title
stringlengths
10
260
context
stringlengths
28
181k
raw
stringlengths
39
181k
url
stringlengths
0
53
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. จัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565 ขสมก. จัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง รองรับการเดินทางของประชาชน ตั้งแต่วันที่ 12 - 15 สิงหาคม 2565 นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ด้วยในวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ส่งผลให้มีวันหยุดต่อเนื่อง จํานวน 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 12 - 14 สิงหาคม 2565 ซึ่งประชาชนนิยมเดินทางกลับภูมิลําเนาหรือท่องเที่ยวต่างจังหวัดเป็นจํานวนมาก ขสมก. จึงได้จัดแผนการเดินรถโดยสารรองรับการเดินทางของประชาชน ตั้งแต่วันที่ 12 - 15 สิงหาคม 2565 เพื่ออํานวยความสะดวก ปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ในเส้นทางปกติ จัดรถออกวิ่งเฉลี่ยวันละ 2,750 คัน จํานวน 17,111 เที่ยว 2. จัดเดินรถ AIRPORT BUS เชื่อมต่อท่าอากาศยาน จํานวน 5 เส้นทาง รวม 47 คัน ดังนี้ - สาย A1 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สถานีรถไฟฟ้า BTS จตุจักร เฉลี่ยวันละ 15 คัน - สาย A2 ท่าอากาศยานดอนเมือง - อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เฉลี่ยวันละ 12 คัน - สาย A3 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สวนลุมพินี เฉลี่ยวันละ 7 คัน - สาย A4 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 7 คัน - สาย S1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 6 คัน 3. จัดเดินรถเชื่อมต่อสถานีขนส่งกรุงเทพ จํานวน 5 สถานี รวม 34 เส้นทาง ดังนี้ - สถานีขนส่งกรุงเทพ (จตุจักร) จํานวน 12 เส้นทาง ได้แก่ สาย 3, 16, 49, 77, 96, 134, 136, 138, 145, 509, 517 และ 536 - สถานีขนส่งกรุงเทพ (เอกมัย) จํานวน 8 เส้นทาง ได้แก่ สาย 2, 23, 25, 71, 72, 501, 508 และ 511 - สถานีขนส่งกรุงเทพ (สายใต้ใหม่) จํานวน 6 เส้นทาง ได้แก่ สาย 66, 79, 511, 515, 516 และ 556 - สถานีรถไฟหัวลําโพง จํานวน 6 เส้นทาง ได้แก่ สาย 4, 21, 25, 34, 73 และ 501 - สถานีกลางบางซื่อ จํานวน 2 เส้นทาง ได้แก่ สาย 49 และ 67 4. มาตรการความปลอดภัย ประกอบด้วย ด้านพนักงานประจํารถ - กํากับดูแลพนักงานขับรถโดยสารให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้พนักงานเก็บค่าโดยสารดูแลการขึ้น - ลงของผู้ใช้บริการอย่างใกล้ชิด ให้บริการด้วยความสุภาพเรียบร้อย - ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ความดันโลหิต และอุณหภูมิร่างกายของพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกครั้ง ก่อนขึ้นปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร พร้อมทั้งกําชับพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสารสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร - ให้พนักงานขับรถตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสารและอุปกรณ์ส่วนควบ ก่อนนํารถออกให้บริการ พร้อมประสานผู้รับเหมาซ่อมรถ ตรวจเช็กสภาพรถโดยสาร และซ่อมบํารุงรักษารถให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดี - จัดพนักงานนายตรวจและเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษประจําจุด ณ ป้ายหยุดรถโดยสารที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่น เพื่ออํานวยความสะดวกด้านการจราจรและดูแลการขึ้น - ลงรถของผู้ใช้บริการ ด้านรถโดยสารประจําทาง - เพิ่มความถี่ในการล้างทําความสะอาดระบบปรับอากาศ และการทําความสะอาดผ้าม่าน - ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นทําความสะอาดภายในรถโดยสาร และใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเช็ดทําความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้บริการต้องสัมผัส เช่น เบาะที่นั่ง ราวจับ กริ่งสัญญาณ เป็นต้น พร้อมทั้งติดตั้งขวดเจลแอลกอฮอล์สําหรับให้ผู้ใช้บริการล้างมือบริเวณประตูทางขึ้น - ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บริเวณหลังเบาะที่นั่ง และบริเวณผนังด้านข้าง ภายในรถโดยสาร สําหรับให้ผู้ใช้บริการสแกนผ่านโทรศัพท์แบบสมาร์ตโฟน เพื่อเก็บข้อมูลการเดินทางกรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อใช้บริการรถโดยสารคันเดียวและเวลาเดียวกันกับผู้ใช้บริการ จะมีการแจ้งเตือนผ่านระบบ SMS ว่าผู้ใช้บริการมีความเสี่ยงให้รีบไปพบแพทย์ - ติดตั้งป้ายข้อความ “เหลือรถอีก 2 คันสุดท้าย” “เหลือรถอีก 1 คันสุดท้าย” “รถคันสุดท้าย” บริเวณกระจกด้านหน้ารถโดยสารที่วิ่งให้บริการ 3 คันสุดท้ายในแต่ละวัน ด้านผู้ใช้บริการ - ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร - ล้างทําความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ที่ติดตั้งบริเวณประตูทางขึ้น - เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการควรสแกน QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บนรถโดยสาร เพื่อเช็กอินเมื่อขึ้นรถ และเช็กเอาท์ก่อนลงจากรถ สําหรับผู้ถือบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ของ ขสมก. ทุกประเภท ควรลงทะเบียนบัตรที่ www.bmta.co.th เพื่อให้บัตรดังกล่าว สามารถเช็กอิน - เช็กเอาท์ โดยอัตโนมัติ เมื่อนําบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ มาแตะที่เครื่อง EDC เพื่อชําระค่าโดยสาร - ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคําแนะนําของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด - ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคําแนะนําของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด - ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการชําระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทของ ขสมก. บัตรเดบิต - เครดิต ที่มีสัญลักษณ์คอนแทคเลส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโมบายแบงก์กิ้ง เพื่อลดการสัมผัสธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่อาจเป็นสื่อกลางในการแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 นอกจากนี้ ขสมก. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเดินรถ ได้แก่ ศูนย์วิทยุรัชดา สํานักงานใหญ่ ขสมก. ศูนย์วิทยุเขตการเดินรถที่ 1 - 8 ตั้งแต่วันที่ 12 - 15 สิงหาคม 2565 และจัดเจ้าหน้าที่ Call Center โทร. 1348 ให้บริการด้านข้อมูลข่าวสารในการเดินรถอีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ขสมก. จัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม 2565 ขสมก. จัดแผนเดินรถรองรับการเดินทางของประชาชนในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง รองรับการเดินทางของประชาชน ตั้งแต่วันที่ 12 - 15 สิงหาคม 2565 นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ด้วยในวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม 2565 เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ส่งผลให้มีวันหยุดต่อเนื่อง จํานวน 3 วัน ตั้งแต่วันที่ 12 - 14 สิงหาคม 2565 ซึ่งประชาชนนิยมเดินทางกลับภูมิลําเนาหรือท่องเที่ยวต่างจังหวัดเป็นจํานวนมาก ขสมก. จึงได้จัดแผนการเดินรถโดยสารรองรับการเดินทางของประชาชน ตั้งแต่วันที่ 12 - 15 สิงหาคม 2565 เพื่ออํานวยความสะดวก ปลอดภัย สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนผู้ใช้บริการ โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1. ในเส้นทางปกติ จัดรถออกวิ่งเฉลี่ยวันละ 2,750 คัน จํานวน 17,111 เที่ยว 2. จัดเดินรถ AIRPORT BUS เชื่อมต่อท่าอากาศยาน จํานวน 5 เส้นทาง รวม 47 คัน ดังนี้ - สาย A1 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สถานีรถไฟฟ้า BTS จตุจักร เฉลี่ยวันละ 15 คัน - สาย A2 ท่าอากาศยานดอนเมือง - อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เฉลี่ยวันละ 12 คัน - สาย A3 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สวนลุมพินี เฉลี่ยวันละ 7 คัน - สาย A4 ท่าอากาศยานดอนเมือง - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 7 คัน - สาย S1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ - สนามหลวง เฉลี่ยวันละ 6 คัน 3. จัดเดินรถเชื่อมต่อสถานีขนส่งกรุงเทพ จํานวน 5 สถานี รวม 34 เส้นทาง ดังนี้ - สถานีขนส่งกรุงเทพ (จตุจักร) จํานวน 12 เส้นทาง ได้แก่ สาย 3, 16, 49, 77, 96, 134, 136, 138, 145, 509, 517 และ 536 - สถานีขนส่งกรุงเทพ (เอกมัย) จํานวน 8 เส้นทาง ได้แก่ สาย 2, 23, 25, 71, 72, 501, 508 และ 511 - สถานีขนส่งกรุงเทพ (สายใต้ใหม่) จํานวน 6 เส้นทาง ได้แก่ สาย 66, 79, 511, 515, 516 และ 556 - สถานีรถไฟหัวลําโพง จํานวน 6 เส้นทาง ได้แก่ สาย 4, 21, 25, 34, 73 และ 501 - สถานีกลางบางซื่อ จํานวน 2 เส้นทาง ได้แก่ สาย 49 และ 67 4. มาตรการความปลอดภัย ประกอบด้วย ด้านพนักงานประจํารถ - กํากับดูแลพนักงานขับรถโดยสารให้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้พนักงานเก็บค่าโดยสารดูแลการขึ้น - ลงของผู้ใช้บริการอย่างใกล้ชิด ให้บริการด้วยความสุภาพเรียบร้อย - ตรวจวัดแอลกอฮอล์ ความดันโลหิต และอุณหภูมิร่างกายของพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสารทุกครั้ง ก่อนขึ้นปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร พร้อมทั้งกําชับพนักงานขับรถและพนักงานเก็บค่าโดยสารสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง ขณะปฏิบัติหน้าที่บนรถโดยสาร - ให้พนักงานขับรถตรวจสอบความพร้อมของรถโดยสารและอุปกรณ์ส่วนควบ ก่อนนํารถออกให้บริการ พร้อมประสานผู้รับเหมาซ่อมรถ ตรวจเช็กสภาพรถโดยสาร และซ่อมบํารุงรักษารถให้อยู่ในสภาพใช้งานได้ดี - จัดพนักงานนายตรวจและเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษประจําจุด ณ ป้ายหยุดรถโดยสารที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่น เพื่ออํานวยความสะดวกด้านการจราจรและดูแลการขึ้น - ลงรถของผู้ใช้บริการ ด้านรถโดยสารประจําทาง - เพิ่มความถี่ในการล้างทําความสะอาดระบบปรับอากาศ และการทําความสะอาดผ้าม่าน - ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ 70% ฉีดพ่นทําความสะอาดภายในรถโดยสาร และใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเช็ดทําความสะอาดอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ผู้ใช้บริการต้องสัมผัส เช่น เบาะที่นั่ง ราวจับ กริ่งสัญญาณ เป็นต้น พร้อมทั้งติดตั้งขวดเจลแอลกอฮอล์สําหรับให้ผู้ใช้บริการล้างมือบริเวณประตูทางขึ้น - ติดตั้ง QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บริเวณหลังเบาะที่นั่ง และบริเวณผนังด้านข้าง ภายในรถโดยสาร สําหรับให้ผู้ใช้บริการสแกนผ่านโทรศัพท์แบบสมาร์ตโฟน เพื่อเก็บข้อมูลการเดินทางกรณีตรวจพบผู้ติดเชื้อใช้บริการรถโดยสารคันเดียวและเวลาเดียวกันกับผู้ใช้บริการ จะมีการแจ้งเตือนผ่านระบบ SMS ว่าผู้ใช้บริการมีความเสี่ยงให้รีบไปพบแพทย์ - ติดตั้งป้ายข้อความ “เหลือรถอีก 2 คันสุดท้าย” “เหลือรถอีก 1 คันสุดท้าย” “รถคันสุดท้าย” บริเวณกระจกด้านหน้ารถโดยสารที่วิ่งให้บริการ 3 คันสุดท้ายในแต่ละวัน ด้านผู้ใช้บริการ - ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ขณะใช้บริการรถโดยสาร - ล้างทําความสะอาดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ที่ติดตั้งบริเวณประตูทางขึ้น - เพื่อประโยชน์ของผู้ใช้บริการควรสแกน QR Code แอปพลิเคชัน “ไทยชนะ” บนรถโดยสาร เพื่อเช็กอินเมื่อขึ้นรถ และเช็กเอาท์ก่อนลงจากรถ สําหรับผู้ถือบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ของ ขสมก. ทุกประเภท ควรลงทะเบียนบัตรที่ www.bmta.co.th เพื่อให้บัตรดังกล่าว สามารถเช็กอิน - เช็กเอาท์ โดยอัตโนมัติ เมื่อนําบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ มาแตะที่เครื่อง EDC เพื่อชําระค่าโดยสาร - ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคําแนะนําของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด - ผู้ใช้บริการจะต้องปฏิบัติตามคําแนะนําของพนักงานเก็บค่าโดยสาร นายตรวจ และเจ้าหน้าที่สายตรวจพิเศษอย่างเคร่งครัด - ขอความร่วมมือผู้ใช้บริการชําระค่าโดยสารแบบไร้เงินสด ผ่านบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภทของ ขสมก. บัตรเดบิต - เครดิต ที่มีสัญลักษณ์คอนแทคเลส บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และโมบายแบงก์กิ้ง เพื่อลดการสัมผัสธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ที่อาจเป็นสื่อกลางในการแพร่เชื้อไวรัส COVID-19 นอกจากนี้ ขสมก. ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเดินรถ ได้แก่ ศูนย์วิทยุรัชดา สํานักงานใหญ่ ขสมก. ศูนย์วิทยุเขตการเดินรถที่ 1 - 8 ตั้งแต่วันที่ 12 - 15 สิงหาคม 2565 และจัดเจ้าหน้าที่ Call Center โทร. 1348 ให้บริการด้านข้อมูลข่าวสารในการเดินรถอีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57900
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เร่งฉีดวัคซีนประชาชนกลุ่มเสี่ยง 608 ใน 29 จังหวัดแดงเข้ม ให้ได้ร้อยละ 70 ภายในเดือน สค.นี้
วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564 สธ. เร่งฉีดวัคซีนประชาชนกลุ่มเสี่ยง 608 ใน 29 จังหวัดแดงเข้ม ให้ได้ร้อยละ 70 ภายในเดือน สค.นี้ กระทรวงสาธารณสุข เร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 608 ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัดให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 70 จังหวัดที่เหลือให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม เพื่อลดป่วยหนักและเสียชีวิต กระทรวงสาธารณสุข เร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 608 ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัดให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 70 จังหวัดที่เหลือให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม เพื่อลดป่วยหนักและเสียชีวิต ส่วนบุคลากรการแพทย์ด่านหน้าได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไปแล้ว 46,000 คน ไม่พบอาการไม่พึงประสงค์รุนแรง วันนี้ (7 สิงหาคม 2564) ที่ ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ผู้อํานวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และวัคซีนโควิด 19โดยนายแพทย์จักรรัฐกล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทั่วโลกขณะนี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า สําหรับสถานการณ์ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ป่วยหายกลับบ้านได้ 21,108 ราย ใกล้เคียงกับจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 21,839 ราย ส่วนผู้เสียชีวิต 212 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจําตัวเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิตพบว่า เป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน 172 ราย คิดเป็นร้อยละ 89.58 ได้รับวัคซีน 1 เข็ม 19 ราย คิดเป็นร้อยละ 9.90 และได้รับวัคซีน 2 เข็ม 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.52 แสดงให้เห็นทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวหากยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนจะเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิตได้ ส่วนแนวโน้มผู้ติดเชื้อในประเทศขณะนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด เนื่องจาก 1.ผู้ติดเชื้อเดินทางออกจากพื้นที่ระบาดกลับภูมิลําเนาเพื่อรักษา 2. ผู้เดินทางกลับภูมิลําเนาไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ และไปแพร่เชื้อคนที่บ้าน 3.มีการระบาดในโรงงาน/สถานประกอบการทําให้มีผู้ติดเชื้อจํานวนมาก ดังนั้น ผู้ที่เดินทางกลับภูมิลําเนาต้องคิดเสมอว่าตนเองมีความเสี่ยง ให้ป้องกันตนเองและคนรอบข้างอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อต่อสําหรับมาตรการล็อกดาวน์จากการดําเนินการถึงขณะนี้ พบว่า เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่มาตรการล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพลดการแพร่โรคจากหนึ่งคนไปคนอื่น ลดลงได้ 20% ดังนั้นต้องเข้มการล็อคดาวน์ตัวเอง ออกจากบ้านเท่าที่จําเป็นเพื่อไม่รับเชื้อจากนอกบ้าน เว้นระยะห่างในครอบครัว เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อ และหากสงสัยติดเชื้อให้ตรวจด้วยชุดตรวจ ATKเพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว ซึ่งเมื่อร่วมกับการเร่งฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยงเป้าหมายจะช่วยทําให้ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดลงได้ โดยภายในสิ้นเดือนสิงหาคม พื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ต้องครอบคลุมอย่างน้อยร้อยละ 70 ส่วนจังหวัดที่เหลือมากกว่าร้อยละ 50 ด้านนายแพทย์โสภณ กล่าวว่า ข้อมูลถึงวันวันที่ 6 สิงหาคม 2564 ประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด 19 ไปแล้ว 20,280,108 โดส เป็นเข็มที่ 1 จํานวน 15,687,291 โดส เข็มที่ 2 จํานวน 4,406,723 โดส และกระตุ้นเข็มที่ 3 ไปแล้ว 186,094 โดส สําหรับวัคซีนไฟเซอร์ ที่ได้รับบริจาคจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจํานวน 1.5 ล้านโดส จัดสรรให้กับบุคลากรการแพทย์ด่านหน้าที่มีความเสี่ยงจากการดูแลผู้ป่วย ซึ่งรวมถึงนักศึกษาแพทย์-พยาบาลชั้นคลินิก เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ในสถานกักกัน โรงพยาบาลสนาม ฮอสพิเทล ห้องปฏิบัติการ และวิชาชีพอื่นๆ ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยโควิด และให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้งชาวไทยและต่างชาติที่อาศัยในประเทศ รวมถึงผู้ที่มีความจําเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา นักธุรกิจ เป็นต้น ขณะนี้ได้กระจายวัคซีนไปยังโรงพยาบาลประจําจังหวัดหรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ 170 แห่งทั่วประเทศ รอบแรกตั้งแต่วันที่ 4-6 สิงหาคม ส่งไปแล้ว 446,160 โดส และมีบุคลากรการแพทย์ได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไปแล้วประมาณ 46,000 คน ยังไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง โดยสัปดาห์หน้าจะเริ่มฉีดกลุ่มเสี่ยง608 ใน 13 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนการระบาดของโรคโควิด 19 ในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแห่งหนึ่งใน กทม. ซึ่งมีผู้สูงอายุ 68 คน ในจํานวนนี้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าก่อน 1 กรกฎาคม 48 คน พบติดเชื้อ 17 คน คิดเป็นอัตราป่วยร้อยละ 35.4 เสียชีวิต 1 คน คิดเป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 5.9 และมีผู้ฉีดวัคซีนหลัง 1 กรกฎาคม 7 คน พบติดเชื้อ 3 คน คิดเป็นอัตราป่วยร้อยละ 42.9 ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนผู้สูงอายุที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนอีก 13 คน ติดเชื้อ 9 ราย คิดเป็นอัตราป่วยร้อยละ 69.2 เสียชีวิต 4 คน คิดเป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 44.4 แสดงให้เห็นว่า แม้ฉีดวัคซีนเพียง 1 เข็ม สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดโอกาสเสียชีวิตได้ จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องเร่งรัดการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจําตัวให้เร็วที่สุด ******************************* 7 สิงหาคม 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ. เร่งฉีดวัคซีนประชาชนกลุ่มเสี่ยง 608 ใน 29 จังหวัดแดงเข้ม ให้ได้ร้อยละ 70 ภายในเดือน สค.นี้ วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม 2564 สธ. เร่งฉีดวัคซีนประชาชนกลุ่มเสี่ยง 608 ใน 29 จังหวัดแดงเข้ม ให้ได้ร้อยละ 70 ภายในเดือน สค.นี้ กระทรวงสาธารณสุข เร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 608 ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัดให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 70 จังหวัดที่เหลือให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม เพื่อลดป่วยหนักและเสียชีวิต กระทรวงสาธารณสุข เร่งฉีดวัคซีนโควิด 19 ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง 608 ในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัดให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 70 จังหวัดที่เหลือให้ได้อย่างน้อยร้อยละ 50 ภายในสิ้นเดือนสิงหาคม เพื่อลดป่วยหนักและเสียชีวิต ส่วนบุคลากรการแพทย์ด่านหน้าได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไปแล้ว 46,000 คน ไม่พบอาการไม่พึงประสงค์รุนแรง วันนี้ (7 สิงหาคม 2564) ที่ ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ผู้อํานวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และวัคซีนโควิด 19โดยนายแพทย์จักรรัฐกล่าวว่า สถานการณ์ผู้ติดเชื้อโควิด 19 ทั่วโลกขณะนี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากการระบาดของสายพันธุ์เดลต้า สําหรับสถานการณ์ในประเทศไทยวันนี้ มีผู้ป่วยหายกลับบ้านได้ 21,108 ราย ใกล้เคียงกับจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ 21,839 ราย ส่วนผู้เสียชีวิต 212 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีโรคประจําตัวเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์ จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิตพบว่า เป็นผู้ที่ไม่เคยได้รับวัคซีน 172 ราย คิดเป็นร้อยละ 89.58 ได้รับวัคซีน 1 เข็ม 19 ราย คิดเป็นร้อยละ 9.90 และได้รับวัคซีน 2 เข็ม 1 ราย คิดเป็นร้อยละ 0.52 แสดงให้เห็นทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าวหากยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนจะเสี่ยงป่วยหนักและเสียชีวิตได้ ส่วนแนวโน้มผู้ติดเชื้อในประเทศขณะนี้ ส่วนใหญ่อยู่ในต่างจังหวัด เนื่องจาก 1.ผู้ติดเชื้อเดินทางออกจากพื้นที่ระบาดกลับภูมิลําเนาเพื่อรักษา 2. ผู้เดินทางกลับภูมิลําเนาไม่ทราบว่าตัวเองติดเชื้อ และไปแพร่เชื้อคนที่บ้าน 3.มีการระบาดในโรงงาน/สถานประกอบการทําให้มีผู้ติดเชื้อจํานวนมาก ดังนั้น ผู้ที่เดินทางกลับภูมิลําเนาต้องคิดเสมอว่าตนเองมีความเสี่ยง ให้ป้องกันตนเองและคนรอบข้างอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่เชื้อต่อสําหรับมาตรการล็อกดาวน์จากการดําเนินการถึงขณะนี้ พบว่า เมื่อเทียบกับตัวเลขคาดการณ์ที่มาตรการล็อกดาวน์มีประสิทธิภาพลดการแพร่โรคจากหนึ่งคนไปคนอื่น ลดลงได้ 20% ดังนั้นต้องเข้มการล็อคดาวน์ตัวเอง ออกจากบ้านเท่าที่จําเป็นเพื่อไม่รับเชื้อจากนอกบ้าน เว้นระยะห่างในครอบครัว เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อ และหากสงสัยติดเชื้อให้ตรวจด้วยชุดตรวจ ATKเพื่อเข้าสู่ระบบการรักษาโดยเร็ว ซึ่งเมื่อร่วมกับการเร่งฉีดวัคซีนให้กลุ่มเสี่ยงเป้าหมายจะช่วยทําให้ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดลงได้ โดยภายในสิ้นเดือนสิงหาคม พื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ต้องครอบคลุมอย่างน้อยร้อยละ 70 ส่วนจังหวัดที่เหลือมากกว่าร้อยละ 50 ด้านนายแพทย์โสภณ กล่าวว่า ข้อมูลถึงวันวันที่ 6 สิงหาคม 2564 ประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิด 19 ไปแล้ว 20,280,108 โดส เป็นเข็มที่ 1 จํานวน 15,687,291 โดส เข็มที่ 2 จํานวน 4,406,723 โดส และกระตุ้นเข็มที่ 3 ไปแล้ว 186,094 โดส สําหรับวัคซีนไฟเซอร์ ที่ได้รับบริจาคจากรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจํานวน 1.5 ล้านโดส จัดสรรให้กับบุคลากรการแพทย์ด่านหน้าที่มีความเสี่ยงจากการดูแลผู้ป่วย ซึ่งรวมถึงนักศึกษาแพทย์-พยาบาลชั้นคลินิก เจ้าหน้าที่สอบสวนโรค เจ้าหน้าที่ในสถานกักกัน โรงพยาบาลสนาม ฮอสพิเทล ห้องปฏิบัติการ และวิชาชีพอื่นๆ ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วยโควิด และให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงทั้งชาวไทยและต่างชาติที่อาศัยในประเทศ รวมถึงผู้ที่มีความจําเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ เช่น นักเรียน นักศึกษา นักธุรกิจ เป็นต้น ขณะนี้ได้กระจายวัคซีนไปยังโรงพยาบาลประจําจังหวัดหรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่ 170 แห่งทั่วประเทศ รอบแรกตั้งแต่วันที่ 4-6 สิงหาคม ส่งไปแล้ว 446,160 โดส และมีบุคลากรการแพทย์ได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไปแล้วประมาณ 46,000 คน ยังไม่พบอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง โดยสัปดาห์หน้าจะเริ่มฉีดกลุ่มเสี่ยง608 ใน 13 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด นายแพทย์โสภณ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนการระบาดของโรคโควิด 19 ในศูนย์ดูแลผู้สูงอายุแห่งหนึ่งใน กทม. ซึ่งมีผู้สูงอายุ 68 คน ในจํานวนนี้ฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าก่อน 1 กรกฎาคม 48 คน พบติดเชื้อ 17 คน คิดเป็นอัตราป่วยร้อยละ 35.4 เสียชีวิต 1 คน คิดเป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 5.9 และมีผู้ฉีดวัคซีนหลัง 1 กรกฎาคม 7 คน พบติดเชื้อ 3 คน คิดเป็นอัตราป่วยร้อยละ 42.9 ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนผู้สูงอายุที่ไม่ได้ฉีดวัคซีนอีก 13 คน ติดเชื้อ 9 ราย คิดเป็นอัตราป่วยร้อยละ 69.2 เสียชีวิต 4 คน คิดเป็นอัตราป่วยตายร้อยละ 44.4 แสดงให้เห็นว่า แม้ฉีดวัคซีนเพียง 1 เข็ม สามารถช่วยป้องกันการติดเชื้อและลดโอกาสเสียชีวิตได้ จึงเป็นเหตุผลที่เราต้องเร่งรัดการฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ที่มีโรคประจําตัวให้เร็วที่สุด ******************************* 7 สิงหาคม 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44549
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ขยายมาตรการบัตรสวัสดิการฯ ลดค่าน้ำ - ไฟ อุดหนุนค่าซื้อสินค้าอุปโภค/บริโภค ค่าเดินทาง เบี้ยผู้พิการ ถึง ก.ย. 65
วันพุธที่ 22 กันยายน 2564 ครม. ขยายมาตรการบัตรสวัสดิการฯ ลดค่าน้ํา - ไฟ อุดหนุนค่าซื้อสินค้าอุปโภค/บริโภค ค่าเดินทาง เบี้ยผู้พิการ ถึง ก.ย. 65 ..... ที่ประชุม ครม. (21 ก.ย.) เห็นชอบหลักการขยายมาตรการลดภาระค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่เดือน ต.ค. 64 ถึง ก.ย. 65 เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ดังนี้ . 1.ขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาภาระค่าน้ํา - ไฟ ค่าไฟ : ✅ได้สิทธิค่าไฟฟรี หากใช้ไม่เกิน 50 หน่วย/เดือน ติดต่อกัน 3 เดือน ✅กรณีเกิน 50 หน่วย/เดือน รัฐจะสนับสนุนวงเงิน 315 บาท/ครัวเรือน/เดือน ✅หากใช้เกินวงเงิน ผู้ถือบัตรฯ จะต้องชําระค่าไฟทั้งหมด ค่าน้ํา : ✅รัฐสนับสนุนวงเงิน 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน ✅กรณีเกิน 100 บาท แต่ไม่ถึง 315 บาท ต้องชําระส่วนเกินด้วยตนเอง ✅หากใช้เกิน 315 บาท ผู้ถือบัตรฯ จะต้องชําระค่าน้ําทั้งหมด . 2) สนับสนุนค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าเดินทาง และเบี้ยความพิการ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน : ✅ผู้ที่รายได้เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท/ปี จะได้รับ 200 บาท/คน/เดือน ✅ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี จะได้รับ 300 บาท/คน/เดือน ส่วนลดค่าก๊าซหุงต้ม : 55 บาท/คน/3 เดือน ค่าเดินทาง : ค่าโดยสาร ขสมก. รถไฟฟ้า บขส. รถไฟ 500 บาท/คน/เดือน เบี้ยความพิการ : 1,000 บาท/คน/เดือน #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. ขยายมาตรการบัตรสวัสดิการฯ ลดค่าน้ำ - ไฟ อุดหนุนค่าซื้อสินค้าอุปโภค/บริโภค ค่าเดินทาง เบี้ยผู้พิการ ถึง ก.ย. 65 วันพุธที่ 22 กันยายน 2564 ครม. ขยายมาตรการบัตรสวัสดิการฯ ลดค่าน้ํา - ไฟ อุดหนุนค่าซื้อสินค้าอุปโภค/บริโภค ค่าเดินทาง เบี้ยผู้พิการ ถึง ก.ย. 65 ..... ที่ประชุม ครม. (21 ก.ย.) เห็นชอบหลักการขยายมาตรการลดภาระค่าครองชีพผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่เดือน ต.ค. 64 ถึง ก.ย. 65 เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ดังนี้ . 1.ขยายระยะเวลามาตรการบรรเทาภาระค่าน้ํา - ไฟ ค่าไฟ : ✅ได้สิทธิค่าไฟฟรี หากใช้ไม่เกิน 50 หน่วย/เดือน ติดต่อกัน 3 เดือน ✅กรณีเกิน 50 หน่วย/เดือน รัฐจะสนับสนุนวงเงิน 315 บาท/ครัวเรือน/เดือน ✅หากใช้เกินวงเงิน ผู้ถือบัตรฯ จะต้องชําระค่าไฟทั้งหมด ค่าน้ํา : ✅รัฐสนับสนุนวงเงิน 100 บาท/ครัวเรือน/เดือน ✅กรณีเกิน 100 บาท แต่ไม่ถึง 315 บาท ต้องชําระส่วนเกินด้วยตนเอง ✅หากใช้เกิน 315 บาท ผู้ถือบัตรฯ จะต้องชําระค่าน้ําทั้งหมด . 2) สนับสนุนค่าใช้จ่ายในครัวเรือน ค่าเดินทาง และเบี้ยความพิการ ค่าใช้จ่ายในครัวเรือน : ✅ผู้ที่รายได้เกิน 30,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท/ปี จะได้รับ 200 บาท/คน/เดือน ✅ผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท/ปี จะได้รับ 300 บาท/คน/เดือน ส่วนลดค่าก๊าซหุงต้ม : 55 บาท/คน/3 เดือน ค่าเดินทาง : ค่าโดยสาร ขสมก. รถไฟฟ้า บขส. รถไฟ 500 บาท/คน/เดือน เบี้ยความพิการ : 1,000 บาท/คน/เดือน #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46077
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย เปิดสัมมนาพัฒนาและยกระดับคะแนน ITA เน้นย้ำ ชาวราชสีห์ต้องขับเคลื่อนการทำงานด้วยความโปร่งใส บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนโดยสุจริต
วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565 ปลัดมหาดไทย เปิดสัมมนาพัฒนาและยกระดับคะแนน ITA เน้นย้ํา ชาวราชสีห์ต้องขับเคลื่อนการทํางานด้วยความโปร่งใส บําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนโดยสุจริต ปลัดมหาดไทย เปิดสัมมนาพัฒนาและยกระดับคะแนน ITA เน้นย้ํา ชาวราชสีห์ต้องขับเคลื่อนการทํางานด้วยความโปร่งใส บําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนโดยสุจริต สร้างความเชื่อมั่นเชื่อถือให้กับสังคมไทย วันนี้ (1 มี.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมอัษฎางค์ อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนภารกิจด้านการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจําปี 2565 กิจกรรมการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาและยกระดับคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยมี นายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายทวิชาติ นิลกาญจน์ ผู้อํานวยการสํานักประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส สํานักงาน ป.ป.ช. ผู้บริหารสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ร่วมในพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ITA (Integrity and Transparency Assessment) เป็นการประเมินที่มีจุดมุ่งหมายที่จะทําให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในหน่วยงานภาครัฐครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สําคัญที่ชาวมหาดไทยมีภาคภูมิใจ เพราะผลการประเมินในปีที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยอยู่ในลําดับที่ 6 ค่าเฉลี่ย 94.29 คะแนน แต่เนื่องจากการขับเคลื่อนงานบริการประชาชนของกระทรวงมหาดไทยมีความหลากหลาย และหลายเรื่องมีความซับซ้อนในข้อกฎหมายหลายฉบับ ทําให้มีประชาชนร้องเรียนการบริการประชาชนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยเป็นจํานวนมาก ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายที่ชาวมหาดไทยต้องช่วยกันทําให้กฎ กติกา และรูปแบบ แนวทาง ในการให้บริการพี่น้องประชาชนที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม เกิดการอํานวยความสะดวก โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นที่รับรู้โดยทั่วไปของพี่น้องประชาชนในสังคมโดยรวม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า ส่วนที่สําคัญอีกประการหนึ่งในฐานะหน่วยให้บริการพี่น้องประชาชน นอกเหนือจากกฎกติกาที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม และการดําเนินการที่โปร่งใสแล้ว ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการต้องมีเมตตาจิตที่ มีมิตรจิตมิตรใจในการให้บริการพี่น้องประชาชนที่มาติดต่อราชการ มีนัยยะสําคัญว่า ต้องให้บริการพี่น้องประชาชนให้ได้รับความประทับใจ แม้ว่างานบริการนั้นอาจจะมีข้อขัดข้อง หรือไม่สําเร็จได้ในการติดต่อครั้งแรก เช่น ความครบถ้วนสมบูรณ์ของเอกสาร หรือเป็นเรื่องที่ติดขัดข้อกฎหมายหรือระเบียบหลายฉบับทําให้ต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ปัญหา เป็นต้น ถ้าผู้ให้บริการเห็นประชาชนผู้รับบริการเป็นญาติผู้ใหญ่ ต้อนรับขับสู้ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ชี้แจงแถลงไขให้กระจ่างแจ้ง ก็จะทําให้พี่น้องประชาชนผู้รับบริการรู้สึกพึงพอใจต่อการบริการ แม้ว่างานที่ให้บริการอาจจะต้องมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็เป็นการมาด้วยความเต็มใจ “ชาวมหาดไทยทุกคนต้องช่วยกันเผยแพร่ขยายผล “การเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ด้วยการเป็นผู้ที่เห็นพี่น้องประชาชน เห็นคนที่มาใช้บริการหรือมาติดต่องานเป็นญาติผู้ใหญ่ของเรา อย่าไปเบื่อหน่าย อย่าไปรังเกียจ ปฏิบัติตามแนวพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานไว้ว่า “ข้าราชการเรามีหน้าที่ทําให้พี่น้องประชาชนมีความชื่นใจ” ซึ่งจะทําให้พวกเราได้รับการยอมรับนับถือที่เพิ่มพูนมากขึ้น และลดการถูกร้องเรียนเรื่องการให้บริการในอนาคต นอกจากนี้ สิ่งสําคัญที่สุด คือ เราต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้นอกเหนือจากงานขั้นต่ําที่ถูกกําหนดเป็นตัวชี้วัด (KPIs) ซึ่งทุกคนก็ทําโดยสมบูรณ์อยู่แล้ว ด้วยการทําหน้าที่อุทิศตนให้กับราชการตลอดทั้ง 365 วัน ด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่จะเกื้อกูลกิจกรรมยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการทํางาน บําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนโดยสุจริต สร้างความเชื่อมั่นเชื่อถือให้กับสังคมไทย” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า งานของชาวมหาดไทยที่พวกเราทุกคนกําลังขับเคลื่อนทําอยู่ในขณะนี้ คุณประโยชน์ที่เกิดขึ้นนอกจากจะตกกับพี่น้องประชาชนที่จะได้รับการบริการที่ดีแล้ว ขอให้ตระหนักว่าเนื้อแท้สําคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ “การคงอยู่ของพวกเราชาวมาดไทย” ที่ต้องคงอยู่ด้วยความดีงาม ด้วยการทํางานอย่างมีคุณธรรม ความโปร่งใส ยึดกฎ ระเบียบ คํานึงถึงการให้บริการที่ดีกับพี่น้องประชาชน และการให้บริการที่ดีก็จะเป็นสิ่งสําคัญที่ทําให้องค์กรมหาดไทยมีคุณค่า สามารถอยู่รับใช้พี่น้องประชาชนได้อย่างยาวนาน ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 130 ปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันแล้วว่า บรรพบุรุษของคนมหาดไทยได้อุทิศตนให้กับประชาชนเป็นอย่างดี ส่งผลมาถึงพวกเราได้รับเกียรติ ได้รับโอกาส ในการทํางานเพื่อพี่น้องประชาชนต่อไปได้ เราต้องช่วยกันพัฒนาคน พัฒนางาน พัฒนาการให้บริการกับพี่น้องประชาชนให้เพิ่มมากขึ้น พัฒนาองค์กรของเรา ด้วยการ “พัฒนาคน” เพื่อสามารถให้บริการที่ดี “การทํางานด้วยความสุจริต โปร่งใส จะส่งผลดีทั้งการป้องกันปราบปราม ยกระดับจิตใจ และคุณภาพการทํางานของพวกเราชาวมหาดไทย เพื่อให้ประโยชน์ในการรับราชการของพวกเราตกสู่พี่น้องประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ขณะเดียวกันสิ่งเหล่านี้จะเป็นเกราะกําบังช่วยป้องกันให้พวกเราสามารถรับราชการได้กระทั่งเกษียณอายุราชการ เป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม และต่อความรู้สึกของทุกผู้ทุกคนในสังคม” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย เปิดสัมมนาพัฒนาและยกระดับคะแนน ITA เน้นย้ำ ชาวราชสีห์ต้องขับเคลื่อนการทำงานด้วยความโปร่งใส บำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนโดยสุจริต วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565 ปลัดมหาดไทย เปิดสัมมนาพัฒนาและยกระดับคะแนน ITA เน้นย้ํา ชาวราชสีห์ต้องขับเคลื่อนการทํางานด้วยความโปร่งใส บําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนโดยสุจริต ปลัดมหาดไทย เปิดสัมมนาพัฒนาและยกระดับคะแนน ITA เน้นย้ํา ชาวราชสีห์ต้องขับเคลื่อนการทํางานด้วยความโปร่งใส บําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนโดยสุจริต สร้างความเชื่อมั่นเชื่อถือให้กับสังคมไทย วันนี้ (1 มี.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ห้องประชุมอัษฎางค์ อาคารดํารงราชานุสรณ์ กระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนภารกิจด้านการป้องกัน ปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ประจําปี 2565 กิจกรรมการขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาและยกระดับคะแนนการประเมินคุณธรรมและความโปร่งใสในการดําเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ (ITA) ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยมี นายอุทิศ บัวศรี รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายทวิชาติ นิลกาญจน์ ผู้อํานวยการสํานักประเมินคุณธรรมและความโปร่งใส สํานักงาน ป.ป.ช. ผู้บริหารสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ร่วมในพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ITA (Integrity and Transparency Assessment) เป็นการประเมินที่มีจุดมุ่งหมายที่จะทําให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาด้านคุณธรรมและความโปร่งใสในหน่วยงานภาครัฐครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สําคัญที่ชาวมหาดไทยมีภาคภูมิใจ เพราะผลการประเมินในปีที่ผ่านมา กระทรวงมหาดไทยอยู่ในลําดับที่ 6 ค่าเฉลี่ย 94.29 คะแนน แต่เนื่องจากการขับเคลื่อนงานบริการประชาชนของกระทรวงมหาดไทยมีความหลากหลาย และหลายเรื่องมีความซับซ้อนในข้อกฎหมายหลายฉบับ ทําให้มีประชาชนร้องเรียนการบริการประชาชนของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงมหาดไทยเป็นจํานวนมาก ดังนั้น จึงเป็นความท้าทายที่ชาวมหาดไทยต้องช่วยกันทําให้กฎ กติกา และรูปแบบ แนวทาง ในการให้บริการพี่น้องประชาชนที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม เกิดการอํานวยความสะดวก โปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นที่รับรู้โดยทั่วไปของพี่น้องประชาชนในสังคมโดยรวม นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า ส่วนที่สําคัญอีกประการหนึ่งในฐานะหน่วยให้บริการพี่น้องประชาชน นอกเหนือจากกฎกติกาที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม และการดําเนินการที่โปร่งใสแล้ว ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการต้องมีเมตตาจิตที่ มีมิตรจิตมิตรใจในการให้บริการพี่น้องประชาชนที่มาติดต่อราชการ มีนัยยะสําคัญว่า ต้องให้บริการพี่น้องประชาชนให้ได้รับความประทับใจ แม้ว่างานบริการนั้นอาจจะมีข้อขัดข้อง หรือไม่สําเร็จได้ในการติดต่อครั้งแรก เช่น ความครบถ้วนสมบูรณ์ของเอกสาร หรือเป็นเรื่องที่ติดขัดข้อกฎหมายหรือระเบียบหลายฉบับทําให้ต้องใช้ระยะเวลาในการแก้ปัญหา เป็นต้น ถ้าผู้ให้บริการเห็นประชาชนผู้รับบริการเป็นญาติผู้ใหญ่ ต้อนรับขับสู้ด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส ชี้แจงแถลงไขให้กระจ่างแจ้ง ก็จะทําให้พี่น้องประชาชนผู้รับบริการรู้สึกพึงพอใจต่อการบริการ แม้ว่างานที่ให้บริการอาจจะต้องมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง แต่ก็เป็นการมาด้วยความเต็มใจ “ชาวมหาดไทยทุกคนต้องช่วยกันเผยแพร่ขยายผล “การเป็นข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” ด้วยการเป็นผู้ที่เห็นพี่น้องประชาชน เห็นคนที่มาใช้บริการหรือมาติดต่องานเป็นญาติผู้ใหญ่ของเรา อย่าไปเบื่อหน่าย อย่าไปรังเกียจ ปฏิบัติตามแนวพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่พระราชทานไว้ว่า “ข้าราชการเรามีหน้าที่ทําให้พี่น้องประชาชนมีความชื่นใจ” ซึ่งจะทําให้พวกเราได้รับการยอมรับนับถือที่เพิ่มพูนมากขึ้น และลดการถูกร้องเรียนเรื่องการให้บริการในอนาคต นอกจากนี้ สิ่งสําคัญที่สุด คือ เราต้องปฏิบัติหน้าที่ราชการให้นอกเหนือจากงานขั้นต่ําที่ถูกกําหนดเป็นตัวชี้วัด (KPIs) ซึ่งทุกคนก็ทําโดยสมบูรณ์อยู่แล้ว ด้วยการทําหน้าที่อุทิศตนให้กับราชการตลอดทั้ง 365 วัน ด้วยความคิดสร้างสรรค์ที่จะเกื้อกูลกิจกรรมยกระดับคุณธรรมและความโปร่งใสในการทํางาน บําบัดทุกข์ บํารุงสุขให้กับพี่น้องประชาชนโดยสุจริต สร้างความเชื่อมั่นเชื่อถือให้กับสังคมไทย” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า งานของชาวมหาดไทยที่พวกเราทุกคนกําลังขับเคลื่อนทําอยู่ในขณะนี้ คุณประโยชน์ที่เกิดขึ้นนอกจากจะตกกับพี่น้องประชาชนที่จะได้รับการบริการที่ดีแล้ว ขอให้ตระหนักว่าเนื้อแท้สําคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ “การคงอยู่ของพวกเราชาวมาดไทย” ที่ต้องคงอยู่ด้วยความดีงาม ด้วยการทํางานอย่างมีคุณธรรม ความโปร่งใส ยึดกฎ ระเบียบ คํานึงถึงการให้บริการที่ดีกับพี่น้องประชาชน และการให้บริการที่ดีก็จะเป็นสิ่งสําคัญที่ทําให้องค์กรมหาดไทยมีคุณค่า สามารถอยู่รับใช้พี่น้องประชาชนได้อย่างยาวนาน ซึ่งตลอดระยะเวลากว่า 130 ปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันแล้วว่า บรรพบุรุษของคนมหาดไทยได้อุทิศตนให้กับประชาชนเป็นอย่างดี ส่งผลมาถึงพวกเราได้รับเกียรติ ได้รับโอกาส ในการทํางานเพื่อพี่น้องประชาชนต่อไปได้ เราต้องช่วยกันพัฒนาคน พัฒนางาน พัฒนาการให้บริการกับพี่น้องประชาชนให้เพิ่มมากขึ้น พัฒนาองค์กรของเรา ด้วยการ “พัฒนาคน” เพื่อสามารถให้บริการที่ดี “การทํางานด้วยความสุจริต โปร่งใส จะส่งผลดีทั้งการป้องกันปราบปราม ยกระดับจิตใจ และคุณภาพการทํางานของพวกเราชาวมหาดไทย เพื่อให้ประโยชน์ในการรับราชการของพวกเราตกสู่พี่น้องประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ขณะเดียวกันสิ่งเหล่านี้จะเป็นเกราะกําบังช่วยป้องกันให้พวกเราสามารถรับราชการได้กระทั่งเกษียณอายุราชการ เป็นที่ยอมรับนับถือของสังคม และต่อความรู้สึกของทุกผู้ทุกคนในสังคม” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52091
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอขึ้นกันได้เลย! 2 สิงหานี้ “รถไฟชานเมืองสายสีแดง” เพราะการเดินทางจะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2564 รอขึ้นกันได้เลย! 2 สิงหานี้ “รถไฟชานเมืองสายสีแดง” เพราะการเดินทางจะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น 2 สิงหาคมนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมแล้วที่จะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และ บางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยจะให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และจะเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 2564 2 สิงหาคมนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมแล้วที่จะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และ บางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยจะให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และจะเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 2564 เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนที่ต้องการจะเดินทางจากปริมณฑล พื้นที่ชานเมืองเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร สําหรับตารางการเดินรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง มีดังนี้ - เส้นทาง บางซื่อ-รังสิต เที่ยวแรกจากบางซื่อ เริ่มเดินรถเวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกจากรังสิต เริ่มเดินรถเวลา 06.00 น.เช่นกัน - เส้นทาง บางซื่อ-รังสิต เที่ยวสุดท้ายจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. ส่วนสุดท้ายจากรังสิต เวลา 19.30 น. - เส้นทาง บางซื่อ-ตลิ่งชัน เที่ยวแรกจากบางซื่อ เริ่มเดินรถเวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกจากรังสิต เริ่มเดินรถเวลา 06.06 น. - เส้นทาง บางซื่อ-ตลิ่งชัน เที่ยวสุดท้ายจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. ส่วนสุดท้ายจากรังสิต เวลา 19.36 น. ทั้งนี้ เฉพาะวันที่ 2 สิงหาคม 2564 จะเริ่มเดินรถ เวลา 10.30 น. ซึ่งการใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง จะสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีสิ่งอํานวยความสะดวกอะไรรองรับบ้างนั้น เราได้รวบรวมข้อมูลมาฝากกัน #กระทรวงคมนาคม #การรถไฟแห่งประเทศไทย #สถานีกลางบางซื่อ #รฟท #รถไฟฟ้าสายสีแดง #RedLine รับชม คลิก Youtube : https://youtu.be/QUc73SQFY34 Facebook ทีมพีอาร์การรถไฟฯ : https://www.facebook.com/129946050353608/posts/4830010627013770/ Facebook bangsue grand station : https://www.facebook.com/100941464799249/posts/365070808386312/ IG : https://www.instagram.com/tv/CR8C9p0hkQg/?utm_medium=copy_link Twitter : https://twitter.com/PR_SRT/status/1420976094635642888?s=20
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รอขึ้นกันได้เลย! 2 สิงหานี้ “รถไฟชานเมืองสายสีแดง” เพราะการเดินทางจะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2564 รอขึ้นกันได้เลย! 2 สิงหานี้ “รถไฟชานเมืองสายสีแดง” เพราะการเดินทางจะสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น 2 สิงหาคมนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมแล้วที่จะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และ บางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยจะให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และจะเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 2564 2 สิงหาคมนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย พร้อมแล้วที่จะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-รังสิต และ บางซื่อ-ตลิ่งชัน โดยจะให้บริการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และจะเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ในช่วงปลายปี 2564 เพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่พี่น้องประชาชนที่ต้องการจะเดินทางจากปริมณฑล พื้นที่ชานเมืองเข้าสู่ใจกลางกรุงเทพมหานคร สําหรับตารางการเดินรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง มีดังนี้ - เส้นทาง บางซื่อ-รังสิต เที่ยวแรกจากบางซื่อ เริ่มเดินรถเวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกจากรังสิต เริ่มเดินรถเวลา 06.00 น.เช่นกัน - เส้นทาง บางซื่อ-รังสิต เที่ยวสุดท้ายจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. ส่วนสุดท้ายจากรังสิต เวลา 19.30 น. - เส้นทาง บางซื่อ-ตลิ่งชัน เที่ยวแรกจากบางซื่อ เริ่มเดินรถเวลา 06.00 น. ส่วนเที่ยวแรกจากรังสิต เริ่มเดินรถเวลา 06.06 น. - เส้นทาง บางซื่อ-ตลิ่งชัน เที่ยวสุดท้ายจากบางซื่อ เวลา 19.30 น. ส่วนสุดท้ายจากรังสิต เวลา 19.36 น. ทั้งนี้ เฉพาะวันที่ 2 สิงหาคม 2564 จะเริ่มเดินรถ เวลา 10.30 น. ซึ่งการใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง จะสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย และมีสิ่งอํานวยความสะดวกอะไรรองรับบ้างนั้น เราได้รวบรวมข้อมูลมาฝากกัน #กระทรวงคมนาคม #การรถไฟแห่งประเทศไทย #สถานีกลางบางซื่อ #รฟท #รถไฟฟ้าสายสีแดง #RedLine รับชม คลิก Youtube : https://youtu.be/QUc73SQFY34 Facebook ทีมพีอาร์การรถไฟฯ : https://www.facebook.com/129946050353608/posts/4830010627013770/ Facebook bangsue grand station : https://www.facebook.com/100941464799249/posts/365070808386312/ IG : https://www.instagram.com/tv/CR8C9p0hkQg/?utm_medium=copy_link Twitter : https://twitter.com/PR_SRT/status/1420976094635642888?s=20
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44272
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจความพร้อมท่าเรือ สมุย - พะงัน
วันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2565 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจความพร้อมท่าเรือ สมุย - พะงัน ดูแลนักท่องเที่ยวงานกินปูดูพระจันทร์ ณ ธนาคารปูม้าชุมชน เกาะพะงัน วันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2565 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎ์ธานี เพื่อตรวจท่าเรือท่องเที่ยว ณ บริเวณท่าเทียบเรือเกาะสมุยและเกาะพะงัน โดยมีนายเรวัต โพธิ์เรียง ผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 4 พร้อมด้วยนายศตพล โชติพันธุ ผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเกาะพะงัน นายอรุณ บุปผะโก ผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเกาะสมุย และท่านหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ เนื่องจากทั้ง 2 ท่าเรือมีความสําคัญและเป็นจุดเชื่อมต่อศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางน้ํารองรับผู้เดินทางกว่าล้านคนต่อปี โดยท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ได้สั่งการให้สํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคฯ ตรวจความพร้อมของเรือโดยสารทุกประเภทพร้อมส่งเรือตรวจการณ์เพื่อดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวควบคู่กับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด จากนั้นเดินทางเป็นประธานเปิดงานกินปูดูพระจันทร์เกาะพะงัน ครั้งที่ 1 กําหนดจัดระหว่างวันที่ 7 - 9 มกราคม 2565 โดยชูเอกลักษณ์ท้องถิ่นภายใต้มาตรการสาธารณสุข เป็นการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศและกระจายรายได้สู่ฐานราก ทั้งนี้ ภายในงาน มีกิจกรรมการปล่อยลูกปูลงอ่าวบ้านใต้ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ําที่อุดมสมบูรณ์ มีบู๊ทอาหารของดีพะงัน ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจความพร้อมท่าเรือ สมุย - พะงัน วันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2565 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ตรวจความพร้อมท่าเรือ สมุย - พะงัน ดูแลนักท่องเที่ยวงานกินปูดูพระจันทร์ ณ ธนาคารปูม้าชุมชน เกาะพะงัน วันเสาร์ที่ 8 มกราคม 2565 นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ลงพื้นที่ อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎ์ธานี เพื่อตรวจท่าเรือท่องเที่ยว ณ บริเวณท่าเทียบเรือเกาะสมุยและเกาะพะงัน โดยมีนายเรวัต โพธิ์เรียง ผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 4 พร้อมด้วยนายศตพล โชติพันธุ ผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเกาะพะงัน นายอรุณ บุปผะโก ผู้อํานวยการสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเกาะสมุย และท่านหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ร่วมให้การต้อนรับ เนื่องจากทั้ง 2 ท่าเรือมีความสําคัญและเป็นจุดเชื่อมต่อศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางน้ํารองรับผู้เดินทางกว่าล้านคนต่อปี โดยท่านรัฐมนตรีช่วยฯ ได้สั่งการให้สํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคฯ ตรวจความพร้อมของเรือโดยสารทุกประเภทพร้อมส่งเรือตรวจการณ์เพื่อดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวควบคู่กับการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด จากนั้นเดินทางเป็นประธานเปิดงานกินปูดูพระจันทร์เกาะพะงัน ครั้งที่ 1 กําหนดจัดระหว่างวันที่ 7 - 9 มกราคม 2565 โดยชูเอกลักษณ์ท้องถิ่นภายใต้มาตรการสาธารณสุข เป็นการกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศและกระจายรายได้สู่ฐานราก ทั้งนี้ ภายในงาน มีกิจกรรมการปล่อยลูกปูลงอ่าวบ้านใต้ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ําที่อุดมสมบูรณ์ มีบู๊ทอาหารของดีพะงัน ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50341
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย มอบทองคำแท่ง หนัก 20 บาท ให้แก่ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลที่ 1 สลากบำรุงสภากาชาดไทย ปี 2565 กระทรวงมหาดไทย
วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 กระทรวงมหาดไทย มอบทองคําแท่ง หนัก 20 บาท ให้แก่ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลที่ 1 สลากบํารุงสภากาชาดไทย ปี 2565 กระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทย มอบทองคําแท่ง หนัก 20 บาท ให้แก่ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลที่ 1 สลากบํารุงสภากาชาดไทย ปี 2565 กระทรวงมหาดไทย พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจการของสภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก วันนี้ (17 ก.พ. 65) เวลา 11.00 น. ที่ห้องรับรองปลัดกระทรวงมหาดไทย อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานมอบรางวัลสลากบํารุงสภากาชาดไทย ประจําปี 2565 กระทรวงมหาดไทยโดยมี นางรชตภร โตดิลกเวชช์ ประธานคณะกรรมการบริหาร สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ พร้อมด้วยผู้บริหารสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นเกียรติ และแสดงความยินดี โอกาสนี้ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย มอบรางวัลที่ 1 ทองคําแท่ง หนัก 20 บาท ให้แก่นางสาวฐิติมา ศรีกันชัย เจ้าหน้าที่ที่ทําการปกครองอําเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นผู้ถูกรางวัลที่ 1 สลากบํารุงสภากาชาดไทย ประจําปี 2565 กระทรวงมหาดไทย หมายเลข 16436 พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า สภากาชาดไทย เป็นองค์กรการกุศลเพื่อมนุษยธรรมตามหลักกาชาดสากล โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้ง “สภาอุณาโลมแดง” ขึ้น เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2436 ซึ่งถือเป็นวันสถาปนาสภากาชาดไทย และทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (ขณะดํารงพระอิสริยยศที่ สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี) ทรงเป็น “สภาชนนี” และต่อมาสภากาชาดสยามเปลี่ยนชื่อเป็น สภากาชาดไทย เมื่อปี พ.ศ. 2482 และในปัจจุบันมี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงดํารงตําแหน่ง องค์สภานายิกา และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตําแหน่งตําแหน่ง องค์อุปนายิกาสภากาชาดไทย นอกจากนี้ เพื่อให้กิจการสภากาชาดไทยสามารถขับเคลื่อนการดําเนินงานในการบรรเทาทุกข์ บํารุงสุขให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ องค์สภานายิกา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้คู่สมรสของผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ดํารงตําแหน่ง นายกเหล่ากาชาดจังหวัด ทําหน้าที่ สังคมสงเคราะห์ประชาชนที่ประสบความทุกข์ยากเดือดร้อน และผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร และกิจการของสภากาชาดไทยในพื้นที่จังหวัด ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การออกสลากบํารุงกาชาด เป็นสลากบํารุงการกุศลที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายให้สามารถจัดได้ปีละ 1 ครั้ง เพื่อมอบรายได้ให้กาชาดไว้ใช้จ่ายในกิจการสาธารณกุศลเท่านั้น เนื่องจากสภากาชาดไทยเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการสาธารณกุศลเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือว่าเป็นการทําบุญร่วมกัน จึงขอเชิญชวนช่วยกันสื่อสารสร้างการรับรู้ให้กับพี่น้องประชาชนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจการของสภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยากต่อไป “สิ่งที่น้องฐิติมา ศรีกันชัย ได้ช่วยสภากาชาดในวันนี้ ด้วยการซื้อสลากบํารุงสภากาชาด 1 ใบ เงินที่ได้จําหน่ายสลากหลังหักค่าใช้จ่าย กระทรวงมหาดไทยจะนําขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมองค์อุปนายิกาสภากาชาดไทย เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลบํารุงสภากาชาดไทยในการช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ทั้งเรื่องหยูกยา เวชภัณฑ์ ข้าวของเครื่องใช้ที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิตของพี่น้องประชาชน รวมถึงวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ถือเป็นการสร้างบุญร่วมกัน แต่ที่พิเศษกว่าคนอื่น คือ เป็นการทําบุญที่มีโชค และหลังจากนี้ ขอให้ได้ชักชวนเพื่อน ๆ ช่วยกันทําความดี ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก และร่วมกิจกรรมบํารุงกาชาดกับกระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุข พี่น้องประชาชนในอนาคตต่อไป” ดร.วันดีฯ กล่าวในช่วงท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงมหาดไทย มอบทองคำแท่ง หนัก 20 บาท ให้แก่ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลที่ 1 สลากบำรุงสภากาชาดไทย ปี 2565 กระทรวงมหาดไทย วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 กระทรวงมหาดไทย มอบทองคําแท่ง หนัก 20 บาท ให้แก่ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลที่ 1 สลากบํารุงสภากาชาดไทย ปี 2565 กระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทย มอบทองคําแท่ง หนัก 20 บาท ให้แก่ผู้โชคดีที่ถูกรางวัลที่ 1 สลากบํารุงสภากาชาดไทย ปี 2565 กระทรวงมหาดไทย พร้อมเชิญชวนประชาชนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจการของสภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยาก วันนี้ (17 ก.พ. 65) เวลา 11.00 น. ที่ห้องรับรองปลัดกระทรวงมหาดไทย อาคารศาลาว่าการกระทรวงมหาดไทย ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เป็นประธานมอบรางวัลสลากบํารุงสภากาชาดไทย ประจําปี 2565 กระทรวงมหาดไทยโดยมี นางรชตภร โตดิลกเวชช์ ประธานคณะกรรมการบริหาร สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ พร้อมด้วยผู้บริหารสํานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย ร่วมเป็นเกียรติ และแสดงความยินดี โอกาสนี้ ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย มอบรางวัลที่ 1 ทองคําแท่ง หนัก 20 บาท ให้แก่นางสาวฐิติมา ศรีกันชัย เจ้าหน้าที่ที่ทําการปกครองอําเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นผู้ถูกรางวัลที่ 1 สลากบํารุงสภากาชาดไทย ประจําปี 2565 กระทรวงมหาดไทย หมายเลข 16436 พร้อมกล่าวแสดงความยินดีกับผู้ได้รับรางวัล ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวว่า สภากาชาดไทย เป็นองค์กรการกุศลเพื่อมนุษยธรรมตามหลักกาชาดสากล โดยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้ง “สภาอุณาโลมแดง” ขึ้น เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2436 ซึ่งถือเป็นวันสถาปนาสภากาชาดไทย และทรงรับไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า (ขณะดํารงพระอิสริยยศที่ สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี) ทรงเป็น “สภาชนนี” และต่อมาสภากาชาดสยามเปลี่ยนชื่อเป็น สภากาชาดไทย เมื่อปี พ.ศ. 2482 และในปัจจุบันมี สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงดํารงตําแหน่ง องค์สภานายิกา และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงตําแหน่งตําแหน่ง องค์อุปนายิกาสภากาชาดไทย นอกจากนี้ เพื่อให้กิจการสภากาชาดไทยสามารถขับเคลื่อนการดําเนินงานในการบรรเทาทุกข์ บํารุงสุขให้กับประชาชนในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ องค์สภานายิกา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้คู่สมรสของผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ดํารงตําแหน่ง นายกเหล่ากาชาดจังหวัด ทําหน้าที่ สังคมสงเคราะห์ประชาชนที่ประสบความทุกข์ยากเดือดร้อน และผู้ด้อยโอกาส โดยเฉพาะในถิ่นทุรกันดาร และกิจการของสภากาชาดไทยในพื้นที่จังหวัด ดร.วันดี กุญชรยาคง จุลเจริญ นายกสมาคมแม่บ้านมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การออกสลากบํารุงกาชาด เป็นสลากบํารุงการกุศลที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามกฎหมายให้สามารถจัดได้ปีละ 1 ครั้ง เพื่อมอบรายได้ให้กาชาดไว้ใช้จ่ายในกิจการสาธารณกุศลเท่านั้น เนื่องจากสภากาชาดไทยเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจด้านการสาธารณกุศลเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถือว่าเป็นการทําบุญร่วมกัน จึงขอเชิญชวนช่วยกันสื่อสารสร้างการรับรู้ให้กับพี่น้องประชาชนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนกิจการของสภากาชาดไทย เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ตกทุกข์ได้ยากต่อไป “สิ่งที่น้องฐิติมา ศรีกันชัย ได้ช่วยสภากาชาดในวันนี้ ด้วยการซื้อสลากบํารุงสภากาชาด 1 ใบ เงินที่ได้จําหน่ายสลากหลังหักค่าใช้จ่าย กระทรวงมหาดไทยจะนําขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมองค์อุปนายิกาสภากาชาดไทย เพื่อโดยเสด็จพระราชกุศลบํารุงสภากาชาดไทยในการช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ทั้งเรื่องหยูกยา เวชภัณฑ์ ข้าวของเครื่องใช้ที่จําเป็นต่อการดํารงชีวิตของพี่น้องประชาชน รวมถึงวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ ถือเป็นการสร้างบุญร่วมกัน แต่ที่พิเศษกว่าคนอื่น คือ เป็นการทําบุญที่มีโชค และหลังจากนี้ ขอให้ได้ชักชวนเพื่อน ๆ ช่วยกันทําความดี ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก และร่วมกิจกรรมบํารุงกาชาดกับกระทรวงมหาดไทย และสมาคมแม่บ้านมหาดไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการบําบัดทุกข์ บํารุงสุข พี่น้องประชาชนในอนาคตต่อไป” ดร.วันดีฯ กล่าวในช่วงท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51667
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย”เพิ่มช่องทางตรวจสอบสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ผ่านเว็บ www.คนละครึ่ง.com
วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 “กรุงไทย”เพิ่มช่องทางตรวจสอบสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ผ่านเว็บ www.คนละครึ่ง.com แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ขัดข้องชั่วคราว เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2565 ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 5 นั้น ธนาคารได้เร่งปรับปรุงแก้ไขปัญหา ทําให้แอปฯเป๋าตังสามารถใช้งานตามปกติ นายจักรกฤษณ์ กลิ่นสมิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เพื่อให้การลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 5 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ธนาคารได้เพิ่มช่องทางการตรวจสอบการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com โดยผู้ที่เคยใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 4 สามารถตรวจสอบสิทธิผ่าน www.คนละครึ่ง.com ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป เวลา 06.00-22.00 น.และยืนยันสิทธิผ่านแอปฯเป๋าตังได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง โดยต้องใช้จ่ายครั้งแรกภายในวันที่ 14 กันยายน 2565 มิฉะนั้นสิทธิจะถูกตัด สําหรับกรณีแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ขัดข้องชั่วคราว เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 5 นั้น ธนาคารได้เร่งปรับปรุงแก้ไขปัญหา ทําให้แอปฯเป๋าตังสามารถใช้งานตามปกติ จากการตรวจสอบพบว่า แอปฯเป๋าตังมีการยกระดับระบบความปลอดภัย ส่งผลให้ระบบต้องใช้เวลาประมวลผลนานขึ้น อีกทั้งในวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดลงทะเบียนคนละครึ่งเฟส 5 ทําให้มีผู้เข้ามารอลงทะเบียนและยืนยันรับสิทธิผ่านแอปฯเป๋าตังพร้อมกันเป็นจํานวนมาก โดยมากกว่าโครงการที่ผ่านมา ส่งผลให้ระบบล่มและสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติในเวลา 10.48 น.ของวันดียวกัน ทั้งนี้ ธนาคารจะปิดปรับปรุงระบบแอปฯเป๋าตัง ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2565 เวลา 20.00 น.ถึงเวลา 06.00 น.ของวันที่ 20 สิงหาคม 2565 เพื่อปรับปรุงให้การใช้งานแอปฯเป๋าตังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อยกระดับการให้บริการให้ดีขึ้นในทุกวัน และขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กรุงไทย”เพิ่มช่องทางตรวจสอบสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ผ่านเว็บ www.คนละครึ่ง.com วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2565 “กรุงไทย”เพิ่มช่องทางตรวจสอบสิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ผ่านเว็บ www.คนละครึ่ง.com แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ขัดข้องชั่วคราว เมื่อวันที่ 19 ส.ค.2565 ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 5 นั้น ธนาคารได้เร่งปรับปรุงแก้ไขปัญหา ทําให้แอปฯเป๋าตังสามารถใช้งานตามปกติ นายจักรกฤษณ์ กลิ่นสมิทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เพื่อให้การลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 5 เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ธนาคารได้เพิ่มช่องทางการตรวจสอบการเข้าร่วมโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ผ่านเว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com โดยผู้ที่เคยใช้สิทธิโครงการคนละครึ่งเฟส 4 สามารถตรวจสอบสิทธิผ่าน www.คนละครึ่ง.com ตั้งแต่วันที่ 20 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป เวลา 06.00-22.00 น.และยืนยันสิทธิผ่านแอปฯเป๋าตังได้ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง โดยต้องใช้จ่ายครั้งแรกภายในวันที่ 14 กันยายน 2565 มิฉะนั้นสิทธิจะถูกตัด สําหรับกรณีแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ขัดข้องชั่วคราว เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 5 นั้น ธนาคารได้เร่งปรับปรุงแก้ไขปัญหา ทําให้แอปฯเป๋าตังสามารถใช้งานตามปกติ จากการตรวจสอบพบว่า แอปฯเป๋าตังมีการยกระดับระบบความปลอดภัย ส่งผลให้ระบบต้องใช้เวลาประมวลผลนานขึ้น อีกทั้งในวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดลงทะเบียนคนละครึ่งเฟส 5 ทําให้มีผู้เข้ามารอลงทะเบียนและยืนยันรับสิทธิผ่านแอปฯเป๋าตังพร้อมกันเป็นจํานวนมาก โดยมากกว่าโครงการที่ผ่านมา ส่งผลให้ระบบล่มและสามารถกลับมาใช้งานได้ตามปกติในเวลา 10.48 น.ของวันดียวกัน ทั้งนี้ ธนาคารจะปิดปรับปรุงระบบแอปฯเป๋าตัง ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2565 เวลา 20.00 น.ถึงเวลา 06.00 น.ของวันที่ 20 สิงหาคม 2565 เพื่อปรับปรุงให้การใช้งานแอปฯเป๋าตังเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมมุ่งมั่นเดินหน้าพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อยกระดับการให้บริการให้ดีขึ้นในทุกวัน และขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58226
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565
วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนกุมภาพันธ์ 2565 “ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค เดือนกุมภาพันธ์ 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าหลายภูมิภาค สะท้อนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นทั้งในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออก” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาคเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมกราคม2565จากการประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดจากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเพื่อจัดทําดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคพบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค เดือนกุมภาพันธ์ 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าหลายภูมิภาคสะท้อนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นทั้งในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออก” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือปรับเพิ่มจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 69.4 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้น โดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากคําสั่งซื้อในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภาคบริการในอนาคตที่ดีขึ้น จากจํานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้นดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ระดับ 69.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนโดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคเกษตรเนื่องจากคาดว่าพืชเศรษฐกิจที่สําคัญจะเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ได้แก่ ทุเรียนและยางพารา เป็นต้น และมีปัจจัยสนับสนุนในภาคบริการจากการกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศรูปแบบ Test & Go อีกครั้งดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 67.3สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในภาคอุตสาหกรรมเนื่องจากยอดคําสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มการส่งออกที่ขยายตัวและในภาคเกษตรจากการเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวพืชเศรษฐกิจที่สําคัญ เช่น สับปะรดและมันสําปะหลัง เป็นต้น ประกอบกับปริมาณน้ําที่เพียงพอต่อการเพาะปลูกดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันตกอยู่ที่ระดับ 64.9 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ยังดีขึ้นโดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคบริการเนื่องจากจํานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ประกอบกับธุรกิจภาคบริการหลายแห่งกลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ สําหรับความเชื่อมั่นในภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากความต้องการสินค้าเกษตรของประชาชนในพื้นที่มีเพิ่มขึ้นดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลางอยู่ที่ระดับ 58.2 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในภาคเกษตร เนื่องจากคาดว่าความต้องการสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นเช่น มันสําปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออํานวยต่อการเพาะปลูก และในภาคการลงทุนเนื่องจากจํานวนผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนเพิ่มขึ้นดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนืออยู่ที่ระดับ56.5สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในภาคบริการเนื่องจากจํานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และการกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศรูปแบบ Test & Go อีกครั้งและในภาคการจ้างงานจากการที่ธุรกิจหลายแห่งกลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบทําให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นสําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของกทม. และปริมณฑลอยู่ที่ระดับ55.4แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้น โดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคเกษตร เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออํานวยต่อการเพาะปลูก และในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากยอดคําสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมและความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมของประชาชนในพื้นที่เพิ่มขึ้น ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2565 (ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2565) กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 55.4 67.3 69.4 69.2 58.2 56.5 64.9 ดัชนีแนวโน้มรายภาค 1) ภาคเกษตร 68.7 68.5 67.9 74.0 64.5 51.7 63.7 2) ภาคอุตสาหกรรม 63.9 72.4 74.8 66.3 57.3 53.6 63.2 3) ภาคบริการ 52.5 65.9 72.4 71.9 57.3 64.8 73.7 4) ภาคการจ้างงาน 49.9 63.8 64.3 66.9 54.6 58.7 62.7 5) ภาคการลงทุน 42.0 66.1 67.5 66.8 57.3 53.8 61.5 สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ 2565 ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค (Thailand Regional Economic Sentiment Index: RSI) ประจําเดือนกุมภาพันธ์ 2565 “ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค เดือนกุมภาพันธ์ 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าหลายภูมิภาค สะท้อนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นทั้งในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออก” นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกกระทรวงการคลัง และนายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อํานวยการสํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาคเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคประจําเดือนมกราคม2565จากการประมวลผลข้อมูลการสํารวจภาวะเศรษฐกิจรายจังหวัดจากสํานักงานคลังจังหวัด 76 จังหวัดทั่วประเทศสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยเพื่อจัดทําดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาคพบว่า “ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค เดือนกุมภาพันธ์ 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าหลายภูมิภาคสะท้อนความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้นทั้งในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออก” ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคตะวันออกเฉียงเหนือปรับเพิ่มจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ระดับ 69.4 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้น โดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากคําสั่งซื้อในประเทศและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจภาคบริการในอนาคตที่ดีขึ้น จากจํานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นตามมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น โครงการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้นดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคใต้อยู่ที่ระดับ 69.2 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนโดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคเกษตรเนื่องจากคาดว่าพืชเศรษฐกิจที่สําคัญจะเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ได้แก่ ทุเรียนและยางพารา เป็นต้น และมีปัจจัยสนับสนุนในภาคบริการจากการกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศรูปแบบ Test & Go อีกครั้งดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันออกอยู่ที่ระดับ 67.3สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในภาคอุตสาหกรรมเนื่องจากยอดคําสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ตามแนวโน้มการส่งออกที่ขยายตัวและในภาคเกษตรจากการเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวพืชเศรษฐกิจที่สําคัญ เช่น สับปะรดและมันสําปะหลัง เป็นต้น ประกอบกับปริมาณน้ําที่เพียงพอต่อการเพาะปลูกดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของภาคตะวันตกอยู่ที่ระดับ 64.9 แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ยังดีขึ้นโดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคบริการเนื่องจากจํานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ประกอบกับธุรกิจภาคบริการหลายแห่งกลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ สําหรับความเชื่อมั่นในภาคเกษตรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากความต้องการสินค้าเกษตรของประชาชนในพื้นที่มีเพิ่มขึ้นดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคกลางอยู่ที่ระดับ 58.2 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในภาคเกษตร เนื่องจากคาดว่าความต้องการสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นเช่น มันสําปะหลังและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นต้น ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออํานวยต่อการเพาะปลูก และในภาคการลงทุนเนื่องจากจํานวนผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการลงทุนเพิ่มขึ้นดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภาคเหนืออยู่ที่ระดับ56.5สะท้อนถึงความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจที่ดีขึ้นในภาคบริการเนื่องจากจํานวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน และการกลับมาเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศรูปแบบ Test & Go อีกครั้งและในภาคการจ้างงานจากการที่ธุรกิจหลายแห่งกลับมาเปิดให้บริการเต็มรูปแบบทําให้มีการจ้างงานเพิ่มขึ้นสําหรับดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจของกทม. และปริมณฑลอยู่ที่ระดับ55.4แสดงถึงความเชื่อมั่นเศรษฐกิจในอนาคตที่ดีขึ้น โดยเป็นความเชื่อมั่นที่สูงขึ้นในภาคเกษตร เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออํานวยต่อการเพาะปลูก และในภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากยอดคําสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมและความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมของประชาชนในพื้นที่เพิ่มขึ้น ตารางสรุปดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค ปี 2565 (ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2565) กทม. และปริมณฑล ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคเหนือ ภาคตะวันตก ดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค 55.4 67.3 69.4 69.2 58.2 56.5 64.9 ดัชนีแนวโน้มรายภาค 1) ภาคเกษตร 68.7 68.5 67.9 74.0 64.5 51.7 63.7 2) ภาคอุตสาหกรรม 63.9 72.4 74.8 66.3 57.3 53.6 63.2 3) ภาคบริการ 52.5 65.9 72.4 71.9 57.3 64.8 73.7 4) ภาคการจ้างงาน 49.9 63.8 64.3 66.9 54.6 58.7 62.7 5) ภาคการลงทุน 42.0 66.1 67.5 66.8 57.3 53.8 61.5 สํานักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 0-2273-9020 ต่อ 3254
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51955
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียม 5 มาตรการทางสาธารณสุขและแผนเผชิญเหตุรองรับ Phuket Sandbox เสริมศักยภาพส่วนเตียงผู้ป่วย เวชภัณฑ์ ยา ทีมสอบสวนโรคและห้องปฏิบัติการเต็มที่
วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม 2564 รัฐบาลเตรียม 5 มาตรการทางสาธารณสุขและแผนเผชิญเหตุรองรับ Phuket Sandbox เสริมศักยภาพส่วนเตียงผู้ป่วย เวชภัณฑ์ ยา ทีมสอบสวนโรคและห้องปฏิบัติการเต็มที่ รัฐบาลเตรียม 5 มาตรการทางสาธารณสุขและแผนเผชิญเหตุรองรับ Phuket Sandbox เสริมศักยภาพส่วนเตียงผู้ป่วย เวชภัณฑ์ ยา ทีมสอบสวนโรคและห้องปฏิบัติการเต็มที่ ยกเป็นแนวทางดําเนินการพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นเพิ่มความเชื่อมั่นประชาชน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันที่ 1 ก.ค. 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อติดตามความพร้อมของมาตรการด้านต่างๆ ในการรองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตามโมเดล Phuket Sandbox ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นพ.พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 11 ได้รายงานถึงความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อรองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามโมเดล Phuket Sandbox ซึ่งหากดําเนินการได้ราบรื่น ประสบความสําเร็จจะเป็นแนวทางการการดําเนินการด้านสาธารณสุขสําหรับพื้นที่ที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวอื่นๆ ในประเทศต่อไป ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและประชาชน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า มาตรการทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อรองรับ Phuket Sandbox ประกอบด้วย 5 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 ด้านวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชน โดยรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรร วัคซีนเพื่อฉีดให้กับประชาชนชาวภูเก็ตที่มีอยู่ประมาณ 540,000 คน รวมถึงประชากรแฝง กลุ่มแรงงานที่อพยพเข้ามาทํางาน ทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งภายในสิ้นเดือนมิถุนายนจะฉีดได้ตามเป้าหมายคือร้อยละ 70 ซึ่งเป็นเป้าหมายเบื้องต้นก่อนเปิดเมือง มาตรการที่ 2 การคัดกรองคนเข้าเมือง โดยผู้ที่มาจากต่างจังหวัดและพื้นที่เสี่ยงทั้งด่านอากาศ ด่านบก และ ด่านท่าเรือ โดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับ ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งผู้เดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต จะต้องได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มหรือมีผลตรวจคัดกรองโควิด 19 ในเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของประเทศ หรือขึ้นอยู่กับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อป้องกันการเล็ดลอดของเชื้อเข้ามาในจังหวัวภูเก็ต มาตรการที่3 การเฝ้าระวังเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยงและชุมชนเสี่ยง โดยเฉพาะชุมชนที่มีผู้ได้รับวัคซีนน้อยกว่าเกณฑ์ เช่น ในโรงเรียน ซึ่ง จ.ภูเก็ต มีโรงเรียนจํานวน 12 แห่ง มีขนาดตั้งแต่ 500 ถึง 2,000 กว่าคน สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดได้คัดกรองในระบบ Sentinel Surveillance สุ่มตรวจต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 คร้ัง มาตรการที่ 4 มีความพร้อมในการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีน ตามเงื่อนไขหรือมีผลตรวจเชื้อโควิด 19 เป็ นเวลา 72 ชั่วโมง ที่เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้วยังคงต้องตรวจหาเชื้อซ้ํา อีก 3 คร้ังคือวันแรกที่เดินทางมาถึง วันที่ 3 -5 และวันที่ 13-14 โดยห้องปฏิบัติการสามารถ ตรวจหาเชื้อได้ประมาณวันละ 1,500 ตัวอย่าง และจะประสานกับเอกชนเพิ่มปริมาณตรวจหาเชื้อ สามารถตรวจได้ถึงวันละ 3,000 คน นอกจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะช่วยสนับสนุนใน ด้านเทคนิคในการตรวจหาเชื้อกลายพันธุ์ได้ภายใน 24 ชั่วโมง มาตรการที่ 5 ด้านการรักษาพยาบาล โดยกระทรวงสาธารณสุขมีข้อสั่งการด้านการเตรียมเตียงและห้อง ICU รองรับผู้ป่วยประสิทธิภาพสูงเทียบเท่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่และCohort ICU เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด19 ที่มีอาการและมีความพร้อมในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามได้ภายใน 48 ชั่วโมง รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของแผนเผชิญเหตุกรณีเกิดการแพร่ระบาดขึ้นนั้นจะพิจารณาดําเนินการตั้งแต่ปรับลดกิจกรรมลง, กําหนดให้เที่ยวในเส้นทางที่กําหนด, ให้ทํากิจกรรมในพื้นที่ที่พัก ไปจนถึงยุติโครงการ ตามเงื่อนไขสถานการณ์ 5 ระดับ ได้แก่ 1.กรณีที่พบผู้ติดเชื้อจํานวนน้อยกว่า 90รายต่อสัปดาห์ 2.ลักษณะการกระจายของโรคทั้ง 3 อําเภอและมากกว่า 6 ตําบล 3.มีผู้ติดเชื้อครองเตียงมากกว่า80%ของศักยภาพของจังหวัด 4.มีการระบาดมากกว่า 3คลัสเตอร์หรือมีการระบาดในวงกว้างหรือหาความเชื่อมโยงไม่ได้ และ 5.พบการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์แบบวงกว้าง ควบคุมไม่ได้ ทั้งนี้ ได้มีการเสริมศักยภาพทางการแพทย์และสาธารณสุขให้มีความพร้อมทุกด้าน ซึ่งปัจจุบันในส่วนเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด-19 มีดังนี้ 1) เตียงรับผู้ป่วยวิกฤต สีแดง เขตสุขภาพที่11 มีจํานวนทั้งสิ้น 89 เตียง ในจังหวัดภูเก็ตมี 26 เตียง ใช้ไป 9 คงเหลือ 17 เตียง 2) เตียงรับผู้ป่วยอาการปานกลาง สีเหลือง เขตสุขภาพที่11 มีจํานวนทั้งสิ้น 2,092 เตียง ในจังหวัดภูเก็ตมี 195 เตียง ใช้ไป 27คงเหลือ 168 เตียง 3) เตียงรับผู้ป่วยอาการน้อย สีเขียว เขตสุขภาพที่11 มีจํานวนทั้งสิ้น 2,058 เตียง โดยในจังหวัดภูเก็ตมี 435 เตียง ใช้ไป 15คงเหลือ 420 เตียง ทางด้านเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ทุกรายการได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุขทําให้มีสต๊อกได้เกิน 1 เดือน ยารักษาโควิด-19 Favipiravir 200 mg. มีการตรวจเช็คแบบเรียลไทม์ ซึ่งปัจจุบันภูเก็ตมีการจ่ายยาเพื่อรักษา 50 เม็ด/วัน ปัจจุบันคงเหลือ 3,772 เม็ด แต่ในส่วนของเขตสุขภาพที่ 11 ทั้งหมดมีการจ่าย 1,020 เม็ด/วัน คงเหลือ 21,864 เม็ด ทางด้านศักยภาพของทีมสอบสวนโรค ในจังหวัดภูเก็ต มี 23 ทีม ขณะที่ทั้งเขตสุขภาพที่ 11 มี 120 ทีม ขณะที่ศักยภาพในการตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตรวจ RT-PCR นอกโรงพยาบาล จํานวน 5 จุด ประกอบด้วย คลินิกเวชกรรมภูเก็ตไม้ขาว(โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต) คลินิกเวชกรรมลากูน่าภูเก็ต (โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต) ศูนย์การค้าเซนทรัลภูเก็ต(โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต) ศูนย์การค้าจังซีลอน(โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์) และกะตะเซ็นเตอร์ (โรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเตรียม 5 มาตรการทางสาธารณสุขและแผนเผชิญเหตุรองรับ Phuket Sandbox เสริมศักยภาพส่วนเตียงผู้ป่วย เวชภัณฑ์ ยา ทีมสอบสวนโรคและห้องปฏิบัติการเต็มที่ วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม 2564 รัฐบาลเตรียม 5 มาตรการทางสาธารณสุขและแผนเผชิญเหตุรองรับ Phuket Sandbox เสริมศักยภาพส่วนเตียงผู้ป่วย เวชภัณฑ์ ยา ทีมสอบสวนโรคและห้องปฏิบัติการเต็มที่ รัฐบาลเตรียม 5 มาตรการทางสาธารณสุขและแผนเผชิญเหตุรองรับ Phuket Sandbox เสริมศักยภาพส่วนเตียงผู้ป่วย เวชภัณฑ์ ยา ทีมสอบสวนโรคและห้องปฏิบัติการเต็มที่ ยกเป็นแนวทางดําเนินการพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นเพิ่มความเชื่อมั่นประชาชน น.ส.ไตรศุลี ไตรสรกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันที่ 1 ก.ค. 2564 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมคณะ ลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อติดตามความพร้อมของมาตรการด้านต่างๆ ในการรองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตามโมเดล Phuket Sandbox ทั้งนี้ ระหว่างการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีพร้อมคณะกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง นพ.พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 11 ได้รายงานถึงความพร้อมด้านการแพทย์และสาธารณสุข เพื่อรองรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตามโมเดล Phuket Sandbox ซึ่งหากดําเนินการได้ราบรื่น ประสบความสําเร็จจะเป็นแนวทางการการดําเนินการด้านสาธารณสุขสําหรับพื้นที่ที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวอื่นๆ ในประเทศต่อไป ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับทั้งนักท่องเที่ยวและประชาชน น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า มาตรการทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อรองรับ Phuket Sandbox ประกอบด้วย 5 มาตรการ ประกอบด้วย มาตรการที่ 1 ด้านวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ให้กับประชาชน โดยรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้จัดสรร วัคซีนเพื่อฉีดให้กับประชาชนชาวภูเก็ตที่มีอยู่ประมาณ 540,000 คน รวมถึงประชากรแฝง กลุ่มแรงงานที่อพยพเข้ามาทํางาน ทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งภายในสิ้นเดือนมิถุนายนจะฉีดได้ตามเป้าหมายคือร้อยละ 70 ซึ่งเป็นเป้าหมายเบื้องต้นก่อนเปิดเมือง มาตรการที่ 2 การคัดกรองคนเข้าเมือง โดยผู้ที่มาจากต่างจังหวัดและพื้นที่เสี่ยงทั้งด่านอากาศ ด่านบก และ ด่านท่าเรือ โดยกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับ ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งผู้เดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต จะต้องได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มหรือมีผลตรวจคัดกรองโควิด 19 ในเวลา 72 ชั่วโมง ซึ่งอาจปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของประเทศ หรือขึ้นอยู่กับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เพื่อป้องกันการเล็ดลอดของเชื้อเข้ามาในจังหวัวภูเก็ต มาตรการที่3 การเฝ้าระวังเชิงรุกในกลุ่มเสี่ยงและชุมชนเสี่ยง โดยเฉพาะชุมชนที่มีผู้ได้รับวัคซีนน้อยกว่าเกณฑ์ เช่น ในโรงเรียน ซึ่ง จ.ภูเก็ต มีโรงเรียนจํานวน 12 แห่ง มีขนาดตั้งแต่ 500 ถึง 2,000 กว่าคน สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดได้คัดกรองในระบบ Sentinel Surveillance สุ่มตรวจต่อเนื่องอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 คร้ัง มาตรการที่ 4 มีความพร้อมในการตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีน ตามเงื่อนไขหรือมีผลตรวจเชื้อโควิด 19 เป็ นเวลา 72 ชั่วโมง ที่เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้วยังคงต้องตรวจหาเชื้อซ้ํา อีก 3 คร้ังคือวันแรกที่เดินทางมาถึง วันที่ 3 -5 และวันที่ 13-14 โดยห้องปฏิบัติการสามารถ ตรวจหาเชื้อได้ประมาณวันละ 1,500 ตัวอย่าง และจะประสานกับเอกชนเพิ่มปริมาณตรวจหาเชื้อ สามารถตรวจได้ถึงวันละ 3,000 คน นอกจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะช่วยสนับสนุนใน ด้านเทคนิคในการตรวจหาเชื้อกลายพันธุ์ได้ภายใน 24 ชั่วโมง มาตรการที่ 5 ด้านการรักษาพยาบาล โดยกระทรวงสาธารณสุขมีข้อสั่งการด้านการเตรียมเตียงและห้อง ICU รองรับผู้ป่วยประสิทธิภาพสูงเทียบเท่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่และCohort ICU เพื่อรองรับผู้ป่วยโควิด19 ที่มีอาการและมีความพร้อมในการจัดตั้งโรงพยาบาลสนามได้ภายใน 48 ชั่วโมง รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของแผนเผชิญเหตุกรณีเกิดการแพร่ระบาดขึ้นนั้นจะพิจารณาดําเนินการตั้งแต่ปรับลดกิจกรรมลง, กําหนดให้เที่ยวในเส้นทางที่กําหนด, ให้ทํากิจกรรมในพื้นที่ที่พัก ไปจนถึงยุติโครงการ ตามเงื่อนไขสถานการณ์ 5 ระดับ ได้แก่ 1.กรณีที่พบผู้ติดเชื้อจํานวนน้อยกว่า 90รายต่อสัปดาห์ 2.ลักษณะการกระจายของโรคทั้ง 3 อําเภอและมากกว่า 6 ตําบล 3.มีผู้ติดเชื้อครองเตียงมากกว่า80%ของศักยภาพของจังหวัด 4.มีการระบาดมากกว่า 3คลัสเตอร์หรือมีการระบาดในวงกว้างหรือหาความเชื่อมโยงไม่ได้ และ 5.พบการระบาดของเชื้อกลายพันธุ์แบบวงกว้าง ควบคุมไม่ได้ ทั้งนี้ ได้มีการเสริมศักยภาพทางการแพทย์และสาธารณสุขให้มีความพร้อมทุกด้าน ซึ่งปัจจุบันในส่วนเตียงรองรับผู้ป่วยโควิด-19 มีดังนี้ 1) เตียงรับผู้ป่วยวิกฤต สีแดง เขตสุขภาพที่11 มีจํานวนทั้งสิ้น 89 เตียง ในจังหวัดภูเก็ตมี 26 เตียง ใช้ไป 9 คงเหลือ 17 เตียง 2) เตียงรับผู้ป่วยอาการปานกลาง สีเหลือง เขตสุขภาพที่11 มีจํานวนทั้งสิ้น 2,092 เตียง ในจังหวัดภูเก็ตมี 195 เตียง ใช้ไป 27คงเหลือ 168 เตียง 3) เตียงรับผู้ป่วยอาการน้อย สีเขียว เขตสุขภาพที่11 มีจํานวนทั้งสิ้น 2,058 เตียง โดยในจังหวัดภูเก็ตมี 435 เตียง ใช้ไป 15คงเหลือ 420 เตียง ทางด้านเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ทุกรายการได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงสาธารณสุขทําให้มีสต๊อกได้เกิน 1 เดือน ยารักษาโควิด-19 Favipiravir 200 mg. มีการตรวจเช็คแบบเรียลไทม์ ซึ่งปัจจุบันภูเก็ตมีการจ่ายยาเพื่อรักษา 50 เม็ด/วัน ปัจจุบันคงเหลือ 3,772 เม็ด แต่ในส่วนของเขตสุขภาพที่ 11 ทั้งหมดมีการจ่าย 1,020 เม็ด/วัน คงเหลือ 21,864 เม็ด ทางด้านศักยภาพของทีมสอบสวนโรค ในจังหวัดภูเก็ต มี 23 ทีม ขณะที่ทั้งเขตสุขภาพที่ 11 มี 120 ทีม ขณะที่ศักยภาพในการตรวจทางห้องปฏิบัติการ มีศูนย์บริการนักท่องเที่ยวตรวจ RT-PCR นอกโรงพยาบาล จํานวน 5 จุด ประกอบด้วย คลินิกเวชกรรมภูเก็ตไม้ขาว(โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต) คลินิกเวชกรรมลากูน่าภูเก็ต (โรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต) ศูนย์การค้าเซนทรัลภูเก็ต(โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต) ศูนย์การค้าจังซีลอน(โรงพยาบาลกรุงเทพสิริโรจน์) และกะตะเซ็นเตอร์ (โรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43350
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2564
วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2564 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2564 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2564 ครั้งที่ 3 /2564 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2564 วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2564) เวลา 09.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2564 ครั้งที่ 3 /2564 โดยมี นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ผู้บริหารหน่วยงานและคณะกรรมการฯ เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม อก.1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยที่ประชุมฯ ได้มีการหารือเกี่ยวกับรูปแบบการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2564 ซึ่งกําหนดจัดขึ้นภายในเดือนธันวาคม 2564 รวมถึงแผนดําเนินการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรมและหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2564 วันศุกร์ที่ 5 พฤศจิกายน 2564 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2564 นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2564 ครั้งที่ 3 /2564 ปลัดฯ กอบชัย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2564 วันนี้ (5 พฤศจิกายน 2564) เวลา 09.00 น. นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี 2564 ครั้งที่ 3 /2564 โดยมี นายจุลพงษ์ ทวีศรี รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ผู้บริหารหน่วยงานและคณะกรรมการฯ เข้าร่วมประชุมฯ ณ ห้องประชุม อก.1 อาคารสํานักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยที่ประชุมฯ ได้มีการหารือเกี่ยวกับรูปแบบการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2564 ซึ่งกําหนดจัดขึ้นภายในเดือนธันวาคม 2564 รวมถึงแผนดําเนินการจัดงานรางวัลอุตสาหกรรมและหลักเกณฑ์การพิจารณาคัดเลือกรางวัลอุตสาหกรรม ประจําปี พ.ศ. 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47871
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบศ. เห็นชอบ 4 มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ - การลงทุน เดินหน้า “พลิกโฉมประเทศ" หนุนรายได้ประเทศเพิ่มขึ้น
วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564 ศบศ. เห็นชอบ 4 มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ - การลงทุน เดินหน้า “พลิกโฉมประเทศ" หนุนรายได้ประเทศเพิ่มขึ้น ..... พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) โดยที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ 4 มาตรการ ดังนี้ . มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย มาตรการส่งเสริมการลงทุนในกิจการคลาวด์เซอร์วิส มาตรการส่งเสริมการลงทุนสําหรับธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ มาตรการส่งเสริมการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย . โดยมีเป้าหมายเพื่อ "พลิกโฉมประเทศไทย" ที่จะส่งผลให้รายได้ของประเทศเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศที่มุ่งแก้ปัญหาอุปสรรค ปรับปรุงกฎระเบียบที่ล้าสมัย ควบคู่กับการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ําในสังคมได้ . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49060 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ศบศ. เห็นชอบ 4 มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ - การลงทุน เดินหน้า “พลิกโฉมประเทศ" หนุนรายได้ประเทศเพิ่มขึ้น วันศุกร์ที่ 3 ธันวาคม 2564 ศบศ. เห็นชอบ 4 มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ - การลงทุน เดินหน้า “พลิกโฉมประเทศ" หนุนรายได้ประเทศเพิ่มขึ้น ..... พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) โดยที่ประชุมได้พิจารณาเห็นชอบ 4 มาตรการ ดังนี้ . มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้าสู่ประเทศไทย มาตรการส่งเสริมการลงทุนในกิจการคลาวด์เซอร์วิส มาตรการส่งเสริมการลงทุนสําหรับธุรกิจด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพ มาตรการส่งเสริมการถ่ายทําภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย . โดยมีเป้าหมายเพื่อ "พลิกโฉมประเทศไทย" ที่จะส่งผลให้รายได้ของประเทศเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศที่มุ่งแก้ปัญหาอุปสรรค ปรับปรุงกฎระเบียบที่ล้าสมัย ควบคู่กับการส่งเสริมอุตสาหกรรมใหม่ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะช่วยลดความเหลื่อมล้ําในสังคมได้ . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49060 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49074
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ห่วงข่าวปลอมแจ้งเตือนพายุว่อนโซเชียล
วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2565 ดีอีเอส ห่วงข่าวปลอมแจ้งเตือนพายุว่อนโซเชียล ดีอีเอส ห่วงข่าวปลอมแจ้งเตือนพายุว่อนโซเชียล กระทรวงดิจิทัลฯจับกระแสข่าวปลอมในสถานการณ์มรสุมหลายลูก-พายุโซนร้อนเข้าไทยพบโพสต์ข่าวลวงแจ้งเตือนพายุว่อนโซเชียลแนะติดตามข่าวสารทางการที่มาจากกรมอุตุนิยมวิทยาเท่านั้น นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าสรุปผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมประจําสัปดาห์ระหว่างวันที่19-25ส.ค. 65พบมีข่าวปลอมเกี่ยวกับภัยพิบัติหลายข่าว โดยเฉพาะประเด็นการแจ้งเตือนพายุอาทิข่าวปลอมจะเกิดพายุ9ลูกพร้อมกันและล้อมประเทศไทยจนทําให้น้ําท่วมกรุงเทพฯ,ข่าวปลอมไทยเตรียมรับมือพายุพร้อมกัน3ลูก จึงอยากให้ประชาชนรับข่าวสารอย่างรอบคอบอย่าหลงเชื่อจนตื่นตระหนกควรตรวจสอบข้อมูลทางการจากกรมอุตุนิยมวิทยา โดยในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนเป็นช่วงที่มีฝนตกชุกหนาแน่น ซึ่งมีการเผยแพร่ผ่านสํานักสื่อต่างๆประจําทุกวันรวมทั้งสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์https://www.tmd.go.th/index.phpหรือโทร.สายด่วน1182และหมายเลขโทรศัพท์0 2399 4547ตลอด24ชั่วโมง ทั้งนี้จากการคัดกรองจํานวนข้อความที่เข้าเกณฑ์ตรวจสอบ(Verify)ในรอบสัปดาห์ล่าสุดพบ319ข้อความเป็นจํานวนเรื่องที่ต้องดําเนินการตรวจสอบทั้งหมด166เรื่องโดยเป็นข่าวปลอมในกลุ่มภัยพิบัติเกือบ10%หรือจํานวน14เรื่องขณะที่ข่าวปลอมเกี่ยวกับโควิดลดสัดส่วนลงจนเหลือแค่เลขหลักเดียว สําหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด10อันดับได้แก่อันดับ1เกาหลีเปิดรับสมัครแรงงานไทยมากกว่า3,000อัตรารายได้70,000บาทต่อเดือนอันดับ2ธนาคารออมสินเปิดลงทะเบียนปล่อยกู้5,000 - 300,000บาทผ่านไลน์อันดับ3เพจธนาคารออมสินเปิดใหม่เป็นเพจทางการของธนาคารออมสิน อันดับ4วันที่22 - 28ส.ค.65จะเกิดพายุ9ลูกพร้อมกันและล้อมประเทศไทยจนทําให้น้ําท่วมกรุงเทพฯอันดับ5ธ.ออมสินส่งSMSให้ประชาชนกดรับสิทธิ์จากลิงก์เพื่อขอสินเชื่อGSBจํานวน30,000บาท อันดับ6ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดลงทุนหุ้นเริ่มต้น1,415บาทครองหุ้นขั้นต่ําที่20หน่วยอันดับ7เคี้ยวเม็ดมะละกอสุกแล้วกลืนโดยไม่ต้องกินน้ําตามวันละ3เม็ดรักษามะเร็งระยะสุดท้ายเห็นผลใน1เดือนอันดับ8ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดลงทุนซื้อแคมเปญใหญ่ด้วยงบ950บาทอันดับ9ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดลงทุนเทรดหุ้นเริ่มต้น899บาทรับปันผลทุกเดือนและอันดับ10กรุงไทยเปิดให้กู้200,000บาทผ่านไลน์ “ยังคงต้องรณรงค์ให้ประชาชนรู้เท่าทันข่าวปลอมอย่างต่อเนื่องเมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียลควรตรวจสอบให้รอบด้านเลือกเชื่อเลือกแชร์และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87”นางสาวนพวรรณกล่าว *************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ดีอีเอส ห่วงข่าวปลอมแจ้งเตือนพายุว่อนโซเชียล วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม 2565 ดีอีเอส ห่วงข่าวปลอมแจ้งเตือนพายุว่อนโซเชียล ดีอีเอส ห่วงข่าวปลอมแจ้งเตือนพายุว่อนโซเชียล กระทรวงดิจิทัลฯจับกระแสข่าวปลอมในสถานการณ์มรสุมหลายลูก-พายุโซนร้อนเข้าไทยพบโพสต์ข่าวลวงแจ้งเตือนพายุว่อนโซเชียลแนะติดตามข่าวสารทางการที่มาจากกรมอุตุนิยมวิทยาเท่านั้น นางสาวนพวรรณหัวใจมั่นโฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมฝ่ายการเมือง(ดีอีเอส)กล่าวว่าสรุปผลการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอมประจําสัปดาห์ระหว่างวันที่19-25ส.ค. 65พบมีข่าวปลอมเกี่ยวกับภัยพิบัติหลายข่าว โดยเฉพาะประเด็นการแจ้งเตือนพายุอาทิข่าวปลอมจะเกิดพายุ9ลูกพร้อมกันและล้อมประเทศไทยจนทําให้น้ําท่วมกรุงเทพฯ,ข่าวปลอมไทยเตรียมรับมือพายุพร้อมกัน3ลูก จึงอยากให้ประชาชนรับข่าวสารอย่างรอบคอบอย่าหลงเชื่อจนตื่นตระหนกควรตรวจสอบข้อมูลทางการจากกรมอุตุนิยมวิทยา โดยในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายนเป็นช่วงที่มีฝนตกชุกหนาแน่น ซึ่งมีการเผยแพร่ผ่านสํานักสื่อต่างๆประจําทุกวันรวมทั้งสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์https://www.tmd.go.th/index.phpหรือโทร.สายด่วน1182และหมายเลขโทรศัพท์0 2399 4547ตลอด24ชั่วโมง ทั้งนี้จากการคัดกรองจํานวนข้อความที่เข้าเกณฑ์ตรวจสอบ(Verify)ในรอบสัปดาห์ล่าสุดพบ319ข้อความเป็นจํานวนเรื่องที่ต้องดําเนินการตรวจสอบทั้งหมด166เรื่องโดยเป็นข่าวปลอมในกลุ่มภัยพิบัติเกือบ10%หรือจํานวน14เรื่องขณะที่ข่าวปลอมเกี่ยวกับโควิดลดสัดส่วนลงจนเหลือแค่เลขหลักเดียว สําหรับข่าวปลอมที่มีคนสนใจสูงสุด10อันดับได้แก่อันดับ1เกาหลีเปิดรับสมัครแรงงานไทยมากกว่า3,000อัตรารายได้70,000บาทต่อเดือนอันดับ2ธนาคารออมสินเปิดลงทะเบียนปล่อยกู้5,000 - 300,000บาทผ่านไลน์อันดับ3เพจธนาคารออมสินเปิดใหม่เป็นเพจทางการของธนาคารออมสิน อันดับ4วันที่22 - 28ส.ค.65จะเกิดพายุ9ลูกพร้อมกันและล้อมประเทศไทยจนทําให้น้ําท่วมกรุงเทพฯอันดับ5ธ.ออมสินส่งSMSให้ประชาชนกดรับสิทธิ์จากลิงก์เพื่อขอสินเชื่อGSBจํานวน30,000บาท อันดับ6ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดลงทุนหุ้นเริ่มต้น1,415บาทครองหุ้นขั้นต่ําที่20หน่วยอันดับ7เคี้ยวเม็ดมะละกอสุกแล้วกลืนโดยไม่ต้องกินน้ําตามวันละ3เม็ดรักษามะเร็งระยะสุดท้ายเห็นผลใน1เดือนอันดับ8ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดลงทุนซื้อแคมเปญใหญ่ด้วยงบ950บาทอันดับ9ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเปิดลงทุนเทรดหุ้นเริ่มต้น899บาทรับปันผลทุกเดือนและอันดับ10กรุงไทยเปิดให้กู้200,000บาทผ่านไลน์ “ยังคงต้องรณรงค์ให้ประชาชนรู้เท่าทันข่าวปลอมอย่างต่อเนื่องเมื่อได้รับข่าวสารข้อมูลผ่านโซเชียลควรตรวจสอบให้รอบด้านเลือกเชื่อเลือกแชร์และสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอมได้ผ่านช่องทางต่างๆดังนี้ไลน์@antifakenewscenter เว็บไซต์https://www.antifakenewscenter.com/ทวิตเตอร์https://twitter.com/AFNCThailandและช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วนGCC 1111ต่อ87”นางสาวนพวรรณกล่าว *************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58541
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. กำชับผู้รับจ้างขุดลอกท่อระบายน้ำและลำรางในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า
วันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2564 รฟม. กําชับผู้รับจ้างขุดลอกท่อระบายน้ําและลํารางในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ํา โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบดําเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ได้มอบหมายให้โครงการ ฯ ติดตามเฝ้าระวังพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าตลอดแนวถนนรามคําแหง เพื่อรับมือช่วงฤดูฝนและบรรเทาปัญหาน้ําท่วมขัง โดยกําชับให้ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาทุกสัญญาดําเนินการลอกท่อระบายน้ําและลํารางตลอดแนวเส้นทางโครงการฯ เพื่อป้องกันเศษวัสดุอุดตันในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า อีกทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําให้ดีมากยิ่งขึ้น โดย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาอุโมงค์ทางวิ่งและสถานีใต้ดิน สัญญาที่ 3 ช่วงหัวหมาก – คลองบ้านม้า ได้ดําเนินการลอกท่อระบายน้ําบริเวณพื้นที่ก่อสร้างสถานี แยกลําสาลี – สถานีคลองบ้านม้าตั้งแต่ซอยรามคําแหง 85 – 127 เพื่อป้องกันเศษวัสดุอุดตันในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า และบรรเทาปัญหาน้ําท่วมขังบนถนรามคําแหง ทั้งนี้ รฟม. ได้เน้นย้ําให้ที่ปรึกษาโครงการ กํากับดูแลให้ผู้รับจ้างฯ ลอกท่อระบายน้ําตามแนวก่อสร้างรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 3 เดือน และเฝ้าระวังสถานการณ์พร้อมจัดเตรียมเจ้าหน้าที่และเครื่องสูบน้ําเพื่อช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนตามนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในการให้ความสําคัญแก่ประชาชนและชุมชนตามแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้าที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการดําเนินงานก่อสร้างโครงการฯ ติดตามข้อมูลข่าวสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม เว็บไซต์โครงการhttp://www.mrta-orangelineeast.com และ Line Official : @OrangeLine
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. กำชับผู้รับจ้างขุดลอกท่อระบายน้ำและลำรางในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า วันศุกร์ที่ 3 กันยายน 2564 รฟม. กําชับผู้รับจ้างขุดลอกท่อระบายน้ําและลํารางในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ํา โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบดําเนินการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันออก) ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย – มีนบุรี (สุวินทวงศ์) ได้มอบหมายให้โครงการ ฯ ติดตามเฝ้าระวังพื้นที่ก่อสร้างรถไฟฟ้าตลอดแนวถนนรามคําแหง เพื่อรับมือช่วงฤดูฝนและบรรเทาปัญหาน้ําท่วมขัง โดยกําชับให้ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาทุกสัญญาดําเนินการลอกท่อระบายน้ําและลํารางตลอดแนวเส้นทางโครงการฯ เพื่อป้องกันเศษวัสดุอุดตันในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า อีกทั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ําให้ดีมากยิ่งขึ้น โดย บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จํากัด (มหาชน) ผู้รับจ้างก่อสร้างงานโยธาอุโมงค์ทางวิ่งและสถานีใต้ดิน สัญญาที่ 3 ช่วงหัวหมาก – คลองบ้านม้า ได้ดําเนินการลอกท่อระบายน้ําบริเวณพื้นที่ก่อสร้างสถานี แยกลําสาลี – สถานีคลองบ้านม้าตั้งแต่ซอยรามคําแหง 85 – 127 เพื่อป้องกันเศษวัสดุอุดตันในแนวก่อสร้างรถไฟฟ้า และบรรเทาปัญหาน้ําท่วมขังบนถนรามคําแหง ทั้งนี้ รฟม. ได้เน้นย้ําให้ที่ปรึกษาโครงการ กํากับดูแลให้ผู้รับจ้างฯ ลอกท่อระบายน้ําตามแนวก่อสร้างรถไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 3 เดือน และเฝ้าระวังสถานการณ์พร้อมจัดเตรียมเจ้าหน้าที่และเครื่องสูบน้ําเพื่อช่วยเหลือและอํานวยความสะดวกให้แก่ประชาชนตามนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมในการให้ความสําคัญแก่ประชาชนและชุมชนตามแนวสายทางโครงการรถไฟฟ้าที่อาจจะได้รับผลกระทบจากการดําเนินงานก่อสร้างโครงการฯ ติดตามข้อมูลข่าวสารโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มฯ ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม เว็บไซต์โครงการhttp://www.mrta-orangelineeast.com และ Line Official : @OrangeLine
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45504
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2564
วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจําวันที่ 31 ตุลาคม 2564 เร่งซ่อมคอสะพานข้ามห้วยลําน้ําก่ํา ทางหลวงหมายเลข 202 จังหวัดชัยภูมิ โดยคาดว่าไม่เกิน 18.00 น. สามารถเปิดการจราจรได้เป็นปกติ นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กําชับ กรมทางหลวง (ทล.) ให้เร่งดําเนินการซ่อมคอสะพานข้ามห้วยลําน้ําก่ํา บริเวณ ทล.202 ตอนบ้านโพนทอง - แก้งสนามนาง กม. ที่ 19+950 จังหวัดชัยภูมิ เนื่องจากภาวะฝนตกหนักต่อเนื่องทําให้ระดับน้ําท่วมขังบริเวณสะพานและกัดเซาะคอสะพานประมาณ 3 เมตร โดยขณะนี้แขวงทางหลวงชัยภูมิกําลังเร่งดําเนินการลงเครื่องจักรและวัสดุในโครงสร้างชั้นทางโดยคาดว่าไม่เกินเวลา 18.00 น. ของวันนี้ (31 ตุลาคม 2564) จะสามารถเปิดการจราจรให้ประชาชนเดินทางได้ตามปกติ พร้อมขอให้ประชาชนที่จะเดินทางจากอําเภอแก้งสนามนางไปชัยภูมิ ใช้เส้นทางเลี่ยงทางหลวงชนบท ชย.3003 บ้านกุดเวียงแทน โดยได้ติดตั้งป้ายและจัดเจ้าหน้าที่อํานวยสะดวกการจราจรให้กับผู้ใช้เส้นทาง สําหรับสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจําวันที่ 31 ตุลาคม 2564 พบทางหลวงถูกน้ําท่วม ดินสไลด์ 6 จังหวัด 12 สายทาง 21 แห่ง โดยทางหลวงในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม ชัยภูมิ อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และกาญจนบุรี ซึ่งสามารถสัญจรได้โดยมอบให้เจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวกด้านการจราจร โดยทางหลวงที่ยังไม่สามารถเปิดการสัญจรได้เหลือเพียง 2 สายทาง 3 แห่ง ดังนี้ 1. ทล.202 จังหวัดชัยภูมิ ตอนบ้านโพนทอง - แก้งสนามนาง กม. ที่ 19+950 เนื่องจากคอสะพานขาด 2. ทล.3412 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตอนบางบาล - ผักไห่ ช่วง กม. ที่ 13+900 - 15+800 ระดับน้ําสูง 25 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้สามารถใช้เส้นทางเลี่ยง ทช.4047 บริเวณแยกวัดไผ่ล้อมและวัดกอไผ่แทน 3. ทล.3412 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตอน บางบาล - ผักไห่ ช่วง กม. ที่ 17+400 - 23+900 ระดับน้ําสูง 20 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้สามารถใช้เส้นทางเลี่ยง ทช.4047 ออกแยกป่าโมกแทน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางหลวงเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย พร้อมปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนําและคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สํานักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง โทร.1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางได้ที่ทวิตเตอร์กรมทางหลวง @prdoh1
