แจงกรณี 7 สายการบิน เสนอให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือธุรกิจการบิน
บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด (บวท.) ขอชี้แจงถึงมาตรการต่าง ๆ ที่ได้ให้ความช่วยเหลือสายการบิน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงสถานะทางการเงินของ บวท. และแนวโน้มสถานการณ์เที่ยวบินในประเทศไทย
จากกรณีที่ ผู้ประกอบการสายการบินภายในประเทศ 7 สายการบิน ได้รวมกันยื่นข้อเสนอและขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลในการขอสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ํา (ซอฟต์โลน) พร้อมทั้งขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยกเว้นการจัดเก็บค่าบริการขึ้น-ลงอากาศยาน รวมถึงค่าจอด-ค่าปรับออกไปก่อน เพื่อให้สายการบินอยู่ได้ เพราะขณะนี้ประสบปัญหาเรื่องกระแสเงินสดอย่างมาก ซึ่งในส่วนของ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จํากัด (บวท.) คือ เรื่องการจัดเก็บค่าบริการการเดินอากาศ โดย บวท. ขอชี้แจงถึงมาตรการต่าง ๆ ที่ บวท. ได้ให้ความช่วยเหลือสายการบิน เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามนโยบายรัฐบาล รวมถึงสถานะทางการเงินของ บวท. และแนวโน้มสถานการณ์เที่ยวบินในประเทศไทย
นายทินกร ชูวงศ์ รองกรรมการผู้อํานวยการใหญ่ รักษาการ กรรมการผู้อํานวยการใหญ่ บวท. ชี้แจงถึงผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ต่อเนื่องมานับตั้งแต่ต้นปี 2563 และมีแนวโน้มการระบาดที่รุนแรงขึ้น ซึ่งทําให้ภาครัฐต้องดําเนินการเพื่อควบคุมการระบาดอย่างรัดกุม โดยได้ออกมาตรการในการเดินทางอย่างเข้มงวด ส่งผลให้จํานวนผู้โดยสารและปริมาณเที่ยวบินทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศลดลงเป็นอย่างมาก ผู้ประกอบการธุรกิจการบิน รวมถึงหน่วยงานด้านธุรกิจการบินในประเทศ ต่างประสบปัญหาภาวะวิกฤติทางการเงิน โดยที่ผ่านมา บวท. ได้ให้ความร่วมมือภาครัฐในการให้ความช่วยเหลือสายการบินที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด -19 ตามมติคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ดังนี้
1. ตั้งแต่เดือนมีนาคม - กันยายน 2563 บวท. ได้ยกเว้นค่าปรับจากการชําระล่าช้าของสายการบิน ผู้ถือหุ้นสําหรับค่าบริการควบคุมจราจรทางอากาศ และกลุ่มลูกค้าธุรกิจการบินสําหรับค่าเช่าและค่าบํารุงรักษาอุปกรณ์สื่อสาร ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 24 ล้านบาท
2. ตั้งแต่เดือนเมษายน - ธันวาคม 2563 ได้ปรับลดค่าบริการการเดินอากาศลง 50% สําหรับเที่ยวบินภายในประเทศ และ 20% สําหรับเที่ยวบินระหว่างประเทศ ซึ่งคิดเป็นเงินประมาณ 500 ล้านบาท
3. ตั้งแต่เดือนมกราคม - มิถุนายน 2564 บวท. เรียกเก็บค่าบริการสําหรับเที่ยวบินทั้งในและต่างประเทศเต็มจํานวน โดยเรียกเก็บเพียง 50% ก่อน และขยายเวลาชําระหนี้ในส่วนที่เหลืออีก 50% ออกไปเป็นระยะเวลา 6 รอบบิล ซึ่งส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของ บวท. ด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ บวท. ได้ให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือผู้ประกอบการสายการบินอย่างเต็มกําลังความสามารถ ภายใต้สภาพคล่องที่มีอยู่อย่างจํากัด โดยปัจจุบัน บวท. เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เนื่องจากรายได้หลักของ บวท. มาจากการให้บริการการเดินอากาศ เมื่อปริมาณเที่ยวบินลดลงอย่างต่อเนื่อง รายได้จึงลดลงเช่นกัน ทั้งนี้แม้ว่า บวท. จะมีมาตรการปรับลดค่าใช้จ่ายในองค์กร ที่ไม่กระทบต่อภาคความปลอดภัยในการให้บริการแล้วก็ตาม แต่รายได้ก็ยังคงไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น
จากสถิติการให้บริการจราจรทางอากาศเที่ยวบินพาณิชย์ ที่ทําการบินเข้า - ออก ผ่านน่านฟ้าไทย ตั้งแต่ ตุลาคม 2563 - มิถุนายน 2564 มีปริมาณเที่ยวบินลดลงร้อยละ 56 และหากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวของปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ปริมาณเที่ยวบินลดลงสูงถึงร้อยละ 72 จากตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้รายได้ของ บวท. ลดลงเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ บวท. ได้คาดการณ์ปริมาณเที่ยวบินในปีงบประมาณ 2564 (ตุลาคม 2563 - กันยายน 2564) ว่าจะมีปริมาณเที่ยวบินลดลงจากปี 2563 ถึงร้อยละ 56 ทําให้ปี 2564 บวท. จะมีรายได้ต่ํากว่าค่าใช้จ่ายกว่า 6,600 ล้านบาท และจากสถานการณ์การระบาดที่ยังคงรุนแรงต่อเนื่อง บวท. คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบไปถึงปี 2565 ประกอบกับสายการบินมีการชําระหนี้เฉลี่ยเพียงร้อยละ 52 ของหนี้ที่ครบกําหนดชําระ จึงทําให้ ปัจจุบัน บวท. ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องเช่นกัน บวท. จึงไม่มีความสามารถให้ความช่วยเหลือสายการบินตามมาตรการช่วยเหลือต่อไปได้ โดย บวท. จําเป็นต้องจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะสั้นเพิ่มเติม เพื่อเสริมสภาพคล่องในปี 2564 - 2565 ซึ่งมีอยู่อย่างจํากัดตามกรอบแผนบริหารหนี้ที่ได้รับอนุมัติ
ทั้งนี้ ตามมติ กบร. ครั้งที่ 5/2564 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 ปัจจุบัน บวท.อยู่ระหว่างรอความชัดเจนเรื่องการขอรับเงินสนับสนุนรัฐวิสาหกิจ (Public Service Obligation: PSO) เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงิน ในขณะเดียวกัน บวท. ยังคงดําเนินการตามมาตรการควบคุมค่าใช้จ่าย และรักษาวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด เพื่อให้ผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44035 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมการขนส่งทางบก ครบรอบ 81 ปี พร้อมเปิดศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการขนส่งทางถนน | วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมการขนส่งทางบก ครบรอบ 81 ปี พร้อมเปิดศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการขนส่งทางถนน
...
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมการขนส่งทางบก ครบรอบ 81 ปี พร้อมเปิดศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยี การขนส่งทางถนน นําพากรมการขนส่งทางบกเข้าสู่ยุค Digital Transport
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานวันคล้าย วันสถาปนากรมการขนส่งทางบก ครบรอบ 81 ปี พร้อมเปิดศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการขนส่งทางถนน โดยมี นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ และนางพรรณี พุ่มพันธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ร่วมในพิธี ซึ่งนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก พร้อมคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ให้การต้อนรับ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2565 ณ ศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการขนส่งทางถนน กรมการขนส่งทางบก
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลภายใต้การบริหารงานของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการมุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงข่ายและบริการ ด้านคมนาคมขนส่งให้ครอบคลุมทุกมิติการเดินทาง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีสร้างความกินดีอยู่ดีให้กับพี่น้องประชาชน กระทรวงคมนาคมได้รับนโยบายดังกล่าวมาขับเคลื่อน เพื่อนําพาประเทศไทยสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน โดยได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ซึ่งเป็นหน่วยงาน ที่มีประวัติศาสตร์ในการทํางานเพื่อประชาชนมาอย่างยาวนานถึง 81 ปี มีบทบาทสําคัญในการบริหารจัดการด้านการควบคุม กํากับ ดูแลและพัฒนาระบบขนส่งทางถนนให้มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยง ทั่วถึง ราคาเป็นธรรม และปลอดภัย โดยให้นําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเป็นส่วนสําคัญในการพัฒนาภารกิจของหน่วยงานให้สอดคล้องความต้องการ ของประชาชน และบริบททางเศรษฐกิจและสังคม
ในวันนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของ ขบ. ที่ได้ทําการเปิดศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการขนส่งทางถนน (Innovation and Transport Technology Center) อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเป็นก้าวสําคัญของหน่วยงานในการผลักดันให้เกิดการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาระบบการขนส่งทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม โดยศูนย์นวัตกรรมฯ อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของ กลุ่มเทคโนโลยีการขนส่งทางถนน ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ ขบ. ซึ่งนอกจากจะทําหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมกํากับดูแลการเดินรถสาธารณะด้วยระบบ GPS ในการควบคุมความเร็ว และชั่วโมงการทํางานแล้ว ยังทําหน้าที่วิเคราะห์และพัฒนาระบบบริหารข้อมูลการเดินรถให้เป็นประโยชน์และมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุ ลดการสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ พัฒนาคุณภาพผู้ประกอบการขนส่ง และพนักงานขับรถสาธารณะให้มีความรับผิดชอบและเป็นมืออาชีพ
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เน้นย้ําให้ ขบ. ศึกษาและนํานวัตกรรมมาพัฒนากระบวนการทํางานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการนําเทคโนโลยีการระบุตัวตนด้วยคลื่นความถี่ (RFID) โดยบูรณาการ ร่วมกับ กรมทางหลวง (ทล.) และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ในการนําไปใช้งานกับระบบ M-Flow เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางได้อีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังสามารถนําไปใช้ด้านความมั่นคง ป้องกันปัญหาอาชญากรรม และนําไปใช้ในการควบคุมความเร็ว โดยร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติในการนําไปใช้งาน เพื่อลดปัญหาการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนนําระบบการประมวลผลด้วยภาพ (Image Processing) หรือเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงระบบ การขนส่งและจราจรอัจฉริยะ (ITS) โดยที่ผ่านมาภายใต้การนําของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขบ. ได้มีการปรับกฎระเบียบเพื่อกํากับดูแลรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน การชําระภาษีรถยนต์ในรูปแบบออนไลน์ การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถด้วยระบบ e-Learning การขอใบอนุญาตประกอบการขนส่งสินค้าออนไลน์ ซึ่งศูนย์นวัตกรรมฯ จะเป็นคํามั่นสัญญาต่อประชาชนว่าการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของกระทรวงคมนาคม และ ขบ. จะก้าวต่อไปอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยสนับสนุนและขับเคลื่อนประเทศไทยให้เจริญเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมการขนส่งทางบก ครบรอบ 81 ปี พร้อมเปิดศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการขนส่งทางถนน
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมการขนส่งทางบก ครบรอบ 81 ปี พร้อมเปิดศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการขนส่งทางถนน
...
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานวันคล้ายวันสถาปนากรมการขนส่งทางบก ครบรอบ 81 ปี พร้อมเปิดศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยี การขนส่งทางถนน นําพากรมการขนส่งทางบกเข้าสู่ยุค Digital Transport
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานเปิดงานวันคล้าย วันสถาปนากรมการขนส่งทางบก ครบรอบ 81 ปี พร้อมเปิดศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการขนส่งทางถนน โดยมี นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นางสุขสมรวย วันทนียกุล เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นางจันทิรา บุรุษพัฒน์ และนางพรรณี พุ่มพันธ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ร่วมในพิธี ซึ่งนายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก พร้อมคณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ให้การต้อนรับ ในวันที่ 11 สิงหาคม 2565 ณ ศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการขนส่งทางถนน กรมการขนส่งทางบก
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลภายใต้การบริหารงานของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการมุ่งมั่นพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โครงข่ายและบริการ ด้านคมนาคมขนส่งให้ครอบคลุมทุกมิติการเดินทาง เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีสร้างความกินดีอยู่ดีให้กับพี่น้องประชาชน กระทรวงคมนาคมได้รับนโยบายดังกล่าวมาขับเคลื่อน เพื่อนําพาประเทศไทยสู่ความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืน โดยได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ซึ่งเป็นหน่วยงาน ที่มีประวัติศาสตร์ในการทํางานเพื่อประชาชนมาอย่างยาวนานถึง 81 ปี มีบทบาทสําคัญในการบริหารจัดการด้านการควบคุม กํากับ ดูแลและพัฒนาระบบขนส่งทางถนนให้มีประสิทธิภาพ เชื่อมโยง ทั่วถึง ราคาเป็นธรรม และปลอดภัย โดยให้นําเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาเป็นส่วนสําคัญในการพัฒนาภารกิจของหน่วยงานให้สอดคล้องความต้องการ ของประชาชน และบริบททางเศรษฐกิจและสังคม
ในวันนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดีของ ขบ. ที่ได้ทําการเปิดศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีการขนส่งทางถนน (Innovation and Transport Technology Center) อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเป็นก้าวสําคัญของหน่วยงานในการผลักดันให้เกิดการนําเทคโนโลยีดิจิทัลมาพัฒนาระบบการขนส่งทางถนนอย่างเป็นรูปธรรม โดยศูนย์นวัตกรรมฯ อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของ กลุ่มเทคโนโลยีการขนส่งทางถนน ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ ขบ. ซึ่งนอกจากจะทําหน้าที่รับผิดชอบในการควบคุมกํากับดูแลการเดินรถสาธารณะด้วยระบบ GPS ในการควบคุมความเร็ว และชั่วโมงการทํางานแล้ว ยังทําหน้าที่วิเคราะห์และพัฒนาระบบบริหารข้อมูลการเดินรถให้เป็นประโยชน์และมีประสิทธิภาพ ทั้งด้านการป้องกันและลดการเกิดอุบัติเหตุ ลดการสูญเสียชีวิต ทรัพย์สิน และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ พัฒนาคุณภาพผู้ประกอบการขนส่ง และพนักงานขับรถสาธารณะให้มีความรับผิดชอบและเป็นมืออาชีพ
ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้เน้นย้ําให้ ขบ. ศึกษาและนํานวัตกรรมมาพัฒนากระบวนการทํางานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการนําเทคโนโลยีการระบุตัวตนด้วยคลื่นความถี่ (RFID) โดยบูรณาการ ร่วมกับ กรมทางหลวง (ทล.) และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ในการนําไปใช้งานกับระบบ M-Flow เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรหน้าด่านเก็บค่าผ่านทางได้อีกทางหนึ่งด้วย นอกจากนี้ ระบบดังกล่าวยังสามารถนําไปใช้ด้านความมั่นคง ป้องกันปัญหาอาชญากรรม และนําไปใช้ในการควบคุมความเร็ว โดยร่วมกับสํานักงานตํารวจแห่งชาติในการนําไปใช้งาน เพื่อลดปัญหาการเกิดอุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตลอดจนนําระบบการประมวลผลด้วยภาพ (Image Processing) หรือเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นมาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุงระบบ การขนส่งและจราจรอัจฉริยะ (ITS) โดยที่ผ่านมาภายใต้การนําของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ขบ. ได้มีการปรับกฎระเบียบเพื่อกํากับดูแลรถรับจ้างผ่านแอปพลิเคชัน การชําระภาษีรถยนต์ในรูปแบบออนไลน์ การอบรมต่ออายุใบอนุญาตขับรถด้วยระบบ e-Learning การขอใบอนุญาตประกอบการขนส่งสินค้าออนไลน์ ซึ่งศูนย์นวัตกรรมฯ จะเป็นคํามั่นสัญญาต่อประชาชนว่าการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของกระทรวงคมนาคม และ ขบ. จะก้าวต่อไปอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยสนับสนุนและขับเคลื่อนประเทศไทยให้เจริญเติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57928 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. เปิดให้ลูกค้าปรับเงินงวด ให้เหมาะกับรายได้นานถึง 3 ปีเต็ม!! | วันอังคารที่ 19 เมษายน 2565
ธอส. เปิดให้ลูกค้าปรับเงินงวด ให้เหมาะกับรายได้นานถึง 3 ปีเต็ม!!
ธอส. จัดทําโครงการ “ธอส. ปรับเงินงวด” ด้วยการเปิดให้ลูกค้าปัจจุบันปรับเงินงวดให้เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชําระเป็นระยะเวลา 3 ปีต่อเนื่อง ครอบคลุมลูกค้าที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการได้ไม่น้อยกว่า 3 แสนบัญชี/ต่อเดือน
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดทําโครงการ “ธอส. ปรับเงินงวด” ด้วยการเปิดให้ลูกค้าปัจจุบันปรับเงินงวดให้เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชําระเป็นระยะเวลา 3 ปีต่อเนื่อง ครอบคลุมลูกค้าที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการได้ไม่น้อยกว่า 3 แสนบัญชี/ต่อเดือน เงินต้นคงเหลือรวมไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท/เดือน ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่ Mobile Application : GHB ALL, www.ghbank.co.th หรือ สาขาธนาคาร
ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน - 25 ธันวาคม 2565
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการช่วยให้ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารสามารถปรับเงินงวดให้เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชําระ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้จัดทําโครงการ “ธอส. ปรับเงินงวด” (Amortization Management) เพื่อปรับเงินงวดให้เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชําระของตนเองในปัจจุบันเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการต้องมีคุณสมบัติตามที่ธนาคารกําหนด อาทิ 1.ไม่อยู่ในสถานะกฎหมาย 2.ไม่อยู่ระหว่างใช้มาตรการสําหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากโควิด-19 หรือมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ ของธนาคาร 3.อยู่ในช่วงอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (MRR - 0.50 , MRR - 1.00% หรือ MRR เป็นต้น) 4.เงินต้นคงเหลือไม่น้อยกว่า 100,000 บาท 5.กู้มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และระยะเวลากู้คงเหลือไม่น้อยกว่า 10 ปี และ 6.หากเข้าร่วมโครงการแล้วเงินงวดต้องลดลงต่ํากว่า 200 บาทต่อบัญชี เป็นต้น ซึ่งธนาคารจะคํานวณเงินงวดใหม่ในช่วง 3 ปีที่เข้าร่วมโครงการ โดยใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของลูกค้าที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน จํานวนเงินต้นคงเหลือ ณ ปัจจุบัน และระยะเวลาการผ่อนชําระที่เหลืออยู่ตามสัญญาเดิม ทําให้สามารถปรับเงินงวดให้ลูกค้าในระหว่างเข้าร่วมโครงการได้เพราะวงเงินกู้ที่นํามาคํานวณเงินงวดมีจํานวนน้อยลงกว่าวงเงินกู้ตอนทําสัญญาครั้งแรก และเป็นเงินงวดใหม่ที่ธนาคารได้คํานวณเผื่อกรณีอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นในอนาคต 1.00% ไว้แล้ว โดยลูกค้าไม่ต้องขยายระยะเวลาการผ่อนชําระ
ทั้งนี้ แม้จะมีการปรับเงินงวด แต่ ธอส. ยังเปิดให้ลูกค้าสามารถชําระเงินงวดในจํานวนที่สูงกว่าเงินงวดใหม่ที่ธนาคารกําหนดได้ในระหว่างเข้าร่วมโครงการอีกด้วย โดยปัจจุบันมีลูกค้าของธนาคารที่มีคุณสมบัติที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ไม่น้อยกว่า 3 แสนบัญชี/ต่อเดือน เงินต้นคงเหลือรวมไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมโครงการและสามารถผ่อนชําระได้ดีตามจํานวนเงินงวดใหม่และภายในเวลาที่ธนาคารกําหนด ลูกค้าจะยังถือว่ามีสถานะบัญชีปกติเช่นเดิม
สําหรับลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ “ธอส. ปรับเงินงวด” สามารถลงทะเบียนได้ผ่าน Mobile Application : GHB ALL หรือเว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbank.co.th หรือ สาขาธนาคารทั่วประเทศ ได้ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน – 25 ธันวาคม 2565 โดยธนาคารจะนํารายชื่อลูกค้าที่ลงทะเบียนภายในวันที่ 25 ของแต่ละเดือน มาพิจารณาคุณสมบัติ และหากตรงตามเงื่อนไขที่ธนาคารกําหนด ธนาคารจะดําเนินการเปลี่ยนเงินงวดใหม่ให้ลูกค้าได้ในเดือนถัดไป และธนาคารจะทําการ Update ข้อมูลลูกค้าที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการภายในไม่เกินวันที่ 10 ของเดือน เป็นประจําทุกเดือน ทั้งนี้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ที่ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL และ www.ghbank.co.th | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ธอส. เปิดให้ลูกค้าปรับเงินงวด ให้เหมาะกับรายได้นานถึง 3 ปีเต็ม!!
วันอังคารที่ 19 เมษายน 2565
ธอส. เปิดให้ลูกค้าปรับเงินงวด ให้เหมาะกับรายได้นานถึง 3 ปีเต็ม!!
ธอส. จัดทําโครงการ “ธอส. ปรับเงินงวด” ด้วยการเปิดให้ลูกค้าปัจจุบันปรับเงินงวดให้เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชําระเป็นระยะเวลา 3 ปีต่อเนื่อง ครอบคลุมลูกค้าที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการได้ไม่น้อยกว่า 3 แสนบัญชี/ต่อเดือน
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จัดทําโครงการ “ธอส. ปรับเงินงวด” ด้วยการเปิดให้ลูกค้าปัจจุบันปรับเงินงวดให้เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชําระเป็นระยะเวลา 3 ปีต่อเนื่อง ครอบคลุมลูกค้าที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการได้ไม่น้อยกว่า 3 แสนบัญชี/ต่อเดือน เงินต้นคงเหลือรวมไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท/เดือน ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้ที่ Mobile Application : GHB ALL, www.ghbank.co.th หรือ สาขาธนาคาร
ทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน - 25 ธันวาคม 2565
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการช่วยให้ลูกค้าปัจจุบันของธนาคารสามารถปรับเงินงวดให้เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชําระ ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทําให้คนไทยมีบ้าน” จึงได้จัดทําโครงการ “ธอส. ปรับเงินงวด” (Amortization Management) เพื่อปรับเงินงวดให้เหมาะสมกับความสามารถในการผ่อนชําระของตนเองในปัจจุบันเป็นระยะเวลา 3 ปี โดยลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการต้องมีคุณสมบัติตามที่ธนาคารกําหนด อาทิ 1.ไม่อยู่ในสถานะกฎหมาย 2.ไม่อยู่ระหว่างใช้มาตรการสําหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จากโควิด-19 หรือมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ ของธนาคาร 3.อยู่ในช่วงอัตราดอกเบี้ยลอยตัว (MRR - 0.50 , MRR - 1.00% หรือ MRR เป็นต้น) 4.เงินต้นคงเหลือไม่น้อยกว่า 100,000 บาท 5.กู้มาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี และระยะเวลากู้คงเหลือไม่น้อยกว่า 10 ปี และ 6.หากเข้าร่วมโครงการแล้วเงินงวดต้องลดลงต่ํากว่า 200 บาทต่อบัญชี เป็นต้น ซึ่งธนาคารจะคํานวณเงินงวดใหม่ในช่วง 3 ปีที่เข้าร่วมโครงการ โดยใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของลูกค้าที่ใช้อยู่ ณ ปัจจุบัน จํานวนเงินต้นคงเหลือ ณ ปัจจุบัน และระยะเวลาการผ่อนชําระที่เหลืออยู่ตามสัญญาเดิม ทําให้สามารถปรับเงินงวดให้ลูกค้าในระหว่างเข้าร่วมโครงการได้เพราะวงเงินกู้ที่นํามาคํานวณเงินงวดมีจํานวนน้อยลงกว่าวงเงินกู้ตอนทําสัญญาครั้งแรก และเป็นเงินงวดใหม่ที่ธนาคารได้คํานวณเผื่อกรณีอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นในอนาคต 1.00% ไว้แล้ว โดยลูกค้าไม่ต้องขยายระยะเวลาการผ่อนชําระ
ทั้งนี้ แม้จะมีการปรับเงินงวด แต่ ธอส. ยังเปิดให้ลูกค้าสามารถชําระเงินงวดในจํานวนที่สูงกว่าเงินงวดใหม่ที่ธนาคารกําหนดได้ในระหว่างเข้าร่วมโครงการอีกด้วย โดยปัจจุบันมีลูกค้าของธนาคารที่มีคุณสมบัติที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ไม่น้อยกว่า 3 แสนบัญชี/ต่อเดือน เงินต้นคงเหลือรวมไม่น้อยกว่า 2 แสนล้านบาท ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมโครงการและสามารถผ่อนชําระได้ดีตามจํานวนเงินงวดใหม่และภายในเวลาที่ธนาคารกําหนด ลูกค้าจะยังถือว่ามีสถานะบัญชีปกติเช่นเดิม
สําหรับลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมโครงการ “ธอส. ปรับเงินงวด” สามารถลงทะเบียนได้ผ่าน Mobile Application : GHB ALL หรือเว็บไซต์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ www.ghbank.co.th หรือ สาขาธนาคารทั่วประเทศ ได้ตั้งแต่วันที่ 18 เมษายน – 25 ธันวาคม 2565 โดยธนาคารจะนํารายชื่อลูกค้าที่ลงทะเบียนภายในวันที่ 25 ของแต่ละเดือน มาพิจารณาคุณสมบัติ และหากตรงตามเงื่อนไขที่ธนาคารกําหนด ธนาคารจะดําเนินการเปลี่ยนเงินงวดใหม่ให้ลูกค้าได้ในเดือนถัดไป และธนาคารจะทําการ Update ข้อมูลลูกค้าที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมโครงการภายในไม่เกินวันที่ 10 ของเดือน เป็นประจําทุกเดือน ทั้งนี้สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ ที่ G H Bank Call Center โทร 0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข้อมูลข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB ALL และ www.ghbank.co.th | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53696 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว! รัฐ - เอกชนร่วมลงทุนพัฒนา (PPP) “ท่าเรือมาบตาพุด” มูลค่าโครงการกว่า 3 พันล้านบาท เพิ่มบริการขนย้ายตู้คอนเทนเนอร์ | วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2565
ครม. ไฟเขียว! รัฐ - เอกชนร่วมลงทุนพัฒนา (PPP) “ท่าเรือมาบตาพุด” มูลค่าโครงการกว่า 3 พันล้านบาท เพิ่มบริการขนย้ายตู้คอนเทนเนอร์
......
ที่ประชุม ครม. (18 ก.ค. 65) อนุมัติให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดําเนินโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะ (ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง) ร่วมกับบริษัท ไทย คอนเน็คทิวิตี เทอมินอล จํากัด เพื่อขนถ่ายสินค้าทั่วไป มีมูลค่าโครงการรวม 3,221 ล้านบาท
.
เนื่องจากสัมปทานเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 16 ก.ย. 65 และการทําสัญญาใหม่ครั้งนี้ เป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) เพื่อพัฒนาท่าเทียบเรืออเนกประสงค์จากเดิมที่ทางบริษัทได้ให้บริการขนถ่ายทั้งสินค้าทั่วไปและสินค้าเทกอง แต่สัญญาใหม่นี้จะเป็นการลงทุนในส่วนการเพิ่มบริการเกี่ยวกับสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ เช่น ติดตั้งเครนยกตู้คอนเทนเนอร์บริเวณท่าเทียบเรือ, ให้บริการซ่อมและทําความสะอาดตู้คอนเทนเนอร์, การพัฒนาพื้นที่ลานวางตู้คอนเทนเนอร์ เป็นต้น
.
ประโยชน์ที่จะได้รับคือ ทําให้ผู้ประกอบการและเรือมาใช้บริการขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเพิ่มขึ้น และลดระยะทางขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์จากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดไปยังท่าเรือแหลมฉบังได้
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56988
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ไฟเขียว! รัฐ - เอกชนร่วมลงทุนพัฒนา (PPP) “ท่าเรือมาบตาพุด” มูลค่าโครงการกว่า 3 พันล้านบาท เพิ่มบริการขนย้ายตู้คอนเทนเนอร์
วันพุธที่ 20 กรกฎาคม 2565
ครม. ไฟเขียว! รัฐ - เอกชนร่วมลงทุนพัฒนา (PPP) “ท่าเรือมาบตาพุด” มูลค่าโครงการกว่า 3 พันล้านบาท เพิ่มบริการขนย้ายตู้คอนเทนเนอร์
......
ที่ประชุม ครม. (18 ก.ค. 65) อนุมัติให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดําเนินโครงการบริหารจัดการท่าเทียบเรือสาธารณะ (ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง) ร่วมกับบริษัท ไทย คอนเน็คทิวิตี เทอมินอล จํากัด เพื่อขนถ่ายสินค้าทั่วไป มีมูลค่าโครงการรวม 3,221 ล้านบาท
.
เนื่องจากสัมปทานเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 16 ก.ย. 65 และการทําสัญญาใหม่ครั้งนี้ เป็นการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) เพื่อพัฒนาท่าเทียบเรืออเนกประสงค์จากเดิมที่ทางบริษัทได้ให้บริการขนถ่ายทั้งสินค้าทั่วไปและสินค้าเทกอง แต่สัญญาใหม่นี้จะเป็นการลงทุนในส่วนการเพิ่มบริการเกี่ยวกับสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ เช่น ติดตั้งเครนยกตู้คอนเทนเนอร์บริเวณท่าเทียบเรือ, ให้บริการซ่อมและทําความสะอาดตู้คอนเทนเนอร์, การพัฒนาพื้นที่ลานวางตู้คอนเทนเนอร์ เป็นต้น
.
ประโยชน์ที่จะได้รับคือ ทําให้ผู้ประกอบการและเรือมาใช้บริการขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุดเพิ่มขึ้น และลดระยะทางขนส่งสินค้าตู้คอนเทนเนอร์จากนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดไปยังท่าเรือแหลมฉบังได้
.
อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56988
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57051 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวถวายพระพรชัยมงคล ในพิธีวางพานพุ่มและถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง | วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม 2564
คํากล่าวถวายพระพรชัยมงคล ในพิธีวางพานพุ่มและถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
คํากล่าวถวายพระพรชัยมงคล ในพิธีวางพานพุ่มและถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้กราบบังคมทูล วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม 2564
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
เนื่องในอภิลักขิตมหามงคลสมัย แห่งวันเฉลิมพระชนมพรรษาของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ที่เวียนมาบรรจบอีกคํารบหนึ่ง ในวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2564 ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในนามของคณะรัฐมนตรี คู่สมรส ละพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า มีความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่ได้มาร่วมกันแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในวันนี้
ปวงข้าพระพุทธเจ้าล้วนสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ที่ได้ทรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการ เพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์และความอุดมสมบูรณ์แก่แผ่นดินตลอดมา พระราชกรณียกิจทั้งปวง จากการทรงงานเมื่อโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการเสด็จพระราชดําเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และจากการเสด็จพระราชดําเนินด้วยพระองค์เอง ได้นําไปสู่แนวพระราชดําริเพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของราษฎร โครงการพระราชดําริน้อยใหญ่ อันเกิดจากพระปรีชาสามารถของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้ผลิดอกออกผลสร้างความผาสุกร่มเย็นแก่ปวงพสกนิกรจวบจนปัจจุบัน ครอบคลุมทั้งในด้านการสังคมสงเคราะห์อันเปี่ยมด้วยพระเมตตาเพื่อช่วยเหลือราษฎรผู้ยากไร้ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมให้คนอยู่ร่วมกับป่าในเขตพื้นที่อนุรักษ์ ตลอดจนการส่งเสริมศิลปาชีพในงานหัตถศิลป์หลากหลายแขนง ก่อให้เกิดการทํานุบํารุง สืบทอดงานศิลปะอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง จนศิลปะไทยอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของไทย สร้างชื่อเสียงเลื่องลือไกลไปยังนานาประเทศทั่วโลก พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้และน้ําพระราชหฤทัยอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาที่ทรงมีต่อปวงประชาประดุจดั่ง “แม่ของแผ่นดิน” ซึ่งจักจารึกแนบแน่นอยู่ในใจของปวงข้าพระพุทธเจ้าและเหล่าพสกนิกรสืบไป
ในศุภวาระอันเป็นมิ่งมหามงคลนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากล อานุภาพแห่งพระสยามเทวาธิราช และพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ โปรดอภิบาลประทานพรให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย พระเกียรติยศเกริกไกรแผ่ไพศาล สถิตยิ่งยืนนาน เป็นฉัตรแก้วร่มเกล้าของปวงข้าพระพุทธเจ้าและผองพสกนิกรตราบกาลนิรันดร์ เทอญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คำกล่าวถวายพระพรชัยมงคล ในพิธีวางพานพุ่มและถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม 2564
คํากล่าวถวายพระพรชัยมงคล ในพิธีวางพานพุ่มและถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
คํากล่าวถวายพระพรชัยมงคล ในพิธีวางพานพุ่มและถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้กราบบังคมทูล วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม 2564
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม
เนื่องในอภิลักขิตมหามงคลสมัย แห่งวันเฉลิมพระชนมพรรษาของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ที่เวียนมาบรรจบอีกคํารบหนึ่ง ในวันที่ 12 สิงหาคม พุทธศักราช 2564 ข้าพระพุทธเจ้า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีในนามของคณะรัฐมนตรี คู่สมรส ละพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่า มีความปลื้มปีติเป็นล้นพ้นที่ได้มาร่วมกันแสดงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณ ในวันนี้
ปวงข้าพระพุทธเจ้าล้วนสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ที่ได้ทรงปฏิบัติบําเพ็ญพระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการ เพื่อประโยชน์สุขของอาณาประชาราษฎร์และความอุดมสมบูรณ์แก่แผ่นดินตลอดมา พระราชกรณียกิจทั้งปวง จากการทรงงานเมื่อโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในการเสด็จพระราชดําเนินไปทรงเยี่ยมเยียนราษฎรทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และจากการเสด็จพระราชดําเนินด้วยพระองค์เอง ได้นําไปสู่แนวพระราชดําริเพื่อแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของราษฎร โครงการพระราชดําริน้อยใหญ่ อันเกิดจากพระปรีชาสามารถของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ได้ผลิดอกออกผลสร้างความผาสุกร่มเย็นแก่ปวงพสกนิกรจวบจนปัจจุบัน ครอบคลุมทั้งในด้านการสังคมสงเคราะห์อันเปี่ยมด้วยพระเมตตาเพื่อช่วยเหลือราษฎรผู้ยากไร้ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อส่งเสริมให้คนอยู่ร่วมกับป่าในเขตพื้นที่อนุรักษ์ ตลอดจนการส่งเสริมศิลปาชีพในงานหัตถศิลป์หลากหลายแขนง ก่อให้เกิดการทํานุบํารุง สืบทอดงานศิลปะอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่อง จนศิลปะไทยอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งของไทย สร้างชื่อเสียงเลื่องลือไกลไปยังนานาประเทศทั่วโลก พระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้และน้ําพระราชหฤทัยอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาที่ทรงมีต่อปวงประชาประดุจดั่ง “แม่ของแผ่นดิน” ซึ่งจักจารึกแนบแน่นอยู่ในใจของปวงข้าพระพุทธเจ้าและเหล่าพสกนิกรสืบไป
ในศุภวาระอันเป็นมิ่งมหามงคลนี้ ปวงข้าพระพุทธเจ้าขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากล อานุภาพแห่งพระสยามเทวาธิราช และพระบรมเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ โปรดอภิบาลประทานพรให้ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททรงพระเจริญด้วยจตุรพิธพรชัย พระเกียรติยศเกริกไกรแผ่ไพศาล สถิตยิ่งยืนนาน เป็นฉัตรแก้วร่มเกล้าของปวงข้าพระพุทธเจ้าและผองพสกนิกรตราบกาลนิรันดร์ เทอญ
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44680 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันแนวนโยบาย Soft power ในอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างเป็นรูปธรรม | วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันแนวนโยบาย Soft power ในอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างเป็นรูปธรรม
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันแนวนโยบาย Soft power ในอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างเป็นรูปธรรม
วันนี้ (5 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนผลักดันนโยบาย Soft power ของไทยในอุตสาหกรรมบันเทิง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยตามรอยซีรีย์และรายการบันเทิง
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากเป็นอันดับต้น ๆ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ประกอบกับมีกระแสการท่องเที่ยวตามรอยซีรีย์ ภาพยนตร์ รวมถึง รายการ reality show ที่กําลังเป็นที่นิยม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้จัดกรุ๊ปทัวร์ทดลองดึงชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบคู่จิ้นชื่อดังของซีรีส์วาย หรือ Boy’s Love (BL) สัญชาติไทย มาท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ในซีรีย์สร้างกระแสความนิยมต่อสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศ ต่อยอดผลักดัน Soft power ตามแนวนโยบายของรัฐบาล
ซีรีส์วายไทยมีกระแสมาแรงเป็นอันดับ 1 ในตลาดซีรีย์วายประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันThai BL Drama ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆในญี่ปุ่น มีการนําเข้ามาฉายให้ได้รับชมเพิ่มขึ้นในทุกปี ตั้งแต่ปี 2562 ทําให้ฐานคนดูชาวญี่ปุ่นในซีรีย์วายไทยปัจจุบันมีขนาดมากกว่า 1 ล้านคน และเมื่อ10-14 มิถุนายน 2565 มีการจัดทัวร์ท่องเที่ยวตามรอยคู่จิ้น มิว-กลัฟ ซึ่งเป็นคู่จิ้นที่มีฐานสมาชิกแฟนคลับชาวญี่ปุ่นกว่า 2 หมื่นราย โดยการจัดทัวร์ตามรอยคู่จิ้นดังกล่าวมีจุดประสงค์ ต้องการ ผลักดัน Soft power ซีรีย์วายสู่การท่องเที่ยวของไทย อีกทั้งต้องการกระตุ้นตลาดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วยกลุ่มผู้ชื่นชอบซีรีส์วายชาวญี่ปุ่นที่มีศักยภาพในการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ททท. ได้ตั้งเป้ายอดขายแพ็กเกจทัวร์ตามรอยคู่จิ้นซีรีส์วายในไทยแก่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นปี 2565 ที่ 1,000 คน และเพิ่มขึ้นในปี 2566 เป็นไม่ต่ํากว่า 5,000 คน
ททท. สํานักงานโตเกียว ได้ร่วมกับบริษัท YD Creation ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตรายการ Reality Show : The Bachelorette Japan Season 2 จากบริษัท Warner Brothers และ Amazon Prime Japan ได้ถ่ายทํารายการ “The Bachelorette Japan Season 2” ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นอีกโอกาสในการเผยแพร่สถานที่ท่องเที่ยว เอกลักษณ์ ความเป็นไทย ผ่านรายการจากต่างประเทศที่มาถ่ายทําในไทย ทั้งนี้ รายการดังกล่าว มีกําหนดออกอากาศในวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ผ่านแพลตฟอร์ม Prime Video ของ Amazon Prime Japan ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีสมาชิกมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
“รัฐบาลพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วน เดินหน้านโยบายสนับสนุน soft power ผ่านสื่อบันเทิง ผลักดันให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก ตามแนวทางส่งเสริมวัฒนธรรม 5F ได้แก่ 1. อาหาร (Food) 2. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) 3. การออกแบบแฟชั่นไทย (Fashion) 4. ศิลปะการป้องกันตัวแบบไทย (Fighting) และ 5. เทศกาลประเพณีไทย (Festival) เพื่อต่อยอดศิลปวัฒธรรมไทย ความเป็นไทย เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผลักดัน “Soft Power” ให้เป็นที่รู้จัก และเผยแพร่ในระดับโลก”นายธนกร กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันแนวนโยบาย Soft power ในอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างเป็นรูปธรรม
วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันแนวนโยบาย Soft power ในอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างเป็นรูปธรรม
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลักดันแนวนโยบาย Soft power ในอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างเป็นรูปธรรม
วันนี้ (5 กรกฎาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนผลักดันนโยบาย Soft power ของไทยในอุตสาหกรรมบันเทิง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยตามรอยซีรีย์และรายการบันเทิง
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากเป็นอันดับต้น ๆ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2564 และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ประกอบกับมีกระแสการท่องเที่ยวตามรอยซีรีย์ ภาพยนตร์ รวมถึง รายการ reality show ที่กําลังเป็นที่นิยม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้จัดกรุ๊ปทัวร์ทดลองดึงชาวญี่ปุ่นที่ชื่นชอบคู่จิ้นชื่อดังของซีรีส์วาย หรือ Boy’s Love (BL) สัญชาติไทย มาท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ ในซีรีย์สร้างกระแสความนิยมต่อสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศ ต่อยอดผลักดัน Soft power ตามแนวนโยบายของรัฐบาล
ซีรีส์วายไทยมีกระแสมาแรงเป็นอันดับ 1 ในตลาดซีรีย์วายประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันThai BL Drama ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆในญี่ปุ่น มีการนําเข้ามาฉายให้ได้รับชมเพิ่มขึ้นในทุกปี ตั้งแต่ปี 2562 ทําให้ฐานคนดูชาวญี่ปุ่นในซีรีย์วายไทยปัจจุบันมีขนาดมากกว่า 1 ล้านคน และเมื่อ10-14 มิถุนายน 2565 มีการจัดทัวร์ท่องเที่ยวตามรอยคู่จิ้น มิว-กลัฟ ซึ่งเป็นคู่จิ้นที่มีฐานสมาชิกแฟนคลับชาวญี่ปุ่นกว่า 2 หมื่นราย โดยการจัดทัวร์ตามรอยคู่จิ้นดังกล่าวมีจุดประสงค์ ต้องการ ผลักดัน Soft power ซีรีย์วายสู่การท่องเที่ยวของไทย อีกทั้งต้องการกระตุ้นตลาดอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วยกลุ่มผู้ชื่นชอบซีรีส์วายชาวญี่ปุ่นที่มีศักยภาพในการท่องเที่ยว ทั้งนี้ ททท. ได้ตั้งเป้ายอดขายแพ็กเกจทัวร์ตามรอยคู่จิ้นซีรีส์วายในไทยแก่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นปี 2565 ที่ 1,000 คน และเพิ่มขึ้นในปี 2566 เป็นไม่ต่ํากว่า 5,000 คน
ททท. สํานักงานโตเกียว ได้ร่วมกับบริษัท YD Creation ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิตรายการ Reality Show : The Bachelorette Japan Season 2 จากบริษัท Warner Brothers และ Amazon Prime Japan ได้ถ่ายทํารายการ “The Bachelorette Japan Season 2” ที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นอีกโอกาสในการเผยแพร่สถานที่ท่องเที่ยว เอกลักษณ์ ความเป็นไทย ผ่านรายการจากต่างประเทศที่มาถ่ายทําในไทย ทั้งนี้ รายการดังกล่าว มีกําหนดออกอากาศในวันที่ 7 กรกฎาคม 2565 ผ่านแพลตฟอร์ม Prime Video ของ Amazon Prime Japan ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีสมาชิกมากที่สุดในประเทศญี่ปุ่น
“รัฐบาลพร้อมร่วมมือกับทุกภาคส่วน เดินหน้านโยบายสนับสนุน soft power ผ่านสื่อบันเทิง ผลักดันให้อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ของไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก ตามแนวทางส่งเสริมวัฒนธรรม 5F ได้แก่ 1. อาหาร (Food) 2. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (Film) 3. การออกแบบแฟชั่นไทย (Fashion) 4. ศิลปะการป้องกันตัวแบบไทย (Fighting) และ 5. เทศกาลประเพณีไทย (Festival) เพื่อต่อยอดศิลปวัฒธรรมไทย ความเป็นไทย เพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ผลักดัน “Soft Power” ให้เป็นที่รู้จัก และเผยแพร่ในระดับโลก”นายธนกร กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56524 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กลาโหม เร่งขยายขีดความสามารถทางการแพทย์ เรียกระดมแพทย์พยาบาลแถว 2 เสริมกว่า 500 คน" | วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564
"กลาโหม เร่งขยายขีดความสามารถทางการแพทย์ เรียกระดมแพทย์พยาบาลแถว 2 เสริมกว่า 500 คน"
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ประชุมติดตามการสนับสนุนรัฐบาลแก้ปัญหาวิกฤตโควิด 19 ร่วมกับ กอ.รมน. นขต.กห. เหล่าทัพ และ ตร. ผ่านระบบ VTC ณ ศาลาว่าการกลาโหม
ภาพรวมฝ่ายความมั่นคง ทหารตํารวจ ยังคงตรวจพบและจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้ต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ 1-12 ส.ค.64 จับกุมได้ 1,864 คน สําหรับการควบคุมโรค เจ้าหน้าที่ยังคงตั้งจุดตรวจและด่านตรวจบริเวณรอยต่อจังหวัดสีแดงเข้ม และจัดชุดเคลื่อนที่เร็วตรวจในพื้นที่ เพื่อลดการเคลื่อนย้ายและจํากัดกิจกรรมตามเคหสถานที่เป็นปัญหา โดยยังพบพฤติกรรมขาดความรับผิดชอบ รวมกลุ่มดื่มสุรา มั่วสุมเสพยาและเล่นการพนันต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน กองทัพได้เร่งขยายขีดความสามารถทางการแพทย์ใน รพ.ทหารแต่ละเหล่าทัพ โดยจัดตั้งห้อง ICU รองรับผู้ป่วยสีแดงเพิ่ม 80 เตียง และผู้ป่วยสีเหลือง 306 เตียง ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างเร่งจัดตั้ง รพ.สนาม และ CI ในพื้นที่หน่วยทหารทั่วประเทศเพิ่ม ร่วมกับ สธ.จังหวัด พร้อมกันนี้ ได้เรียกระดมบุคลากรทางการแพทย์แถว 2 กว่า 500 คน เข้ามาเสริมการทํางาน เพื่อรองรับการดูแลประชาชน
สําหรับ รพ.สนาม ใน มทบ.11 ในพื้นที่ กทม. อยู่ระหว่างปรับเพิ่มให้สามารถรองรับการตรวจเชื้อคัดกรองโรคได้เพิ่ม 500 คน ต่อวัน ในลักษณะขับรถยนต์มารับการตรวจ (Drive Thru) ขณะที่ รพ.สนามศูนย์คัดกรอง สโมสรกองทัพบก ในพื้นที่ กทม. มีประชาชนมารับการบริการแล้วเกือบ 10,000 คน ให้บริการครบวงจรตรวจคัดกรองเชื้อ เอ๊กเรย์ปอด พบแพทย์ รับตัวเข้ารักษาในระบบ รวมทั้งจ่ายยาและพากลับบ้าน
พล.อ.ชัยชาญ’ ได้ย้ํา นโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และรมว.กห. ขอให้ทุกเหล่าทัพเร่งสนับสนุนการจัดตั้ง รพ.สนาม และ CI ในหน่วยทหาร เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่สีแดงเข้ม และให้เข้าไปเสริมสนับสนุนการจัดชุดตรวจเชิงรุก และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากชุมชนและตามบ้าน ที่ยังพบและมีอยู่เข้ามารักษาในระบบโดยเร็ว พร้อมทั้งขอขอบคุณกําลังพลตํารวจและทหารทุกเหล่าทัพ ที่เข้ามาสนับสนุนและเสริมการทํางานของ สธ.และ กทม.อย่างใกล้ชิดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคทั้งในเขตเมืองและชุมชนทั่วประเทศต่อเนื่องมา โดยกําชับให้ใช้ความระมัดระวังและไม่ประมาทในการปฏิบัติงาน เพื่อมิให้เกิดการสูญเสียในทุกชีวิต
#กระทรวงกลาโหมช่วยเหลือประชาชน
#ทหารของพระราชา | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"กลาโหม เร่งขยายขีดความสามารถทางการแพทย์ เรียกระดมแพทย์พยาบาลแถว 2 เสริมกว่า 500 คน"
วันเสาร์ที่ 14 สิงหาคม 2564
"กลาโหม เร่งขยายขีดความสามารถทางการแพทย์ เรียกระดมแพทย์พยาบาลแถว 2 เสริมกว่า 500 คน"
พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษก กห. เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห.และ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปล.กห. ประชุมติดตามการสนับสนุนรัฐบาลแก้ปัญหาวิกฤตโควิด 19 ร่วมกับ กอ.รมน. นขต.กห. เหล่าทัพ และ ตร. ผ่านระบบ VTC ณ ศาลาว่าการกลาโหม
ภาพรวมฝ่ายความมั่นคง ทหารตํารวจ ยังคงตรวจพบและจับกุมผู้ลักลอบเข้าเมืองได้ต่อเนื่อง โดยตั้งแต่ 1-12 ส.ค.64 จับกุมได้ 1,864 คน สําหรับการควบคุมโรค เจ้าหน้าที่ยังคงตั้งจุดตรวจและด่านตรวจบริเวณรอยต่อจังหวัดสีแดงเข้ม และจัดชุดเคลื่อนที่เร็วตรวจในพื้นที่ เพื่อลดการเคลื่อนย้ายและจํากัดกิจกรรมตามเคหสถานที่เป็นปัญหา โดยยังพบพฤติกรรมขาดความรับผิดชอบ รวมกลุ่มดื่มสุรา มั่วสุมเสพยาและเล่นการพนันต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน กองทัพได้เร่งขยายขีดความสามารถทางการแพทย์ใน รพ.ทหารแต่ละเหล่าทัพ โดยจัดตั้งห้อง ICU รองรับผู้ป่วยสีแดงเพิ่ม 80 เตียง และผู้ป่วยสีเหลือง 306 เตียง ขณะเดียวกันอยู่ระหว่างเร่งจัดตั้ง รพ.สนาม และ CI ในพื้นที่หน่วยทหารทั่วประเทศเพิ่ม ร่วมกับ สธ.จังหวัด พร้อมกันนี้ ได้เรียกระดมบุคลากรทางการแพทย์แถว 2 กว่า 500 คน เข้ามาเสริมการทํางาน เพื่อรองรับการดูแลประชาชน
สําหรับ รพ.สนาม ใน มทบ.11 ในพื้นที่ กทม. อยู่ระหว่างปรับเพิ่มให้สามารถรองรับการตรวจเชื้อคัดกรองโรคได้เพิ่ม 500 คน ต่อวัน ในลักษณะขับรถยนต์มารับการตรวจ (Drive Thru) ขณะที่ รพ.สนามศูนย์คัดกรอง สโมสรกองทัพบก ในพื้นที่ กทม. มีประชาชนมารับการบริการแล้วเกือบ 10,000 คน ให้บริการครบวงจรตรวจคัดกรองเชื้อ เอ๊กเรย์ปอด พบแพทย์ รับตัวเข้ารักษาในระบบ รวมทั้งจ่ายยาและพากลับบ้าน
พล.อ.ชัยชาญ’ ได้ย้ํา นโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.และรมว.กห. ขอให้ทุกเหล่าทัพเร่งสนับสนุนการจัดตั้ง รพ.สนาม และ CI ในหน่วยทหาร เพื่อดูแลประชาชนในพื้นที่สีแดงเข้ม และให้เข้าไปเสริมสนับสนุนการจัดชุดตรวจเชิงรุก และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากชุมชนและตามบ้าน ที่ยังพบและมีอยู่เข้ามารักษาในระบบโดยเร็ว พร้อมทั้งขอขอบคุณกําลังพลตํารวจและทหารทุกเหล่าทัพ ที่เข้ามาสนับสนุนและเสริมการทํางานของ สธ.และ กทม.อย่างใกล้ชิดในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคทั้งในเขตเมืองและชุมชนทั่วประเทศต่อเนื่องมา โดยกําชับให้ใช้ความระมัดระวังและไม่ประมาทในการปฏิบัติงาน เพื่อมิให้เกิดการสูญเสียในทุกชีวิต
#กระทรวงกลาโหมช่วยเหลือประชาชน
#ทหารของพระราชา | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44754 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติวงเงิน 3,566.28 ล้านบาท ขับเคลื่อน "มหาวิทยาลัยสู่ตำบล U2T for BCG” ครอบคลุม 7,435 ตำบล ใน 77 จังหวัด จ้างบัณฑิตจบใหม่และประชาชน กว่า 68,350 คน | วันอังคารที่ 14 มิถุนายน 2565
ครม. อนุมัติวงเงิน 3,566.28 ล้านบาท ขับเคลื่อน "มหาวิทยาลัยสู่ตําบล U2T for BCG” ครอบคลุม 7,435 ตําบล ใน 77 จังหวัด จ้างบัณฑิตจบใหม่และประชาชน กว่า 68,350 คน
ครม. อนุมัติวงเงิน 3,566.28 ล้านบาท ขับเคลื่อน "มหาวิทยาลัยสู่ตําบล U2T for BCG” ครอบคลุม 7,435 ตําบล ใน 77 จังหวัด จ้างบัณฑิตจบใหม่และประชาชน กว่า 68,350 คน คาดเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท/เดือน
นายธนกรวังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และ นวตกรรม (อว.) ดําเนิน “โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG (U2T for BCG and Regional Development) ใน 7,435 ตําบล ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ วงเงินรวมทั้งสิ้น 3,566.28 ล้านบาท โดยเกิดการจ้างงานประชาชนทั่วไปและบัณฑิตจบใหม่ จํานวนไม่น้อยกว่า 68,350 คน เศรษฐกิจในพื้นที่หมุนเวียนระหว่างดําเนินโครงการไม่น้อยกว่า 600ล้านบาท/เดือน โดยจะนําองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ภายใต้ อว. ไปขับเคลื่อนภาคการผลิตและบริการในระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและรักษาระดับการจ้างงาน
“โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG (U2T for BCG and Regional Development) มีวัตถุประสงค์ คือ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการด้าน BCG ในพื้นที่ ด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพิ่มการจ้างงานบัณฑิตที่เพิ่งจบการศึกษาและประชาชนในพื้นที่พัฒนากําลังคนให้มีทักษะพื้นฐานที่จําเป็นต่อทักษะการทํางานในปัจจุบันและที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ BCG รวมทั้ง พัฒนาฐานข้อมูลชุมชนขนาดใหญ่ (Thailand Community Big Data :TCD) ให้มีความสมบูรณ์ครอบคลุมในพื้นที่ของประเทศ
กลุ่มเป้าหมาย คือ บัณฑิตจบใหม่ไม่เกิน 5 ปี ผู้ที่ถูกเลิกจ้าง/ประชาชนในพื้นที่สถาบันอุดมศึกษาภาคประชาชนภาคสังคมและภาคส่วนต่างๆ โดยมีการจัดกิจกรรมไม่น้อยกว่า 15,000 กิจกรรม ในพื้นที่ 7,435 ตําบล ทั่วประเทศ 77 จังหวัด เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการผลิตและบริการ เพื่อเพิ่มคุณภาพ และลดต้นทุน การจัดการตลาด การจับคู่ธุรกิจ การพัฒนาบรรจุการขนส่งและการกระจายสินค้าและบริการ เป็นต้น โดยสถาบันอุดมศึกษาที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ (ตําบล) ทําหน้าที่เป็นผู้บูรณาการ ระบบ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ในพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูล TCD ในการวางแผนและพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน
การจ้างงาน -พื้นที่ 3,000 ตําบล ต่อยอดจากโครงการ 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย จํานวน 8 คน/ตําบลประกอบด้วยบัณฑิตที่สําเร็จการศึกษามาไม่เกิน5 ปีจํานวน 4 คน/ตําบล และผู้ที่ถูกเลิกจ้างและประชาชนในพื้นที่จํานวน 4 คน/ตําบล
-พื้นที่ 4,435 ตําบลใหม่ จํานวน 10 คน/ตําบลประกอบด้วยบัณฑิตที่สําเร็จการศึกษาไม่เกิน 5 ปี 5 คน/ตําบลและผู้ที่ถูกเลิกจ้างประชาชนในพื้นที่ 5 คน/ตําบล
ทั้งนี้ มีระยะเวลาดําเนินการ 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ก.ค. - 30 ก.ย. 65
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงประโยชน์ที่จะคาดว่าจะได้รับจากการดําเนินการ คือ เกิดกิจกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ด้วยยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ BCG ไม่น้อยกว่า 15,000 กิจกรรม ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์และบริการของชุมชน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ในผลิตภัณฑ์และบริการของชุมชนไม่น้อยกว่า 4,500 รายการ เกิดการจ้างงานประชาชนทั่วไป และบัณฑิตจบใหม่จํานวนไม่น้อยกว่า 68,350 คน เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ระหว่างการดําเนินโครงการไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท/เดือน มีการ Upskill/Reskill พัฒนาทักษะพื้นฐานที่จําเป็นและทักษะที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ BCG รวมทั้งการใช้สามารถจัดทําและใช้ประโยชน์จากข้อมูล TCD ในการวิเคราะห์การจัดทําแผนการพัฒนาพื้นที่ครบทุกพื้นที่ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติวงเงิน 3,566.28 ล้านบาท ขับเคลื่อน "มหาวิทยาลัยสู่ตำบล U2T for BCG” ครอบคลุม 7,435 ตำบล ใน 77 จังหวัด จ้างบัณฑิตจบใหม่และประชาชน กว่า 68,350 คน
วันอังคารที่ 14 มิถุนายน 2565
ครม. อนุมัติวงเงิน 3,566.28 ล้านบาท ขับเคลื่อน "มหาวิทยาลัยสู่ตําบล U2T for BCG” ครอบคลุม 7,435 ตําบล ใน 77 จังหวัด จ้างบัณฑิตจบใหม่และประชาชน กว่า 68,350 คน
ครม. อนุมัติวงเงิน 3,566.28 ล้านบาท ขับเคลื่อน "มหาวิทยาลัยสู่ตําบล U2T for BCG” ครอบคลุม 7,435 ตําบล ใน 77 จังหวัด จ้างบัณฑิตจบใหม่และประชาชน กว่า 68,350 คน คาดเศรษฐกิจหมุนเวียนในพื้นที่ไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท/เดือน
นายธนกรวังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี แถลงมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์และ นวตกรรม (อว.) ดําเนิน “โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG (U2T for BCG and Regional Development) ใน 7,435 ตําบล ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศ วงเงินรวมทั้งสิ้น 3,566.28 ล้านบาท โดยเกิดการจ้างงานประชาชนทั่วไปและบัณฑิตจบใหม่ จํานวนไม่น้อยกว่า 68,350 คน เศรษฐกิจในพื้นที่หมุนเวียนระหว่างดําเนินโครงการไม่น้อยกว่า 600ล้านบาท/เดือน โดยจะนําองค์ความรู้เทคโนโลยีและนวัตกรรมของสถาบันอุดมศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ภายใต้ อว. ไปขับเคลื่อนภาคการผลิตและบริการในระดับพื้นที่ เพื่อให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและรักษาระดับการจ้างงาน
“โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากหลังโควิดด้วยเศรษฐกิจ BCG (U2T for BCG and Regional Development) มีวัตถุประสงค์ คือ เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการด้าน BCG ในพื้นที่ ด้วยองค์ความรู้และเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพิ่มการจ้างงานบัณฑิตที่เพิ่งจบการศึกษาและประชาชนในพื้นที่พัฒนากําลังคนให้มีทักษะพื้นฐานที่จําเป็นต่อทักษะการทํางานในปัจจุบันและที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ BCG รวมทั้ง พัฒนาฐานข้อมูลชุมชนขนาดใหญ่ (Thailand Community Big Data :TCD) ให้มีความสมบูรณ์ครอบคลุมในพื้นที่ของประเทศ
กลุ่มเป้าหมาย คือ บัณฑิตจบใหม่ไม่เกิน 5 ปี ผู้ที่ถูกเลิกจ้าง/ประชาชนในพื้นที่สถาบันอุดมศึกษาภาคประชาชนภาคสังคมและภาคส่วนต่างๆ โดยมีการจัดกิจกรรมไม่น้อยกว่า 15,000 กิจกรรม ในพื้นที่ 7,435 ตําบล ทั่วประเทศ 77 จังหวัด เช่น การถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านการผลิตและบริการ เพื่อเพิ่มคุณภาพ และลดต้นทุน การจัดการตลาด การจับคู่ธุรกิจ การพัฒนาบรรจุการขนส่งและการกระจายสินค้าและบริการ เป็นต้น โดยสถาบันอุดมศึกษาที่รับผิดชอบในแต่ละพื้นที่ (ตําบล) ทําหน้าที่เป็นผู้บูรณาการ ระบบ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG ในพื้นที่เพื่อใช้ประโยชน์จากข้อมูล TCD ในการวางแผนและพัฒนาพื้นที่อย่างยั่งยืน
การจ้างงาน -พื้นที่ 3,000 ตําบล ต่อยอดจากโครงการ 1 ตําบล 1 มหาวิทยาลัย จํานวน 8 คน/ตําบลประกอบด้วยบัณฑิตที่สําเร็จการศึกษามาไม่เกิน5 ปีจํานวน 4 คน/ตําบล และผู้ที่ถูกเลิกจ้างและประชาชนในพื้นที่จํานวน 4 คน/ตําบล
-พื้นที่ 4,435 ตําบลใหม่ จํานวน 10 คน/ตําบลประกอบด้วยบัณฑิตที่สําเร็จการศึกษาไม่เกิน 5 ปี 5 คน/ตําบลและผู้ที่ถูกเลิกจ้างประชาชนในพื้นที่ 5 คน/ตําบล
ทั้งนี้ มีระยะเวลาดําเนินการ 3 เดือน ตั้งแต่ 1 ก.ค. - 30 ก.ย. 65
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงประโยชน์ที่จะคาดว่าจะได้รับจากการดําเนินการ คือ เกิดกิจกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ด้วยยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ BCG ไม่น้อยกว่า 15,000 กิจกรรม ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เพิ่มยอดขายผลิตภัณฑ์และบริการของชุมชน ไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ในผลิตภัณฑ์และบริการของชุมชนไม่น้อยกว่า 4,500 รายการ เกิดการจ้างงานประชาชนทั่วไป และบัณฑิตจบใหม่จํานวนไม่น้อยกว่า 68,350 คน เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจในพื้นที่ระหว่างการดําเนินโครงการไม่น้อยกว่า 600 ล้านบาท/เดือน มีการ Upskill/Reskill พัฒนาทักษะพื้นฐานที่จําเป็นและทักษะที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ BCG รวมทั้งการใช้สามารถจัดทําและใช้ประโยชน์จากข้อมูล TCD ในการวิเคราะห์การจัดทําแผนการพัฒนาพื้นที่ครบทุกพื้นที่ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55701 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบกรมราชทัณฑ์ทำแม่พิมพ์แคปซูลฟ้าทะลายโจร ใช้ในเรือนจำ-ขายให้ชาวบ้าน ราคาจับต้องได้เพื่อทำยาใช้เองในครอบครัว | วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบกรมราชทัณฑ์ทําแม่พิมพ์แคปซูลฟ้าทะลายโจร ใช้ในเรือนจํา-ขายให้ชาวบ้าน ราคาจับต้องได้เพื่อทํายาใช้เองในครอบครัว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบกรมราชทัณฑ์ทําแม่พิมพ์แคปซูลฟ้าทะลายโจร ใช้ในเรือนจํา-ขายให้ชาวบ้าน ราคาจับต้องได้เพื่อทํายาใช้เองในครอบครัว
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า หลังจากที่ตนได้สั่งการให้เรือนจําแต่ละจังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกทดลองปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เพื่อเป็นตัวเลือกในการรักษาโควิด-19 หากที่ใดมีเมล็ดพันธุ์เพียงพอก็ให้ใช้เมล็ดปลูก แต่หากมีไม่พอก็ให้ใช้แนวทางของเรือนจําชั่วคราวเขาพลอง จ.ชัยนาท คือ เมื่อต้นแก่ที่เก็บใบให้หมด แล้วน้ําต้นที่เหลือมาตัดเป็นข้อๆแล้วนํามาแช่น้ํายาเร่งราก ให้ข้อแรกเป็นราก ส่วนข้อบนจะงอกเป็นกิ่ง แล้วเสียบไปในแกลบดํา ประมาณ 10 วันรากจะงอก นําไปลงแปลงได้ ไม่ต้องรอถึง 4 เดือนเพื่อเก็บเมล็ดมาปลูก เป็นการช่วยลดเวลา เพราะขณะนี้ความต้องการฟ้าทะลายโจรมีมากจนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่วนการเก็บใบมาอบ ถ้าไม่มีเตาอบ สามารถผึ่งลมให้แห้งได้ หรือตากที่แดดอ่อนๆ เพราะกลัวว่าหากแดดแรงเกินไป สารคลอโรฟิลล์ในใบจะหายไปหมด แล้วเมื่อใบแห้งก็เอามาบดเป็นผงเพื่อบรรจุในแคปซูลได้
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากการลงพื้นที่เรือนจําชั่วคราวเขาพลองตนได้เห็นกล่องบรรจุแคปซูลสมุนไพรด้วยมือที่ทําจากไม้ บรรจุได้ครั้งละ 100 เม็ด ใช้เวลาทําประมาณ 10 นาทีต่อรอบ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจ ตนจึงได้สั่งให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์นําแบบไปศึกษาแล้วแกะออกมาส่งให้ทุกเรือนจําผลิต เพื่อใช้ในเรือนจําเองและนํามาขายให้กับชาวบ้าน เพื่อให้พวกเขาสามารถผลิตยาฟ้าทะลายโจรได้เองเพื่อใช้ในครอบครัวและหากเหลือก็สามารถขายให้กับเพื่อนบ้านได้ด้วย ซึ่งราคาขายตนคิดว่าจะมีราคาไม่แพงอาจจะอันละประมาณ 1,000 บาท โดยใช้ไม้เนื้อแข็งปานกลาง ส่วนเครื่องบดราคาในท้องตลาดมีตั้งแต่ 500 บาท ซึ่งการทําแม่พิมพ์ออกมาจะเป็นการสนับสนุนเกษตกรและให้ชาวบ้านสามารถทํายาใช้เองได้ รวมถึงเป็นการสร้างอาชีพให้กับผู้ต้องขังด้วย ซึ่งฟ้าทะลายโจรในช่วงนี้อาจจะไม่เพียงพอ แต่ขณะนี้คือช่วงฤดูฝนจะปลูกขึ้นได้ง่าย คาดว่าอีกไม่นานน่าจะมีเพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้นเราควรทําแม่พิมพ์เตรียมเอาไว้ได้เลย ซึ่งหากเป็นผู้ต้องขังที่เชี่ยวชาญงานไม้อาจทําได้วันละ 1-2 ชิ้นเลยทีเดียว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบกรมราชทัณฑ์ทำแม่พิมพ์แคปซูลฟ้าทะลายโจร ใช้ในเรือนจำ-ขายให้ชาวบ้าน ราคาจับต้องได้เพื่อทำยาใช้เองในครอบครัว
วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2564
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบกรมราชทัณฑ์ทําแม่พิมพ์แคปซูลฟ้าทะลายโจร ใช้ในเรือนจํา-ขายให้ชาวบ้าน ราคาจับต้องได้เพื่อทํายาใช้เองในครอบครัว
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มอบกรมราชทัณฑ์ทําแม่พิมพ์แคปซูลฟ้าทะลายโจร ใช้ในเรือนจํา-ขายให้ชาวบ้าน ราคาจับต้องได้เพื่อทํายาใช้เองในครอบครัว
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า หลังจากที่ตนได้สั่งการให้เรือนจําแต่ละจังหวัดที่มีพื้นที่เพาะปลูกทดลองปลูกสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เพื่อเป็นตัวเลือกในการรักษาโควิด-19 หากที่ใดมีเมล็ดพันธุ์เพียงพอก็ให้ใช้เมล็ดปลูก แต่หากมีไม่พอก็ให้ใช้แนวทางของเรือนจําชั่วคราวเขาพลอง จ.ชัยนาท คือ เมื่อต้นแก่ที่เก็บใบให้หมด แล้วน้ําต้นที่เหลือมาตัดเป็นข้อๆแล้วนํามาแช่น้ํายาเร่งราก ให้ข้อแรกเป็นราก ส่วนข้อบนจะงอกเป็นกิ่ง แล้วเสียบไปในแกลบดํา ประมาณ 10 วันรากจะงอก นําไปลงแปลงได้ ไม่ต้องรอถึง 4 เดือนเพื่อเก็บเมล็ดมาปลูก เป็นการช่วยลดเวลา เพราะขณะนี้ความต้องการฟ้าทะลายโจรมีมากจนไม่เพียงพอต่อความต้องการ ส่วนการเก็บใบมาอบ ถ้าไม่มีเตาอบ สามารถผึ่งลมให้แห้งได้ หรือตากที่แดดอ่อนๆ เพราะกลัวว่าหากแดดแรงเกินไป สารคลอโรฟิลล์ในใบจะหายไปหมด แล้วเมื่อใบแห้งก็เอามาบดเป็นผงเพื่อบรรจุในแคปซูลได้
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากการลงพื้นที่เรือนจําชั่วคราวเขาพลองตนได้เห็นกล่องบรรจุแคปซูลสมุนไพรด้วยมือที่ทําจากไม้ บรรจุได้ครั้งละ 100 เม็ด ใช้เวลาทําประมาณ 10 นาทีต่อรอบ เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจ ตนจึงได้สั่งให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์นําแบบไปศึกษาแล้วแกะออกมาส่งให้ทุกเรือนจําผลิต เพื่อใช้ในเรือนจําเองและนํามาขายให้กับชาวบ้าน เพื่อให้พวกเขาสามารถผลิตยาฟ้าทะลายโจรได้เองเพื่อใช้ในครอบครัวและหากเหลือก็สามารถขายให้กับเพื่อนบ้านได้ด้วย ซึ่งราคาขายตนคิดว่าจะมีราคาไม่แพงอาจจะอันละประมาณ 1,000 บาท โดยใช้ไม้เนื้อแข็งปานกลาง ส่วนเครื่องบดราคาในท้องตลาดมีตั้งแต่ 500 บาท ซึ่งการทําแม่พิมพ์ออกมาจะเป็นการสนับสนุนเกษตกรและให้ชาวบ้านสามารถทํายาใช้เองได้ รวมถึงเป็นการสร้างอาชีพให้กับผู้ต้องขังด้วย ซึ่งฟ้าทะลายโจรในช่วงนี้อาจจะไม่เพียงพอ แต่ขณะนี้คือช่วงฤดูฝนจะปลูกขึ้นได้ง่าย คาดว่าอีกไม่นานน่าจะมีเพียงพอต่อความต้องการ ดังนั้นเราควรทําแม่พิมพ์เตรียมเอาไว้ได้เลย ซึ่งหากเป็นผู้ต้องขังที่เชี่ยวชาญงานไม้อาจทําได้วันละ 1-2 ชิ้นเลยทีเดียว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44125 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม “ธัชกร บัวศรี” คว้าแชมป์การแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก JuniorGP ที่ประเทศโปรตุเกส สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย | วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม “ธัชกร บัวศรี” คว้าแชมป์การแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก JuniorGP ที่ประเทศโปรตุเกส สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม “ธัชกร บัวศรี” คว้าแชมป์การแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก JuniorGP ที่ประเทศโปรตุเกส สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย
วันนี้ (11 พฤษภาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมและยินดีกับ นายธัชกร บัวศรี หรือ “ก๊องส์” นักบิดดาวรุ่งไทยวัย 21 ปี ที่สามารถคว้าชัยชนะจากการแข่งขันจักรยานยนต์ดาวรุ่งชิงแชมป์โลก รายการ เอฟไอเอ็ม จูเนียร์จีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ (FIM JuniorGP World Championship) สนามแรกแห่งฤดูกาล 2022 ซึ่งจัดขึ้น ณ สนามเซอร์กิโต เดอ เอสโตริล (Circuito do Estoril) ประเทศโปรตุเกส เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์นักบิดไทยคนแรกที่คว้าชัยชนะในการแข่งขันในครั้งนี้
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายธัชกร บัวศรี ทําผลงานได้ดีเยี่ยมขึ้นนําในโค้งแรก อยู่ในกลุ่มท็อป 5 อย่างต่อเนื่อง ก่อนแซงขึ้นนําในรอบสุดท้าย นักบิดไทยเข้ามาในอันดับ 2 แต่ผู้เข้าแข่งขันที่เข้ามาคันแรกถูกปรับอันดับในรอบสุดท้าย ส่งผลให้นักบิดไทยสร้างประวัติศาสตร์คว้าชัยชนะครั้งแรกได้สําเร็จ จากนักบิดแถวหน้าของโลกกว่า 30 คนมาครอง ด้วยเวลารวม 30 นาที 04.966 วินาที ทําให้ “ก๊องส์-ธัชกร บัวศรี” รั้งจ่าฝูงบนตารางด้วยแต้มสะสม 25 คะแนนเต็ม และมีกําหนดแข่งขันจูเนียร์จีพีสนามที่ 2 ต่อไป ณ สนามเซอร์กิต ริคาร์โด ทอร์โม (Circuit Ricardo Tormo) เมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 21-22 พฤษภาคม 2565 นี้
“นายกรัฐมนตรีชื่นชมในความมุ่งมั่นตั้งใจและความพยายามฝึกฝนของนักกีฬาจนสามารถคว้าชัยในการแข่งขันระดับโลกมาได้สําเร็จ สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ตนเองและคนไทยทั้งประเทศ และขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในการร่วมผลักดันนักกีฬาไทยไปสู่เวทีระดับนานาชาติ โดยขอให้คํานึงว่าตนเปรียบเหมือนทูตวัฒนธรรมคนหนึ่ง ยึดหลักการมีน้ําใจนักกีฬา และหมั่นสร้างมิตรภาพระหว่างผู้ร่วมการแข่งขันเพื่อภาพลักษณ์ที่ดี ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชัยชนะที่ไทยได้รับตลอดมา จะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และตั้งใจทําสิ่งที่ชอบอย่างมุ่งมั่นตั้งใจทําอย่างเต็มที่ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่หวังไว้” นายธนกร กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม “ธัชกร บัวศรี” คว้าแชมป์การแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก JuniorGP ที่ประเทศโปรตุเกส สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย
วันพุธที่ 11 พฤษภาคม 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม “ธัชกร บัวศรี” คว้าแชมป์การแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก JuniorGP ที่ประเทศโปรตุเกส สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย
โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ชื่นชม “ธัชกร บัวศรี” คว้าแชมป์การแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก JuniorGP ที่ประเทศโปรตุเกส สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย
วันนี้ (11 พฤษภาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชื่นชมและยินดีกับ นายธัชกร บัวศรี หรือ “ก๊องส์” นักบิดดาวรุ่งไทยวัย 21 ปี ที่สามารถคว้าชัยชนะจากการแข่งขันจักรยานยนต์ดาวรุ่งชิงแชมป์โลก รายการ เอฟไอเอ็ม จูเนียร์จีพี เวิลด์ แชมเปี้ยนชิพ (FIM JuniorGP World Championship) สนามแรกแห่งฤดูกาล 2022 ซึ่งจัดขึ้น ณ สนามเซอร์กิโต เดอ เอสโตริล (Circuito do Estoril) ประเทศโปรตุเกส เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา ถือเป็นการสร้างประวัติศาสตร์นักบิดไทยคนแรกที่คว้าชัยชนะในการแข่งขันในครั้งนี้
โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายธัชกร บัวศรี ทําผลงานได้ดีเยี่ยมขึ้นนําในโค้งแรก อยู่ในกลุ่มท็อป 5 อย่างต่อเนื่อง ก่อนแซงขึ้นนําในรอบสุดท้าย นักบิดไทยเข้ามาในอันดับ 2 แต่ผู้เข้าแข่งขันที่เข้ามาคันแรกถูกปรับอันดับในรอบสุดท้าย ส่งผลให้นักบิดไทยสร้างประวัติศาสตร์คว้าชัยชนะครั้งแรกได้สําเร็จ จากนักบิดแถวหน้าของโลกกว่า 30 คนมาครอง ด้วยเวลารวม 30 นาที 04.966 วินาที ทําให้ “ก๊องส์-ธัชกร บัวศรี” รั้งจ่าฝูงบนตารางด้วยแต้มสะสม 25 คะแนนเต็ม และมีกําหนดแข่งขันจูเนียร์จีพีสนามที่ 2 ต่อไป ณ สนามเซอร์กิต ริคาร์โด ทอร์โม (Circuit Ricardo Tormo) เมืองบาเลนเซีย ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ 21-22 พฤษภาคม 2565 นี้
“นายกรัฐมนตรีชื่นชมในความมุ่งมั่นตั้งใจและความพยายามฝึกฝนของนักกีฬาจนสามารถคว้าชัยในการแข่งขันระดับโลกมาได้สําเร็จ สร้างความภาคภูมิใจให้แก่ตนเองและคนไทยทั้งประเทศ และขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ในการร่วมผลักดันนักกีฬาไทยไปสู่เวทีระดับนานาชาติ โดยขอให้คํานึงว่าตนเปรียบเหมือนทูตวัฒนธรรมคนหนึ่ง ยึดหลักการมีน้ําใจนักกีฬา และหมั่นสร้างมิตรภาพระหว่างผู้ร่วมการแข่งขันเพื่อภาพลักษณ์ที่ดี ทั้งนี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าชัยชนะที่ไทยได้รับตลอดมา จะสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนให้ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ และตั้งใจทําสิ่งที่ชอบอย่างมุ่งมั่นตั้งใจทําอย่างเต็มที่ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่หวังไว้” นายธนกร กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54450 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ ไร้รอยต่อเทคโนโลยี” | วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565
พม. จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจําปี 2565 ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ ไร้รอยต่อเทคโนโลยี”
พม. จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจําปี 2565 ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ ไร้รอยต่อเทคโนโลยี”
วันนี้ (11 เม.ย. 65) เวลา 10.45 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจําปี 2565 ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ ไร้รอยต่อเทคโนโลยี” พร้อมทั้งเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อนการให้บริการและความช่วยเหลือในระบบเพื่อนครอบครัว : Family Line ระหว่างภาคีเครือข่ายด้านครอบครัวและผู้สูงอายุ จํานวน 11 หน่วยงาน โดยมีนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวรายงานและร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ทั้งนี้ มีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วมงาน ณ สุราลัย ฮอลล์ (SURALAI HALL) ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า รัฐบาลมีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2525 ประกาศให้วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” เพื่อให้ประชาชนและสังคมตระหนักถึงคุณค่า ความสําคัญ และศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ และมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2532 เห็นชอบให้วันที่ 14 เมษายนของทุกปี เป็นวันแห่งครอบครัว เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล และเพื่อความอบอุ่น เป็นสุขของครอบครัว ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีการจัดงานทั้งวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว เป็นประจําทุกปี โดยในปี 2565 กระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้กําหนดจัดทั้งสองงานรวมกันในวันที่ 11 เมษายน 2565 ในชื่องาน “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจําปี 2565” ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ไร้รอยต่อเทคโนโลยี”
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับงานครั้งนี้ ประกอบด้วย กิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ 1) วีดิทัศน์ “สารนายกรัฐมนตรีเนื่องในโอกาสวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจําปี 2565” และ “สถานการณ์ผู้สูงอายุ และครอบครัว” 2) วีดิทัศน์ผู้สูงอายุแห่งชาติพุทธศักราช 2565 "นายแผน วรรณเมธี" 3) การเปิดตัวแอปพลิเคชั่นใหม่ “เพื่อนครอบครัว : Family Line” เพื่อการให้บริการและความช่วยเหลือในระบบเพื่อนครอบครัว เป็นเพื่อนคู่คิดสําหรับครอบครัวในการให้คําปรึกษาแบบ Online จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในเรื่องต่างๆ รวมไปถึงเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และข้อมูลข่าวสารสําหรับครอบครัวบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม 24 ชั่วโมง อีกทั้งมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อนการให้บริการและความช่วยเหลือในระบบเพื่อนครอบครัว : Family Line ระหว่างภาคีเครือข่ายด้านครอบครัวและผู้สูงอายุ จํานวน 11 หน่วยงาน ซึ่งได้เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2564 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา 1 ปี โดยให้บริการผ่านช่องทางเว็บแอพพลิเคชั่น www.เพื่อนครอบครัว.com และ Line Platform ผ่านสมาร์ทโฟนในชื่อ “เพื่อนครอบครัว” หรือ @linefamily 4) กิจกรรม Talk to you “ต่าง Gen ต่างวัย กับวิถีใหม่เทคโนโลยี” โดย รศ.นพ. สุริยเดว ทรีปาตี คุณชาย ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ และคุณโสภิต สุนทรธนสถิตย์ เป็นต้น และ 5) บูธส่งเสริมการเรียนรู้ของภาคีเครือข่ายด้านครอบครัว
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดกิจกรรมวันนี้ให้สําเร็จ ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์เพื่อเตือนใจและเตือนสติทุกคนว่า สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตคือครอบครัวที่ให้โอกาส ให้เวลาเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เพราะครอบครัวจะเป็นสถานที่ที่ให้หลบภัยจากมรสุมของชีวิตทุกอย่าง และเป็นการทําให้ชีวิตมีคุณค่า ผู้สูงอายุก็มีคุณค่า ทั้งนี้ ความกตัญญูกตเวทีเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมี ถ้าครอบครัวเข้มแข็ง สังคมเข้มแข็ง ประเทศชาติก็จะเข้มแข็งต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ ไร้รอยต่อเทคโนโลยี”
วันจันทร์ที่ 11 เมษายน 2565
พม. จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจําปี 2565 ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ ไร้รอยต่อเทคโนโลยี”
พม. จัดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจําปี 2565 ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ ไร้รอยต่อเทคโนโลยี”
วันนี้ (11 เม.ย. 65) เวลา 10.45 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดงานวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจําปี 2565 ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ ไร้รอยต่อเทคโนโลยี” พร้อมทั้งเป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อนการให้บริการและความช่วยเหลือในระบบเพื่อนครอบครัว : Family Line ระหว่างภาคีเครือข่ายด้านครอบครัวและผู้สูงอายุ จํานวน 11 หน่วยงาน โดยมีนางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) กล่าวรายงานและร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ทั้งนี้ มีคณะผู้บริหารกระทรวง พม. เข้าร่วมงาน ณ สุราลัย ฮอลล์ (SURALAI HALL) ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม กรุงเทพฯ
นายจุติ กล่าวว่า รัฐบาลมีมติเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2525 ประกาศให้วันที่ 13 เมษายน ของทุกปี เป็น “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ” เพื่อให้ประชาชนและสังคมตระหนักถึงคุณค่า ความสําคัญ และศักดิ์ศรีของผู้สูงอายุ และมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2532 เห็นชอบให้วันที่ 14 เมษายนของทุกปี เป็นวันแห่งครอบครัว เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล และเพื่อความอบอุ่น เป็นสุขของครอบครัว ทั้งนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีการจัดงานทั้งวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว เป็นประจําทุกปี โดยในปี 2565 กระทรวง พม. โดยกรมกิจการผู้สูงอายุ (ผส.) และกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) ได้กําหนดจัดทั้งสองงานรวมกันในวันที่ 11 เมษายน 2565 ในชื่องาน “วันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจําปี 2565” ภายใต้แนวคิด “พลังครอบครัว พลังผู้สูงวัย กับชีวิตวิถีใหม่ไร้รอยต่อเทคโนโลยี”
นายจุติ กล่าวต่อไปว่า สําหรับงานครั้งนี้ ประกอบด้วย กิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ 1) วีดิทัศน์ “สารนายกรัฐมนตรีเนื่องในโอกาสวันผู้สูงอายุแห่งชาติ และวันแห่งครอบครัว ประจําปี 2565” และ “สถานการณ์ผู้สูงอายุ และครอบครัว” 2) วีดิทัศน์ผู้สูงอายุแห่งชาติพุทธศักราช 2565 "นายแผน วรรณเมธี" 3) การเปิดตัวแอปพลิเคชั่นใหม่ “เพื่อนครอบครัว : Family Line” เพื่อการให้บริการและความช่วยเหลือในระบบเพื่อนครอบครัว เป็นเพื่อนคู่คิดสําหรับครอบครัวในการให้คําปรึกษาแบบ Online จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในเรื่องต่างๆ รวมไปถึงเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และข้อมูลข่าวสารสําหรับครอบครัวบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม 24 ชั่วโมง อีกทั้งมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือขับเคลื่อนการให้บริการและความช่วยเหลือในระบบเพื่อนครอบครัว : Family Line ระหว่างภาคีเครือข่ายด้านครอบครัวและผู้สูงอายุ จํานวน 11 หน่วยงาน ซึ่งได้เริ่มให้บริการตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน 2564 จนถึงปัจจุบัน รวมระยะเวลา 1 ปี โดยให้บริการผ่านช่องทางเว็บแอพพลิเคชั่น www.เพื่อนครอบครัว.com และ Line Platform ผ่านสมาร์ทโฟนในชื่อ “เพื่อนครอบครัว” หรือ @linefamily 4) กิจกรรม Talk to you “ต่าง Gen ต่างวัย กับวิถีใหม่เทคโนโลยี” โดย รศ.นพ. สุริยเดว ทรีปาตี คุณชาย ชาตโยดม หิรัณยัษฐิติ และคุณโสภิต สุนทรธนสถิตย์ เป็นต้น และ 5) บูธส่งเสริมการเรียนรู้ของภาคีเครือข่ายด้านครอบครัว
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ร่วมกันจัดกิจกรรมวันนี้ให้สําเร็จ ซึ่งเป็นสัญญาลักษณ์เพื่อเตือนใจและเตือนสติทุกคนว่า สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตคือครอบครัวที่ให้โอกาส ให้เวลาเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เพราะครอบครัวจะเป็นสถานที่ที่ให้หลบภัยจากมรสุมของชีวิตทุกอย่าง และเป็นการทําให้ชีวิตมีคุณค่า ผู้สูงอายุก็มีคุณค่า ทั้งนี้ ความกตัญญูกตเวทีเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมี ถ้าครอบครัวเข้มแข็ง สังคมเข้มแข็ง ประเทศชาติก็จะเข้มแข็งต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53520 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่ | วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564
กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่
แนะนําประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทาง 27 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยในขณะนี้ (30 ก.ย. 64 เวลา 17.00 น.) ว่ามีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 17 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี ระยอง พิจิตร นครราชสีมา บุรีรัมย์ ชัยภูมิ ขอนแก่น ศรีสะเกษ นครสวรรค์ กําแพงเพชร ตาก สุโขทัย สระแก้ว และหนองบัวลําภู รวม 72 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 45 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 27 สายทาง แบ่งเป็น
- น้ําท่วมสูง 18 สายทาง (21 แห่ง)
- ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 4 สายทาง (4 แห่ง)
- สะพานขาด คอสะพานขาด ทรุดตัว 4 สายทาง (4 แห่ง)
- ไหล่ทาง คันทางพังทลาย คอสะพานและดินไหล่เขาสไลด์ 1 สายทาง (1 แห่ง)
1. สายทาง สท.4001 แยก ทล.1293 - บ้านหนองกระดิ่ง อําเภอกงไกรลาศ และคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+300 ถึง 2+500)
2. สายทาง นว.4029 แยก ทล.1072 - บ้านเขาแม่กระทู้ อําเภอลาดยาว และแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+050 ถึง 3+500)
3. สายทาง นว.4048 แยก ทล.3004 - บ้านเขาน้อย อําเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ คอสะพานทรุดตัว (ช่วง กม. ที่ 8+000 ถึง 15+000)
4. สายทาง นว.2057 แยก ทล.11 - บ้านโคกเดื่อ อําเภอท่าจะโก จังหวัดนครสวรรค์ คอสะพานทรุดตัว (ช่วง กม. ที่ 0+000 ถึง 12+000)
5. สายทาง กพ.020 สะพานข้ามแม่น้ําวงก์ อําเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกําแพงเพชรสะพานทรุดตัว (ช่วง กม. ที่ 0+460)
6. สายทาง นม.6019 บ้านโนนสูง - บ้านโนนไทย อําเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา น้ําท่วมสูง
120 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+700 ถึง 7+500)
7. สายทาง นม.4027 แยก ทล.2160 - บ้านโคก อําเภอคง และแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 36+500 ถึง 36+935)
8. สายทาง ชย.3002 แยก ทล.201 - แยกบ้านเขว้า อําเภอจัตุรัส และบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+600 ถึง 2+800)
9. สายทาง ชย.3055 แยก ทล.225 - แยก ทล.201 อําเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 ถึง 2+464)
10. สายทาง ชย.3010 แยก ทล.205 - อ่างเก็บน้ําลําคันฉู อําเภอบําเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+600 ถึง 2+800)
11. สายทาง ชย.3033 แยก ทล.225 - แยกทางหลวงชนบทสาย ชย.3019 อําเภอบ้านเขว้า และหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+500 ถึง 2+500)
12. สายทาง ชย.3016 แยก ทล.202 - บ้านค่าย อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 7+800 ถึง 9+300)
13. สายทาง ชย.3019 แยก ทล.225 - แยก ทล.2359 อําเภอบ้านเขว้า และหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม.ที่ 30+000 ถึง 30+700, 32+400 ถึง 32+600, 36+500
ถึง 36+800, 37+000 ถึง 37+500)
14. สายทาง ชย.4040 แยก ทล. 2065 - แยก ทล.2233 อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+000 ถึง 7+000)
15. สายทาง ชย.5041 แยกทางหลวงชนบท ชย.3003 - แยก ทล.202 อําเภอคอนสวรรค์ และแก้งสนามนาง จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+000 ถึง 6+500)
16. สายทาง ชย.3003 แยก ทล.202 - แยก ทล.2065 อําเภอเมือง และคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+400 ถึง 7+000)
17. สายทาง ขก.2071 แยก ทล.12 - บ้านสามสวน อําเภอหนองเรือ และบ้านแท่น จังหวัดขอนแก่น น้ําท่วมสูง 75 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+830 ถึง 7+776)
18. สายทาง ชน.4005 แยก ทล.3244 - บ้านหัวรอ อําเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ไหล่ทางชํารุด
(ช่วง กม.ที่ 1+000 ถึง 1+100)
19. สายทาง ลบ.3005 แยก ทล.205 - บ้านเขาตะแคง อําเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี เส้นทางขาด (ช่วง กม.ที่ 1+000 ถึง 3+000)
20. สายทาง ลบ.5025 แยกทางหลวงชนบท ลบ.2134 - บ้านเกาะรัง อําเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 ถึง 3+277)
21. สายทาง ลบ.5129 เลียบเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ฝั่งซ้าย (ตอนลพบุรี) อําเภอท่าหลวง พัฒนานิคมและวังม่วง จังหวัดลพบุรี น้ําท่วมสูง 120 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 ถึง 6+000)
22. สายทาง ลบ.1030 แยก ทล.1 - บ้านถลุงเหล็ก อําเภอโคกสําโรง จังหวัดลพบุรี เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 9+800 ถึง 12+463)
23. สายทาง ลบ.2134 แยก ทล.21- บ้านหนองสรวง อําเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม.ที่ 8+000 ถึง 13+140)
24. สายทาง ลบ.5130 เลียบเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ฝั่งขวา (ตอนลพบุรี) อําเภอชัยบาดาล ท่าหลวงและพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 63+450 ถึง 70+000)
25. สายทาง ลบ.5183 แยกทางหลวงชนบท ลบ.4056 - บ้านเขาราบ อําเภอโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี คอสะพานทรุดตัว (ช่วง กม. ที่ 0+000 ถึง 1+135)
26. สายทาง ลบ.015 สะพานนิยมไทยสิริ อําเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+500 ถึง 3+200)
27. สายทาง สก.3007 แยก ทล.348 - บ้านเขาน้อยพรมสุวรรณ อําเภอโคกสูง และวัฒนานคร
จ.สระแก้ว เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 11+450 ถึง 11+650)
ทั้งนี้แขวงทางหลวงชนบทในพื้นที่ได้ดําเนินการติดตั้งป้ายเตือน และจัดเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลืออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ประสบความเดือดร้อนจากอุทกภัย ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดย ทช. ขอประชาสัมพันธ์ประชาชนโปรดหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ได้รับผลกระทบไม่สามารถสัญจรได้ดังกล่าว เพื่อเตรียมความพร้อมวางแผนในการเดินทาง โปรดระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนเป็นพิเศษ และโปรดสังเกตป้ายเตือน หากพบเหตุอุทกภัย หรือต้องการสอบถามเส้นทาง สามารถสอบถามหรือแจ้งเหตุได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่
วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564
กรมทางหลวงชนบท รายงานสถานการณ์สายทางที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยในพื้นที่
แนะนําประชาชนหลีกเลี่ยงเส้นทาง 27 สายทาง
กรมทางหลวงชนบท (ทช.) กระทรวงคมนาคม โดยสํานักบํารุงทาง รายงานถึงสถานการณ์อุทกภัยในขณะนี้ (30 ก.ย. 64 เวลา 17.00 น.) ว่ามีถนนทางหลวงชนบทที่ประสบอุทกภัยในพื้นที่ 17 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา ชัยนาท ลพบุรี สิงห์บุรี ระยอง พิจิตร นครราชสีมา บุรีรัมย์ ชัยภูมิ ขอนแก่น ศรีสะเกษ นครสวรรค์ กําแพงเพชร ตาก สุโขทัย สระแก้ว และหนองบัวลําภู รวม 72 สายทาง สามารถสัญจรผ่านได้ 45 สายทาง และไม่สามารถสัญจรผ่านได้ 27 สายทาง แบ่งเป็น
- น้ําท่วมสูง 18 สายทาง (21 แห่ง)
- ทางขาด โครงสร้างทางชํารุด กัดเซาะ 4 สายทาง (4 แห่ง)
- สะพานขาด คอสะพานขาด ทรุดตัว 4 สายทาง (4 แห่ง)
- ไหล่ทาง คันทางพังทลาย คอสะพานและดินไหล่เขาสไลด์ 1 สายทาง (1 แห่ง)
1. สายทาง สท.4001 แยก ทล.1293 - บ้านหนองกระดิ่ง อําเภอกงไกรลาศ และคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัย น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+300 ถึง 2+500)
2. สายทาง นว.4029 แยก ทล.1072 - บ้านเขาแม่กระทู้ อําเภอลาดยาว และแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ น้ําท่วมสูง 40 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+050 ถึง 3+500)
3. สายทาง นว.4048 แยก ทล.3004 - บ้านเขาน้อย อําเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ คอสะพานทรุดตัว (ช่วง กม. ที่ 8+000 ถึง 15+000)
4. สายทาง นว.2057 แยก ทล.11 - บ้านโคกเดื่อ อําเภอท่าจะโก จังหวัดนครสวรรค์ คอสะพานทรุดตัว (ช่วง กม. ที่ 0+000 ถึง 12+000)
5. สายทาง กพ.020 สะพานข้ามแม่น้ําวงก์ อําเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกําแพงเพชรสะพานทรุดตัว (ช่วง กม. ที่ 0+460)
6. สายทาง นม.6019 บ้านโนนสูง - บ้านโนนไทย อําเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา น้ําท่วมสูง
120 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+700 ถึง 7+500)
7. สายทาง นม.4027 แยก ทล.2160 - บ้านโคก อําเภอคง และแก้งสนามนาง จังหวัดนครราชสีมา น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 36+500 ถึง 36+935)
8. สายทาง ชย.3002 แยก ทล.201 - แยกบ้านเขว้า อําเภอจัตุรัส และบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+600 ถึง 2+800)
9. สายทาง ชย.3055 แยก ทล.225 - แยก ทล.201 อําเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 ถึง 2+464)
10. สายทาง ชย.3010 แยก ทล.205 - อ่างเก็บน้ําลําคันฉู อําเภอบําเหน็จณรงค์ จังหวัดชัยภูมิ เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 2+600 ถึง 2+800)
11. สายทาง ชย.3033 แยก ทล.225 - แยกทางหลวงชนบทสาย ชย.3019 อําเภอบ้านเขว้า และหนองบัวระเหว จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+500 ถึง 2+500)
12. สายทาง ชย.3016 แยก ทล.202 - บ้านค่าย อําเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 7+800 ถึง 9+300)
13. สายทาง ชย.3019 แยก ทล.225 - แยก ทล.2359 อําเภอบ้านเขว้า และหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 60 เซนติเมตร (ช่วง กม.ที่ 30+000 ถึง 30+700, 32+400 ถึง 32+600, 36+500
ถึง 36+800, 37+000 ถึง 37+500)
14. สายทาง ชย.4040 แยก ทล. 2065 - แยก ทล.2233 อําเภอคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 2+000 ถึง 7+000)
15. สายทาง ชย.5041 แยกทางหลวงชนบท ชย.3003 - แยก ทล.202 อําเภอคอนสวรรค์ และแก้งสนามนาง จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 3+000 ถึง 6+500)
16. สายทาง ชย.3003 แยก ทล.202 - แยก ทล.2065 อําเภอเมือง และคอนสวรรค์ จังหวัดชัยภูมิ น้ําท่วมสูง 50 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+400 ถึง 7+000)
17. สายทาง ขก.2071 แยก ทล.12 - บ้านสามสวน อําเภอหนองเรือ และบ้านแท่น จังหวัดขอนแก่น น้ําท่วมสูง 75 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 1+830 ถึง 7+776)
18. สายทาง ชน.4005 แยก ทล.3244 - บ้านหัวรอ อําเภอมโนรมย์ จังหวัดชัยนาท ไหล่ทางชํารุด
(ช่วง กม.ที่ 1+000 ถึง 1+100)
19. สายทาง ลบ.3005 แยก ทล.205 - บ้านเขาตะแคง อําเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี เส้นทางขาด (ช่วง กม.ที่ 1+000 ถึง 3+000)
20. สายทาง ลบ.5025 แยกทางหลวงชนบท ลบ.2134 - บ้านเกาะรัง อําเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 ถึง 3+277)
21. สายทาง ลบ.5129 เลียบเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ฝั่งซ้าย (ตอนลพบุรี) อําเภอท่าหลวง พัฒนานิคมและวังม่วง จังหวัดลพบุรี น้ําท่วมสูง 120 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+000 ถึง 6+000)
22. สายทาง ลบ.1030 แยก ทล.1 - บ้านถลุงเหล็ก อําเภอโคกสําโรง จังหวัดลพบุรี เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 9+800 ถึง 12+463)
23. สายทาง ลบ.2134 แยก ทล.21- บ้านหนองสรวง อําเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี น้ําท่วมสูง 80 เซนติเมตร (ช่วง กม.ที่ 8+000 ถึง 13+140)
24. สายทาง ลบ.5130 เลียบเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ฝั่งขวา (ตอนลพบุรี) อําเภอชัยบาดาล ท่าหลวงและพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 63+450 ถึง 70+000)
25. สายทาง ลบ.5183 แยกทางหลวงชนบท ลบ.4056 - บ้านเขาราบ อําเภอโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี คอสะพานทรุดตัว (ช่วง กม. ที่ 0+000 ถึง 1+135)
26. สายทาง ลบ.015 สะพานนิยมไทยสิริ อําเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี น้ําท่วมสูง 100 เซนติเมตร (ช่วง กม. ที่ 0+500 ถึง 3+200)
27. สายทาง สก.3007 แยก ทล.348 - บ้านเขาน้อยพรมสุวรรณ อําเภอโคกสูง และวัฒนานคร
จ.สระแก้ว เส้นทางขาด (ช่วง กม. ที่ 11+450 ถึง 11+650)
ทั้งนี้แขวงทางหลวงชนบทในพื้นที่ได้ดําเนินการติดตั้งป้ายเตือน และจัดเจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลืออํานวยความสะดวกแก่ประชาชนที่ประสบความเดือดร้อนจากอุทกภัย ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดย ทช. ขอประชาสัมพันธ์ประชาชนโปรดหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ได้รับผลกระทบไม่สามารถสัญจรได้ดังกล่าว เพื่อเตรียมความพร้อมวางแผนในการเดินทาง โปรดระมัดระวังการใช้รถใช้ถนนเป็นพิเศษ และโปรดสังเกตป้ายเตือน หากพบเหตุอุทกภัย หรือต้องการสอบถามเส้นทาง สามารถสอบถามหรือแจ้งเหตุได้ที่สายด่วนกรมทางหลวงชนบท โทร. 1146 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46436 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” เผยครึ่งปีแรก ไทยยืนเบอร์ 1 แชมป์โลกส่งออกยาง ครองสัดส่วนตลาดจีน 49% คกก.รักษาเสถียรภาพราคายางกระทรวงเกษตรฯ ออก 6 มาตรการบุกตลาดเชิงรุก | วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565
“อลงกรณ์” เผยครึ่งปีแรก ไทยยืนเบอร์ 1 แชมป์โลกส่งออกยาง ครองสัดส่วนตลาดจีน 49% คกก.รักษาเสถียรภาพราคายางกระทรวงเกษตรฯ ออก 6 มาตรการบุกตลาดเชิงรุก
“อลงกรณ์” เผยครึ่งปีแรก ไทยยืนเบอร์ 1 แชมป์โลกส่งออกยาง ครองสัดส่วนตลาดจีน 49% คกก.รักษาเสถียรภาพราคายางกระทรวงเกษตรฯ ออก 6 มาตรการบุกตลาดเชิงรุก พร้อมจัดตั้งแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทย ผนึกพลังทุกภาคส่วนเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยวันนี้ ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 4/2565 ณ ห้องประชุมรัษฎา อาคาร 2 ชั้น 2 การยางแห่งประเทศไทย และผ่านระบบการประชุมออนไลน์ Zoom Cloud Meeting โดยกล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะตลาดยาง รวมทั้งมุมมองและข้อเสนอแนะจากสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรของไทยทุกภูมิภาคทั่วโลก และรายงานของการยางแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ตลา และการส่งออกครึ่งปี 2565 ยังครองตําแหน่งประเทศผู้ส่งออกยางอันดับ 1 ของโลกด้วยปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ยาง 2,190,065 ตัน โดยเฉพาะจีนนําเข้ายางไทยเป็นอันดับหนึ่งครองมาร์เก็ตแชร์ถึง 49% รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าของมาตรการรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยกยท. เพื่อประกอบการพิจารณากําหนดมาตรการเตรียมความพร้อมและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความผันผวนของราคายาง ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิดและสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังยืดเยื้อส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อต้นทุนการผลิต ระบบโลจิสติกส์ สถานการณ์เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยและภาวะตลาด ทําให้ราคาผันผวน จําเป็นต้องเพิ่มกลไก และมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อสร้างโอกาสในวิกฤติโดยเน้นการบูรณาการทํางานจากหลายภาคส่วนร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคเกษตรกร สถาบันเกษตรกรภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตรของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ตลาดนําการผลิต ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 ยุทธศาสตร์ทํางานเชิงรุกบูรณาการทุกภาคส่วน ยุทธศาสตร์เกษตรปลอดภัยเกษตรมั่นคงเกษตรยั่งยืน (3 S :Safety Security Sustanability) และยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนบนฐานศาสตร์พระราชาเป็นกรอบการกําหนดมาตรการและการบริหารเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของยางไทย
ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบในหลักการ ให้มีการจัดตั้งแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทยเป็นองค์กรความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับยางพารา ตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา ด้วยแนวทางความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน (Partnership principal) เป็นการผนึกพลังให้แข็งแกร่งในฐานะประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกยางอันดับหนึ่งของโลกเป็นองค์กรในลักษณะเดียวกับแพลตฟอร์มเครือข่ายความร่วมมือ FKII ของญี่ปุ่นซึ่งมีกว่า 4,200 องค์กรเป็นสมาชิก และมอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทยประสานกับสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรไทยในญี่ปุ่น เพื่อจัดทําโครงสร้างและระบบของแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทย เสนอในการประชุมคราวหน้า และจากการเสนอรายงานและข้อเสนอแนะของทูตเกษตรทุกภูมิภาคทั่วโลกทําให้เห็นถึงช่องว่างตลาดใหม่ๆ และนโยบายใหม่ของประเทศคู่ค้า จึงให้เพิ่มมาตรการใหม่อีก 6 มาตรการเชิงรุก ได้แก่
1. มาตรการสื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกเช่นการผลิตสื่อดิจิทอลเผยแพร่ในตลาดต่างประเทศ
2. มาตรการตลาดเชิงรุก เน้นความต้องการผลิตภัณฑ์ยางในรายตัวสินค้าและในรายประเทศคู่ค้า (product based &country based) เช่น ความต้องการยางจักรยานและยางรถบัสเพิ่มขึ้นในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป และผลิตภัณฑ์ยางที่อียูแบนสินค้าจากรัสเซีย หรือผลิตภัณฑ์ยางที่รัสเซียระงับการนําเข้าจากอียู ทําให้เกิดช่องว่างที่ไทยสามารถส่งออกไปทดแทนได้
3. มาตรการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันเร่งดําเนินการก่อนประเทศคู่แข่ง โดยใช้แนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน สวนยางยั่งยืนและระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ตอบโจทย์เทรนท์ของตลาด เช่น ประเด็นสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) FSCและDeforestation เป็นต้น
4. มาตรการระยะสั้นรายไตรมาส เพื่อการบริหารจัดการตามปฏิทินฤดูการผลิตประจําปี โดยมอบกยท. ภาคเอกชน และภาคเกษตรกรหารือกันเพื่อกําหนดมาตรการร่วมกัน
5. มาตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ยางมูลค่าสูงเน้นการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มรายได้ชาวสวนยาง สถาบันยาง และผู้ประกอบการ โดยให้กยท.ประสานกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (ศูนย์ AIC) ซึ่งมีผลงานการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ยางจํานวนมาก เช่น วัสดุภัณฑ์ก่อสร้างบ้านและอาคาร ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์ด้านคมนาคมขนส่ง
6. มาตรการเชิงกลไกการตลาด เช่น การแทรกแซงตลาด ซึ่งกยท.ได้ดําเนินการโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางโดยเข้าแทรกแซงตลาดเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาที่ผ่านมา จึงควรกําหนดมาตรการเพิ่มเติมเชิงกลไกตลาด เช่น การบริหารซัพพลายและดีมานด์ กลไกตลาดซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบจริง และระบบการประมูลยางออนไลน์ เป็นระบบที่เปิดกว้างเพิ่มผู้ซื้อทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาการกําหนดราคาโดยผู้ซื้อน้อยรายหรือการฮั้วหรือการผูกขาด
นอกจากนี้ ยังให้จัดฟอรั่มอัพเดทสถานการณ์ตลาดยางโลกทุก 2 เดือน โดยกยท.และสํานักงานเกษตรต่างประเทศของกระทรวงเกษตรฯ ไทย เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการได้ทราบข้อมูลรอบด้านที่ทันโลกทันเหตุการณ์ด้วยระบบออนไลน์คู่ขนานกับการประชุมของคณะกรรมการชุดนี้ และยังมอบหมายให้สํานักงานที่ปรึกษาการเกษตร ณ กรุงบรัสเซลส์ ประสานกับกยท. สถาบันชาวสวนยางและภาคเอกชนไทยในการขับเคลื่อนรับมือการเคลื่อนไหวของอียู ในประเด็น Deforestationรวมทั้ง มอบหมายกยท.ให้รวบรวมข้อมูลของสภาการยางแห่งมาเลเซีย (MRC) และนโยบายการวิจัยยางของมาเลเซียส่งให้กับกรรมการทุกคนเพื่อศึกษาเปรียบเทียบและนําเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดยางพารา ในประเทศคู่ค้าที่สําคัญโดยมุมมองทูตเกษตร ประจําสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก โดยทูตเกษตรจากสหภาพยุโรป (สํานักงานบรัสเซลส์) อิตาลี (สํานักงานกรุงโรม) สหรัฐอเมริกาและอเมริกาใต้ (สํานักงานกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.และลอสแองเจลิส) ออสเตรเลีย รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น อาเซียน (สํานักงานกรุงจาการ์ต้า) ซึ่งจากรายงานสถานการณ์การผลิต การค้า และการแข่งขันของตลาดยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางทั่วโลก ระหว่างเดือน ม.ค. - มิ.ย. ปี 2565 จีนมีมูลค่าการนําเข้ายางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์จากไทย มากเป็นอันดับหนึ่งซึ่งมีปริมาณการนําเข้ายางพาราจากไทย จํานวน 1,426,305 ตัน เพิ่มขึ้น 5.37 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา จากการวิเคราะห์สถานการณ์ เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี มีการกําหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภาคการเงินและการคลัง มีนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าช่วยหนุนการฟื้นตัวของการผลิตและจําหน่ายรถยนต์ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจีนอยู่ในทิศทางที่ดี วิสาหกิจต่างเร่งฟื้นฟุการผลิต สต๊อกยางพาราธรรมชาติในแหล่งสําคัญอยู่ในระดับต่ํา ราคาน้ํามันดิบอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การใช้ยางพาราธรรมชาติทดแทนยางสังเคราะห์เพิ่มขึ้น อิตาลีนําเข้าสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์จากไทยมากเป็นอันดับ 3 รองจาก เยอรมันและเนเธอแลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 31,340 ล้านบาท ในขณะที่ทางสหภาพยุโรปกําลังเดินหน้ายุทธศาสตร์ EU Green Deal เน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น จึงเป็นความท้าทายที่ภาครัฐและภาคเอกชนไทยต้องทํางานร่วมกัน เพื่อเตรียมรับมือกับนโยบายและมาตรการ European Green Deal รวมทั้งร่างกฎหมาย Deforestation free product ของ EU ที่ห้ามจําหน่ายสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อการทําลายป่า ทั้งสินค้าภายใน EU และสินค้านําเข้ามาจําหน่ายใน EU จะเริ่มบังคับใช้กับสินค้า 6 ประเภท (เนื้อวัว ถั่วเหลือง น้ํามันปาล์ม โกโก้ ไม้ กาแฟ) และมีแนวโน้มที่ยางพาราจะเข้าอยู่ในรายการสินค้าควบคุมในอนาคต