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจำวันที่ 31 ตุลาคม 2564 วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม 2564 กรมทางหลวง รายงานสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจําวันที่ 31 ตุลาคม 2564 เร่งซ่อมคอสะพานข้ามห้วยลําน้ําก่ํา ทางหลวงหมายเลข 202 จังหวัดชัยภูมิ โดยคาดว่าไม่เกิน 18.00 น. สามารถเปิดการจราจรได้เป็นปกติ นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กําชับ กรมทางหลวง (ทล.) ให้เร่งดําเนินการซ่อมคอสะพานข้ามห้วยลําน้ําก่ํา บริเวณ ทล.202 ตอนบ้านโพนทอง - แก้งสนามนาง กม. ที่ 19+950 จังหวัดชัยภูมิ เนื่องจากภาวะฝนตกหนักต่อเนื่องทําให้ระดับน้ําท่วมขังบริเวณสะพานและกัดเซาะคอสะพานประมาณ 3 เมตร โดยขณะนี้แขวงทางหลวงชัยภูมิกําลังเร่งดําเนินการลงเครื่องจักรและวัสดุในโครงสร้างชั้นทางโดยคาดว่าไม่เกินเวลา 18.00 น. ของวันนี้ (31 ตุลาคม 2564) จะสามารถเปิดการจราจรให้ประชาชนเดินทางได้ตามปกติ พร้อมขอให้ประชาชนที่จะเดินทางจากอําเภอแก้งสนามนางไปชัยภูมิ ใช้เส้นทางเลี่ยงทางหลวงชนบท ชย.3003 บ้านกุดเวียงแทน โดยได้ติดตั้งป้ายและจัดเจ้าหน้าที่อํานวยสะดวกการจราจรให้กับผู้ใช้เส้นทาง สําหรับสถานการณ์อุทกภัยบนทางหลวงประจําวันที่ 31 ตุลาคม 2564 พบทางหลวงถูกน้ําท่วม ดินสไลด์ 6 จังหวัด 12 สายทาง 21 แห่ง โดยทางหลวงในจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ได้แก่ จังหวัดมหาสารคาม ชัยภูมิ อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา นครปฐม และกาญจนบุรี ซึ่งสามารถสัญจรได้โดยมอบให้เจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวกด้านการจราจร โดยทางหลวงที่ยังไม่สามารถเปิดการสัญจรได้เหลือเพียง 2 สายทาง 3 แห่ง ดังนี้ 1. ทล.202 จังหวัดชัยภูมิ ตอนบ้านโพนทอง - แก้งสนามนาง กม. ที่ 19+950 เนื่องจากคอสะพานขาด 2. ทล.3412 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตอนบางบาล - ผักไห่ ช่วง กม. ที่ 13+900 - 15+800 ระดับน้ําสูง 25 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้สามารถใช้เส้นทางเลี่ยง ทช.4047 บริเวณแยกวัดไผ่ล้อมและวัดกอไผ่แทน 3. ทล.3412 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตอน บางบาล - ผักไห่ ช่วง กม. ที่ 17+400 - 23+900 ระดับน้ําสูง 20 เซนติเมตร การจราจรผ่านไม่ได้สามารถใช้เส้นทางเลี่ยง ทช.4047 ออกแยกป่าโมกแทน ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนผู้ใช้เส้นทางหลวงเดินทางด้วยความระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย พร้อมปฏิบัติตามป้ายเตือน ป้ายแนะนําและคําแนะนําของเจ้าหน้าที่อย่างเคร่งครัด และหากประชาชนต้องการสอบถามสภาพเส้นทาง สภาพการจราจร หรือต้องการความช่วยเหลือสามารถติดต่อได้ที่สํานักงานทางหลวง แขวงทางหลวง หมวดทางหลวงในพื้นที่ และสายด่วนกรมทางหลวง โทร.1586 (โทรฟรีทุกเครือข่ายตลอด 24 ชั่วโมง) และสามารถติดตามการรายงานสถานการณ์สภาพเส้นทางได้ที่ทวิตเตอร์กรมทางหลวง @prdoh1
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47641
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร"
วันพุธที่ 13 ตุลาคม 2564 "ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร" พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ.หญิง อังศุวรรณ รัตนานนท์ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีสวดพระพุทธมนต์และพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์จํานวน 10 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีรองปลัดกระทรวงกลาโหม ข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมในพิธี จากนั้นปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลา และนําผู้ร่วมพิธีถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยพร้อมเพรียงกัน ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม #รัชกาลที่๙ #สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม #กระทรวงกลาโหม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร" วันพุธที่ 13 ตุลาคม 2564 "ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีทําบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร" พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ.หญิง อังศุวรรณ รัตนานนท์ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีสวดพระพุทธมนต์และพิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆ์จํานวน 10 รูป เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยมีรองปลัดกระทรวงกลาโหม ข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เข้าร่วมในพิธี จากนั้นปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีวางพวงมาลา และนําผู้ร่วมพิธีถวายบังคมพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยพร้อมเพรียงกัน ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการกลาโหม #รัชกาลที่๙ #สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม #กระทรวงกลาโหม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46929
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย แบงค์ชาติประสานสมาคมธนาคาร ยกระดับป้องกันการสวมรอยธุรกรรมการเงิน
วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564 โฆษกรัฐบาลเผย แบงค์ชาติประสานสมาคมธนาคาร ยกระดับป้องกันการสวมรอยธุรกรรมการเงิน โฆษกรัฐบาลเผย แบงค์ชาติประสานสมาคมธนาคาร ยกระดับป้องกันการสวมรอยธุรกรรมการเงิน หลัง”นายกฯ”กําชับสถาบันการเงินช่วยดูแลประชาชนจากกรณีตัดเงินที่ผิดปกติผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ล่าสุดจ่ายเงินคืนครบทุกรายแล้ว วันนี้(24ต.ค.64)นายธนกรวังบุญคงชนะโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมติดตามความคืบหน้ากรณีมิจฉาชีพสวมรอยทําธุรกรรมการเงินมีการตัดเงินผิดปกติผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตธนาคารจํานวน10,700ใบมูลค่าความเสียหายรวมกว่า130ล้านบาท จากที่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการยกระดับการป้องกันการทําธุรกิจกรรมการเงินผ่านช่องทางระบบออนไลน์และบัตรเครคิตรวมทั้งขอให้สถาบันการเงินช่วยดูแลประชาชนที่ได้รับความเสียหายด้วย ซึ่งได้รับรายงานว่า ธนาคารได้คืนเงินให้ลูกค้าบัตรเดบิตที่ได้รับความเสียหายครบทุกรายแล้วในส่วนของบัตรเครดิตได้ตั้งพักเร่งตรวจสอบและยกเลิกรายการโดยจะดําเนินการตามขั้นตอนโดยเร็วที่สุดต่อไปด้วย ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยประสานกับสมาคมธนาคารไทยยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนแล้วได้แก่(1)ตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติให้ครอบคลุมธุรกรรมที่มีจํานวนเงินต่ําและที่มีความถี่สูง(2)ติดตามเฝ้าระวังรายการธุรกรรมจากต่างประเทศเป็นพิเศษ(3)แจ้งเตือนลูกค้าในการทําธุรกรรมทุกรายการตั้งแต่รายการแรกและ(4)ประชาสัมพันธ์วิธีการป้องกันความเสี่ยงเช่นการปรับวงเงินในบัตรให้เหมาะสมกับการใช้จ่ายหลีกเลี่ยงการผูกบัตรกับเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มที่ไม่น่าไว้ใจ นายธนกรกล่าวว่านอกจากนี้ ธปท.และสมาคมธนาคารไทยจะผลักดันให้ผู้ให้บริการบัตรกําหนดมาตรการเพิ่มเติมในการบังคับใช้การยืนยันตัวตนก่อนทํารายการชําระเงินกับบัตรเดบิตสําหรับทุกร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะร้านค้าในต่างประเทศเช่นการใช้เลขOTPยืนยันตัวตนก่อนร้านค้าทําการตัดบัญชีรวมทั้งการนําเทคโนโลยีมาใช้ป้องกันและตรวจจับภัยคุกคามทางการเงินในรูปแบบใหม่ๆด้วยนายกรัฐมนตรีฝากเตือนประชาชนถึงภัยออนไลน์โดยเฉพาะภัยจากธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบใหม่ๆ เนื่องจากปัจจุบันระบบการเงินของไทยมีการก้าวหน้ามากรวมทั้งการนําเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาให้บริการทําให้การใช้จ่ายผ่านออนไลน์อินเทอร์เน็ตโทรศัพท์มือถือสะดวกรวดเร็วเป็นโอกาสให้มิจฉาชีพสมัยใหม่ใช้ช่องทางบริการทางการเงินดิจิทัลทุจริตลักทรัพย์หรือหลอกลวงให้ยืมเงินชักชวนเล่นการพนันหรือลงทุน จึงอยากให้ประชาชนศึกษาทําความเข้าใจเพิ่มความระมัดระวังการทําธุรกรรมออนไลน์ไม่หลงกลหรือตกเป็นเหยื่อยการโฆษณารวมทั้งต้องหมั่นตรวจสอบการทําธุรกรรมทางการเงินของตนเองอย่างสม่ําเสมอด้วย ขณะนี้กระทรวงดีอีและสํานักงานตํารวจแห่งชาติยังติดตามผู้กระทําผิดรวมทั้งจะมีการขยายผลถึงเครือข่ายเพื่อนําผู้กระทําความผิดมาดําเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป อนึ่งการกระทําดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา269/5ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน5ปีหรือปรับไม่เกิน100,000บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ทั้งนี้หากพบเบาะแสการกระทําความผิดสามารถแจ้งไปยัง“สํานักงานตํารวจแห่งชาติ”หมายเลขโทรศัพท์191หรือ1599เพื่อเร่งจับกุมผู้กระทําความผิดและดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป _________
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย แบงค์ชาติประสานสมาคมธนาคาร ยกระดับป้องกันการสวมรอยธุรกรรมการเงิน วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม 2564 โฆษกรัฐบาลเผย แบงค์ชาติประสานสมาคมธนาคาร ยกระดับป้องกันการสวมรอยธุรกรรมการเงิน โฆษกรัฐบาลเผย แบงค์ชาติประสานสมาคมธนาคาร ยกระดับป้องกันการสวมรอยธุรกรรมการเงิน หลัง”นายกฯ”กําชับสถาบันการเงินช่วยดูแลประชาชนจากกรณีตัดเงินที่ผิดปกติผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิต ล่าสุดจ่ายเงินคืนครบทุกรายแล้ว วันนี้(24ต.ค.64)นายธนกรวังบุญคงชนะโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่าพลเอกประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมติดตามความคืบหน้ากรณีมิจฉาชีพสวมรอยทําธุรกรรมการเงินมีการตัดเงินผิดปกติผ่านบัตรเครดิตและบัตรเดบิตธนาคารจํานวน10,700ใบมูลค่าความเสียหายรวมกว่า130ล้านบาท จากที่ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดําเนินการยกระดับการป้องกันการทําธุรกิจกรรมการเงินผ่านช่องทางระบบออนไลน์และบัตรเครคิตรวมทั้งขอให้สถาบันการเงินช่วยดูแลประชาชนที่ได้รับความเสียหายด้วย ซึ่งได้รับรายงานว่า ธนาคารได้คืนเงินให้ลูกค้าบัตรเดบิตที่ได้รับความเสียหายครบทุกรายแล้วในส่วนของบัตรเครดิตได้ตั้งพักเร่งตรวจสอบและยกเลิกรายการโดยจะดําเนินการตามขั้นตอนโดยเร็วที่สุดต่อไปด้วย ล่าสุดธนาคารแห่งประเทศไทยประสานกับสมาคมธนาคารไทยยกระดับการป้องกันและแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วนแล้วได้แก่(1)ตรวจจับธุรกรรมที่ผิดปกติให้ครอบคลุมธุรกรรมที่มีจํานวนเงินต่ําและที่มีความถี่สูง(2)ติดตามเฝ้าระวังรายการธุรกรรมจากต่างประเทศเป็นพิเศษ(3)แจ้งเตือนลูกค้าในการทําธุรกรรมทุกรายการตั้งแต่รายการแรกและ(4)ประชาสัมพันธ์วิธีการป้องกันความเสี่ยงเช่นการปรับวงเงินในบัตรให้เหมาะสมกับการใช้จ่ายหลีกเลี่ยงการผูกบัตรกับเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มที่ไม่น่าไว้ใจ นายธนกรกล่าวว่านอกจากนี้ ธปท.และสมาคมธนาคารไทยจะผลักดันให้ผู้ให้บริการบัตรกําหนดมาตรการเพิ่มเติมในการบังคับใช้การยืนยันตัวตนก่อนทํารายการชําระเงินกับบัตรเดบิตสําหรับทุกร้านค้าออนไลน์โดยเฉพาะร้านค้าในต่างประเทศเช่นการใช้เลขOTPยืนยันตัวตนก่อนร้านค้าทําการตัดบัญชีรวมทั้งการนําเทคโนโลยีมาใช้ป้องกันและตรวจจับภัยคุกคามทางการเงินในรูปแบบใหม่ๆด้วยนายกรัฐมนตรีฝากเตือนประชาชนถึงภัยออนไลน์โดยเฉพาะภัยจากธุรกรรมทางการเงินในรูปแบบใหม่ๆ เนื่องจากปัจจุบันระบบการเงินของไทยมีการก้าวหน้ามากรวมทั้งการนําเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาให้บริการทําให้การใช้จ่ายผ่านออนไลน์อินเทอร์เน็ตโทรศัพท์มือถือสะดวกรวดเร็วเป็นโอกาสให้มิจฉาชีพสมัยใหม่ใช้ช่องทางบริการทางการเงินดิจิทัลทุจริตลักทรัพย์หรือหลอกลวงให้ยืมเงินชักชวนเล่นการพนันหรือลงทุน จึงอยากให้ประชาชนศึกษาทําความเข้าใจเพิ่มความระมัดระวังการทําธุรกรรมออนไลน์ไม่หลงกลหรือตกเป็นเหยื่อยการโฆษณารวมทั้งต้องหมั่นตรวจสอบการทําธุรกรรมทางการเงินของตนเองอย่างสม่ําเสมอด้วย ขณะนี้กระทรวงดีอีและสํานักงานตํารวจแห่งชาติยังติดตามผู้กระทําผิดรวมทั้งจะมีการขยายผลถึงเครือข่ายเพื่อนําผู้กระทําความผิดมาดําเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป อนึ่งการกระทําดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา269/5ผู้ใดใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน5ปีหรือปรับไม่เกิน100,000บาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ทั้งนี้หากพบเบาะแสการกระทําความผิดสามารถแจ้งไปยัง“สํานักงานตํารวจแห่งชาติ”หมายเลขโทรศัพท์191หรือ1599เพื่อเร่งจับกุมผู้กระทําความผิดและดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป _________
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47321
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมสถาบันการเงินของรัฐประกาศปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าพื้นที่ 13 จังหวัด รองรับการยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19
วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564 สมาคมสถาบันการเงินของรัฐประกาศปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าพื้นที่ 13 จังหวัด รองรับการยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (สงร.) และสถาบันการเงินสมาชิกทุกแห่ง ขอประกาศแนวทางในการให้บริการลูกค้าเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของภาครัฐ รองรับการยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 ตามที่ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 28) เพื่อกําหนดมาตรการที่จําเป็นและเร่งด่วน เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ 13 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครปฐม นนทบุรี นราธิวาส ปทุมธานี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา ยะลา สงขลา สมุทรปราการ และ สมุทรสาคร โดยกําหนดให้เป็นเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และให้มีผลบังคับใช้วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป นั้น สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (สงร.) และสถาบันการเงินสมาชิกทุกแห่ง ประกอบด้วย ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย(ธอท.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จึงขอประกาศแนวทางในการให้บริการลูกค้าเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของภาครัฐ ดังนี้ 1. ธนาคารของรัฐจะปิดให้บริการสาขาในห้างสรรพสินค้าในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดทั้ง 13 จังหวัดเป็นการชั่วคราว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครปฐม นนทบุรี นราธิวาส ปทุมธานี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา ยะลา สงขลา สมุทรปราการ และ สมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป และจะพิจารณาปิดให้บริการสาขาบางแห่งเพิ่มเติมตามความจําเป็น โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบสาขาใกล้เคียงที่เปิดให้บริการได้ตามประกาศที่ทาง website ของแต่ละธนาคาร 2. กําหนดเวลาเปิดทําการสาขา ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ดังนี้ • สาขาในห้าง/สาขาที่เปิดให้บริการไม่เกิน 17.00 น. ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนอกเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จะยังคงเปิดให้บริการเวลาไม่เกิน 17.00 น. • สาขาทั่วไป ที่ไม่ใช่สาขาธนาคารในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ เปิดให้บริการไม่เกินเวลา 15.30 น. • สาขาใน 3 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย ยะลา นราธิวาส และปัตตานี เปิดให้บริการเวลาไม่เกินเวลา 15.00 น. 3. จํากัดช่องให้บริการและจํานวนลูกค้าในสาขา เพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม และลดความแออัด 4. กรณีสาขามีพนักงานหรือลูกค้าติดเชื้อ ให้ปฏิบัติ ดังนี้ • ให้แต่ละธนาคารปิดบริการสาขาที่มีผู้ติดเชื้อเป็นการชั่วคราว เพื่อทําความสะอาด/ฆ่าเชื้อ และกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อดําเนินการเสร็จสิ้น • พนักงานที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย ให้ตรวจหาเชื้อ/และกักตัวเองในที่พักทันที ตามระยะเวลาที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด • จัดให้มีพนักงานปฏิบัติงานทดแทน และต้องเป็นพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องหรือสัมผัสเชื้อ ทั้งนี้ สถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารสมาชิกทุกแห่ง พร้อมให้บริการลูกค้าในที่ทําการสาขาด้วยมาตรการข้างต้น โดยคํานึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน และลูกค้ายังสามารถใช้บริการสําคัญของธนาคารได้ทางช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ตู้ ATM ซึ่งธนาคารทุกแห่งได้เตรียมสํารองธนบัตรไว้อย่างเพียงพอ รวมถึง Application Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร เพื่อลดการเดินทาง ลดความเสี่ยง และการสัมผัสธนบัตร เพื่อให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อไป โดยสถาบันการเงินของรัฐ และสถาบันการเงินสมาชิกทุกแห่ง พร้อมจะมีมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น เพื่อดูแลให้ลูกค้าประชาชนได้รับความปลอดภัยในการใช้บริการทางการเงินกับธนาคารมากที่สุดต่อไป สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ โทร. 0-2202-1868 และ 0-2202-1961
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมสถาบันการเงินของรัฐประกาศปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าพื้นที่ 13 จังหวัด รองรับการยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564 สมาคมสถาบันการเงินของรัฐประกาศปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าพื้นที่ 13 จังหวัด รองรับการยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (สงร.) และสถาบันการเงินสมาชิกทุกแห่ง ขอประกาศแนวทางในการให้บริการลูกค้าเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของภาครัฐ รองรับการยกระดับมาตรการป้องกันโควิด-19 ตามที่ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ข้อกําหนดออกตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 28) เพื่อกําหนดมาตรการที่จําเป็นและเร่งด่วน เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่ 13 จังหวัด ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครปฐม นนทบุรี นราธิวาส ปทุมธานี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา ยะลา สงขลา สมุทรปราการ และ สมุทรสาคร โดยกําหนดให้เป็นเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด และให้มีผลบังคับใช้วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป นั้น สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ (สงร.) และสถาบันการเงินสมาชิกทุกแห่ง ประกอบด้วย ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) ธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย(ธสน.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(ธพว.) ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย(ธอท.) และบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) จึงขอประกาศแนวทางในการให้บริการลูกค้าเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการของภาครัฐ ดังนี้ 1. ธนาคารของรัฐจะปิดให้บริการสาขาในห้างสรรพสินค้าในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดทั้ง 13 จังหวัดเป็นการชั่วคราว ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครปฐม นนทบุรี นราธิวาส ปทุมธานี ปัตตานี พระนครศรีอยุธยา ยะลา สงขลา สมุทรปราการ และ สมุทรสาคร ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไป และจะพิจารณาปิดให้บริการสาขาบางแห่งเพิ่มเติมตามความจําเป็น โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบสาขาใกล้เคียงที่เปิดให้บริการได้ตามประกาศที่ทาง website ของแต่ละธนาคาร 2. กําหนดเวลาเปิดทําการสาขา ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ดังนี้ • สาขาในห้าง/สาขาที่เปิดให้บริการไม่เกิน 17.00 น. ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดนอกเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด จะยังคงเปิดให้บริการเวลาไม่เกิน 17.00 น. • สาขาทั่วไป ที่ไม่ใช่สาขาธนาคารในห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศ เปิดให้บริการไม่เกินเวลา 15.30 น. • สาขาใน 3 จังหวัดภาคใต้ ประกอบด้วย ยะลา นราธิวาส และปัตตานี เปิดให้บริการเวลาไม่เกินเวลา 15.00 น. 3. จํากัดช่องให้บริการและจํานวนลูกค้าในสาขา เพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม และลดความแออัด 4. กรณีสาขามีพนักงานหรือลูกค้าติดเชื้อ ให้ปฏิบัติ ดังนี้ • ให้แต่ละธนาคารปิดบริการสาขาที่มีผู้ติดเชื้อเป็นการชั่วคราว เพื่อทําความสะอาด/ฆ่าเชื้อ และกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อดําเนินการเสร็จสิ้น • พนักงานที่สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย ให้ตรวจหาเชื้อ/และกักตัวเองในที่พักทันที ตามระยะเวลาที่กระทรวงสาธารณสุขกําหนด • จัดให้มีพนักงานปฏิบัติงานทดแทน และต้องเป็นพนักงานที่ไม่เกี่ยวข้องหรือสัมผัสเชื้อ ทั้งนี้ สถาบันการเงินของรัฐ และธนาคารสมาชิกทุกแห่ง พร้อมให้บริการลูกค้าในที่ทําการสาขาด้วยมาตรการข้างต้น โดยคํานึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน และลูกค้ายังสามารถใช้บริการสําคัญของธนาคารได้ทางช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ตู้ ATM ซึ่งธนาคารทุกแห่งได้เตรียมสํารองธนบัตรไว้อย่างเพียงพอ รวมถึง Application Mobile Banking ของแต่ละธนาคาร เพื่อลดการเดินทาง ลดความเสี่ยง และการสัมผัสธนบัตร เพื่อให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ต่อไป โดยสถาบันการเงินของรัฐ และสถาบันการเงินสมาชิกทุกแห่ง พร้อมจะมีมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น เพื่อดูแลให้ลูกค้าประชาชนได้รับความปลอดภัยในการใช้บริการทางการเงินกับธนาคารมากที่สุดต่อไป สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ โทร. 0-2202-1868 และ 0-2202-1961
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43873
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมครัวเรือนเป้าหมายแก้ปัญหาความยากจนในอำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา พร้อมให้กำลังใจครอบครัว เน้นย้ำทุกภาคส่วนบูรณาการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างย
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565 มท.1 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมครัวเรือนเป้าหมายแก้ปัญหาความยากจนในอําเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา พร้อมให้กําลังใจครอบครัว เน้นย้ําทุกภาคส่วนบูรณาการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างย มท.1 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมครัวเรือนเป้าหมายแก้ปัญหาความยากจนในอําเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา พร้อมให้กําลังใจครอบครัว เน้นย้ําทุกภาคส่วนบูรณาการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน วันนี้ (3 มี.ค. 65) เวลา 15.00 น. ที่ตําบลคูหาใต้ อําเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก ไตรรัตน์ รังคะรัตน นายยงยุทธ โกเมศ นายวุฒิเดช ศรีสุทธิสุริยา คณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และรศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมครัวเรือนตกเกณฑ์ตามโครงการศูนย์อํานวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่ โดยมี นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยนายวรณัฎฐ์ หนูรอต รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายอาคม บุญญโส นายอําเภอรัตภูมิ นายประกอบ จันทสุวรรณ นายกเทศมนตรีตําบลคูหาใต้ พร้อมด้วยพี่น้องประชาชนชาวอําเภอรัตภูมิ ให้การต้อนรับ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศผ่านกลไกกระทรวง กรม ส่วนราชการต่าง ๆ ที่มีหน่วยงานรับผิดชอบชีวิตคน ทําเรื่องสาธารณสุข เกษตร พัฒนาคุณภาพชีวิต โดยได้ตั้งงบประมาณปกติเป็นประจําทุกปี แต่ก็ยังพบว่ามีผู้ทุกข์ยากลําบากอยู่ รัฐบาลจึงได้ดําเนินการสํารวจและรวบรวมข้อมูลผ่านระบบ TPMAP ซึ่งได้แยกมิติความยากจนเดือดร้อนเป็น 5 มิติ คือ รายได้ ที่อยู่อาศัย สุขภาพ การศึกษา และการรับบริการจากภาครัฐ และตั้งคณะทํางานลงมาดูและมาหารือกันว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรด้วยวิธีการแบบพุ่งเป้า คือ ทุกหน่วยงานพุ่งเป้าหมายเดียวกันในการแก้ปัญหาตามมิติอํานาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานร่วมกับครัวเรือนเป้าหมาย "เรามุ่งหวังว่าถ้าทําแบบนี้ คนที่ทุกข์ยากที่ช่วยตัวเองไม่ได้จะได้รับการพัฒนาจากภาครัฐที่ดีขึ้น เกิดการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน ซึ่งในเรื่องที่อยู่อาศัยก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นพร้อมกันกับการป่วย ส่งผลให้ทํามาหากินไม่ได้ สุขภาพทรุดโทรม เราจึงต้องมาดูเรื่องสุขภาพและที่อยู่อาศัย ด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วน เช่น ถ้าจะสร้างบ้านให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งไม่มีกฎหมายให้รัฐทําได้ ถึงทําได้ในกรณีภัยพิบัติก็ได้รับเงินเยียวยาเพียง 30,000 บาท ตามกฎหมาย ดังนั้น การที่เราจะดูแลพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนลักษณะนี้ จึงต้องรวบรวมระดมสรรพกําลังดูแลเขา ดังกรณีบ้านของนางจาง ทองเด็จ ในวันนี้ ซึ่งมีความทุกข์ด้านสุขภาพ และมีเหล่ากาชาด มี อสม. มีจิตอาสาช่วยกันดูแล และรัฐก็บูรณาการเข้ามาช่วยดูแล มาประสาน มาบูรณาการทุกภาคส่วน แสดงให้เห็นว่า กลไกรัฐทุกด้านเราพร้อมหมด เมื่อเรารู้ปัญหา เราก็ดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาทํา มาแก้ไข คาดว่าจะสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนไปพร้อมกันทั้งประเทศในเดือนเมษายน 65 นี้ ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเจอปัญหาความยากลําบากอะไร หรือพบเห็นเพื่อนบ้านในชุมชนมีความเดือดร้อนและไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ ขอให้แจ้งท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านนายอําเภอ รวมถึงกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นคนรับใช้ประชาชนในพื้นที่" พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา โอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เงินช่วยเหลือ ทะเบียนบ้าน และบัตรประจําตัวประชาชนให้แก่นายทวี ไชยช่วย สามีของนางจาง ทองเด็จ พร้อมให้กําลังใจครอบครัว และพบปะผู้นําชุมชน ข้าราชการ ทีมพี่เลี้ยง ในการช่วยกันพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ตามแนวทาง ศจพ. เพื่อทําให้คุณภาพชีวิตของครอบครัวนางจาง ทองเด็จ ดีขึ้นอย่างยั่งยืน นายอาคม บุญญโส นายอําเภอรัตภูมิ กล่าวว่า อําเภอรัตภูมิ ได้ดําเนินการตามแนวทางขับเคลื่อนศูนย์อํานวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่ ได้แก่ 1 จัดตั้ง ศจพม. 2 จัดตั้งคณะกรรมการบริหาร ศจพ.อําเภอ 3 จัดตั้งทีมปฏิบัติการ 4 แต่งตั้งทีมพี่เลี้ยงลงพื้นที่ ในการจัดทําแผนครัวเรือนของอําเภอรัตภูมิ ซึ่งมีครอบครัวตกหล่น จํานวนทั้งสิ้น 1,004 ครัวเรือน แต่หลังจากทําการ Re X-Ray คงเหลือ 47 ครัวเรือน แบ่งเป็น ด้านสุขภาพ 9 ครัวเรือน ความเป็นอยู่ 26 ครัว การศึกษา 2 ครัวเรือน รายได้ 42 ครัวเรือน และการเข้าถึงบริการภาครัฐ 22 ครัวเรือน โดยได้มีการจัดประชุมฯ พร้อมมอบหมายทีมพี่เลี้ยงลงพื้นที่จัดทําแผนครัวเรือนร่วมกับครัวเรือนเป้าหมาย โดยนําหลัก 4 ท มาวิเคราะห์ในการพัฒนาครัวเรือน ทั้งทัศนคติ ทักษะ ทรัพยากรและทางออกในการแก้ปัญหา นายประกอบ จันทสุวรรณ นายกเทศมนตรีตําบลคูหาใต้ กล่าวว่า กรณีครัวเรือนบ้านของนางจาง ทองเด็จ ซึ่งอยู่ในพื้นที่เทศบาลตําบลคูหาใต้ ทางเทศบาลได้ร่วมกับท้องที่ ข้าราชการ และพี่น้องประชาชน ในการออกสํารวจ พบว่าบ้านมีสภาพทรุดโทรม และพบปัญหาด้านสุขภาพ จึงได้หารือร่วมกับที่ทําการปกครองอําเภอรัตภูมิ และสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา บูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกับภาคีเครือข่ายกระทั่งเป็นผลสําเร็จในวันนี้ ด้านหัวหน้าทีมพี่เลี้ยง กล่าวว่า ทีมพี่เลี้ยงได้ลงพื้นที่วิเคราะห์สภาพปัญหาความเดือดร้อนของครอบครัวนางจาง ทองเด็จ ทั้ง 5 มิติ ตามแนวทาง ศจพ. อาทิ ในด้านทัศนคติ พบว่า ครอบครัวมีความอบอุ่น อยู่ร่วมกัน 12 คน มีบ้าน 3 หลังติดกัน โดยมีลูกชายเป็นเสาหลักของบ้าน ในด้านทักษะ พบว่า มีทักษะวิชาช่างและการทําสวน ด้านทรัพยากร มีที่ดิน 1 ไร่ 2 งาน มีคนวัยแรงงานสามารถทํางานได้ 5 คน และด้านทางออกของปัญหา คือ เรื่องอาชีพที่มั่นคงมากขึ้น เพราะประกอบอาชีพรับจ้างเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว ซึ่งได้ดําเนินการรายงานทีมตําบล และคณะกรรมการ ศจพ.อําเภอ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ความช่วยเหลือตามแผนระยะต้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของครัวเรือนเป้าหมายให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มท.1 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมครัวเรือนเป้าหมายแก้ปัญหาความยากจนในอำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา พร้อมให้กำลังใจครอบครัว เน้นย้ำทุกภาคส่วนบูรณาการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างย วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565 มท.1 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมครัวเรือนเป้าหมายแก้ปัญหาความยากจนในอําเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา พร้อมให้กําลังใจครอบครัว เน้นย้ําทุกภาคส่วนบูรณาการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างย มท.1 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมครัวเรือนเป้าหมายแก้ปัญหาความยากจนในอําเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา พร้อมให้กําลังใจครอบครัว เน้นย้ําทุกภาคส่วนบูรณาการช่วยเหลือเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน วันนี้ (3 มี.ค. 65) เวลา 15.00 น. ที่ตําบลคูหาใต้ อําเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก ไตรรัตน์ รังคะรัตน นายยงยุทธ โกเมศ นายวุฒิเดช ศรีสุทธิสุริยา คณะทํางานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ด้านบริหาร นายนิสิต จันทร์สมวงศ์ อธิบดีกรมที่ดิน นายธนาคม จงจิระ อธิบดีกรมการปกครอง นายประยูร รัตนเสนีย์ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้บริหารกระทรวงมหาดไทย และรศ.วรวรรณ โรจนไพบูลย์ ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมครัวเรือนตกเกณฑ์ตามโครงการศูนย์อํานวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่ โดยมี นายเจษฎา จิตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา พร้อมด้วยนายวรณัฎฐ์ หนูรอต รองผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นายอาคม บุญญโส นายอําเภอรัตภูมิ นายประกอบ จันทสุวรรณ นายกเทศมนตรีตําบลคูหาใต้ พร้อมด้วยพี่น้องประชาชนชาวอําเภอรัตภูมิ ให้การต้อนรับ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา กล่าวว่า หลังจากที่รัฐบาลได้เข้ามาบริหารประเทศผ่านกลไกกระทรวง กรม ส่วนราชการต่าง ๆ ที่มีหน่วยงานรับผิดชอบชีวิตคน ทําเรื่องสาธารณสุข เกษตร พัฒนาคุณภาพชีวิต โดยได้ตั้งงบประมาณปกติเป็นประจําทุกปี แต่ก็ยังพบว่ามีผู้ทุกข์ยากลําบากอยู่ รัฐบาลจึงได้ดําเนินการสํารวจและรวบรวมข้อมูลผ่านระบบ TPMAP ซึ่งได้แยกมิติความยากจนเดือดร้อนเป็น 5 มิติ คือ รายได้ ที่อยู่อาศัย สุขภาพ การศึกษา และการรับบริการจากภาครัฐ และตั้งคณะทํางานลงมาดูและมาหารือกันว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรด้วยวิธีการแบบพุ่งเป้า คือ ทุกหน่วยงานพุ่งเป้าหมายเดียวกันในการแก้ปัญหาตามมิติอํานาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานร่วมกับครัวเรือนเป้าหมาย "เรามุ่งหวังว่าถ้าทําแบบนี้ คนที่ทุกข์ยากที่ช่วยตัวเองไม่ได้จะได้รับการพัฒนาจากภาครัฐที่ดีขึ้น เกิดการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงอย่างยั่งยืน ซึ่งในเรื่องที่อยู่อาศัยก็เป็นเรื่องหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นพร้อมกันกับการป่วย ส่งผลให้ทํามาหากินไม่ได้ สุขภาพทรุดโทรม เราจึงต้องมาดูเรื่องสุขภาพและที่อยู่อาศัย ด้วยการบูรณาการทุกภาคส่วน เช่น ถ้าจะสร้างบ้านให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งไม่มีกฎหมายให้รัฐทําได้ ถึงทําได้ในกรณีภัยพิบัติก็ได้รับเงินเยียวยาเพียง 30,000 บาท ตามกฎหมาย ดังนั้น การที่เราจะดูแลพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนลักษณะนี้ จึงต้องรวบรวมระดมสรรพกําลังดูแลเขา ดังกรณีบ้านของนางจาง ทองเด็จ ในวันนี้ ซึ่งมีความทุกข์ด้านสุขภาพ และมีเหล่ากาชาด มี อสม. มีจิตอาสาช่วยกันดูแล และรัฐก็บูรณาการเข้ามาช่วยดูแล มาประสาน มาบูรณาการทุกภาคส่วน แสดงให้เห็นว่า กลไกรัฐทุกด้านเราพร้อมหมด เมื่อเรารู้ปัญหา เราก็ดึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงมาทํา มาแก้ไข คาดว่าจะสามารถเดินหน้าขับเคลื่อนไปพร้อมกันทั้งประเทศในเดือนเมษายน 65 นี้ ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบเจอปัญหาความยากลําบากอะไร หรือพบเห็นเพื่อนบ้านในชุมชนมีความเดือดร้อนและไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยตนเองได้ ขอให้แจ้งท่านผู้ว่าราชการจังหวัด ท่านนายอําเภอ รวมถึงกํานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นคนรับใช้ประชาชนในพื้นที่" พลเอก อนุพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา โอกาสนี้ พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มอบพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เงินช่วยเหลือ ทะเบียนบ้าน และบัตรประจําตัวประชาชนให้แก่นายทวี ไชยช่วย สามีของนางจาง ทองเด็จ พร้อมให้กําลังใจครอบครัว และพบปะผู้นําชุมชน ข้าราชการ ทีมพี่เลี้ยง ในการช่วยกันพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ตามแนวทาง ศจพ. เพื่อทําให้คุณภาพชีวิตของครอบครัวนางจาง ทองเด็จ ดีขึ้นอย่างยั่งยืน นายอาคม บุญญโส นายอําเภอรัตภูมิ กล่าวว่า อําเภอรัตภูมิ ได้ดําเนินการตามแนวทางขับเคลื่อนศูนย์อํานวยการขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (ศจพ.) ในระดับพื้นที่ ได้แก่ 1 จัดตั้ง ศจพม. 2 จัดตั้งคณะกรรมการบริหาร ศจพ.อําเภอ 3 จัดตั้งทีมปฏิบัติการ 4 แต่งตั้งทีมพี่เลี้ยงลงพื้นที่ ในการจัดทําแผนครัวเรือนของอําเภอรัตภูมิ ซึ่งมีครอบครัวตกหล่น จํานวนทั้งสิ้น 1,004 ครัวเรือน แต่หลังจากทําการ Re X-Ray คงเหลือ 47 ครัวเรือน แบ่งเป็น ด้านสุขภาพ 9 ครัวเรือน ความเป็นอยู่ 26 ครัว การศึกษา 2 ครัวเรือน รายได้ 42 ครัวเรือน และการเข้าถึงบริการภาครัฐ 22 ครัวเรือน โดยได้มีการจัดประชุมฯ พร้อมมอบหมายทีมพี่เลี้ยงลงพื้นที่จัดทําแผนครัวเรือนร่วมกับครัวเรือนเป้าหมาย โดยนําหลัก 4 ท มาวิเคราะห์ในการพัฒนาครัวเรือน ทั้งทัศนคติ ทักษะ ทรัพยากรและทางออกในการแก้ปัญหา นายประกอบ จันทสุวรรณ นายกเทศมนตรีตําบลคูหาใต้ กล่าวว่า กรณีครัวเรือนบ้านของนางจาง ทองเด็จ ซึ่งอยู่ในพื้นที่เทศบาลตําบลคูหาใต้ ทางเทศบาลได้ร่วมกับท้องที่ ข้าราชการ และพี่น้องประชาชน ในการออกสํารวจ พบว่าบ้านมีสภาพทรุดโทรม และพบปัญหาด้านสุขภาพ จึงได้หารือร่วมกับที่ทําการปกครองอําเภอรัตภูมิ และสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสงขลา บูรณาการแก้ไขปัญหาร่วมกับภาคีเครือข่ายกระทั่งเป็นผลสําเร็จในวันนี้ ด้านหัวหน้าทีมพี่เลี้ยง กล่าวว่า ทีมพี่เลี้ยงได้ลงพื้นที่วิเคราะห์สภาพปัญหาความเดือดร้อนของครอบครัวนางจาง ทองเด็จ ทั้ง 5 มิติ ตามแนวทาง ศจพ. อาทิ ในด้านทัศนคติ พบว่า ครอบครัวมีความอบอุ่น อยู่ร่วมกัน 12 คน มีบ้าน 3 หลังติดกัน โดยมีลูกชายเป็นเสาหลักของบ้าน ในด้านทักษะ พบว่า มีทักษะวิชาช่างและการทําสวน ด้านทรัพยากร มีที่ดิน 1 ไร่ 2 งาน มีคนวัยแรงงานสามารถทํางานได้ 5 คน และด้านทางออกของปัญหา คือ เรื่องอาชีพที่มั่นคงมากขึ้น เพราะประกอบอาชีพรับจ้างเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว ซึ่งได้ดําเนินการรายงานทีมตําบล และคณะกรรมการ ศจพ.อําเภอ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ความช่วยเหลือตามแผนระยะต้น ระยะกลาง และระยะยาว เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของครัวเรือนเป้าหมายให้เกิดความยั่งยืนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52176
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565 ความคืบหน้าการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 จากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 2 มีนาคม 2565 ณ เวลา 23.00 น. พบว่า มีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนกลุ่มเดิมฯ จํานวน 25.46 ล้านราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 47,741.3 ล้านบาท นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 (โครงการฯ ระยะที่ 4) โดยจากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 2 มีนาคม 2565 ณ เวลา 23.00 น. พบว่า มีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนกลุ่มเดิมฯ จํานวน 25.46 ล้านราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 47,741.3 ล้านบาท และมีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 (ประชาชนกลุ่มใหม่ฯ) จํานวน 7.66 แสนราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 992.5 ล้านบาท รวมมีผู้ใช้สิทธิทั้งหมดจํานวน 26.23 ล้านราย และยอดการใช้จ่ายรวม 48,733.8 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 24,753.5 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 23,980.3 ล้านบาท และมียอดใช้จ่ายสะสมแบ่งตามประเภทตามร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 20,102.4 ล้านบาท ร้านธงฟ้า 8,448.0 ล้านบาท ร้าน OTOP 2,184.2 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 17,057.5 ล้านบาท ร้านบริการ 854.3 ล้านบาท และกิจการขนส่งสาธารณะ 87.4 ล้านบาท โดยมีประชาชนที่ได้รับสิทธิทั้งหมด 26.38 ล้านราย ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มเดิมฯ ที่กดยืนยันสิทธิและมีการใช้สิทธิโครงการฯ ระยะที่ 4 แล้ว จํานวน 25.46 ล้านราย จากจํานวนผู้ใช้จ่ายโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จํานวน 26.35 ล้านราย สําหรับผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้วจํานวน 1.35 ล้านราย โดยเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ 2.55 หมื่นราย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายโครงการฯ ระยะที่ 4 ได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2565 และสําหรับผู้ประกอบการร้านค้ารายใหม่ยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 ผ่าน www.คนละครึ่ง.com หรือติดต่อเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยในพื้นที่หรือสาขาธนาคารกรุงไทยฯ ได้อย่างต่อเนื่องจนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศปิดรับสมัคร สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 08-5842-7102 , 08-5842-7103, 08-5842-7104 ,08-5842-7105 08-5842-7106, 08-5842-7107, 08-5842-7108 , 08-5842-7109 (เวลาทําการ 08.30 – 16.30 น.) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ halfhalf@fpo.go.th ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ความคืบหน้าการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565 ความคืบหน้าการใช้สิทธิโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 จากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 2 มีนาคม 2565 ณ เวลา 23.00 น. พบว่า มีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนกลุ่มเดิมฯ จํานวน 25.46 ล้านราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 47,741.3 ล้านบาท นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยความคืบหน้าโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 (โครงการฯ ระยะที่ 4) โดยจากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 2 มีนาคม 2565 ณ เวลา 23.00 น. พบว่า มีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนกลุ่มเดิมฯ จํานวน 25.46 ล้านราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 47,741.3 ล้านบาท และมีผู้ใช้สิทธิที่เป็นประชาชนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 (ประชาชนกลุ่มใหม่ฯ) จํานวน 7.66 แสนราย ซึ่งมียอดใช้จ่าย 992.5 ล้านบาท รวมมีผู้ใช้สิทธิทั้งหมดจํานวน 26.23 ล้านราย และยอดการใช้จ่ายรวม 48,733.8 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่าย 24,753.5 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่าย 23,980.3 ล้านบาท และมียอดใช้จ่ายสะสมแบ่งตามประเภทตามร้านค้า ได้แก่ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 20,102.4 ล้านบาท ร้านธงฟ้า 8,448.0 ล้านบาท ร้าน OTOP 2,184.2 ล้านบาท ร้านค้าทั่วไป 17,057.5 ล้านบาท ร้านบริการ 854.3 ล้านบาท และกิจการขนส่งสาธารณะ 87.4 ล้านบาท โดยมีประชาชนที่ได้รับสิทธิทั้งหมด 26.38 ล้านราย ซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มเดิมฯ ที่กดยืนยันสิทธิและมีการใช้สิทธิโครงการฯ ระยะที่ 4 แล้ว จํานวน 25.46 ล้านราย จากจํานวนผู้ใช้จ่ายโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 จํานวน 26.35 ล้านราย สําหรับผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 มีผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้วจํานวน 1.35 ล้านราย โดยเป็นผู้ประกอบการรายใหม่ 2.55 หมื่นราย ทั้งนี้ ประชาชนสามารถใช้จ่ายโครงการฯ ระยะที่ 4 ได้จนถึงวันที่ 30 เมษายน 2565 และสําหรับผู้ประกอบการร้านค้ารายใหม่ยังสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ระยะที่ 4 ผ่าน www.คนละครึ่ง.com หรือติดต่อเจ้าหน้าที่กรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทยในพื้นที่หรือสาขาธนาคารกรุงไทยฯ ได้อย่างต่อเนื่องจนกว่ากระทรวงการคลังจะประกาศปิดรับสมัคร สํานักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร. 08-5842-7102 , 08-5842-7103, 08-5842-7104 ,08-5842-7105 08-5842-7106, 08-5842-7107, 08-5842-7108 , 08-5842-7109 (เวลาทําการ 08.30 – 16.30 น.) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ halfhalf@fpo.go.th ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) โทร. 02-111-1122 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52163
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบความปลอดภัยในการปฏิบัติงานก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง
วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 รฟม. ลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบความปลอดภัยในการปฏิบัติงานก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สําโรง ..... การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม โดย คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน (คปอ.) ได้ลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบความปลอดภัยในการปฏิบัติงานก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สําโรง บริเวณสถานีศรีลาซาล และสถานีศรีแบริ่ง บนถนนศรีนครินทร์ โดยได้ตรวจสอบการจัดเก็บอุปกรณ์ที่ไม่ใช้งาน การยึดวัสดุอุปกรณ์ให้มีความมั่นคงแข็งแรงเรียบร้อย เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากลมพายุในช่วงฤดูฝน พร้อมทั้งเน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ทุกคนและผู้เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยตามที่กฎหมายกําหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สอดคล้องตาม “ปฏิญญาว่าด้วยความปลอดภัยในการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน Zero Fatal Accident” ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์ ทั้งต่อบุคลากรของโครงการ และประชาชนผู้สัญจรบนถนนสาธารณะ นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตามข้อกําหนดของกระทรวงสาธารณสุข สามารถสอบถามข้อมูลโครงการ ได้ที่เว็บไซต์ www.mrta-yellowline.com เฟซบุ๊กแฟนเพจโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และไลน์ : @mrtyellowline หรือติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทรศัพท์ 0 2716 4044 “30 ปี รฟม. เชื่อมต่อเส้นทางสู่ความยั่งยืน Completing Connection, Mission for All”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟม. ลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบความปลอดภัยในการปฏิบัติงานก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สำโรง วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 รฟม. ลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบความปลอดภัยในการปฏิบัติงานก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สําโรง ..... การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กระทรวงคมนาคม โดย คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทํางาน (คปอ.) ได้ลงพื้นที่ติดตามตรวจสอบความปลอดภัยในการปฏิบัติงานก่อสร้าง โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว - สําโรง บริเวณสถานีศรีลาซาล และสถานีศรีแบริ่ง บนถนนศรีนครินทร์ โดยได้ตรวจสอบการจัดเก็บอุปกรณ์ที่ไม่ใช้งาน การยึดวัสดุอุปกรณ์ให้มีความมั่นคงแข็งแรงเรียบร้อย เพื่อเป็นการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากลมพายุในช่วงฤดูฝน พร้อมทั้งเน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ทุกคนและผู้เกี่ยวข้องทุกหน่วยงานปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยตามที่กฎหมายกําหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อให้สอดคล้องตาม “ปฏิญญาว่าด้วยความปลอดภัยในการก่อสร้างโครงการระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน Zero Fatal Accident” ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุอันไม่พึงประสงค์ ทั้งต่อบุคลากรของโครงการ และประชาชนผู้สัญจรบนถนนสาธารณะ นอกจากนี้ ยังได้เน้นย้ําให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ตามข้อกําหนดของกระทรวงสาธารณสุข สามารถสอบถามข้อมูลโครงการ ได้ที่เว็บไซต์ www.mrta-yellowline.com เฟซบุ๊กแฟนเพจโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และไลน์ : @mrtyellowline หรือติดตามข้อมูลข่าวสาร รฟม. เพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ รฟม. www.mrta.co.th และเฟซบุ๊กแฟนเพจการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย หรือ Call Center รฟม. โทรศัพท์ 0 2716 4044 “30 ปี รฟม. เชื่อมต่อเส้นทางสู่ความยั่งยืน Completing Connection, Mission for All”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57665
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​PM pleased with considerable growth in gems and jewelry export during first half of 2022
วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม 2565 ​PM pleased with considerable growth in gems and jewelry export during first half of 2022 ​PM pleased with considerable growth in gems and jewelry export during first half of 2022 August 19, 2022, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha was reported on the export growth of gems and jewelries during the first half of 2022, which shows an emerging sign of economic recovery. This is in line with the Prime Minister’s policy to promote development and export of potential and competitive products through value added, quality improvement, and close collaboration between the public and private sectors. According to the report of Ministry of Commerce, export of gems and jewelries during the 1st and 2nd quarters of 2022 (January -June) has generated over US$3,884.21 million, a 40.96% increase yoy. With this, it is expected that total export value of gems and jewelries for the whole year of 2022 amount to US$7,392.49 million or 233,647 million Baht. The Government Spokesperson took the opportunity to invite the public to visit the 67th Bangkok Gems and Jewelry Fair, to be held during September 7-11, 2022 at Impact Arena, Muangthong Thani. The event will be co-organized by Department of International Trade Promotion and the Gem and Jewelry Institute of Thailand (Public Organization) with an aim to be promote business matching and negotiation between over 800 gems and jewelry business operators, both domestic and international. Over 10,000 participants from across the world are expected at the 67th Bangkok Gems and Jewelry Fair, with an estimation of no less than 1.2 billion Baht in the value of purchasing orders. The 67th Bangkok Gems and Jewelry Fair will be opened for business negotiation only on September 7-9, and to the public on September 10-11, 2022. The Prime Minister thanked all concerned sectors and agencies for joining forces in promoting and exporting Thailand’s quality gems and jewelries, which has considerably contributed to the country’s economic system. He also suggested for skill and knowledge enhancement of workers in gems and jewelries business to further elevate product standards, and uniqueness.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​PM pleased with considerable growth in gems and jewelry export during first half of 2022 วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม 2565 ​PM pleased with considerable growth in gems and jewelry export during first half of 2022 ​PM pleased with considerable growth in gems and jewelry export during first half of 2022 August 19, 2022, Deputy Secretary-General to the Prime Minister and Acting Government Spokesperson Anucha Burapachaisri disclosed that Prime Minister and Defense Minister Gen. Prayut Chan-o-cha was reported on the export growth of gems and jewelries during the first half of 2022, which shows an emerging sign of economic recovery. This is in line with the Prime Minister’s policy to promote development and export of potential and competitive products through value added, quality improvement, and close collaboration between the public and private sectors. According to the report of Ministry of Commerce, export of gems and jewelries during the 1st and 2nd quarters of 2022 (January -June) has generated over US$3,884.21 million, a 40.96% increase yoy. With this, it is expected that total export value of gems and jewelries for the whole year of 2022 amount to US$7,392.49 million or 233,647 million Baht. The Government Spokesperson took the opportunity to invite the public to visit the 67th Bangkok Gems and Jewelry Fair, to be held during September 7-11, 2022 at Impact Arena, Muangthong Thani. The event will be co-organized by Department of International Trade Promotion and the Gem and Jewelry Institute of Thailand (Public Organization) with an aim to be promote business matching and negotiation between over 800 gems and jewelry business operators, both domestic and international. Over 10,000 participants from across the world are expected at the 67th Bangkok Gems and Jewelry Fair, with an estimation of no less than 1.2 billion Baht in the value of purchasing orders. The 67th Bangkok Gems and Jewelry Fair will be opened for business negotiation only on September 7-9, and to the public on September 10-11, 2022. The Prime Minister thanked all concerned sectors and agencies for joining forces in promoting and exporting Thailand’s quality gems and jewelries, which has considerably contributed to the country’s economic system. He also suggested for skill and knowledge enhancement of workers in gems and jewelries business to further elevate product standards, and uniqueness.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58242
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พร้อมภริยานำ ครม. สืบสานประเพณี “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานประเพณีไทย 1 ครอบครัว 1 กระทง รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปลอดโรค ปลอดภัย” อธิษฐาน “ขอขมาลาโทษพระแม่คงคา ขอให้บ้านเมืองสงบสุข”
วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 นายกฯ พร้อมภริยานํา ครม. สืบสานประเพณี “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานประเพณีไทย 1 ครอบครัว 1 กระทง รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปลอดโรค ปลอดภัย” อธิษฐาน “ขอขมาลาโทษพระแม่คงคา ขอให้บ้านเมืองสงบสุข” นายกฯ พร้อมภริยานํา ครม. สืบสานประเพณี “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานประเพณีไทย 1 ครอบครัว 1 กระทง รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปลอดโรค ปลอดภัย” อธิษฐาน “ขอขมาลาโทษพระแม่คงคา ขอให้บ้านเมืองสงบสุข” วันนี้ (19 พ.ย. 2564) เวลา 16.30 น. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานงานสืบสานประเพณีลอยกระทงวิถีไทย พุทธศักราช 2564 “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานประเพณีไทย 1 ครอบครัว 1 กระทง รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปลอดโรค ปลอดภัย” ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล โดยมีคณะรัฐมนตรี อาทิ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคู่สมรส ข้าราชการการเมือง ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในทําเนียบรัฐบาล แต่งกายด้วยชุดผ้าไทยเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะรัฐมนตรี ชมนิทรรศการองค์ความรู้ สาระคุณค่า และข้อปฏิบัติสําหรับเทศกาลประเพณีลอยกระทงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด – 19 และชมการแสดงชุด “สายน้ําแห่งวัฒนธรรม” โดยสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานการจัดงานลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานประเพณีไทย 1 ครอบครัว 1 กระทง รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปลอดโรค ปลอดภัย จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยารับมอบกระทงประทีปแก้วโกมุทพุทธบูชา ที่สื่อความหมายถึงการประดิษฐ์กระทงเป็นรูปทรงดอกบัวแย้มกลีบคลี่บาน เพื่อเป็นพุทธบูชาสักการะรอยพระพุทธบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากตัวแทนเด็กและเยาวชน ก่อนร่วมถ่ายภาพและร่วมลอยกระทงกับคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส พร้อมรับชมการจําลองวิถีชีวิตตลาดน้ํา ณ คลองผดุงกรุงเกษม นายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยคํากล่าวอธิษฐานในช่วงปล่อยกระทงลอยว่า “ขอขมาลาโทษพระแม่คงคา ขอให้บ้านเมืองสงบสุข” ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังเชิญชวนพี่น้องประชาชนใช้กระทงทําจากวัสดุที่ย่อยสลายง่ายและไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม เพื่อการใช้ทรัพยากรคุ้มค่าและลดปริมาณขยะด้วย ...............................