ทางด้านฝ่ายเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย ได้รายงานคาดการณ์ปริมาณผลผลิตยางพารา ปี 2565 มีปริมาณ 4.799 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 0.88% และคาดการณ์ปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติปี 2565 มีปริมาณ 4.275 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 3.41% โดยมีมูลค่าการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยาง ระหว่างเดือน ม.ค. - มิ.ย. 2565 มีมูลค่า 167,213 ล้านบาท และมีปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติไปยังต่างประเทศ ระหว่างเดือน ม.ค. - มิ.ย. 2565 มีมูลค่า 70,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งมากเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยส่งออกไปยังประเทศจีน มากที่สุด คิดเป็น 49% รองลงมาได้แก่ มาเลเซีย 10% สหรัฐอเมริกา 7% ญี่ปุ่น 6% เกาหลีใต้ 4% และอื่น ๆ 25%
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้รับทราบความก้าวหน้า 1) ผลการดําเนินงานโครงการชะลอขายยางของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง เพื่อชะลอปริมาณผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาด ลดความผันผวนของราคายาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง มีสภาพคล่องทางการเงินในระหว่างรอขายผลผลิต ซึ่งมีสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเข้าร่วมโครงการ ฯ 207 แห่ง จากการดําเนินงานโครงการฯ ดังกล่าว ในปีงบประมาณ 2565 เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวสวนยางโดยสถาบันเกษตรกรที่ชะลอการขายยางในช่วงราคายางตกต่ํา และรอจําหน่ายยางเมื่อราคาสูงขึ้น มีส่วนต่างราคาเฉลี่ยในปี 2565 เป็น 3.37 บาท/กิโลกรัม มูลค่า 87.98 ล้านบาท มีเงินทุนหมุนเวียนสําหรับกิจกรรมการรวบรวมยางจากเกษตรกร ช่วยเสริมสภาพคล่องทางด้านการเงินให้เกษตรกรชาวสวนยางที่เป็นสมาชิกของสถาบันเกษตรกร ช่วยลดมลภาวะจากกลิ่นของยางก้อนถ้วยเปียก ทําให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีให้กับอาชีพการทําสวนยาง ตลอดจนส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพัฒนาสถานะเป็นนิติบุคคล
2) ความก้าวหน้าการดําเนินงานโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง และผลการดําเนินงานโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง จากการดําเนินการทางตลาดของ กยท. ได้ดําเนินการค้ําราคา โดยการบริหารการผลิตให้ตรงกับความต้องการตลาด เข้าแทรกแซงสร้างราคาในตลาดประมูลยางแผ่นดิบและยางแผ่นรมควัน เข้าประมูลในตลาดล่วงหน้ายางแผ่นรมควัน (เข้าค้ําราคาล่วงหน้า) น้ํายางสดเจรจาต่อรอง ราคาประกาศ กยท. ค้ําตลาด น้ํายางสดเข้าซื้อเพื่อค้ําราคาตลาด เพื่อสร้างจิตวิทยาขาบวกต่อตลาด ข้อมูล กยท.เข้าซื้อน้ํายางสด ณ วันที่ 22 มิ.ย.-14 ก.ค. 2565 รวม 5,239,980 กิโลกรัม เนื้อยางแห้ง 1,720,921.68 กิโลกรัม เป็นเงิน 91,037,470 บาท เฉลี่ยซื้อกิโลกรัมละ 52.90 บาท สร้างเสถียรภาพราคาน้ํายางจากที่ทุกบริษัทปลายน้ําตั้งราคาจะซื้อน้ํายางสด กิโลกรัมละ 45 บาท (ในเดือน มิ.ย.65) ตรึงราคาได้และกลับมาเพิ่มจากที่ราคาน้ํายางลง 49 บาท มาเป็น 51-52 บาท ในช่วงปลายเดือน มิ.ย.-ก.ค.65 รวม 24 วัน ถ้าเทียบปริมาณน้ํายางสดทั้งประเทศ วันละประมาณ 30,000,000 กิโลกรัม (น้ํายางสด) 10,000,000 กิโลกรัม (เนื้อยางแห้ง) จะสร้างราคาเพิ่ม 3-5 บาท/กิโลกรัม (จํานวน 24 วัน ) เป็นเงิน 720 ล้านบาท
สําหรับการประชุมคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายาง ครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายกุลเดช พัวพัฒนกุล ประธานบอร์ดกยท. นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่ากยท. นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการตลาด
นายประพันธ์ บุณยเกียรติ อดีตประธานบอร์ดกยท. ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าและการลงทุน นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายณฐกร สุวรรณธาดา คณะทํางานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอาซีซัน แกสมาน ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยจีน นายสวัสดิ์ ลาดปาละ ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางภาคเหนือ นายกรกฎ กิตติพล จากสมาคมยางพารา ผู้แทนสมาคมน้ํายางข้นไทย นายสุนทร รักษ์รงค์ กก.บอร์ดกยท. ทูตเกษตรประจําสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม. | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” เผยครึ่งปีแรก ไทยยืนเบอร์ 1 แชมป์โลกส่งออกยาง ครองสัดส่วนตลาดจีน 49% คกก.รักษาเสถียรภาพราคายางกระทรวงเกษตรฯ ออก 6 มาตรการบุกตลาดเชิงรุก
วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565
“อลงกรณ์” เผยครึ่งปีแรก ไทยยืนเบอร์ 1 แชมป์โลกส่งออกยาง ครองสัดส่วนตลาดจีน 49% คกก.รักษาเสถียรภาพราคายางกระทรวงเกษตรฯ ออก 6 มาตรการบุกตลาดเชิงรุก
“อลงกรณ์” เผยครึ่งปีแรก ไทยยืนเบอร์ 1 แชมป์โลกส่งออกยาง ครองสัดส่วนตลาดจีน 49% คกก.รักษาเสถียรภาพราคายางกระทรวงเกษตรฯ ออก 6 มาตรการบุกตลาดเชิงรุก พร้อมจัดตั้งแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทย ผนึกพลังทุกภาคส่วนเพิ่มศักยภาพขีดความสามารถในการแข่งขันของไทย
นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายางของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยวันนี้ ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 4/2565 ณ ห้องประชุมรัษฎา อาคาร 2 ชั้น 2 การยางแห่งประเทศไทย และผ่านระบบการประชุมออนไลน์ Zoom Cloud Meeting โดยกล่าวว่า ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะตลาดยาง รวมทั้งมุมมองและข้อเสนอแนะจากสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรของไทยทุกภูมิภาคทั่วโลก และรายงานของการยางแห่งประเทศไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ตลา และการส่งออกครึ่งปี 2565 ยังครองตําแหน่งประเทศผู้ส่งออกยางอันดับ 1 ของโลกด้วยปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติ และผลิตภัณฑ์ยาง 2,190,065 ตัน โดยเฉพาะจีนนําเข้ายางไทยเป็นอันดับหนึ่งครองมาร์เก็ตแชร์ถึง 49% รวมทั้งรายงานความก้าวหน้าของมาตรการรักษาเสถียรภาพราคายาง โดยกยท. เพื่อประกอบการพิจารณากําหนดมาตรการเตรียมความพร้อมและสนับสนุนการแก้ไขปัญหาความผันผวนของราคายาง ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิดและสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังยืดเยื้อส่งผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบต่อต้นทุนการผลิต ระบบโลจิสติกส์ สถานการณ์เงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยและภาวะตลาด ทําให้ราคาผันผวน จําเป็นต้องเพิ่มกลไก และมาตรการทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อสร้างโอกาสในวิกฤติโดยเน้นการบูรณาการทํางานจากหลายภาคส่วนร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคเกษตรกร สถาบันเกษตรกรภายใต้ 5 ยุทธศาสตร์ปฏิรูปภาคเกษตรของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ตลาดนําการผลิต ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 ยุทธศาสตร์ทํางานเชิงรุกบูรณาการทุกภาคส่วน ยุทธศาสตร์เกษตรปลอดภัยเกษตรมั่นคงเกษตรยั่งยืน (3 S :Safety Security Sustanability) และยุทธศาสตร์เกษตรกรรมยั่งยืนบนฐานศาสตร์พระราชาเป็นกรอบการกําหนดมาตรการและการบริหารเพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของยางไทย
ที่ประชุมจึงมีมติเห็นชอบในหลักการ ให้มีการจัดตั้งแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทยเป็นองค์กรความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับยางพารา ตั้งแต่ต้นน้ําถึงปลายน้ํา ด้วยแนวทางความเป็นหุ้นส่วนระหว่างกัน (Partnership principal) เป็นการผนึกพลังให้แข็งแกร่งในฐานะประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกยางอันดับหนึ่งของโลกเป็นองค์กรในลักษณะเดียวกับแพลตฟอร์มเครือข่ายความร่วมมือ FKII ของญี่ปุ่นซึ่งมีกว่า 4,200 องค์กรเป็นสมาชิก และมอบหมายให้การยางแห่งประเทศไทยประสานกับสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรไทยในญี่ปุ่น เพื่อจัดทําโครงสร้างและระบบของแพลตฟอร์มเครือข่ายยางไทย เสนอในการประชุมคราวหน้า และจากการเสนอรายงานและข้อเสนอแนะของทูตเกษตรทุกภูมิภาคทั่วโลกทําให้เห็นถึงช่องว่างตลาดใหม่ๆ และนโยบายใหม่ของประเทศคู่ค้า จึงให้เพิ่มมาตรการใหม่อีก 6 มาตรการเชิงรุก ได้แก่
1. มาตรการสื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกเช่นการผลิตสื่อดิจิทอลเผยแพร่ในตลาดต่างประเทศ
2. มาตรการตลาดเชิงรุก เน้นความต้องการผลิตภัณฑ์ยางในรายตัวสินค้าและในรายประเทศคู่ค้า (product based &country based) เช่น ความต้องการยางจักรยานและยางรถบัสเพิ่มขึ้นในประเทศกลุ่มสหภาพยุโรป และผลิตภัณฑ์ยางที่อียูแบนสินค้าจากรัสเซีย หรือผลิตภัณฑ์ยางที่รัสเซียระงับการนําเข้าจากอียู ทําให้เกิดช่องว่างที่ไทยสามารถส่งออกไปทดแทนได้
3. มาตรการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันเร่งดําเนินการก่อนประเทศคู่แข่ง โดยใช้แนวทางเกษตรกรรมยั่งยืน สวนยางยั่งยืนและระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ตอบโจทย์เทรนท์ของตลาด เช่น ประเด็นสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) FSCและDeforestation เป็นต้น
4. มาตรการระยะสั้นรายไตรมาส เพื่อการบริหารจัดการตามปฏิทินฤดูการผลิตประจําปี โดยมอบกยท. ภาคเอกชน และภาคเกษตรกรหารือกันเพื่อกําหนดมาตรการร่วมกัน
5. มาตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ยางมูลค่าสูงเน้นการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม และผลิตภัณฑ์ยางเพิ่มรายได้ชาวสวนยาง สถาบันยาง และผู้ประกอบการ โดยให้กยท.ประสานกับศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (ศูนย์ AIC) ซึ่งมีผลงานการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ยางจํานวนมาก เช่น วัสดุภัณฑ์ก่อสร้างบ้านและอาคาร ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์ด้านคมนาคมขนส่ง
6. มาตรการเชิงกลไกการตลาด เช่น การแทรกแซงตลาด ซึ่งกยท.ได้ดําเนินการโครงการรักษาเสถียรภาพราคายางโดยเข้าแทรกแซงตลาดเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาที่ผ่านมา จึงควรกําหนดมาตรการเพิ่มเติมเชิงกลไกตลาด เช่น การบริหารซัพพลายและดีมานด์ กลไกตลาดซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบจริง และระบบการประมูลยางออนไลน์ เป็นระบบที่เปิดกว้างเพิ่มผู้ซื้อทั้งลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ เพื่อแก้ปัญหาการกําหนดราคาโดยผู้ซื้อน้อยรายหรือการฮั้วหรือการผูกขาด
นอกจากนี้ ยังให้จัดฟอรั่มอัพเดทสถานการณ์ตลาดยางโลกทุก 2 เดือน โดยกยท.และสํานักงานเกษตรต่างประเทศของกระทรวงเกษตรฯ ไทย เพื่อให้เกษตรกรและผู้ประกอบการได้ทราบข้อมูลรอบด้านที่ทันโลกทันเหตุการณ์ด้วยระบบออนไลน์คู่ขนานกับการประชุมของคณะกรรมการชุดนี้ และยังมอบหมายให้สํานักงานที่ปรึกษาการเกษตร ณ กรุงบรัสเซลส์ ประสานกับกยท. สถาบันชาวสวนยางและภาคเอกชนไทยในการขับเคลื่อนรับมือการเคลื่อนไหวของอียู ในประเด็น Deforestationรวมทั้ง มอบหมายกยท.ให้รวบรวมข้อมูลของสภาการยางแห่งมาเลเซีย (MRC) และนโยบายการวิจัยยางของมาเลเซียส่งให้กับกรรมการทุกคนเพื่อศึกษาเปรียบเทียบและนําเสนอในการประชุมครั้งต่อไป
ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจ ตลาดยางพารา ในประเทศคู่ค้าที่สําคัญโดยมุมมองทูตเกษตร ประจําสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศในแต่ละภูมิภาคทั่วโลก โดยทูตเกษตรจากสหภาพยุโรป (สํานักงานบรัสเซลส์) อิตาลี (สํานักงานกรุงโรม) สหรัฐอเมริกาและอเมริกาใต้ (สํานักงานกรุงวอชิงตัน ดี.ซี.และลอสแองเจลิส) ออสเตรเลีย รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น อาเซียน (สํานักงานกรุงจาการ์ต้า) ซึ่งจากรายงานสถานการณ์การผลิต การค้า และการแข่งขันของตลาดยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางทั่วโลก ระหว่างเดือน ม.ค. - มิ.ย. ปี 2565 จีนมีมูลค่าการนําเข้ายางธรรมชาติ และยางสังเคราะห์จากไทย มากเป็นอันดับหนึ่งซึ่งมีปริมาณการนําเข้ายางพาราจากไทย จํานวน 1,426,305 ตัน เพิ่มขึ้น 5.37 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา จากการวิเคราะห์สถานการณ์ เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี มีการกําหนดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งภาคการเงินและการคลัง มีนโยบายส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้าช่วยหนุนการฟื้นตัวของการผลิตและจําหน่ายรถยนต์ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในจีนอยู่ในทิศทางที่ดี วิสาหกิจต่างเร่งฟื้นฟุการผลิต สต๊อกยางพาราธรรมชาติในแหล่งสําคัญอยู่ในระดับต่ํา ราคาน้ํามันดิบอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การใช้ยางพาราธรรมชาติทดแทนยางสังเคราะห์เพิ่มขึ้น อิตาลีนําเข้าสินค้ายางพาราและผลิตภัณฑ์จากไทยมากเป็นอันดับ 3 รองจาก เยอรมันและเนเธอแลนด์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 31,340 ล้านบาท ในขณะที่ทางสหภาพยุโรปกําลังเดินหน้ายุทธศาสตร์ EU Green Deal เน้นการส่งเสริมอุตสาหกรรมยางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น จึงเป็นความท้าทายที่ภาครัฐและภาคเอกชนไทยต้องทํางานร่วมกัน เพื่อเตรียมรับมือกับนโยบายและมาตรการ European Green Deal รวมทั้งร่างกฎหมาย Deforestation free product ของ EU ที่ห้ามจําหน่ายสินค้าที่มีความเสี่ยงต่อการทําลายป่า ทั้งสินค้าภายใน EU และสินค้านําเข้ามาจําหน่ายใน EU จะเริ่มบังคับใช้กับสินค้า 6 ประเภท (เนื้อวัว ถั่วเหลือง น้ํามันปาล์ม โกโก้ ไม้ กาแฟ) และมีแนวโน้มที่ยางพาราจะเข้าอยู่ในรายการสินค้าควบคุมในอนาคต
ทางด้านฝ่ายเศรษฐกิจยาง การยางแห่งประเทศไทย ได้รายงานคาดการณ์ปริมาณผลผลิตยางพารา ปี 2565 มีปริมาณ 4.799 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 0.88% และคาดการณ์ปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติปี 2565 มีปริมาณ 4.275 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 3.41% โดยมีมูลค่าการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ยาง ระหว่างเดือน ม.ค. - มิ.ย. 2565 มีมูลค่า 167,213 ล้านบาท และมีปริมาณการส่งออกยางธรรมชาติไปยังต่างประเทศ ระหว่างเดือน ม.ค. - มิ.ย. 2565 มีมูลค่า 70,502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งมากเป็นอันดับ 1 ของโลก โดยส่งออกไปยังประเทศจีน มากที่สุด คิดเป็น 49% รองลงมาได้แก่ มาเลเซีย 10% สหรัฐอเมริกา 7% ญี่ปุ่น 6% เกาหลีใต้ 4% และอื่น ๆ 25%
นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้รับทราบความก้าวหน้า 1) ผลการดําเนินงานโครงการชะลอขายยางของสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเพื่อรักษาเสถียรภาพราคายาง เพื่อชะลอปริมาณผลผลิตยางพาราออกสู่ตลาด ลดความผันผวนของราคายาง สถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง มีสภาพคล่องทางการเงินในระหว่างรอขายผลผลิต ซึ่งมีสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางเข้าร่วมโครงการ ฯ 207 แห่ง จากการดําเนินงานโครงการฯ ดังกล่าว ในปีงบประมาณ 2565 เกิดประโยชน์ต่อเกษตรกรชาวสวนยางโดยสถาบันเกษตรกรที่ชะลอการขายยางในช่วงราคายางตกต่ํา และรอจําหน่ายยางเมื่อราคาสูงขึ้น มีส่วนต่างราคาเฉลี่ยในปี 2565 เป็น 3.37 บาท/กิโลกรัม มูลค่า 87.98 ล้านบาท มีเงินทุนหมุนเวียนสําหรับกิจกรรมการรวบรวมยางจากเกษตรกร ช่วยเสริมสภาพคล่องทางด้านการเงินให้เกษตรกรชาวสวนยางที่เป็นสมาชิกของสถาบันเกษตรกร ช่วยลดมลภาวะจากกลิ่นของยางก้อนถ้วยเปียก ทําให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีให้กับอาชีพการทําสวนยาง ตลอดจนส่งเสริมให้กลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางพัฒนาสถานะเป็นนิติบุคคล
2) ความก้าวหน้าการดําเนินงานโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง และผลการดําเนินงานโครงการรักษาเสถียรภาพราคายาง จากการดําเนินการทางตลาดของ กยท. ได้ดําเนินการค้ําราคา โดยการบริหารการผลิตให้ตรงกับความต้องการตลาด เข้าแทรกแซงสร้างราคาในตลาดประมูลยางแผ่นดิบและยางแผ่นรมควัน เข้าประมูลในตลาดล่วงหน้ายางแผ่นรมควัน (เข้าค้ําราคาล่วงหน้า) น้ํายางสดเจรจาต่อรอง ราคาประกาศ กยท. ค้ําตลาด น้ํายางสดเข้าซื้อเพื่อค้ําราคาตลาด เพื่อสร้างจิตวิทยาขาบวกต่อตลาด ข้อมูล กยท.เข้าซื้อน้ํายางสด ณ วันที่ 22 มิ.ย.-14 ก.ค. 2565 รวม 5,239,980 กิโลกรัม เนื้อยางแห้ง 1,720,921.68 กิโลกรัม เป็นเงิน 91,037,470 บาท เฉลี่ยซื้อกิโลกรัมละ 52.90 บาท สร้างเสถียรภาพราคาน้ํายางจากที่ทุกบริษัทปลายน้ําตั้งราคาจะซื้อน้ํายางสด กิโลกรัมละ 45 บาท (ในเดือน มิ.ย.65) ตรึงราคาได้และกลับมาเพิ่มจากที่ราคาน้ํายางลง 49 บาท มาเป็น 51-52 บาท ในช่วงปลายเดือน มิ.ย.-ก.ค.65 รวม 24 วัน ถ้าเทียบปริมาณน้ํายางสดทั้งประเทศ วันละประมาณ 30,000,000 กิโลกรัม (น้ํายางสด) 10,000,000 กิโลกรัม (เนื้อยางแห้ง) จะสร้างราคาเพิ่ม 3-5 บาท/กิโลกรัม (จํานวน 24 วัน ) เป็นเงิน 720 ล้านบาท
สําหรับการประชุมคณะกรรมการติดตามและเสนอมาตรการแก้ไขปัญหาราคายางและรักษาเสถียรภาพราคายาง ครั้งที่ 4/2565 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายกุลเดช พัวพัฒนกุล ประธานบอร์ดกยท. นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้ว่ากยท. นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ เลขานุการรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการตลาด
นายประพันธ์ บุณยเกียรติ อดีตประธานบอร์ดกยท. ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการค้าและการลงทุน นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายณฐกร สุวรรณธาดา คณะทํางานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายอาซีซัน แกสมาน ผู้อํานวยการสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นายไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยจีน นายสวัสดิ์ ลาดปาละ ประธานเครือข่ายสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางภาคเหนือ นายกรกฎ กิตติพล จากสมาคมยางพารา ผู้แทนสมาคมน้ํายางข้นไทย นายสุนทร รักษ์รงค์ กก.บอร์ดกยท. ทูตเกษตรประจําสํานักงานที่ปรึกษาการเกษตรต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการประชุม. | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57952 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ให้การต้อนรับคณะเยี่ยมชมดูงานจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย | วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2565
รฟม. ให้การต้อนรับคณะเยี่ยมชมดูงานจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ในโอกาสเยี่ยมชมศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ รฟม.
นางสาวจิรฐา วัฒนประดิษฐ์ ผู้อํานวยการสํานักสื่อสารองค์กร เป็นผู้แทนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน
แห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ให้การต้อนรับนายพิสุทธิ์ จียาศักดิ์ นักบริหาร 13 ประจําผู้อํานวยการ และคณะเยี่ยมชม ดูงานจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย เนื่องในโอกาสเยี่ยมชมและศึกษาดูงานศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ รฟม. ซึ่งได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการโดดเด่น 3 ปีซ้อน ในปี พ.ศ. 2562 - 2564
ในโอกาสนี้ รฟม. ได้นําเสนอข้อมูลภาพรวมการดําเนินงานของศูนย์ฯ พร้อมทั้งได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เช่น การบริหารจัดการศูนย์และแนวทางปฏิบัติด้านการพัฒนาศูนย์ตามเกณฑ์ศูนย์ข้อมูลข่าวสารโดดเด่น เป็นต้น เพื่อเป็นประโยชน์ในการนําไปปรับใช้หรือเป็นแนวทางในการพัฒนาการดําเนินงานศูนย์ข้อมูลข่าวสารของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนต่อไป
สําหรับศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ รฟม. ได้ให้บริการข้อมูลข่าวสารของราชการตามพระราชบัญญัติ ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 โดยให้บริการประชาชนตามหลักการ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” ทั้งนี้ประชาชนสามารถติดต่อศูนย์ข้อมูลข่าวสารได้ที่ศูนย์ราชการสะดวก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย อาคาร 1 ชั้น 1 เลขที่ 175 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร หรือเว็บไซต์ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ http://www.oic.go.th/infocenter6/603/ หรือช่องทางออนไลน์ที่ Line@mrtacontactcenter และ Call Center 0 2716 4044 ในวันและเวลาราชการ
“30 ปี รฟม. เชื่อมต่อเส้นทางสู่ความยั่งยืน Completing Connection, Mission for All” | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ให้การต้อนรับคณะเยี่ยมชมดูงานจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย
วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2565
รฟม. ให้การต้อนรับคณะเยี่ยมชมดูงานจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย
ในโอกาสเยี่ยมชมศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ รฟม.
นางสาวจิรฐา วัฒนประดิษฐ์ ผู้อํานวยการสํานักสื่อสารองค์กร เป็นผู้แทนการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน
แห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ให้การต้อนรับนายพิสุทธิ์ จียาศักดิ์ นักบริหาร 13 ประจําผู้อํานวยการ และคณะเยี่ยมชม ดูงานจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย เนื่องในโอกาสเยี่ยมชมและศึกษาดูงานศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ รฟม. ซึ่งได้รับรางวัลประกาศเกียรติคุณศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการโดดเด่น 3 ปีซ้อน ในปี พ.ศ. 2562 - 2564
ในโอกาสนี้ รฟม. ได้นําเสนอข้อมูลภาพรวมการดําเนินงานของศูนย์ฯ พร้อมทั้งได้ร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงาน เช่น การบริหารจัดการศูนย์และแนวทางปฏิบัติด้านการพัฒนาศูนย์ตามเกณฑ์ศูนย์ข้อมูลข่าวสารโดดเด่น เป็นต้น เพื่อเป็นประโยชน์ในการนําไปปรับใช้หรือเป็นแนวทางในการพัฒนาการดําเนินงานศูนย์ข้อมูลข่าวสารของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนต่อไป
สําหรับศูนย์ข้อมูลข่าวสารของ รฟม. ได้ให้บริการข้อมูลข่าวสารของราชการตามพระราชบัญญัติ ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 โดยให้บริการประชาชนตามหลักการ “เปิดเผยเป็นหลัก ปกปิดเป็นข้อยกเว้น” ทั้งนี้ประชาชนสามารถติดต่อศูนย์ข้อมูลข่าวสารได้ที่ศูนย์ราชการสะดวก การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย อาคาร 1 ชั้น 1 เลขที่ 175 ถนนพระราม 9 แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร หรือเว็บไซต์ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ http://www.oic.go.th/infocenter6/603/ หรือช่องทางออนไลน์ที่ Line@mrtacontactcenter และ Call Center 0 2716 4044 ในวันและเวลาราชการ
“30 ปี รฟม. เชื่อมต่อเส้นทางสู่ความยั่งยืน Completing Connection, Mission for All” | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54020 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ลงนามจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ 5 หมื่นคอร์สการรักษา ช่วยผู้ป่วยโควิดเข้าถึงยาชนิดใหม่ | วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน 2564
สธ.ลงนามจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ 5 หมื่นคอร์สการรักษา ช่วยผู้ป่วยโควิดเข้าถึงยาชนิดใหม่
กระทรวงสาธารณสุข ลงนามจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ 5 หมื่นคอร์สการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด 19 เข้าถึงยาใหม่ชนิดรับประทาน เน้นกลุ่มที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางและมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง
กระทรวงสาธารณสุข ลงนามจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์5 หมื่นคอร์สการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด 19 เข้าถึงยาใหม่ชนิดรับประทาน เน้นกลุ่มที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางและมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง คือ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจําตัว พบประสิทธิผลช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตหรือการเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้ ร้อยละ 50 อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียน อย.ไทย
วันนี้ (25 พฤศจิกายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีลงนามสัญญาการจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ สําหรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศไทย ระหว่างรัฐบาลไทย โดย นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และ ดร.แมรี เสรฐภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จํากัด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคโควิด19 เป็นโรคอุบัติใหม่ มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจํานวนมาก องค์การอนามัยโลกประกาศให้เป็นการระบาดใหญ่ ส่งผลกระทบต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจทั่วโลก สําหรับประเทศไทยมีมาตรการควบคุมโรคโควิด 19 คือ 1.ป้องกันการติดเชื้อ โดยสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง 2.เสริมสร้างภูมิต้านทานด้วยการให้วัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด และ 3.รักษาผู้ติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพตามความรุนแรงของโรค โดยใช้สารสกัดจากฟ้าทะลายโจรในผู้ที่ไม่มีอาการ และใช้ยาฟาร์วิพิราเวียร์ในผู้ที่มีอาการแต่ไม่มีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง กรณีที่ผู้ติดเชื้อที่มีอาการและมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง ยาโมลนูพิราเวียร์จะเป็นประโยชน์สําหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ดังนั้น ยารักษาโควิด 19 จึงมีความสําคัญและจําเป็น นโยบายการจัดหาจึงเน้นการเข้าถึงยาที่มีประสิทธิผลได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยข้อมูลทางวิชาการหรือผลการศึกษาวิจัยที่มีคุณภาพเพียงพอในการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อพิจารณาเลือกและจัดหายาที่เหมาะสมมาใช้ ซึ่งยาโมลนูพิราเวียร์มีประสิทธิผลลดจํานวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและเสียชีวิตลงได้อย่างมีนัยสําคัญ
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ยาต้านไวรัสเพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด19 ได้แก่ ยาฟาวิพิราเวียร์ ยาเรมเดซิเวียร์ ส่วนยาโมลนูพิราเวียร์ที่จะจัดหาเข้ามานั้น มีผลการศึกษาระยะที่ 3 จากอาสาสมัครที่เข้าร่วมในโครงการจํานวน 762 รายที่สหรัฐอเมริกา โดยติดตามหลังให้ยาเป็นเวลา 29 วัน ผลการศึกษาทางคลินิกในเบื้องต้น (interim result) พบว่ากลุ่มที่ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์เข้ารักษาที่โรงพยาบาล 28 ราย คิดเป็นร้อยละ 7 ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนกลุ่มที่ได้รับยาหลอกเข้ารักษาที่โรงพยาบาล 53 ราย คิดเป็นร้อยละ 14 มีผู้เสียชีวิต 8 ราย สรุปได้ว่ายาโมลนูพิราเวียร์ลดความเสี่ยงเสียชีวิตหรือรักษาตัวในโรงพยาบาลในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคน้อยถึงปานกลางได้ร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ดังนั้น เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด 19 ในประเทศไทยเข้าถึงยาชนิดใหม่ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์พิจารณาแล้วว่า จําเป็นต้องจัดหาและจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ โดยกรมการแพทย์รับผิดชอบสัญญาการจัดหาและจัดซื้อจํานวน 5 หมื่นคอร์สการรักษา เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตหรือการรักษาตัวในโรงพยาบาลต่อไป
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ทั่วโลก ทําให้มีการศึกษาวิจัยโดยค้นพบว่า ยาโมลนูพิราเวียร์สามารถรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการเล็กน้อยหรือปานกลางที่มีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง เช่น ภาวะอ้วน อายุมากกว่า 60 ปี เป็นเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) รวมถึงสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย สําหรับแผนการจัดหายาดําเนินการโดยประมาณการผู้ติดเชื้อประมาณ1 หมื่นรายต่อวัน คาดว่ามีผู้ติดเชื้อที่มีข้อบ่งชี้ในการใช้ยา 1 พันรายต่อวัน จึงพิจารณาจัดหายาโมลนูพิราเวียร์5 หมื่นคอร์สการรักษา ซึ่งยาขนาดบรรจุภัณฑ์ 1 หน่วย ประกอบด้วยยาขนาด 200 มิลลิกรัมต่อแคปซูล จํานวน 40 แคปซูลรับประทานครั้งละ 4 แคปซูล (800 มิลลิกรัม) วันละ 2 ครั้ง ห่างกันทุก 12 ชั่วโมง เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 5 วัน
สําหรับการพิจารณาร่างสัญญาและดําเนินการการจัดหายาโมลนูพิราเวียร์ มีเงื่อนไขสําคัญ ได้แก่1.ได้รับอนุมัติกรอบวงเงินจํานวน 500 ล้านบาทจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ในการจัดซื้อยา 5 หมื่นคอร์สการรักษา 2.สามารถนํายาเข้ามาในประเทศไทย เมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.ไทยแล้วเท่านั้น 3.มีการเจรจาต่อรองราคายาโดยให้รวมภาษีและค่าขนส่ง 4.จําเป็นต้องดําเนินการสัญญาภายใต้มาตรฐานสัญญา (ภาษาอังกฤษ) ที่บริษัท เมอร์ค แอนด์ คัมปานี อินคอร์ปอเรท ซึ่งได้ทําสัญญากับหลายประเทศ โดยได้ส่งร่างสัญญาดังกล่าวให้สํานักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาแล้ว และ 5.จัดซื้อยาเป็นไปตามเงื่อนไขการซื้อยาภายใต้เงื่อนไขการรักษาโรคโควิด 19 ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐกําหนด
ดร.แมรี เสรฐภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่าเอ็มเอสดี รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทํางานร่วมกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้กับวิกฤตโรคระบาด การลงนามในสัญญาข้อตกลงนี้ เป็นตัวอย่างของการทํางานร่วมกันระหว่างภาครัฐและบริษัทผู้ค้นคว้าวิจัยและผลิตยานวัตกรรม ในการร่วมกันจัดการกับวิกฤตโรคระบาดในประเทศไทย
ดร.แมรีกล่าวเพิ่มเติมว่าเอ็มเอสดี ได้ทํางานร่วมกันกับกรมการแพทย์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทําให้ประเทศไทยได้เข้าร่วมในโครงการวิจัยทางคลินิก “MOVe-AHEAD Study” ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาวิจัยในระยะที่ 3 ร่วมกับอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยมี 5 สถาบันในประเทศไทย ซึ่งโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์เข้าร่วมการศึกษาดังกล่าวด้วย
****************************** 25 พฤศจิกายน 2564 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ลงนามจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ 5 หมื่นคอร์สการรักษา ช่วยผู้ป่วยโควิดเข้าถึงยาชนิดใหม่
วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤศจิกายน 2564
สธ.ลงนามจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ 5 หมื่นคอร์สการรักษา ช่วยผู้ป่วยโควิดเข้าถึงยาชนิดใหม่
กระทรวงสาธารณสุข ลงนามจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ 5 หมื่นคอร์สการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด 19 เข้าถึงยาใหม่ชนิดรับประทาน เน้นกลุ่มที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางและมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง
กระทรวงสาธารณสุข ลงนามจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์5 หมื่นคอร์สการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด 19 เข้าถึงยาใหม่ชนิดรับประทาน เน้นกลุ่มที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางและมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง คือ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจําตัว พบประสิทธิผลช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตหรือการเข้ารักษาในโรงพยาบาลได้ ร้อยละ 50 อยู่ระหว่างการขึ้นทะเบียน อย.ไทย
วันนี้ (25 พฤศจิกายน 2564) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิธีลงนามสัญญาการจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ สําหรับผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในประเทศไทย ระหว่างรัฐบาลไทย โดย นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ และ ดร.แมรี เสรฐภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จํากัด
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรคโควิด19 เป็นโรคอุบัติใหม่ มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจํานวนมาก องค์การอนามัยโลกประกาศให้เป็นการระบาดใหญ่ ส่งผลกระทบต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจทั่วโลก สําหรับประเทศไทยมีมาตรการควบคุมโรคโควิด 19 คือ 1.ป้องกันการติดเชื้อ โดยสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง 2.เสริมสร้างภูมิต้านทานด้วยการให้วัคซีนครอบคลุมประชากรมากที่สุด และ 3.รักษาผู้ติดเชื้ออย่างมีประสิทธิภาพตามความรุนแรงของโรค โดยใช้สารสกัดจากฟ้าทะลายโจรในผู้ที่ไม่มีอาการ และใช้ยาฟาร์วิพิราเวียร์ในผู้ที่มีอาการแต่ไม่มีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง กรณีที่ผู้ติดเชื้อที่มีอาการและมีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง ยาโมลนูพิราเวียร์จะเป็นประโยชน์สําหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ดังนั้น ยารักษาโควิด 19 จึงมีความสําคัญและจําเป็น นโยบายการจัดหาจึงเน้นการเข้าถึงยาที่มีประสิทธิผลได้อย่างรวดเร็ว โดยอาศัยข้อมูลทางวิชาการหรือผลการศึกษาวิจัยที่มีคุณภาพเพียงพอในการสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบาย เพื่อพิจารณาเลือกและจัดหายาที่เหมาะสมมาใช้ ซึ่งยาโมลนูพิราเวียร์มีประสิทธิผลลดจํานวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลและเสียชีวิตลงได้อย่างมีนัยสําคัญ
นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ยาต้านไวรัสเพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด19 ได้แก่ ยาฟาวิพิราเวียร์ ยาเรมเดซิเวียร์ ส่วนยาโมลนูพิราเวียร์ที่จะจัดหาเข้ามานั้น มีผลการศึกษาระยะที่ 3 จากอาสาสมัครที่เข้าร่วมในโครงการจํานวน 762 รายที่สหรัฐอเมริกา โดยติดตามหลังให้ยาเป็นเวลา 29 วัน ผลการศึกษาทางคลินิกในเบื้องต้น (interim result) พบว่ากลุ่มที่ได้รับยาโมลนูพิราเวียร์เข้ารักษาที่โรงพยาบาล 28 ราย คิดเป็นร้อยละ 7 ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนกลุ่มที่ได้รับยาหลอกเข้ารักษาที่โรงพยาบาล 53 ราย คิดเป็นร้อยละ 14 มีผู้เสียชีวิต 8 ราย สรุปได้ว่ายาโมลนูพิราเวียร์ลดความเสี่ยงเสียชีวิตหรือรักษาตัวในโรงพยาบาลในกลุ่มผู้ป่วยที่มีความรุนแรงของโรคน้อยถึงปานกลางได้ร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก ดังนั้น เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด 19 ในประเทศไทยเข้าถึงยาชนิดใหม่ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมการแพทย์พิจารณาแล้วว่า จําเป็นต้องจัดหาและจัดซื้อยาโมลนูพิราเวียร์ โดยกรมการแพทย์รับผิดชอบสัญญาการจัดหาและจัดซื้อจํานวน 5 หมื่นคอร์สการรักษา เพื่อช่วยลดความเสี่ยงการเสียชีวิตหรือการรักษาตัวในโรงพยาบาลต่อไป
นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า จากการแพร่ระบาดของโรคโควิด19 ทั่วโลก ทําให้มีการศึกษาวิจัยโดยค้นพบว่า ยาโมลนูพิราเวียร์สามารถรักษาผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการเล็กน้อยหรือปานกลางที่มีความเสี่ยงเกิดอาการรุนแรง เช่น ภาวะอ้วน อายุมากกว่า 60 ปี เป็นเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น ปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนกับองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (US FDA) รวมถึงสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย สําหรับแผนการจัดหายาดําเนินการโดยประมาณการผู้ติดเชื้อประมาณ1 หมื่นรายต่อวัน คาดว่ามีผู้ติดเชื้อที่มีข้อบ่งชี้ในการใช้ยา 1 พันรายต่อวัน จึงพิจารณาจัดหายาโมลนูพิราเวียร์5 หมื่นคอร์สการรักษา ซึ่งยาขนาดบรรจุภัณฑ์ 1 หน่วย ประกอบด้วยยาขนาด 200 มิลลิกรัมต่อแคปซูล จํานวน 40 แคปซูลรับประทานครั้งละ 4 แคปซูล (800 มิลลิกรัม) วันละ 2 ครั้ง ห่างกันทุก 12 ชั่วโมง เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 5 วัน
สําหรับการพิจารณาร่างสัญญาและดําเนินการการจัดหายาโมลนูพิราเวียร์ มีเงื่อนไขสําคัญ ได้แก่1.ได้รับอนุมัติกรอบวงเงินจํานวน 500 ล้านบาทจากคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2564 ในการจัดซื้อยา 5 หมื่นคอร์สการรักษา 2.สามารถนํายาเข้ามาในประเทศไทย เมื่อได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย.ไทยแล้วเท่านั้น 3.มีการเจรจาต่อรองราคายาโดยให้รวมภาษีและค่าขนส่ง 4.จําเป็นต้องดําเนินการสัญญาภายใต้มาตรฐานสัญญา (ภาษาอังกฤษ) ที่บริษัท เมอร์ค แอนด์ คัมปานี อินคอร์ปอเรท ซึ่งได้ทําสัญญากับหลายประเทศ โดยได้ส่งร่างสัญญาดังกล่าวให้สํานักงานอัยการสูงสุดตรวจพิจารณาแล้ว และ 5.จัดซื้อยาเป็นไปตามเงื่อนไขการซื้อยาภายใต้เงื่อนไขการรักษาโรคโควิด 19 ตามที่คณะกรรมการวินิจฉัยปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐกําหนด
ดร.แมรี เสรฐภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอ็มเอสดี (ประเทศไทย) จํากัด กล่าวว่าเอ็มเอสดี รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทํางานร่วมกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในการต่อสู้กับวิกฤตโรคระบาด การลงนามในสัญญาข้อตกลงนี้ เป็นตัวอย่างของการทํางานร่วมกันระหว่างภาครัฐและบริษัทผู้ค้นคว้าวิจัยและผลิตยานวัตกรรม ในการร่วมกันจัดการกับวิกฤตโรคระบาดในประเทศไทย
ดร.แมรีกล่าวเพิ่มเติมว่าเอ็มเอสดี ได้ทํางานร่วมกันกับกรมการแพทย์ และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ทําให้ประเทศไทยได้เข้าร่วมในโครงการวิจัยทางคลินิก “MOVe-AHEAD Study” ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาวิจัยในระยะที่ 3 ร่วมกับอีกหลายประเทศทั่วโลก โดยมี 5 สถาบันในประเทศไทย ซึ่งโรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์เข้าร่วมการศึกษาดังกล่าวด้วย
****************************** 25 พฤศจิกายน 2564 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48690 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เผยยอด 7 วัน ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศได้กว่า 10,000 ราย ที่ได้รับผลระทบจากโควิด-19 | วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2564
พม. เผยยอด 7 วัน ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศได้กว่า 10,000 ราย ที่ได้รับผลระทบจากโควิด-19
พม. เผยยอด 7 วัน ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศได้กว่า 10,000 ราย ที่ได้รับผลระทบจากโควิด-19
เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 64เวลา 13.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อประชาชนในวงกว้างทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น กระทรวง พม. จึงมีความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส ที่มีความเสี่ยงสูงที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบด้วยความรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ จึงมีการดําเนินการ จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบริหารภาวะวิกฤติโควิด-19 กระทรวง พม. เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านข้อมูล การช่วยเหลือ การสื่อสารสังคม การรายงานและติดตามผล โดยทํางานเชื่อมโยงกับศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 เพื่อประสานส่งต่อการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางจนสิ้นสุดกระบวนการ และจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบริหารภาวะวิกฤติโควิด- 19 ระดับจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 รับแจ้งเหตุและปัญหาความเดือดร้อน รวมทั้งประสานการช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. 64 ถึงวันที่ 3 ส.ค. 64 กระทรวง พม. ได้ดําเนินการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 และประสบปัญหาทางสังคมทั่วประเทศ รวมจํานวน 11,554 ราย แบ่งเป็นในพื้นที่ กทม. 1,253 ราย และส่วนภูมิภาค 10,301 ราย แบ่งเป็น 1. เด็กและเยาวชน 2,366 ราย 2. คนพิการ 2,521 ราย 3. ผู้สูงอายุ 1,995 ราย 4. ผู้ป่วยติดเตียงและป่วยเรื้อรัง 135 ราย 5. คนเร่ร่อนและคนไร้ที่พึ่ง 158 ราย 6. สตรีตั้งครรภ์ 24 ราย และ 7.ผู้ประสบปัญหาทางสังคมอื่นๆ 4,355 ราย โดยกระทรวง พม. ได้ให้การช่วยเหลือ ดังนี้ 1. กระบวนการสังคมสงเคราะห์ ได้แก่ 1.1) การให้คําปรึกษา 2,939 ราย 1.2) ประสานส่งกลับภูมิลําเนา 66 ราย 1.3) ประสานส่งต่อ 600 ราย 1.4) การมอบเครื่องอุปโภคและบริโภค 10,913 ชุด และ 1.6) การช่วยเหลือเป็นเงิน 6,005,568 บาท และ 2. ประสานกระบวนการสาธารณสุข ได้แก่ 2.1) การตรวจเชื้อ 170 ราย 2.2) การรักษา 655 ราย 2.3) ฉีดวัคซีน 2,039 ราย และ 2.4) จัดหาที่พักชั่วคราวและศูนย์พักคอย 562 ราย
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า หากประชาชนกลุ่มเปราะบางที่กําลังประสบปัญหาทางสังคม และได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 1) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร.1300 2) สายด่วนคนพิการ โทร. 1479 3) สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ และ 4) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พม. เผยยอด 7 วัน ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศได้กว่า 10,000 ราย ที่ได้รับผลระทบจากโควิด-19
วันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2564
พม. เผยยอด 7 วัน ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศได้กว่า 10,000 ราย ที่ได้รับผลระทบจากโควิด-19
พม. เผยยอด 7 วัน ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศได้กว่า 10,000 ราย ที่ได้รับผลระทบจากโควิด-19
เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 64เวลา 13.00 น. ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว ถนนกรุงเกษม กรุงเทพฯ นางพัชรี อาระยะกุล ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้ส่งผลกระทบทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อประชาชนในวงกว้างทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น กระทรวง พม. จึงมีความห่วงใยประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ได้แก่ เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ คนเร่ร่อน คนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส ที่มีความเสี่ยงสูงที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ทั้งนี้ เพื่อให้การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและประชาชนกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบด้วยความรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ จึงมีการดําเนินการ จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบริหารภาวะวิกฤติโควิด-19 กระทรวง พม. เพื่อเป็นศูนย์กลางด้านข้อมูล การช่วยเหลือ การสื่อสารสังคม การรายงานและติดตามผล โดยทํางานเชื่อมโยงกับศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 เพื่อประสานส่งต่อการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางจนสิ้นสุดกระบวนการ และจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการบริหารภาวะวิกฤติโควิด- 19 ระดับจังหวัดทั่วประเทศ โดยมีศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร. 1300 รับแจ้งเหตุและปัญหาความเดือดร้อน รวมทั้งประสานการช่วยเหลือไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
นางพัชรี กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค. 64 ถึงวันที่ 3 ส.ค. 64 กระทรวง พม. ได้ดําเนินการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางที่เป็นผู้ป่วยโควิด-19 และประสบปัญหาทางสังคมทั่วประเทศ รวมจํานวน 11,554 ราย แบ่งเป็นในพื้นที่ กทม. 1,253 ราย และส่วนภูมิภาค 10,301 ราย แบ่งเป็น 1. เด็กและเยาวชน 2,366 ราย 2. คนพิการ 2,521 ราย 3. ผู้สูงอายุ 1,995 ราย 4. ผู้ป่วยติดเตียงและป่วยเรื้อรัง 135 ราย 5. คนเร่ร่อนและคนไร้ที่พึ่ง 158 ราย 6. สตรีตั้งครรภ์ 24 ราย และ 7.ผู้ประสบปัญหาทางสังคมอื่นๆ 4,355 ราย โดยกระทรวง พม. ได้ให้การช่วยเหลือ ดังนี้ 1. กระบวนการสังคมสงเคราะห์ ได้แก่ 1.1) การให้คําปรึกษา 2,939 ราย 1.2) ประสานส่งกลับภูมิลําเนา 66 ราย 1.3) ประสานส่งต่อ 600 ราย 1.4) การมอบเครื่องอุปโภคและบริโภค 10,913 ชุด และ 1.6) การช่วยเหลือเป็นเงิน 6,005,568 บาท และ 2. ประสานกระบวนการสาธารณสุข ได้แก่ 2.1) การตรวจเชื้อ 170 ราย 2.2) การรักษา 655 ราย 2.3) ฉีดวัคซีน 2,039 ราย และ 2.4) จัดหาที่พักชั่วคราวและศูนย์พักคอย 562 ราย
นางพัชรี กล่าวเพิ่มเติมว่า หากประชาชนกลุ่มเปราะบางที่กําลังประสบปัญหาทางสังคม และได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบของโรคโควิด-19 สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ที่ 1) ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. โทร.1300 2) สายด่วนคนพิการ โทร. 1479 3) สํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดทั่วประเทศ และ 4) อาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44728 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK เตรียมออก Green Bond สนับสนุนโครงการพลังงานสะอาด สร้างอุตสาหกรรมใหม่มุ่งสู่อนาคตและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ | วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565
EXIM BANK เตรียมออก Green Bond สนับสนุนโครงการพลังงานสะอาด สร้างอุตสาหกรรมใหม่มุ่งสู่อนาคตและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์
รมว.คลัง รมช.คลัง และกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ให้การต้อนรับนายกฯ และ รมว.กลาโหม และคณะรัฐมนตรี พร้อมนําชมนิทรรศการ “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย สร้างโลกสะอาดด้วยพลังงานที่ยั่งยืน” ของ EXIM BANK
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ให้การต้อนรับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พร้อมนําชมนิทรรศการ “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย สร้างโลกสะอาดด้วยพลังงานที่ยั่งยืน” ของ EXIM BANK จากนั้น นําเสนอแนวทางการดําเนินงานของบริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จํากัด (AMITA) ในเครือบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) (EA) ลูกค้า EXIM BANK ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจรใหญ่ที่สุดในอาเซียน กําลังการผลิตขนาด 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA และกรรมการ AMITA ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565
ในโอกาสนี้ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK รายงานว่า พลังงานเป็นปัจจัยสําคัญที่มีผลกระทบกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงภาคธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ เนื่องจากเป็นต้นทุนและเป็นสิ่งสําคัญต่อการดําเนินชีวิตของประชาชน รัฐบาลจึงมุ่งเน้นสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) รวมทั้งสนับสนุนการผลิตและใช้รถยนต์ไฟฟ้า มุ่งให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ตามเป้าหมายของประชาคมโลก EXIM BANK ในฐานะธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย จึงได้ดําเนินภารกิจ “ซ่อม สร้าง เสริม และสานพลัง” กับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเปลี่ยนแรงกดดันของปัญหาและมาตรฐานใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นโอกาสทางธุรกิจ มุ่งสนับสนุนให้ภาคธุรกิจไทย รวมถึง SMEs หันมาพัฒนาและใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น กล่าวคือ ใช้พลังงานจากแหล่งที่สามารถผลิตหรือก่อกําเนิดพลังงานได้เองและหมุนเวียนกลับมาใช้ได้อีก เป็นพลังงานสะอาด ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ํา พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานชีวมวล พลังงานชีวภาพ เป็นต้น
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า การสนับสนุนโครงการลงทุนด้านพลังงานสะอาดของ EXIM BANK มีเป้าหมายเพื่อยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระยะยาว ทั้งด้านต้นทุนการผลิต การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิต การตอบสนองความต้องการผู้บริโภค และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก โดยสอดคล้องกับกฎ ระเบียบ และมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในระหว่างปรับตัวไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต EXIM BANK จึงเร่งขยายความร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนลูกค้าที่มีศักยภาพ เพื่อร่วมกันสร้างเศรษฐกิจ BCG ที่สอดรับการพัฒนาทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเมกะเทรนด์ในโลกยุค Next Normal โดย EXIM BANK มีโครงการระดมทุนผ่าน Green Bond เพื่อสนับสนุนธุรกิจสีเขียวหรือธุรกิจที่ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน วงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท อายุ 3-5 ปี ทั้งนี้ EXIM BANK อยู่ระหว่างจัดตั้งกรอบการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing Framework) รวมทั้งกําหนดอัตราดอกเบี้ยสําหรับ Green Bond ที่จะออกในช่วงเดือนกันยายน 2565
นับแต่เปิดดําเนินงานอย่างเป็นทางการในปี 2537 EXIM BANK ได้ขยายการสนับสนุนการค้าและการลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ โดยเริ่มต้นสนับสนุนโครงการพลังงานสะอาดจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ําใน สปป.ลาว ต่อมาได้ขยายการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาการใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์ เศษวัสดุการเกษตร ขยะเหลือทิ้ง ความร้อนใต้พิภพ และลม มาสร้างพลังงาน เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นและเมียนมา โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม โดย EXIM BANK มีความพร้อมในการเข้าไปเติมเต็มช่องว่างทางการเงิน โดยเฉพาะในระยะแรกของโครงการที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเป็นผู้ริเริ่มพัฒนา Ecosystem ตลาดคาร์บอน ด้วยสินเชื่อเพื่อลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา (Solar Orchestra) วงเงินกู้ 7 ปี ให้กู้ 100% ของเงินลงทุนเพื่อชําระผู้รับเหมาเมื่อติดตั้งเสร็จ อัตราดอกเบี้ยต่ําสุด 2.75% ต่อปี พร้อมสิทธิขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต และสิทธิยกเว้นภาษี 50% ของเงินลงทุนเป็นเวลา 3 ปีจากสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อช่วยกิจการประหยัดค่าไฟและแก้ปัญหาโลกร้อน โดยมี EXIM BANK ทําหน้าที่เชื่อมโยงผู้ซื้อกับผู้ขายและหน่วยงานกํากับดูแลเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร พร้อมทั้งร่วมเป็นสมาชิกก่อตั้งและกรรมการสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100 Thailand Club) เครือข่าย Thailand Carbon Neutral Network และ Carbon Markets Club
“นับเป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ EXIM BANK ได้ดําเนินบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย เชื่อมโยงการพัฒนาในมิติเศรษฐกิจกับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนโครงการลงทุนด้านพลังงานสะอาดจํานวนรวม 254 โครงการในไทย CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และญี่ปุ่น มูลค่าโครงการลงทุนรวม 370,000 ล้านบาท ลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า 100 ล้านตัน ทั้งนี้ เป็นผลจากความพร้อมของ EXIM BANK ในการรับความเสี่ยงมากกว่าธนาคารพาณิชย์ ให้กําเนิดอุตสาหกรรมใหม่ และสนับสนุนทุนไทยไปต่างแดน เพื่อซ่อม สร้าง เสริม และสานพลังการพัฒนาประเทศไทยและประชาคมโลกโดยรวม” ดร.รักษ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายส่งเสริมภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร EXIM BANK
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4110-4
EXIM Thailand Plans to Issue Green Bond to Support Clean Energy Projects, Build Industries of the Future and Reduce Carbon Emissions to Net Zero
Mr. Arkhom Termpittayapaisith, Minister of Finance; Mr. Santi Promphat, Deputy Minister of Finance; and Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand) welcomed General Prayut Chan-o-cha, Prime Minister, together with the Cabinet members to visit “Thailand Development Bank...Build A Clean World with Sustainable Energy” Exhibition organized by EXIM Thailand at the Santi Maitri Building, Government House, on March 29, 2022. On this occasion, a presentation on the business operation of Amita Technology (Thailand) Co., Ltd. (AMITA), a subsidiary of Energy Absolute Plc. (EA), which is EXIM Thailand’s customer and fully-integrated manufacturer of lithium-ion batteries and energy storage system with a production capacity of 1 gigawatt hour per year, the largest in ASEAN, to serve electric vehicles industry, was given by Mr. Somphote Ahunai, EA Chief Executive Officer, and Mr. Amorn Sapthaweekul, EA Deputy Chief Executive Officer and AMITA Director.
Dr. Rak Vorrakitpokatorn, EXIM Thailand President, reported that energy is a crucial factor to the prospects of all sectors, from households to businesses and organizations as it represents a cost element and plays a vital part in the way of living of people in general. In view of this, the government has given priority to building energy sustainability under the bio-circular-green (BCG) economy concept and promote production and use of electric vehicles (EV), with aspiration for Thailand to become the regional EV hub and meet the net zero carbon target of global community. EXIM Thailand, as Thailand Development Bank, has accordingly executed its mission to “reboot, restructure, rebalance and resynergize” in collaboration with the public and private sectors to translate pressures from emerging environmental issues and standards into business opportunities. The Bank has strived to support and encourage Thai business entities, including SMEs, to switch to development and use of renewable energy to a greater extent. Such energy, e.g. solar, hydro, wind, geothermal, biomass, biogas, etc., is renewable, reusable, clean and eco-friendly.
EXIM Thailand President said that the Bank’s support of clean energy projects aims to uplift Thai entrepreneurs’ competitiveness in the long run in terms of production costs, development of innovations and production technology, response to consumers’ demand, and dealing with global environmental issues. This is in line with international environmental rules, regulations and standards. However, as Thailand is in the process of adaptation toward development of industries of the future, EXIM Thailand has put efforts in expanding cooperation with the public and private sectors as well as customers with promising prospects with a view to building the BCG economy in alignment with development in economic, social and environmental dimensions alongside the megatrends in the Next Normal era. EXIM Thailand has planned to raise funds through issuance of a Green Bond to support green businesses or eco-friendly businesses on a sustainable basis with an issue size of up to 5,000 million baht and a tenor of 3-5 years. The Bank is in the process of working out the sustainable financing framework and the coupon rate for the Green Bond to be issued in September 2022.
Since its official commencement of operation in 1994, EXIM Thailand has consistently expanded its support of trade and investment both at home and overseas. Its first financing of clean energy business was for a hydropower plant project in Lao PDR. It has later supported Thai entrepreneurs’ development and use of energy from such renewable sources as solar, agricultural waste, leftover waste, geothermal and wind, through solar power plants in Japan and Myanmar, geothermal power plants in Japan, and wind power plants in Vietnam. EXIM Thailand is fully equipped to fill entrepreneurs’ financial gaps particularly in the initial period of the projects during which commercial banks cannot yet help them take risks. In addition, EXIM Thailand has pioneered in developing the ecosystem of the carbon market with the launch of Solar Orchestra Program to promote and support investment in installation of rooftop solar power generation systems, offering a loan 7-year loan tenor, a maximum credit line of 100% of investment cost for payment to the contractors upon completion of installation works, and lowest interest rate of 2.75% per annum in conjunction with the right to registration of carbon credit and tax exemption of 50% of investment cost for 3 years granted by Office of the Board of Investment (BOI) to help entrepreneurs save electricity cost and combat global warming. EXIM Thailand has performed as an intermediary linking buyers with suppliers and relevant regulators end-to-end. It has also participated as a founding member and member of RE100 Thailand Club in the Thailand Carbon Neutral Network and Carbon Markets Club.
“For over the past 2 decades, EXIM Thailand has carried out our role as Thailand Development Bank to integrate development in economic, social and environmental dimensions. We have financed altogether 254 clean energy projects in the CLMV (Cambodia, Lao PDR, Myanmar and Vietnam) and Japan, involving a total investment amount of 370 billion baht and helping reduce carbon emissions of more than 100 million tons. This has been attributable to the fact that EXIM Thailand is better positioned than commercial banks in taking risks from originating new industries and supporting Thai investment overseas in order to reboot, restructure, rebalance and resynergize development of Thailand and global community at large,” added Dr. Rak.
For further information, please contact Corporate Branding and Communication Department, EXIM Thailand
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4110-4 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-EXIM BANK เตรียมออก Green Bond สนับสนุนโครงการพลังงานสะอาด สร้างอุตสาหกรรมใหม่มุ่งสู่อนาคตและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์
วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565
EXIM BANK เตรียมออก Green Bond สนับสนุนโครงการพลังงานสะอาด สร้างอุตสาหกรรมใหม่มุ่งสู่อนาคตและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์
รมว.คลัง รมช.คลัง และกรรมการผู้จัดการ EXIM BANK ให้การต้อนรับนายกฯ และ รมว.กลาโหม และคณะรัฐมนตรี พร้อมนําชมนิทรรศการ “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย สร้างโลกสะอาดด้วยพลังงานที่ยั่งยืน” ของ EXIM BANK
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) ให้การต้อนรับพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี พร้อมนําชมนิทรรศการ “ธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย สร้างโลกสะอาดด้วยพลังงานที่ยั่งยืน” ของ EXIM BANK จากนั้น นําเสนอแนวทางการดําเนินงานของบริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จํากัด (AMITA) ในเครือบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จํากัด (มหาชน) (EA) ลูกค้า EXIM BANK ผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจรใหญ่ที่สุดในอาเซียน กําลังการผลิตขนาด 1 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี เพื่อป้อนให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า โดยนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA และนายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร EA และกรรมการ AMITA ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565
ในโอกาสนี้ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK รายงานว่า พลังงานเป็นปัจจัยสําคัญที่มีผลกระทบกับทุกภาคส่วน ตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงภาคธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ เนื่องจากเป็นต้นทุนและเป็นสิ่งสําคัญต่อการดําเนินชีวิตของประชาชน รัฐบาลจึงมุ่งเน้นสร้างความยั่งยืนด้านพลังงานภายใต้แนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) รวมทั้งสนับสนุนการผลิตและใช้รถยนต์ไฟฟ้า มุ่งให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ตามเป้าหมายของประชาคมโลก EXIM BANK ในฐานะธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย จึงได้ดําเนินภารกิจ “ซ่อม สร้าง เสริม และสานพลัง” กับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเปลี่ยนแรงกดดันของปัญหาและมาตรฐานใหม่ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นโอกาสทางธุรกิจ มุ่งสนับสนุนให้ภาคธุรกิจไทย รวมถึง SMEs หันมาพัฒนาและใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น กล่าวคือ ใช้พลังงานจากแหล่งที่สามารถผลิตหรือก่อกําเนิดพลังงานได้เองและหมุนเวียนกลับมาใช้ได้อีก เป็นพลังงานสะอาด ไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ํา พลังงานลม พลังงานความร้อนใต้พิภพ พลังงานชีวมวล พลังงานชีวภาพ เป็นต้น
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า การสนับสนุนโครงการลงทุนด้านพลังงานสะอาดของ EXIM BANK มีเป้าหมายเพื่อยกระดับศักยภาพในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยในระยะยาว ทั้งด้านต้นทุนการผลิต การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิต การตอบสนองความต้องการผู้บริโภค และการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมของโลก โดยสอดคล้องกับกฎ ระเบียบ และมาตรฐานสากลด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในระหว่างปรับตัวไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งอนาคต EXIM BANK จึงเร่งขยายความร่วมมือกับภาครัฐและภาคเอกชน ตลอดจนลูกค้าที่มีศักยภาพ เพื่อร่วมกันสร้างเศรษฐกิจ BCG ที่สอดรับการพัฒนาทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเมกะเทรนด์ในโลกยุค Next Normal โดย EXIM BANK มีโครงการระดมทุนผ่าน Green Bond เพื่อสนับสนุนธุรกิจสีเขียวหรือธุรกิจที่ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน วงเงินไม่เกิน 5,000 ล้านบาท อายุ 3-5 ปี ทั้งนี้ EXIM BANK อยู่ระหว่างจัดตั้งกรอบการระดมทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Financing Framework) รวมทั้งกําหนดอัตราดอกเบี้ยสําหรับ Green Bond ที่จะออกในช่วงเดือนกันยายน 2565
นับแต่เปิดดําเนินงานอย่างเป็นทางการในปี 2537 EXIM BANK ได้ขยายการสนับสนุนการค้าและการลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ โดยเริ่มต้นสนับสนุนโครงการพลังงานสะอาดจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ําใน สปป.ลาว ต่อมาได้ขยายการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาการใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์ เศษวัสดุการเกษตร ขยะเหลือทิ้ง ความร้อนใต้พิภพ และลม มาสร้างพลังงาน เช่น โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในญี่ปุ่นและเมียนมา โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพในญี่ปุ่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมในเวียดนาม โดย EXIM BANK มีความพร้อมในการเข้าไปเติมเต็มช่องว่างทางการเงิน โดยเฉพาะในระยะแรกของโครงการที่ธนาคารพาณิชย์ยังไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเป็นผู้ริเริ่มพัฒนา Ecosystem ตลาดคาร์บอน ด้วยสินเชื่อเพื่อลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา (Solar Orchestra) วงเงินกู้ 7 ปี ให้กู้ 100% ของเงินลงทุนเพื่อชําระผู้รับเหมาเมื่อติดตั้งเสร็จ อัตราดอกเบี้ยต่ําสุด 2.75% ต่อปี พร้อมสิทธิขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิต และสิทธิยกเว้นภาษี 50% ของเงินลงทุนเป็นเวลา 3 ปีจากสํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อช่วยกิจการประหยัดค่าไฟและแก้ปัญหาโลกร้อน โดยมี EXIM BANK ทําหน้าที่เชื่อมโยงผู้ซื้อกับผู้ขายและหน่วยงานกํากับดูแลเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร พร้อมทั้งร่วมเป็นสมาชิกก่อตั้งและกรรมการสมาคมพลังงานหมุนเวียนไทย (RE100 Thailand Club) เครือข่าย Thailand Carbon Neutral Network และ Carbon Markets Club
“นับเป็นเวลากว่า 2 ทศวรรษที่ EXIM BANK ได้ดําเนินบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย เชื่อมโยงการพัฒนาในมิติเศรษฐกิจกับสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยสนับสนุนโครงการลงทุนด้านพลังงานสะอาดจํานวนรวม 254 โครงการในไทย CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และญี่ปุ่น มูลค่าโครงการลงทุนรวม 370,000 ล้านบาท ลดการปล่อยคาร์บอนได้มากกว่า 100 ล้านตัน ทั้งนี้ เป็นผลจากความพร้อมของ EXIM BANK ในการรับความเสี่ยงมากกว่าธนาคารพาณิชย์ ให้กําเนิดอุตสาหกรรมใหม่ และสนับสนุนทุนไทยไปต่างแดน เพื่อซ่อม สร้าง เสริม และสานพลังการพัฒนาประเทศไทยและประชาคมโลกโดยรวม” ดร.รักษ์กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ส่วนสื่อสารองค์กร ฝ่ายส่งเสริมภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กร EXIM BANK
โทร. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ต่อ 4110-4
EXIM Thailand Plans to Issue Green Bond to Support Clean Energy Projects, Build Industries of the Future and Reduce Carbon Emissions to Net Zero
Mr. Arkhom Termpittayapaisith, Minister of Finance; Mr. Santi Promphat, Deputy Minister of Finance; and Dr. Rak Vorrakitpokatorn, President of Export-Import Bank of Thailand (EXIM Thailand) welcomed General Prayut Chan-o-cha, Prime Minister, together with the Cabinet members to visit “Thailand Development Bank...Build A Clean World with Sustainable Energy” Exhibition organized by EXIM Thailand at the Santi Maitri Building, Government House, on March 29, 2022. On this occasion, a presentation on the business operation of Amita Technology (Thailand) Co., Ltd. (AMITA), a subsidiary of Energy Absolute Plc. (EA), which is EXIM Thailand’s customer and fully-integrated manufacturer of lithium-ion batteries and energy storage system with a production capacity of 1 gigawatt hour per year, the largest in ASEAN, to serve electric vehicles industry, was given by Mr. Somphote Ahunai, EA Chief Executive Officer, and Mr. Amorn Sapthaweekul, EA Deputy Chief Executive Officer and AMITA Director.
Dr. Rak Vorrakitpokatorn, EXIM Thailand President, reported that energy is a crucial factor to the prospects of all sectors, from households to businesses and organizations as it represents a cost element and plays a vital part in the way of living of people in general. In view of this, the government has given priority to building energy sustainability under the bio-circular-green (BCG) economy concept and promote production and use of electric vehicles (EV), with aspiration for Thailand to become the regional EV hub and meet the net zero carbon target of global community. EXIM Thailand, as Thailand Development Bank, has accordingly executed its mission to “reboot, restructure, rebalance and resynergize” in collaboration with the public and private sectors to translate pressures from emerging environmental issues and standards into business opportunities. The Bank has strived to support and encourage Thai business entities, including SMEs, to switch to development and use of renewable energy to a greater extent. Such energy, e.g. solar, hydro, wind, geothermal, biomass, biogas, etc., is renewable, reusable, clean and eco-friendly.
EXIM Thailand President said that the Bank’s support of clean energy projects aims to uplift Thai entrepreneurs’ competitiveness in the long run in terms of production costs, development of innovations and production technology, response to consumers’ demand, and dealing with global environmental issues. This is in line with international environmental rules, regulations and standards. However, as Thailand is in the process of adaptation toward development of industries of the future, EXIM Thailand has put efforts in expanding cooperation with the public and private sectors as well as customers with promising prospects with a view to building the BCG economy in alignment with development in economic, social and environmental dimensions alongside the megatrends in the Next Normal era. EXIM Thailand has planned to raise funds through issuance of a Green Bond to support green businesses or eco-friendly businesses on a sustainable basis with an issue size of up to 5,000 million baht and a tenor of 3-5 years. The Bank is in the process of working out the sustainable financing framework and the coupon rate for the Green Bond to be issued in September 2022.
Since its official commencement of operation in 1994, EXIM Thailand has consistently expanded its support of trade and investment both at home and overseas. Its first financing of clean energy business was for a hydropower plant project in Lao PDR. It has later supported Thai entrepreneurs’ development and use of energy from such renewable sources as solar, agricultural waste, leftover waste, geothermal and wind, through solar power plants in Japan and Myanmar, geothermal power plants in Japan, and wind power plants in Vietnam. EXIM Thailand is fully equipped to fill entrepreneurs’ financial gaps particularly in the initial period of the projects during which commercial banks cannot yet help them take risks. In addition, EXIM Thailand has pioneered in developing the ecosystem of the carbon market with the launch of Solar Orchestra Program to promote and support investment in installation of rooftop solar power generation systems, offering a loan 7-year loan tenor, a maximum credit line of 100% of investment cost for payment to the contractors upon completion of installation works, and lowest interest rate of 2.75% per annum in conjunction with the right to registration of carbon credit and tax exemption of 50% of investment cost for 3 years granted by Office of the Board of Investment (BOI) to help entrepreneurs save electricity cost and combat global warming. EXIM Thailand has performed as an intermediary linking buyers with suppliers and relevant regulators end-to-end. It has also participated as a founding member and member of RE100 Thailand Club in the Thailand Carbon Neutral Network and Carbon Markets Club.
“For over the past 2 decades, EXIM Thailand has carried out our role as Thailand Development Bank to integrate development in economic, social and environmental dimensions. We have financed altogether 254 clean energy projects in the CLMV (Cambodia, Lao PDR, Myanmar and Vietnam) and Japan, involving a total investment amount of 370 billion baht and helping reduce carbon emissions of more than 100 million tons. This has been attributable to the fact that EXIM Thailand is better positioned than commercial banks in taking risks from originating new industries and supporting Thai investment overseas in order to reboot, restructure, rebalance and resynergize development of Thailand and global community at large,” added Dr. Rak.