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ พร้อมภริยานำ ครม. สืบสานประเพณี “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานประเพณีไทย 1 ครอบครัว 1 กระทง รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปลอดโรค ปลอดภัย” อธิษฐาน “ขอขมาลาโทษพระแม่คงคา ขอให้บ้านเมืองสงบสุข” วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 นายกฯ พร้อมภริยานํา ครม. สืบสานประเพณี “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานประเพณีไทย 1 ครอบครัว 1 กระทง รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปลอดโรค ปลอดภัย” อธิษฐาน “ขอขมาลาโทษพระแม่คงคา ขอให้บ้านเมืองสงบสุข” นายกฯ พร้อมภริยานํา ครม. สืบสานประเพณี “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานประเพณีไทย 1 ครอบครัว 1 กระทง รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปลอดโรค ปลอดภัย” อธิษฐาน “ขอขมาลาโทษพระแม่คงคา ขอให้บ้านเมืองสงบสุข” วันนี้ (19 พ.ย. 2564) เวลา 16.30 น. นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและนางนราพร จันทร์โอชา ภริยา เป็นประธานงานสืบสานประเพณีลอยกระทงวิถีไทย พุทธศักราช 2564 “ลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานประเพณีไทย 1 ครอบครัว 1 กระทง รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปลอดโรค ปลอดภัย” ณ คลองผดุงกรุงเกษม ข้างทําเนียบรัฐบาล โดยมีคณะรัฐมนตรี อาทิ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมและคู่สมรส ข้าราชการการเมือง ผู้บริหาร ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ในทําเนียบรัฐบาล แต่งกายด้วยชุดผ้าไทยเข้าร่วมงานอย่างพร้อมเพรียง โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีและภริยา พร้อมคณะรัฐมนตรี ชมนิทรรศการองค์ความรู้ สาระคุณค่า และข้อปฏิบัติสําหรับเทศกาลประเพณีลอยกระทงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด – 19 และชมการแสดงชุด “สายน้ําแห่งวัฒนธรรม” โดยสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวรายงานการจัดงานลอยกระทงวิถีใหม่ สืบสานประเพณีไทย 1 ครอบครัว 1 กระทง รักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย ปลอดโรค ปลอดภัย จากนั้น นายกรัฐมนตรีและภริยารับมอบกระทงประทีปแก้วโกมุทพุทธบูชา ที่สื่อความหมายถึงการประดิษฐ์กระทงเป็นรูปทรงดอกบัวแย้มกลีบคลี่บาน เพื่อเป็นพุทธบูชาสักการะรอยพระพุทธบาทสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากตัวแทนเด็กและเยาวชน ก่อนร่วมถ่ายภาพและร่วมลอยกระทงกับคณะรัฐมนตรีและคู่สมรส พร้อมรับชมการจําลองวิถีชีวิตตลาดน้ํา ณ คลองผดุงกรุงเกษม นายกรัฐมนตรีได้เปิดเผยคํากล่าวอธิษฐานในช่วงปล่อยกระทงลอยว่า “ขอขมาลาโทษพระแม่คงคา ขอให้บ้านเมืองสงบสุข” ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรียังเชิญชวนพี่น้องประชาชนใช้กระทงทําจากวัสดุที่ย่อยสลายง่ายและไม่ทําลายสิ่งแวดล้อม เพื่อการใช้ทรัพยากรคุ้มค่าและลดปริมาณขยะด้วย ...............................
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48471
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” หนุนไทยปั้นคนรุ่นใหม่เกาะติดโอกาสอีสปอร์ต
วันอังคารที่ 21 ธันวาคม 2564 “ชัยวุฒิ” หนุนไทยปั้นคนรุ่นใหม่เกาะติดโอกาสอีสปอร์ต “ชัยวุฒิ” หนุนไทยปั้นคนรุ่นใหม่เกาะติดโอกาสอีสปอร์ต “ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส หนุนประเทศไทยปั้นคนรุ่นใหม่เกาะติดโอกาสสร้างรายได้จากอีสปอร์ต ชี้เป็นจิ๊กซอว์ดันอุตสาหกรรมเกมขยายตัว เปิดประตูสู่เส้นทางนักกีฬาอาชีพให้กับเกมเมอร์สายแข็ง เผยสปอนเซอร์ยุคดิจิทัลพร้อมอัดฉีดงบอุดหนุนหวังชิงตลาดกลุ่มใหม่ๆ นายชัยวุฒิ ธนาคมนานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวในงานสัมมนา “ศักยภาพ ESPORTS ไทย สู่สากล วิถีชีวิตยุคดิจิทัล” ว่า อีสปอร์ต (Electronic sports) เป็นอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต สร้างอาชีพและรายได้ให้กับคนรุ่นใหม่ อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ ซึ่งดีอีเอส กําลังส่งเสริมและจะผลักดันอย่างเต็มที่เพื่อให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ อีสปอร์ตเป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้อุตสาหกรรมเกมในประเทศไทย มีอัตราการขยายตัวย้อนหลังเฉลี่ย 12.7% ในปี 2559 – 2562 อีกทั้ง เป็นส่วนสําคัญที่ช่วยต่อยอดและเชื่อมโยงอุตสาหกรรมเกมเข้ากับภาคธุรกิจอื่น โดยปัจจัยหนุนการขยายตัว ได้แก่ จํานวนผู้ชมเพิ่มขึ้นทุกปี ยิ่งในยุคดิจิทัลซึ่งคนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี สามารถเข้าถึงโลกออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว มีการใช้คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือกันตลอดเวลา ทําให้ง่ายต่อการเข้าถึงอีสปอร์ต ทั้งในฐานะผู้เข้าชมการแข่งขันและผู้เล่น ทางด้าน Newzoo บริษัทรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจเกม รายงานผลการศึกษาว่า ในปี 2562 มูลค่ารวมของตลาดกีฬาอีสปอร์ตทั่วโลกอยู่ที่ราว 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (36,300 ล้านบาท) และในปี 2563 ตลาดเติบโต 15% ส่วนปีนี้มีแนวโน้มโตอีก 14.5% เปอร์เซ็นต์ โดยประเมินว่าปี 2565 มูลค่าตลาดของกีฬาอีสปอร์ตทั่วโลกจะอยู่ที่ราว 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (59,400 ล้านบาท) อีกทั้ง เมื่อเจาะลึกตลาดอาเซียน พบข้อมูลที่น่าสนใจจากทั้ง Newzoo และ Tencent บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนําของโลกว่า รายได้ของกีฬาอีสปอร์ตจะเพิ่มขึ้นถึง 20.8% ระหว่างปี 2562-2567 โดยพุ่งแตะ 72.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2,392.5 ล้านบาท) ในปี 2567 “ปัจจุบัน บริษัทและองค์กรมากมาย ที่มองเห็นโอกาสในการเติบโตของอีสปอร์ต จึงสนับสนุนวงการนี้เพื่อโปรโมตบริษัท/องค์กรและโปรโมตสินค้า เช่น เสื้อที่มีโลโก้สปอนเซอร์ การส่งสินค้าไปให้ใช้ เป็นต้น ซึ่งก็ถือเป็นการหาตลาดกลุ่มใหม่ด้วย โดยสปอนเซอร์จะสนับสนุนนักกีฬาอีสปอร์ตหรือเกมเมอร์ที่กําลังเป็นที่นิยม” นายชัยวุฒิกล่าว ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2564 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการกีฬาอาชีพ เรื่อง กําหนดชนิดหรือประเภทกีฬาที่เป็นกีฬาอาชีพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 ประกาศว่า ให้กีฬาอีสปอร์ตเป็นกีฬาอาชีพ เรียกได้ว่าวงการอีสปอร์ตได้รับการยอมรับมากขึ้นในประเทศไทย และเป็นที่จับตามองของหลายภาคส่วน นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ในอนาคตอีสปอร์ตจะได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น และสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับหลายประเทศ โดยสถิติเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาพบว่า Top 3 ประเทศที่มีรายได้สูงสุด ได้แก่ อเมริกา จีน และเกาหลีใต้ ตามลําดับ ซึ่งอเมริกามีรายได้กว่า 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทิ้งห่างกับประเทศอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีนักกีฬาอีสปอร์ตจํานวนมากและได้รับเงินรางวัลเยอะที่สุด พร้อมกันนี้ เขายกตัวอย่างรายได้นักกีฬาอีสปอร์ตไทยในปี 2563 จากข้อมูลของนักกีฬาอีสปอร์ตเกม MOBA ชื่อดังอย่าง Arena of Valor หรือ ROV อันดับแรก FirstOne ซึ่งเป็นกัปตันทีม “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีสปอร์ต” มีรายได้อยู่ที่ 55,753 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ก็ยังมีนักกีฬาอีสปอร์ตไทยอีกหลายรายและหลายสังกัดที่มีรายได้สูงถึงหลักล้านบาท “อีสปอร์ตผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมเกม เพื่อสันทนาการไปสู่การแข่งขันเชิงกีฬา เปลี่ยนจากงานอดิเรกมาเป็นอาชีพ สร้างรายได้ให้ตนเอง สร้างโอกาสให้ธุรกิจและอาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น คอนเทนต์ครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ นักพากย์ ผู้จัดการทีม และโค้ชประจําทีม เป็นต้น แบรนด์ต่างๆ เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมนักกีฬาไม่ต่างจากวงการกีฬาอื่นๆ จะเห็นได้ว่าอีสปอร์ตไม่ใช่แค่การเล่นเกมคอมพิวเตอร์หรือเกมโทรศัพท์ แต่มีผลต่อการพัฒนาธุรกิจทั้งระบบนิเวศ อีกทั้งสร้างรายได้ให้กับผู้เล่นหรือนักกีฬาเช่นเดียวกับกีฬาทั่วไป” นายชัยวุฒิกล่าว ปัจจุบันภาครัฐและเอกชน ให้ความสนใจจัดทําหลักสูตรการศึกษาเพื่อสร้างบุคลากรในสายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ต ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยให้เยาวชน เดินถูกเส้นทางในการทําอาชีพที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ และในอนาคต หากอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตในประเทศไทยได้รับการยอมรับมากขึ้น ก็อาจได้เห็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาลและเอกชนในการผลักดันอีสปอร์ตในประเท ************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“ชัยวุฒิ” หนุนไทยปั้นคนรุ่นใหม่เกาะติดโอกาสอีสปอร์ต วันอังคารที่ 21 ธันวาคม 2564 “ชัยวุฒิ” หนุนไทยปั้นคนรุ่นใหม่เกาะติดโอกาสอีสปอร์ต “ชัยวุฒิ” หนุนไทยปั้นคนรุ่นใหม่เกาะติดโอกาสอีสปอร์ต “ชัยวุฒิ” รมว.ดีอีเอส หนุนประเทศไทยปั้นคนรุ่นใหม่เกาะติดโอกาสสร้างรายได้จากอีสปอร์ต ชี้เป็นจิ๊กซอว์ดันอุตสาหกรรมเกมขยายตัว เปิดประตูสู่เส้นทางนักกีฬาอาชีพให้กับเกมเมอร์สายแข็ง เผยสปอนเซอร์ยุคดิจิทัลพร้อมอัดฉีดงบอุดหนุนหวังชิงตลาดกลุ่มใหม่ๆ นายชัยวุฒิ ธนาคมนานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวในงานสัมมนา “ศักยภาพ ESPORTS ไทย สู่สากล วิถีชีวิตยุคดิจิทัล” ว่า อีสปอร์ต (Electronic sports) เป็นอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต สร้างอาชีพและรายได้ให้กับคนรุ่นใหม่ อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งในอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ ซึ่งดีอีเอส กําลังส่งเสริมและจะผลักดันอย่างเต็มที่เพื่อให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ อีสปอร์ตเป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้อุตสาหกรรมเกมในประเทศไทย มีอัตราการขยายตัวย้อนหลังเฉลี่ย 12.7% ในปี 2559 – 2562 อีกทั้ง เป็นส่วนสําคัญที่ช่วยต่อยอดและเชื่อมโยงอุตสาหกรรมเกมเข้ากับภาคธุรกิจอื่น โดยปัจจัยหนุนการขยายตัว ได้แก่ จํานวนผู้ชมเพิ่มขึ้นทุกปี ยิ่งในยุคดิจิทัลซึ่งคนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี สามารถเข้าถึงโลกออนไลน์ได้อย่างรวดเร็ว มีการใช้คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือกันตลอดเวลา ทําให้ง่ายต่อการเข้าถึงอีสปอร์ต ทั้งในฐานะผู้เข้าชมการแข่งขันและผู้เล่น ทางด้าน Newzoo บริษัทรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจเกม รายงานผลการศึกษาว่า ในปี 2562 มูลค่ารวมของตลาดกีฬาอีสปอร์ตทั่วโลกอยู่ที่ราว 1,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (36,300 ล้านบาท) และในปี 2563 ตลาดเติบโต 15% ส่วนปีนี้มีแนวโน้มโตอีก 14.5% เปอร์เซ็นต์ โดยประเมินว่าปี 2565 มูลค่าตลาดของกีฬาอีสปอร์ตทั่วโลกจะอยู่ที่ราว 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (59,400 ล้านบาท) อีกทั้ง เมื่อเจาะลึกตลาดอาเซียน พบข้อมูลที่น่าสนใจจากทั้ง Newzoo และ Tencent บริษัทอินเทอร์เน็ตชั้นนําของโลกว่า รายได้ของกีฬาอีสปอร์ตจะเพิ่มขึ้นถึง 20.8% ระหว่างปี 2562-2567 โดยพุ่งแตะ 72.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (2,392.5 ล้านบาท) ในปี 2567 “ปัจจุบัน บริษัทและองค์กรมากมาย ที่มองเห็นโอกาสในการเติบโตของอีสปอร์ต จึงสนับสนุนวงการนี้เพื่อโปรโมตบริษัท/องค์กรและโปรโมตสินค้า เช่น เสื้อที่มีโลโก้สปอนเซอร์ การส่งสินค้าไปให้ใช้ เป็นต้น ซึ่งก็ถือเป็นการหาตลาดกลุ่มใหม่ด้วย โดยสปอนเซอร์จะสนับสนุนนักกีฬาอีสปอร์ตหรือเกมเมอร์ที่กําลังเป็นที่นิยม” นายชัยวุฒิกล่าว ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2564 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ ประกาศคณะกรรมการกีฬาอาชีพ เรื่อง กําหนดชนิดหรือประเภทกีฬาที่เป็นกีฬาอาชีพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2564 ประกาศว่า ให้กีฬาอีสปอร์ตเป็นกีฬาอาชีพ เรียกได้ว่าวงการอีสปอร์ตได้รับการยอมรับมากขึ้นในประเทศไทย และเป็นที่จับตามองของหลายภาคส่วน นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ในอนาคตอีสปอร์ตจะได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น และสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับหลายประเทศ โดยสถิติเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาพบว่า Top 3 ประเทศที่มีรายได้สูงสุด ได้แก่ อเมริกา จีน และเกาหลีใต้ ตามลําดับ ซึ่งอเมริกามีรายได้กว่า 38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทิ้งห่างกับประเทศอื่นๆอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากมีนักกีฬาอีสปอร์ตจํานวนมากและได้รับเงินรางวัลเยอะที่สุด พร้อมกันนี้ เขายกตัวอย่างรายได้นักกีฬาอีสปอร์ตไทยในปี 2563 จากข้อมูลของนักกีฬาอีสปอร์ตเกม MOBA ชื่อดังอย่าง Arena of Valor หรือ ROV อันดับแรก FirstOne ซึ่งเป็นกัปตันทีม “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีสปอร์ต” มีรายได้อยู่ที่ 55,753 ดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ก็ยังมีนักกีฬาอีสปอร์ตไทยอีกหลายรายและหลายสังกัดที่มีรายได้สูงถึงหลักล้านบาท “อีสปอร์ตผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านจากอุตสาหกรรมเกม เพื่อสันทนาการไปสู่การแข่งขันเชิงกีฬา เปลี่ยนจากงานอดิเรกมาเป็นอาชีพ สร้างรายได้ให้ตนเอง สร้างโอกาสให้ธุรกิจและอาชีพที่เกี่ยวข้อง เช่น คอนเทนต์ครีเอเตอร์ อินฟลูเอนเซอร์ นักพากย์ ผู้จัดการทีม และโค้ชประจําทีม เป็นต้น แบรนด์ต่างๆ เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ให้กับทีมนักกีฬาไม่ต่างจากวงการกีฬาอื่นๆ จะเห็นได้ว่าอีสปอร์ตไม่ใช่แค่การเล่นเกมคอมพิวเตอร์หรือเกมโทรศัพท์ แต่มีผลต่อการพัฒนาธุรกิจทั้งระบบนิเวศ อีกทั้งสร้างรายได้ให้กับผู้เล่นหรือนักกีฬาเช่นเดียวกับกีฬาทั่วไป” นายชัยวุฒิกล่าว ปัจจุบันภาครัฐและเอกชน ให้ความสนใจจัดทําหลักสูตรการศึกษาเพื่อสร้างบุคลากรในสายอาชีพที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ต ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยให้เยาวชน เดินถูกเส้นทางในการทําอาชีพที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมนี้ และในอนาคต หากอุตสาหกรรมเกมและอีสปอร์ตในประเทศไทยได้รับการยอมรับมากขึ้น ก็อาจได้เห็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐบาลและเอกชนในการผลักดันอีสปอร์ตในประเท ************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49719
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เอนก” เปิดงาน มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจำปี 2565 อย่างยิ่งใหญ่ ดันยกระดับงานวิจัย-นวัตกรรมสู่การพัฒนาประเทศ
วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 “เอนก” เปิดงาน มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจําปี 2565 อย่างยิ่งใหญ่ ดันยกระดับงานวิจัย-นวัตกรรมสู่การพัฒนาประเทศ “เอนก” เปิดงาน มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจําปี 2565 อย่างยิ่งใหญ่ ดันยกระดับงานวิจัย-นวัตกรรมสู่การพัฒนาประเทศ วันนี้ (27 พฤษภาคม 2565) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจําปี 2565 (Regional Research Expo 2022)”จัดขึ้นระหว่างวันที่​ 27-29​ พฤษภาคม​ 2565​ ณ​ มหาวิทยาลัย​ราชภัฏ​อุดรธานี​ โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “อว. กับการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ BCG เป็นฐานในการพัฒนาชาติ” ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อํานวยการสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวรายงาน นายกองเอกปราโมทย์ ธัญญพืช รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี และ​ นายอิทธิศักดิ์ ตันติสุทธาพงศ์​ อุปนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กล่าว​ต้อนรับ​ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์​ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล​ ปลัดกระทรวงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม​ ​และผู้บริหารหน่วยงาน​ร่วม​จัด​ให้เกียรติเข้าร่วม​พิธี​เปิดงานในครั้งนี้​ภายในงานมีการจัดนิทรรศการ​ “การพลิกโฉมกรอบนโยบายและแนวทางพัฒนากําลังคน อุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรมของประเทศกับการขับเคลื่อน BCG” โดย นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาทรัพยากรบุคคล ปฏิบัติหน้าที่ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารโครงการตามนโยบาย สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้บรรยาย และมีการเสวนาพิเศษ “การเตรียมความพร้อมของนักวิจัยเพื่อขอทุนวิจัยของประเทศ จากหน่วยงานให้ทุนวิจัยทั้ง 7 PMU”พร้อมทั้งการประชุมเครือข่ายสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยราชภัฏภาคอีสาน ร่วมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกล่าวว่า การจัดงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ” (Thailand Research Expo) เป็นพลังแห่งความร่วมมือ​ยกระดับ​ผลงานวิจัย​เพื่อแก้ปัญหา​ส่งเสริม​เศรษฐกิจ​ฐานราก​ อว.เป็นกระทรวง​หลักในการขับ​เคลื่อนการขยายผลการนําองค์ความรู้จากผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์ระดับพื้นที่ในวงกว้างและเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้น ให้กับบุคลากรจากสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชนการ​ผนึก​กําลัง​นักวิจัย​ในแต่ละพื้นที่ก่อให้เกิดนักวิจัย​รุ่นใหม่​ การนําองค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรม ไปพัฒนาหรือสร้างสรรค์ พร้อมทั้งต่อยอด ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของประเทศไปสู่ประเทศ​ที่พัฒนา​แล้ว รวมไปถึงบทบาทของ อว. ในการขับเคลื่อน BCG Model ให้เป็นต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ( Bioeconomy) ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเน้นการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เชื่อมโยงกับ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คํานึงถึงการนําวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมเชื่อมโยงกับการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากการนําวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปมีส่วนช่วยเกษตรกรให้สามารถพัฒนาและเพิ่มมูลค่าของสินค้าและยังต่อยอดไปถึงธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยทั้งเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวภายในประเทศแสดงให้เห็นถึงความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงทรัพยากรคุณภาพของประเทศ สามารถลดต้นทุนการผลิต และการวิจัย อีกทั้งยังบริหารจัดการภายในได้อย่างรวดเร็วและมีมาตรฐานระดับสากลเพื่อให้เกิดเศรษฐกิจ BCG ที่เติบโต แข่งขันได้ในระดับโลก เกิดการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ํามุ่งสู่การพัฒนาในการประยุกต์โมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG สร้างความเข้มแข็งและการสร้างรายได้ การพัฒนาท้องถิ่นอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป​ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อํานวยการสํานักงานการวิจัยแห่งชาติกล่าวว่า การจัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค” วช. ได้จัดให้มีขึ้นโดยข้อเสนอแนะของผู้บริหารหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั้ง 4 ภูมิภาค เพื่อให้การนําเสนอผลงานวิจัยได้ขยายขอบเขตของการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยในภูมิภาคต่างๆ มากยิ่งขึ้น ซึ่งได้ดําเนินการจัดมา 9 ครั้ง โดยหมุนเวียนการจัดงานในภูมิภาคต่างๆ และมีมหาวิทยาลัยในแต่ละภูมิภาคเป็นเจ้าภาพร่วมจัดงาน ซึ่งครั้งแรกจัดขึ้นในปี 2556 ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคแรก แล้วเวียนไปยังภาคเหนือ ภาคใต้ ตามลําดับ ในการจัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค” ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 โดยมี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และเครือข่ายวิจัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเจ้าภาพร่วมจัดงาน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 - 29 พฤษภาคม 2565 ภายใต้แนวคิดหลัก “นวัตกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอีสานอย่างยั่งยืน” โดยการจัดงานมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมในการพัฒนาเชิงพื้นที่ด้วยวิจัยและนวัตกรรม ส่งเสริมเศรษฐกิจภูมิภาค เศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืน โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ ทั้งนี้ การจัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจําปี 2565 (Regional Research Expo 2022)” Highlight Stage เป็นเวทีหลักที่แสดงให้เห็นแนวคิดของการจัดงาน “นวัตกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอีสานอย่างยั่งยืน” 4) กิจกรรม Research Clinic: R2R การพัฒนางานประจําสู่งานวิจัย สําหรับบุคลากรสายสนับสนุนในสถาบันอุดมศึกษา ประโยชน์จากงานวิจัยในภูมิภาคต่างๆ สู่การยกระดับศักยภาพผลงานวิจัยชุมชนเข้มแข็ง มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสู่การขับเคลื่อนตามหลักของนโยบายเศรษฐกิจ BCG เป็นฐานในการพัฒนาชาติที่ยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้​กิจกรรมภายในงาน​ ประกอบด้วย นิทรรศการโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว,นิทรรศการการวิจัยของหน่วยงาน​ นักวิจัยในพื้นที่​, เครือข่ายการวิจัย​ในภูมิภาค​ ,นิทรรศการนําเสนอผลงานนานาชาติและประเทศเพื่อนบ้าน ,นิทรรศการอุทยานวิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ,กิจกรรม Highlight Stage , พื้นที่ให้คําปรึกษาความรู้จากงานวิจัย ,ตลาดนัดผลงานวิจัยที่ได้รับการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา , การประชุมเสวนา ตลอดทั้ง 3 วัน ใน 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย ห้องย่อยที่ 1 นวัตกรรม เพื่อการขับเคลื่อน BCG , ห้องย่อยที่ 2 BCG กับยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคอีสาน และห้องย่อยที่ 3 การพลิกโฉม กรอบนโยบายและแนวทางพัฒนา กําลังคนอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรมของประเทศ กับการขับเคลื่อน BCG และพื้นที่นิทรรศการ Highlight เพื่อแสดงให้เห็นแนวคิดของการจัดงาน “นวัตกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอีสานอย่างยั่งยืน”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“เอนก” เปิดงาน มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจำปี 2565 อย่างยิ่งใหญ่ ดันยกระดับงานวิจัย-นวัตกรรมสู่การพัฒนาประเทศ วันพุธที่ 1 มิถุนายน 2565 “เอนก” เปิดงาน มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจําปี 2565 อย่างยิ่งใหญ่ ดันยกระดับงานวิจัย-นวัตกรรมสู่การพัฒนาประเทศ “เอนก” เปิดงาน มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจําปี 2565 อย่างยิ่งใหญ่ ดันยกระดับงานวิจัย-นวัตกรรมสู่การพัฒนาประเทศ วันนี้ (27 พฤษภาคม 2565) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)ร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี จัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจําปี 2565 (Regional Research Expo 2022)”จัดขึ้นระหว่างวันที่​ 27-29​ พฤษภาคม​ 2565​ ณ​ มหาวิทยาลัย​ราชภัฏ​อุดรธานี​ โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์​ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวเปิดงานและปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “อว. กับการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ BCG เป็นฐานในการพัฒนาชาติ” ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อํานวยการสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ กล่าวรายงาน นายกองเอกปราโมทย์ ธัญญพืช รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานี และ​ นายอิทธิศักดิ์ ตันติสุทธาพงศ์​ อุปนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี กล่าว​ต้อนรับ​ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์​ ดร.นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล​ ปลัดกระทรวงกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม​ ​และผู้บริหารหน่วยงาน​ร่วม​จัด​ให้เกียรติเข้าร่วม​พิธี​เปิดงานในครั้งนี้​ภายในงานมีการจัดนิทรรศการ​ “การพลิกโฉมกรอบนโยบายและแนวทางพัฒนากําลังคน อุดมศึกษา วิจัยและนวัตกรรมของประเทศกับการขับเคลื่อน BCG” โดย นายพันธุ์เพิ่มศักดิ์ อารุณี ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาทรัพยากรบุคคล ปฏิบัติหน้าที่ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารโครงการตามนโยบาย สํานักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เป็นผู้บรรยาย และมีการเสวนาพิเศษ “การเตรียมความพร้อมของนักวิจัยเพื่อขอทุนวิจัยของประเทศ จากหน่วยงานให้ทุนวิจัยทั้ง 7 PMU”พร้อมทั้งการประชุมเครือข่ายสถาบันวิจัยและพัฒนามหาวิทยาลัยราชภัฏภาคอีสาน ร่วมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมกล่าวว่า การจัดงาน “มหกรรมงานวิจัยแห่งชาติ” (Thailand Research Expo) เป็นพลังแห่งความร่วมมือ​ยกระดับ​ผลงานวิจัย​เพื่อแก้ปัญหา​ส่งเสริม​เศรษฐกิจ​ฐานราก​ อว.เป็นกระทรวง​หลักในการขับ​เคลื่อนการขยายผลการนําองค์ความรู้จากผลงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรมไปสู่การใช้ประโยชน์ระดับพื้นที่ในวงกว้างและเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างแรงบันดาลใจและแรงกระตุ้น ให้กับบุคลากรจากสถาบันการศึกษา หน่วยงานวิจัยทั้งภาครัฐและเอกชนการ​ผนึก​กําลัง​นักวิจัย​ในแต่ละพื้นที่ก่อให้เกิดนักวิจัย​รุ่นใหม่​ การนําองค์ความรู้จากผลงานวิจัยและนวัตกรรม ไปพัฒนาหรือสร้างสรรค์ พร้อมทั้งต่อยอด ผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่มีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของประเทศไปสู่ประเทศ​ที่พัฒนา​แล้ว รวมไปถึงบทบาทของ อว. ในการขับเคลื่อน BCG Model ให้เป็นต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจ 3 มิติไปพร้อมกัน ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ( Bioeconomy) ระบบเศรษฐกิจชีวภาพ มุ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยเน้นการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง เชื่อมโยงกับ เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) คํานึงถึงการนําวัสดุต่าง ๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุดภายใต้เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคมและการรักษาสิ่งแวดล้อมเชื่อมโยงกับการยกระดับเศรษฐกิจฐานรากการนําวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปมีส่วนช่วยเกษตรกรให้สามารถพัฒนาและเพิ่มมูลค่าของสินค้าและยังต่อยอดไปถึงธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ โดยทั้งเกษตรกรรมและการท่องเที่ยวภายในประเทศแสดงให้เห็นถึงความสามารถของบุคลากรที่เกี่ยวข้อง รวมถึงทรัพยากรคุณภาพของประเทศ สามารถลดต้นทุนการผลิต และการวิจัย อีกทั้งยังบริหารจัดการภายในได้อย่างรวดเร็วและมีมาตรฐานระดับสากลเพื่อให้เกิดเศรษฐกิจ BCG ที่เติบโต แข่งขันได้ในระดับโลก เกิดการกระจายรายได้ลงสู่ชุมชน ลดความเหลื่อมล้ํามุ่งสู่การพัฒนาในการประยุกต์โมเดลเศรษฐกิจใหม่ BCG สร้างความเข้มแข็งและการสร้างรายได้ การพัฒนาท้องถิ่นอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนต่อไป​ ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อํานวยการสํานักงานการวิจัยแห่งชาติกล่าวว่า การจัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค” วช. ได้จัดให้มีขึ้นโดยข้อเสนอแนะของผู้บริหารหน่วยงานเครือข่ายในระบบวิจัยทั้ง 4 ภูมิภาค เพื่อให้การนําเสนอผลงานวิจัยได้ขยายขอบเขตของการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยในภูมิภาคต่างๆ มากยิ่งขึ้น ซึ่งได้ดําเนินการจัดมา 9 ครั้ง โดยหมุนเวียนการจัดงานในภูมิภาคต่างๆ และมีมหาวิทยาลัยในแต่ละภูมิภาคเป็นเจ้าภาพร่วมจัดงาน ซึ่งครั้งแรกจัดขึ้นในปี 2556 ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคแรก แล้วเวียนไปยังภาคเหนือ ภาคใต้ ตามลําดับ ในการจัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค” ในปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 10 โดยมี มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี และเครือข่ายวิจัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเจ้าภาพร่วมจัดงาน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 27 - 29 พฤษภาคม 2565 ภายใต้แนวคิดหลัก “นวัตกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอีสานอย่างยั่งยืน” โดยการจัดงานมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นกลไกขับเคลื่อนงานวิจัยและนวัตกรรมในการพัฒนาเชิงพื้นที่ด้วยวิจัยและนวัตกรรม ส่งเสริมเศรษฐกิจภูมิภาค เศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืน โดยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ ทั้งนี้ การจัดงาน “มหกรรมงานวิจัยส่วนภูมิภาค ประจําปี 2565 (Regional Research Expo 2022)” Highlight Stage เป็นเวทีหลักที่แสดงให้เห็นแนวคิดของการจัดงาน “นวัตกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอีสานอย่างยั่งยืน” 4) กิจกรรม Research Clinic: R2R การพัฒนางานประจําสู่งานวิจัย สําหรับบุคลากรสายสนับสนุนในสถาบันอุดมศึกษา ประโยชน์จากงานวิจัยในภูมิภาคต่างๆ สู่การยกระดับศักยภาพผลงานวิจัยชุมชนเข้มแข็ง มีความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาสู่การขับเคลื่อนตามหลักของนโยบายเศรษฐกิจ BCG เป็นฐานในการพัฒนาชาติที่ยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้​กิจกรรมภายในงาน​ ประกอบด้วย นิทรรศการโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว,นิทรรศการการวิจัยของหน่วยงาน​ นักวิจัยในพื้นที่​, เครือข่ายการวิจัย​ในภูมิภาค​ ,นิทรรศการนําเสนอผลงานนานาชาติและประเทศเพื่อนบ้าน ,นิทรรศการอุทยานวิทยาศาสตร์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ,กิจกรรม Highlight Stage , พื้นที่ให้คําปรึกษาความรู้จากงานวิจัย ,ตลาดนัดผลงานวิจัยที่ได้รับการจดทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา , การประชุมเสวนา ตลอดทั้ง 3 วัน ใน 3 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย ห้องย่อยที่ 1 นวัตกรรม เพื่อการขับเคลื่อน BCG , ห้องย่อยที่ 2 BCG กับยุทธศาสตร์การพัฒนาภาคอีสาน และห้องย่อยที่ 3 การพลิกโฉม กรอบนโยบายและแนวทางพัฒนา กําลังคนอุดมศึกษา วิจัย และนวัตกรรมของประเทศ กับการขับเคลื่อน BCG และพื้นที่นิทรรศการ Highlight เพื่อแสดงให้เห็นแนวคิดของการจัดงาน “นวัตกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ BCG เพื่อการพัฒนาท้องถิ่นอีสานอย่างยั่งยืน”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55251
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างหอพระเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปประจำการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เนื่องในวาระครบ 62 ปี การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2565 ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างหอพระเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปประจําการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เนื่องในวาระครบ 62 ปี การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปมท. เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างหอพระเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปประจําการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เนื่องในวาระครบ 62 ปี การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เน้นย้ํา “PEA ขับเคลื่อนภารกิจด้านไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องรองรับเมืองน่าอยู่อัจฉริยะด้านสาธารณูปโภค เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 65 เวลา 09.09 น. ที่สํานักงานใหญ่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานฝ่ายสงฆ์นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างหอพระเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปประจําการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ในโอกาสครบรอบ 62 ปีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโดย พระครูวิศิษฏ์พิทยาคม (วราห์ ปุญญวโร) เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง ประกอบพิธีบวงสรวงฤกษ์ และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพร้อมด้วยคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค คณะผู้บริหาร และพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมในพิธี โอกาสนี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พร้อมด้วย พระครูวิศิษฏ์พิทยาคม นํานายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และคณะ ร่วมโปรยทรายเสก ใบเงิน ใบทอง ใบนาก เหรียญเงิน ทอง ลงก้นหลุมของแท่นวางแผ่นศิลาฤกษ์ พร้อมปิดทองและเจิมแผ่นศิลาฤกษ์ ไม้เข็มมงคล แผ่นอิฐทอง-นาก-เงิน และตลับพลอยนพรัตน์ และประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ตอกไม้เข็มมงคล 9 ต้น วางอิฐทอง-นาก-เงิน ปูนและทรายเสก ตลับพลอยนพรัตน์ลงในช่องอิฐทอง-นาก-เงิน วางแผ่นศิลาฤกษ์ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ลั่นฆ้องชัย ประธานสงฆ์ประพรมน้ําพระพุทธมนต์ ผู้ร่วมพิธีถวายสังฆทาน กรวดน้ํารับพร และกราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าประเทศไทยเริ่มมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2427 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) และโปรดเกล้าฯ ให้มีการส่งเสริมพัฒนากิจการไฟฟ้าในประเทศไทยให้ได้รับการก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง และขยายการผลิตไฟฟ้าเพื่อแสงสว่างโดยกิจการไฟฟ้าในส่วนภูมิภาค เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อมีการจัดตั้งแผนกไฟฟ้าขึ้นในกองบุราภิบาล กรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และได้ก่อสร้างการไฟฟ้าเทศบาลเมืองนครปฐมขึ้น เพื่อจําหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประชาชนเป็นแห่งแรก เมื่อปี 2473และแพร่หลายไปสู่หัวเมืองต่าง ๆ และมีการปรับปรุงโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงยกฐานะองค์กรกระทั่งได้รับการสถาปนาเป็น “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พุทธศักราช 2503 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2503 เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ทําหน้าที่ให้บริการระบบไฟฟ้าให้กับประชาชนในทุกจังหวัด (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่าเนื่องในวาระครบรอบ 62 ปี ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ในวันที่ 28 กันยายน 2565 นี้ จึงได้มีการจัดสร้างพระพุทธรูปประจําการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อเป็นสิริมงคลแก่คณะกรรมการ คณะผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมถึงประชาชน พุทธบริษัท ได้กราบไหว้สักการะบูชา น้อมรําลึกถึงพระพุทธคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และน้อมนําพระธรรมคําสอนอันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนามาประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นบุคคลที่มีคุณค่าของสังคมและประเทศชาติ นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่าสําหรับหอพระพุทธรูปประจําการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณลานด้านหน้าอาคาร 50 ของสํานักงานใหญ่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บนพื้นที่ประมาณ 570 ตารางเมตร ลักษณะเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก หุ้มด้วยหินอ่อนและหินแกรนิต เป็นทรงร่วมสมัยที่รักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยพร้อมคงภาพลักษณ์ความทันสมัยที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม เน้นการประสานกลมกลืนกับอาคารสถานที่โดยรอบ ได้แก่ ศาลพระภูมิเจ้าที่ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และอาคารสํานักงาน มีการใช้พรรณไม้ท้องถิ่นหรือพรรณไม้มงคลให้ร่มเงาร่มรื่นโดยรอบบริเวณ มีกําหนดแล้วเสร็จในเบื้องต้น ซึ่งจะมีพิธีเปิดหอพระและอัญเชิญพระพุทธรูปเข้าประดิษฐานในหอพระ ภายในวันที่ 28 กันยายน 2565 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 62 ปีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค “กระทรวงมหาดไทย ให้ความสําคัญและกํากับดูแลให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ดําเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ได้รับการบริการสาธารณูปโภคพื้นฐาน (ไฟฟ้า) ในทุกจังหวัดทั่วประเทศให้ได้มีระบบไฟฟ้าใช้อย่างมีคุณภาพและเพียงพอในการดํารงชีวิตประจําวัน รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยให้มีศักยภาพสูงในทุกด้าน ทั้งด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านอุตสาหกรรม ควบคู่การดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR)โดยได้กําหนดภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย ในปี 2565 ในด้านการเป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะด้านสาธารณูปโภค ด้วยการขับเคลื่อนภารกิจด้านไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง รองรับเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสําคัญ” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย กองสารนิเทศ สป.มท. ครั้งที่ 43/2565 วันที่ 11 ก.พ. 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างหอพระเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปประจำการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เนื่องในวาระครบ 62 ปี การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2565 ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างหอพระเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปประจําการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เนื่องในวาระครบ 62 ปี การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ปมท. เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างหอพระเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปประจําการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) เนื่องในวาระครบ 62 ปี การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เน้นย้ํา “PEA ขับเคลื่อนภารกิจด้านไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องรองรับเมืองน่าอยู่อัจฉริยะด้านสาธารณูปโภค เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 65 เวลา 09.09 น. ที่สํานักงานใหญ่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (สุชิน อคฺคชิโน) กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เลขานุการสมเด็จพระสังฆราช เป็นประธานฝ่ายสงฆ์นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างหอพระเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปประจําการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ในโอกาสครบรอบ 62 ปีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคโดย พระครูวิศิษฏ์พิทยาคม (วราห์ ปุญญวโร) เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทอง ประกอบพิธีบวงสรวงฤกษ์ และพิธีเจริญพระพุทธมนต์ โดยมีนายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคพร้อมด้วยคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค คณะผู้บริหาร และพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ร่วมในพิธี โอกาสนี้ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ พร้อมด้วย พระครูวิศิษฏ์พิทยาคม นํานายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และคณะ ร่วมโปรยทรายเสก ใบเงิน ใบทอง ใบนาก เหรียญเงิน ทอง ลงก้นหลุมของแท่นวางแผ่นศิลาฤกษ์ พร้อมปิดทองและเจิมแผ่นศิลาฤกษ์ ไม้เข็มมงคล แผ่นอิฐทอง-นาก-เงิน และตลับพลอยนพรัตน์ และประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ ตอกไม้เข็มมงคล 9 ต้น วางอิฐทอง-นาก-เงิน ปูนและทรายเสก ตลับพลอยนพรัตน์ลงในช่องอิฐทอง-นาก-เงิน วางแผ่นศิลาฤกษ์ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา ลั่นฆ้องชัย ประธานสงฆ์ประพรมน้ําพระพุทธมนต์ ผู้ร่วมพิธีถวายสังฆทาน กรวดน้ํารับพร และกราบลาพระรัตนตรัย เป็นอันเสร็จพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยว่าประเทศไทยเริ่มมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2427 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) และโปรดเกล้าฯ ให้มีการส่งเสริมพัฒนากิจการไฟฟ้าในประเทศไทยให้ได้รับการก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง และขยายการผลิตไฟฟ้าเพื่อแสงสว่างโดยกิจการไฟฟ้าในส่วนภูมิภาค เริ่มต้นอย่างเป็นทางการเมื่อมีการจัดตั้งแผนกไฟฟ้าขึ้นในกองบุราภิบาล กรมสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย และได้ก่อสร้างการไฟฟ้าเทศบาลเมืองนครปฐมขึ้น เพื่อจําหน่ายไฟฟ้าให้แก่ประชาชนเป็นแห่งแรก เมื่อปี 2473และแพร่หลายไปสู่หัวเมืองต่าง ๆ และมีการปรับปรุงโครงสร้างและเปลี่ยนแปลงยกฐานะองค์กรกระทั่งได้รับการสถาปนาเป็น “การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค” ตามพระราชบัญญัติการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค พุทธศักราช 2503 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2503 เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ทําหน้าที่ให้บริการระบบไฟฟ้าให้กับประชาชนในทุกจังหวัด (ยกเว้นกรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ) นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ประธานกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่าเนื่องในวาระครบรอบ 62 ปี ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ในวันที่ 28 กันยายน 2565 นี้ จึงได้มีการจัดสร้างพระพุทธรูปประจําการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อเป็นสิริมงคลแก่คณะกรรมการ คณะผู้บริหาร พนักงาน และลูกจ้าง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รวมถึงประชาชน พุทธบริษัท ได้กราบไหว้สักการะบูชา น้อมรําลึกถึงพระพุทธคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และน้อมนําพระธรรมคําสอนอันเป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนามาประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นบุคคลที่มีคุณค่าของสังคมและประเทศชาติ นายศุภชัย เอกอุ่น ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวว่าสําหรับหอพระพุทธรูปประจําการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณลานด้านหน้าอาคาร 50 ของสํานักงานใหญ่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บนพื้นที่ประมาณ 570 ตารางเมตร ลักษณะเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก หุ้มด้วยหินอ่อนและหินแกรนิต เป็นทรงร่วมสมัยที่รักษาเอกลักษณ์ความเป็นไทยพร้อมคงภาพลักษณ์ความทันสมัยที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม เน้นการประสานกลมกลืนกับอาคารสถานที่โดยรอบ ได้แก่ ศาลพระภูมิเจ้าที่ พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และอาคารสํานักงาน มีการใช้พรรณไม้ท้องถิ่นหรือพรรณไม้มงคลให้ร่มเงาร่มรื่นโดยรอบบริเวณ มีกําหนดแล้วเสร็จในเบื้องต้น ซึ่งจะมีพิธีเปิดหอพระและอัญเชิญพระพุทธรูปเข้าประดิษฐานในหอพระ ภายในวันที่ 28 กันยายน 2565 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 62 ปีการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค “กระทรวงมหาดไทย ให้ความสําคัญและกํากับดูแลให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ดําเนินการขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของพี่น้องประชาชนให้ได้รับการบริการสาธารณูปโภคพื้นฐาน (ไฟฟ้า) ในทุกจังหวัดทั่วประเทศให้ได้มีระบบไฟฟ้าใช้อย่างมีคุณภาพและเพียงพอในการดํารงชีวิตประจําวัน รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาประเทศไทยให้มีศักยภาพสูงในทุกด้าน ทั้งด้านความมั่นคง ด้านเศรษฐกิจ ด้านอุตสาหกรรม ควบคู่การดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อม (CSR)โดยได้กําหนดภารกิจสําคัญของกระทรวงมหาดไทย ในปี 2565 ในด้านการเป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะด้านสาธารณูปโภค ด้วยการขับเคลื่อนภารกิจด้านไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง รองรับเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นสําคัญ” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย กองสารนิเทศ สป.มท. ครั้งที่ 43/2565 วันที่ 11 ก.พ. 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51494
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ปลื้มภาพรวมหลังปรับมาตรการเดินทางเข้าไทย เชื่อมั่นรัฐบาลวางแนวทางนโยบายถูกต้องสอดรับสถานการณ์ คาดการณ์นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 30,000 คนต่อวัน
วันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2565 โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ปลื้มภาพรวมหลังปรับมาตรการเดินทางเข้าไทย เชื่อมั่นรัฐบาลวางแนวทางนโยบายถูกต้องสอดรับสถานการณ์ คาดการณ์นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 30,000 คนต่อวัน โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ปลื้มภาพรวมหลังปรับมาตรการเดินทางเข้าไทย เชื่อมั่นรัฐบาลวางแนวทางนโยบายถูกต้องสอดรับสถานการณ์ คาดการณ์นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 30,000 คนต่อวัน สร้างรายได้ 1.15 ล้านล้านบาท ในปี 2565 วันนี้ (วันที่ 7 มิถุนายน 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจแนวโน้มนักท่องเที่ยวที่ดีขึ้น ภายหลังการติดตามสถานการณ์และการดําเนินการตามนโยบายผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยหากเป็นผู้เดินทางที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนไม่ครบ รวมถึงผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง (HRC) สามารถแสดงผล Professional ATK หรือ RT-PCR ได้ โดยไม่ต้องมีการกักตัว ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมียอดจองการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมาตรการการเดินทางเข้าประเทศมีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น ซึ่งปัจจัยบวกต่อตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างมาก โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ททท. ได้รายงานสถานการณ์จากเดิมที่มียอดนักท่องเที่ยวประมาณ 18,000 - 20,000 คนต่อวัน คาดการณ์ว่าหลังจากนี้หากมีการยกเลิก ไทยแลนด์พาส ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 25,000 - 30,000 ต่อวัน และหลังจากการคลายล็อกมาตรการของรัฐบาล เชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และรถเช่า โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ประมาณ 1.15 ล้านล้านบาท ซึ่งทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตั้งเป้าหมายให้มีจํานวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้กว่า 7-10 ล้านคนต่อปี ด้วยการออกแผนส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวผ่านแคมเปญ “Visit Thailand Year 2022: Amazing New Chapters” นําเสนอการพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทยสู่มิติใหม่ พร้อมวางกลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยการสร้างคุณค่าและประสบการณ์การท่องเที่ยวมิติใหม่จากสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างจากประเทศคู่แข่ง เช่น ส่งเสริมกลุ่มงานแต่งงาน กลุ่ม digital nomads และครอบครัว, กลุ่ม health & wellness และกลุ่มปั่นจักรยาน เป็นต้น ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพให้เพิ่มขึ้นมาไม่น้อยกว่า 300,000 คนต่อเดือนในช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน 2565 ซึ่งประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยจากประเทศอินเดีย กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง อีกทั้งตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไปจะมีนักท่องเที่ยวจากยุโรปเดินทางเข้ามามากขึ้น เนื่องจากตรงกับช่วงฤดูหนาวของทวีปยุโรป “ประเทศไทยได้ติดตามประเมินสถานการณ์เพื่อการกําหนดนโยบายประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการคาดการณ์กําหนดวางนโยบายที่ถูกต้อง สอดรับกับสถานการณ์โลก จึงทําให้นโยบายเปิดประเทศของไทย รวมถึงหลาย ๆ ประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เริ่มผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศเช่นเดียวกัน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวมีหลายทางเลือก นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์แผนการท่องเที่ยวไทย ตลอดจนสั่งการกําชับเจ้าหน้าที่ด้านมาตรการทางสาธารณสุข การควบคุมโรค ความปลอดภัยตามจุดต่าง ๆ ให้มีความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ให้ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวและชาวไทยด้วย” นายธนกรฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ปลื้มภาพรวมหลังปรับมาตรการเดินทางเข้าไทย เชื่อมั่นรัฐบาลวางแนวทางนโยบายถูกต้องสอดรับสถานการณ์ คาดการณ์นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 30,000 คนต่อวัน วันอังคารที่ 7 มิถุนายน 2565 โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ปลื้มภาพรวมหลังปรับมาตรการเดินทางเข้าไทย เชื่อมั่นรัฐบาลวางแนวทางนโยบายถูกต้องสอดรับสถานการณ์ คาดการณ์นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 30,000 คนต่อวัน โฆษกรัฐบาลเผย “นายกฯ” ปลื้มภาพรวมหลังปรับมาตรการเดินทางเข้าไทย เชื่อมั่นรัฐบาลวางแนวทางนโยบายถูกต้องสอดรับสถานการณ์ คาดการณ์นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกว่า 30,000 คนต่อวัน สร้างรายได้ 1.15 ล้านล้านบาท ในปี 2565 วันนี้ (วันที่ 7 มิถุนายน 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจแนวโน้มนักท่องเที่ยวที่ดีขึ้น ภายหลังการติดตามสถานการณ์และการดําเนินการตามนโยบายผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศไทย เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศไทยหากเป็นผู้เดินทางที่ไม่ได้รับวัคซีน หรือได้รับวัคซีนไม่ครบ รวมถึงผู้สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยงสูง (HRC) สามารถแสดงผล Professional ATK หรือ RT-PCR ได้ โดยไม่ต้องมีการกักตัว ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมียอดจองการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมาตรการการเดินทางเข้าประเทศมีความสะดวกและรวดเร็วขึ้น ซึ่งปัจจัยบวกต่อตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างมาก โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ททท. ได้รายงานสถานการณ์จากเดิมที่มียอดนักท่องเที่ยวประมาณ 18,000 - 20,000 คนต่อวัน คาดการณ์ว่าหลังจากนี้หากมีการยกเลิก ไทยแลนด์พาส ตัวเลขนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 25,000 - 30,000 ต่อวัน และหลังจากการคลายล็อกมาตรการของรัฐบาล เชื่อว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงแรม ร้านอาหาร และรถเช่า โดยเชื่อว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะมีรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งจากในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ประมาณ 1.15 ล้านล้านบาท ซึ่งทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตั้งเป้าหมายให้มีจํานวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศได้กว่า 7-10 ล้านคนต่อปี ด้วยการออกแผนส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวผ่านแคมเปญ “Visit Thailand Year 2022: Amazing New Chapters” นําเสนอการพลิกโฉมการท่องเที่ยวไทยสู่มิติใหม่ พร้อมวางกลยุทธ์ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยการสร้างคุณค่าและประสบการณ์การท่องเที่ยวมิติใหม่จากสินค้าและบริการด้านการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นและแตกต่างจากประเทศคู่แข่ง เช่น ส่งเสริมกลุ่มงานแต่งงาน กลุ่ม digital nomads และครอบครัว, กลุ่ม health & wellness และกลุ่มปั่นจักรยาน เป็นต้น ขณะเดียวกันในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพให้เพิ่มขึ้นมาไม่น้อยกว่า 300,000 คนต่อเดือนในช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน 2565 ซึ่งประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยจากประเทศอินเดีย กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง อีกทั้งตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไปจะมีนักท่องเที่ยวจากยุโรปเดินทางเข้ามามากขึ้น เนื่องจากตรงกับช่วงฤดูหนาวของทวีปยุโรป “ประเทศไทยได้ติดตามประเมินสถานการณ์เพื่อการกําหนดนโยบายประเทศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการคาดการณ์กําหนดวางนโยบายที่ถูกต้อง สอดรับกับสถานการณ์โลก จึงทําให้นโยบายเปิดประเทศของไทย รวมถึงหลาย ๆ ประเทศเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เริ่มผ่อนคลายมาตรการเดินทางเข้าประเทศเช่นเดียวกัน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวมีหลายทางเลือก นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์แผนการท่องเที่ยวไทย ตลอดจนสั่งการกําชับเจ้าหน้าที่ด้านมาตรการทางสาธารณสุข การควบคุมโรค ความปลอดภัยตามจุดต่าง ๆ ให้มีความพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มศักยภาพ เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ให้ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวและชาวไทยด้วย” นายธนกรฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55438
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ปลื้มธนาคารแห่งประเทศไทย อ้าแขนรับผู้ผ่านการฝึกชายแดนใต้เข้าทำงาน
วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 ก.แรงงาน ปลื้มธนาคารแห่งประเทศไทย อ้าแขนรับผู้ผ่านการฝึกชายแดนใต้เข้าทํางาน กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ขอบคุณธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดโอกาสรับเยาวชนผู้ผ่านการฝึกจากจังหวัดปัตตานี เข้าทํางานทันทีหลังฝึกงานจบ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ปลื้มธนาคารแห่งประเทศไทย อ้าแขนรับผู้ผ่านการฝึกชายแดนใต้เข้าทำงาน วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม 2565 ก.แรงงาน ปลื้มธนาคารแห่งประเทศไทย อ้าแขนรับผู้ผ่านการฝึกชายแดนใต้เข้าทํางาน กระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ขอบคุณธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดโอกาสรับเยาวชนผู้ผ่านการฝึกจากจังหวัดปัตตานี เข้าทํางานทันทีหลังฝึกงานจบ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57759
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” หารือพนักงานกระทรวงสาธารณสุข ย้ำกลุ่มจ้างงานเดิมใช้สัญญา 4 ปีไม่มีลด
วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564 “สาธิต” หารือพนักงานกระทรวงสาธารณสุข ย้ํากลุ่มจ้างงานเดิมใช้สัญญา 4 ปีไม่มีลด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขหารือกลุ่มพนักงานกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบลดสัญญาจ้าง 4 ปี เหลือ 1 ปี เหตุเชื่อมโยงกับการขอกรอบอัตรากําลังใหม่ ได้ข้อสรุประยะเวลาจ้างงานไม่จําเป็นต้องสัมพันธ์กับกรอบอัตรากําลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขหารือกลุ่มพนักงานกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบลดสัญญาจ้าง 4 ปี เหลือ 1 ปี เหตุเชื่อมโยงกับการขอกรอบอัตรากําลังใหม่ ได้ข้อสรุประยะเวลาจ้างงานไม่จําเป็นต้องสัมพันธ์กับกรอบอัตรากําลัง ให้รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขแจ้งหน่วยงานและโรงพยาบาลจ้างคนทํางานเดิมด้วยสัญญา 4 ปี จ้างงานใหม่ 1 ปี วันนี้ (30 กันยายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมหารือร่วมกับกลุ่มพนักงานกระทรวงสาธารณสุขที่เดินทางมาเรียกร้องกรณีได้รับผลกระทบจากกรอบอัตรากําลังบุคลากรสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขปีงบประมาณ 2565 ส่งผลต่อสัญญาการจ้างงานจากระยะเวลา 4 ปี ลดเหลือเพียง 1 ปี เนื่องจากระยะเวลาการจ้างงานต้องสอดคล้องกับระยะเวลาของกรอบอัตรากําลัง ทําให้ขาดความมั่นคงทางอาชีพ และลิดรอนสิทธิ์เนื่องจากพนักงานกระทรวงสาธารณสุขที่ยังเหลือสัญญาจ้าง 1-3 ปี ต้องทําสัญญาจ้างใหม่เป็น 1 ปีด้วยนั้น ดร.สาธิตให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือร่วมกันว่า วันนี้ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้มารับข้อมูล จากการหารือพบว่ามีการปรับสัญญาจ้างพนักงานกระทรวงสาธารณสุขจาก 4 ปีเหลือ 1 ปี เนื่องจากนําไปผูกโยงกับกรอบอัตรากําลังปี 2565 ที่จะมีการขออัตรากําลังเพิ่ม ซึ่งนายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้พิจารณาแล้วว่า เรื่องสัญญาจ้างและกรอบอัตรากําลังที่จะเสนอกระทรวงการคลังอาจจะไม่ต้องใช้ในการพิจารณาร่วมกัน เนื่องจากหากมีการปรับสัญญาจ้างเพื่อขออัตราเพิ่มอาจจะกระทบและลิดรอนสิทธิ์พนักงานกระทรวงสาธารณสุขเดิมที่มีการจ้างงานแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา อาจเกิดผลกระทบกับอายุงานและความมั่นคง ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ในที่ประชุมเห็นตรงกันว่า พนักงานกระทรวงสาธารณสุขที่มีการจ้างงานอยู่เดิมหากสัญญายังเหลืออยู่ก็ให้ใช้สัญญาเดิมต่อไป ส่วนที่หมดสัญญาวันที่ 30 กันยายนนี้ ก็ให้ต่อสัญญาจ้างอีก 4 ปีตามเดิม ส่วนการจ้างงานคนใหม่ให้จ้างตามกรอบอัตรากําลัง 1 ปี และเมื่อจัดทํากรอบอัตรากําลังปี 2566-2568 แล้วเสร็จก็ให้กลับมาทําสัญญา 4 ปี ทั้งนี้ ได้มอบให้นายแพทย์สุระที่รับผิดชอบในการดูแลด้านกําลังคนของกระทรวงสาธารณสุขดําเนินการทําหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานและโรงพยาบาลต่างๆ ที่จะต้องแก้ไขประกาศเดิมเพื่อให้ปฏิบัติตามมติที่มีในวันนี้ “ยืนยันว่าไม่ใช่ว่าเดินทางมาเรียกร้องแล้วถึงได้รับการช่วยเหลือตามที่ต้องการ แต่เราพิจารณาตามหลักเหตุและผล กฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติ สิ่งใดทําได้หรือไม่ได้ ซึ่งกรณีมีข้อมูลและเหตุผลที่เสนอมาชัดเจน และพิจารณาจากระเบียบแล้วเห็นว่าไม่ควรนําสัญญาจ้างมาเชื่อมโยงกับการขอกรอบอัตรากําลัง จึงได้ข้อสรุปดังกล่าว” ดร.สาธิตกล่าว ********************************* 30 กันยายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สาธิต” หารือพนักงานกระทรวงสาธารณสุข ย้ำกลุ่มจ้างงานเดิมใช้สัญญา 4 ปีไม่มีลด วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564 “สาธิต” หารือพนักงานกระทรวงสาธารณสุข ย้ํากลุ่มจ้างงานเดิมใช้สัญญา 4 ปีไม่มีลด รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขหารือกลุ่มพนักงานกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบลดสัญญาจ้าง 4 ปี เหลือ 1 ปี เหตุเชื่อมโยงกับการขอกรอบอัตรากําลังใหม่ ได้ข้อสรุประยะเวลาจ้างงานไม่จําเป็นต้องสัมพันธ์กับกรอบอัตรากําลัง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขหารือกลุ่มพนักงานกระทรวงสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบลดสัญญาจ้าง 4 ปี เหลือ 1 ปี เหตุเชื่อมโยงกับการขอกรอบอัตรากําลังใหม่ ได้ข้อสรุประยะเวลาจ้างงานไม่จําเป็นต้องสัมพันธ์กับกรอบอัตรากําลัง ให้รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขแจ้งหน่วยงานและโรงพยาบาลจ้างคนทํางานเดิมด้วยสัญญา 4 ปี จ้างงานใหม่ 1 ปี วันนี้ (30 กันยายน 2564) ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมหารือร่วมกับกลุ่มพนักงานกระทรวงสาธารณสุขที่เดินทางมาเรียกร้องกรณีได้รับผลกระทบจากกรอบอัตรากําลังบุคลากรสํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขปีงบประมาณ 2565 ส่งผลต่อสัญญาการจ้างงานจากระยะเวลา 4 ปี ลดเหลือเพียง 1 ปี เนื่องจากระยะเวลาการจ้างงานต้องสอดคล้องกับระยะเวลาของกรอบอัตรากําลัง ทําให้ขาดความมั่นคงทางอาชีพ และลิดรอนสิทธิ์เนื่องจากพนักงานกระทรวงสาธารณสุขที่ยังเหลือสัญญาจ้าง 1-3 ปี ต้องทําสัญญาจ้างใหม่เป็น 1 ปีด้วยนั้น ดร.สาธิตให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือร่วมกันว่า วันนี้ได้รับมอบหมายจากนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขให้มารับข้อมูล จากการหารือพบว่ามีการปรับสัญญาจ้างพนักงานกระทรวงสาธารณสุขจาก 4 ปีเหลือ 1 ปี เนื่องจากนําไปผูกโยงกับกรอบอัตรากําลังปี 2565 ที่จะมีการขออัตรากําลังเพิ่ม ซึ่งนายแพทย์สุระ วิเศษศักดิ์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้พิจารณาแล้วว่า เรื่องสัญญาจ้างและกรอบอัตรากําลังที่จะเสนอกระทรวงการคลังอาจจะไม่ต้องใช้ในการพิจารณาร่วมกัน เนื่องจากหากมีการปรับสัญญาจ้างเพื่อขออัตราเพิ่มอาจจะกระทบและลิดรอนสิทธิ์พนักงานกระทรวงสาธารณสุขเดิมที่มีการจ้างงานแตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา อาจเกิดผลกระทบกับอายุงานและความมั่นคง ดร.สาธิตกล่าวต่อว่า ในที่ประชุมเห็นตรงกันว่า พนักงานกระทรวงสาธารณสุขที่มีการจ้างงานอยู่เดิมหากสัญญายังเหลืออยู่ก็ให้ใช้สัญญาเดิมต่อไป ส่วนที่หมดสัญญาวันที่ 30 กันยายนนี้ ก็ให้ต่อสัญญาจ้างอีก 4 ปีตามเดิม ส่วนการจ้างงานคนใหม่ให้จ้างตามกรอบอัตรากําลัง 1 ปี และเมื่อจัดทํากรอบอัตรากําลังปี 2566-2568 แล้วเสร็จก็ให้กลับมาทําสัญญา 4 ปี ทั้งนี้ ได้มอบให้นายแพทย์สุระที่รับผิดชอบในการดูแลด้านกําลังคนของกระทรวงสาธารณสุขดําเนินการทําหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานและโรงพยาบาลต่างๆ ที่จะต้องแก้ไขประกาศเดิมเพื่อให้ปฏิบัติตามมติที่มีในวันนี้ “ยืนยันว่าไม่ใช่ว่าเดินทางมาเรียกร้องแล้วถึงได้รับการช่วยเหลือตามที่ต้องการ แต่เราพิจารณาตามหลักเหตุและผล กฎระเบียบที่ต้องปฏิบัติ สิ่งใดทําได้หรือไม่ได้ ซึ่งกรณีมีข้อมูลและเหตุผลที่เสนอมาชัดเจน และพิจารณาจากระเบียบแล้วเห็นว่าไม่ควรนําสัญญาจ้างมาเชื่อมโยงกับการขอกรอบอัตรากําลัง จึงได้ข้อสรุปดังกล่าว” ดร.สาธิตกล่าว ********************************* 30 กันยายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46432
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดแนวทางกระจายวัคซีน ก.ค.- ส.ค. เน้นกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ระบาดหนัก
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2564 เปิดแนวทางกระจายวัคซีน ก.ค.- ส.ค. เน้นกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ระบาดหนัก .... ที่ประชุม ครม. รับทราบแนวทางการกระจายวัคซีนโควิด-19 ช่วงวันที่ 19 ก.ค. – 31 ส.ค. 64 ตั้งเป้าหมายให้บริการวัคซีนไว้ 13 ล้านโดส เน้นกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่จองฉีดวัคซีนไว้ล่วงหน้า และผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยพิจารณาจากปัจจัยด้านพื้นที่ . 1.จังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด . 2.จังหวัดชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน และจังหวัดที่มีความเร่งด่วนเพื่อรองรับสถานการณ์หลังการระบาด รวม 18 จังหวัด : >> เชียงราย เชียงใหม่ ตาก หนองคาย สระแก้ว บุรีรัมย์ อยุธยา ฉะเขิงเทรา ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า) ตรัง พังงา และกระบี่ . 3.จังหวัดอื่น ๆ อีก 48 จังหวัด . มีเป้าหมายฉีดให้ได้ 70% ของประชากรในแต่ละจังหวัด #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดแนวทางกระจายวัคซีน ก.ค.- ส.ค. เน้นกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ระบาดหนัก วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2564 เปิดแนวทางกระจายวัคซีน ก.ค.- ส.ค. เน้นกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ระบาดหนัก .... ที่ประชุม ครม. รับทราบแนวทางการกระจายวัคซีนโควิด-19 ช่วงวันที่ 19 ก.ค. – 31 ส.ค. 64 ตั้งเป้าหมายให้บริการวัคซีนไว้ 13 ล้านโดส เน้นกลุ่มผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ที่จองฉีดวัคซีนไว้ล่วงหน้า และผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม โดยพิจารณาจากปัจจัยด้านพื้นที่ . 1.จังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 13 จังหวัด . 2.จังหวัดชายแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน และจังหวัดที่มีความเร่งด่วนเพื่อรองรับสถานการณ์หลังการระบาด รวม 18 จังหวัด : >> เชียงราย เชียงใหม่ ตาก หนองคาย สระแก้ว บุรีรัมย์ อยุธยา ฉะเขิงเทรา ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ระนอง สุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า) ตรัง พังงา และกระบี่ . 3.จังหวัดอื่น ๆ อีก 48 จังหวัด . มีเป้าหมายฉีดให้ได้ 70% ของประชากรในแต่ละจังหวัด #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44043
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Thailand's Smart Awards ครั้งที่ 3
วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2565 เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Thailand's Smart Awards ครั้งที่ 3 เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Thailand's Smart Awards ครั้งที่ 3 วันนี้ (29 มิถุนายน 2565) นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Thailand's Smart Awards ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นกําลังใจแก่องค์กร หรือบุคคล และผลิตภัณฑ์ ที่มีผลการดําเนินงานยอดเยี่ยมและโดดเด่นในด้านต่าง ๆ ที่สามารถยกระดับปรับตัวทางธุรกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ และมีนายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท สุขุมวิท (สุขุมวิท 57) ทั้งนี้ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ส่องเทรนอุตสาหกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 2022" ในตอนหนึ่งว่า การปรับตัวของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมให้สอดรับกับเทรนด์สําคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2022 ผนวกกับสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ทําให้เห็นโอกาสของภาคอุตสาหกรรมไทยในการกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง โดยกระทรวงอุตสาหกรรม จะร่วมเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยส่งเสริม สนับสนุนให้ภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งและมั่นคง ด้วยการดําเนินงานสําคัญที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ (S-Curve) และการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Thailand's Smart Awards ครั้งที่ 3 วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2565 เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Thailand's Smart Awards ครั้งที่ 3 เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Thailand's Smart Awards ครั้งที่ 3 วันนี้ (29 มิถุนายน 2565) นายกฤชนนท์ อัยยปัญญา เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Thailand's Smart Awards ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นกําลังใจแก่องค์กร หรือบุคคล และผลิตภัณฑ์ ที่มีผลการดําเนินงานยอดเยี่ยมและโดดเด่นในด้านต่าง ๆ ที่สามารถยกระดับปรับตัวทางธุรกิจให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ และมีนายภาสกร ชัยรัตน์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ร่วมเป็นเกียรติ ณ โรงแรมแบงค็อก แมริออท สุขุมวิท (สุขุมวิท 57) ทั้งนี้ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ส่องเทรนอุตสาหกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 2022" ในตอนหนึ่งว่า การปรับตัวของภาคธุรกิจอุตสาหกรรมให้สอดรับกับเทรนด์สําคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในปี 2022 ผนวกกับสถานการณ์โควิด-19 ที่คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น ทําให้เห็นโอกาสของภาคอุตสาหกรรมไทยในการกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง โดยกระทรวงอุตสาหกรรม จะร่วมเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยส่งเสริม สนับสนุนให้ภาคเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งและมั่นคง ด้วยการดําเนินงานสําคัญที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมตามโมเดลเศรษฐกิจ BCG การพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายที่มีศักยภาพ (S-Curve) และการขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้น
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56339
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานเปิดโครงการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร"
วันพุธที่ 1 ธันวาคม 2564 "ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานเปิดโครงการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร" ในวันพุธที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ พลเอก วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑ - ๒ ธันวาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๗.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. ณ ห้องศรีสมาน ๔ อาคารบริการ สป.(ศรีสมาน) โดยรูปแบบของโครงการ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ๑.การจัดนิทรรศการเฉลิพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เกี่ยวกับพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ รวมถึงด้านการพัฒนาและการจัดการที่ดิน ๒.การรับฟังการบรรยายพิเศษจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ เกี่ยวกับพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาทรัพยากรดิน จากสํานักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สําหรับการจัดโครงการในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้กําลังพลของหน่วยขึ้นตรงสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มีส่วนร่วมในการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และช่วยกันสืบสานแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการพัฒนาทรัพยากรดินให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญในการทําการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานเปิดโครงการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร" วันพุธที่ 1 ธันวาคม 2564 "ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานเปิดโครงการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร" ในวันพุธที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๖๔ พลเอก วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการจัดกิจกรรมเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ๕ ธันวาคม ๒๕๖๔ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๑ - ๒ ธันวาคม ๒๕๖๔ เวลา ๐๗.๓๐ - ๑๖.๓๐ น. ณ ห้องศรีสมาน ๔ อาคารบริการ สป.(ศรีสมาน) โดยรูปแบบของโครงการ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ๑.การจัดนิทรรศการเฉลิพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เกี่ยวกับพระราชประวัติ พระราชกรณียกิจในด้านต่างๆ รวมถึงด้านการพัฒนาและการจัดการที่ดิน ๒.การรับฟังการบรรยายพิเศษจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ เกี่ยวกับพระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการพัฒนาทรัพยากรดิน จากสํานักงานพิพิธภัณฑ์เกษตรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (องค์การมหาชน) และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สําหรับการจัดโครงการในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้กําลังพลของหน่วยขึ้นตรงสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มีส่วนร่วมในการแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และช่วยกันสืบสานแนวพระราชดําริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภูมิพลดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ และการพัฒนาทรัพยากรดินให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานสําคัญในการทําการเกษตรเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหาร
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48954
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ปลื้มสถานทูตฯ 15 ประเทศ ร่วมจัดทำคลิป “พูดภาษาไทย” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติปี 2564
วันพุธที่ 28 กรกฎาคม 2564 วธ.ปลื้มสถานทูตฯ 15 ประเทศ ร่วมจัดทําคลิป “พูดภาษาไทย” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติปี 2564 วธ.ปลื้มสถานทูตฯ 15 ประเทศ ร่วมจัดทําคลิป “พูดภาษาไทย” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติปี 2564 ประกาศผลรางวัลประกวดคําขวัญ-สื่อสร้างสรรค์ “ตระหนักรักษ์ ภาษาไทย” พร้อมร่วมมือกับสถานศึกษาจัดกิจกรรมออนไลน์ทั่วประเทศ วธ.ปลื้มสถานทูตฯ 15 ประเทศ ร่วมจัดทําคลิป “พูดภาษาไทย” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติปี 2564 ประกาศผลรางวัลประกวดคําขวัญ-สื่อสร้างสรรค์ “ตระหนักรักษ์ ภาษาไทย” พร้อมร่วมมือกับสถานศึกษาจัดกิจกรรมออนไลน์ทั่วประเทศ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า วธ.ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถานศึกษา จัดกิจกรรมเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2564 เพื่อรณรงค์ให้เด็ก เยาวชน และประชาชนได้รู้รักภาษาไทย ซึ่งเป็นการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่กําหนดให้วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปีเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งทรงสนพระราชหฤทัยและห่วงใยการใช้ภาษาไทยของคนไทย ทั้งทรงเป็นแบบอย่างในการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องเหมาะสม และเป็นการน้อมนําพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในการทรงงานเพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอดโครงการ และแนวพระราชดําริต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยกิจกรรมปีนี้เน้นรูปแบบออนไลน์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งมีกิจกรรมประกอบด้วย การเผยแพร่วีดิทัศน์คําปราศรัยเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติทางสื่อโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ของวธ. ขณะเดียวกันวธ.ได้จัดทําวีดิทัศน์สารคดีพิเศษวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2564 และวีดิทัศน์ส่งเสริมการใช้ภาษาไทยของสถานเอกอัครราชทูตประจําประเทศไทย ซึ่งปีนี้มี 15 ประเทศร่วมจัดทํา ได้แก่ ลาว, ฟิลิปปินส์, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อินเดีย, สเปน, อาร์เจนตินา, ตุรกี, เบลเยียม, สวิตเซอร์แลนด์, โปแลนด์, อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และแอฟริกาใต้ เพื่อเผยแพร่ทางสื่อต่าง ๆ ต่อไป สามารถรับชมได้ทางช่องยูทูบ สํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม https://www.youtube.com/watch?v=xBUun4HWqMk รมว.วธ.กล่าวอีกว่า วธ.ยังได้จัดกิจกรรมดําเนินการคัดเลือกและประกวดด้านภาษาไทย ประกอบด้วยการประกวดคําขวัญวันภาษาไทยแห่งชาติ ประจําปี พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลการประกวด ได้แก่ 1.ประเภทประถมศึกษาและมัธยมศึกษา รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ด.ญ.นริศรา ท่อนทอง คําขวัญ “ร่วมใจรักษา พัฒนา ต่อยอด สืบทอด ภาษาไทย” 2.ประเภทอุดมศึกษา รางวัลชนะเลิศ นายขวัญชัย มะโนศรี คําขวัญ “รักภาษาไทย ใช้ถูก ใช้เป็น เห็นคุณค่า” และ 3.ประเภทประชาชนทั่วไป รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นางวุฒิตา จันทร์หนู คําขวัญ “รู้คุณค่าภาษาไทย ด้วยรู้ใช้ถูกวิธี เขียนอ่านสื่อสารดี สมศักดิ์ศรีความเป็นไทย” นอกจากนี้ มีการประกวดสื่อสร้างสรรค์วันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2564 หัวข้อ “ตระหนัก รักษ์ ภาษาไทย” ซึ่งผลการประกวดมีดังนี้ 1.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น รางวัลชนะเลิศ ผลงาน “สืบสานภาษาไทย ด้วยวัยใสหาดไข่เต่า” ของทีมหาดไข่เต่า จ.พัทลุง 2.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รางวัลชนะเลิศ ผลงาน “ภาษาไทย” ทําให้ฉันเป็นคนไทย ของทีมโรงเรียนสันติคีรีวิทยาคม จ.เชียงราย และ 3.ระดับอุดมศึกษา รางวัลชนะเลิศ ผลงาน “พี่มากขา... ฟังนะคะ” ของ น.ส.สกุลไกล หงษ์ทอง จ.นครปฐม ทั้งนี้ ผู้ชนะการประกวดจะได้รับโล่ เกียรติบัตรและเงินรางวัลจาก วธ.ต่อไป นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ วธ.ยังได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ และสถาบันการศึกษาจัดกิจกรรม วันภาษาไทยแห่งชาติเน้นรูปแบบออนไลน์ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดเสวนาออนไลน์ “ภาษาไทยในโลกกว้าง”, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดประกวดสุนทรพจน์ภาษาไทยสําหรับชาวต่างประเทศ, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดประกวดการพูดเชิงสร้างสรรค์ “ภาษาไทยถิ่นใต้ อัตลักษณ์และความหลากหลายทางวัฒนธรรม” ครั้งที่ 4, มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จัดโครงการภาษาไทยสร้างสรรค์สังคม ครั้งที่ 2, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จัดโครงการอบรมครูภาษาไทยออนไลน์ โดยก่อนหน้านี้ วธ. ได้ประกาศรางวัลให้แก่ ผู้ใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องและเป็นแบบอย่างที่ดี ประกอบด้วย รางวัลเกียรติยศสําหรับผู้ใช้ภาษาไทยสร้างสรรค์ รางวัลปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นชาวไทยและชาวต่างชาติ ผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นดีเด่นและผู้มีคุณูปการต่อการใช้ภาษาไทย และรางวัลการประกวดเพลง (เพชรในเพลง) ด้วย Play list วีดิทัศน์ ส่งเสริมการใช้ภาษาไทย ของสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศในประเทศไทย ร่วมฉลอง วันภาษาไทยแห่งชาติ ๒๕๖๔ https://www.youtube.com/playlist?list=PLTm764EhTYBJWIl3ajf7I_qB99rIuOZeN
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ปลื้มสถานทูตฯ 15 ประเทศ ร่วมจัดทำคลิป “พูดภาษาไทย” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติปี 2564 วันพุธที่ 28 กรกฎาคม 2564 วธ.ปลื้มสถานทูตฯ 15 ประเทศ ร่วมจัดทําคลิป “พูดภาษาไทย” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติปี 2564 วธ.ปลื้มสถานทูตฯ 15 ประเทศ ร่วมจัดทําคลิป “พูดภาษาไทย” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติปี 2564 ประกาศผลรางวัลประกวดคําขวัญ-สื่อสร้างสรรค์ “ตระหนักรักษ์ ภาษาไทย” พร้อมร่วมมือกับสถานศึกษาจัดกิจกรรมออนไลน์ทั่วประเทศ วธ.ปลื้มสถานทูตฯ 15 ประเทศ ร่วมจัดทําคลิป “พูดภาษาไทย” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติปี 2564 ประกาศผลรางวัลประกวดคําขวัญ-สื่อสร้างสรรค์ “ตระหนักรักษ์ ภาษาไทย” พร้อมร่วมมือกับสถานศึกษาจัดกิจกรรมออนไลน์ทั่วประเทศ นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม (รมว.วธ.) เปิดเผยว่า วธ.ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน และสถานศึกษา จัดกิจกรรมเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2564 เพื่อรณรงค์ให้เด็ก เยาวชน และประชาชนได้รู้รักภาษาไทย ซึ่งเป็นการดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่กําหนดให้วันที่ 29 กรกฎาคมของทุกปีเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งทรงสนพระราชหฤทัยและห่วงใยการใช้ภาษาไทยของคนไทย ทั้งทรงเป็นแบบอย่างในการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องเหมาะสม และเป็นการน้อมนําพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวในการทรงงานเพื่อสืบสาน รักษา ต่อยอดโครงการ และแนวพระราชดําริต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยกิจกรรมปีนี้เน้นรูปแบบออนไลน์ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ซึ่งมีกิจกรรมประกอบด้วย การเผยแพร่วีดิทัศน์คําปราศรัยเนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติทางสื่อโทรทัศน์และสื่อออนไลน์ของวธ. ขณะเดียวกันวธ.ได้จัดทําวีดิทัศน์สารคดีพิเศษวันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2564 และวีดิทัศน์ส่งเสริมการใช้ภาษาไทยของสถานเอกอัครราชทูตประจําประเทศไทย ซึ่งปีนี้มี 15 ประเทศร่วมจัดทํา ได้แก่ ลาว, ฟิลิปปินส์, จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, อินเดีย, สเปน, อาร์เจนตินา, ตุรกี, เบลเยียม, สวิตเซอร์แลนด์, โปแลนด์, อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา และแอฟริกาใต้ เพื่อเผยแพร่ทางสื่อต่าง ๆ ต่อไป สามารถรับชมได้ทางช่องยูทูบ สํานักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม https://www.youtube.com/watch?v=xBUun4HWqMk รมว.วธ.กล่าวอีกว่า วธ.ยังได้จัดกิจกรรมดําเนินการคัดเลือกและประกวดด้านภาษาไทย ประกอบด้วยการประกวดคําขวัญวันภาษาไทยแห่งชาติ ประจําปี พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลการประกวด ได้แก่ 1.ประเภทประถมศึกษาและมัธยมศึกษา รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ ด.ญ.นริศรา ท่อนทอง คําขวัญ “ร่วมใจรักษา พัฒนา ต่อยอด สืบทอด ภาษาไทย” 2.ประเภทอุดมศึกษา รางวัลชนะเลิศ นายขวัญชัย มะโนศรี คําขวัญ “รักภาษาไทย ใช้ถูก ใช้เป็น เห็นคุณค่า” และ 3.ประเภทประชาชนทั่วไป รางวัลชนะเลิศ ได้แก่ นางวุฒิตา จันทร์หนู คําขวัญ “รู้คุณค่าภาษาไทย ด้วยรู้ใช้ถูกวิธี เขียนอ่านสื่อสารดี สมศักดิ์ศรีความเป็นไทย” นอกจากนี้ มีการประกวดสื่อสร้างสรรค์วันภาษาไทยแห่งชาติ พุทธศักราช 2564 หัวข้อ “ตระหนัก รักษ์ ภาษาไทย” ซึ่งผลการประกวดมีดังนี้ 1.ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น รางวัลชนะเลิศ ผลงาน “สืบสานภาษาไทย ด้วยวัยใสหาดไข่เต่า” ของทีมหาดไข่เต่า จ.พัทลุง 2.ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย รางวัลชนะเลิศ ผลงาน “ภาษาไทย” ทําให้ฉันเป็นคนไทย ของทีมโรงเรียนสันติคีรีวิทยาคม จ.เชียงราย และ 3.ระดับอุดมศึกษา รางวัลชนะเลิศ ผลงาน “พี่มากขา... ฟังนะคะ” ของ น.ส.สกุลไกล หงษ์ทอง จ.นครปฐม ทั้งนี้ ผู้ชนะการประกวดจะได้รับโล่ เกียรติบัตรและเงินรางวัลจาก วธ.ต่อไป นายอิทธิพล กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ วธ.ยังได้ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ และสถาบันการศึกษาจัดกิจกรรม วันภาษาไทยแห่งชาติเน้นรูปแบบออนไลน์ เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดเสวนาออนไลน์ “ภาษาไทยในโลกกว้าง”, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดประกวดสุนทรพจน์ภาษาไทยสําหรับชาวต่างประเทศ, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จัดประกวดการพูดเชิงสร้างสรรค์ “ภาษาไทยถิ่นใต้ อัตลักษณ์และความหลากหลายทางวัฒนธรรม” ครั้งที่ 4, มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา จัดโครงการภาษาไทยสร้างสรรค์สังคม ครั้งที่ 2, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จัดโครงการอบรมครูภาษาไทยออนไลน์ โดยก่อนหน้านี้ วธ. ได้ประกาศรางวัลให้แก่ ผู้ใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องและเป็นแบบอย่างที่ดี ประกอบด้วย รางวัลเกียรติยศสําหรับผู้ใช้ภาษาไทยสร้างสรรค์ รางวัลปูชนียบุคคลด้านภาษาไทย ผู้ใช้ภาษาไทยดีเด่นชาวไทยและชาวต่างชาติ ผู้ใช้ภาษาไทยถิ่นดีเด่นและผู้มีคุณูปการต่อการใช้ภาษาไทย และรางวัลการประกวดเพลง (เพชรในเพลง) ด้วย Play list วีดิทัศน์ ส่งเสริมการใช้ภาษาไทย ของสถานเอกอัครราชทูตต่างประเทศในประเทศไทย ร่วมฉลอง วันภาษาไทยแห่งชาติ ๒๕๖๔ https://www.youtube.com/playlist?list=PLTm764EhTYBJWIl3ajf7I_qB99rIuOZeN
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44194
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำและความก้าวหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขื่อนแม่กวงอุดมธารา
วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565 นายกฯ ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ําและความก้าวหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําขื่อนแม่กวงอุดมธารา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ําและความก้าวหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําขื่อนแม่กวงอุดมธารา ย้ําบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอสําหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (29 มิ.ย.65) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมโครงการเพิ่มปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ ณ ประตูระบายน้ําแม่ตะมาน เพื่อติดตามการบริหารจัดการน้ําและความก้าวหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําขื่อนแม่กวงอุดมธารา โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมการตรวจเยี่ยมด้วย นายกรัฐมนตรีรับฟังรายงานความก้าวหน้าของโครงการเพิ่มปริมาณน้ําเขื่อนแม่กวงอุดมธารา และระบบควบคุมงานก่อสร้างระยะไกลจากอธิบดีกรมชลประทาน โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเดินทางมาครั้งนี้ เพื่อตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําขื่อนแม่กวงอุดมธารา เพราะให้ความสําคัญกับโครงการนี้ และพยายามจะดําเนินการให้เสร็จตามเป้าหมาย ส่วนกรณีที่มีปัญหาเรื่องที่ดินและพื้นที่ป่านั้น ได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปดูเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) การรับฟังความเห็นคิดของประชาชน และปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็ว รวมไปถึงมอบหมายให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานการทํางานร่วมกันเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาที่ติดขัดต่าง ๆ โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อที่นายกรัฐมนตรีจะได้สั่งการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้โครงการดําเนินการเป็นไปตามแผนที่กําหนดไว้ และให้การบริหารจัดการน้ําเป็นระบบมีประสิทธิภาพทั้งการเติมน้ํา จูงน้ํา ดึงน้ํา และระบายน้ํา ซึ่งเป็นไปตามพระราชดําริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์ในพื้นที่ทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และการรองรับการขยายเมือง จากนั้น นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างอุโมงค์ผันน้ําเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ํารองรับการขยายตัวของชุมชน ภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว โดยนายกรัฐมนตรีย้ําทําให้เร็วขึ้น และบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอสําหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ ยืนยันรัฐบาลให้ความสําคัญกับโครงการขนาดใหญ่ที่คุ้มค่า โดยหากโครงการใดที่ติดขัดอุปสรรคปัญหาล่าช้าต้องแก้ไขให้ได้ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่คุ้มค่า เพื่อให้โครงการขนาดเล็กเกิดขึ้นได้ ต้องทําให้เกิดความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันทั้งระบบ ประชาชนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง สําหรับโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่กวงอุดมธาราและระบบส่งน้ํา กรมชลประทานได้ดําเนินการแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2536 ความจุอ่างเก็บน้ํา 263 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ชลประทาน 175,000 ไร่ แต่ปัจจุบันการขยายตัวของชุมชน การเติบโตด้านการท่องเที่ยว และภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่อําเภอสันกําแพง อําเภอดอยสะเก็ด อําเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และอําเภอบ้านธิ อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน เป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ําในปริมาณที่สูงกว่าปริมาณน้ําต้นทุนในอ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ทําให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ําเป็นปริมาณปีละ 137 ล้าน ลบ.ม. และในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะขาดแคลนน้ํามากถึงปีละ 173 ล้าน ลบ.ม. กรมชลประทานจึงได้ศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม และดําเนินการก่อสร้างโครงการอุโมงค์ส่งน้ํา เพื่อผันน้ําจากลําน้ําแม่แตง และจัดสรรน้ําเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ํา แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ 1) อุโมงค์ส่งน้ํา ช่วงลําน้ําแม่แตงไปยังอ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล และ 2) อุโมงค์ส่งน้ํา ช่วงอ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลไปยังอ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ระยะทางรวมประมาณ 49 กิโลเมตร ซึ่งมีความยาวที่สุดในประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของชุมชน การเติบโตของภาคการท่องเที่ยว และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งกรมชลประทาน ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลปัจจุบัน ในการดําเนินโครงการเพิ่มปริมาณน้ําเขื่อนแม่กวงอุดมธาราในปี พ.ศ. 2558 โดยอุโมงค์ส่งน้ําทั้ง 2 ช่วงจะผันน้ําที่มาจากลําน้ําแม่แตงในช่วงฤดูฝน ประมาณ 113 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี และผันน้ําส่วนเกินจากอ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลประมาณ 47 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี รวมเป็น 160 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ลงสู่อ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ซึ่งการดําเนินการขณะนี้ (เดือน มิ.ย.65) โครงการมีความก้าวหน้าร้อยละ 68.81 แล้ว ---------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกฯ ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ำและความก้าวหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขื่อนแม่กวงอุดมธารา วันพุธที่ 29 มิถุนายน 2565 นายกฯ ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ําและความก้าวหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําขื่อนแม่กวงอุดมธารา นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ตรวจติดตามการบริหารจัดการน้ําและความก้าวหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําขื่อนแม่กวงอุดมธารา ย้ําบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอสําหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า วันนี้ (29 มิ.ย.65) เวลา 09.00 น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตรวจเยี่ยมโครงการเพิ่มปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่กวงอุดมธารา จังหวัดเชียงใหม่ ณ ประตูระบายน้ําแม่ตะมาน เพื่อติดตามการบริหารจัดการน้ําและความก้าวหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําขื่อนแม่กวงอุดมธารา โดยมีนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ร่วมการตรวจเยี่ยมด้วย นายกรัฐมนตรีรับฟังรายงานความก้าวหน้าของโครงการเพิ่มปริมาณน้ําเขื่อนแม่กวงอุดมธารา และระบบควบคุมงานก่อสร้างระยะไกลจากอธิบดีกรมชลประทาน โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการเดินทางมาครั้งนี้ เพื่อตรวจติดตามความก้าวหน้าโครงการเพิ่มปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําขื่อนแม่กวงอุดมธารา เพราะให้ความสําคัญกับโครงการนี้ และพยายามจะดําเนินการให้เสร็จตามเป้าหมาย ส่วนกรณีที่มีปัญหาเรื่องที่ดินและพื้นที่ป่านั้น ได้มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปดูเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) การรับฟังความเห็นคิดของประชาชน และปัญหาที่เกิดขึ้นให้ได้โดยเร็ว รวมไปถึงมอบหมายให้ สทนช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประสานการทํางานร่วมกันเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาที่ติดขัดต่าง ๆ โดยเฉพาะในโครงการขนาดใหญ่ เพื่อที่นายกรัฐมนตรีจะได้สั่งการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้โครงการดําเนินการเป็นไปตามแผนที่กําหนดไว้ และให้การบริหารจัดการน้ําเป็นระบบมีประสิทธิภาพทั้งการเติมน้ํา จูงน้ํา ดึงน้ํา และระบายน้ํา ซึ่งเป็นไปตามพระราชดําริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เพื่อให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้รับประโยชน์ในพื้นที่ทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และการรองรับการขยายเมือง จากนั้น นายกรัฐมนตรีตรวจเยี่ยมโครงการก่อสร้างอุโมงค์ผันน้ําเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ํารองรับการขยายตัวของชุมชน ภาคอุตสาหกรรม และการท่องเที่ยว โดยนายกรัฐมนตรีย้ําทําให้เร็วขึ้น และบริหารจัดการน้ําให้เพียงพอสําหรับการอุปโภคบริโภคของประชาชนในพื้นที่ ยืนยันรัฐบาลให้ความสําคัญกับโครงการขนาดใหญ่ที่คุ้มค่า โดยหากโครงการใดที่ติดขัดอุปสรรคปัญหาล่าช้าต้องแก้ไขให้ได้ โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่คุ้มค่า เพื่อให้โครงการขนาดเล็กเกิดขึ้นได้ ต้องทําให้เกิดความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันทั้งระบบ ประชาชนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง สําหรับโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่กวงอุดมธาราและระบบส่งน้ํา กรมชลประทานได้ดําเนินการแล้วเสร็จ ในปี พ.ศ. 2536 ความจุอ่างเก็บน้ํา 263 ล้านลูกบาศก์เมตร มีพื้นที่ชลประทาน 175,000 ไร่ แต่ปัจจุบันการขยายตัวของชุมชน การเติบโตด้านการท่องเที่ยว และภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่อําเภอสันกําแพง อําเภอดอยสะเก็ด อําเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และอําเภอบ้านธิ อําเภอเมืองลําพูน จังหวัดลําพูน เป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีความต้องการใช้น้ําในปริมาณที่สูงกว่าปริมาณน้ําต้นทุนในอ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ทําให้เกิดปัญหาการขาดแคลนน้ําเป็นปริมาณปีละ 137 ล้าน ลบ.ม. และในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะขาดแคลนน้ํามากถึงปีละ 173 ล้าน ลบ.ม. กรมชลประทานจึงได้ศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อม และดําเนินการก่อสร้างโครงการอุโมงค์ส่งน้ํา เพื่อผันน้ําจากลําน้ําแม่แตง และจัดสรรน้ําเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ํา แบ่งเป็น 2 ช่วง คือ 1) อุโมงค์ส่งน้ํา ช่วงลําน้ําแม่แตงไปยังอ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล และ 2) อุโมงค์ส่งน้ํา ช่วงอ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลไปยังอ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ระยะทางรวมประมาณ 49 กิโลเมตร ซึ่งมีความยาวที่สุดในประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ําที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการขยายตัวของชุมชน การเติบโตของภาคการท่องเที่ยว และภาคอุตสาหกรรม ซึ่งกรมชลประทาน ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลปัจจุบัน ในการดําเนินโครงการเพิ่มปริมาณน้ําเขื่อนแม่กวงอุดมธาราในปี พ.ศ. 2558 โดยอุโมงค์ส่งน้ําทั้ง 2 ช่วงจะผันน้ําที่มาจากลําน้ําแม่แตงในช่วงฤดูฝน ประมาณ 113 ล้าน ลบ.ม. ต่อปี และผันน้ําส่วนเกินจากอ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชลประมาณ 47 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี รวมเป็น 160 ล้าน ลบ.ม.ต่อปี ลงสู่อ่างเก็บน้ําเขื่อนแม่กวงอุดมธารา ซึ่งการดําเนินการขณะนี้ (เดือน มิ.ย.65) โครงการมีความก้าวหน้าร้อยละ 68.81 แล้ว ---------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56292
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม ประจำปี 2564 เนื่องในวันออมแห่งชาติ
วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2564 กอช. จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม ประจําปี 2564 เนื่องในวันออมแห่งชาติ กอช. จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม ประจําปี 2564 เนื่องในวันออมแห่งชาติ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานมอบรางวัลเพื่อขอบคุณเครือข่ายความร่วมมือส่งเสริมการออม พร้อมเดินหน้าส่งเสริมให้ประชาชนแรงงานนอกระบบเข้าถึงการออมได้ครอบคลุม กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม ประจําปี 2564 เนื่องในวันออมแห่งชาติ โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัลเพื่อขอบคุณเครือข่ายความร่วมมือส่งเสริมการออม พร้อมเดินหน้าส่งเสริมให้ประชาชนแรงงานนอกระบบเข้าถึงการออมได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ มุ่งเสริมสร้างความรู้ทางการเงินให้สมาชิก โดยการบูรณาการทํางานร่วมกับภาคีเครือข่ายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ด้วยแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561– 2580) ในยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบการออมที่เข้มแข็ง โดยเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวของประชาชน เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในการดํารงชีวิตยามชราภาพให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะประชากรภาคแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นแรงงานนอกระบบ จึงทําให้บุคคลเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในความยากจนในวัยสูงอายุอันเนื่องมาจากไม่มีช่องทางหรือโอกาสเข้าถึงระบบการออมเงินในขณะที่อยู่ในวัยทํางาน เพื่อสร้างความมั่นคงในบั้นปลายของชีวิต ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างวินัยในการออมของประชาชนคนไทยในวัยทํางาน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จึงเป็นช่องทางการออมขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้ที่ยังไม่ได้รับความคุ้มครองเพื่อการชราภาพให้ได้รับผลประโยชน์ในรูปบํานาญ อันเป็นการสร้างความเท่าเทียมและความเป็นธรรมในการดูแลจากภาครัฐ รัฐบาลได้กําหนดให้การออมเป็นวาระแห่งชาติ ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวในหลายโอกาสว่า อยากให้คนไทยทุกช่วงวัย เห็นคุณค่าของการออม ซึ่งถือเป็นการวางแผนชีวิตในระยะยาวสําหรับทุกคน เพื่อสร้างหลักประกันด้านรายได้ มีเงินพอใช้ในการดําเนินชีวิตในช่วงสูงอายุ และยามจําเป็น แม้เวลานี้เราจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รายได้ลดลง ก็ขอให้คํานึงถึงการออมเพื่อบั้นปลายชีวิตด้วย กอช. เป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยสร้างวินัยการเงินกับเยาวชนและประชาชนทั่วไปที่ให้ผลตอบแทนที่ดีมาก และเป็นหน่วยงานที่มีความมั่นคงทางการเงิน ภาครัฐมีนโยบายเตรียมความพร้อมให้กับประชาชน โดย ครม. มีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณา เรื่อง ความรอบรู้ทางการเงินของประชาชนไทย (Financial Literacy) ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยในหลักการของรายงานการพิจารณาศึกษาดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการกําหนดให้ความรอบรู้ทางการเงินของประชาชนเป็นวาระแห่งชาติ และการจัดทําแผนแม่บทส่งเสริมความรอบรู้ทางการเงินของประเทศไทย และนําข้อเสนอแนะตามรายงานดังกล่าวมาใช้ในการร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การสร้างความตระหนักรู้และเพิ่มทักษะทางการเงินให้กับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินของผู้ให้การพัฒนาความรู้และทักษะทางการเงิน เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินที่ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการดําเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินให้กับประชาชน ในปี 2564 กอช. ได้มุ่งพัฒนาความยั่งยืนผ่านการสร้างวินัยการออมให้ประชาชน อันเป็นปัจจัยของความสําเร็จ และเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ และสร้างหลักประกันเงินออมไว้ใช้ในยามชราภาพ ควบคู่กับการพัฒนาทักษะความรอบรู้ทางการเงินให้กับประชาชน สมาชิก และตัวแทน กอช. ผ่านโครงการการขับเคลื่อนและส่งเสริมวินัยการออม โดยผนึกกําลังกับหน่วยงานเครือข่ายความร่วมมือทั่วประเทศในการประชาสัมพันธ์ ให้ข้อมูล ความรู้ และรับสมัครสมาชิก ทั้งในเขตชุมชนเมือง และชุมชนส่วนภูมิภาค ผ่านช่องทาง และเครื่องมือสร้างการเรียนรู้ต่างๆ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนไทยที่มีอายุระหว่าง 15 – 60 ปี เป็นที่เป็นแรงงานนอกระบบ และยังไม่มีสวัสดิการอื่นใดรองรับ สามารถมีบํานาญใช้ในยามเกษียณเหมือนข้าราชการ และแรงงานในระบบ จากเงินออมสะสมของตนเองส่วนหนึ่ง เงินที่รัฐสมทบเพิ่มให้ตามช่วงอายุอีกส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ การออมเงินกับ กอช. มีความคุ้มครองผลตอบแทนการลงทุนไม่ต่ํากว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจํา และเงินออมสะสมสามารถนําไปลดหย่อนภาษีเต็มจํานวน เนื่องในวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี ถือเป็น “วันออมแห่งชาติ” ซึ่งการสร้างเสริมวินัยการออมให้กับประชาชน ถือเป็นหนึ่งในเรื่องหลักที่รัฐบาลให้ความสําคัญ เพื่อผลักดันให้ กอช. เป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากภารกิจหลักของ กอช. คือการส่งเสริม และสร้างวินัยการออมให้กับประชาชนทุกคนที่ประกอบอาชีพอิสระ เข้าสู่การออมเงินเพื่อการชราภาพอย่างเป็นระบบกับ กอช. พร้อมได้รับสิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิก กอช. เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ ในปีนี้ กอช. ได้จัดให้มีการมอบรางวัลเกียรติยศแก่หน่วยงานความร่วมมือสนับสนุนส่งเสริมการออม และรางวัลผลงานส่งเสริมการออมยอดเยี่ยมแก่องค์กร หน่วยงาน และระดับจังหวัดที่ดําเนินการประชาสัมพันธ์ พร้อมขับเคลื่อนการเพิ่มจํานวนสมาชิก กอช. ดีเด่น ในช่วงเดือนมกราคม – กันยายน 2564 เป็นต้นมา และเพื่อเป็นเกียรติแก่หน่วยงานความร่วมมือที่มีการส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. ยอดเยี่ยม ที่ได้ร่วมกันส่งเสริม และสนับสนุนให้ประชาชนมีวินัยในการออมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณกับ กอช. นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวว่า กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. มีจุดมุ่งหมายสําคัญในการส่งเสริมการออมเพื่อการดํารงชีพในยามชราของประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ซึ่งสอดรับตามยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม กอช. จึงได้ดําเนินกิจกรรมสร้างเสริมวินัยการออมและแนะนาการวางแผนทางการเงินขั้นพื้นฐานให้กับประชาชน เพื่อลดช่องว่าง ความเหลื่อมล้ํา และเสริมสร้างโอกาสในการเข้าถึงระบบการออม โดย กอช. อาศัยการสร้างภาคีเครือข่ายที่หลากหลายเป็นช่องทางในการขยายจํานวนสมาชิกให้เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบัน กอช. มีจํานวนสมาชิกกว่า 2,450,000 คน (ยอดสมาชิก ณ วันที่ 30 กันยายน 2564) โดยสมาชิกส่วนใหญ่เกือบครึ่งเป็นเกษตรกร และอีกเกือบครึ่งประกอบอาชีพค้าขาย รับจ้างทั่วไป ประกอบอาชีพอิสระ โดยมีอีกส่วนหนึ่งเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา และอีกส่วนหนึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน กอช.มุ่งมั่นที่จะขยายจํานวนสมาชิกอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมา กอช.ได้บูรณาการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และเครื่องมือ E-Learning ที่ทันสมัยก้าวทันวิถีชีวิตแนวใหม่ (New normal) โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการออมตั้งแต่วัยนักเรียน เนื่องในโอกาสวันออมแห่งชาติ กอช. จึงได้จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมกับ กอช. ยอดเยี่ยม ประจําปี 2564 เพื่อเป็นขวัญกําลังใจ แสดงความชื่นชม และขอบคุณหน่วยงาน จังหวัด และบุคคลเครือข่ายที่ได้ร่วมแรงร่วมใจให้ความร่วมมือสนับสนุนและส่งเสริมการออมโดยเป็นที่ประจักษ์ จํานวน 33 รางวัล โดยแบ่งเป็น 1. ประเภทรางวัลเกียรติยศ 14 รางวัล ได้แก่ 1.1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 1.2 กองทัพเรือ 1.3 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 1.4 สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 1.5 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย 1.6 กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 1.7 กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 1.8 บริษัท ไทยประกันภัย จํากัด (มหาชน) 1.9 บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด 1.10 บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จํากัด (มหาชน) 1.11 บริษัท เนอวานา ไดอิ จํากัด (มหาชน) 1.12 บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จํากัด 1.13 บริษัท อินฟราเซท จํากัด (มหาชน) 1.14 บริษัท พันธ์ทวี คอร์ปอเรชั่น จํากัด 2. ประเภทรางวัลระดับจังหวัด 12 รางวัล รายละเอียดดังนี้ 2.1 รางวัลยอดสมาชิกสูงสุดระดับจังหวัดประจําปี 2564 ตามภูมิภาค จํานวน 6 รางวัล 2.1.1 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคเหนือ) ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 2.1.2 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคกลาง) ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ 2.1.3 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคใต้) ได้แก่ จังหวัดพัทลุง 2.1.4 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี 2.1.5 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคตะวันตก) ได้แก่ จังหวัดตาก 2.1.6 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคตะวันออก) ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา 2.2 รางวัลจังหวัดที่มีผลการดําเนินงานการส่งเสริมวินัยการออมดีเด่นที่มีสมาชิกเพิ่มขึ้น จากเป้าหมายสูงสุด ประจําปี 2564 ตามภูมิภาค จํานวน 6 รางวัล 2.2.1 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคเหนือ) ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 2.2.2 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคกลาง) ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี 2.2.3 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคใต้) ได้แก่ จังหวัดระนอง 2.2.4 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี 2.2.5 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคตะวันตก) ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2.2.6 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคตะวันออก) ได้แก่ จังหวัดตราด 3. รางวัลระดับเครือข่ายผลการดําเนินงานประจําปี 2564 ให้แก่บุคคลหรือเครือข่ายความร่วมมือที่ให้การร่วมมือสนับสนุนส่งเสริมการเพิ่มจํานวนสมาชิก จํานวน 7 รางวัล รายละเอียดดังนี้ 3.1 รางวัลมอบให้กับหน่วยบริการสมาชิก จํานวน 4 รางวัล 3.1.1 รางวัลคลังจังหวัดที่ส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ สํานักงานคลังจังหวัดตราด 3.1.2 รางวัลเสมียนตราอําเภอส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ เสมียนตราอําเภอโกสุมพิสัย อําเภอโกสุมพิสัย จ. มหาสารคาม 3.1.3 รางวัลสหกรณ์ส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรเต่างอย จํากัด จังหวัดสกลนคร 3.1.4 รางวัลสถาบันการเงินชุมชนส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ สถาบันการเงินชุมชนต้นแบบองทุนชุมชนบ้านถนนหัก จ. บุรีรัมย์ 3.2 รางวัลมอบให้กับบุคคลที่เป็นเครือข่ายส่งเสริมการออม จํานวน 3 รางวัล 3.2.1 รางวัลตัวแทน กอช. ประจําหมู่บ้านที่ส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ นางเอื้องไพร หน่อแก้ว ตัวแทน กอช ประจําหมู่บ้าน ต.