For further information, please contact Corporate Branding and Communication Department, EXIM Thailand
Tel. 0 2271 3700, 0 2278 0047, 0 2617 2111 ext. 4110-4 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53049 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ห้ามผู้เดินทางจาก 8 ประเทศเสี่ยงในทวีปแอฟริกาเข้าไทยตั้งแต่วันนี้ สกัดโควิด “โอไมครอน” | วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2564
สธ.ห้ามผู้เดินทางจาก 8 ประเทศเสี่ยงในทวีปแอฟริกาเข้าไทยตั้งแต่วันนี้ สกัดโควิด “โอไมครอน”
กระทรวงสาธารณสุขประกาศห้ามประเทศเสี่ยง 8 ประเทศในทวีปแอฟริกาเดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่วันนี้ (27 พ.ย.) เป็นต้นไป เฝ้าระวังป้องกันโรคโควิดสายพันธุ์ “โอไมครอน” ส่วนผู้ได้รับอนุญาตเดินทางแล้วให้กักตัว 14 วัน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย นายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงโควิดกลายพันธุ์ “โอไมครอน” ให้วางมาตรการเฝ้าระวังป้องกันเข้มงวด โดยห้ามประเทศเสี่ยง 8 ประเทศในทวีปแอฟริกาเดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่วันนี้ (27 พ.ย.) เป็นต้นไป ส่วนผู้ได้รับอนุญาตเดินทางแล้วให้กักตัว 14 วัน เผยทั่วโลกยังมีข้อมูลระบาดวิทยาน้อย ประเทศต่างๆ ร่วมติดตามข้อมูลเพิ่มเติม
วันนี้ (27 พฤศจิกายน 2564) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีรายงานการกลายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา และองค์การอนามัยโลกประกาศให้เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล พร้อมสั่งการให้ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงมาตรการเฝ้าระวังควบคุมโรคของสาธารณสุขไทย เพื่อลดความกังวลและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
นพ.ศุภกิจกล่าวว่า องค์การอนามัยโลกประชุมและสรุปเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่าควรจะยกระดับสายพันธุ์ B.1.1.529 เป็นสายพันธุ์น่ากังวล และตั้งชื่อว่า "โอไมครอน" ซึ่งพบเมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน เริ่มที่ประเทศบอตสวานา และระบาด 5-6 ประเทศใกล้กันบริเวณแอฟริกาใต้ และตรวจเจอคนเดินทางจากแอฟริกาใต้ไปยังฮ่องกง เบลเยียม และอิสราเอล บางคนได้รับวัคซีนครบแล้ว ส่วนประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังตรวจรหัสพันธุกรรมยังไม่มีสายพันธุ์นี้ โดยยังเฝ้าระวังต่อเนื่อง
"สายพันธุ์โอไมครอนมีการกลายพันธุ์ 50 กว่าตําแหน่ง โดย 32 ตําแหน่งอยู่บนโปรตีนหนามที่จับกับเซลล์มนุษย์ ต้องจับตาว่าตําแหน่งที่กลายพันธุ์จะมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งมีการสันนิษฐานจากตําแหน่งการกลายพันธุ์ว่า อาจเพิ่มอํานาจการแพร่เชื้อมากขึ้น หรือหลบภูมิคุ้มกันได้ ส่วนพื้นที่ที่ตรวจพบสายพันธุ์นี้มีข้อมูลว่า ตรวจเจอเชื้อค่อนข้างมาก สะท้อนว่าอาจแพร่ติดเชื้อง่ายหรือเร็วขึ้น แต่ข้อมูลในสนามจริงยังมีไม่มากพอ ต้องติดตามข้อมูลต่อไป ซึ่งองค์การอนามัยโลกขอความร่วมมือทุกประเทศช่วยกันตรวจสายพันธุ์นี้ เพื่อรายงานว่ามีการแพร่กระจายไปที่ไหน" นพ.ศุภกิจกล่าว
นพ.ศุภกิจกล่าวว่า ส่วนผู้เดินทาง 63 ประเทศเข้าระบบ Test&Go ไม่มีประเทศในทวีปแอฟริกา แต่จะประสานโรงพยาบาลที่ตรวจพบเชื้อผู้เดินทางเข้าประเทศจากทุกระบบ ส่งตัวอย่างผลบวกทั้งหมดมาถอดรหัสพันธุกรรมที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อดูว่ามีสายพันธุ์นี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม มาตรการป้องกันโรคยังใช้ได้ผล ทั้งเว้นระยะห่าง ลดแออัด หน้ากาก ล้างมือ และไวรัสตัวนี้ตรวจด้วย RT-PCR ได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม การเดินทางเข้ามาทางอากาศไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะมีมาตรการดูแลได้ครบถ้วน สิ่งที่กังวลคือช่องทางบก ที่ต้องเฝ้าระวังและขอให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดและประชาชนงดการลักลอบเดินทางเข้าออกประเทศ
ด้าน นพ.โอภาสกล่าวว่า นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความเป็นห่วงในประเด็นนี้มาก ได้สั่งการให้ติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางระบาดวิทยา ลักษณะการระบาด ความรุนแรงของโรค ความเร็วการแพร่กระจายเชื้อ หรือความสามารถหลบเลี่ยงวัคซีนและยา ของสายพันธุ์โอไมครอนยังไม่มีข้อมูลชัดเจน เพราะเป็นสายพันธุ์ใหม่ทั่วโลกกําลังร่วมกันจับตา ส่วนประเทศไทยมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกับประเทศต่างๆ รวมถึงองค์การอนามัยโลก ล่าสุด ได้วางมาตรการเรื่องผู้เดินทางมาจากทวีปแอฟริกา คือ ไม่อนุญาตให้ผู้เดินทางจากประเทศเสี่ยง 8 ประเทศในทวีปแอฟริกา ได้แก่ สาธารณรัฐบอตสวานา , ราชอาณาจักรเอสวาตินี , ราชอาณาจักรเลโซโท , สาธารณรัฐมาลาวี , สาธารณรัฐโมซัมบิก , สาธารณรัฐนามิเบีย , สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ และสาธารณรัฐซิมบับเว เข้าประเทศ ตั้งแต่วันนี้ (27 พฤศจิกายน) เป็นต้นไป ส่วนผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางก่อนหน้านี้ จะให้กักตัว 14 วันทุกราย ไม่อนุญาตให้ทํากิจกรรมนอกห้องพัก และตรวจห้องปฏิบัติการ 3 ครั้งคือ วันที่ 0 -1 , 5-6 และ 12-13 หากไม่พบเชื้อจึงอนุญาตให้ออกมาได้ นอกจากนี้ ยังจับตาประเทศอื่นๆ ที่อาจตรวจพบไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์นี้ได้ เนื่องจากมีระบบการเฝ้าระวังที่ดี อย่างฮ่องกงก็ตรวจพบเป็นผู้ติดเชื้อในแอฟริกาใต้เดินทางไป จึงถือเป็นกรณีนําเข้า ซึ่งจะมีการติดตามสถานการณ์ หากเหตุการณ์เปลี่ยนมีจะเพิ่มมาตการและชี้แจงให้ทราบต่อไป
"การกลายพันธุ์ของเชื้อมีตลอดเวลา แต่ปัจจัยสําคัญที่ทําให้แถบแอฟริกาใต้มีการกลายพันธุ์ค่อนข้างมาก นอกจากการป้องกันแล้ว คือวัคซีน ซึ่งทวีปแอฟริกามีการฉีดวัคซีนครอบคลุมน้อยที่สุด สิ่งที่ประชาชนจะร่วมกันทําให้ประเทศปลอดภัย คือ ร่วมกันฉีดวัคซีน ป้องกันตนเองครอบจักรวาล ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง มาตรการ COVID Free Setting ที่หน่วยงานต่างๆ ต้องร่วมมือกัน" นพ.โอภาสกล่าว
****************************** 27 พฤศจิกายน 2564 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.ห้ามผู้เดินทางจาก 8 ประเทศเสี่ยงในทวีปแอฟริกาเข้าไทยตั้งแต่วันนี้ สกัดโควิด “โอไมครอน”
วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน 2564
สธ.ห้ามผู้เดินทางจาก 8 ประเทศเสี่ยงในทวีปแอฟริกาเข้าไทยตั้งแต่วันนี้ สกัดโควิด “โอไมครอน”
กระทรวงสาธารณสุขประกาศห้ามประเทศเสี่ยง 8 ประเทศในทวีปแอฟริกาเดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่วันนี้ (27 พ.ย.) เป็นต้นไป เฝ้าระวังป้องกันโรคโควิดสายพันธุ์ “โอไมครอน” ส่วนผู้ได้รับอนุญาตเดินทางแล้วให้กักตัว 14 วัน
ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เผย นายกรัฐมนตรี, รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ห่วงโควิดกลายพันธุ์ “โอไมครอน” ให้วางมาตรการเฝ้าระวังป้องกันเข้มงวด โดยห้ามประเทศเสี่ยง 8 ประเทศในทวีปแอฟริกาเดินทางเข้าประเทศไทย ตั้งแต่วันนี้ (27 พ.ย.) เป็นต้นไป ส่วนผู้ได้รับอนุญาตเดินทางแล้วให้กักตัว 14 วัน เผยทั่วโลกยังมีข้อมูลระบาดวิทยาน้อย ประเทศต่างๆ ร่วมติดตามข้อมูลเพิ่มเติม
วันนี้ (27 พฤศจิกายน 2564) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ติดตามสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่มีรายงานการกลายพันธุ์ในทวีปแอฟริกา และองค์การอนามัยโลกประกาศให้เป็นสายพันธุ์ที่น่ากังวล พร้อมสั่งการให้ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และนพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค แถลงมาตรการเฝ้าระวังควบคุมโรคของสาธารณสุขไทย เพื่อลดความกังวลและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
นพ.ศุภกิจกล่าวว่า องค์การอนามัยโลกประชุมและสรุปเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ว่าควรจะยกระดับสายพันธุ์ B.1.1.529 เป็นสายพันธุ์น่ากังวล และตั้งชื่อว่า "โอไมครอน" ซึ่งพบเมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน เริ่มที่ประเทศบอตสวานา และระบาด 5-6 ประเทศใกล้กันบริเวณแอฟริกาใต้ และตรวจเจอคนเดินทางจากแอฟริกาใต้ไปยังฮ่องกง เบลเยียม และอิสราเอล บางคนได้รับวัคซีนครบแล้ว ส่วนประเทศไทยมีระบบเฝ้าระวังตรวจรหัสพันธุกรรมยังไม่มีสายพันธุ์นี้ โดยยังเฝ้าระวังต่อเนื่อง
"สายพันธุ์โอไมครอนมีการกลายพันธุ์ 50 กว่าตําแหน่ง โดย 32 ตําแหน่งอยู่บนโปรตีนหนามที่จับกับเซลล์มนุษย์ ต้องจับตาว่าตําแหน่งที่กลายพันธุ์จะมีปัญหาหรือไม่ ซึ่งมีการสันนิษฐานจากตําแหน่งการกลายพันธุ์ว่า อาจเพิ่มอํานาจการแพร่เชื้อมากขึ้น หรือหลบภูมิคุ้มกันได้ ส่วนพื้นที่ที่ตรวจพบสายพันธุ์นี้มีข้อมูลว่า ตรวจเจอเชื้อค่อนข้างมาก สะท้อนว่าอาจแพร่ติดเชื้อง่ายหรือเร็วขึ้น แต่ข้อมูลในสนามจริงยังมีไม่มากพอ ต้องติดตามข้อมูลต่อไป ซึ่งองค์การอนามัยโลกขอความร่วมมือทุกประเทศช่วยกันตรวจสายพันธุ์นี้ เพื่อรายงานว่ามีการแพร่กระจายไปที่ไหน" นพ.ศุภกิจกล่าว
นพ.ศุภกิจกล่าวว่า ส่วนผู้เดินทาง 63 ประเทศเข้าระบบ Test&Go ไม่มีประเทศในทวีปแอฟริกา แต่จะประสานโรงพยาบาลที่ตรวจพบเชื้อผู้เดินทางเข้าประเทศจากทุกระบบ ส่งตัวอย่างผลบวกทั้งหมดมาถอดรหัสพันธุกรรมที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เพื่อดูว่ามีสายพันธุ์นี้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม มาตรการป้องกันโรคยังใช้ได้ผล ทั้งเว้นระยะห่าง ลดแออัด หน้ากาก ล้างมือ และไวรัสตัวนี้ตรวจด้วย RT-PCR ได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม การเดินทางเข้ามาทางอากาศไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะมีมาตรการดูแลได้ครบถ้วน สิ่งที่กังวลคือช่องทางบก ที่ต้องเฝ้าระวังและขอให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดและประชาชนงดการลักลอบเดินทางเข้าออกประเทศ
ด้าน นพ.โอภาสกล่าวว่า นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข รวมถึงปลัดกระทรวงสาธารณสุข มีความเป็นห่วงในประเด็นนี้มาก ได้สั่งการให้ติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางระบาดวิทยา ลักษณะการระบาด ความรุนแรงของโรค ความเร็วการแพร่กระจายเชื้อ หรือความสามารถหลบเลี่ยงวัคซีนและยา ของสายพันธุ์โอไมครอนยังไม่มีข้อมูลชัดเจน เพราะเป็นสายพันธุ์ใหม่ทั่วโลกกําลังร่วมกันจับตา ส่วนประเทศไทยมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกับประเทศต่างๆ รวมถึงองค์การอนามัยโลก ล่าสุด ได้วางมาตรการเรื่องผู้เดินทางมาจากทวีปแอฟริกา คือ ไม่อนุญาตให้ผู้เดินทางจากประเทศเสี่ยง 8 ประเทศในทวีปแอฟริกา ได้แก่ สาธารณรัฐบอตสวานา , ราชอาณาจักรเอสวาตินี , ราชอาณาจักรเลโซโท , สาธารณรัฐมาลาวี , สาธารณรัฐโมซัมบิก , สาธารณรัฐนามิเบีย , สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ และสาธารณรัฐซิมบับเว เข้าประเทศ ตั้งแต่วันนี้ (27 พฤศจิกายน) เป็นต้นไป ส่วนผู้ที่ได้รับอนุญาตให้เดินทางก่อนหน้านี้ จะให้กักตัว 14 วันทุกราย ไม่อนุญาตให้ทํากิจกรรมนอกห้องพัก และตรวจห้องปฏิบัติการ 3 ครั้งคือ วันที่ 0 -1 , 5-6 และ 12-13 หากไม่พบเชื้อจึงอนุญาตให้ออกมาได้ นอกจากนี้ ยังจับตาประเทศอื่นๆ ที่อาจตรวจพบไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์นี้ได้ เนื่องจากมีระบบการเฝ้าระวังที่ดี อย่างฮ่องกงก็ตรวจพบเป็นผู้ติดเชื้อในแอฟริกาใต้เดินทางไป จึงถือเป็นกรณีนําเข้า ซึ่งจะมีการติดตามสถานการณ์ หากเหตุการณ์เปลี่ยนมีจะเพิ่มมาตการและชี้แจงให้ทราบต่อไป
"การกลายพันธุ์ของเชื้อมีตลอดเวลา แต่ปัจจัยสําคัญที่ทําให้แถบแอฟริกาใต้มีการกลายพันธุ์ค่อนข้างมาก นอกจากการป้องกันแล้ว คือวัคซีน ซึ่งทวีปแอฟริกามีการฉีดวัคซีนครอบคลุมน้อยที่สุด สิ่งที่ประชาชนจะร่วมกันทําให้ประเทศปลอดภัย คือ ร่วมกันฉีดวัคซีน ป้องกันตนเองครอบจักรวาล ใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง มาตรการ COVID Free Setting ที่หน่วยงานต่างๆ ต้องร่วมมือกัน" นพ.โอภาสกล่าว
****************************** 27 พฤศจิกายน 2564 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48790 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” หารือ ผอ.ใหญ่ WHO ขอสนับสนุนวัคซีนฝีดาษคน เตรียมรองรับกรณีการระบาดของฝีดาษวานร | วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2565
“อนุทิน” หารือ ผอ.ใหญ่ WHO ขอสนับสนุนวัคซีนฝีดาษคน เตรียมรองรับกรณีการระบาดของฝีดาษวานร
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือ ผอ.ใหญ่องค์การอนามัยโลก ขอสนับสนุนวัคซีนฝีดาษคน เพื่อเตรียมการรองรับกรณีมีการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษวานร เนื่องจากประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น เผย ไทยเป็นแกนหลักของ WHO Biohub
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือ ผอ.ใหญ่องค์การอนามัยโลก ขอสนับสนุนวัคซีนฝีดาษคน เพื่อเตรียมการรองรับกรณีมีการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษวานร เนื่องจากประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น เผย ไทยเป็นแกนหลักของWHO Biohubและได้ลงนามร่วมองค์การอนามัยโลก เพื่อแบ่งปันเชื้อโควิด19
วันนี้ (26พฤษภาคม2565)นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในการประชุมสมัชชาอนามัยโลก (WHA)สมัยที่75ที่นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อวันที่25พฤษภาคมที่ผ่านมา ตนและผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าพบเพื่อแสดงความยินดีกับ นายเท็ดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (Director-General)อีกหนึ่งวาระ และ
ชื่นชมผลงานของนายเท็ดรอส รวมถึงทีมงานจากองค์การอนามัยโลกที่เดินทางมาประเทศไทย เมื่อเดือนเมษายน2565เพื่อทําการประเมินความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Preparedness Review)ทําให้ประเทศไทยได้ถอดบทเรียนและแบ่งปันประสบการณ์การดําเนินงานแก่ประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกในการประชุมครั้งนี้
นายอนุทินกล่าวว่า สําหรับกรณีโรคฝีดาษวานร ได้รับรายงานว่า คณะกรรมการวิชาการภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติให้โรคฝีดาษวานรเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังแล้ว ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีผู้ป่วยหรือผู้ป่วยต้องสงสัยเดินทางเข้ามา แต่เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางเข้าประเทศเพิ่มมากขึ้น จึงมีการเตรียมพร้อมเฝ้าระวังคัดกรองโรคในผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการแพร่ระบาด โดยในการเข้าพบนายเท็ดรอสได้มีการหารือเพื่อขอรับการสนับสนุนเรื่องวัคซีนฝีดาษคน (Smallpox)จากองค์การอนามัยโลกด้วย นอกจากนี้ ยังได้เชิญผู้อํานวยการใหญ่มาร่วมในพิธีเปิดศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ (ACPHEED)ในวันที่25สิงหาคม2565ที่กรุงเทพฯ
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ระหว่างการหารือ ตนและนายเท็ดรอส ยังร่วมกันเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลงการแบ่งปันเชื้อโควิด19กับศูนย์กลางทางชีวภาพ องค์การอนามัยโลก (WHO Biohub)ระหว่าง นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และDr.Jaouad Mahjourผู้ช่วยผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก โดยประเทศไทยจะเป็นแกนหลัก (Core Group)ของWHO Biohubซึ่งองค์การอนามัยโลกประกาศเปิดตัวBioHubในการปิดการประชุมresumed WHAครั้งที่73เมื่อเดือนพฤศจิกายน2563โดยมีประเทศ
สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และไทย แสดงความพร้อมในการเข้าร่วม
********************************************* 26 พฤษภาคม2565 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” หารือ ผอ.ใหญ่ WHO ขอสนับสนุนวัคซีนฝีดาษคน เตรียมรองรับกรณีการระบาดของฝีดาษวานร
วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม 2565
“อนุทิน” หารือ ผอ.ใหญ่ WHO ขอสนับสนุนวัคซีนฝีดาษคน เตรียมรองรับกรณีการระบาดของฝีดาษวานร
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือ ผอ.ใหญ่องค์การอนามัยโลก ขอสนับสนุนวัคซีนฝีดาษคน เพื่อเตรียมการรองรับกรณีมีการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษวานร เนื่องจากประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น เผย ไทยเป็นแกนหลักของ WHO Biohub
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หารือ ผอ.ใหญ่องค์การอนามัยโลก ขอสนับสนุนวัคซีนฝีดาษคน เพื่อเตรียมการรองรับกรณีมีการแพร่ระบาดของโรคฝีดาษวานร เนื่องจากประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น เผย ไทยเป็นแกนหลักของWHO Biohubและได้ลงนามร่วมองค์การอนามัยโลก เพื่อแบ่งปันเชื้อโควิด19
วันนี้ (26พฤษภาคม2565)นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในการประชุมสมัชชาอนามัยโลก (WHA)สมัยที่75ที่นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อวันที่25พฤษภาคมที่ผ่านมา ตนและผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ได้เข้าพบเพื่อแสดงความยินดีกับ นายเท็ดรอส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (Director-General)อีกหนึ่งวาระ และ
ชื่นชมผลงานของนายเท็ดรอส รวมถึงทีมงานจากองค์การอนามัยโลกที่เดินทางมาประเทศไทย เมื่อเดือนเมษายน2565เพื่อทําการประเมินความพร้อมกรณีภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Preparedness Review)ทําให้ประเทศไทยได้ถอดบทเรียนและแบ่งปันประสบการณ์การดําเนินงานแก่ประเทศสมาชิกองค์การอนามัยโลกในการประชุมครั้งนี้
นายอนุทินกล่าวว่า สําหรับกรณีโรคฝีดาษวานร ได้รับรายงานว่า คณะกรรมการวิชาการภายใต้คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ มีมติให้โรคฝีดาษวานรเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังแล้ว ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีผู้ป่วยหรือผู้ป่วยต้องสงสัยเดินทางเข้ามา แต่เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวเริ่มเดินทางเข้าประเทศเพิ่มมากขึ้น จึงมีการเตรียมพร้อมเฝ้าระวังคัดกรองโรคในผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการแพร่ระบาด โดยในการเข้าพบนายเท็ดรอสได้มีการหารือเพื่อขอรับการสนับสนุนเรื่องวัคซีนฝีดาษคน (Smallpox)จากองค์การอนามัยโลกด้วย นอกจากนี้ ยังได้เชิญผู้อํานวยการใหญ่มาร่วมในพิธีเปิดศูนย์อาเซียนด้านการรับมือกับภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ (ACPHEED)ในวันที่25สิงหาคม2565ที่กรุงเทพฯ
นายอนุทินกล่าวต่อว่า ระหว่างการหารือ ตนและนายเท็ดรอส ยังร่วมกันเป็นสักขีพยานในการลงนามข้อตกลงการแบ่งปันเชื้อโควิด19กับศูนย์กลางทางชีวภาพ องค์การอนามัยโลก (WHO Biohub)ระหว่าง นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และDr.Jaouad Mahjourผู้ช่วยผู้อํานวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก โดยประเทศไทยจะเป็นแกนหลัก (Core Group)ของWHO Biohubซึ่งองค์การอนามัยโลกประกาศเปิดตัวBioHubในการปิดการประชุมresumed WHAครั้งที่73เมื่อเดือนพฤศจิกายน2563โดยมีประเทศ
สวิตเซอร์แลนด์ อิตาลี และไทย แสดงความพร้อมในการเข้าร่วม
********************************************* 26 พฤษภาคม2565 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55049 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยส่งออกมะม่วงได้มากเป็นอันดับ 7 ของโลก | วันพุธที่ 23 มิถุนายน 2564
ไทยส่งออกมะม่วงได้มากเป็นอันดับ 7 ของโลก
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ผลผลิตมะม่วงสดของไทยกําลังได้รับความนิยมสูงจนส่งออกได้มากเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ มีมูลค่าการส่งออกราว 25 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยพันธุ์มะม่วงที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก ได้แก่ น้ําดอกไม้ มหาชนก และเขียวเสวย มีตลาดการค้าที่สําคัญ 5 อันดับแรก คือประเทศคู่ค้าตามความตกลงการค้าเสรี FTA ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ ฮ่องกง และจีน นอกจากนี้ ประเทศคู่ค้าตาม FTA จํานวน 15 ประเทศ ยังยอมให้มีการนําเข้ามะม่วงสดจากไทยได้ โดยไม่เก็บภาษีอีกด้วย ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บูรไน เวียดนาม เมียนมา มาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ชิลี และเปรู
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทยส่งออกมะม่วงได้มากเป็นอันดับ 7 ของโลก
วันพุธที่ 23 มิถุนายน 2564
ไทยส่งออกมะม่วงได้มากเป็นอันดับ 7 ของโลก
วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม 2564
Your browser does not support the audio element.
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ครับ
ผลผลิตมะม่วงสดของไทยกําลังได้รับความนิยมสูงจนส่งออกได้มากเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 7 ของโลก โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ มีมูลค่าการส่งออกราว 25 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยพันธุ์มะม่วงที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก ได้แก่ น้ําดอกไม้ มหาชนก และเขียวเสวย มีตลาดการค้าที่สําคัญ 5 อันดับแรก คือประเทศคู่ค้าตามความตกลงการค้าเสรี FTA ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม เกาหลีใต้ ฮ่องกง และจีน นอกจากนี้ ประเทศคู่ค้าตาม FTA จํานวน 15 ประเทศ ยังยอมให้มีการนําเข้ามะม่วงสดจากไทยได้ โดยไม่เก็บภาษีอีกด้วย ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ บูรไน เวียดนาม เมียนมา มาเลเซีย จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ชิลี และเปรู
“รวมไทยสร้างชาติ” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43003 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-จีน ส่งเสริมความร่วมมือด้านการเรียนการสอนภาษาจีน | วันเสาร์ที่ 16 เมษายน 2565
ไทย-จีน ส่งเสริมความร่วมมือด้านการเรียนการสอนภาษาจีน
วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อรองรับการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยเห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเรียนการสอนภาษาจีน ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ของไทย กับ กระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีกรอบแนวทางดําเนินการ เช่น ให้ทุนการศึกษาแก่ครูผู้สอนภาษาจีนในระดับปริญญาตรี โท และเอก พัฒนาอาจารย์และครูผู้สอนระดับอาชีวศึกษา จัดส่งครูอาสาสมัครสอนภาษาจีนไปยังสถาบันอุดมศึกษา ตลอดจนพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน และศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีน ทั้งนี้ เพื่อกระชับความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ไทย-จีน ส่งเสริมความร่วมมือด้านการเรียนการสอนภาษาจีน
วันเสาร์ที่ 16 เมษายน 2565
ไทย-จีน ส่งเสริมความร่วมมือด้านการเรียนการสอนภาษาจีน
วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม 2565
ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ
รัฐบาลเดินหน้าพัฒนาศักยภาพบุคลากรเพื่อรองรับการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ โดยเห็นชอบร่างกรอบความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมความร่วมมือด้านการเรียนการสอนภาษาจีน ระหว่างกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ของไทย กับ กระทรวงศึกษาธิการแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีกรอบแนวทางดําเนินการ เช่น ให้ทุนการศึกษาแก่ครูผู้สอนภาษาจีนในระดับปริญญาตรี โท และเอก พัฒนาอาจารย์และครูผู้สอนระดับอาชีวศึกษา จัดส่งครูอาสาสมัครสอนภาษาจีนไปยังสถาบันอุดมศึกษา ตลอดจนพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอน และศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอนภาษาจีน ทั้งนี้ เพื่อกระชับความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมให้มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
“สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53633 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ตั้งเป้า ปี 65 ดันจดจำนองเครื่องจักร 2 แสนล้านบาท หลังประสบผลสำเร็จ ยอดจดจำนองปี 64 ทะลุเป้า 1.6 แสนล้านบาท | วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564
ก.อุตฯ ตั้งเป้า ปี 65 ดันจดจํานองเครื่องจักร 2 แสนล้านบาท หลังประสบผลสําเร็จ ยอดจดจํานองปี 64 ทะลุเป้า 1.6 แสนล้านบาท
“สุริยะ” สั่งกรมโรงงาน เดินหน้าจดทะเบียนเครื่องจักร ช่วยเหลือผู้ประกอบการ ปลื้มปี 64 มีมูลค่าการจดจํานองเครื่องจักรกว่า 1.6 แสนล้านบาท คาดปี 65 โตกว่า 2 แสนล้านบาท
กรมโรงงาน ตั้งเป้า ปี 65 ดันจดจํานองเครื่องจักร 2 แสนล้านบาท
หลังประสบผลสําเร็จ ยอดจดจํานองปี 64 ทะลุเป้า 1.6 แสนล้านบาท
“สุริยะ” สั่งกรมโรงงาน เดินหน้าจดทะเบียนเครื่องจักร ช่วยเหลือผู้ประกอบการ ปลื้มปี 64 มีมูลค่าการจดจํานองเครื่องจักรกว่า 1.6 แสนล้านบาท คาดปี 65 โตกว่า 2 แสนล้านบาท
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เร่งดําเนินงานด้านการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร และนําเครื่องจักรมาเป็นหลักทรัพย์ค้ําประกันกับสถาบันการเงิน เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ รวมถึงสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายของรัฐบาล โดยปีงบประมาณ 2564 มีผู้ประกอบการยื่นจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร นํามาเป็นหลักทรัพย์ค้ําประกันเงินกู้กับสถาบันการเงิน คิดเป็นวงเงินจดจํานองถึง 1.6 แสนล้านบาท
นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า สําหรับปีงบประมาณ 2565 กรอ. ยังคงเดินหน้าช่วยเหลือผู้ประกอบการ อย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีผู้ประกอบการนําเครื่องจักรเข้ามาจดทะเบียนกรรมสิทธิ์และจดจํานอง 2 แสนล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 (COVID-19) เริ่มคลี่คลาย และมาตรการรองรับต่าง ๆ ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนที่ดีขึ้น รวมถึงสถาบันการเงินเริ่มมีการอนุมัติปล่อยสินเชื่อให้กับทางสถานประกอบการมากขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนต่อไปได้
นายวันชัย กล่าวต่อว่า กรอ. ยังเดินหน้า “โครงการเร่งรัดการจดทะเบียนเครื่องจักรของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” ด้วยการส่งเสริมปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยมีการใช้นวัตกรรมที่ทันสมัยในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนการผลิต ลดต้นทุนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน โดยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าร่วม 96 ราย เครื่องจักร 2,455 เครื่อง พร้อมส่งเสริมให้สิทธิประโยชน์ 4 ด้าน ได้แก่ 1. สิทธิพิเศษเงินกู้ดอกเบี้ยต่ําจากสถาบันการเงิน 2. เงินทุนหมุนเวียน เพื่อนําเงินทุนไปหมุนเวียนในกิจการหรือซื้อเครื่องจักรใหม่ 3.การยกเว้นภาษี 4. สิทธิประโยชน์อื่นๆ อาทิ การยื่นคําขอจดทะเบียนฯ ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยอํานวยความสะดวกมากขึ้น และการจัดอบรมให้ความรู้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
สําหรับปี 65 กรอ. ได้เตรียมขยายระยะเวลา ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร และยังบริการประเมินราคาเครื่องจักรให้สถานประกอบการโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระของผู้ประกอบการในช่วงที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว อธิบดีกรมโรงงานฯ กล่าวปิดท้าย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.อุตฯ ตั้งเป้า ปี 65 ดันจดจำนองเครื่องจักร 2 แสนล้านบาท หลังประสบผลสำเร็จ ยอดจดจำนองปี 64 ทะลุเป้า 1.6 แสนล้านบาท
วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน 2564
ก.อุตฯ ตั้งเป้า ปี 65 ดันจดจํานองเครื่องจักร 2 แสนล้านบาท หลังประสบผลสําเร็จ ยอดจดจํานองปี 64 ทะลุเป้า 1.6 แสนล้านบาท
“สุริยะ” สั่งกรมโรงงาน เดินหน้าจดทะเบียนเครื่องจักร ช่วยเหลือผู้ประกอบการ ปลื้มปี 64 มีมูลค่าการจดจํานองเครื่องจักรกว่า 1.6 แสนล้านบาท คาดปี 65 โตกว่า 2 แสนล้านบาท
กรมโรงงาน ตั้งเป้า ปี 65 ดันจดจํานองเครื่องจักร 2 แสนล้านบาท
หลังประสบผลสําเร็จ ยอดจดจํานองปี 64 ทะลุเป้า 1.6 แสนล้านบาท
“สุริยะ” สั่งกรมโรงงาน เดินหน้าจดทะเบียนเครื่องจักร ช่วยเหลือผู้ประกอบการ ปลื้มปี 64 มีมูลค่าการจดจํานองเครื่องจักรกว่า 1.6 แสนล้านบาท คาดปี 65 โตกว่า 2 แสนล้านบาท
นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เร่งดําเนินงานด้านการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร และนําเครื่องจักรมาเป็นหลักทรัพย์ค้ําประกันกับสถาบันการเงิน เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ รวมถึงสนับสนุนเศรษฐกิจฐานรากตามนโยบายของรัฐบาล โดยปีงบประมาณ 2564 มีผู้ประกอบการยื่นจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร นํามาเป็นหลักทรัพย์ค้ําประกันเงินกู้กับสถาบันการเงิน คิดเป็นวงเงินจดจํานองถึง 1.6 แสนล้านบาท
นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวว่า สําหรับปีงบประมาณ 2565 กรอ. ยังคงเดินหน้าช่วยเหลือผู้ประกอบการ อย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีผู้ประกอบการนําเครื่องจักรเข้ามาจดทะเบียนกรรมสิทธิ์และจดจํานอง 2 แสนล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 (COVID-19) เริ่มคลี่คลาย และมาตรการรองรับต่าง ๆ ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชนที่ดีขึ้น รวมถึงสถาบันการเงินเริ่มมีการอนุมัติปล่อยสินเชื่อให้กับทางสถานประกอบการมากขึ้น เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนต่อไปได้
นายวันชัย กล่าวต่อว่า กรอ. ยังเดินหน้า “โครงการเร่งรัดการจดทะเบียนเครื่องจักรของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม” ด้วยการส่งเสริมปรับเปลี่ยนเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยมีการใช้นวัตกรรมที่ทันสมัยในกระบวนการผลิต ลดต้นทุนการผลิต ลดต้นทุนด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนจากสถาบันการเงิน โดยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าร่วม 96 ราย เครื่องจักร 2,455 เครื่อง พร้อมส่งเสริมให้สิทธิประโยชน์ 4 ด้าน ได้แก่ 1. สิทธิพิเศษเงินกู้ดอกเบี้ยต่ําจากสถาบันการเงิน 2. เงินทุนหมุนเวียน เพื่อนําเงินทุนไปหมุนเวียนในกิจการหรือซื้อเครื่องจักรใหม่ 3.การยกเว้นภาษี 4. สิทธิประโยชน์อื่นๆ อาทิ การยื่นคําขอจดทะเบียนฯ ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยอํานวยความสะดวกมากขึ้น และการจัดอบรมให้ความรู้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
สําหรับปี 65 กรอ. ได้เตรียมขยายระยะเวลา ประกาศยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์เครื่องจักร และยังบริการประเมินราคาเครื่องจักรให้สถานประกอบการโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระของผู้ประกอบการในช่วงที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว อธิบดีกรมโรงงานฯ กล่าวปิดท้าย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48069 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระสงฆ์ในโครงการบรรพชาอุปสมบทและปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ฯ ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา | วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565
พระสงฆ์ในโครงการบรรพชาอุปสมบทและปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ฯ ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามหลักคําสอนในพระพุทธศาสนา
พระสงฆ์ในโครงการบรรพชาอุปสมบทและปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ฯ ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามหลักคําสอนในพระพุทธศาสนา
ตามที่ กระทรวงกลาโหม ร่วมกับวัดพิชยญาติการาม วรวิหาร จัดโครงการบรรพชาอุปสมบทและปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติถวายเป็นพระกุศลแด่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ในโอกาสทรงเจริญพระชันษา ครบ ๓ รอบ ๓๖ ปี และได้จัดพิธีบรรพชาอุปสมบท ไปเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา ณ ศาลาปฏิบัติธรรมสมเด็จพระพุทธชินวงศ์สภา ชั้น ๒ วัดพิชยญาติการาม วรวิหารเขตคลองสาน กรุงเทพฯ นั้น ในห้วงระหว่าง วันที่ ๙ - ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕ พระสงฆ์ที่ร่วมโครงการได้เดินทางไปปฎิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และ วัดป่าพุทธชินวงศาราม อําเภอภูยาว จังหวัดพะเยา ในระหว่างวันที่ ๑๔ - ๑๖ พฤษาคม ๒๕๖๕ เพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมตามหลักคําสอนในพระพุทธศาสนาอันเป็นการสืบทอดต่ออายุพระศาสนา ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม รวมทั้งสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามให้ดํารงอยู่คู่พระพุทธศาสนาสืบไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระสงฆ์ในโครงการบรรพชาอุปสมบทและปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ฯ ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา
วันอังคารที่ 17 พฤษภาคม 2565
พระสงฆ์ในโครงการบรรพชาอุปสมบทและปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ฯ ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามหลักคําสอนในพระพุทธศาสนา
พระสงฆ์ในโครงการบรรพชาอุปสมบทและปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ฯ ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามหลักคําสอนในพระพุทธศาสนา
ตามที่ กระทรวงกลาโหม ร่วมกับวัดพิชยญาติการาม วรวิหาร จัดโครงการบรรพชาอุปสมบทและปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติถวายเป็นพระกุศลแด่พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ ในโอกาสทรงเจริญพระชันษา ครบ ๓ รอบ ๓๖ ปี และได้จัดพิธีบรรพชาอุปสมบท ไปเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา ณ ศาลาปฏิบัติธรรมสมเด็จพระพุทธชินวงศ์สภา ชั้น ๒ วัดพิชยญาติการาม วรวิหารเขตคลองสาน กรุงเทพฯ นั้น ในห้วงระหว่าง วันที่ ๙ - ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๖๕ พระสงฆ์ที่ร่วมโครงการได้เดินทางไปปฎิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ณ ศูนย์ปฏิบัติธรรม “ธรรมโมลี” อําเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และ วัดป่าพุทธชินวงศาราม อําเภอภูยาว จังหวัดพะเยา ในระหว่างวันที่ ๑๔ - ๑๖ พฤษาคม ๒๕๖๕ เพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรมตามหลักคําสอนในพระพุทธศาสนาอันเป็นการสืบทอดต่ออายุพระศาสนา ตลอดจนส่งเสริมและพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม รวมทั้งสืบสานวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามให้ดํารงอยู่คู่พระพุทธศาสนาสืบไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54639 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. รับรางวัล TQC การบริหารสู่ความเป็นเลิศ โดดเด่นด้านพัฒนา - ยกระดับองค์กร | วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565
บสย. รับรางวัล TQC การบริหารสู่ความเป็นเลิศ โดดเด่นด้านพัฒนา - ยกระดับองค์กร
บสย. ประกาศศักยภาพ รับรางวัล TQC การบริหารสู่ความเป็นเลิศ Thailand Quality Class : TQC 2021 โดดเด่นด้านการพัฒนา-ยกระดับองค์กร ครั้งที่ 20 ประจําปี 2564
บสย. ประกาศศักยภาพ รับรางวัล TQC การบริหารสู่ความเป็นเลิศ Thailand Quality Class : TQC 2021 โดดเด่นด้านการพัฒนา-ยกระดับองค์กร ครั้งที่ 20 ประจําปี 2564 พร้อมเดินหน้าพัฒนาและยกระดับมาตรฐานองค์กรสู่การเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเงินทุน และโอกาสทางธุรกิจแห่งชาติให้กับผู้ประกอบการ SMEs เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย. ได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ Thailand Quality Class : TQC 2021 โดดเด่นด้านการพัฒนา-ยกระดับองค์กร ครั้งที่ 20 ประจําปี 2564 โดยมี นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2564 (Thailand Quality Award : TQA) พร้อมด้วย นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ผศ.ดร.อธิศานต์ วายุภาพ ผู้อํานวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ และคณะผู้บริหารบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้าร่วมในพิธีมอบรางวัล จัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ในฐานะสํานักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2565
รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (TQC) คือรางวัลอันทรงเกียรติที่สะท้อนความมุ่งมั่น ทุ่มเทด้านการพัฒนาและยกระดับองค์กรอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งองค์กร จนเป็นที่ประจักษ์ ด้วยผลดําเนินงาน ยอดค้ําประกันสินเชื่อ ก้าวกระโดดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 245,000 ล้านบาท
สําหรับแผนการดําเนินงานในปี 2565 บสย.ได้เพิ่มความเข้มข้น ยกระดับมาตรฐานให้ดีขึ้น ด้วย 2 บทบาทสําคัญ คือ บทบาท Credit Enhancer และบทบาท Financial Advisor ให้คําปรึกษา และเป็นหมอหนี้ แก้หนี้ให้ผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้แผนงาน STP คือ 1. Segmentation การแบ่งกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs 2. Target กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีปัญหาด้านหลักทรัพย์ค้ําประกัน และต้องการหนังสือค้ําประกันของ บสย. สําหรับประกอบการกู้เงินกับสถาบันการเงิน และ 3. Position ซึ่งขณะนี้กําลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา
นอกจากนี้ยังได้นําเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ TQA มาใช้ในการวางแนวทางการบริหารจัดการองค์กร เพื่อตอบโจทย์ทุกมิติ ได้แก่ การ Transformation โดยทบทวน วิสัยทัศน์ พันธกิจ การวางยุทธศาสตร์ใหม่ ๆ มุ่งเน้นการทํา Digital Transformation การปรับสัดส่วนโครงสร้างองค์กร ทั้ง Front Middle และ Back การพัฒนา Core Competency ทั้งองค์กรและบุคลากร การพัฒนากระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ SMEs ทุกมิติ และการพัฒนาองค์กรต่อเนื่องทั้ง 4 P’s ได้แก่
1. Process ที่เน้นกระบวนการ Automation เพื่อให้ได้ Data จากการบริการมาเชื่อมโยง
2. Product การออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่ตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้าโดยทํา VOC และ VOS และ Data ที่ได้จากการบริการมาปรับปรุง
3. People เน้นสร้างนวัตกรรมองค์กรด้วย Culture ที่เรียกว่า TCG Fast & First รวดเร็ว รอบคอบ เป็นที่หนึ่งในใจ SMEs โดยการ Reskill Upskill บุคคลากร
4. Platform การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน Digital เพื่อเป็น Gateway ให้ SMEs เข้าสู่ระบบของสถาบันการเงินได้ง่ายขึ้น
ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา บสย. ยึดหลักการทํางานสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า โดยรางวัลอันทรงเกียรตินี้ จะตอกย้ําความมั่นใจให้กับคู่ค้า พันธมิตร และ Stakeholder พร้อมก้าวไปข้างหน้ากับ บสย. เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ “การเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเงินทุนและโอกาสทางธุรกิจแห่งชาติให้กับ ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน”
“ในฐานะผู้นําองค์กร ผมมีความภาคภูมิใจ ในความร่วมมือร่วมใจของพนักงานทุกท่าน และจะร่วมผลักดันองค์กรเพื่อขับเคลื่อน บสย. ให้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs ด้วยแนวคิด TCG Fast & First รวดเร็ว รอบคอบ เป็นที่หนึ่งในใจ SMEs ถือเป็นเกียรติประวัติสูงสุดกับการได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้” ผู้บริหารกล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บสย. รับรางวัล TQC การบริหารสู่ความเป็นเลิศ โดดเด่นด้านพัฒนา - ยกระดับองค์กร
วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565
บสย. รับรางวัล TQC การบริหารสู่ความเป็นเลิศ โดดเด่นด้านพัฒนา - ยกระดับองค์กร
บสย. ประกาศศักยภาพ รับรางวัล TQC การบริหารสู่ความเป็นเลิศ Thailand Quality Class : TQC 2021 โดดเด่นด้านการพัฒนา-ยกระดับองค์กร ครั้งที่ 20 ประจําปี 2564
บสย. ประกาศศักยภาพ รับรางวัล TQC การบริหารสู่ความเป็นเลิศ Thailand Quality Class : TQC 2021 โดดเด่นด้านการพัฒนา-ยกระดับองค์กร ครั้งที่ 20 ประจําปี 2564 พร้อมเดินหน้าพัฒนาและยกระดับมาตรฐานองค์กรสู่การเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเงินทุน และโอกาสทางธุรกิจแห่งชาติให้กับผู้ประกอบการ SMEs เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน
นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า บสย. ได้รับรางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ Thailand Quality Class : TQC 2021 โดดเด่นด้านการพัฒนา-ยกระดับองค์กร ครั้งที่ 20 ประจําปี 2564 โดยมี นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ประจําปี 2564 (Thailand Quality Award : TQA) พร้อมด้วย นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ผศ.ดร.อธิศานต์ วายุภาพ ผู้อํานวยการสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ในฐานะกรรมการและเลขานุการคณะกรรมการรางวัลคุณภาพแห่งชาติ และคณะผู้บริหารบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้าร่วมในพิธีมอบรางวัล จัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ในฐานะสํานักงานรางวัลคุณภาพแห่งชาติ ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพ ฯ เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2565
รางวัลการบริหารสู่ความเป็นเลิศ (TQC) คือรางวัลอันทรงเกียรติที่สะท้อนความมุ่งมั่น ทุ่มเทด้านการพัฒนาและยกระดับองค์กรอย่างต่อเนื่องยาวนานกว่า 30 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งองค์กร จนเป็นที่ประจักษ์ ด้วยผลดําเนินงาน ยอดค้ําประกันสินเชื่อ ก้าวกระโดดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 245,000 ล้านบาท
สําหรับแผนการดําเนินงานในปี 2565 บสย.ได้เพิ่มความเข้มข้น ยกระดับมาตรฐานให้ดีขึ้น ด้วย 2 บทบาทสําคัญ คือ บทบาท Credit Enhancer และบทบาท Financial Advisor ให้คําปรึกษา และเป็นหมอหนี้ แก้หนี้ให้ผู้ประกอบการ SMEs ภายใต้แผนงาน STP คือ 1. Segmentation การแบ่งกลุ่มผู้ประกอบการ SMEs 2. Target กลุ่มผู้ประกอบการ SMEs ที่มีปัญหาด้านหลักทรัพย์ค้ําประกัน และต้องการหนังสือค้ําประกันของ บสย. สําหรับประกอบการกู้เงินกับสถาบันการเงิน และ 3. Position ซึ่งขณะนี้กําลังอยู่ในระหว่างการพัฒนา
นอกจากนี้ยังได้นําเกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ TQA มาใช้ในการวางแนวทางการบริหารจัดการองค์กร เพื่อตอบโจทย์ทุกมิติ ได้แก่ การ Transformation โดยทบทวน วิสัยทัศน์ พันธกิจ การวางยุทธศาสตร์ใหม่ ๆ มุ่งเน้นการทํา Digital Transformation การปรับสัดส่วนโครงสร้างองค์กร ทั้ง Front Middle และ Back การพัฒนา Core Competency ทั้งองค์กรและบุคลากร การพัฒนากระบวนการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ SMEs ทุกมิติ และการพัฒนาองค์กรต่อเนื่องทั้ง 4 P’s ได้แก่
1. Process ที่เน้นกระบวนการ Automation เพื่อให้ได้ Data จากการบริการมาเชื่อมโยง
2. Product การออกแบบผลิตภัณฑ์ ที่ตอบโจทย์ Pain Point ของลูกค้าโดยทํา VOC และ VOS และ Data ที่ได้จากการบริการมาปรับปรุง
3. People เน้นสร้างนวัตกรรมองค์กรด้วย Culture ที่เรียกว่า TCG Fast & First รวดเร็ว รอบคอบ เป็นที่หนึ่งในใจ SMEs โดยการ Reskill Upskill บุคคลากร
4. Platform การสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน Digital เพื่อเป็น Gateway ให้ SMEs เข้าสู่ระบบของสถาบันการเงินได้ง่ายขึ้น
ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา บสย. ยึดหลักการทํางานสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า โดยรางวัลอันทรงเกียรตินี้ จะตอกย้ําความมั่นใจให้กับคู่ค้า พันธมิตร และ Stakeholder พร้อมก้าวไปข้างหน้ากับ บสย. เพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ “การเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงเงินทุนและโอกาสทางธุรกิจแห่งชาติให้กับ ผู้ประกอบการ SMEs เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน”
“ในฐานะผู้นําองค์กร ผมมีความภาคภูมิใจ ในความร่วมมือร่วมใจของพนักงานทุกท่าน และจะร่วมผลักดันองค์กรเพื่อขับเคลื่อน บสย. ให้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs ด้วยแนวคิด TCG Fast & First รวดเร็ว รอบคอบ เป็นที่หนึ่งในใจ SMEs ถือเป็นเกียรติประวัติสูงสุดกับการได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้” ผู้บริหารกล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54721 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย “นายกฯ” มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย | วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565
รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย “นายกฯ” มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดําเนินการให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย “นายกฯ” มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดําเนินการให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (17 มิ.ย.65) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย พร้อมคณะผู้แทนของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนําเสนอประเด็นปัญหาและติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมง พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายงานบทสรุปนโยบายของมูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) ที่ได้เสนอต่อรัฐบาลไทย โดยมีนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง เข้าร่วมด้วย สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
คณะผู้แทนของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ดูแลช่วยเหลือชาวประมงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้สินเชื่อเงินกู้ชาวประมงที่ได้มีการดําเนินการทันทีหลังนายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สําหรับประเด็นข้อเสนอของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยที่จะให้รัฐบาลดําเนินการ เช่น ขอความอนุเคราะห์ช่วยผลักดันการแก้ไขกฎหมายประมงทั้งฉบับ เนื่องจากการออกกฎหมายประมงขาดการมีส่วนร่วม อาทิ พระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 และ 2560 เร่งรัดแก้ไขกฎหมายลูก (กฎกระทรวงในการออกใบอนุญาตทางการประมง) เพื่อเป็นการบูรณาการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ การแก้ไขปัญหาการนําเข้าสัตว์น้ําจากต่างประเทศ ขอให้ผลักดันเร่งออกประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หนังสือคนประจําเรือ พ.ศ. .... และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจําพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษฯ เพื่อให้แรงงานประมงได้ต่ออายุและทํางานในเรือประมงโดยเร็ว การเร่งผลักดันกระบวนการนิรโทษกรรมเครื่องวิทยุในเรือประมง เป็นต้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดําเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมงมีความก้าวหน้าโดยลําดับ ซึ่งรัฐบาลพร้อมรับฟังข้อมูลและข้อเสนอต่าง ๆ ของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมประมง รับไปพิจารณาดําเนินการให้เป็นไปอย่างเหมาะสม พิจารณาตามความความจําเป็นเร่งด่วน ดําเนินการให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดําเนินการอย่างเป็นระบนตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการดูแลเรื่องราคาพลังงานและน้ํามันด้วยว่า รัฐบาลจะทําให้ดีที่สุด ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นสําคัญ ทั้งนี้ เชื่อว่าหากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซียดีขึ้น จะทําให้สถานการณ์ราคาน้ํามันและพลังงานคลี่คลายดีขึ้น
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย “นายกฯ” มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565
รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย “นายกฯ” มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดําเนินการให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
รัฐบาลพร้อมรับฟังข้อเสนอสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย “นายกฯ” มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดําเนินการให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (17 มิ.ย.65) เวลา 13.30 น. ณ ห้องสีม่วง ตึกไทยคู่ฟ้า ทําเนียบรัฐบาล นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย พร้อมคณะผู้แทนของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย เข้าพบ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อนําเสนอประเด็นปัญหาและติดตามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมง พร้อมชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับรายงานบทสรุปนโยบายของมูลนิธิความยุติธรรมเชิงสิ่งแวดล้อม (Environmental Justice Foundation: EJF) ที่ได้เสนอต่อรัฐบาลไทย โดยมีนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายเฉลิมชัย สุวรรณรักษ์ อธิบดีกรมประมง เข้าร่วมด้วย สรุปสาระสําคัญ ดังนี้
คณะผู้แทนของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กล่าวขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลที่ดูแลช่วยเหลือชาวประมงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการให้สินเชื่อเงินกู้ชาวประมงที่ได้มีการดําเนินการทันทีหลังนายกรัฐมนตรีสั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สําหรับประเด็นข้อเสนอของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทยที่จะให้รัฐบาลดําเนินการ เช่น ขอความอนุเคราะห์ช่วยผลักดันการแก้ไขกฎหมายประมงทั้งฉบับ เนื่องจากการออกกฎหมายประมงขาดการมีส่วนร่วม อาทิ พระราชกําหนดการประมง พ.ศ. 2558 และ 2560 เร่งรัดแก้ไขกฎหมายลูก (กฎกระทรวงในการออกใบอนุญาตทางการประมง) เพื่อเป็นการบูรณาการแก้ไขปัญหาทั้งระบบ การแก้ไขปัญหาการนําเข้าสัตว์น้ําจากต่างประเทศ ขอให้ผลักดันเร่งออกประกาศสํานักนายกรัฐมนตรี เรื่อง หนังสือคนประจําเรือ พ.ศ. .... และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจําพวกเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษฯ เพื่อให้แรงงานประมงได้ต่ออายุและทํางานในเรือประมงโดยเร็ว การเร่งผลักดันกระบวนการนิรโทษกรรมเครื่องวิทยุในเรือประมง เป็นต้น
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการดําเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชาวประมงมีความก้าวหน้าโดยลําดับ ซึ่งรัฐบาลพร้อมรับฟังข้อมูลและข้อเสนอต่าง ๆ ของสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมประมง รับไปพิจารณาดําเนินการให้เป็นไปอย่างเหมาะสม พิจารณาตามความความจําเป็นเร่งด่วน ดําเนินการให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดําเนินการอย่างเป็นระบนตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการดูแลเรื่องราคาพลังงานและน้ํามันด้วยว่า รัฐบาลจะทําให้ดีที่สุด ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยยึดผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศเป็นสําคัญ ทั้งนี้ เชื่อว่าหากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซียดีขึ้น จะทําให้สถานการณ์ราคาน้ํามันและพลังงานคลี่คลายดีขึ้น
-----------------
กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สํานักโฆษก | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55833 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยืนยันต่างชาติสนใจลงทุนธุรกิจในประเทศ ชี้ครึ่งปีแรกมีเม็ดเงินลงทุนเกือบ 70,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 เกือบ 30,000 ล้านบาท ย้ำมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนอย่างเต็มที่ | วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565
นายกฯ ยืนยันต่างชาติสนใจลงทุนธุรกิจในประเทศ ชี้ครึ่งปีแรกมีเม็ดเงินลงทุนเกือบ 70,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 เกือบ 30,000 ล้านบาท ย้ํามุ่งมั่นเดินหน้าทํางานเพื่อประชาชนอย่างเต็มที่
นายกฯ ยืนยันต่างชาติสนใจลงทุนธุรกิจในประเทศ ชี้ครึ่งปีแรกมีเม็ดเงินลงทุนเกือบ 70,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 เกือบ 30,000 ล้านบาท ย้ํา มุ่งมั่นเดินหน้าทํางานเพื่อประชาชนอย่างเต็มที่ ขอทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน
วันนี้ (26 กรกฎาคม 2565) เวลา 13.00 น. ณ โถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงกรณีที่มีการปล่อยข่าวว่า ประเทศไทยไม่ใช่เป้าหมายในการลงทุนที่สําคัญของโลกหรือของภูมิภาคต่าง ๆ นั้นเป็นข้อมูลที่บิดเบือน ไม่เป็นความจริง ซึ่งจากรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเกือบ 70,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 เกือบ 30,000 ล้านบาท จ้างคนไทยกว่า 3 พันคน โดยประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดสามอันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และการขอรับหนังสือรับรองการประกอบกิจการของคนต่างด้าว เมื่อเทียบกับปี 2564 มีผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น มีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการพบปะหารือกับสมาคมภาคธุรกิจต่าง ๆ และมีความก้าวหน้าด้านการขอรับสิทธิ์ประโยชน์เพื่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในหลายพื้นที่ ประกอบด้วยหลายกิจการ ทั้งธุรกิจรูปแบบเดิมและธุรกิจใหม่ ๆ โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า ในเวลานี้หลายประเทศทั่วโลกกําลังเผชิญกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งประเทศไทยกําลังเผชิญกับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงแต่ส่งผลดีต่อการส่งออก แม้อาจจะส่งผลกระทบกับปัญหาการนําเข้า แต่สถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศมหาอํานาจและกลุ่มประเทศต่าง ๆ เป็นสิ่งสําคัญ เพราะมีผลกระทบกับกับอัตราเงินเฟ้อ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังมีผลกระทบต่อเงินทุนไหลเข้า-ไหลออกด้วย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังกําลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งได้กําชับให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนมากจนเกินไป
นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ขอใช้เวลาที่มีอยู่ในการทํางานด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่เพื่อการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย โดยไม่ก้าวล่วงอํานาจทางกฎหมายของหน่วยงานใด พร้อมขอความร่วมมือทุกคนปฏิบัติตนภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย หากกระทําผิดต้องได้รับการดําเนินการตรวจสอบอย่างเท่าเทียม เพราะทุกคนอยู่ภายใต้กฎกติกาและกระบวนการยุติธรรมเดียวกัน ไม่มีใครมีสิทธิพิเศษใดเหนือบุคคลอื่น พร้อมเน้นย้ําการทํางานที่สุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยขอบคุณทุกฝ่ายที่ได้ช่วยกันทําข้อมูลให้รัฐบาลได้ชี้แจงให้ประชาชนรับทราบ และสร้างความเข้าใจให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในหลายประเด็น ซึ่งเรื่องใดที่เป็นประโยชน์รัฐบาลก็จะนําไปแก้ไข และปรับปรุงการทํางานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อประโยชน์ของประชาชน | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ยืนยันต่างชาติสนใจลงทุนธุรกิจในประเทศ ชี้ครึ่งปีแรกมีเม็ดเงินลงทุนเกือบ 70,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 เกือบ 30,000 ล้านบาท ย้ำมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานเพื่อประชาชนอย่างเต็มที่
วันอังคารที่ 26 กรกฎาคม 2565
นายกฯ ยืนยันต่างชาติสนใจลงทุนธุรกิจในประเทศ ชี้ครึ่งปีแรกมีเม็ดเงินลงทุนเกือบ 70,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 เกือบ 30,000 ล้านบาท ย้ํามุ่งมั่นเดินหน้าทํางานเพื่อประชาชนอย่างเต็มที่
นายกฯ ยืนยันต่างชาติสนใจลงทุนธุรกิจในประเทศ ชี้ครึ่งปีแรกมีเม็ดเงินลงทุนเกือบ 70,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 64 เกือบ 30,000 ล้านบาท ย้ํา มุ่งมั่นเดินหน้าทํางานเพื่อประชาชนอย่างเต็มที่ ขอทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน
วันนี้ (26 กรกฎาคม 2565) เวลา 13.00 น. ณ โถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทําเนียบรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงกรณีที่มีการปล่อยข่าวว่า ประเทศไทยไม่ใช่เป้าหมายในการลงทุนที่สําคัญของโลกหรือของภูมิภาคต่าง ๆ นั้นเป็นข้อมูลที่บิดเบือน ไม่เป็นความจริง ซึ่งจากรายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจโดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเกือบ 70,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 เกือบ 30,000 ล้านบาท จ้างคนไทยกว่า 3 พันคน โดยประเทศที่เข้ามาลงทุนมากที่สุดสามอันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทยผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และการขอรับหนังสือรับรองการประกอบกิจการของคนต่างด้าว เมื่อเทียบกับปี 2564 มีผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น มีเม็ดเงินลงทุนเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการพบปะหารือกับสมาคมภาคธุรกิจต่าง ๆ และมีความก้าวหน้าด้านการขอรับสิทธิ์ประโยชน์เพื่อเข้ามาลงทุนในประเทศไทยในหลายพื้นที่ ประกอบด้วยหลายกิจการ ทั้งธุรกิจรูปแบบเดิมและธุรกิจใหม่ ๆ โดยนายกรัฐมนตรีเน้นย้ําว่า ในเวลานี้หลายประเทศทั่วโลกกําลังเผชิญกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งประเทศไทยกําลังเผชิญกับปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าลงแต่ส่งผลดีต่อการส่งออก แม้อาจจะส่งผลกระทบกับปัญหาการนําเข้า แต่สถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้น ทั้งนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของประเทศมหาอํานาจและกลุ่มประเทศต่าง ๆ เป็นสิ่งสําคัญ เพราะมีผลกระทบกับกับอัตราเงินเฟ้อ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังมีผลกระทบต่อเงินทุนไหลเข้า-ไหลออกด้วย โดยธนาคารแห่งประเทศไทย และกระทรวงการคลังกําลังติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งได้กําชับให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังไม่ให้เกิดผลกระทบกับประชาชนมากจนเกินไป
นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ขอใช้เวลาที่มีอยู่ในการทํางานด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่เพื่อการแก้ไขปัญหาให้ประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้บ้านเมืองสงบเรียบร้อย โดยไม่ก้าวล่วงอํานาจทางกฎหมายของหน่วยงานใด พร้อมขอความร่วมมือทุกคนปฏิบัติตนภายใต้บทบัญญัติของกฎหมาย หากกระทําผิดต้องได้รับการดําเนินการตรวจสอบอย่างเท่าเทียม เพราะทุกคนอยู่ภายใต้กฎกติกาและกระบวนการยุติธรรมเดียวกัน ไม่มีใครมีสิทธิพิเศษใดเหนือบุคคลอื่น พร้อมเน้นย้ําการทํางานที่สุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยขอบคุณทุกฝ่ายที่ได้ช่วยกันทําข้อมูลให้รัฐบาลได้ชี้แจงให้ประชาชนรับทราบ และสร้างความเข้าใจให้เกิดความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในหลายประเด็น ซึ่งเรื่องใดที่เป็นประโยชน์รัฐบาลก็จะนําไปแก้ไข และปรับปรุงการทํางานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อประโยชน์ของประชาชน | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57294 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. ผนึกกำลัง 9 เครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษา จัดงาน CWIE DAY ครั้งที่ 12 "ขับเคลื่อนอุดมศึกษา สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” | วันอังคารที่ 21 มิถุนายน 2565
อว. ผนึกกําลัง 9 เครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษา จัดงาน CWIE DAY ครั้งที่ 12 "ขับเคลื่อนอุดมศึกษา สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน”
อว. ผนึกกําลัง 9 เครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษา จัดงาน CWIE DAY ครั้งที่ 12 "ขับเคลื่อนอุดมศึกษา สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน”
จันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565 : ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “วันสหกิจศึกษาบูรณาการกับการทํางาน (CWIE DAY)” ครั้งที่ 12 ประจําปี พ.ศ.2565 พรัอมด้วย ศ.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว. และคณะผู้บริหาร คณะกรรมการบริหารโครงการ จาก อว. โดยมีกิจกรรมสําคัญๆ อาทิ การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Partnership for Sustainable Development Goals” โดย ศาสตราจารย์ ดร. วิจิตร ศรีสอ้าน การเสวนา ในหัวข้อ “CWIE และ EEC Model Type A เพื่อรองรับความต้องการ ของตลาดแรงงาน” โดยผู้แทนสถาบันอุดมศึกษา สถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐ และพิธีมอบรางวัล CWIE ดีเด่นระดับชาติ ประจําปี พ.ศ. 2565 การแสดงผลงาน CWIE ที่มีผลงานโดดเด่นในระดับประเทศ การแสดงนิทรรศการผลการดําเนินงาน CWIE ของ 9 เครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษา และสถานประกอบการที่ร่วมดําเนินการ CWIE และการชมศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้ EEC NET โดยได้รับการต้อนรับจาก รศ.ดร.วัชรินทร์ กาสลัก ประธานเครือข่ายอุดมศึกษาภาคตะวันออก และอธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร งานดังกล่าวจัดขึ้น ณ BBS Auditorium ชั้น ๕ อาคารเฉลิมพระเกียรติ คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี
ดร.ดนุช ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า "การจัดงานวันสหกิจศึกษาบูรณาการกับการทํางาน หรือ CWIE DAY ครั้งที่ 12 ประจําปี พ.ศ. 2565 ภายใต้แนวคิด “CWIE ร่วมขับเคลื่อนอุดมศึกษา สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” เป็นกิจกรรมสําคัญที่สะท้อนภาพความเข้มแข็งของความร่วมมือระหว่าง สถาบันอุดมศึกษา สถานประกอบการ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นเวทีกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถ่ายทอดประสบการณ์เกี่ยวกับการดําเนินงาน CWIE ซึ่งจะเป็นแนวทางในการพัฒนา CWIE ให้ก้าวหน้าและยั่งยืน การจัดการเรียนการสอนแบบสหกิจศึกษาและการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทํางาน หรือ CWIE ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ Curriculum Redesign และ New Learning Platform เป็นการสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้เรียนเปิดโอกาสให้ผู้ใช้บัณฑิตร่วมออกแบบหลักสูตรและกําหนดสมรรถนะ (Co-design) สร้างความสมดุลและเชื่อมโยงทฤษฎีกับการปฏิบัติ (Theory-Practice) ความรู้และประสบการณ์ (Knowledge -Experience) และสถาบันอุดมศึกษากับสถานประกอบการ (University-Workplace Engagement) ที่สําคัญ คือ การเชื่อมกับการได้งานทํา (Job Creation) เมื่อจบการศึกษาก็ทํางานในตําแหน่งนั้น ๆ ได้ทันทีหรือใช้ประสบการณ์ที่ได้ไปสร้างธุรกิจของตนเอง ซึ่งนักศึกษาที่ไม่เข้าเรียน CWIE จะไม่มีโอกาสดังกล่าว"
"อว. ส่งเสริมให้มีการดําเนินงาน CWIE มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ทําให้เกิดการเชื่อมโยงนักศึกษา สถาบันอุดมศึกษาและสถานประกอบการเข้าด้วยกัน รวมทั้ง มีการขยายภาคีความร่วมมือไปยังองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน สมาคมวิชาการและสมาคมวิชาชีพ โดยมีเครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษา 9 เครือข่าย ที่มีสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศเป็นสมาชิก เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการดําเนินงาน ทําให้เกิดความต่อเนื่องในการผลิตบัณฑิตที่มีประสบการณ์จากการทํางาน สามารถมองเห็นแนวทางการประกอบอาชีพในอนาคต และมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของสถานประกอบการและตลาดงาน" ดร.ดนุช กล่าว
ด้าน ศ.ศุภชัย รองปลัดกระทรวง กล่าวเพิ่มเติมว่า อว. ส่งเสริมและสนับสนุนให้สถาบันอุดมศึกษาร่วมกับสถานประกอบการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นสมรรถนะของนักศึกษาทั้งในรูปแบบสหกิจศึกษา และปรับเปลี่ยนเป็น CWIE ในปี 2562 โดยมีเครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษา 9 เครือข่ายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เป็นกลไกขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง ได้เห็นพัฒนาการและความก้าวหน้าของการยกระดับคุณภาพบัณฑิตไทย ปัจจุบันมีสถาบันอุดมศึกษาจัด CWIE เกือบ 100 แห่ง สามารถผลิตบัณฑิตสู่โลกของการทํางานจริงได้มากกว่า 79,000 คน มีสถานประกอบการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรจัด CWIE เกือบ 20,000 แห่ง โดย อว. กําหนดเป้าหมายการเพิ่มนักศึกษา CWIE เป็น 2 เท่าหรือประมาณอีก 100,000 คน ภายในปี พ.ศ. 2567 | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อว. ผนึกกำลัง 9 เครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษา จัดงาน CWIE DAY ครั้งที่ 12 "ขับเคลื่อนอุดมศึกษา สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน”
วันอังคารที่ 21 มิถุนายน 2565
อว. ผนึกกําลัง 9 เครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษา จัดงาน CWIE DAY ครั้งที่ 12 "ขับเคลื่อนอุดมศึกษา สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน”
อว. ผนึกกําลัง 9 เครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษา จัดงาน CWIE DAY ครั้งที่ 12 "ขับเคลื่อนอุดมศึกษา สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน”
จันทร์ที่ 6 มิถุนายน 2565 : ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “วันสหกิจศึกษาบูรณาการกับการทํางาน (CWIE DAY)” ครั้งที่ 12 ประจําปี พ.ศ.2565 พรัอมด้วย ศ.ศุภชัย ปทุมนากุล รองปลัดกระทรวง อว. และคณะผู้บริหาร คณะกรรมการบริหารโครงการ จาก อว. โดยมีกิจกรรมสําคัญๆ อาทิ การปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “Partnership for Sustainable Development Goals” โดย ศาสตราจารย์ ดร. วิจิตร ศรีสอ้าน การเสวนา ในหัวข้อ “CWIE และ EEC Model Type A เพื่อรองรับความต้องการ ของตลาดแรงงาน” โดยผู้แทนสถาบันอุดมศึกษา สถานประกอบการ และหน่วยงานของรัฐ และพิธีมอบรางวัล CWIE ดีเด่นระดับชาติ ประจําปี พ.ศ. 2565 การแสดงผลงาน CWIE ที่มีผลงานโดดเด่นในระดับประเทศ การแสดงนิทรรศการผลการดําเนินงาน CWIE ของ 9 เครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษา และสถานประกอบการที่ร่วมดําเนินการ CWIE และการชมศูนย์เครือข่ายการเรียนรู้ EEC NET โดยได้รับการต้อนรับจาก รศ.ดร.วัชรินทร์ กาสลัก ประธานเครือข่ายอุดมศึกษาภาคตะวันออก และอธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร งานดังกล่าวจัดขึ้น ณ BBS Auditorium ชั้น ๕ อาคารเฉลิมพระเกียรติ คณะการจัดการและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัยบูรพา จ.ชลบุรี
ดร.ดนุช ผู้ช่วยรัฐมนตรีฯ กล่าวว่า "การจัดงานวันสหกิจศึกษาบูรณาการกับการทํางาน หรือ CWIE DAY ครั้งที่ 12 ประจําปี พ.ศ. 2565 ภายใต้แนวคิด “CWIE ร่วมขับเคลื่อนอุดมศึกษา สู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” เป็นกิจกรรมสําคัญที่สะท้อนภาพความเข้มแข็งของความร่วมมือระหว่าง สถาบันอุดมศึกษา สถานประกอบการ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเป็นเวทีกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และถ่ายทอดประสบการณ์เกี่ยวกับการดําเนินงาน CWIE ซึ่งจะเป็นแนวทางในการพัฒนา CWIE ให้ก้าวหน้าและยั่งยืน การจัดการเรียนการสอนแบบสหกิจศึกษาและการศึกษาเชิงบูรณาการกับการทํางาน หรือ CWIE ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของ Curriculum Redesign และ New Learning Platform เป็นการสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้เรียนเปิดโอกาสให้ผู้ใช้บัณฑิตร่วมออกแบบหลักสูตรและกําหนดสมรรถนะ (Co-design) สร้างความสมดุลและเชื่อมโยงทฤษฎีกับการปฏิบัติ (Theory-Practice) ความรู้และประสบการณ์ (Knowledge -Experience) และสถาบันอุดมศึกษากับสถานประกอบการ (University-Workplace Engagement) ที่สําคัญ คือ การเชื่อมกับการได้งานทํา (Job Creation) เมื่อจบการศึกษาก็ทํางานในตําแหน่งนั้น ๆ ได้ทันทีหรือใช้ประสบการณ์ที่ได้ไปสร้างธุรกิจของตนเอง ซึ่งนักศึกษาที่ไม่เข้าเรียน CWIE จะไม่มีโอกาสดังกล่าว"
"อว. ส่งเสริมให้มีการดําเนินงาน CWIE มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ทําให้เกิดการเชื่อมโยงนักศึกษา สถาบันอุดมศึกษาและสถานประกอบการเข้าด้วยกัน รวมทั้ง มีการขยายภาคีความร่วมมือไปยังองค์กรภาครัฐ ภาคเอกชน ชุมชน สมาคมวิชาการและสมาคมวิชาชีพ โดยมีเครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษา 9 เครือข่าย ที่มีสถาบันอุดมศึกษาทั่วประเทศเป็นสมาชิก เป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนการดําเนินงาน ทําให้เกิดความต่อเนื่องในการผลิตบัณฑิตที่มีประสบการณ์จากการทํางาน สามารถมองเห็นแนวทางการประกอบอาชีพในอนาคต และมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการของสถานประกอบการและตลาดงาน" ดร.ดนุช กล่าว
ด้าน ศ.ศุภชัย รองปลัดกระทรวง กล่าวเพิ่มเติมว่า อว. ส่งเสริมและสนับสนุนให้สถาบันอุดมศึกษาร่วมกับสถานประกอบการจัดการเรียนการสอนแบบเน้นสมรรถนะของนักศึกษาทั้งในรูปแบบสหกิจศึกษา และปรับเปลี่ยนเป็น CWIE ในปี 2562 โดยมีเครือข่ายพัฒนาสหกิจศึกษา 9 เครือข่ายทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เป็นกลไกขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง ได้เห็นพัฒนาการและความก้าวหน้าของการยกระดับคุณภาพบัณฑิตไทย ปัจจุบันมีสถาบันอุดมศึกษาจัด CWIE เกือบ 100 แห่ง สามารถผลิตบัณฑิตสู่โลกของการทํางานจริงได้มากกว่า 79,000 คน มีสถานประกอบการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรจัด CWIE เกือบ 20,000 แห่ง โดย อว. กําหนดเป้าหมายการเพิ่มนักศึกษา CWIE เป็น 2 เท่าหรือประมาณอีก 100,000 คน ภายในปี พ.ศ. 2567 | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55927 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย โควิดแพร่ในกลุ่มเด็กเล็ก 0 - 4 ปี มากขึ้น ย้ำพ่อแม่เฝ้าสังเกตอาการ | วันอังคารที่ 5 เมษายน 2565
สธ. เผย โควิดแพร่ในกลุ่มเด็กเล็ก 0 - 4 ปี มากขึ้น ย้ําพ่อแม่เฝ้าสังเกตอาการ
.....
กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคโควิด-19 ขณะนี้เริ่มพบการแพร่เชื้อในกลุ่มเด็กเล็กเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเด็กอายุ 0 - 4 ปี เนื่องจากยังไม่สามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้ ซึ่งในระลอกโอมิครอนพบเสียชีวิตแล้ว 27 ราย ส่วนใหญ่มีโรคประจําตัว จึงขอให้ผู้ปกครองเฝ้าระวังและสังเกตอาการเด็กที่มีโรคประจําตัวอย่างใกล้ชิด หากมีอาการป่วยผิดปกติ หรือคนในบ้านเป็นผู้ป่วยโควิดหรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ต้องรีบพาเด็กที่เริ่มมีอาการป่วยไปพบแพทย์โดยเร็ว
.
กลุ่มเด็กเล็กอายุ 0 - 6 เดือน มีความเสี่ยงที่ป่วยแล้วจะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตมากที่สุด ส่วนกลุ่มอายุ 5 - 12 ปี การเสียชีวิตค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะระลอกโอมิครอนนี้มีเพียง 3 ราย หรืออัตราตายน้อยกว่า 0.01% ดังนั้น กลุ่มวัยเรียนอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป การรับวัคซีนจะช่วยป้องกันการป่วยหนักได้อย่างดี
.
ปัจจัยสําคัญที่มีผลต่อการระบาดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กลุ่มเสี่ยงที่ป่วยแล้วจะอาการหนัก 3 กลุ่ม คือ 1.ผู้สูงวัยที่ไม่ค่อยออกนอกบ้านหรือกลุ่มติดเตียง ส่วนใหญ่รับเชื้อจากผู้ดูแล ญาติในบ้าน ผู้ที่มาเยี่ยม 2.กลุ่ม 608 ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ส่วนใหญ่ติดเชื้อจากการไปสังสรรค์กับเพื่อน/คนรู้จัก หรือไปสถานที่แออัด เช่น ตลาด ร้านอาหาร เป็นต้น 3.เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี จึงต้องย้ํากลุ่มเด็กวัยเรียนและวัยทํางานให้ระมัดระวังเพราะเป็นกลุ่มที่มีการติดเชื้อสูงและอาจนําไปแพร่ให้กับ 3 กลุ่มเสี่ยงนี้ได้
#ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เผย โควิดแพร่ในกลุ่มเด็กเล็ก 0 - 4 ปี มากขึ้น ย้ำพ่อแม่เฝ้าสังเกตอาการ
วันอังคารที่ 5 เมษายน 2565
สธ. เผย โควิดแพร่ในกลุ่มเด็กเล็ก 0 - 4 ปี มากขึ้น ย้ําพ่อแม่เฝ้าสังเกตอาการ
.....
กระทรวงสาธารณสุข เผยสถานการณ์โรคโควิด-19 ขณะนี้เริ่มพบการแพร่เชื้อในกลุ่มเด็กเล็กเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเด็กอายุ 0 - 4 ปี เนื่องจากยังไม่สามารถรับวัคซีนโควิด-19 ได้ ซึ่งในระลอกโอมิครอนพบเสียชีวิตแล้ว 27 ราย ส่วนใหญ่มีโรคประจําตัว จึงขอให้ผู้ปกครองเฝ้าระวังและสังเกตอาการเด็กที่มีโรคประจําตัวอย่างใกล้ชิด หากมีอาการป่วยผิดปกติ หรือคนในบ้านเป็นผู้ป่วยโควิดหรือผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ต้องรีบพาเด็กที่เริ่มมีอาการป่วยไปพบแพทย์โดยเร็ว
.
กลุ่มเด็กเล็กอายุ 0 - 6 เดือน มีความเสี่ยงที่ป่วยแล้วจะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตมากที่สุด ส่วนกลุ่มอายุ 5 - 12 ปี การเสียชีวิตค่อนข้างน้อย โดยเฉพาะระลอกโอมิครอนนี้มีเพียง 3 ราย หรืออัตราตายน้อยกว่า 0.01% ดังนั้น กลุ่มวัยเรียนอายุตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป การรับวัคซีนจะช่วยป้องกันการป่วยหนักได้อย่างดี
.
ปัจจัยสําคัญที่มีผลต่อการระบาดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กลุ่มเสี่ยงที่ป่วยแล้วจะอาการหนัก 3 กลุ่ม คือ 1.ผู้สูงวัยที่ไม่ค่อยออกนอกบ้านหรือกลุ่มติดเตียง ส่วนใหญ่รับเชื้อจากผู้ดูแล ญาติในบ้าน ผู้ที่มาเยี่ยม 2.กลุ่ม 608 ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ส่วนใหญ่ติดเชื้อจากการไปสังสรรค์กับเพื่อน/คนรู้จัก หรือไปสถานที่แออัด เช่น ตลาด ร้านอาหาร เป็นต้น 3.เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 5 ปี จึงต้องย้ํากลุ่มเด็กวัยเรียนและวัยทํางานให้ระมัดระวังเพราะเป็นกลุ่มที่มีการติดเชื้อสูงและอาจนําไปแพร่ให้กับ 3 กลุ่มเสี่ยงนี้ได้
#ไทยคู่ฟ้า #ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53325 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยัน สธ. เตรียมพร้อมรับมือโอไมครอน เชื่อมั่นการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้ผล พร้อมยืนยันรัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน เพื่อนำมาพิจารณาร่วมกัน | วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2564
นายกรัฐมนตรียืนยัน สธ. เตรียมพร้อมรับมือโอไมครอน เชื่อมั่นการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้ผล พร้อมยืนยันรัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน เพื่อนํามาพิจารณาร่วมกัน
นายกรัฐมนตรียืนยัน สธ. เตรียมพร้อมรับมือโอไมครอน เชื่อมั่นการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้ผล พร้อมยืนยันรัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน เพื่อนํามาพิจารณาร่วมกันและนําไปสู่การแก้ไขปัญหา
วันนี้ (7 ธันวาคม 2564) เวลา 13.20 น. บริเวณทางเชื่อมตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีการพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมในการรับมือหากมีการแพร่ระบาดหรือหากพบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่ม ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามผู้ที่เดินทางเข้ามาก่อนล่วงหน้าเพื่อตรวจคัดกรองหาเชื้ออีกครั้ง สําหรับมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในรูปแบบ Test & Go ยังคงให้เป็นการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR แทน ATK เพื่อความมั่นใจและความปลอดภัย โดยนายกรัฐมนตรี ย้ําว่า มั่นใจการฉีดวัคซีนจะยังสามารถป้องกันโควิด-19 ได้ทุกสายพันธุ์ ซึ่งวันนี้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต่ํากว่า 4,000 และลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงผลสําเร็จในการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ อย่างไรก็ตาม ยังต้องขอความร่วมมือผู้ประกอบการ สถานบริการ ปฏิบัติตามมาตรการ COVID – Free Setting โดยทุกสถานที่ต้องให้ความสําคัญกับการฉีดวัคซีนแก่พนักงาน เจ้าหน้าที่ อย่างน้อย 2 เข็ม จัดบริเวณ โต๊ะ เก้าอี้ ให้มีระยะห่าง อากาศถ่ายเท พร้อมกับต้องมีตรวจวัดอุณภูมิก่อนเข้าใช้บริการ และขอให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่เสมอ เพื่อเป็นการป้องกันทั้งตนเองและต่อผู้อื่นด้วย
นายกรัฐมนตรียังตอบคําถามสื่อมวลชนถึงการชุมนุมของกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น บริเวณหน้าทําเนียบรัฐบาล ว่า เจ้าหน้าที่ตํารวจมีความจําเป็นต้องสลายการชุมนุมตามกฎหมายเนื่องจากเป็นสถานที่ราชการ และห้ามไม่ให้มีการมั่วสุม สําหรับข้อเรียกร้องของกลุ่มจะนะฯ จะต้องมีการทําประชาพิจารณ์อีกครั้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่ข้อง อาทิ ศอ.บต. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้การดูแล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่ายินดีรับฟังทุกข้อคิดเห็นและความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องพบปะชาวบ้าน ประชาชน เพื่อนําข้อสังเกตมาไปสู่การแก้ไขปัญหาตามกฎหมายและกติกาที่มีอยู่ อาจจะรับปากโดยทันทีไม่ได้เพราะจะต้องมีการหารือพิจารณาร่วมกันของทุกฝ่ายอย่างรอบคอบ โดยนายกรัฐมนตรียังฝากถึงกลุ่มเครือข่ายภาคใต้ที่จะมีเคลื่อนขบวนเรียกร้องเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ว่า ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าไปดูแลและรับฟังปัญหาของประชาชน เพราะอาจมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงได้
สําหรับกรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น นายกรัฐมนตรียังชี้แจงว่า อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาร่วมกันของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีหนี้สินที่เกิดจากการก่อสร้างตั้งแต่ในอดีต แต่จะต้องเร่งแก้ไขเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์โดยเร็ว ซึ่งจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลมุ่งเน้นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่แบ่งแยกคนรวยคนจน และต้องให้ทุกคนเข้าถึงโอกาส ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการ “พลิกโฉมประเทศไทย” ที่จะต้องเพิ่ม GDP ส่งเสริมการลงทุน ให้ประชาชนร่วมคิดไปด้วยกัน ซึ่งรัฐบาลจะใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ให้เกิดประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้ ที่สําคัญคือต้องต่อห่วงโซ่อุปทานทุกกิจกรรม โดยเฉพาะชาวประมงพื้นบ้าน ที่จะต้องเร่งสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน ให้ชาวบ้านเป็นผู้ประกอบการ เช่น การซื้อ-ขาย ปลาได้เองโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง รวมถึงภาคการเกษตรที่จะต้องดูแลตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ดูต้นทุนการผลิตไม่ให้สูงเกินไปสําหรับพืชทุกชนิดไม่ใช่เพียง 5 ชนิดหลัก ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนผ่านมาตรการต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกและสร้างความสุขให้กับประชาชนอีกด้วย
...................... | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรียืนยัน สธ. เตรียมพร้อมรับมือโอไมครอน เชื่อมั่นการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้ผล พร้อมยืนยันรัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน เพื่อนำมาพิจารณาร่วมกัน
วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2564
นายกรัฐมนตรียืนยัน สธ. เตรียมพร้อมรับมือโอไมครอน เชื่อมั่นการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้ผล พร้อมยืนยันรัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน เพื่อนํามาพิจารณาร่วมกัน
นายกรัฐมนตรียืนยัน สธ. เตรียมพร้อมรับมือโอไมครอน เชื่อมั่นการฉีดวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันได้ผล พร้อมยืนยันรัฐบาลยินดีรับฟังความคิดเห็นของทุกภาคส่วน เพื่อนํามาพิจารณาร่วมกันและนําไปสู่การแก้ไขปัญหา
วันนี้ (7 ธันวาคม 2564) เวลา 13.20 น. บริเวณทางเชื่อมตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงกรณีการพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน ว่า กระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมในการรับมือหากมีการแพร่ระบาดหรือหากพบผู้ป่วยติดเชื้อเพิ่ม ซึ่งได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามผู้ที่เดินทางเข้ามาก่อนล่วงหน้าเพื่อตรวจคัดกรองหาเชื้ออีกครั้ง สําหรับมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศในรูปแบบ Test & Go ยังคงให้เป็นการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR แทน ATK เพื่อความมั่นใจและความปลอดภัย โดยนายกรัฐมนตรี ย้ําว่า มั่นใจการฉีดวัคซีนจะยังสามารถป้องกันโควิด-19 ได้ทุกสายพันธุ์ ซึ่งวันนี้ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ต่ํากว่า 4,000 และลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงผลสําเร็จในการฉีดวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ อย่างไรก็ตาม ยังต้องขอความร่วมมือผู้ประกอบการ สถานบริการ ปฏิบัติตามมาตรการ COVID – Free Setting โดยทุกสถานที่ต้องให้ความสําคัญกับการฉีดวัคซีนแก่พนักงาน เจ้าหน้าที่ อย่างน้อย 2 เข็ม จัดบริเวณ โต๊ะ เก้าอี้ ให้มีระยะห่าง อากาศถ่ายเท พร้อมกับต้องมีตรวจวัดอุณภูมิก่อนเข้าใช้บริการ และขอให้ประชาชนสวมใส่หน้ากากอนามัยอยู่เสมอ เพื่อเป็นการป้องกันทั้งตนเองและต่อผู้อื่นด้วย
นายกรัฐมนตรียังตอบคําถามสื่อมวลชนถึงการชุมนุมของกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น บริเวณหน้าทําเนียบรัฐบาล ว่า เจ้าหน้าที่ตํารวจมีความจําเป็นต้องสลายการชุมนุมตามกฎหมายเนื่องจากเป็นสถานที่ราชการ และห้ามไม่ให้มีการมั่วสุม สําหรับข้อเรียกร้องของกลุ่มจะนะฯ จะต้องมีการทําประชาพิจารณ์อีกครั้ง ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่ข้อง อาทิ ศอ.บต. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงที่เกี่ยวข้องให้การดูแล ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียืนยันว่ายินดีรับฟังทุกข้อคิดเห็นและความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องพบปะชาวบ้าน ประชาชน เพื่อนําข้อสังเกตมาไปสู่การแก้ไขปัญหาตามกฎหมายและกติกาที่มีอยู่ อาจจะรับปากโดยทันทีไม่ได้เพราะจะต้องมีการหารือพิจารณาร่วมกันของทุกฝ่ายอย่างรอบคอบ โดยนายกรัฐมนตรียังฝากถึงกลุ่มเครือข่ายภาคใต้ที่จะมีเคลื่อนขบวนเรียกร้องเข้าสู่กรุงเทพมหานคร ว่า ได้สั่งการให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าไปดูแลและรับฟังปัญหาของประชาชน เพราะอาจมีการบิดเบือนข้อเท็จจริงได้
สําหรับกรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียวนั้น นายกรัฐมนตรียังชี้แจงว่า อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาร่วมกันของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และกรุงเทพมหานคร เนื่องจากมีหนี้สินที่เกิดจากการก่อสร้างตั้งแต่ในอดีต แต่จะต้องเร่งแก้ไขเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์โดยเร็ว ซึ่งจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย
ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียืนยันว่ารัฐบาลมุ่งเน้นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ํา สร้างความเป็นธรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ไม่แบ่งแยกคนรวยคนจน และต้องให้ทุกคนเข้าถึงโอกาส ซึ่งเป็นไปตามแนวทางการ “พลิกโฉมประเทศไทย” ที่จะต้องเพิ่ม GDP ส่งเสริมการลงทุน ให้ประชาชนร่วมคิดไปด้วยกัน ซึ่งรัฐบาลจะใช้งบประมาณที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ให้เกิดประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้ ที่สําคัญคือต้องต่อห่วงโซ่อุปทานทุกกิจกรรม โดยเฉพาะชาวประมงพื้นบ้าน ที่จะต้องเร่งสร้างรายได้ให้กับชาวบ้าน ให้ชาวบ้านเป็นผู้ประกอบการ เช่น การซื้อ-ขาย ปลาได้เองโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง รวมถึงภาคการเกษตรที่จะต้องดูแลตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง ดูต้นทุนการผลิตไม่ให้สูงเกินไปสําหรับพืชทุกชนิดไม่ใช่เพียง 5 ชนิดหลัก ซึ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดหาของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนผ่านมาตรการต่าง ๆ เพื่ออํานวยความสะดวกและสร้างความสุขให้กับประชาชนอีกด้วย
...................... | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49195 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย จนท.จับกุมลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายได้เพียบตามข้อสั่งการ”นายก” สั่งคุมเข้มช่องทางข้ามแดนทั้งทางน้ำและทางบก ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงาน | วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม 2564
โฆษกรัฐบาล เผย จนท.จับกุมลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายได้เพียบตามข้อสั่งการ”นายก” สั่งคุมเข้มช่องทางข้ามแดนทั้งทางน้ําและทางบก ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงาน
โฆษกรัฐบาล เผย จนท.จับกุมลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายได้เพียบตามข้อสั่งการ”นายก” สั่งคุมเข้มช่องทางข้ามแดนทั้งทางน้ําและทางบก ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงาน
วันนี้ 11 ธ.ค. 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย จากการที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กําชับไปยังหน่วยงานความมั่นคง ทหาร ตํารวจ และฝ่ายปกครองในพื้นที่จังหวัดตามแนวชายแดน เร่งสกัดการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่เข้ามาทุกช่องทางทั้งทางบกและทางน้ํา เพื่อป้องกันปัญหาแรงงานเถื่อน อาชญากรรม รวมทั้งลดความเสี่ยงในการนําเข้าเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ไม่มีการคัดกรอง ทําให้มีการจับกุมได้จํานวนมาก ทั้งนี้ ล่าสุดวานนี้ (10 ธ.ค. 64) จุดตรวจศิลาสลัก จุดตรวจทุ่งตาพล จุดตรวจในวง สามารถจับกุมชาวเมียนมาเป็นชาย 16 คน หญิง 4 คน รวม 20 คน จากการสอบถามชาวเมียนมาทั้งหมดเดินทางมาจากประเทศเมียนมาโดยรถทัวร์โดยสารเพื่อมุ่งหน้าไปยัง จ.สุราษฎร์ธานี โดยเสียค่านายหน้าเป็นเงิน 25,000 บาทต่อคน ซึ่งในขณะนี้ได้ทําการควบคุมตัว และส่งไปยัง สภ.ละอุ่น เพื่อดําเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ําให้มีการสืบสวนทั้งกระบวนการโดยเฉพาะหากมีข้าราชการส่วนใดเข้าไปเกี่ยวข้องต้องได้รับโทษตามกฎหมายสูงสุด
สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ มีจํานวน 4,079 ราย แยกเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 4,060 ผู้ป่วยภายในเรือนจํา/ที่ต้องขัง 19 ผู้ป่วยสะสม 2,135,996 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้าน 7,302 ราย หายป่วยสะสม 2,062,827 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกําลังรักษา 53,455 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 39 ราย
“นายกรัฐมนตรียังขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการ นายจ้าง ให้เข้มงวดในการจ้างงานแรงงานที่ถูกกฎหมาย ตามมาตรการเข้าประเทศของแรงงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 อย่างเคร่งครัด ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีการนําเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านตาม MOU โดยแรงงานที่เข้ามาได้รับการคัดกรองโควิด-19 และมีสถานที่ทํางานที่ชัดเจน ซึ่งทั้งบุคคล สถานที่ประกอบการ และกิจการ ก็ปลอดภัยจากความเสี่ยงไวรัสโควิด-19 เพราะแม้สถานการณ์โควิด-19 ในไทยจะคลี่คลาย จํานวนผู้ติดเชื้อลดลง ผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มมากขึ้นกว่า 98 ล้านโดส แต่นายกรัฐมนตรียังย้ําเสมอว่า ไทยจะต้องไม่ประมาท และต้องปิดทุกช่องเสี่ยงในการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ทุกสายพันธุ์” นายธนกรฯ กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย จนท.จับกุมลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายได้เพียบตามข้อสั่งการ”นายก” สั่งคุมเข้มช่องทางข้ามแดนทั้งทางน้ำและทางบก ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงาน
วันเสาร์ที่ 11 ธันวาคม 2564
โฆษกรัฐบาล เผย จนท.จับกุมลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายได้เพียบตามข้อสั่งการ”นายก” สั่งคุมเข้มช่องทางข้ามแดนทั้งทางน้ําและทางบก ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงาน
โฆษกรัฐบาล เผย จนท.จับกุมลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายได้เพียบตามข้อสั่งการ”นายก” สั่งคุมเข้มช่องทางข้ามแดนทั้งทางน้ําและทางบก ป้องกันการแพร่ระบาดโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงาน
วันนี้ 11 ธ.ค. 2564 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย จากการที่พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กําชับไปยังหน่วยงานความมั่นคง ทหาร ตํารวจ และฝ่ายปกครองในพื้นที่จังหวัดตามแนวชายแดน เร่งสกัดการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายที่เข้ามาทุกช่องทางทั้งทางบกและทางน้ํา เพื่อป้องกันปัญหาแรงงานเถื่อน อาชญากรรม รวมทั้งลดความเสี่ยงในการนําเข้าเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ไม่มีการคัดกรอง ทําให้มีการจับกุมได้จํานวนมาก ทั้งนี้ ล่าสุดวานนี้ (10 ธ.ค. 64) จุดตรวจศิลาสลัก จุดตรวจทุ่งตาพล จุดตรวจในวง สามารถจับกุมชาวเมียนมาเป็นชาย 16 คน หญิง 4 คน รวม 20 คน จากการสอบถามชาวเมียนมาทั้งหมดเดินทางมาจากประเทศเมียนมาโดยรถทัวร์โดยสารเพื่อมุ่งหน้าไปยัง จ.สุราษฎร์ธานี โดยเสียค่านายหน้าเป็นเงิน 25,000 บาทต่อคน ซึ่งในขณะนี้ได้ทําการควบคุมตัว และส่งไปยัง สภ.ละอุ่น เพื่อดําเนินการตามกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังย้ําให้มีการสืบสวนทั้งกระบวนการโดยเฉพาะหากมีข้าราชการส่วนใดเข้าไปเกี่ยวข้องต้องได้รับโทษตามกฎหมายสูงสุด
สําหรับผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ มีจํานวน 4,079 ราย แยกเป็นผู้ติดเชื้อใหม่ 4,060 ผู้ป่วยภายในเรือนจํา/ที่ต้องขัง 19 ผู้ป่วยสะสม 2,135,996 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้าน 7,302 ราย หายป่วยสะสม 2,062,827 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกําลังรักษา 53,455 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 39 ราย
“นายกรัฐมนตรียังขอความร่วมมือไปยังผู้ประกอบการ นายจ้าง ให้เข้มงวดในการจ้างงานแรงงานที่ถูกกฎหมาย ตามมาตรการเข้าประเทศของแรงงานภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด – 19 อย่างเคร่งครัด ซึ่งขณะนี้ รัฐบาลได้เปิดโอกาสให้มีการนําเข้าแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านตาม MOU โดยแรงงานที่เข้ามาได้รับการคัดกรองโควิด-19 และมีสถานที่ทํางานที่ชัดเจน ซึ่งทั้งบุคคล สถานที่ประกอบการ และกิจการ ก็ปลอดภัยจากความเสี่ยงไวรัสโควิด-19 เพราะแม้สถานการณ์โควิด-19 ในไทยจะคลี่คลาย จํานวนผู้ติดเชื้อลดลง ผู้ได้รับวัคซีนเพิ่มมากขึ้นกว่า 98 ล้านโดส แต่นายกรัฐมนตรียังย้ําเสมอว่า ไทยจะต้องไม่ประมาท และต้องปิดทุกช่องเสี่ยงในการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19 ทุกสายพันธุ์” นายธนกรฯ กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49339 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 2,021 ล้านบาท จ่ายค่ารักษาพยาบาล - ฉีดวัคซีน กลุ่มบุคคลไร้สถานะและสิทธิ | วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565
ครม. อนุมัติ 2,021 ล้านบาท จ่ายค่ารักษาพยาบาล - ฉีดวัคซีน กลุ่มบุคคลไร้สถานะและสิทธิ
.....
ที่ประชุม ครม. (2 ส.ค. 65) เห็นชอบกรอบวงเงิน 2,021.4692 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ให้กับหน่วยบริการ ที่ตรวจรักษาพยาบาลกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะ/ไม่ใช่คนไทย เพื่อป้องกันและลดการแพร่กระจายของโรคสู่คนไทยจากการเปิดประเทศและเตรียมการสู่โรคประจําถิ่น ซึ่งได้ดําเนินการไปแล้วในช่วงเดือน ต.ค. 64 – มิ.ย. 65
.
แบ่งเป็น ค่ารักษาพยาบาลแก่กลุ่มผู้ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลโควิด-19 วงเงิน 1,923.1426 ล้านบาท และโครงการค่าฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ รวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทย วงเงิน 98.3266 ล้านบาท
.
กลุ่มเป้าหมายที่รักษา เช่น คนต่างด้าวไร้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล - ผู้ไร้สัญชาติ - ผู้มีประกันสุขภาพคนต่างด้าว - แรงงานต่างด้าว เนื่องจากสิทธิประโยชน์ไม่ครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19 รวมถึงผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 2,021 ล้านบาท จ่ายค่ารักษาพยาบาล - ฉีดวัคซีน กลุ่มบุคคลไร้สถานะและสิทธิ
วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565
ครม. อนุมัติ 2,021 ล้านบาท จ่ายค่ารักษาพยาบาล - ฉีดวัคซีน กลุ่มบุคคลไร้สถานะและสิทธิ
.....
ที่ประชุม ครม. (2 ส.ค. 65) เห็นชอบกรอบวงเงิน 2,021.4692 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ให้กับหน่วยบริการ ที่ตรวจรักษาพยาบาลกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะ/ไม่ใช่คนไทย เพื่อป้องกันและลดการแพร่กระจายของโรคสู่คนไทยจากการเปิดประเทศและเตรียมการสู่โรคประจําถิ่น ซึ่งได้ดําเนินการไปแล้วในช่วงเดือน ต.ค. 64 – มิ.ย. 65
.
แบ่งเป็น ค่ารักษาพยาบาลแก่กลุ่มผู้ไร้สิทธิการรักษาพยาบาลโควิด-19 วงเงิน 1,923.1426 ล้านบาท และโครงการค่าฉีดวัคซีนกลุ่มบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ รวมทั้งผู้ที่ไม่ใช่ประชาชนไทย วงเงิน 98.3266 ล้านบาท
.
กลุ่มเป้าหมายที่รักษา เช่น คนต่างด้าวไร้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาล - ผู้ไร้สัญชาติ - ผู้มีประกันสุขภาพคนต่างด้าว - แรงงานต่างด้าว เนื่องจากสิทธิประโยชน์ไม่ครอบคลุมการรักษาโรคโควิด-19 รวมถึงผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน
#ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19
------------------- | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57755 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่เยี่ยมชาวสวนมังคุด จ.นครศรีธรรมราช บรรเทาทุกข์ พิษโควิดระบาด กระทบขนส่งระบายสินค้าสู่ตลาด ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจ | วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม 2564
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่เยี่ยมชาวสวนมังคุด จ.นครศรีธรรมราช บรรเทาทุกข์ พิษโควิดระบาด กระทบขนส่งระบายสินค้าสู่ตลาด ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจ
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่เยี่ยมชาวสวนมังคุด จ.นครศรีธรรมราช บรรเทาทุกข์ พิษโควิดระบาด กระทบขนส่งระบายสินค้าสู่ตลาด
ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจจุดรับซื้อขายมังคุดณหมู่ที่3ต.ตลิ่งชันอ.ท่าศาลาจ.นครศรีธรรมราชว่าเนื่องจากการจําหน่ายมังคุดในช่วงต้นของฤดูกาลมีราคาตกต่ําซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ของประเทศจีนและตลาดในประเทศไทยยังไม่ปกติการขนส่งสินค้าที่พ่อค้าแม่ค้าไม่สามารถเข้าไปรับซื้อได้ตามปกติเพราะปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ทําให้การส่งออกมังคุดทั้งในและต่างประเทศเป็นไปได้ยากจึงเร่งเข้าช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ในพื้นที่ภาคใต้โดยเร็วที่สุด
ร้อยเอกธรรมนัสกล่าวเพิ่มเติมว่าจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19นั้นส่งผลกระทบแก่เกษตรกรชาวสวนผลไม้ในการระบายสินค้าเป็นไปได้ยยากจากปัญหาดังกล่าวทางผู้ว่าราชการจังหวัดได้รายงานให้ทราบและในวันนี้พร้อมจังหวัดจะนําร่องซื้อมังคุดในราคากิโลกรัมละ19บาทจํานวน20ตันโดยแบ่งซื้อจากเกษตรกรใน4อําเภออําเภอละ5ตันได้แก่อ.ท่าศาลาอ.สิชลอ.นบพิตําและอ.พรหมคีรีเพื่อนําไปแจกพี่น้องประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯที่ได้รับผลกระทบโควิดต่อไป | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่เยี่ยมชาวสวนมังคุด จ.นครศรีธรรมราช บรรเทาทุกข์ พิษโควิดระบาด กระทบขนส่งระบายสินค้าสู่ตลาด ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจ
วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม 2564
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่เยี่ยมชาวสวนมังคุด จ.นครศรีธรรมราช บรรเทาทุกข์ พิษโควิดระบาด กระทบขนส่งระบายสินค้าสู่ตลาด ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจ
รมช.ธรรมนัส ลงพื้นที่เยี่ยมชาวสวนมังคุด จ.นครศรีธรรมราช บรรเทาทุกข์ พิษโควิดระบาด กระทบขนส่งระบายสินค้าสู่ตลาด
ร้อยเอกธรรมนัสพรหมเผ่ารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจจุดรับซื้อขายมังคุดณหมู่ที่3ต.ตลิ่งชันอ.ท่าศาลาจ.นครศรีธรรมราชว่าเนื่องจากการจําหน่ายมังคุดในช่วงต้นของฤดูกาลมีราคาตกต่ําซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์ของประเทศจีนและตลาดในประเทศไทยยังไม่ปกติการขนส่งสินค้าที่พ่อค้าแม่ค้าไม่สามารถเข้าไปรับซื้อได้ตามปกติเพราะปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19ทําให้การส่งออกมังคุดทั้งในและต่างประเทศเป็นไปได้ยากจึงเร่งเข้าช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนผลไม้ในพื้นที่ภาคใต้โดยเร็วที่สุด
ร้อยเอกธรรมนัสกล่าวเพิ่มเติมว่าจากสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19นั้นส่งผลกระทบแก่เกษตรกรชาวสวนผลไม้ในการระบายสินค้าเป็นไปได้ยยากจากปัญหาดังกล่าวทางผู้ว่าราชการจังหวัดได้รายงานให้ทราบและในวันนี้พร้อมจังหวัดจะนําร่องซื้อมังคุดในราคากิโลกรัมละ19บาทจํานวน20ตันโดยแบ่งซื้อจากเกษตรกรใน4อําเภออําเภอละ5ตันได้แก่อ.ท่าศาลาอ.สิชลอ.นบพิตําและอ.พรหมคีรีเพื่อนําไปแจกพี่น้องประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯที่ได้รับผลกระทบโควิดต่อไป | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44492 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ขอบคุณคนไทยหลังผลโพลพบคนไทยปลื้ม 5 นโยบายเด่น โดนใจประชาชน “คนละครึ่ง” มาอันดับที่ 1 ตามด้วยมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่มาตรการควบคุมโรค | วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2564
โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ขอบคุณคนไทยหลังผลโพลพบคนไทยปลื้ม 5 นโยบายเด่น โดนใจประชาชน “คนละครึ่ง” มาอันดับที่ 1 ตามด้วยมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่มาตรการควบคุมโรค
โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ขอบคุณคนไทยหลังผลโพลพบคนไทยปลื้ม 5 นโยบายเด่น โดนใจประชาชน “คนละครึ่ง” มาอันดับที่ 1 ตามด้วยมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่มาตรการควบคุมโรค ย้ํารัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหา บรรเทา ความเดือดร้อนพี่น้องประชาชน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลื้มผลสํารวจ นโยบายโดนใจ ช่วยประชาชน จาก SUPER POLL ใน 5 อันดับแรกของความพึงพอใจของประชาชนต่อนโยบายและมาตรการโดนใจ ช่วงวิกฤตโควิด-19 และวิกฤติเศรษฐกิจ ได้แก่
อันดับแรก คือ โครงการคนละครึ่ง เป็นผลงานรัฐบาลโดยรวม ร้อยละ 81.7
อันดับที่สอง ได้แก่ การเปิดประเทศ ดึงรายได้เข้าประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เข้มไปกับมาตรการควบคุมโรค ร้อยละ 71.4
อันดับที่สาม ได้แก่ โครงการธงฟ้าราคาประหยัด ลดราคาอาหาร ของกิน ของใช้ ช่วยประชาชนลดภาระค่าใช้จ่าย ร้อยละ 53.7
อันดับที่สี่ ได้แก่ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 การจัดหาวัคซีนและตัวยาอื่น ๆ ให้ประชาชน ร้อยละ 52.2
อันดับที่ห้า ได้แก่ โครงการประกันรายได้เกษตรกร พืช 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว ยางพารา ยางถ้วย ยางแผ่น มันสําปะหลัง ปาล์ม และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 50.2
นอกจากนี้ ผลสํารวจยังเปิดเผยถึงความพอใจของประชาชนในนโยบายของรัฐบาลในมิติอื่น ๆ ที่อยู่ในระดับดีมากด้วยเช่นกัน อาทิ มาตรการความมั่นคง ยาเสพติด แรงงานลักลอบเข้าเมือง ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การให้บริการระบบราชการแก่ประชาชน การศึกษา โครงการและการบริการรถไฟฟ้า รวมถึงการแก้ปัญหา มลพิษ สิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจโดยรวมต่อนโยบายและมาตรการของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจของประชาชนอยู่ที่ 5.45 คะแนน โดยคะแนนเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ภาคใต้ 6.46 คะแนน ภาคกลาง 5.81 คะแนน ภาคอีสาน 5.13 คะแนน กรุงเทพมหานคร 5.00 คะแนน และภาคเหนือ 4.64 คะแนน
“ผลสํารวจจาก SUPER POLL สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนพึงพอใจในนโยบาย/มาตรการ ต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนที่ตอบรับมาตรการของรัฐบาล ซึ่งจะได้นําแนวทางกําหนดเป็นนโยบายต่างๆ เพื่อตรงกับความต้องการของพี่น้องประชาชน พร้อมขอบคุณทุกกระทรวง ส่วนราชการ และหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการช่วยกันนําข้อสั่งการและนโยบาย ไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลประโยชน์ สร้างความสุขและบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน นอกจากนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนในทุกพื้นที่ เร่งช่วยเหลือเกษตรกร และกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงสิ้นปีนี้ควบคู่ไปกับการควบคุมป้องกันโรคด้วยการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ด้วย” นายธนกรฯ กล่าว | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ขอบคุณคนไทยหลังผลโพลพบคนไทยปลื้ม 5 นโยบายเด่น โดนใจประชาชน “คนละครึ่ง” มาอันดับที่ 1 ตามด้วยมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่มาตรการควบคุมโรค
วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน 2564
โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ขอบคุณคนไทยหลังผลโพลพบคนไทยปลื้ม 5 นโยบายเด่น โดนใจประชาชน “คนละครึ่ง” มาอันดับที่ 1 ตามด้วยมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่มาตรการควบคุมโรค
โฆษกรัฐบาล เผย “นายกฯ” ขอบคุณคนไทยหลังผลโพลพบคนไทยปลื้ม 5 นโยบายเด่น โดนใจประชาชน “คนละครึ่ง” มาอันดับที่ 1 ตามด้วยมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่มาตรการควบคุมโรค ย้ํารัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหา บรรเทา ความเดือดร้อนพี่น้องประชาชน
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปลื้มผลสํารวจ นโยบายโดนใจ ช่วยประชาชน จาก SUPER POLL ใน 5 อันดับแรกของความพึงพอใจของประชาชนต่อนโยบายและมาตรการโดนใจ ช่วงวิกฤตโควิด-19 และวิกฤติเศรษฐกิจ ได้แก่
อันดับแรก คือ โครงการคนละครึ่ง เป็นผลงานรัฐบาลโดยรวม ร้อยละ 81.7
อันดับที่สอง ได้แก่ การเปิดประเทศ ดึงรายได้เข้าประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ เข้มไปกับมาตรการควบคุมโรค ร้อยละ 71.4
อันดับที่สาม ได้แก่ โครงการธงฟ้าราคาประหยัด ลดราคาอาหาร ของกิน ของใช้ ช่วยประชาชนลดภาระค่าใช้จ่าย ร้อยละ 53.7
อันดับที่สี่ ได้แก่ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 การจัดหาวัคซีนและตัวยาอื่น ๆ ให้ประชาชน ร้อยละ 52.2
อันดับที่ห้า ได้แก่ โครงการประกันรายได้เกษตรกร พืช 5 ชนิด ได้แก่ ข้าว ยางพารา ยางถ้วย ยางแผ่น มันสําปะหลัง ปาล์ม และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ร้อยละ 50.2
นอกจากนี้ ผลสํารวจยังเปิดเผยถึงความพอใจของประชาชนในนโยบายของรัฐบาลในมิติอื่น ๆ ที่อยู่ในระดับดีมากด้วยเช่นกัน อาทิ มาตรการความมั่นคง ยาเสพติด แรงงานลักลอบเข้าเมือง ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง การให้บริการระบบราชการแก่ประชาชน การศึกษา โครงการและการบริการรถไฟฟ้า รวมถึงการแก้ปัญหา มลพิษ สิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ทั้งนี้ ค่าเฉลี่ยความพึงพอใจโดยรวมต่อนโยบายและมาตรการของรัฐบาลในการช่วยเหลือประชาชน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน พบคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจของประชาชนอยู่ที่ 5.45 คะแนน โดยคะแนนเฉลี่ยสูงสุดอยู่ที่ภาคใต้ 6.46 คะแนน ภาคกลาง 5.81 คะแนน ภาคอีสาน 5.13 คะแนน กรุงเทพมหานคร 5.00 คะแนน และภาคเหนือ 4.64 คะแนน
“ผลสํารวจจาก SUPER POLL สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนพึงพอใจในนโยบาย/มาตรการ ต่าง ๆ ของรัฐบาล ซึ่งนายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนที่ตอบรับมาตรการของรัฐบาล ซึ่งจะได้นําแนวทางกําหนดเป็นนโยบายต่างๆ เพื่อตรงกับความต้องการของพี่น้องประชาชน พร้อมขอบคุณทุกกระทรวง ส่วนราชการ และหน่วยงานเกี่ยวข้อง ในการช่วยกันนําข้อสั่งการและนโยบาย ไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมและเกิดผลประโยชน์ สร้างความสุขและบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน นอกจากนี้ รัฐบาลจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาปากท้องของประชาชนในทุกพื้นที่ เร่งช่วยเหลือเกษตรกร และกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงสิ้นปีนี้ควบคู่ไปกับการควบคุมป้องกันโรคด้วยการจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมตามเป้าหมายที่กําหนดไว้ด้วย” นายธนกรฯ กล่าว | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47916 |
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรี สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลโควิด-19 กับสมาชิกลุ่มน้ำโขง เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปให้ได้ โดยวันนี้พบผู้ติดเชื้อ 2512 ราย | วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรี สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลโควิด-19 กับสมาชิกลุ่มน้ําโขง เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปให้ได้ โดยวันนี้พบผู้ติดเชื้อ 2512 ราย
โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรี สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลโควิด-19 กับสมาชิกลุ่มน้ําโขง เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปให้ได้ โดยวันนี้พบผู้ติดเชื้อ 2512 ราย และผู้เสียชีวิตเพียง 17 ราย
วันนี้ (20 มิถุนายน 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สนับสนุนความร่วมกับประเทศสมาชิกลุ่มน้ําโขง (MBDS) ซึ่งได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมาโดยมี 5 ประเทศเข้าร่วมประชุมผ่านระบบประชุมทางไกลออนไลน์ โปรแกรม Zoom ได้แก่ กัมพูชา จีน ลาว ไทย และเวียดนาม เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์และมาตรการสําหรับการป้องกันควบคุมโควิด-19 เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนความคิด ข้อคิดเห็น เพื่อนํามาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศเรา โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือจากประเทศสมาชิกลุ่มน้ําโขง ทําให้สมาชิกสามารถผ่านพ้นสถานการณ์การนี้ไปได้ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีกําชับหน่วยงานของไทย เฝ้าติดตามสถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องปฏิบัติตนตามมาตรการทางสาธารณสุข เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมการแลกเปลี่ยนข้อมูลนั้น ขณะนี้มี 4 ประเทศ (กัมพูชา ลาว ไทย และเวียดนาม) ที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านของโควิด 19 จากระยะโรคระบาดใหญ่สู่โรคประจําถิ่น โดยมีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ที่เหมือนกัน คือ การรณรงค์เร่งรัดการฉีดวัคซีนให้มีความครอบคลุมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวัคซีนเข็มกระตุ้นในประชากรกลุ่มเสี่ยง เพื่อการป่วยหนักและเสียชีวิต นําไปสู่การเปิดประเทศอย่างปลอดภัยโดยยึดความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสุขภาพ
สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 1,784 ราย จําแนกเป็น ผู้ติดเชื้อในประเทศ 1,783 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 1 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 18 ราย ผู้ที่กําลังรักษาตัว 20,911 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 2,166 ราย ทําให้มียอดผู้ป่วย ยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จํานวน 2,277,393 ราย จํานวนผู้ที่หายป่วยสะสมจํานวน 2,280,938 ราย จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 619 ราย | รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรี สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลโควิด-19 กับสมาชิกลุ่มน้ำโขง เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปให้ได้ โดยวันนี้พบผู้ติดเชื้อ 2512 ราย
วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน 2565
โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรี สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลโควิด-19 กับสมาชิกลุ่มน้ําโขง เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปให้ได้ โดยวันนี้พบผู้ติดเชื้อ 2512 ราย
โฆษกรัฐบาลเผย นายกรัฐมนตรี สนับสนุนการแลกเปลี่ยนข้อมูลโควิด-19 กับสมาชิกลุ่มน้ําโขง เพื่อก้าวผ่านสถานการณ์โควิด-19 ไปให้ได้ โดยวันนี้พบผู้ติดเชื้อ 2512 ราย และผู้เสียชีวิตเพียง 17 ราย
วันนี้ (20 มิถุนายน 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สนับสนุนความร่วมกับประเทศสมาชิกลุ่มน้ําโขง (MBDS) ซึ่งได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมาโดยมี 5 ประเทศเข้าร่วมประชุมผ่านระบบประชุมทางไกลออนไลน์ โปรแกรม Zoom ได้แก่ กัมพูชา จีน ลาว ไทย และเวียดนาม เพื่อหารือแลกเปลี่ยนข้อมูลสถานการณ์และมาตรการสําหรับการป้องกันควบคุมโควิด-19 เสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รวมทั้งยังเป็นการแลกเปลี่ยนความคิด ข้อคิดเห็น เพื่อนํามาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของประเทศเรา โดยนายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าด้วยความร่วมมือจากประเทศสมาชิกลุ่มน้ําโขง ทําให้สมาชิกสามารถผ่านพ้นสถานการณ์การนี้ไปได้ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีกําชับหน่วยงานของไทย เฝ้าติดตามสถานการณ์โควิด-19 ภายในประเทศจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงต้องปฏิบัติตนตามมาตรการทางสาธารณสุข เพื่อความปลอดภัยของทุกคน
ทั้งนี้ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมการแลกเปลี่ยนข้อมูลนั้น ขณะนี้มี 4 ประเทศ (กัมพูชา ลาว ไทย และเวียดนาม) ที่อยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านของโควิด 19 จากระยะโรคระบาดใหญ่สู่โรคประจําถิ่น โดยมีมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ที่เหมือนกัน คือ การรณรงค์เร่งรัดการฉีดวัคซีนให้มีความครอบคลุมเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวัคซีนเข็มกระตุ้นในประชากรกลุ่มเสี่ยง เพื่อการป่วยหนักและเสียชีวิต นําไปสู่การเปิดประเทศอย่างปลอดภัยโดยยึดความสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและสุขภาพ
สําหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 วันนี้ พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ 1,784 ราย จําแนกเป็น ผู้ติดเชื้อในประเทศ 1,783 ราย และผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 1 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 18 ราย ผู้ที่กําลังรักษาตัว 20,911 ราย และมียอดผู้ที่หายป่วยกลับบ้านแล้ว 2,166 ราย ทําให้มียอดผู้ป่วย ยืนยันสะสมตั้งแต่ 1 ม.ค. 65 จํานวน 2,277,393 ราย จํานวนผู้ที่หายป่วยสะสมจํานวน 2,280,938 ราย จํานวนผู้ป่วยปอดอักเสบรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 619 ราย | https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55891 |