ยางคราม อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ 3.2.2 รางวัลกํานันส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ นางมลฤชา พุ่มโพธิ์ กํานัน ตําบลสําโรงเหนืออําเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ 3.2.3 รางวัลผู้ใหญ่บ้านส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ นางณัฐนันท์ เฉียบแหลมกุลวัต ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 ตําบลกระทุ่มราย อําเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่าเพิ่มเติมว่า ในปี 2564 นี้ กอช. ได้ปรับดําเนินงานให้เข้ากับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในรูปแบบวิถีใหม่ (New Normal) เน้นการส่งเสริมการให้ความรู้ การวางแผนทางการเงินในรูปแบบออนไลน์ หรือ ระบบการประชุมทางไกล (VDO Conference) ให้กับสมาชิก กลุ่มภาคีเครือข่าย ตัวแทน กอช. ประจําหมู่บ้าน ด้วยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) คลี่คลายกลับมาสู่สภาวะปกติ กอช. ได้เตรียม การวางแผนงานลงพื้นสร้างการตระหนักรู้การวางแผนทางการเงินให้ประชาชน และสมาชิกเพิ่มมากขึ้น พร้อมพบปะสมาชิกตามเป้าหมายวัตถุประสงค์ของการดําเนินงานของ กอช. ในพื้นที่จังหวัด การออมเงินกับ กอช. เปิดให้สมาชิกออมเงินได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี ถึง อายุ 60 ปี โดยสามารถส่งเงินออมสะสมตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี รัฐจะจ่ายเงินสมทบให้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปตามช่วงอายุของสมาชิก พร้อมรับสิทธิประโยชน์ 3 ต่อในการเป็นสมาชิก ดังนี้ ต่อที่ 1 รับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ ตามช่วงอายุของสมาชิก • ช่วงอายุ 15 - 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาท • ช่วงอายุ >30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้งโดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาท • ช่วงอายุ >50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาท ต่อที่ 2 รัฐบาลคุ้มครองผลตอบแทนเงินออมสะสม เมื่อสมาชิกออมครบอายุ 60 ปี ต่อที่ 3 ลดหย่อนภาษีได้เต็มจํานวนเงินออมสะสม ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครสมาชิกและส่งเงินออมสะสม กอช. ได้ใกล้บ้าน โดยใช้บัตรประจําตัวประชาชนใบเดียว ในการตรวจสอบสิทธิก่อนการสมัครได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช” หรือที่เว็บไซต์ กอช. (www.nsf.or.th) หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ทุกสาขา ที่ว่าการอําเภอทั่วประเทศ สํานักงานคลังจังหวัด ตัวแทน กอช. ประจําหมู่บ้าน สถาบันการเงินชุมชน 127 แห่ง ไปรษณีย์ไทย เคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ตู้บุญเติม แกร็บ และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม ประจำปี 2564 เนื่องในวันออมแห่งชาติ วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม 2564 กอช. จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม ประจําปี 2564 เนื่องในวันออมแห่งชาติ กอช. จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม ประจําปี 2564 เนื่องในวันออมแห่งชาติ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานมอบรางวัลเพื่อขอบคุณเครือข่ายความร่วมมือส่งเสริมการออม พร้อมเดินหน้าส่งเสริมให้ประชาชนแรงงานนอกระบบเข้าถึงการออมได้ครอบคลุม กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม ประจําปี 2564 เนื่องในวันออมแห่งชาติ โดยมีนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัลเพื่อขอบคุณเครือข่ายความร่วมมือส่งเสริมการออม พร้อมเดินหน้าส่งเสริมให้ประชาชนแรงงานนอกระบบเข้าถึงการออมได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ มุ่งเสริมสร้างความรู้ทางการเงินให้สมาชิก โดยการบูรณาการทํางานร่วมกับภาคีเครือข่ายผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ให้เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบัน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ด้วยแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561– 2580) ในยุทธศาสตร์ที่ 4 ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เพื่อให้ประเทศไทยมีระบบการออมที่เข้มแข็ง โดยเตรียมความพร้อมในทุกมิติ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ และสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะการส่งเสริมการออมและการลงทุนระยะยาวของประชาชน เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงในการดํารงชีวิตยามชราภาพให้ครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม โดยเฉพาะประชากรภาคแรงงานส่วนใหญ่ของประเทศที่เป็นแรงงานนอกระบบ จึงทําให้บุคคลเหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะตกอยู่ในความยากจนในวัยสูงอายุอันเนื่องมาจากไม่มีช่องทางหรือโอกาสเข้าถึงระบบการออมเงินในขณะที่อยู่ในวัยทํางาน เพื่อสร้างความมั่นคงในบั้นปลายของชีวิต ตลอดจนเพื่อเป็นการสร้างวินัยในการออมของประชาชนคนไทยในวัยทํางาน กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) จึงเป็นช่องทางการออมขั้นพื้นฐานให้แก่ผู้ที่ยังไม่ได้รับความคุ้มครองเพื่อการชราภาพให้ได้รับผลประโยชน์ในรูปบํานาญ อันเป็นการสร้างความเท่าเทียมและความเป็นธรรมในการดูแลจากภาครัฐ รัฐบาลได้กําหนดให้การออมเป็นวาระแห่งชาติ ท่านนายกรัฐมนตรีกล่าวในหลายโอกาสว่า อยากให้คนไทยทุกช่วงวัย เห็นคุณค่าของการออม ซึ่งถือเป็นการวางแผนชีวิตในระยะยาวสําหรับทุกคน เพื่อสร้างหลักประกันด้านรายได้ มีเงินพอใช้ในการดําเนินชีวิตในช่วงสูงอายุ และยามจําเป็น แม้เวลานี้เราจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 รายได้ลดลง ก็ขอให้คํานึงถึงการออมเพื่อบั้นปลายชีวิตด้วย กอช. เป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยสร้างวินัยการเงินกับเยาวชนและประชาชนทั่วไปที่ให้ผลตอบแทนที่ดีมาก และเป็นหน่วยงานที่มีความมั่นคงทางการเงิน ภาครัฐมีนโยบายเตรียมความพร้อมให้กับประชาชน โดย ครม. มีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณา เรื่อง ความรอบรู้ทางการเงินของประชาชนไทย (Financial Literacy) ตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการเศรษฐกิจ การเงิน และการคลัง วุฒิสภา ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยในหลักการของรายงานการพิจารณาศึกษาดังกล่าว ซึ่งรวมถึงการกําหนดให้ความรอบรู้ทางการเงินของประชาชนเป็นวาระแห่งชาติ และการจัดทําแผนแม่บทส่งเสริมความรอบรู้ทางการเงินของประเทศไทย และนําข้อเสนอแนะตามรายงานดังกล่าวมาใช้ในการร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาทักษะทางการเงิน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การสร้างความตระหนักรู้และเพิ่มทักษะทางการเงินให้กับประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย ไปจนถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการดําเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินของผู้ให้การพัฒนาความรู้และทักษะทางการเงิน เพื่อสร้างระบบนิเวศน์ด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินที่ทุกภาคส่วนสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการดําเนินการพัฒนาทักษะทางการเงินให้กับประชาชน ในปี 2564 กอช. ได้มุ่งพัฒนาความยั่งยืนผ่านการสร้างวินัยการออมให้ประชาชน อันเป็นปัจจัยของความสําเร็จ และเป็นรากฐานของการพัฒนาประเทศ และสร้างหลักประกันเงินออมไว้ใช้ในยามชราภาพ ควบคู่กับการพัฒนาทักษะความรอบรู้ทางการเงินให้กับประชาชน สมาชิก และตัวแทน กอช. ผ่านโครงการการขับเคลื่อนและส่งเสริมวินัยการออม โดยผนึกกําลังกับหน่วยงานเครือข่ายความร่วมมือทั่วประเทศในการประชาสัมพันธ์ ให้ข้อมูล ความรู้ และรับสมัครสมาชิก ทั้งในเขตชุมชนเมือง และชุมชนส่วนภูมิภาค ผ่านช่องทาง และเครื่องมือสร้างการเรียนรู้ต่างๆ โดยมีเป้าหมายให้ประชาชนไทยที่มีอายุระหว่าง 15 – 60 ปี เป็นที่เป็นแรงงานนอกระบบ และยังไม่มีสวัสดิการอื่นใดรองรับ สามารถมีบํานาญใช้ในยามเกษียณเหมือนข้าราชการ และแรงงานในระบบ จากเงินออมสะสมของตนเองส่วนหนึ่ง เงินที่รัฐสมทบเพิ่มให้ตามช่วงอายุอีกส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ การออมเงินกับ กอช. มีความคุ้มครองผลตอบแทนการลงทุนไม่ต่ํากว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจํา และเงินออมสะสมสามารถนําไปลดหย่อนภาษีเต็มจํานวน เนื่องในวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี ถือเป็น “วันออมแห่งชาติ” ซึ่งการสร้างเสริมวินัยการออมให้กับประชาชน ถือเป็นหนึ่งในเรื่องหลักที่รัฐบาลให้ความสําคัญ เพื่อผลักดันให้ กอช. เป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากภารกิจหลักของ กอช. คือการส่งเสริม และสร้างวินัยการออมให้กับประชาชนทุกคนที่ประกอบอาชีพอิสระ เข้าสู่การออมเงินเพื่อการชราภาพอย่างเป็นระบบกับ กอช. พร้อมได้รับสิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิก กอช. เพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และก้าวสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างมีคุณภาพ ในปีนี้ กอช. ได้จัดให้มีการมอบรางวัลเกียรติยศแก่หน่วยงานความร่วมมือสนับสนุนส่งเสริมการออม และรางวัลผลงานส่งเสริมการออมยอดเยี่ยมแก่องค์กร หน่วยงาน และระดับจังหวัดที่ดําเนินการประชาสัมพันธ์ พร้อมขับเคลื่อนการเพิ่มจํานวนสมาชิก กอช. ดีเด่น ในช่วงเดือนมกราคม – กันยายน 2564 เป็นต้นมา และเพื่อเป็นเกียรติแก่หน่วยงานความร่วมมือที่มีการส่งเสริมวินัยการออมกับ กอช. ยอดเยี่ยม ที่ได้ร่วมกันส่งเสริม และสนับสนุนให้ประชาชนมีวินัยในการออมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณกับ กอช. นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ กล่าวว่า กองทุนการออมแห่งชาติ หรือ กอช. มีจุดมุ่งหมายสําคัญในการส่งเสริมการออมเพื่อการดํารงชีพในยามชราของประชาชนให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม ซึ่งสอดรับตามยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม กอช. จึงได้ดําเนินกิจกรรมสร้างเสริมวินัยการออมและแนะนาการวางแผนทางการเงินขั้นพื้นฐานให้กับประชาชน เพื่อลดช่องว่าง ความเหลื่อมล้ํา และเสริมสร้างโอกาสในการเข้าถึงระบบการออม โดย กอช. อาศัยการสร้างภาคีเครือข่ายที่หลากหลายเป็นช่องทางในการขยายจํานวนสมาชิกให้เพิ่มมากขึ้น ปัจจุบัน กอช. มีจํานวนสมาชิกกว่า 2,450,000 คน (ยอดสมาชิก ณ วันที่ 30 กันยายน 2564) โดยสมาชิกส่วนใหญ่เกือบครึ่งเป็นเกษตรกร และอีกเกือบครึ่งประกอบอาชีพค้าขาย รับจ้างทั่วไป ประกอบอาชีพอิสระ โดยมีอีกส่วนหนึ่งเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา และอีกส่วนหนึ่งเป็นลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ บริษัทเอกชน กอช.มุ่งมั่นที่จะขยายจํานวนสมาชิกอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในช่วงที่ผ่านมา กอช.ได้บูรณาการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) สํานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อพัฒนาองค์ความรู้และเครื่องมือ E-Learning ที่ทันสมัยก้าวทันวิถีชีวิตแนวใหม่ (New normal) โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการออมตั้งแต่วัยนักเรียน เนื่องในโอกาสวันออมแห่งชาติ กอช. จึงได้จัดงานมอบรางวัลส่งเสริมการออมกับ กอช. ยอดเยี่ยม ประจําปี 2564 เพื่อเป็นขวัญกําลังใจ แสดงความชื่นชม และขอบคุณหน่วยงาน จังหวัด และบุคคลเครือข่ายที่ได้ร่วมแรงร่วมใจให้ความร่วมมือสนับสนุนและส่งเสริมการออมโดยเป็นที่ประจักษ์ จํานวน 33 รางวัล โดยแบ่งเป็น 1. ประเภทรางวัลเกียรติยศ 14 รางวัล ได้แก่ 1.1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 1.2 กองทัพเรือ 1.3 สํานักงานคณะกรรมการกํากับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 1.4 สํานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 1.5 องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย 1.6 กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ 1.7 กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 1.8 บริษัท ไทยประกันภัย จํากัด (มหาชน) 1.9 บริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด 1.10 บริษัท ทรีนีตี้ วัฒนา จํากัด (มหาชน) 1.11 บริษัท เนอวานา ไดอิ จํากัด (มหาชน) 1.12 บริษัท แกร็บแท็กซี่ (ประเทศไทย) จํากัด 1.13 บริษัท อินฟราเซท จํากัด (มหาชน) 1.14 บริษัท พันธ์ทวี คอร์ปอเรชั่น จํากัด 2. ประเภทรางวัลระดับจังหวัด 12 รางวัล รายละเอียดดังนี้ 2.1 รางวัลยอดสมาชิกสูงสุดระดับจังหวัดประจําปี 2564 ตามภูมิภาค จํานวน 6 รางวัล 2.1.1 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคเหนือ) ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 2.1.2 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคกลาง) ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ 2.1.3 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคใต้) ได้แก่ จังหวัดพัทลุง 2.1.4 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี 2.1.5 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคตะวันตก) ได้แก่ จังหวัดตาก 2.1.6 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคตะวันออก) ได้แก่ จังหวัดฉะเชิงเทรา 2.2 รางวัลจังหวัดที่มีผลการดําเนินงานการส่งเสริมวินัยการออมดีเด่นที่มีสมาชิกเพิ่มขึ้น จากเป้าหมายสูงสุด ประจําปี 2564 ตามภูมิภาค จํานวน 6 รางวัล 2.2.1 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคเหนือ) ได้แก่ จังหวัดเชียงราย 2.2.2 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคกลาง) ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี 2.2.3 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคใต้) ได้แก่ จังหวัดระนอง 2.2.4 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) ได้แก่ จังหวัดอุบลราชธานี 2.2.5 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคตะวันตก) ได้แก่ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 2.2.6 จังหวัดส่งเสริมการออมยอดเยี่ยม (ภาคตะวันออก) ได้แก่ จังหวัดตราด 3. รางวัลระดับเครือข่ายผลการดําเนินงานประจําปี 2564 ให้แก่บุคคลหรือเครือข่ายความร่วมมือที่ให้การร่วมมือสนับสนุนส่งเสริมการเพิ่มจํานวนสมาชิก จํานวน 7 รางวัล รายละเอียดดังนี้ 3.1 รางวัลมอบให้กับหน่วยบริการสมาชิก จํานวน 4 รางวัล 3.1.1 รางวัลคลังจังหวัดที่ส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ สํานักงานคลังจังหวัดตราด 3.1.2 รางวัลเสมียนตราอําเภอส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ เสมียนตราอําเภอโกสุมพิสัย อําเภอโกสุมพิสัย จ. มหาสารคาม 3.1.3 รางวัลสหกรณ์ส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรเต่างอย จํากัด จังหวัดสกลนคร 3.1.4 รางวัลสถาบันการเงินชุมชนส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ สถาบันการเงินชุมชนต้นแบบองทุนชุมชนบ้านถนนหัก จ. บุรีรัมย์ 3.2 รางวัลมอบให้กับบุคคลที่เป็นเครือข่ายส่งเสริมการออม จํานวน 3 รางวัล 3.2.1 รางวัลตัวแทน กอช. ประจําหมู่บ้านที่ส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ นางเอื้องไพร หน่อแก้ว ตัวแทน กอช ประจําหมู่บ้าน ต.ยางคราม อ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ 3.2.2 รางวัลกํานันส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ นางมลฤชา พุ่มโพธิ์ กํานัน ตําบลสําโรงเหนืออําเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ 3.2.3 รางวัลผู้ใหญ่บ้านส่งเสริมการออมดีเด่น ได้แก่ นางณัฐนันท์ เฉียบแหลมกุลวัต ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 ตําบลกระทุ่มราย อําเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กล่าวว่าเพิ่มเติมว่า ในปี 2564 นี้ กอช. ได้ปรับดําเนินงานให้เข้ากับสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ในรูปแบบวิถีใหม่ (New Normal) เน้นการส่งเสริมการให้ความรู้ การวางแผนทางการเงินในรูปแบบออนไลน์ หรือ ระบบการประชุมทางไกล (VDO Conference) ให้กับสมาชิก กลุ่มภาคีเครือข่าย ตัวแทน กอช. ประจําหมู่บ้าน ด้วยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) คลี่คลายกลับมาสู่สภาวะปกติ กอช. ได้เตรียม การวางแผนงานลงพื้นสร้างการตระหนักรู้การวางแผนทางการเงินให้ประชาชน และสมาชิกเพิ่มมากขึ้น พร้อมพบปะสมาชิกตามเป้าหมายวัตถุประสงค์ของการดําเนินงานของ กอช. ในพื้นที่จังหวัด การออมเงินกับ กอช. เปิดให้สมาชิกออมเงินได้ตั้งแต่อายุ 15 ปี ถึง อายุ 60 ปี โดยสามารถส่งเงินออมสะสมตั้งแต่ 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี รัฐจะจ่ายเงินสมทบให้ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไปตามช่วงอายุของสมาชิก พร้อมรับสิทธิประโยชน์ 3 ต่อในการเป็นสมาชิก ดังนี้ ต่อที่ 1 รับเงินสมทบเพิ่มจากรัฐ ตามช่วงอายุของสมาชิก • ช่วงอายุ 15 - 30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 600 บาท • ช่วงอายุ >30 – 50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมแต่ละครั้งโดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 960 บาท • ช่วงอายุ >50 – 60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมแต่ละครั้ง โดยรวมกันทั้งปีไม่เกิน 1,200 บาท ต่อที่ 2 รัฐบาลคุ้มครองผลตอบแทนเงินออมสะสม เมื่อสมาชิกออมครบอายุ 60 ปี ต่อที่ 3 ลดหย่อนภาษีได้เต็มจํานวนเงินออมสะสม ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครสมาชิกและส่งเงินออมสะสม กอช. ได้ใกล้บ้าน โดยใช้บัตรประจําตัวประชาชนใบเดียว ในการตรวจสอบสิทธิก่อนการสมัครได้ที่แอปพลิเคชัน “กอช” หรือที่เว็บไซต์ กอช. (www.nsf.or.th) หรือธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ทุกสาขา ที่ว่าการอําเภอทั่วประเทศ สํานักงานคลังจังหวัด ตัวแทน กอช. ประจําหมู่บ้าน สถาบันการเงินชุมชน 127 แห่ง ไปรษณีย์ไทย เคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ตู้บุญเติม แกร็บ และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47592
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ สำหรับ ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ จำนวน 350 แปลง เนื้อที่ 770 ไร่ รวม 34.67 ล้านบาท
วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ครม.อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ สําหรับ ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ จํานวน 350 แปลง เนื้อที่ 770 ไร่ รวม 34.67 ล้านบาท ครม.อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ สําหรับ ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ จํานวน 350 แปลง เนื้อที่ 770 ไร่ รวม 34.67 ล้านบาท พร้อมเร่งรัดดําเนินการสําหรับประชาชนที่ยังได้รับผลกระทบให้แล้วเสร็จ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทน ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ จํานวน 350 แปลง เนื้อที่ 770 ไร่ 1งาน 59 ตารางวา ในอัตราไร่ละ 45,000 บาท รวมเป็นเงิน 34.67 ล้านบาท ให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ผ่านการตรวจสอบและเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ และคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ เฉพาะกลุ่มโนนสัง กลุ่มราศีไศล และกลุ่มกํานันผู้ใหญ่บ้าน ในส่วนของงบประมาณที่จะนํามาจ่ายทดแทนนั้น กรมชลประทานจะปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจําปีงบประมาณ 2565 มาดําเนินการ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ครม.ยังได้อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกํากับดูแลการจ่ายเงินค่าทดแทน จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อทําหน้าที่กํากับดูแลการจ่ายเงินและจํานวนเงินค่าทดแทนให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบร่องรอยการทําประโยชน์ที่ดินที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา อําเภอเมืองศรีสะเกษ อําเภอกันทรารมย์ และอําเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธาน โดยคณะกรรมการชุดนี้ มีอํานาจหน้าที่พิจารณาตรวจสอบบุคคลผู้มีสิทธิ จํานวน 350 ราย และควบคุมการโอนจ่ายเงินค่าทดแทนให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ จํานวนเนื้อที่ และจํานวนเงินค่าทดแทนตามที่ครม.อนุมัติ โดยเห็นสมควรจ่ายด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลที่ผ่านการตรวจสอบ หรือทายาท โดยให้ถือความเห็นของคณะกรรมการชุดนี้เป็นหลักฐานประกอบการจ่ายเงินค่าชดเชย น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา ได้รายงานให้ ครม. ทราบว่าขณะนี้ยังมีที่ดินของราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนาที่ยังอยู่ระหว่างการรังวัดและการพิจารณาของอนุกรรมการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 983 แปลง ซึ่ง ครม. ก็ได้ให้เร่งรัดสํารวจพื้นที่และราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฯ ทั้งหมด เพื่อให้สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรได้ถูกต้องครบถ้วนโดยเร็วต่อไป และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งจัดทําเกณฑ์ในการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการชลประทานของรัฐในกรณีต่างๆ ให้เสร็จโดยเร็วต่อไป --------------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ สำหรับ ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ จำนวน 350 แปลง เนื้อที่ 770 ไร่ รวม 34.67 ล้านบาท วันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ครม.อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ สําหรับ ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ จํานวน 350 แปลง เนื้อที่ 770 ไร่ รวม 34.67 ล้านบาท ครม.อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ สําหรับ ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ จํานวน 350 แปลง เนื้อที่ 770 ไร่ รวม 34.67 ล้านบาท พร้อมเร่งรัดดําเนินการสําหรับประชาชนที่ยังได้รับผลกระทบให้แล้วเสร็จ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติจ่ายเงินค่าทดแทน ที่ดินไม่มีเอกสารสิทธิ จํานวน 350 แปลง เนื้อที่ 770 ไร่ 1งาน 59 ตารางวา ในอัตราไร่ละ 45,000 บาท รวมเป็นเงิน 34.67 ล้านบาท ให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ โดยได้ผ่านการตรวจสอบและเห็นชอบจากคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ และคณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา จังหวัดศรีสะเกษ เฉพาะกลุ่มโนนสัง กลุ่มราศีไศล และกลุ่มกํานันผู้ใหญ่บ้าน ในส่วนของงบประมาณที่จะนํามาจ่ายทดแทนนั้น กรมชลประทานจะปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจําปีงบประมาณ 2565 มาดําเนินการ น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ครม.ยังได้อนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและกํากับดูแลการจ่ายเงินค่าทดแทน จังหวัดศรีสะเกษ เพื่อทําหน้าที่กํากับดูแลการจ่ายเงินและจํานวนเงินค่าทดแทนให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายละเอียดผลการตรวจสอบร่องรอยการทําประโยชน์ที่ดินที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนา อําเภอเมืองศรีสะเกษ อําเภอกันทรารมย์ และอําเภอราศีไศล จังหวัดศรีสะเกษ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เป็นประธาน โดยคณะกรรมการชุดนี้ มีอํานาจหน้าที่พิจารณาตรวจสอบบุคคลผู้มีสิทธิ จํานวน 350 ราย และควบคุมการโอนจ่ายเงินค่าทดแทนให้ถูกต้องครบถ้วนตรงตามบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิ จํานวนเนื้อที่ และจํานวนเงินค่าทดแทนตามที่ครม.อนุมัติ โดยเห็นสมควรจ่ายด้วยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีธนาคาร (จ่ายตรง) ตามบัญชีรายชื่อบุคคลที่ผ่านการตรวจสอบ หรือทายาท โดยให้ถือความเห็นของคณะกรรมการชุดนี้เป็นหลักฐานประกอบการจ่ายเงินค่าชดเชย น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า คณะกรรมการแก้ไขปัญหาโครงการฝายหัวนา ได้รายงานให้ ครม. ทราบว่าขณะนี้ยังมีที่ดินของราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายหัวนาที่ยังอยู่ระหว่างการรังวัดและการพิจารณาของอนุกรรมการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 983 แปลง ซึ่ง ครม. ก็ได้ให้เร่งรัดสํารวจพื้นที่และราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฯ ทั้งหมด เพื่อให้สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่ราษฎรได้ถูกต้องครบถ้วนโดยเร็วต่อไป และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งจัดทําเกณฑ์ในการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการชลประทานของรัฐในกรณีต่างๆ ให้เสร็จโดยเร็วต่อไป --------------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51123
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แจงให้เคลียร์
วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แจงให้เคลียร์ รู้ก่อนใคร ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ นายกฯ ย้ํารัฐบาลมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาความยากจนในภาพรวม กําหนดให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน พร้อมสร้างโอกาสการลงทุนของประเทศไทย เตรียมความพร้อมเติบโตไปกับเศรษฐกิจใหม่ ​ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ํา การกลับมาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย เป็นความสําเร็จครั้งสําคัญของรัฐบาลไทย สร้างโอกาสให้ไทยในหลายด้าน ​ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชูแผนงานรัฐบาลระยะกลาง - ยาว เน้นมองไปข้างหน้า ตั้งปี 65 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน การประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ​ เอกสารประกอบการอภิปราย เรื่อง ภาพอนาคตไทย ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ​ เอกสารประกอบการอภิปราย เรื่อง การแก้ปัญหาความยากจน ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ​ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีเหมืองทองอัครา รัฐบาลคํานึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ย้ํา ไม่ได้ต้องการทําเหมืองหรือยึดเหมืองมาเป็นของรัฐ แก้ไขปัญหาตามกฎหมายและหลักธรรมาภิบาล ​ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แจงกรณีเหมืองทองอัคราฯ ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาที่ทับซ้อนมานานเพื่อประเทศชาติและประชาชน การประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ​ ​ นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ณ ห้องประชุมพระสุริยัน ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ​ ​ ​ ​ ​ ​ วิกฤติพลังงานเกิดขึ้นทั่วโลก และน้ํามันไทยไม่ได้แพงที่สุด รัฐบาลพร้อมดูแล - ตรึงราคาเพื่อประชาชน ​ รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) ย้ํา รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ยืนยัน บริหารจัดการสถานการณ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง ​ นายกรัฐมนตรี ขอทุกคนมองภาพกว้างอัตราเงินเฟ้อเกิดทั่วโลกจากสถานการณ์โควิด-19 ไทยถือว่ารับมือได้ดีกว่าหลายประเทศ การประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ​ ​นายกรัฐมนตรี ชี้แจงทุกปัญหา เงินเฟ้อ รัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่างสมดุล ย้ําแม้ราคาสินค้าแพงขึ้นเพียง 1 เปอร์เซนต์ ก็ไม่อยากให้เกิด ​ เอกสารประกอบการอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ของ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี ​ เอกสารประกอบการอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ​ นายกรัฐมนตรี ยืนยัน! การเข้ามาตรงนี้ จากที่ผ่านมาและวันต่อไป จะไม่มีการทุจริตโดยเด็ดขาด ​ นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหามาโดยตลอดและมีผลสัมฤทธิ์ เกิดขึ้นมากมายท่ามกลางวิกฤติการณ์โควิด-19 การประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ​ ​ นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ณ ห้องประชุมพระสุริยัน ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ​ "นายก ฯ" ย้ํารัฐบาลชุดปัจจุบัน เข้ามาตามกลไกรัฐธรรมนูญ 2560 เผย 9 เดือนแรกปี 64 เศรษฐกิจไทยพลิกเป็นบวก 1.3% ต่อปี ขอรับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 2,339 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 7.7 แสนล้านบาท ทั่วโลกชมการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาล ​ มาตรการด้านเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน มาตรการเยียวยาด้านการท่องเที่ยว (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) มาตรการเยียวยาด้านการท่องเที่ยว (กระทรวงการคลัง) มาตรการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม (ฝุ่นละออง PM 2.5) (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) มาตรการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม (ฝุ่นละออง PM 2.5) (กระทรวงอุตสาหกรรม) การแก้ปัญหาคดีพิพาทเหมืองทองอัครา ​การพัฒนาเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงสาย ลาว-จีน ​ ​
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-แจงให้เคลียร์ วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2565 แจงให้เคลียร์ รู้ก่อนใคร ​ ​ ​ ​ ​ ​ ​ นายกฯ ย้ํารัฐบาลมุ่งเน้นแก้ไขปัญหาความยากจนในภาพรวม กําหนดให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน พร้อมสร้างโอกาสการลงทุนของประเทศไทย เตรียมความพร้อมเติบโตไปกับเศรษฐกิจใหม่ ​ นายกรัฐมนตรีเน้นย้ํา การกลับมาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย เป็นความสําเร็จครั้งสําคัญของรัฐบาลไทย สร้างโอกาสให้ไทยในหลายด้าน ​ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ชูแผนงานรัฐบาลระยะกลาง - ยาว เน้นมองไปข้างหน้า ตั้งปี 65 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือน การประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ​ เอกสารประกอบการอภิปราย เรื่อง ภาพอนาคตไทย ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ​ เอกสารประกอบการอภิปราย เรื่อง การแก้ปัญหาความยากจน ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ​ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีเหมืองทองอัครา รัฐบาลคํานึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ย้ํา ไม่ได้ต้องการทําเหมืองหรือยึดเหมืองมาเป็นของรัฐ แก้ไขปัญหาตามกฎหมายและหลักธรรมาภิบาล ​ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี แจงกรณีเหมืองทองอัคราฯ ขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาที่ทับซ้อนมานานเพื่อประเทศชาติและประชาชน การประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ​ ​ นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ณ ห้องประชุมพระสุริยัน ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ​ ​ ​ ​ ​ ​ วิกฤติพลังงานเกิดขึ้นทั่วโลก และน้ํามันไทยไม่ได้แพงที่สุด รัฐบาลพร้อมดูแล - ตรึงราคาเพื่อประชาชน ​ รองนายกรัฐมนตรี (นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์) ย้ํา รัฐบาลตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ยืนยัน บริหารจัดการสถานการณ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง ​ นายกรัฐมนตรี ขอทุกคนมองภาพกว้างอัตราเงินเฟ้อเกิดทั่วโลกจากสถานการณ์โควิด-19 ไทยถือว่ารับมือได้ดีกว่าหลายประเทศ การประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ​ ​นายกรัฐมนตรี ชี้แจงทุกปัญหา เงินเฟ้อ รัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่างสมดุล ย้ําแม้ราคาสินค้าแพงขึ้นเพียง 1 เปอร์เซนต์ ก็ไม่อยากให้เกิด ​ เอกสารประกอบการอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ของ นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี ​ เอกสารประกอบการอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ​ นายกรัฐมนตรี ยืนยัน! การเข้ามาตรงนี้ จากที่ผ่านมาและวันต่อไป จะไม่มีการทุจริตโดยเด็ดขาด ​ นายกรัฐมนตรียืนยันรัฐบาลเดินหน้าแก้ไขปัญหามาโดยตลอดและมีผลสัมฤทธิ์ เกิดขึ้นมากมายท่ามกลางวิกฤติการณ์โควิด-19 การประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ อภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร อาคารรัฐสภา ​ ​ นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมเพื่อพิจารณาญัตติ ขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงและเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีการลงมติ ตามมาตรา 152 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ณ ห้องประชุมพระสุริยัน ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพฯ ​ "นายก ฯ" ย้ํารัฐบาลชุดปัจจุบัน เข้ามาตามกลไกรัฐธรรมนูญ 2560 เผย 9 เดือนแรกปี 64 เศรษฐกิจไทยพลิกเป็นบวก 1.3% ต่อปี ขอรับส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 2,339 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 7.7 แสนล้านบาท ทั่วโลกชมการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ของรัฐบาล ​ มาตรการด้านเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาหนี้สาธารณะ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน มาตรการเยียวยาด้านการท่องเที่ยว (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา) มาตรการเยียวยาด้านการท่องเที่ยว (กระทรวงการคลัง) มาตรการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม (ฝุ่นละออง PM 2.5) (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) มาตรการแก้ปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม (ฝุ่นละออง PM 2.5) (กระทรวงอุตสาหกรรม) การแก้ปัญหาคดีพิพาทเหมืองทองอัครา ​การพัฒนาเส้นทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงสาย ลาว-จีน ​ ​
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51449
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน ร่วมหารือกับ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ถึงแนวทางในการออกใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะ
วันอังคารที่ 22 มิถุนายน 2564 กรมท่าอากาศยาน ร่วมหารือกับ สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ถึงแนวทางในการออกใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะ เพื่อพัฒนาท่าอากาศยานให้เป็นไปตามมาตรฐาน นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในการประชุมหารือขั้นตอนกระบวนการออกใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะ พร้อมด้วยนายวิทวัส ภักดีสันติสกุล รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ร่วมกับสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย โดยมี น.อ.สุชาติ อ่างทอง ผู้จัดการฝ่ายมาตรฐานสนามบิน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2564 ณ ห้องประชุมจันทรางศุ กรมท่าอากาศยาน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ให้กรมท่าอากาศยานดําเนินการพัฒนาท่าอากาศยานให้เป็นไปตามมาตรฐาน รวมถึงให้ท่าอากาศยานในสังกัดกรมท่าอากาศยานดําเนินการขอใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะให้ครบนั้น กรมท่าอากาศยานจึงได้ขอความร่วมมือจากสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ในการวางแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อให้กระบวนการออกใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะเป็นไปตามขั้นตอนที่วางไว้ อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กล่าวว่า จากการประชุมหารือร่วมกันระหว่างสองหน่วยงานในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการบูรณาการการทํางานที่ชัดเจนมากขึ้น โดยกรมท่าอากาศยานในฐานะผู้ปฏิบัติ และสํานักงานการบินพลเรือนในฐานะผู้กํากับดูแลได้มีการอธิบายทําความเข้าใจในรายละเอียดขั้นตอนของกระบวนการ และร่วมพูดคุยแก้ไขปัญหาที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งหลังจากนี้การดําเนินงานร่วมกันจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามกรอบเวลาที่กําหนดไว้ต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมท่าอากาศยาน ร่วมหารือกับ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ถึงแนวทางในการออกใบรับรองการดำเนินงานสนามบินสาธารณะ วันอังคารที่ 22 มิถุนายน 2564 กรมท่าอากาศยาน ร่วมหารือกับ สํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ถึงแนวทางในการออกใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะ เพื่อพัฒนาท่าอากาศยานให้เป็นไปตามมาตรฐาน นายอภิรัฐ ไชยวงศ์น้อย อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กระทรวงคมนาคม เป็นประธานในการประชุมหารือขั้นตอนกระบวนการออกใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะ พร้อมด้วยนายวิทวัส ภักดีสันติสกุล รองอธิบดีกรมท่าอากาศยาน ร่วมกับสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย โดยมี น.อ.สุชาติ อ่างทอง ผู้จัดการฝ่ายมาตรฐานสนามบิน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2564 ณ ห้องประชุมจันทรางศุ กรมท่าอากาศยาน ตามนโยบายของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ให้กรมท่าอากาศยานดําเนินการพัฒนาท่าอากาศยานให้เป็นไปตามมาตรฐาน รวมถึงให้ท่าอากาศยานในสังกัดกรมท่าอากาศยานดําเนินการขอใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะให้ครบนั้น กรมท่าอากาศยานจึงได้ขอความร่วมมือจากสํานักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย ในการวางแนวทางการปฏิบัติงานร่วมกัน เพื่อให้กระบวนการออกใบรับรองการดําเนินงานสนามบินสาธารณะเป็นไปตามขั้นตอนที่วางไว้ อธิบดีกรมท่าอากาศยาน กล่าวว่า จากการประชุมหารือร่วมกันระหว่างสองหน่วยงานในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการบูรณาการการทํางานที่ชัดเจนมากขึ้น โดยกรมท่าอากาศยานในฐานะผู้ปฏิบัติ และสํานักงานการบินพลเรือนในฐานะผู้กํากับดูแลได้มีการอธิบายทําความเข้าใจในรายละเอียดขั้นตอนของกระบวนการ และร่วมพูดคุยแก้ไขปัญหาที่เคยเกิดขึ้น ซึ่งหลังจากนี้การดําเนินงานร่วมกันจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามกรอบเวลาที่กําหนดไว้ต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/42985
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพายประจำปี 2564
วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565 พิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพายประจําปี 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพายประจําปี 2564 เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แก่เจ้าหน้าที่สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ส่วนกลาง) วันนี้ (19 พฤษภาคม 2565) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพายประจําปี 2564 เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แก่เจ้าหน้าที่สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ส่วนกลาง) และอธิบดีกรม โดยมี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารระดับสูง เข้าร่วมพิธี ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพายประจำปี 2564 วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565 พิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพายประจําปี 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพายประจําปี 2564 เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แก่เจ้าหน้าที่สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ส่วนกลาง) วันนี้ (19 พฤษภาคม 2565) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานในพิธีรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสายสะพายประจําปี 2564 เบื้องหน้าพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แก่เจ้าหน้าที่สํานักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ส่วนกลาง) และอธิบดีกรม โดยมี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และคณะผู้บริหารระดับสูง เข้าร่วมพิธี ที่ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54750
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สมาคมธนาคารไทย” วางโรดแมป 3 ปี พัฒนาระบบการเงิน ชู 4 แนวทาง เพิ่มศักยภาพแข่งขันไทย
วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2565 “สมาคมธนาคารไทย” วางโรดแมป 3 ปี พัฒนาระบบการเงิน ชู 4 แนวทาง เพิ่มศักยภาพแข่งขันไทย สมาคมธนาคารไทยวางโรดแมป พัฒนาระบบการเงินช่วง 3 ปีข้างหน้า ชู “4 แนวทาง” รับมือการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจการเงิน เสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันเศรษฐกิจไทย มุ่งนําเทคโนโลยีช่วยภาคธุรกิจปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล สนับสนุนกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศ สมาคมธนาคารไทย วางโรดแมป พัฒนาระบบการเงินช่วง 3 ปีข้างหน้า ชู “4 แนวทาง” รับมือการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจการเงิน เสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันเศรษฐกิจไทย มุ่งนําเทคโนโลยีช่วยภาคธุรกิจปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล สนับสนุนกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศ ผลักดันการทําธุรกิจอย่างยั่งยืน และพัฒนา “คนดิจิทัล” รองรับการเติบโตของธุรกิจการเงิน นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ “บทบาท 3 องค์กรภาคเอกชนและการทํางานร่วมกันในกกร. เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ในงาน FTI Expo 2022 “Shaping Future Industries for Stronger Thailand” มหกรรมแสดงสินค้าและนวัตกรรมของอุตสาหกรรมไทย เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2565 ว่า ภาคธุรกิจการเงินมีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งสู่ดิจิทัลแบงกิ้ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีความท้าทายหลายด้าน ทั้งการมีผู้เล่นหน้าใหม่ในกลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) ที่มีศักยภาพและความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจากรายงาน FinTech in ASEAN 2021 พบว่า ในปี 2021 ประเทศไทยมีบริษัท ฟินเทครวมจํานวน 268 บริษัท เพิ่มขึ้นจาก 177 บริษัทในปี 2017 ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะหน่วยงานกํากับดูแล มีแนวทางจะปรับภูมิทัศน์ภาคการเงินใหม่เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการแข่งขันผ่านการเปิดโอกาสให้ภาคการเงินใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและข้อมูล ภายใต้หลักการ 3 Open ได้แก่ 1.Open Competition การแข่งขันที่เปิดกว้างทั้งการแข่งขันจากผู้เล่นใหม่ซึ่งอาจจะไม่ใช่ธนาคารให้สามารถเข้ามาแข่งขันกับผู้เล่นเดิมในอุตสาหกรรม รวมถึงเปิดให้ ผู้เล่นปัจจุบันสามารถปรับตัวเพื่อแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ได้ 2.Open Infrastructure การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับทั้งผู้เล่นใหม่ และผู้เล่นปัจจุบันให้เข้ามาใช้งานได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขันและต่อยอดในเชิงนวัตกรรมได้ 3.Open Data ส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันและโอนข้อมูล เช่น การสนับสนุนให้มีธนาคารออนไลน์ หรือ virtual bank เป็นต้น ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยได้วางแนวทาง (Roadmap) การพัฒนาระบบการเงินในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อรับมือความท้าทายและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับการแข่งขันของ ประเทศไทย ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยมุ่งเน้น 4 ด้าน ดังนี้ 1.Enabling Country Competitiveness การเป็นกลไกสําคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ โดยนําเทคโนโลยีมาสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจเพื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์ขึ้น โครงการที่สําคัญ เช่น โครงการ Smart Financial and Payment Infrastructure for Business หรือ PromptBiz เป็นการพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลการค้า การชําระเงิน ข้อมูลผู้ให้บริการทางการเงินและระบบภาษีของภาครัฐผ่านกระบวนการดิจิทัล อีกโครงการคือ National Digital ID (NDID)หรือการยืนยันตัวตนในรูปแบบดิจิทัล และ ระบบ e-Signature หรือลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคล และความเสี่ยงทาง ไซเบอร์อย่างเข้มข้น ตลอดจนผลักดันการวางกรอบแนวทางสนับสนุน ระบบ Open Banking หรือ การสร้างกลไกให้ผู้ใช้บริการทางการเงินในฐานะเจ้าของข้อมูลสามารถบริหารจัดการข้อมูลที่มีอยู่ที่ธนาคารต่าง ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลได้สะดวกมากขึ้น ล่าสุด ภาคธนาคารได้เปิดตัวการให้บริการ d-Statement หรือการรับส่งข้อมูลรายการเคลื่อนไหวของบัญชีเงินฝาก (bank statement) ในรูปแบบดิจิทัลระหว่างสถาบันการเงิน เพื่ออํานวยความสะดวก และลดต้นทุนของลูกค้า 2. Regional Championing การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ นักลงทุนและประชาชนสามารถทํากิจกรรมการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ และการชําระเงินของนักท่องเที่ยวในภูมิภาคได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ต้นทุนต่ํา โดยสมาคมฯ จะเดินหน้าสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลระหว่างกันในภูมิภาค รวมถึงสนับสนุนระบบสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือ CBDC และต่อยอดสู่การชําระเงินระหว่างประเทศ โดยมีโครงการที่สําคัญ คือ โครงการ National Digital Trade Platform (NDTP) ร่วมกับ กกร. เพื่อปรับเปลี่ยนการทําธุรกรรมการค้าขายระหว่างประเทศสู่ระบบดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนและระยะเวลา และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงการค้าระหว่างประเทศ และเข้าถึงสินเชื่อได้ดีขึ้น 3.Sustainability ภาคธนาคารต้องดําเนินงาน และ มีส่วนผลักดันให้การดําเนินงานของภาคเอกชนคํานึงถึงหลักการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนหรือ ESG โดยสมาคมฯ จะผลักดันให้ภาคธุรกิจปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green economy) และ BCG economy หรือโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสมาคมฯ ร่วมกับธปท. พัฒนาแนวปฏิบัติการธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking) ไปใช้ในการดําเนินธุรกิจที่ชัดเจนและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล นอกจากนี้ สมาคมฯ จะร่วมกันแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ยกระดับมาตรการทั้งก่อนและหลังเป็นหนี้ โดยสนับสนุนการจัดทําศูนย์กลางข้อมูลเครดิตให้สมบูรณ์ รวบรวมข้อมูลเครดิตจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งธนาคารและสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร และสหกรณ์ออมทรัพย์ เพื่อสามารถแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จ ควบคู่กับการให้ความรู้ทางการเงินและการเงินดิจิทัล รวมถึงสร้างกลไกในการเพิ่มวินัยทางการเงินและส่งเสริมการออมเงิน โดยเฉพาะการออมเผื่อเกษียณ นอกจากนี้ ยังมุ่งลดความเหลื่อมล้ํา และส่งเสริมให้ประชาชนและภาคธุรกิจ สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินได้มากขึ้น โดยสมาคมฯ จะส่งเสริมการใช้ข้อมูลทางเลือกในการพิจารณาสินเชื่อ รวมถึงการปล่อยสินเชื่อแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นต้น 4.Human Capital การพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะตอบโจทย์โลกอนาคต สามารถปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยสมาคมฯ จะเดินหน้าพัฒนาทักษะ (Up & Re-skill) พนักงานธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบที่มีอยู่กว่า 1.3 แสนราย ให้มีความรู้ด้านดิจิทัลมากขึ้น โดยอาศัยแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ของสถาบันธนาคารไทย (Thai Banking Academy-TBAC)พร้อมยกระดับ TBAC ให้มีบทบาทเป็นศูนย์กลางระดับชาติด้านองค์ความรู้และการวิจัยของอุตสาหกรรมการเงิน เพื่อให้บุคลากรในอุตสาหกรรมการเงิน มีสมรรถนะที่สามารถตอบโจทย์โลกการเงินในยุคดิจิทัลตามมาตรฐานสากล นําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น สอดรับกับโมเดลธุรกิจของภาคธนาคารที่มุ่งสู่ดิจิทัลแบงกิ้ง และเน้นความคล่องตัวอย่างเต็มรูปแบบ สําหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ประเมินว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะเป็นการฟื้นตัวแบบ The New K-shaped Economy หรือ การฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึงในแต่ละอุตสาหกรรม หลังสถานการณ์โควิด-19 สิ้นสุด แต่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบ ทั้งเงินเฟ้อ สงครามรัสเซีย-ยูเครน การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สภาพคล่องในตลาดเงินตลาดทุนลดลงและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งภายใต้การฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึงจะมีทั้งธุรกิจที่ยังเป็นขาขึ้น เช่น พลังงานสะอาด ยาเพื่อสุขภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น ที่มีศักยภาพจะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศได้ ถ้ามีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจที่เคยเป็นขาขึ้น แต่เริ่มแผ่วลง จากปัจจัยใหม่ที่เข้ามา เช่น ธุรกิจยานยนต์ เป็นต้น กลุ่มที่เคยเป็นขาลงจากมาตรการโควิด-19 แต่เริ่มดีขึ้น เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวและกลุ่มที่ยังเป็นขาลงต่อเนื่อง กลุ่มนี้แม้จะได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 แต่มีข้อจํากัดในการฟื้นตัว เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวขนาดเล็ก รถโดยสาร เพราะนักท่องเที่ยวยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทั้งนี้ การสนับสนุนให้ธุรกิจต่างๆ ภายใต้ The New K-shaped Economy สามารถเติบโตไปได้ ต้องอาศัยมาตรการที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มธุรกิจ ไม่ใช่มาตรการเดียวกันทั้งหมด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“สมาคมธนาคารไทย” วางโรดแมป 3 ปี พัฒนาระบบการเงิน ชู 4 แนวทาง เพิ่มศักยภาพแข่งขันไทย วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน 2565 “สมาคมธนาคารไทย” วางโรดแมป 3 ปี พัฒนาระบบการเงิน ชู 4 แนวทาง เพิ่มศักยภาพแข่งขันไทย สมาคมธนาคารไทยวางโรดแมป พัฒนาระบบการเงินช่วง 3 ปีข้างหน้า ชู “4 แนวทาง” รับมือการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจการเงิน เสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันเศรษฐกิจไทย มุ่งนําเทคโนโลยีช่วยภาคธุรกิจปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล สนับสนุนกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศ สมาคมธนาคารไทย วางโรดแมป พัฒนาระบบการเงินช่วง 3 ปีข้างหน้า ชู “4 แนวทาง” รับมือการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจการเงิน เสริมสร้างขีดความสามารถการแข่งขันเศรษฐกิจไทย มุ่งนําเทคโนโลยีช่วยภาคธุรกิจปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล สนับสนุนกิจกรรมการค้าระหว่างประเทศ ผลักดันการทําธุรกิจอย่างยั่งยืน และพัฒนา “คนดิจิทัล” รองรับการเติบโตของธุรกิจการเงิน นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวในงานเสวนาหัวข้อ “บทบาท 3 องค์กรภาคเอกชนและการทํางานร่วมกันในกกร. เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย” ในงาน FTI Expo 2022 “Shaping Future Industries for Stronger Thailand” มหกรรมแสดงสินค้าและนวัตกรรมของอุตสาหกรรมไทย เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2565 ว่า ภาคธุรกิจการเงินมีการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว โดยมุ่งสู่ดิจิทัลแบงกิ้ง เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่เศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีความท้าทายหลายด้าน ทั้งการมีผู้เล่นหน้าใหม่ในกลุ่มที่ไม่ใช่ธนาคาร (non-bank) ที่มีศักยภาพและความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งจากรายงาน FinTech in ASEAN 2021 พบว่า ในปี 2021 ประเทศไทยมีบริษัท ฟินเทครวมจํานวน 268 บริษัท เพิ่มขึ้นจาก 177 บริษัทในปี 2017 ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะหน่วยงานกํากับดูแล มีแนวทางจะปรับภูมิทัศน์ภาคการเงินใหม่เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล และการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยส่งเสริมการแข่งขันผ่านการเปิดโอกาสให้ภาคการเงินใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและข้อมูล ภายใต้หลักการ 3 Open ได้แก่ 1.Open Competition การแข่งขันที่เปิดกว้างทั้งการแข่งขันจากผู้เล่นใหม่ซึ่งอาจจะไม่ใช่ธนาคารให้สามารถเข้ามาแข่งขันกับผู้เล่นเดิมในอุตสาหกรรม รวมถึงเปิดให้ ผู้เล่นปัจจุบันสามารถปรับตัวเพื่อแข่งขันกับผู้เล่นรายใหม่ได้ 2.Open Infrastructure การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับทั้งผู้เล่นใหม่ และผู้เล่นปัจจุบันให้เข้ามาใช้งานได้ เพื่อให้เกิดการแข่งขันและต่อยอดในเชิงนวัตกรรมได้ 3.Open Data ส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันและโอนข้อมูล เช่น การสนับสนุนให้มีธนาคารออนไลน์ หรือ virtual bank เป็นต้น ทั้งนี้ สมาคมธนาคารไทยได้วางแนวทาง (Roadmap) การพัฒนาระบบการเงินในช่วง 3 ปีข้างหน้า เพื่อรับมือความท้าทายและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมยกระดับการแข่งขันของ ประเทศไทย ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก โดยมุ่งเน้น 4 ด้าน ดังนี้ 1.Enabling Country Competitiveness การเป็นกลไกสําคัญในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ โดยนําเทคโนโลยีมาสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของภาคธุรกิจเพื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างสมบูรณ์ขึ้น โครงการที่สําคัญ เช่น โครงการ Smart Financial and Payment Infrastructure for Business หรือ PromptBiz เป็นการพัฒนาการเชื่อมโยงข้อมูลการค้า การชําระเงิน ข้อมูลผู้ให้บริการทางการเงินและระบบภาษีของภาครัฐผ่านกระบวนการดิจิทัล อีกโครงการคือ National Digital ID (NDID)หรือการยืนยันตัวตนในรูปแบบดิจิทัล และ ระบบ e-Signature หรือลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ ควบคู่กับการบริหารความเสี่ยงข้อมูลส่วนบุคคล และความเสี่ยงทาง ไซเบอร์อย่างเข้มข้น ตลอดจนผลักดันการวางกรอบแนวทางสนับสนุน ระบบ Open Banking หรือ การสร้างกลไกให้ผู้ใช้บริการทางการเงินในฐานะเจ้าของข้อมูลสามารถบริหารจัดการข้อมูลที่มีอยู่ที่ธนาคารต่าง ๆ ผ่านช่องทางดิจิทัลได้สะดวกมากขึ้น ล่าสุด ภาคธนาคารได้เปิดตัวการให้บริการ d-Statement หรือการรับส่งข้อมูลรายการเคลื่อนไหวของบัญชีเงินฝาก (bank statement) ในรูปแบบดิจิทัลระหว่างสถาบันการเงิน เพื่ออํานวยความสะดวก และลดต้นทุนของลูกค้า 2. Regional Championing การสนับสนุนให้ผู้ประกอบการ นักลงทุนและประชาชนสามารถทํากิจกรรมการค้า การลงทุนระหว่างประเทศ และการชําระเงินของนักท่องเที่ยวในภูมิภาคได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ต้นทุนต่ํา โดยสมาคมฯ จะเดินหน้าสนับสนุนการเชื่อมโยงระบบโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินดิจิทัลระหว่างกันในภูมิภาค รวมถึงสนับสนุนระบบสกุลเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง หรือ CBDC และต่อยอดสู่การชําระเงินระหว่างประเทศ โดยมีโครงการที่สําคัญ คือ โครงการ National Digital Trade Platform (NDTP) ร่วมกับ กกร. เพื่อปรับเปลี่ยนการทําธุรกรรมการค้าขายระหว่างประเทศสู่ระบบดิจิทัล เพิ่มประสิทธิภาพ ช่วยลดต้นทุนและระยะเวลา และสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงการค้าระหว่างประเทศ และเข้าถึงสินเชื่อได้ดีขึ้น 3.Sustainability ภาคธนาคารต้องดําเนินงาน และ มีส่วนผลักดันให้การดําเนินงานของภาคเอกชนคํานึงถึงหลักการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนหรือ ESG โดยสมาคมฯ จะผลักดันให้ภาคธุรกิจปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว (Green economy) และ BCG economy หรือโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งสมาคมฯ ร่วมกับธปท. พัฒนาแนวปฏิบัติการธนาคารเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Banking) ไปใช้ในการดําเนินธุรกิจที่ชัดเจนและสอดคล้องกับมาตรฐานสากล นอกจากนี้ สมาคมฯ จะร่วมกันแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ยกระดับมาตรการทั้งก่อนและหลังเป็นหนี้ โดยสนับสนุนการจัดทําศูนย์กลางข้อมูลเครดิตให้สมบูรณ์ รวบรวมข้อมูลเครดิตจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งธนาคารและสถาบันการเงินที่ไม่ใช่ธนาคาร และสหกรณ์ออมทรัพย์ เพื่อสามารถแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จ ควบคู่กับการให้ความรู้ทางการเงินและการเงินดิจิทัล รวมถึงสร้างกลไกในการเพิ่มวินัยทางการเงินและส่งเสริมการออมเงิน โดยเฉพาะการออมเผื่อเกษียณ นอกจากนี้ ยังมุ่งลดความเหลื่อมล้ํา และส่งเสริมให้ประชาชนและภาคธุรกิจ สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินได้มากขึ้น โดยสมาคมฯ จะส่งเสริมการใช้ข้อมูลทางเลือกในการพิจารณาสินเชื่อ รวมถึงการปล่อยสินเชื่อแพลตฟอร์มออนไลน์ เป็นต้น 4.Human Capital การพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะตอบโจทย์โลกอนาคต สามารถปรับตัวรองรับการเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบันและสอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน โดยสมาคมฯ จะเดินหน้าพัฒนาทักษะ (Up & Re-skill) พนักงานธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบที่มีอยู่กว่า 1.3 แสนราย ให้มีความรู้ด้านดิจิทัลมากขึ้น โดยอาศัยแพลตฟอร์มการเรียนรู้ออนไลน์ของสถาบันธนาคารไทย (Thai Banking Academy-TBAC)พร้อมยกระดับ TBAC ให้มีบทบาทเป็นศูนย์กลางระดับชาติด้านองค์ความรู้และการวิจัยของอุตสาหกรรมการเงิน เพื่อให้บุคลากรในอุตสาหกรรมการเงิน มีสมรรถนะที่สามารถตอบโจทย์โลกการเงินในยุคดิจิทัลตามมาตรฐานสากล นําเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจลูกค้ามากขึ้น สอดรับกับโมเดลธุรกิจของภาคธนาคารที่มุ่งสู่ดิจิทัลแบงกิ้ง และเน้นความคล่องตัวอย่างเต็มรูปแบบ สําหรับภาพรวมเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ประเมินว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยจะเป็นการฟื้นตัวแบบ The New K-shaped Economy หรือ การฟื้นตัวอย่างไม่ทั่วถึงในแต่ละอุตสาหกรรม หลังสถานการณ์โควิด-19 สิ้นสุด แต่มีปัจจัยใหม่เข้ามากระทบ ทั้งเงินเฟ้อ สงครามรัสเซีย-ยูเครน การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก สภาพคล่องในตลาดเงินตลาดทุนลดลงและต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น จากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งภายใต้การฟื้นตัวที่ไม่ทั่วถึงจะมีทั้งธุรกิจที่ยังเป็นขาขึ้น เช่น พลังงานสะอาด ยาเพื่อสุขภาพ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น ที่มีศักยภาพจะเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคตของประเทศได้ ถ้ามีการสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มธุรกิจที่เคยเป็นขาขึ้น แต่เริ่มแผ่วลง จากปัจจัยใหม่ที่เข้ามา เช่น ธุรกิจยานยนต์ เป็นต้น กลุ่มที่เคยเป็นขาลงจากมาตรการโควิด-19 แต่เริ่มดีขึ้น เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวและกลุ่มที่ยังเป็นขาลงต่อเนื่อง กลุ่มนี้แม้จะได้ประโยชน์จากการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 แต่มีข้อจํากัดในการฟื้นตัว เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวขนาดเล็ก รถโดยสาร เพราะนักท่องเที่ยวยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ ทั้งนี้ การสนับสนุนให้ธุรกิจต่างๆ ภายใต้ The New K-shaped Economy สามารถเติบโตไปได้ ต้องอาศัยมาตรการที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มธุรกิจ ไม่ใช่มาตรการเดียวกันทั้งหมด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56332
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สภาองค์การนายจ้าง ยื่นหนังสือ ผ่าน รมว.สุชาติ ขอรัฐบาลพิจารณาทบทวนขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่เห็นด้วยขึ้น 492 บาททั่วประเทศ
วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 สภาองค์การนายจ้าง ยื่นหนังสือ ผ่าน รมว.สุชาติ ขอรัฐบาลพิจารณาทบทวนขึ้นค่าจ้างขั้นต่ํา ไม่เห็นด้วยขึ้น 492 บาททั่วประเทศ สภาองค์การนายจ้าง ยื่นหนังสือ ผ่าน รมว.สุชาติ ขอรัฐบาลพิจารณาทบทวนขึ้นค่าจ้างขั้นต่ํา ไม่เห็นด้วยขึ้น 492 บาททั่วประเทศ นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้การต้อนรับดร.ทวีเกียรติรองสวัสดิ์ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งชาติในโอกาสนําตัวแทนคณะสภาองค์การนายจ้างฯซึ่งมีสภาองค์การนายจ้างแห่งชาติสภาองค์การนายจ้างสภาอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีแห่งประเทศไทยสภาองค์การนายจ้างธุรกิจการค้าและบริการไทยสภาองค์การนายจ้างธุรกิจและอุตสาหกรรมแห่งชาติและสมาคมนายจ้าง40 - 50สมาคมนายจ้างเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเพื่อยื่นหนังสือขอให้นายกรัฐมนตรีเร่งรัดพิจารณาค่าแรงขั้นต่ําตามความเป็นจริงและเหมาะสมซึ่งไม่เห็นด้วยที่จะขึ้นจาก331บาทเป็น492บาททั่วประเทศโดยมีนายสุรชัยชัยตระกูลทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงานนายสุเทพชิตยวงษ์เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนายสุทธิสุโกศลประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประจํากระทรวงแรงงานดร.จําลองช่วยรอดคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนายบุญชอบสุทธมนัสวงษ์ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วยณห้องจัตุมงคลชั้น6อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติกล่าวว่าการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ําแต่ละครั้งนั้นมีคณะกรรมการค่าจ้างหรือบอร์ดค่าจ้างซึ่งเป็นผู้แทนองค์กรไตรภาคีทั้ง3ฝ่ายคือฝ่ายรัฐบาลนายจ้างและลูกจ้างพิจารณาและปรึกษาหารืออย่างรอบคอบก่อนจะได้ข้อยุติร่วมกันแม้ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ําในปัจจุบันมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่1มกราคม2563จนถึงปัจจุบันแล้ว ในปี2565คณะกรรมการค่าจ้างได้กําหนดแผนการทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างขั้นต่ําซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ําจังหวัดและคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ํากรุงเทพมหานครดําเนินการจัดประชุมเพื่อพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างขั้นต่ําจังหวัดและกรุงเทพมหานครให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม2565ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใดจากนั้นคณะกรรมการค่าจ้างจะพิจารณาข้อมูลทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน2565 ดร.ทวีเกียรติกล่าวว่าในวันนี้สภาองค์การนายจ้างฯมีมติยังไม่เห็นด้วยที่จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ําในช่วงนี้เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ผู้ประกอบการนายจ้างบางประเภทต้องหยุดกิจการชั่วคราวแรงงานขาดแคลนซึ่งสถานการณ์โควิด-19ยังไม่ดีขึ้นกลุ่มนักท่องเที่ยวยังไม่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศเต็มรูปแบบตลอดจนสถานการณ์สู้รบของประเทศเพื่อนบ้านและสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนรัสเซียยังไม่นิ่งกรณีจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ําจึงขอให้รัฐบาลเป็นผู้กําหนดเนื่องจากสภาองค์การนายจ้างและสมาคมนายจ้างยังไม่เห็นสมควรขึ้นในช่วงนี้และเห็นสมควรให้คณะกรรมการไตรภาคีโดยฝ่ายภาครัฐเป็นผู้กําหนดค่าแรงขั้นต่ําเพราะมีเครื่องมืออุปกรณ์บุคลากรที่เกี่ยวข้องเป็นผู้นําเสนอ +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 29เมษายน2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สภาองค์การนายจ้าง ยื่นหนังสือ ผ่าน รมว.สุชาติ ขอรัฐบาลพิจารณาทบทวนขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ไม่เห็นด้วยขึ้น 492 บาททั่วประเทศ วันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 สภาองค์การนายจ้าง ยื่นหนังสือ ผ่าน รมว.สุชาติ ขอรัฐบาลพิจารณาทบทวนขึ้นค่าจ้างขั้นต่ํา ไม่เห็นด้วยขึ้น 492 บาททั่วประเทศ สภาองค์การนายจ้าง ยื่นหนังสือ ผ่าน รมว.สุชาติ ขอรัฐบาลพิจารณาทบทวนขึ้นค่าจ้างขั้นต่ํา ไม่เห็นด้วยขึ้น 492 บาททั่วประเทศ นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานให้การต้อนรับดร.ทวีเกียรติรองสวัสดิ์ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งชาติในโอกาสนําตัวแทนคณะสภาองค์การนายจ้างฯซึ่งมีสภาองค์การนายจ้างแห่งชาติสภาองค์การนายจ้างสภาอุตสาหกรรมเอสเอ็มอีแห่งประเทศไทยสภาองค์การนายจ้างธุรกิจการค้าและบริการไทยสภาองค์การนายจ้างธุรกิจและอุตสาหกรรมแห่งชาติและสมาคมนายจ้าง40 - 50สมาคมนายจ้างเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเพื่อยื่นหนังสือขอให้นายกรัฐมนตรีเร่งรัดพิจารณาค่าแรงขั้นต่ําตามความเป็นจริงและเหมาะสมซึ่งไม่เห็นด้วยที่จะขึ้นจาก331บาทเป็น492บาททั่วประเทศโดยมีนายสุรชัยชัยตระกูลทองผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงแรงงานนายสุเทพชิตยวงษ์เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนายสุทธิสุโกศลประจําสํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประจํากระทรวงแรงงานดร.จําลองช่วยรอดคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานนายบุญชอบสุทธมนัสวงษ์ปลัดกระทรวงแรงงานพร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานเข้าร่วมในครั้งนี้ด้วยณห้องจัตุมงคลชั้น6อาคารกระทรวงแรงงาน นายสุชาติกล่าวว่าการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ําแต่ละครั้งนั้นมีคณะกรรมการค่าจ้างหรือบอร์ดค่าจ้างซึ่งเป็นผู้แทนองค์กรไตรภาคีทั้ง3ฝ่ายคือฝ่ายรัฐบาลนายจ้างและลูกจ้างพิจารณาและปรึกษาหารืออย่างรอบคอบก่อนจะได้ข้อยุติร่วมกันแม้ว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ําในปัจจุบันมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่1มกราคม2563จนถึงปัจจุบันแล้ว ในปี2565คณะกรรมการค่าจ้างได้กําหนดแผนการทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างขั้นต่ําซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการให้คณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ําจังหวัดและคณะอนุกรรมการพิจารณาอัตราค่าจ้างขั้นต่ํากรุงเทพมหานครดําเนินการจัดประชุมเพื่อพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างขั้นต่ําจังหวัดและกรุงเทพมหานครให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม2565ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปแต่อย่างใดจากนั้นคณะกรรมการค่าจ้างจะพิจารณาข้อมูลทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน2565 ดร.ทวีเกียรติกล่าวว่าในวันนี้สภาองค์การนายจ้างฯมีมติยังไม่เห็นด้วยที่จะขึ้นค่าแรงขั้นต่ําในช่วงนี้เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19ผู้ประกอบการนายจ้างบางประเภทต้องหยุดกิจการชั่วคราวแรงงานขาดแคลนซึ่งสถานการณ์โควิด-19ยังไม่ดีขึ้นกลุ่มนักท่องเที่ยวยังไม่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศเต็มรูปแบบตลอดจนสถานการณ์สู้รบของประเทศเพื่อนบ้านและสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนรัสเซียยังไม่นิ่งกรณีจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ําจึงขอให้รัฐบาลเป็นผู้กําหนดเนื่องจากสภาองค์การนายจ้างและสมาคมนายจ้างยังไม่เห็นสมควรขึ้นในช่วงนี้และเห็นสมควรให้คณะกรรมการไตรภาคีโดยฝ่ายภาครัฐเป็นผู้กําหนดค่าแรงขั้นต่ําเพราะมีเครื่องมืออุปกรณ์บุคลากรที่เกี่ยวข้องเป็นผู้นําเสนอ +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 29เมษายน2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54060
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล โดย สปสช. เร่งพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนสัญชาติไทยกรณีฉีดวัคซีนโควิด-19 เกิดภาวะไม่พึงประสงค์ หลัง สปส. ประกาศปลดล็อกแล้ว
วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2564 รัฐบาล โดย สปสช. เร่งพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนสัญชาติไทยกรณีฉีดวัคซีนโควิด-19 เกิดภาวะไม่พึงประสงค์ หลัง สปส. ประกาศปลดล็อกแล้ว รัฐบาล โดย สปสช. เร่งพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนสัญชาติไทยกรณีฉีดวัคซีนโควิด-19 เกิดภาวะไม่พึงประสงค์ หลัง สปส. ประกาศปลดล็อกแล้ว วันนี้ (1 พ.ย.64) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดย สํานักงานประกันสังคม (สปส.) ได้ออกประกาศ เรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งเป็นการปลดล็อกให้ผู้ประกันตนสัญชาติไทยสามารถยื่นขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามประกาศ สปสช. เรื่อง หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) พ.ศ. 2564 ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงินฯ กรณีบริการโรคโควิด-19 ได้แล้ว โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย. 2564 ขณะนี้ สปส. ได้ทยอยส่งเอกสารคําร้องผู้ประกันตนที่ได้ยื่นเรื่องขอรับการช่วยเหลือกับ สปส. ก่อนหน้านี้ ประมาณกว่า 1,000 ราย ให้กับ สปสช. แล้ว เพื่อเสนอให้อนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยคําร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระดับเขตพื้นที่ ทั้ง 13 เขตทั่วประเทศ เร่งพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกันตนที่คงค้างและรอรับการช่วยเหลือความเสียหายจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยเร็วที่สุด เช่นเดียวกับคนไทยทุกคนที่ได้รับสิทธิ์ดังกล่างอย่างเท่าเทียมตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวกลาโหม ทั้งนี้ สปสช. ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการ 12 ชุด ในการเร่งพิจารณาในเขตพื้นที่ กทม.แล้ว “สําหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นฯ แบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้ ระดับ 1 มีอาการป่วยต้องรักษาต่อเนื่อง จ่ายไม่เกิน 1 แสนบาท ระดับ 2 เกิดความเสียหายถึงขั้นสูญเสียอวัยวะหรือพิการจนมีผลต่อการดํารงชีวิต จ่ายไม่เกิน 2.4 แสนบาท และระดับ 3 กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร จ่ายไม่เกิน 4 แสนบาท ทั้งนี้ผู้ได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 สามารถยื่นคําร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นได้ใน 3 จุด คือ ที่หน่วยบริการที่ไปรับการฉีด ที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และที่ สปสช.เขตพื้นที่ ซึ่งหลังจากคณะอนุกรรมการในระดับเขต (ประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนภาคประชาชน) ได้รับคําร้องฯ แล้วจะเร่งพิจารณาในการจ่ายเงินเยียวยาตามหลักฐานทางการแพทย์และระดับความหนักเบาของอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามหากผู้ยื่นคําร้องไม่เห็นด้วยกับผลการวินิจฉัยสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อเลขาธิการ สปสช. ได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ทราบผลการวินิจฉัย โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 หรือดาวน์โหลดแแบบคําร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีนป้องกันโควิดได้ ที่ https://www.nhso.go.th/storage/files/841/001/nhso_VaccinCovid19.pdf” รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าว -----------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาล โดย สปสช. เร่งพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนสัญชาติไทยกรณีฉีดวัคซีนโควิด-19 เกิดภาวะไม่พึงประสงค์ หลัง สปส. ประกาศปลดล็อกแล้ว วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2564 รัฐบาล โดย สปสช. เร่งพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนสัญชาติไทยกรณีฉีดวัคซีนโควิด-19 เกิดภาวะไม่พึงประสงค์ หลัง สปส. ประกาศปลดล็อกแล้ว รัฐบาล โดย สปสช. เร่งพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาผู้ประกันตนสัญชาติไทยกรณีฉีดวัคซีนโควิด-19 เกิดภาวะไม่พึงประสงค์ หลัง สปส. ประกาศปลดล็อกแล้ว วันนี้ (1 พ.ย.64) นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาล โดย สํานักงานประกันสังคม (สปส.) ได้ออกประกาศ เรื่องการปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้แก่ผู้ประกันตนที่ได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งเป็นการปลดล็อกให้ผู้ประกันตนสัญชาติไทยสามารถยื่นขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามประกาศ สปสช. เรื่อง หลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (Coronavirus Disease 2019 (COVID-19)) พ.ศ. 2564 ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงินฯ กรณีบริการโรคโควิด-19 ได้แล้ว โดยมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย. 2564 ขณะนี้ สปส. ได้ทยอยส่งเอกสารคําร้องผู้ประกันตนที่ได้ยื่นเรื่องขอรับการช่วยเหลือกับ สปส. ก่อนหน้านี้ ประมาณกว่า 1,000 ราย ให้กับ สปสช. แล้ว เพื่อเสนอให้อนุกรรมการพิจารณาวินิจฉัยคําร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น กรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระดับเขตพื้นที่ ทั้ง 13 เขตทั่วประเทศ เร่งพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกันตนที่คงค้างและรอรับการช่วยเหลือความเสียหายจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยเร็วที่สุด เช่นเดียวกับคนไทยทุกคนที่ได้รับสิทธิ์ดังกล่างอย่างเท่าเทียมตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวกลาโหม ทั้งนี้ สปสช. ได้มีการตั้งคณะอนุกรรมการ 12 ชุด ในการเร่งพิจารณาในเขตพื้นที่ กทม.แล้ว “สําหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นฯ แบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้ ระดับ 1 มีอาการป่วยต้องรักษาต่อเนื่อง จ่ายไม่เกิน 1 แสนบาท ระดับ 2 เกิดความเสียหายถึงขั้นสูญเสียอวัยวะหรือพิการจนมีผลต่อการดํารงชีวิต จ่ายไม่เกิน 2.4 แสนบาท และระดับ 3 กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร จ่ายไม่เกิน 4 แสนบาท ทั้งนี้ผู้ได้รับผลกระทบจากการฉีดวัคซีนโควิด-19 สามารถยื่นคําร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นได้ใน 3 จุด คือ ที่หน่วยบริการที่ไปรับการฉีด ที่สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด และที่ สปสช.เขตพื้นที่ ซึ่งหลังจากคณะอนุกรรมการในระดับเขต (ประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนภาคประชาชน) ได้รับคําร้องฯ แล้วจะเร่งพิจารณาในการจ่ายเงินเยียวยาตามหลักฐานทางการแพทย์และระดับความหนักเบาของอาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด อย่างไรก็ตามหากผู้ยื่นคําร้องไม่เห็นด้วยกับผลการวินิจฉัยสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อเลขาธิการ สปสช. ได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ทราบผลการวินิจฉัย โดยสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วน สปสช. 1330 หรือดาวน์โหลดแแบบคําร้องขอรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นกรณีได้รับความเสียหายจากการรับวัคซีนป้องกันโควิดได้ ที่ https://www.nhso.go.th/storage/files/841/001/nhso_VaccinCovid19.pdf” รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าว -----------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47664
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จัดอบรมพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ให้มีทักษะการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ ในรูปแบบออนไลน์
วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565 กระทรวงยุติธรรม จัดอบรมพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ให้มีทักษะการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ ในรูปแบบออนไลน์ กระทรวงยุติธรรม จัดอบรมพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ให้มีทักษะการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ ในรูปแบบออนไลน์ ในวันจันทร์ที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอบรมพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ให้มีทักษะการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ รูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Cisco Webex Meetings และห้องประชุม ๔-๐๓ ชั้น ๔ อาคารกระทรวงยุติธรรม โดยมี นายมนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนยุติธรรม กล่าวรายงาน สําหรับผู้เข้ารับการอบรม ประกอบด้วย ข้าราชการ พนักงานกองทุนยุติธรรม และผู้ปฏิบัติงานด้านกองทุนยุติธรรม ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมจํานวนทั้งสิ้น ๑๐๐ คน จัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเรื่องการประชาสัมพันธ์ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ให้กับผู้เข้าอบรมสามารถนําความรู้ที่ได้รับไปพัฒนา ต่อยอด และสั่งสมประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง ตลอดจนเสริมสร้างทักษะและสมรรถนะให้บุคลากรและผู้ปฏิบัติงานฯ มีสมรรถนะที่พร้อมสนับสนุนงานกองทุนยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงยุติธรรม จัดอบรมพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ให้มีทักษะการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ ในรูปแบบออนไลน์ วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565 กระทรวงยุติธรรม จัดอบรมพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ให้มีทักษะการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ ในรูปแบบออนไลน์ กระทรวงยุติธรรม จัดอบรมพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ให้มีทักษะการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ ในรูปแบบออนไลน์ ในวันจันทร์ที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๐๘.๓๐ น. นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการอบรมพัฒนาบุคลากรที่ปฏิบัติงานด้านประชาสัมพันธ์ให้มีทักษะการสื่อสารประชาสัมพันธ์ที่เป็นเลิศ รูปแบบออนไลน์ผ่านระบบ Cisco Webex Meetings และห้องประชุม ๔-๐๓ ชั้น ๔ อาคารกระทรวงยุติธรรม โดยมี นายมนินธ์ สุทธิวัฒนานิติ ผู้อํานวยการสํานักงานกองทุนยุติธรรม กล่าวรายงาน สําหรับผู้เข้ารับการอบรม ประกอบด้วย ข้าราชการ พนักงานกองทุนยุติธรรม และผู้ปฏิบัติงานด้านกองทุนยุติธรรม ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค รวมจํานวนทั้งสิ้น ๑๐๐ คน จัดขึ้นเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเรื่องการประชาสัมพันธ์ทั้งภายในและภายนอกองค์กร ให้กับผู้เข้าอบรมสามารถนําความรู้ที่ได้รับไปพัฒนา ต่อยอด และสั่งสมประสบการณ์จากการปฏิบัติจริง ตลอดจนเสริมสร้างทักษะและสมรรถนะให้บุคลากรและผู้ปฏิบัติงานฯ มีสมรรถนะที่พร้อมสนับสนุนงานกองทุนยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56229
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็มจ.พังงา เข้าชมได้ตั้งแต่ 4 ก.พ.นี้ วธ.ชูเป็นแหล่งเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์ “เรียนรู้ รำลึก ผนึกชุมชนก้าวไปด้วยกัน”
วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 นายกรัฐมนตรีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็มจ.พังงา เข้าชมได้ตั้งแต่ 4 ก.พ.นี้ วธ.ชูเป็นแหล่งเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์ “เรียนรู้ รําลึก ผนึกชุมชนก้าวไปด้วยกัน” นายกรัฐมนตรีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็มจ.พังงา เข้าชมได้ตั้งแต่ 4 ก.พ.นี้ วธ.ชูเป็นแหล่งเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์ “เรียนรู้ รําลึก ผนึกชุมชนก้าวไปด้วยกัน” เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ช่วยสร้างงาน-รายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็มจ.พังงา เข้าชมได้ตั้งแต่ 4 ก.พ.นี้ วธ.ชูเป็นแหล่งเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์ “เรียนรู้ รําลึก ผนึกชุมชนก้าวไปด้วยกัน” เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ช่วยสร้างงาน-รายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 10.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิ บ้านน้ําเค็ม ตําบลบางม่วง อําเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ผ่านระบบออนไลน์และมีการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT 2HD และแฟนเพจ เฟซบุ๊กกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นายจําเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา หัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อําเภอตะกั่วป่านายกองค์การบริหารส่วนตําบลบางม่วง ผู้นําชุมชนและชาวตําบลบางม่วง เข้าร่วม ณ พิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็ม ตําบลบางม่วง อําเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เข้าร่วมในพิธีเปิดและรับฟังบทเพลงและบทกลอนรําลึกถึงเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิที่ผ่านมากว่า 17 ปี โดยนายจุมพล ทองตัน หรือโกไข่และเด็กชายกามินทร์ ถือแก้ว ผู้ชนะเลิศการประกวดแต่งบทกลอน “น้ําเค็มบ้านฉัน” ชมนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์ เรือส้ม เรือฟ้า แสดงศิลปวัฒนธรรมถิ่นใต้และร้านค้าตลาดชุมชน รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็ม ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เพื่อเป็นสถานที่รําลึกถึงเหตุการณ์พิบัติภัยแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 และยังเป็นสถานที่เรียนรู้ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อการเฝ้าระวังและป้องกัน ซึ่งแต่เดิมคนไทยไม่เคยประสบเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาก่อน ทั้งยังแสดงถึงความร่วมมือของคนไทย และคนทั่วโลก ที่เดินทางมาร่วมรําลึกทุกปี รวมทั้งเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเป็นศูนย์รวมกิจกรรมเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมชุมชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และบริเวณใกล้เคียงอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ใหม่ของวธ.คือ “วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ มีบทบาทนําในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย” และปรับเปลี่ยนภารกิจ ทั้งการสร้างคุณค่าทางสังคมและมูลค่าทางเศรษฐกิจ สู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ ขณะนี้การดําเนินการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็มและงานปรับปรุงภูมิทัศน์เสร็จสมบูรณ์แล้ว สําหรับพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็มสร้างขึ้นบนพื้นที่กว่า 5 ไร่ โดยอาคารจัดแสดงหลักเป็นอาคารชั้นเดียว ด้านหน้าออกแบบเป็นเส้นโค้งในรูปแบบของคลื่น และมีช่องเปิดรับแสงเป็นทรงกลมแบบฟองคลื่นกระจายตามความยาวของอาคาร ทําให้ภายในอาคาร เกิดที่ว่างคล้ายท้องคลื่นยาวตลอดห้องจัดแสดง โดยมีหอเตือนภัยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องมือประมงพื้นบ้าน เป็นแลนด์มาร์กที่ให้ผู้มาเยี่ยมเยียนสามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพได้โดยรอบและพื้นที่โครงการฯ แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.ส่วนจัดแสดงภายนอกอาคาร จัดแสดงเรือประมง 2 ลํา ที่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิพัดพาเข้ามาจากชายฝั่งเหลือร่องรอยยังคงเป็นวัตถุพยานที่สําคัญของเหตุการณ์ในครั้งนั้น 2.ส่วนบริการ ภายในมีพื้นที่สําหรับเจ้าหน้าที่ให้บริการข้อมูล ส่วนขายของที่ระลึก ห้องน้ําบริการประชาชน โดยมีห้องมัลติมีเดียจัดฉายวีดิทัศน์เกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยสึนามิ เป็นการนําเข้าสู่เนื้อหาการจัดแสดงนิทรรศการ 3.ส่วนจัดแสดงนิทรรศการ ประกอบด้วย พื้นที่จัดแสดงที่ร้อยเรียงเรื่องราวประกอบวัตถุจัดแสดงซึ่งเก็บรวบรวม จากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิที่เกิดขึ้นในไทยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 โดยลําดับของการจัดแสดงโซนที่ 1 สัณฐานของบ้านน้ําเค็ม โซนที่ 2 เรื่องเล่าจากผู้ประสบภัย โซนที่ 3 ความรู้เบื้องต้นธรรมชาติของสึนามิ โซนที่ 4 เล่าเรื่องจากวัตถุ โซนที่ 5 และโซนที่ 6 เป็นเรื่องราวต่อเนื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากภัยพิบัติในด้านการเรียนรู้และป้องกัน ส่วนสุดท้ายโซนที่ 7 เป็นบ้านพื้นที่ที่เปิดให้ชุมชนสามารถเข้าใช้สอยในกิจกรรมของชุมชน และ 4.พื้นที่สนับสนุนอื่นๆ เช่น ลานจอดรถและพื้นที่ภูมิทัศน์โดยรอบอาคาร ทั้งนี้ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน นักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างประเทศ สามารถเข้าชมด้านตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ ตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.30 น. เป็นต้นไป โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์-อังคาร) สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 0 7641 0245 หรือสายด่วนวัฒนธรรม 1765 Email: Bannamkhemtsunami@gmail.comและ FB : พิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็ม
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็มจ.พังงา เข้าชมได้ตั้งแต่ 4 ก.พ.นี้ วธ.ชูเป็นแหล่งเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์ “เรียนรู้ รำลึก ผนึกชุมชนก้าวไปด้วยกัน” วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 นายกรัฐมนตรีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็มจ.พังงา เข้าชมได้ตั้งแต่ 4 ก.พ.นี้ วธ.ชูเป็นแหล่งเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์ “เรียนรู้ รําลึก ผนึกชุมชนก้าวไปด้วยกัน” นายกรัฐมนตรีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็มจ.พังงา เข้าชมได้ตั้งแต่ 4 ก.พ.นี้ วธ.ชูเป็นแหล่งเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์ “เรียนรู้ รําลึก ผนึกชุมชนก้าวไปด้วยกัน” เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ช่วยสร้างงาน-รายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ นายกรัฐมนตรีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็มจ.พังงา เข้าชมได้ตั้งแต่ 4 ก.พ.นี้ วธ.ชูเป็นแหล่งเรียนรู้ ทางประวัติศาสตร์ “เรียนรู้ รําลึก ผนึกชุมชนก้าวไปด้วยกัน” เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ช่วยสร้างงาน-รายได้แก่ประชาชนในพื้นที่ เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 10.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์สึนามิ บ้านน้ําเค็ม ตําบลบางม่วง อําเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา ผ่านระบบออนไลน์และมีการถ่ายทอดสดทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT 2HD และแฟนเพจ เฟซบุ๊กกระทรวงวัฒนธรรม โดยมีนายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงวัฒนธรรม นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหารกระทรวงวัฒนธรรม นายจําเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา หัวหน้าส่วนราชการ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อําเภอตะกั่วป่านายกองค์การบริหารส่วนตําบลบางม่วง ผู้นําชุมชนและชาวตําบลบางม่วง เข้าร่วม ณ พิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็ม ตําบลบางม่วง อําเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา เข้าร่วมในพิธีเปิดและรับฟังบทเพลงและบทกลอนรําลึกถึงเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิที่ผ่านมากว่า 17 ปี โดยนายจุมพล ทองตัน หรือโกไข่และเด็กชายกามินทร์ ถือแก้ว ผู้ชนะเลิศการประกวดแต่งบทกลอน “น้ําเค็มบ้านฉัน” ชมนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์ เรือส้ม เรือฟ้า แสดงศิลปวัฒนธรรมถิ่นใต้และร้านค้าตลาดชุมชน รัฐบาล โดยกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) ได้จัดสร้างพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็ม ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา เพื่อเป็นสถานที่รําลึกถึงเหตุการณ์พิบัติภัยแผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 และยังเป็นสถานที่เรียนรู้ ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อการเฝ้าระวังและป้องกัน ซึ่งแต่เดิมคนไทยไม่เคยประสบเหตุการณ์แผ่นดินไหวมาก่อน ทั้งยังแสดงถึงความร่วมมือของคนไทย และคนทั่วโลก ที่เดินทางมาร่วมรําลึกทุกปี รวมทั้งเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม โดยเป็นศูนย์รวมกิจกรรมเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมชุมชน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และบริเวณใกล้เคียงอย่างยั่งยืน ซึ่งเป็นไปตามวิสัยทัศน์ใหม่ของวธ.คือ “วัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ มีบทบาทนําในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมไทย” และปรับเปลี่ยนภารกิจ ทั้งการสร้างคุณค่าทางสังคมและมูลค่าทางเศรษฐกิจ สู่กระทรวงสังคมกึ่งเศรษฐกิจ ขณะนี้การดําเนินการก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็มและงานปรับปรุงภูมิทัศน์เสร็จสมบูรณ์แล้ว สําหรับพิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็มสร้างขึ้นบนพื้นที่กว่า 5 ไร่ โดยอาคารจัดแสดงหลักเป็นอาคารชั้นเดียว ด้านหน้าออกแบบเป็นเส้นโค้งในรูปแบบของคลื่น และมีช่องเปิดรับแสงเป็นทรงกลมแบบฟองคลื่นกระจายตามความยาวของอาคาร ทําให้ภายในอาคาร เกิดที่ว่างคล้ายท้องคลื่นยาวตลอดห้องจัดแสดง โดยมีหอเตือนภัยที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องมือประมงพื้นบ้าน เป็นแลนด์มาร์กที่ให้ผู้มาเยี่ยมเยียนสามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพได้โดยรอบและพื้นที่โครงการฯ แบ่งออกเป็น 4 ส่วนหลัก ได้แก่ 1.ส่วนจัดแสดงภายนอกอาคาร จัดแสดงเรือประมง 2 ลํา ที่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิพัดพาเข้ามาจากชายฝั่งเหลือร่องรอยยังคงเป็นวัตถุพยานที่สําคัญของเหตุการณ์ในครั้งนั้น 2.ส่วนบริการ ภายในมีพื้นที่สําหรับเจ้าหน้าที่ให้บริการข้อมูล ส่วนขายของที่ระลึก ห้องน้ําบริการประชาชน โดยมีห้องมัลติมีเดียจัดฉายวีดิทัศน์เกี่ยวกับเหตุการณ์ภัยสึนามิ เป็นการนําเข้าสู่เนื้อหาการจัดแสดงนิทรรศการ 3.ส่วนจัดแสดงนิทรรศการ ประกอบด้วย พื้นที่จัดแสดงที่ร้อยเรียงเรื่องราวประกอบวัตถุจัดแสดงซึ่งเก็บรวบรวม จากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิที่เกิดขึ้นในไทยเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 โดยลําดับของการจัดแสดงโซนที่ 1 สัณฐานของบ้านน้ําเค็ม โซนที่ 2 เรื่องเล่าจากผู้ประสบภัย โซนที่ 3 ความรู้เบื้องต้นธรรมชาติของสึนามิ โซนที่ 4 เล่าเรื่องจากวัตถุ โซนที่ 5 และโซนที่ 6 เป็นเรื่องราวต่อเนื่องที่เกิดขึ้นภายหลังจากภัยพิบัติในด้านการเรียนรู้และป้องกัน ส่วนสุดท้ายโซนที่ 7 เป็นบ้านพื้นที่ที่เปิดให้ชุมชนสามารถเข้าใช้สอยในกิจกรรมของชุมชน และ 4.พื้นที่สนับสนุนอื่นๆ เช่น ลานจอดรถและพื้นที่ภูมิทัศน์โดยรอบอาคาร ทั้งนี้ นักเรียน นักศึกษา ประชาชน นักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างประเทศ สามารถเข้าชมด้านตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์นี้ ตั้งแต่เวลา 08.30 - 16.30 น. เป็นต้นไป โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายทุกวัน (ยกเว้นวันจันทร์-อังคาร) สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร 0 7641 0245 หรือสายด่วนวัฒนธรรม 1765 Email: Bannamkhemtsunami@gmail.comและ FB : พิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ําเค็ม
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51253
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล)
วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2564 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และคณะรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุม ณ โรงแรมโซฟิเทล กระบี่ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท จังหวัดกระบี่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน 2564 นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔ เวลา ๐๙.๐๐ น. พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (กระบี่ ตรัง พังงา ภูเก็ต ระนอง และสตูล) และประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ โดยมี นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม และคณะรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุม ณ โรงแรมโซฟิเทล กระบี่ โภคีธรา กอล์ฟ แอนด์ สปา รีสอร์ท จังหวัดกระบี่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48306
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ เป็นแรงสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน 2564 นายกรัฐมนตรีเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ เป็นแรงสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ เป็นแรงสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ วันที่12ก.ย. 2564น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเดือนก.ย.เป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้มีข้อสั่งการทั้งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)และในที่ประชุมคณะ กรรมการชุดต่างๆให้ทุกหน่วยรับงบประมาณทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กําหนด “ในช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19งบประมาณภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญของเศรษฐกิจและขณะนี้เป็นช่วงท้ายปีงบประมาณนายกรัฐมนตรีจึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งการเบิกจ่ายทั้งส่วนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบกลางงบจากพ.ร.ก.เงินกู้1ล้านล้านบาทที่ได้รับอนุมัติและทําสัญญาผูกพันไปแล้วเพื่อให้งบประมาณเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจมากที่สุด”น.ส.ไตรศุลีกล่าว รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในส่วนของงบประมาณภายใต้พ.ร.ก.เงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19ฉบับแรกวงเงิน1ล้านล้านบาทณสิ้นเดือนส.ค. 2564มีการอนุมัติแล้วใน269โครงการวงเงินรวม996,008ล้านบาทหรือร้อยละ99.60คงเหลือ3,991.06ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว841,307ล้านบาทหรือร้อยละ84.47ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติแยกเป็นการเบิกจ่ายใน1)แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขกรอบวงเงิน63,898ล้านบาทจํานวน51โครงการ38,069ล้านบาทหรือร้อยละ59.58 2)แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยาชดเชยให้กับภาคประชาชนเกษตรกรและผู้ประกอบการกรอบวงเงิน708,197ล้านบาทจํานวน20โครงการ684,411ล้านบาทหรือร้อยละ96.64และ3)แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมกรอบวงเงิน227,905ล้านบาทจํานวน225โครงการ118,827ล้านบาทหรือร้อยละ53.07 “ครม.เมื่อวันที่7ก.ย. 2564ยังได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขกํากับติดตามหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจากครม.ให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพ.ร.ก.เงินกู้ฯภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้หากในกรณีที่เห็นว่าไม่สามารถดําเนินการแล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลาที่กําหนดให้เร่งจัดทํารายงานปัญหาและอุปสรรคเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ฯทราบต่อไป”น.ส.ไตรศุลีกล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ เป็นแรงสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ วันอาทิตย์ที่ 12 กันยายน 2564 นายกรัฐมนตรีเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ เป็นแรงสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรีเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ เป็นแรงสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ วันที่12ก.ย. 2564น.ส.ไตรศุลีไตรสรณกุลรองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเดือนก.ย.เป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมได้มีข้อสั่งการทั้งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)และในที่ประชุมคณะ กรรมการชุดต่างๆให้ทุกหน่วยรับงบประมาณทั้งส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจเร่งเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามกรอบเวลาที่กําหนด “ในช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19งบประมาณภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนสําคัญของเศรษฐกิจและขณะนี้เป็นช่วงท้ายปีงบประมาณนายกรัฐมนตรีจึงสั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งการเบิกจ่ายทั้งส่วนงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบกลางงบจากพ.ร.ก.เงินกู้1ล้านล้านบาทที่ได้รับอนุมัติและทําสัญญาผูกพันไปแล้วเพื่อให้งบประมาณเข้าไปสู่ระบบเศรษฐกิจมากที่สุด”น.ส.ไตรศุลีกล่าว รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในส่วนของงบประมาณภายใต้พ.ร.ก.เงินกู้เพื่อแก้ไขปัญหาเยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19ฉบับแรกวงเงิน1ล้านล้านบาทณสิ้นเดือนส.ค. 2564มีการอนุมัติแล้วใน269โครงการวงเงินรวม996,008ล้านบาทหรือร้อยละ99.60คงเหลือ3,991.06ล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้ว841,307ล้านบาทหรือร้อยละ84.47ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติแยกเป็นการเบิกจ่ายใน1)แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขกรอบวงเงิน63,898ล้านบาทจํานวน51โครงการ38,069ล้านบาทหรือร้อยละ59.58 2)แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเยียวยาชดเชยให้กับภาคประชาชนเกษตรกรและผู้ประกอบการกรอบวงเงิน708,197ล้านบาทจํานวน20โครงการ684,411ล้านบาทหรือร้อยละ96.64และ3)แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมกรอบวงเงิน227,905ล้านบาทจํานวน225โครงการ118,827ล้านบาทหรือร้อยละ53.07 “ครม.เมื่อวันที่7ก.ย. 2564ยังได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขกํากับติดตามหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจากครม.ให้ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพ.ร.ก.เงินกู้ฯภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุขให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กําหนดไว้หากในกรณีที่เห็นว่าไม่สามารถดําเนินการแล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลาที่กําหนดให้เร่งจัดทํารายงานปัญหาและอุปสรรคเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ฯทราบต่อไป”น.ส.ไตรศุลีกล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45746
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มข่าวดี ซาอุดีอาระเบียยกเลิกข้อห้ามคนซาอุดีฯ เดินทางเข้าไทย อนุญาตคนไทยเข้าซาอุดีฯ ได้
วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มข่าวดี ซาอุดีอาระเบียยกเลิกข้อห้ามคนซาอุดีฯ เดินทางเข้าไทย อนุญาตคนไทยเข้าซาอุดีฯ ได้ และยกเลิกข้อห้ามนําเข้าสินค้าสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจากไทย เชื่อมั่นต่อยอดสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจมหาศาล วันนี้ (16 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบข่าวที่น่ายินดีว่า รัฐบาลซาอุดีอาระเบียประกาศยกเลิกการห้ามบุคคลสัญชาติซาอุดีฯ เดินทางเข้าไทย ซึ่งเป็นข้อห้ามที่มีมายาวนานกว่า 30 ปี รวมทั้งอนุญาตให้บุคคลสัญชาติไทยเดินทางเข้าซาอุดีฯ ได้ โฆษกรัฐบาลฯ เชื่อมั่นว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวซาอุดีฯ ได้แน่นอน โดย ททท. ตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวซาอุฯ ให้มาเที่ยวไทย 200,000 คน โดยเน้นกลุ่มครอบครัว คนรุ่นใหม่ วัยทํางาน กลุ่มคนรักสุขภาพ และกลุ่มคู่รักฮันนีมูน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เป็นกลุ่มที่ค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่าหลาย ๆ ชาติ และเป็นกลุ่มที่ยังไม่เคยเดินทางมาไทย นอกจากนี้ อีกหนึ่งข่าวที่น่ายินดี ทางการซาอุดีฯ พิจารณายกเลิกห้ามนําเข้าสินค้าสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจากประเทศไทย ซึ่งไทยถูกระงับและห้ามการนําเข้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 โดยมีสถานประกอบการส่งออกของไทยที่ได้รับอนุญาตขึ้นทะเบียนกว่า 11 แห่ง ถือเป็นข่าวดีด้านการส่งออกปศุสัตว์ไทย โดยเฉพาะในการเสริมสร้างบทบาทของไทยในฐานะครัวโลก เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของซาอุดีอาระเบีย เนื่องจากซาอุดีฯ ถือเป็นประเทศผู้นําเข้าเนื้อสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์แปรรูปรายใหญ่ของโลก ปัจจุบัน ซาอุดีอาระเบีย มีการนําเข้าไก่ปีละ 5.9 แสนตัน ถือเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจ สามารถสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ ข่าวที่น่ายินดีทั้งสองข่าวดังกล่าว เป็นผลมาจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ที่เป็นไปตามลําดับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ภายหลังนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ตามคําเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นการเยือนในระดับผู้นํารัฐบาลระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี นายธนกรกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าผลจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศทั้งสองมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะต่างเป็นสองประเทศที่มีศักยภาพ สามารถผูกสัมพันธ์ เชื่อมโยงเป็นผลทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสําคัญระหว่างกัน โดย นายกฯ ยังได้เน้นย้ํา และสั่งการให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องดําเนินงาน และนําเอาความสําเร็จจากการสานสัมพันธ์ในครั้งนี้ แปลงไปสู่นโยบายและการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมให้ได้โดยเร็ว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มข่าวดี ซาอุดีอาระเบียยกเลิกข้อห้ามคนซาอุดีฯ เดินทางเข้าไทย อนุญาตคนไทยเข้าซาอุดีฯ ได้ วันพุธที่ 16 มีนาคม 2565 ​โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯ ปลื้มข่าวดี ซาอุดีอาระเบียยกเลิกข้อห้ามคนซาอุดีฯ เดินทางเข้าไทย อนุญาตคนไทยเข้าซาอุดีฯ ได้ และยกเลิกข้อห้ามนําเข้าสินค้าสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจากไทย เชื่อมั่นต่อยอดสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจมหาศาล วันนี้ (16 มีนาคม 2565) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบข่าวที่น่ายินดีว่า รัฐบาลซาอุดีอาระเบียประกาศยกเลิกการห้ามบุคคลสัญชาติซาอุดีฯ เดินทางเข้าไทย ซึ่งเป็นข้อห้ามที่มีมายาวนานกว่า 30 ปี รวมทั้งอนุญาตให้บุคคลสัญชาติไทยเดินทางเข้าซาอุดีฯ ได้ โฆษกรัฐบาลฯ เชื่อมั่นว่าประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์ มีเอกลักษณ์สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวซาอุดีฯ ได้แน่นอน โดย ททท. ตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวซาอุฯ ให้มาเที่ยวไทย 200,000 คน โดยเน้นกลุ่มครอบครัว คนรุ่นใหม่ วัยทํางาน กลุ่มคนรักสุขภาพ และกลุ่มคู่รักฮันนีมูน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ เป็นกลุ่มที่ค่าใช้จ่ายต่อหัวสูงกว่าหลาย ๆ ชาติ และเป็นกลุ่มที่ยังไม่เคยเดินทางมาไทย นอกจากนี้ อีกหนึ่งข่าวที่น่ายินดี ทางการซาอุดีฯ พิจารณายกเลิกห้ามนําเข้าสินค้าสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์สัตว์ปีกจากประเทศไทย ซึ่งไทยถูกระงับและห้ามการนําเข้ามาตั้งแต่ปี พ.ศ.2548 โดยมีสถานประกอบการส่งออกของไทยที่ได้รับอนุญาตขึ้นทะเบียนกว่า 11 แห่ง ถือเป็นข่าวดีด้านการส่งออกปศุสัตว์ไทย โดยเฉพาะในการเสริมสร้างบทบาทของไทยในฐานะครัวโลก เพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารของซาอุดีอาระเบีย เนื่องจากซาอุดีฯ ถือเป็นประเทศผู้นําเข้าเนื้อสัตว์ปีกและผลิตภัณฑ์แปรรูปรายใหญ่ของโลก ปัจจุบัน ซาอุดีอาระเบีย มีการนําเข้าไก่ปีละ 5.9 แสนตัน ถือเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจ สามารถสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ ข่าวที่น่ายินดีทั้งสองข่าวดังกล่าว เป็นผลมาจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ที่เป็นไปตามลําดับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ภายหลังนายกรัฐมนตรีเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ ตามคําเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นการเยือนในระดับผู้นํารัฐบาลระหว่างสองประเทศเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี นายธนกรกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าผลจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับซาอุดีอาระเบีย จะก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อประชาชน และประเทศทั้งสองมากยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะต่างเป็นสองประเทศที่มีศักยภาพ สามารถผูกสัมพันธ์ เชื่อมโยงเป็นผลทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสําคัญระหว่างกัน โดย นายกฯ ยังได้เน้นย้ํา และสั่งการให้ทุกหน่วยที่เกี่ยวข้องดําเนินงาน และนําเอาความสําเร็จจากการสานสัมพันธ์ในครั้งนี้ แปลงไปสู่นโยบายและการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมให้ได้โดยเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52592
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รมว.พม." ชื่มชมให้กำลังใจกับ "ไยไหม หญิงไทยในฝรั่งเศส" หลังกลับเมืองไทยในรอบ 3 ปี
วันพุธที่ 12 มกราคม 2565 "รมว.พม." ชื่มชมให้กําลังใจกับ "ไยไหม หญิงไทยในฝรั่งเศส" หลังกลับเมืองไทยในรอบ 3 ปี "รมว.พม." ชื่มชมให้กําลังใจกับ "ไยไหม หญิงไทยในฝรั่งเศส" หลังกลับเมืองไทยในรอบ 3 ปี วันที่ 11 ม.ค. 65เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุม ชั้น 9 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้ไลน์วีดีโอพูดคุยและชื่นชมให้กําลังใจ พร้อมอวยพรปีใหม่และส่งของขวัญปีใหม่ให้กับคุณพิสมัย อ็องเจอลินี (ไยไหม) หญิงไทยจากอําเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่นที่ได้ไปใช้ชีวิตในต่างประเทศที่เมือง Digne les bains ประเทศฝรั่งเศส อยู่ห่างจากกรุงปารีสกว่า 800 กิโลเมตร ซึ่งคุณไยไหมได้ทําแฟนเพจ Facebook และ ช่อง YouTube ชื่อ “ไหมไทยในฝรั่งเศส” และมีผู้ติดตามเป็นจํานวนมาก นายจุติ กล่าวว่า ตนยินดีต้อนรับไยไหมกลับสู่บ้านเกิดในรอบ 3 ปี เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดทําให้ไม่สามารถเดินทางกลับบ้านเกิดได้ และในโอกาสนี้ ตนได้ฝากของขวัญปีใหม่ไปให้ไยไหมและครอบครัว พร้อมทั้งได้อวยพรให้มีความสุขเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ และฝากความสุขความรักไปให้ครอบครัวของไยไหมที่ฝรั่งเศสด้วย ทั้งนี้ขอชื่นชมและให้กําลังใจไยไหมในการใช้ชีวิตในต่างแดนที่ได้นําความเป็นไทยไปเผยแพร่ และขอให้รักษาความเป็นไทยเพื่อนําความเป็นไทยไปให้ต่างชาติได้รับรู้มากยิ่งขึ้น คุณพิสมัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณสําหรับของขวัญและคําอวยพรจากรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามการเดินทางกลับประเทศไทยครั้งนี้ ตนรู้สึกประทับใจตั้งแต่การเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งในเรื่องของการบริการที่ดีของเจ้าหน้าที่สนามบิน มีเจ้าหน้าที่คอยบริการให้คําแนะนําต่างๆในสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งตนรู้สึกอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"รมว.พม." ชื่มชมให้กำลังใจกับ "ไยไหม หญิงไทยในฝรั่งเศส" หลังกลับเมืองไทยในรอบ 3 ปี วันพุธที่ 12 มกราคม 2565 "รมว.พม." ชื่มชมให้กําลังใจกับ "ไยไหม หญิงไทยในฝรั่งเศส" หลังกลับเมืองไทยในรอบ 3 ปี "รมว.พม." ชื่มชมให้กําลังใจกับ "ไยไหม หญิงไทยในฝรั่งเศส" หลังกลับเมืองไทยในรอบ 3 ปี วันที่ 11 ม.ค. 65เวลา 15.00 น. ที่ห้องประชุม ชั้น 9 อาคารกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สะพานขาว กรุงเทพฯ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้ไลน์วีดีโอพูดคุยและชื่นชมให้กําลังใจ พร้อมอวยพรปีใหม่และส่งของขวัญปีใหม่ให้กับคุณพิสมัย อ็องเจอลินี (ไยไหม) หญิงไทยจากอําเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่นที่ได้ไปใช้ชีวิตในต่างประเทศที่เมือง Digne les bains ประเทศฝรั่งเศส อยู่ห่างจากกรุงปารีสกว่า 800 กิโลเมตร ซึ่งคุณไยไหมได้ทําแฟนเพจ Facebook และ ช่อง YouTube ชื่อ “ไหมไทยในฝรั่งเศส” และมีผู้ติดตามเป็นจํานวนมาก นายจุติ กล่าวว่า ตนยินดีต้อนรับไยไหมกลับสู่บ้านเกิดในรอบ 3 ปี เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ที่แพร่ระบาดทําให้ไม่สามารถเดินทางกลับบ้านเกิดได้ และในโอกาสนี้ ตนได้ฝากของขวัญปีใหม่ไปให้ไยไหมและครอบครัว พร้อมทั้งได้อวยพรให้มีความสุขเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ และฝากความสุขความรักไปให้ครอบครัวของไยไหมที่ฝรั่งเศสด้วย ทั้งนี้ขอชื่นชมและให้กําลังใจไยไหมในการใช้ชีวิตในต่างแดนที่ได้นําความเป็นไทยไปเผยแพร่ และขอให้รักษาความเป็นไทยเพื่อนําความเป็นไทยไปให้ต่างชาติได้รับรู้มากยิ่งขึ้น คุณพิสมัยกล่าวเพิ่มเติมว่า ขอขอบคุณสําหรับของขวัญและคําอวยพรจากรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามการเดินทางกลับประเทศไทยครั้งนี้ ตนรู้สึกประทับใจตั้งแต่การเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ทั้งในเรื่องของการบริการที่ดีของเจ้าหน้าที่สนามบิน มีเจ้าหน้าที่คอยบริการให้คําแนะนําต่างๆในสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งตนรู้สึกอบอุ่นใจเป็นอย่างมาก
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50461
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน” กำชับทุกจังหวัดเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวเข้าพื้นที่ ป้องกันแพร่โควิด
วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564 อนุทิน” กําชับทุกจังหวัดเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวเข้าพื้นที่ ป้องกันแพร่โควิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กําชับนายแพทย์สาธารณสุขทุกจังหวัดเฝ้าระวังผู้เดินทางและแรงงานต่างด้าวเข้าพื้นที่ เตรียมพร้อมการรักษาผู้ป่วยโควิดเป็นเครือข่ายในจังหวัดและเขตสุขภาพ ช่วยแบ่งเบาภาระ กทม. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กําชับนายแพทย์สาธารณสุขทุกจังหวัดเฝ้าระวังผู้เดินทางและแรงงานต่างด้าวเข้าพื้นที่ เตรียมพร้อมการรักษาผู้ป่วยโควิดเป็นเครือข่ายในจังหวัดและเขตสุขภาพ ช่วยแบ่งเบาภาระ กทม. พร้อมเพิ่มจํานวนเตียง รพ.บุษราคัมและต่อสัญญาใช้สถานที่ เปิดไอซียูสนามเพิ่ม ตั้งเป้าฉีดวัคซีนกลุ่มผู้สูงอายุและ 7 กลุ่มโรคให้ครบใน 2 เดือน วันนี้ (28 มิถุนายน 2564) ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อํานวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อซักซ้อมความเข้าใจรับมือสถานการณ์โรคโควิด 19 โดยนายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ว่า ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสํารวจทรัพยากรให้พร้อมดูแลผู้ป่วยโควิดและบริหารจัดการการรักษาผู้ป่วยในจังหวัดเป็นเครือข่าย มอบผู้ตรวจราชการทุกเขตสุขภาพบริหารจัดการเตียงและอุปกรณ์การรักษาภาพรวมในเขตสุขภาพ นอกจากนี้ให้ทุกจังหวัดเฝ้าระวังผู้เดินทางเข้ามาในพื้นที่โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานกลับบ้าน เนื่องจากไม่สามารถห้ามการเดินทางได้ โดยขอให้ผู้เดินทางรายงานตัว อสม. เฝ้าระวังติดตาม รวมถึงมีการกักตัวตามมาตรการซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่ดําเนินการในปีที่ผ่านมา ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของ กทม.ที่มีการติดเชื้อจํานวนมาก “กระทรวงสาธารณสุขจะดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ เพื่อลดการป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิต โดยจะเพิ่มจํานวนเตียงในโรงพยาบาลบุษราคัม ซึ่งมีศักยภาพเพิ่มได้อีกหลายพันเตียง โดยวันนี้จะไปหารือกับทางเมืองทองธานี เพื่อขอต่อสัญญาใช้สถานที่ นอกจากนี้ ยังร่วมกับกองทัพบกจัดทําcohort ward และไอซียูสนาม 186 เตียงที่มณฑลทหารบกที่ 11” นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวต่อว่า ส่วนการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ต้องอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคงและฝ่ายปกครอง เฝ้าระวังการหลบหนีหรือลักลอบเข้าประเทศ สําหรับการฉีดวัคซีนโควิด ขณะนี้ฉีดแล้วมากกว่า 9 ล้านโดส เชื่อว่าจะสามารถฉีดได้ถึง 10 ล้านโดสตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายนนี้ นอกจากนี้ได้กําชับให้ดําเนินการฉีดวัคซีนตามนโยบายของ ศบค.ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เน้นฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุและ 7 กลุ่มโรค ที่ได้ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันการป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิต ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ องค์การเภสัชกรรมจัดหามาอย่างเพียงพอในทุกเดือน ล่าสุดมีข่าวดีว่า สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อาจจะขึ้นทะเบียนยาฟาวิพิราเวียร์ที่องค์การเภสัชกรรมใช้สารตั้งต้นมาผลิตในชื่อ“ฟาเวียร์”ได้ในกลางเดือนกรกฎาคมนี้ เนื่องจากผ่านการทดสอบชีวสมมูลแล้ว โดยเดือนสิงหาคมจะผลิตได้เดือนละ 2 ล้านเม็ด ********************************* 28 มิถุนายน 2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อนุทิน” กำชับทุกจังหวัดเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวเข้าพื้นที่ ป้องกันแพร่โควิด วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน 2564 อนุทิน” กําชับทุกจังหวัดเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าวเข้าพื้นที่ ป้องกันแพร่โควิด รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กําชับนายแพทย์สาธารณสุขทุกจังหวัดเฝ้าระวังผู้เดินทางและแรงงานต่างด้าวเข้าพื้นที่ เตรียมพร้อมการรักษาผู้ป่วยโควิดเป็นเครือข่ายในจังหวัดและเขตสุขภาพ ช่วยแบ่งเบาภาระ กทม. รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กําชับนายแพทย์สาธารณสุขทุกจังหวัดเฝ้าระวังผู้เดินทางและแรงงานต่างด้าวเข้าพื้นที่ เตรียมพร้อมการรักษาผู้ป่วยโควิดเป็นเครือข่ายในจังหวัดและเขตสุขภาพ ช่วยแบ่งเบาภาระ กทม. พร้อมเพิ่มจํานวนเตียง รพ.บุษราคัมและต่อสัญญาใช้สถานที่ เปิดไอซียูสนามเพิ่ม ตั้งเป้าฉีดวัคซีนกลุ่มผู้สูงอายุและ 7 กลุ่มโรคให้ครบใน 2 เดือน วันนี้ (28 มิถุนายน 2564) ที่ กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ประชุมทางไกลผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด และผู้อํานวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ เพื่อซักซ้อมความเข้าใจรับมือสถานการณ์โรคโควิด 19 โดยนายอนุทิน ให้สัมภาษณ์ว่า ได้สั่งการให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสํารวจทรัพยากรให้พร้อมดูแลผู้ป่วยโควิดและบริหารจัดการการรักษาผู้ป่วยในจังหวัดเป็นเครือข่าย มอบผู้ตรวจราชการทุกเขตสุขภาพบริหารจัดการเตียงและอุปกรณ์การรักษาภาพรวมในเขตสุขภาพ นอกจากนี้ให้ทุกจังหวัดเฝ้าระวังผู้เดินทางเข้ามาในพื้นที่โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานกลับบ้าน เนื่องจากไม่สามารถห้ามการเดินทางได้ โดยขอให้ผู้เดินทางรายงานตัว อสม. เฝ้าระวังติดตาม รวมถึงมีการกักตัวตามมาตรการซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับที่ดําเนินการในปีที่ผ่านมา ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาภาระของ กทม.ที่มีการติดเชื้อจํานวนมาก “กระทรวงสาธารณสุขจะดูแลเรื่องการรักษาพยาบาลอย่างเต็มที่ เพื่อลดการป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิต โดยจะเพิ่มจํานวนเตียงในโรงพยาบาลบุษราคัม ซึ่งมีศักยภาพเพิ่มได้อีกหลายพันเตียง โดยวันนี้จะไปหารือกับทางเมืองทองธานี เพื่อขอต่อสัญญาใช้สถานที่ นอกจากนี้ ยังร่วมกับกองทัพบกจัดทําcohort ward และไอซียูสนาม 186 เตียงที่มณฑลทหารบกที่ 11” นายอนุทินกล่าว นายอนุทินกล่าวต่อว่า ส่วนการป้องกันไม่ให้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น ต้องอาศัยความร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคงและฝ่ายปกครอง เฝ้าระวังการหลบหนีหรือลักลอบเข้าประเทศ สําหรับการฉีดวัคซีนโควิด ขณะนี้ฉีดแล้วมากกว่า 9 ล้านโดส เชื่อว่าจะสามารถฉีดได้ถึง 10 ล้านโดสตามเป้าหมายภายในเดือนมิถุนายนนี้ นอกจากนี้ได้กําชับให้ดําเนินการฉีดวัคซีนตามนโยบายของ ศบค.ในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เน้นฉีดวัคซีนในกลุ่มผู้สูงอายุและ 7 กลุ่มโรค ที่ได้ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อมให้ครบถ้วน เพื่อป้องกันการป่วยรุนแรงและลดการเสียชีวิต ส่วนยาฟาวิพิราเวียร์ องค์การเภสัชกรรมจัดหามาอย่างเพียงพอในทุกเดือน ล่าสุดมีข่าวดีว่า สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อาจจะขึ้นทะเบียนยาฟาวิพิราเวียร์ที่องค์การเภสัชกรรมใช้สารตั้งต้นมาผลิตในชื่อ“ฟาเวียร์”ได้ในกลางเดือนกรกฎาคมนี้ เนื่องจากผ่านการทดสอบชีวสมมูลแล้ว โดยเดือนสิงหาคมจะผลิตได้เดือนละ 2 ล้านเม็ด ********************************* 28 มิถุนายน 2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43202
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจับมือสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ลุยกวาดล้างสินค้าหลุดมาตรฐานกว่า 18 ล้านบาท
วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2564 กรมศุลกากรจับมือสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ลุยกวาดล้างสินค้าหลุดมาตรฐานกว่า 18 ล้านบาท กรมศุลกากรร่วมกับสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ตรวจสอบสินค้าลักลอบนําเข้าประเทศที่ไม่ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริโภค วันนี้ (วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564) นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรร่วมกับสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สกัดกั้นการนําเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เข้ามาจําหน่ายในราชอาณาจักร โดยเน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการนําเข้าสินค้าที่เป็นของต้องห้ามต้องกํากัดหรือที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานของสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อป้องกันมิให้สินค้าที่ไม่ได้คุณภาพหรือไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจําหน่ายภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ได้มุ่งเน้นการตรวจสอบการนําเข้าสินค้าประเภท อาหาร ยารักษาโรค เครื่องสําอาง เครื่องใช้ไฟฟ้าและของเล่นเด็ก เพราะหากมีการลักลอบนําสินค้าดังกล่าวเข้ามาในประเทศและจําหน่าย อาจทําให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของประชาชน กรมศุลกากรจึงร่วมกับสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สืบสวนหาข่าว เพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบนําสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมเข้ามาในราชอาณาจักร โดยเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 เจ้าหน้าที่กองสืบสวนและปราบปรามกรมศุลกากร และเจ้าหน้าที่สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้เข้าตรวจค้นโกดังแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตบางนา กรุงเทพมหานคร พบสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า และยารักษาโรค เครื่องมือแพทย์ เครื่องสําอาง เลื่อยโซ่ และอื่น ๆ มีเมืองกําเนิดต่างประเทศ ไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงขณะตรวจค้น มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 เจ้าหน้าที่ทั้งสองหน่วยงาน ได้เข้าตรวจค้นโกดังแห่งหนึ่ง ในพื้นที่เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พบสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า ตู้เย็น และอื่นๆ มีเมืองกําเนิดต่างประเทศ ไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงขณะตรวจค้น มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 18 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองกรณีเป็นความผิดตามมาตรา 242 มาตรา 246 ประกอบมาตรา 166 และมาตรา 167 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติเครื่องสําอาง พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 หากมีการพบเห็นการจําหน่ายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรือสงสัยว่าสินค้าดังกล่าวไม่ได้มาตรฐาน ท่านสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ กองสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร หมายเลขโทรศัพท์02-667-6741
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กรมศุลกากรจับมือสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ลุยกวาดล้างสินค้าหลุดมาตรฐานกว่า 18 ล้านบาท วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2564 กรมศุลกากรจับมือสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ลุยกวาดล้างสินค้าหลุดมาตรฐานกว่า 18 ล้านบาท กรมศุลกากรร่วมกับสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ตรวจสอบสินค้าลักลอบนําเข้าประเทศที่ไม่ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรมเพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริโภค วันนี้ (วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564) นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผยว่า กรมศุลกากรร่วมกับสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สกัดกั้นการนําเข้าสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เข้ามาจําหน่ายในราชอาณาจักร โดยเน้นย้ําให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการนําเข้าสินค้าที่เป็นของต้องห้ามต้องกํากัดหรือที่ต้องเป็นไปตามมาตรฐานของสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อป้องกันมิให้สินค้าที่ไม่ได้คุณภาพหรือไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจําหน่ายภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ ได้มุ่งเน้นการตรวจสอบการนําเข้าสินค้าประเภท อาหาร ยารักษาโรค เครื่องสําอาง เครื่องใช้ไฟฟ้าและของเล่นเด็ก เพราะหากมีการลักลอบนําสินค้าดังกล่าวเข้ามาในประเทศและจําหน่าย อาจทําให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินได้ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของประชาชน กรมศุลกากรจึงร่วมกับสํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สืบสวนหาข่าว เพื่อป้องกันและปราบปรามการลักลอบนําสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานอุตสาหกรรมเข้ามาในราชอาณาจักร โดยเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2564 เจ้าหน้าที่กองสืบสวนและปราบปรามกรมศุลกากร และเจ้าหน้าที่สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้เข้าตรวจค้นโกดังแห่งหนึ่งในพื้นที่เขตบางนา กรุงเทพมหานคร พบสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า และยารักษาโรค เครื่องมือแพทย์ เครื่องสําอาง เลื่อยโซ่ และอื่น ๆ มีเมืองกําเนิดต่างประเทศ ไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงขณะตรวจค้น มูลค่าประมาณ 3 ล้านบาท ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2564 เจ้าหน้าที่ทั้งสองหน่วยงาน ได้เข้าตรวจค้นโกดังแห่งหนึ่ง ในพื้นที่เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พบสินค้าประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้า ตู้เย็น และอื่นๆ มีเมืองกําเนิดต่างประเทศ ไม่มีหลักฐานการผ่านพิธีการศุลกากรมาแสดงขณะตรวจค้น มูลค่าประมาณ 15 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ 18 ล้านบาท ซึ่งทั้งสองกรณีเป็นความผิดตามมาตรา 242 มาตรา 246 ประกอบมาตรา 166 และมาตรา 167 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติเครื่องสําอาง พ.ศ. 2558 พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. 2511 และพระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2562 หากมีการพบเห็นการจําหน่ายสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานหรือสงสัยว่าสินค้าดังกล่าวไม่ได้มาตรฐาน ท่านสามารถแจ้งเบาะแสได้ที่ กองสืบสวนและปราบปราม กรมศุลกากร หมายเลขโทรศัพท์02-667-6741
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48553
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วัฒนธรรมนำชีวิต สร้างสรรค์ชีวิตและสังคม อว. พร้อมต่อ ยอดรักษาศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริมคนในพื้นที่ชูวัฒนธรรมท้องถิ่นของตน เผยแพร่สู่สายตาโลก
วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564 วัฒนธรรมนําชีวิต สร้างสรรค์ชีวิตและสังคม อว. พร้อมต่อ ยอดรักษาศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริมคนในพื้นที่ชูวัฒนธรรมท้องถิ่นของตน เผยแพร่สู่สายตาโลก วัฒนธรรมนําชีวิต สร้างสรรค์ชีวิตและสังคม อว. พร้อมต่อ ยอดรักษาศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริมคนในพื้นที่ชูวัฒนธรรมท้องถิ่นของตน เผยแพร่สู่สายตาโลก 13 ธันวาคม 2565 ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวเปิดและแสดงปาฐกถาพิเศษในโครงการสัมมนาวิชาการระดับชาติ "ศิลปะและวัฒนธรรมนําชีวิต กล่อมเกลาจิต สร้างสรรค์ชีวิต และสังคม" ณ สถาบันทักษิณคดีศึกษา เกาะยอ อ.สงขลา จ.สงขลา โดยมี ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และคณะผู้บริหาร อว. คณะผู้บริหารจาก ม.ทักษิณ คณาจารย์ นักศึกษา และเจ้าหน้าที่เข้าร่วมงานดังกล่าว ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า การรักษาศิลปวัฒนธรรมเป็นการรักษาชาติ คํากล่าวนี้เป็นพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ให้ความสําคัญกับศิลปวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างยิ่ง ผมมีความยินดีที่มาร่วมในงานวันนี้ ขอชื่นชมสถาบันทักษิณคดีศึกษา ขอชื่นชมหาวิทยาลัยทักษิณ ซึ่งการมาตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ผมได้มีโอกาสไปตรวจเยี่ยมทั้งวิทยาเขตพัทลุงและวิทยาเขตสงขลา ผมได้เล็งเห็นว่า ม.ทักษิณ มีบทบาทสําคัญในการสร้างนวัตกรรมทางสังคม สถาบันทักษิณคดีศึกษาเป็นสถานบันแนวหน้าที่มีการศึกษาทางด้านโบราณคดี ศิลปวัฒนธรรม ผมหวังว่าในอนาคต มหาลัยทักษิณและมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่สนใจจะเข้ามามีส่วนร่วมผลักดันโครงการและดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญร่วมกับวิทยาสถานสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ หรือเรียกว่า ธัชชา ของ อว. ซึ่งเราศึกษาย้อนโบราณคดีประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ย้อนไปสู่ยุคสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นโอกาสที่จะทําให้เราได้มีบทบาทสูงขึ้น ผมขอเชิญชวนนักปราชญ์ นักวิชาการหรือบุคลากรในแวดวงการศึกษา มาช่วยกันคิด ช่วยกันริเริ่ม ช่วยกันทําให้ศิลปวัฒนธรรมของไทยกลายเป็นวัฒนธรรมระดับโลกและไม่สูญหายไปกับกาลเวลา ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวต่อไปว่า การที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมเป็นลําดับที่ 7 ของโลก เป็นอะไรที่พวกเราดีใจกัน ในเอเชียประเทศที่มีอันดับสูงกว่าประเทศไทยมีประเทศเดียวเท่านั้นคือประเทศอินเดีย สิ่งเหล่านี้เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ทุกท่านสามารถสังเกตเกี่ยวกับเรื่องศิลปวัฒนธรรม สุนทรียภาพ ความงาม ดนตรีของไทย มีการสนับสนุนค่อนข้างน้อย แต่กลายเป็นว่าเราถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่ดีที่สุดอันดับที่ 7 ของโลก ทั้งทั้งที่เราไม่ได้ผลักดันอะไรมากมาย เราควรเอาเรื่องนี้มาคิดให้มันลึกมากยิ่งขึ้น ซึ่งมหาวิทยาลัยในภาคใต้หลายแห่ง รวมทั้งมหาลัยทักษิณ มีศักยภาพที่จะทําการศึกษา วิจัย สร้างสรรค์เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม เกี่ยวกับอารยธรรมโบราณและทุกๆอย่างที่เป็นของไทย และพยายามอธิบายให้ได้ว่า ทําไมเราถึงมีมรดกทางวัฒนธรรมสูงขนาดนี้และนํามาถอดเป็นบทเรียนและเผยแพร่ต่อไป รมว.อว. กล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้นักศึกษาของเราเรียนกันเอง เรียนจากสิ่งแวดล้อม จากชุมชน อาจารย์สอนน้อยในประเด็นของศิลปวัฒนธรรมและไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร ตัวแทนหนึ่งที่สําคัญที่สามารถถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรม คือ ลลิษา มโนบาน หรือ ลิซ่า Blackpink ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ศึกษาทางด้านศิลปวัฒนธรรม แต่ในตัวของเธอมีดีเอ็นเอของคนไทย จึงสามารถถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรม ประเพณีของไทยออกไปสู่สากลได้อย่างโด่งดัง จนทําให้ศิลปวัฒนธรรมของไทยกลายเป็นที่รู้จักระดับโลกเพียงข้ามคืน ผมขอฝากเป็นแง่คิดเรื่อง อารยธรรม ศิลปะ ศาสนา อะไรต่างๆที่เมื่อก่อนเราทําเพราะว่าเรารักความเป็นไทย แต่ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไป แต่ก่อนสิ่งที่เราทําก่อให้เกิดรายจ่ายตามมา แต่ขณะนี้ สิ่งที่เราสื่อสารและเผยแพร่อารยธรรม ศิลปวัฒนธรรมไทยจากรายจ่ายตอนนี้กลายเป็นรายรับเข้าสู่ประเทศ ยุคปัจจุบันเราสามารถทําให้ศิลปวัฒนธรรม อารยธรรมดั้งเดิม ผลิตภัณฑ์ของไทยให้เปลี่ยนเป็นรายได้ให้กับประเทศได้ เรียกว่า ยุคอุตสาหกรรมทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบมาก บรรพบุรุษของเราแต่เดิมสนใจเรื่องศาสนาและอารยธรรม วัฒนธรรม ซึ่งเยาวชนรุ่นหลังสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งเรานี้ได้และนําไปต่อยอดประสานกับกระแสโลกจนกลายเป็นอนาคตของวิชาชีพการงานและเศรษฐกิจของประเทศไทย ผมอยากให้สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลาและอีกหลายๆมหาวิทยาลัย ได้ศึกษาวิจัยเพิ่มเติมขึ้นอีกจากที่ศึกษามาแล้วและนํามาแปรเปลี่ยนให้เป็นการท่องเที่ยว เปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ สินค้าและบริการ ที่สามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้ “อีกประการหนึ่งจากการที่ผมได้ไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยในทุกๆที่ มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเกิดจากส่วนกลางมีลักษณะเป็นกรมแต่มีลักษณะแปลกคือตั้งอยู่บนท้องถิ่นต่างๆ ผมก็พบว่ามหาวิทยาลัยของ อว. เป็นที่ยอมรับของจังหวัดของภูมิภาคของสังคมมาก ซึ่งทําให้เรามีพลัง การที่เรามีบางมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเมืองและอยู่นอกเมืองกลายเป็นส่วนหนึ่งของแต่ละพื้นที่ ผมอยากจะเชียร์ให้เกิดความคลุกคลีระหว่างคนในจังหวัดกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งมหาวิทยาลัยจะกลายเป็นกําลังของคนในพื้นที่ ของจังหวัด ของภาค และมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนจังหวัดหรือภาคนั้นนั้นให้เจริญเติบโตและพัฒนาสืบต่อไป” รมว.อว. กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วัฒนธรรมนำชีวิต สร้างสรรค์ชีวิตและสังคม อว. พร้อมต่อ ยอดรักษาศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริมคนในพื้นที่ชูวัฒนธรรมท้องถิ่นของตน เผยแพร่สู่สายตาโลก วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม 2564 วัฒนธรรมนําชีวิต สร้างสรรค์ชีวิตและสังคม อว. พร้อมต่อ ยอดรักษาศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริมคนในพื้นที่ชูวัฒนธรรมท้องถิ่นของตน เผยแพร่สู่สายตาโลก วัฒนธรรมนําชีวิต สร้างสรรค์ชีวิตและสังคม อว. พร้อมต่อ ยอดรักษาศิลปวัฒนธรรม ส่งเสริมคนในพื้นที่ชูวัฒนธรรมท้องถิ่นของตน เผยแพร่สู่สายตาโลก 13 ธันวาคม 2565 ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวเปิดและแสดงปาฐกถาพิเศษในโครงการสัมมนาวิชาการระดับชาติ "ศิลปะและวัฒนธรรมนําชีวิต กล่อมเกลาจิต สร้างสรรค์ชีวิต และสังคม" ณ สถาบันทักษิณคดีศึกษา เกาะยอ อ.สงขลา จ.สงขลา โดยมี ดร.ดนุช ตันเทอดทิตย์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจํากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และคณะผู้บริหาร อว. คณะผู้บริหารจาก ม.ทักษิณ คณาจารย์ นักศึกษา และเจ้าหน้าที่เข้าร่วมงานดังกล่าว ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า การรักษาศิลปวัฒนธรรมเป็นการรักษาชาติ คํากล่าวนี้เป็นพระราชดํารัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ให้ความสําคัญกับศิลปวัฒนธรรมไทยเป็นอย่างยิ่ง ผมมีความยินดีที่มาร่วมในงานวันนี้ ขอชื่นชมสถาบันทักษิณคดีศึกษา ขอชื่นชมหาวิทยาลัยทักษิณ ซึ่งการมาตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ผมได้มีโอกาสไปตรวจเยี่ยมทั้งวิทยาเขตพัทลุงและวิทยาเขตสงขลา ผมได้เล็งเห็นว่า ม.ทักษิณ มีบทบาทสําคัญในการสร้างนวัตกรรมทางสังคม สถาบันทักษิณคดีศึกษาเป็นสถานบันแนวหน้าที่มีการศึกษาทางด้านโบราณคดี ศิลปวัฒนธรรม ผมหวังว่าในอนาคต มหาลัยทักษิณและมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่สนใจจะเข้ามามีส่วนร่วมผลักดันโครงการและดําเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เป็นส่วนหนึ่งที่สําคัญร่วมกับวิทยาสถานสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และศิลปกรรมศาสตร์ หรือเรียกว่า ธัชชา ของ อว. ซึ่งเราศึกษาย้อนโบราณคดีประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม ย้อนไปสู่ยุคสุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นโอกาสที่จะทําให้เราได้มีบทบาทสูงขึ้น ผมขอเชิญชวนนักปราชญ์ นักวิชาการหรือบุคลากรในแวดวงการศึกษา มาช่วยกันคิด ช่วยกันริเริ่ม ช่วยกันทําให้ศิลปวัฒนธรรมของไทยกลายเป็นวัฒนธรรมระดับโลกและไม่สูญหายไปกับกาลเวลา ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าวต่อไปว่า การที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีมรดกทางวัฒนธรรมเป็นลําดับที่ 7 ของโลก เป็นอะไรที่พวกเราดีใจกัน ในเอเชียประเทศที่มีอันดับสูงกว่าประเทศไทยมีประเทศเดียวเท่านั้นคือประเทศอินเดีย สิ่งเหล่านี้เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ทุกท่านสามารถสังเกตเกี่ยวกับเรื่องศิลปวัฒนธรรม สุนทรียภาพ ความงาม ดนตรีของไทย มีการสนับสนุนค่อนข้างน้อย แต่กลายเป็นว่าเราถูกจัดอันดับเป็นประเทศที่ดีที่สุดอันดับที่ 7 ของโลก ทั้งทั้งที่เราไม่ได้ผลักดันอะไรมากมาย เราควรเอาเรื่องนี้มาคิดให้มันลึกมากยิ่งขึ้น ซึ่งมหาวิทยาลัยในภาคใต้หลายแห่ง รวมทั้งมหาลัยทักษิณ มีศักยภาพที่จะทําการศึกษา วิจัย สร้างสรรค์เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม เกี่ยวกับอารยธรรมโบราณและทุกๆอย่างที่เป็นของไทย และพยายามอธิบายให้ได้ว่า ทําไมเราถึงมีมรดกทางวัฒนธรรมสูงขนาดนี้และนํามาถอดเป็นบทเรียนและเผยแพร่ต่อไป รมว.อว. กล่าวต่อไปว่า ทุกวันนี้นักศึกษาของเราเรียนกันเอง เรียนจากสิ่งแวดล้อม จากชุมชน อาจารย์สอนน้อยในประเด็นของศิลปวัฒนธรรมและไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร ตัวแทนหนึ่งที่สําคัญที่สามารถถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรม คือ ลลิษา มโนบาน หรือ ลิซ่า Blackpink ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ศึกษาทางด้านศิลปวัฒนธรรม แต่ในตัวของเธอมีดีเอ็นเอของคนไทย จึงสามารถถ่ายทอดศิลปวัฒนธรรม ประเพณีของไทยออกไปสู่สากลได้อย่างโด่งดัง จนทําให้ศิลปวัฒนธรรมของไทยกลายเป็นที่รู้จักระดับโลกเพียงข้ามคืน ผมขอฝากเป็นแง่คิดเรื่อง อารยธรรม ศิลปะ ศาสนา อะไรต่างๆที่เมื่อก่อนเราทําเพราะว่าเรารักความเป็นไทย แต่ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไป แต่ก่อนสิ่งที่เราทําก่อให้เกิดรายจ่ายตามมา แต่ขณะนี้ สิ่งที่เราสื่อสารและเผยแพร่อารยธรรม ศิลปวัฒนธรรมไทยจากรายจ่ายตอนนี้กลายเป็นรายรับเข้าสู่ประเทศ ยุคปัจจุบันเราสามารถทําให้ศิลปวัฒนธรรม อารยธรรมดั้งเดิม ผลิตภัณฑ์ของไทยให้เปลี่ยนเป็นรายได้ให้กับประเทศได้ เรียกว่า ยุคอุตสาหกรรมทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งประเทศไทยมีข้อได้เปรียบมาก บรรพบุรุษของเราแต่เดิมสนใจเรื่องศาสนาและอารยธรรม วัฒนธรรม ซึ่งเยาวชนรุ่นหลังสามารถเก็บเกี่ยวสิ่งเรานี้ได้และนําไปต่อยอดประสานกับกระแสโลกจนกลายเป็นอนาคตของวิชาชีพการงานและเศรษฐกิจของประเทศไทย ผมอยากให้สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ มหาวิทยาลัยราชภัฎสงขลาและอีกหลายๆมหาวิทยาลัย ได้ศึกษาวิจัยเพิ่มเติมขึ้นอีกจากที่ศึกษามาแล้วและนํามาแปรเปลี่ยนให้เป็นการท่องเที่ยว เปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ สินค้าและบริการ ที่สามารถเข้าสู่ตลาดโลกได้ “อีกประการหนึ่งจากการที่ผมได้ไปเยี่ยมมหาวิทยาลัยในทุกๆที่ มหาวิทยาลัยในประเทศไทยเกิดจากส่วนกลางมีลักษณะเป็นกรมแต่มีลักษณะแปลกคือตั้งอยู่บนท้องถิ่นต่างๆ ผมก็พบว่ามหาวิทยาลัยของ อว. เป็นที่ยอมรับของจังหวัดของภูมิภาคของสังคมมาก ซึ่งทําให้เรามีพลัง การที่เรามีบางมหาวิทยาลัยที่อยู่ในเมืองและอยู่นอกเมืองกลายเป็นส่วนหนึ่งของแต่ละพื้นที่ ผมอยากจะเชียร์ให้เกิดความคลุกคลีระหว่างคนในจังหวัดกับมหาวิทยาลัยในพื้นที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งมหาวิทยาลัยจะกลายเป็นกําลังของคนในพื้นที่ ของจังหวัด ของภาค และมีบทบาทสําคัญในการขับเคลื่อนจังหวัดหรือภาคนั้นนั้นให้เจริญเติบโตและพัฒนาสืบต่อไป” รมว.อว. กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49575
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อ่านเลย! อัพเดทการโอนเงินเข้าบัตรคนจน บางอย่างถอนเป็นเงินสดได้ สะสมเดือนต่อไปได้ด้วย
วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565 อ่านเลย! อัพเดทการโอนเงินเข้าบัตรคนจน บางอย่างถอนเป็นเงินสดได้ สะสมเดือนต่อไปได้ด้วย อ่านเลย! อัพเดทการโอนเงินเข้าบัตรคนจน บางอย่างถอนเป็นเงินสดได้ สะสมเดือนต่อไปได้ด้วย วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการกําหนดวันโอนเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ของกรมบัญชีกลาง ซึ่งจากเดือนกรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป ทุกวันที่ 1 ของเดือน กรมบัญชีกลางโอนเงินฯ วงเงินซื้อสินค้า 200/300 บาท ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 100 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน (ก.ค. – ก.ย 65) ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ประกอบด้วย ค่าโดยสารรถ บขส. 500 บาทต่อเดือน ค่าโดยสารรถไฟ 500 บาทต่อเดือน ค่าโดยสารรถไฟฟ้า (MRT/BTS/ARL) และ ขสมก. 500 บาทต่อเดือน (สําหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อาศัยอยู่ในเขต กทม. และปริมณฑล) วงเงินดังกล่าว ไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และไม่สะสมในเดือนถัดไป ทุกวันที่ 15 ของเดือน กรมบัญชีกลางโอนเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ 50/100 บาทต่อเดือน (ผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิตั้งแต่เดือน ต.ค. 64 – ก.ค. 65) จะได้รับการโอนเงินเข้าบัตรฯ ตั้งแต่เดือน เม.ย – ก.ย. 65) ซึ่งสามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้ ทุกวันที่ 18 ของเดือน กรมบัญชีกลางโอนเงินคืนค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน เงินคืนค่าน้ําประปา ไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สําหรับผู้ถือบัตรฯ ที่ใช้น้ําประปาไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน จะได้รับเงินคืนค่าน้ําประปาไม่เกิน 100 บาท ส่วนเกินจาก 100 บาท ผู้ถือบัตรฯ เป็นผู้ชําระเอง) ซึ่งสามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้ ทุกวันที่ 22 ของเดือน กรมบัญชีกลางโอนเงินเพิ่มเบี้ยความพิการ 200 ต่อเดือน (สําหรับผู้ถือบัตรฯ ที่มีบัตรประจําตัวคนพิการและได้รับเงินเบี้ยความพิการ) สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้ “รัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญต่อการช่วยเหลือเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และให้การช่วยเหลือเพิ่มเติมกรณีเป็นผู้มีรายได้น้อยที่เป็นผู้สูงอายุ และผู้มีรายได้ที่เป็นคนพิการ มากไปกว่านั้น รัฐบาลอยู่ในขั้นตอนการเตรียมโอนเงินช่วยเหลือพิเศษแก่ผู้สูงอายุ 10.9 ล้านคน เป็นรายเดือน ระยะเวลา 6 เดือน เพิ่มจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เฉลี่ยรายละ 100-250 บาท ตามช่วงอายุ กรมบัญชีกลางคาดจะเริ่มการโอนในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้แน่นอน” นางสาวรัชดา กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อ่านเลย! อัพเดทการโอนเงินเข้าบัตรคนจน บางอย่างถอนเป็นเงินสดได้ สะสมเดือนต่อไปได้ด้วย วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565 อ่านเลย! อัพเดทการโอนเงินเข้าบัตรคนจน บางอย่างถอนเป็นเงินสดได้ สะสมเดือนต่อไปได้ด้วย อ่านเลย! อัพเดทการโอนเงินเข้าบัตรคนจน บางอย่างถอนเป็นเงินสดได้ สะสมเดือนต่อไปได้ด้วย วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการกําหนดวันโอนเงินเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรคนจน ของกรมบัญชีกลาง ซึ่งจากเดือนกรกฎาคม 2565 เป็นต้นไป ทุกวันที่ 1 ของเดือน กรมบัญชีกลางโอนเงินฯ วงเงินซื้อสินค้า 200/300 บาท ส่วนลดค่าซื้อก๊าซหุงต้ม 100 บาทต่อคนต่อ 3 เดือน (ก.ค. – ก.ย 65) ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ประกอบด้วย ค่าโดยสารรถ บขส. 500 บาทต่อเดือน ค่าโดยสารรถไฟ 500 บาทต่อเดือน ค่าโดยสารรถไฟฟ้า (MRT/BTS/ARL) และ ขสมก. 500 บาทต่อเดือน (สําหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่อาศัยอยู่ในเขต กทม. และปริมณฑล) วงเงินดังกล่าว ไม่สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และไม่สะสมในเดือนถัดไป ทุกวันที่ 15 ของเดือน กรมบัญชีกลางโอนเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ 50/100 บาทต่อเดือน (ผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิตั้งแต่เดือน ต.ค. 64 – ก.ค. 65) จะได้รับการโอนเงินเข้าบัตรฯ ตั้งแต่เดือน เม.ย – ก.ย. 65) ซึ่งสามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้ ทุกวันที่ 18 ของเดือน กรมบัญชีกลางโอนเงินคืนค่าไฟฟ้า ไม่เกิน 315 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน เงินคืนค่าน้ําประปา ไม่เกิน 100 บาทต่อครัวเรือนต่อเดือน (สําหรับผู้ถือบัตรฯ ที่ใช้น้ําประปาไม่เกิน 315 บาทต่อเดือน จะได้รับเงินคืนค่าน้ําประปาไม่เกิน 100 บาท ส่วนเกินจาก 100 บาท ผู้ถือบัตรฯ เป็นผู้ชําระเอง) ซึ่งสามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้ ทุกวันที่ 22 ของเดือน กรมบัญชีกลางโอนเงินเพิ่มเบี้ยความพิการ 200 ต่อเดือน (สําหรับผู้ถือบัตรฯ ที่มีบัตรประจําตัวคนพิการและได้รับเงินเบี้ยความพิการ) สามารถถอนเป็นเงินสดได้ และสะสมในเดือนถัดไปได้ “รัฐบาลภายใต้การนําของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ความสําคัญต่อการช่วยเหลือเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และให้การช่วยเหลือเพิ่มเติมกรณีเป็นผู้มีรายได้น้อยที่เป็นผู้สูงอายุ และผู้มีรายได้ที่เป็นคนพิการ มากไปกว่านั้น รัฐบาลอยู่ในขั้นตอนการเตรียมโอนเงินช่วยเหลือพิเศษแก่ผู้สูงอายุ 10.9 ล้านคน เป็นรายเดือน ระยะเวลา 6 เดือน เพิ่มจากเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เฉลี่ยรายละ 100-250 บาท ตามช่วงอายุ กรมบัญชีกลางคาดจะเริ่มการโอนในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้แน่นอน” นางสาวรัชดา กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56393
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อดีตลูกจ้าง บจก.บริลเลียนท์ ปลื้มนายกตู่ ดูแล ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์ได้รับสูงสุด 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ
วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 อดีตลูกจ้าง บจก.บริลเลียนท์ ปลื้มนายกตู่ ดูแล ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์ได้รับสูงสุด 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา อดีตลูกจ้าง บจก.บริลเลียนท์ เฮ แสดงความยินดี ขอบคุณนายกรัฐมนตรี ดําเนินการตามข้อเรียกร้องมอบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างพิจารณาเพิ่มอัตราการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้สูงขึ้นจากเดิม สูงสุดเป็น 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 มี.ค. 63 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึง กรณี สหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนล แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวแทนลูกจ้างบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จํากัด เดินทางมายังกระทรวงแรงงาน จํานวนประมาณ 30 คน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 10.00 น. เพื่อติดตามผลการประชุมคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในการช่วยเหลือลูกจ้าง บจก.บริลเลียนท์ฯ กรณีขอให้แก้ไขระเบียบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้ขยายอัตราการจ่ายเงินกองทุน ซึ่งเรื่องดังกล่าวตัวแทนลูกจ้างได้ยื่นเรื่องต่อนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ดําเนินการตามข้อสั่งการของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ให้ความสําคัญและมีความห่วงใยกลุ่มลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีการถูกเลิกจ้างและไม่ได้รับความเป็นธรรมในสิทธิประโยชน์ที่พึงได้ ย้ําให้กระทรวงแรงงานดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม โดยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลกระทรวงแรงงานได้สั่งการให้พิจารณาปรับปรุงระเบียบเพิ่มอัตราการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบันและตามความเหมาะสม ในวันนี้คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างซึ่งตนเองเป็นประธาน ได้จัดประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 15/2564 คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบให้มีการแก้ไขปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เพิ่มอัตราการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้สูงขึ้นจากเดิมสูงสุดเป็น 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ทั้งกรณีค่าชดเชยและกรณีอื่นนอกจากค่าชดเชย ซึ่งตัวแทนลูกจ้างบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จํากัด ต่างแสดงความยินดี และขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้ใส่ใจและห่วงใยดําเนินการตามข้อเรียกร้องอีกทั้งข้อเสนอของลูกจ้างกลุ่มนี้ส่งผลให้ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบลักษณะเดียวกันได้รับเงินสงเคราะห์เพิ่มขึ้นด้วย นายบุญชอบกล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ไขปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เพิ่มอัตราการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้สูงขึ้นจากเดิมสูงสุดเป็น 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ทั้ง 2 กรณี ดังนี้ กรณีค่าชดเชยจาก 30 เท่า เป็น 60 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวันขั้นต่ําสําหรับลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 3 ปี จาก 50 เท่า เป็น 80 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวันขั้นต่ําสําหรับลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี และ จาก 70 เท่า เป็น 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวันขั้นต่ําสําหรับลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบ 10 ปี ขึ้นไป สําหรับกรณีอื่นนอกจากค่าชดเชย เดิม 60 เท่า เป็น 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวันขั้นต่ํา โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2565 คาดว่าต้องจ่ายเงิน 59 ล้านบาท สงเคราะห์ให้กับลูกจ้างจํานวน 5,270 คน ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเสนอร่างระเบียบดังกล่าวต่อประธานกรรมการและเสนอต่อสํานักงานเลขานุการคณะรัฐมนตรี เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยเร็วที่สุด คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ก่อนปีใหม่
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-อดีตลูกจ้าง บจก.บริลเลียนท์ ปลื้มนายกตู่ ดูแล ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์ได้รับสูงสุด 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ วันศุกร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2564 อดีตลูกจ้าง บจก.บริลเลียนท์ ปลื้มนายกตู่ ดูแล ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์ได้รับสูงสุด 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา อดีตลูกจ้าง บจก.บริลเลียนท์ เฮ แสดงความยินดี ขอบคุณนายกรัฐมนตรี ดําเนินการตามข้อเรียกร้องมอบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างพิจารณาเพิ่มอัตราการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้สูงขึ้นจากเดิม สูงสุดเป็น 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา มีผลย้อนหลังตั้งแต่ 1 มี.ค. 63 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงานเปิดเผยถึง กรณี สหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนล แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นตัวแทนลูกจ้างบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จํากัด เดินทางมายังกระทรวงแรงงาน จํานวนประมาณ 30 คน เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564 เวลา 10.00 น. เพื่อติดตามผลการประชุมคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในการช่วยเหลือลูกจ้าง บจก.บริลเลียนท์ฯ กรณีขอให้แก้ไขระเบียบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างให้ขยายอัตราการจ่ายเงินกองทุน ซึ่งเรื่องดังกล่าวตัวแทนลูกจ้างได้ยื่นเรื่องต่อนายกรัฐมนตรีด้วยเช่นกัน โดยนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้มอบหมายให้ดําเนินการตามข้อสั่งการของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมที่ให้ความสําคัญและมีความห่วงใยกลุ่มลูกจ้างที่ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีการถูกเลิกจ้างและไม่ได้รับความเป็นธรรมในสิทธิประโยชน์ที่พึงได้ ย้ําให้กระทรวงแรงงานดูแลให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม โดยพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีที่กํากับดูแลกระทรวงแรงงานได้สั่งการให้พิจารณาปรับปรุงระเบียบเพิ่มอัตราการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบันและตามความเหมาะสม ในวันนี้คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างซึ่งตนเองเป็นประธาน ได้จัดประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 15/2564 คณะกรรมการฯ มีมติเห็นชอบให้มีการแก้ไขปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เพิ่มอัตราการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้สูงขึ้นจากเดิมสูงสุดเป็น 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ทั้งกรณีค่าชดเชยและกรณีอื่นนอกจากค่าชดเชย ซึ่งตัวแทนลูกจ้างบริษัท บริลเลียนท์ อัลไลแอนซ์ ไทย โกลบอล จํากัด ต่างแสดงความยินดี และขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ได้ใส่ใจและห่วงใยดําเนินการตามข้อเรียกร้องอีกทั้งข้อเสนอของลูกจ้างกลุ่มนี้ส่งผลให้ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบลักษณะเดียวกันได้รับเงินสงเคราะห์เพิ่มขึ้นด้วย นายบุญชอบกล่าวเพิ่มเติมว่า การแก้ไขปรับปรุงระเบียบคณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง เพิ่มอัตราการจ่ายเงินสงเคราะห์ให้สูงขึ้นจากเดิมสูงสุดเป็น 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา ทั้ง 2 กรณี ดังนี้ กรณีค่าชดเชยจาก 30 เท่า เป็น 60 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวันขั้นต่ําสําหรับลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบ 120 วัน แต่ไม่ครบ 3 ปี จาก 50 เท่า เป็น 80 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวันขั้นต่ําสําหรับลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบ 3 ปี แต่ไม่ครบ 10 ปี และ จาก 70 เท่า เป็น 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวันขั้นต่ําสําหรับลูกจ้างซึ่งทํางานติดต่อกันครบ 10 ปี ขึ้นไป สําหรับกรณีอื่นนอกจากค่าชดเชย เดิม 60 เท่า เป็น 100 เท่า ของอัตราค่าจ้างรายวันขั้นต่ํา โดยให้มีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2565 คาดว่าต้องจ่ายเงิน 59 ล้านบาท สงเคราะห์ให้กับลูกจ้างจํานวน 5,270 คน ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเสนอร่างระเบียบดังกล่าวต่อประธานกรรมการและเสนอต่อสํานักงานเลขานุการคณะรัฐมนตรี เพื่อประกาศในราชกิจจานุเบกษาโดยเร็วที่สุด คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ก่อนปีใหม่
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/48443
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผนึกกำลัง อาชีวะ ส่งเสริม นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับมีงานทำ
วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 ก.แรงงาน ผนึกกําลัง อาชีวะ ส่งเสริม นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับมีงานทํา .. ก.แรงงาน ผนึกกําลัง อาชีวะ ส่งเสริม นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับมีงานทํา เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อเชื่อมโยงภารกิจตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับกระทรวงแรงงาน ณ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายณัฐพงศ์ นวลมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานและกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยนายสุเทพ กล่าวว่า ในวันนี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ผมประชุมหารือร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเชื่อมโยงภารกิจภายใต้กรอบความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษากับการมีงานทําให้แก่นักเรียน นักศึกษาและแรงงานทุกระดับ ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีความร่วมมือด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อบูรณาการการดําเนินงานด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานและด้านการอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกัน มีการวางแผนการดําเนินงานและการจัดการทรัพยากรร่วมกัน เพื่อสร้าง และยกระดับทรัพยากรมนุษย์เข้าสู่การทํางานให้ตรงตามความต้องการของภาคการผลิตและบริการทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ “ความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานจะเป็นนิมิตรหมายอันดีที่จะช่วยยกระดับฝีมือแรงงานให้นักเรียน นักศึกษา ซึ่งเป็นกําลังสําคัญในการเตรียมความพร้อมทักษะฝีมือ เพื่อก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคตได้อย่างมีศักยภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ”นายสุเทพ กล่าวในท้ายสุด
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ก.แรงงาน ผนึกกำลัง อาชีวะ ส่งเสริม นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับมีงานทำ วันศุกร์ที่ 7 มกราคม 2565 ก.แรงงาน ผนึกกําลัง อาชีวะ ส่งเสริม นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับมีงานทํา .. ก.แรงงาน ผนึกกําลัง อาชีวะ ส่งเสริม นักเรียน นักศึกษา และแรงงานทุกระดับมีงานทํา เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ นายสุเทพ ชิตยวงษ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานการประชุมหารือเพื่อเชื่อมโยงภารกิจตามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการกับกระทรวงแรงงาน ณ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ อําเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา โดยมี นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ โฆษกกระทรวงแรงงาน (ฝ่ายการเมือง) นายณัฐพงศ์ นวลมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงานและกระทรวงศึกษาธิการ เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย โดยนายสุเทพ กล่าวว่า ในวันนี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้ผมประชุมหารือร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเชื่อมโยงภารกิจภายใต้กรอบความร่วมมือว่าด้วยการส่งเสริมการศึกษากับการมีงานทําให้แก่นักเรียน นักศึกษาและแรงงานทุกระดับ ซึ่งกระทรวงแรงงาน โดยกรมพัฒนาฝีมือแรงงานมีความร่วมมือด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานร่วมกับสํานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อบูรณาการการดําเนินงานด้านการพัฒนาฝีมือแรงงานและด้านการอาชีวศึกษาให้สอดคล้องกัน มีการวางแผนการดําเนินงานและการจัดการทรัพยากรร่วมกัน เพื่อสร้าง และยกระดับทรัพยากรมนุษย์เข้าสู่การทํางานให้ตรงตามความต้องการของภาคการผลิตและบริการทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ “ความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงานจะเป็นนิมิตรหมายอันดีที่จะช่วยยกระดับฝีมือแรงงานให้นักเรียน นักศึกษา ซึ่งเป็นกําลังสําคัญในการเตรียมความพร้อมทักษะฝีมือ เพื่อก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานในอนาคตได้อย่างมีศักยภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการ”นายสุเทพ กล่าวในท้ายสุด
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50322
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กรมการจัดหางาน ยืนยันต่างด้าว 4 สัญชาติ ยื่น Name List แล้ว สามารถอยู่และทำงานไปพลางได้ถึง 15 ต.ค. 65
วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2565 ​กรมการจัดหางาน ยืนยันต่างด้าว 4 สัญชาติ ยื่น Name List แล้ว สามารถอยู่และทํางานไปพลางได้ถึง 15 ต.ค. 65 นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน แจ้งนายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างคนต่างด้าว 4 สัญชาติ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามมติครม. วันที่ 5 กรกฎาคม 2565 ที่ยื่นบัญชีรายชื่อความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว (Name List) ต่อกรมการจัดหางาน ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2565 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษและทํางานกับนายจ้างไปพลางก่อนได้ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2565 ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยและประกาศกระทรวงแรงงาน แม้คนต่างด้าวจะยังไม่ได้รับการอนุมัติบัญชีรายชื่อ( Name List ) ทั้งนี้ เมื่อคนต่างด้าวได้รับอนุมัติ Name List แล้ว สามารถพิมพ์ใบชําระค่าธรรมเนียมจากระบบและชําระค่าธรรมเนียมได้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคมเป็นต้นไป จากนั้นยื่นคําขออนุญาตทํางานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-​กรมการจัดหางาน ยืนยันต่างด้าว 4 สัญชาติ ยื่น Name List แล้ว สามารถอยู่และทำงานไปพลางได้ถึง 15 ต.ค. 65 วันอังคารที่ 16 สิงหาคม 2565 ​กรมการจัดหางาน ยืนยันต่างด้าว 4 สัญชาติ ยื่น Name List แล้ว สามารถอยู่และทํางานไปพลางได้ถึง 15 ต.ค. 65 นายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน แจ้งนายจ้าง/สถานประกอบการที่จ้างคนต่างด้าว 4 สัญชาติ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ตามมติครม. วันที่ 5 กรกฎาคม 2565 ที่ยื่นบัญชีรายชื่อความต้องการจ้างแรงงานต่างด้าว (Name List) ต่อกรมการจัดหางาน ภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2565 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษและทํางานกับนายจ้างไปพลางก่อนได้ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2565 ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยและประกาศกระทรวงแรงงาน แม้คนต่างด้าวจะยังไม่ได้รับการอนุมัติบัญชีรายชื่อ( Name List ) ทั้งนี้ เมื่อคนต่างด้าวได้รับอนุมัติ Name List แล้ว สามารถพิมพ์ใบชําระค่าธรรมเนียมจากระบบและชําระค่าธรรมเนียมได้ตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคมเป็นต้นไป จากนั้นยื่นคําขออนุญาตทํางานแทนคนต่างด้าวผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ภายในวันที่ 15 ตุลาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/58091
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เปิดโอกาสให้คณะนักธุรกิจภาคการท่องเที่ยวเข้าหารือ รับข้อเสนอเพื่อภาครัฐสนับสนุนการฟื้นตัว พร้อมขอความร่วมมือดำเนินการตามมาตรการเข้ม
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565 รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เปิดโอกาสให้คณะนักธุรกิจภาคการท่องเที่ยวเข้าหารือ รับข้อเสนอเพื่อภาครัฐสนับสนุนการฟื้นตัว พร้อมขอความร่วมมือดําเนินการตามมาตรการเข้ม รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เปิดโอกาสให้คณะนักธุรกิจภาคการท่องเที่ยวเข้าหารือ รับข้อเสนอเพื่อภาครัฐสนับสนุนการฟื้นตัว พร้อมขอความร่วมมือดําเนินการตามมาตรการเข้ม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประชาชนปลอดภัยและเศรษฐกิจฟื้นตัวไปด้วยกัน วันที่ 28 ม.ค. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ (28 ม.ค.65) เวลา 14.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้เปิดโอกาสให้ นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี รองประธา สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) นําคณะผู้บริหาร สทท. ผู้บริหารสมาคมธุรกิจด้านการท่องเที่ยวในภาคตะวันออก เข้าพบ ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล เพื่อขอบคุณที่รัฐบาลได้ผลักดันให้มีการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศผ่านระบบ Test&Go อีกครั้ง รวมถึงการมีข้อเสนอในประเด็นต่าง ๆ เพื่อให้ภาครัฐให้การสนับสนุนเพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้ นายอนุทิน ได้รับข้อที่ภาคธุรกิจเสนอเกี่ยวกับการขอยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้แก่โรงแรมที่ได้ปรับมาเป็น Hospitel เพื่อเป็นการจูงใจและลดภาระให้กับผู้ประกอบการมากขึ้น โดยจะได้นําเรียนหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รวมถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงมาตรการที่ทางเอกชนเสนอในครั้งนี้และมาตรการอื่น ๆ ต่อไป พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวในการหารือถึงแนวทางของรัฐบาลว่า ขณะนี้ได้อยู่ในทิศทางของการผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจทุกด้านรวมถึงการท่องเที่ยวสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่ประเด็นที่ยังคงให้ความสําคัญมากที่สุดก็คือความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของประชาชน ดังนี้ เมื่อรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ให้แล้วก็อยากขอให้ผู้ประกอบการร่วมกับรัฐในการควบคุมดูแลนักท่องเที่ยว ดําเนินการคัดกรองตามมาตรการที่เข้มงวด ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดที่มาจากคลัสเตอร์การท่องเที่ยว ซึ่งหากควบคุมได้ดีประชาชนเกิดความเชื่อมั่นทุกอย่างก็จะเดินหน้าไปได้ และภาคธุรกิจการท่องเที่ยว เศรษฐกิจในภาพรวมก็จะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรียังได้ขอให้ผู้ประกอบการได้เข้มงวดในมาตรการ Covid Free Setting ซึ่งเป็นมาตรการสําคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานประกอบการภาคการท่องเที่ยว ส่วนบุคลากรก็ขอให้เข้ารับวัคซีนให้ครบเพราะขณะนี้รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขก็ได้จัดเตรียมวัคซีนไว้ให้เพียงพอแล้ว นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้ฝากให้ผู้ประกอบการพิจารณาถึงแนวทางการปรับเปลี่ยนตลาดมาเน้นนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้น เพราะช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ ได้ทําให้คนไทยสนใจเที่ยวในประเทศ และได้เกิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งการปรับตัวมาเน้นนักท่องเที่ยวในประเทศนี้หากมีโครงการหรือมาตรการใดที่ต้องการให้รัฐช่วยก็พร้อมจะสนับสนุน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เปิดโอกาสให้คณะนักธุรกิจภาคการท่องเที่ยวเข้าหารือ รับข้อเสนอเพื่อภาครัฐสนับสนุนการฟื้นตัว พร้อมขอความร่วมมือดำเนินการตามมาตรการเข้ม วันศุกร์ที่ 28 มกราคม 2565 รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เปิดโอกาสให้คณะนักธุรกิจภาคการท่องเที่ยวเข้าหารือ รับข้อเสนอเพื่อภาครัฐสนับสนุนการฟื้นตัว พร้อมขอความร่วมมือดําเนินการตามมาตรการเข้ม รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข เปิดโอกาสให้คณะนักธุรกิจภาคการท่องเที่ยวเข้าหารือ รับข้อเสนอเพื่อภาครัฐสนับสนุนการฟื้นตัว พร้อมขอความร่วมมือดําเนินการตามมาตรการเข้ม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประชาชนปลอดภัยและเศรษฐกิจฟื้นตัวไปด้วยกัน วันที่ 28 ม.ค. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ (28 ม.ค.65) เวลา 14.00 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้เปิดโอกาสให้ นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี รองประธา สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) นําคณะผู้บริหาร สทท. ผู้บริหารสมาคมธุรกิจด้านการท่องเที่ยวในภาคตะวันออก เข้าพบ ณ ห้องประชุม 302 ตึกบัญชาการ ทําเนียบรัฐบาล เพื่อขอบคุณที่รัฐบาลได้ผลักดันให้มีการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศผ่านระบบ Test&Go อีกครั้ง รวมถึงการมีข้อเสนอในประเด็นต่าง ๆ เพื่อให้ภาครัฐให้การสนับสนุนเพื่อฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว ทั้งนี้ นายอนุทิน ได้รับข้อที่ภาคธุรกิจเสนอเกี่ยวกับการขอยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้แก่โรงแรมที่ได้ปรับมาเป็น Hospitel เพื่อเป็นการจูงใจและลดภาระให้กับผู้ประกอบการมากขึ้น โดยจะได้นําเรียนหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รวมถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงมาตรการที่ทางเอกชนเสนอในครั้งนี้และมาตรการอื่น ๆ ต่อไป พร้อมกันนี้ รองนายกรัฐมนตรีได้กล่าวในการหารือถึงแนวทางของรัฐบาลว่า ขณะนี้ได้อยู่ในทิศทางของการผ่อนคลายมาตรการเพื่อให้เศรษฐกิจทุกด้านรวมถึงการท่องเที่ยวสามารถเดินหน้าต่อไปได้ แต่ประเด็นที่ยังคงให้ความสําคัญมากที่สุดก็คือความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของประชาชน ดังนี้ เมื่อรัฐบาลได้ผ่อนคลายมาตรการต่าง ๆ ให้แล้วก็อยากขอให้ผู้ประกอบการร่วมกับรัฐในการควบคุมดูแลนักท่องเที่ยว ดําเนินการคัดกรองตามมาตรการที่เข้มงวด ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดที่มาจากคลัสเตอร์การท่องเที่ยว ซึ่งหากควบคุมได้ดีประชาชนเกิดความเชื่อมั่นทุกอย่างก็จะเดินหน้าไปได้ และภาคธุรกิจการท่องเที่ยว เศรษฐกิจในภาพรวมก็จะกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า รองนายกรัฐมนตรียังได้ขอให้ผู้ประกอบการได้เข้มงวดในมาตรการ Covid Free Setting ซึ่งเป็นมาตรการสําคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นต่อสถานประกอบการภาคการท่องเที่ยว ส่วนบุคลากรก็ขอให้เข้ารับวัคซีนให้ครบเพราะขณะนี้รัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขก็ได้จัดเตรียมวัคซีนไว้ให้เพียงพอแล้ว นอกจากนี้ รองนายกรัฐมนตรียังได้ฝากให้ผู้ประกอบการพิจารณาถึงแนวทางการปรับเปลี่ยนตลาดมาเน้นนักท่องเที่ยวไทยมากขึ้น เพราะช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้ ได้ทําให้คนไทยสนใจเที่ยวในประเทศ และได้เกิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งการปรับตัวมาเน้นนักท่องเที่ยวในประเทศนี้หากมีโครงการหรือมาตรการใดที่ต้องการให้รัฐช่วยก็พร้อมจะสนับสนุน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51020
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดโอกาส! ไกล่เกลี่ยหนี้ ถึง 31 ส.ค. นี้
วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564 เปิดโอกาส! ไกล่เกลี่ยหนี้ ถึง 31 ส.ค. นี้ .... อีกหนึ่งช่องทางช่วยเหลือ เจ้าหนี้ - ลูกหนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 . รัฐบาล จัดโครงการ “บังคับคดีร่วมใจไกล่เกลี่ยช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้า และร้านค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19” เพื่อให้ประชาชนที่ประสบปัญหาหนี้สิน สามารถไกล่เกลี่ยหนี้ได้ . โดยประชาชนสามารถยื่นคําร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ - 31ส.ค. 2564 ได้ทาง www. led.go.th และแอปพลิเคชัน Session call . สอบถามเพิ่มเติม ได้ที่ 0 2881 4840, 0 2887 5072 หรือสายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 และสํานักงานบังคับคดีทั่วประเทศ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เปิดโอกาส! ไกล่เกลี่ยหนี้ ถึง 31 ส.ค. นี้ วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม 2564 เปิดโอกาส! ไกล่เกลี่ยหนี้ ถึง 31 ส.ค. นี้ .... อีกหนึ่งช่องทางช่วยเหลือ เจ้าหนี้ - ลูกหนี้ ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 . รัฐบาล จัดโครงการ “บังคับคดีร่วมใจไกล่เกลี่ยช่วยเหลือพ่อค้าแม่ค้า และร้านค้าที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19” เพื่อให้ประชาชนที่ประสบปัญหาหนี้สิน สามารถไกล่เกลี่ยหนี้ได้ . โดยประชาชนสามารถยื่นคําร้องขอไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่วันนี้ - 31ส.ค. 2564 ได้ทาง www. led.go.th และแอปพลิเคชัน Session call . สอบถามเพิ่มเติม ได้ที่ 0 2881 4840, 0 2887 5072 หรือสายด่วนกรมบังคับคดี 1111 กด 79 และสํานักงานบังคับคดีทั่วประเทศ #ไทยคู่ฟ้า#รวมไทยสร้างชาติ#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43895
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดบริการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ณ ศูนย์ราชการ
วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2565 รัฐบาลจัดบริการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ณ ศูนย์ราชการ วันพุธที่ 12 มกราคม 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลจัดบริการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงฟรีที่ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. บริเวณลานจอดรถชั้น 1 อาคารบี ตั้งแต่วันนี้-วันที่ 21 ม.ค.2565 เวลา 8.00 น. -15.00 น. เว้นวันเสาร์อาทิตย์ ด้วยชุดตรวจเร็ว ATK รู้ผลภายใน 30 นาที ตั้งเป้าตรวจวันละ 1,000 ราย ส่วนประชาชนที่ตรวจ ATK ด้วยตนเองแล้วพบผลเป็นบวก ให้โทรแจ้งสายด่วน สปสช. 1330 กด 14 หรือ ไลน์ @nhso ระบบจะบันทึกข้อมูลไว้แล้วเจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับ สําหรับผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดสามารถติดต่อสถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล โดยผู้ที่เข้าสู่ระบบการรักษาที่บ้านแล้วจะได้รับการติดตามอาการ บริการส่งยา ส่งอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ เช่น เครื่องตรวจวัดไข้และค่าออกซิเจน “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจัดบริการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ณ ศูนย์ราชการ วันพฤหัสบดีที่ 13 มกราคม 2565 รัฐบาลจัดบริการตรวจโควิด-19 เชิงรุก ณ ศูนย์ราชการ วันพุธที่ 12 มกราคม 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลจัดบริการตรวจคัดกรองโรคโควิด-19 ให้แก่ประชาชนกลุ่มเสี่ยงฟรีที่ศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ กทม. บริเวณลานจอดรถชั้น 1 อาคารบี ตั้งแต่วันนี้-วันที่ 21 ม.ค.2565 เวลา 8.00 น. -15.00 น. เว้นวันเสาร์อาทิตย์ ด้วยชุดตรวจเร็ว ATK รู้ผลภายใน 30 นาที ตั้งเป้าตรวจวันละ 1,000 ราย ส่วนประชาชนที่ตรวจ ATK ด้วยตนเองแล้วพบผลเป็นบวก ให้โทรแจ้งสายด่วน สปสช. 1330 กด 14 หรือ ไลน์ @nhso ระบบจะบันทึกข้อมูลไว้แล้วเจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับ สําหรับผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดสามารถติดต่อสถานพยาบาลใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตําบล โดยผู้ที่เข้าสู่ระบบการรักษาที่บ้านแล้วจะได้รับการติดตามอาการ บริการส่งยา ส่งอาหาร อุปกรณ์การแพทย์ เช่น เครื่องตรวจวัดไข้และค่าออกซิเจน “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50484
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งและอำนวยพรผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจำปี 2565 ฮิจเราะห์ศักราช 1443 พร้อมอำนวยพรให้พี่น้องมุสลิมผู้เดินทางไปประกอบพิธีได้รับผลบุญเดินทางปลอดภัย
วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565 ปลัดมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งและอํานวยพรผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2565 ฮิจเราะห์ศักราช 1443 พร้อมอํานวยพรให้พี่น้องมุสลิมผู้เดินทางไปประกอบพิธีได้รับผลบุญเดินทางปลอดภัย ปลัดมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งและอํานวยพรผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2565 ฮิจเราะห์ศักราช 1443 พร้อมอํานวยพรให้พี่น้องมุสลิมผู้เดินทางไปประกอบพิธีได้รับผลบุญเดินทางปลอดภัยกลับสู่มาตุภูมิโดยสวัสดิภาพ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 65 เวลา 01.30 น. ที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งและอํานวยพรผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2565 ฮิจเราะห์ศักราช 1443 โดยมี H.E. Mr. Essam Saleh H. Algetale (นายอิศอม ศอเลียะห์ เอช. อัลญุฏอยลี) อุปทูตราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียประจําประเทศไทย นายอรุณ บุญชม ประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี นายสมศักดิ์ เจริญไพฑูรย์ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายอัษฎางค์ ขําคมกุล รองผู้อํานวยการท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ สายปฏิบัติการ 2 นายเจนเจตน์ เจนนาวิน รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายประทีป นทีทวีวัฒน์ ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ นายภูธนะ ชมภูมิ่ง หัวหน้าสํานักงานจังหวัดสมุทรปราการ นายสมศักดิ์ แก้วเสนา นายอําเภอบางพลี นายประสพ ภู่สําลี นายวุฒิวัย หวังบู่ ผู้แทนประธานกรรมการอิสลามประจํากรุงเทพมหานคร ผู้นําศาสนา ตลอดจนพี่น้องมุสลิมผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ร่วมในพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ของพี่น้องมุสลิม เป็นเรื่องที่สําคัญมาก เพราะเทศกาลฮัจย์ทุกปี จะมีพี่น้องมุสลิมทั่วทุกมุมโลกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ประมาณล้านคน ซึ่งรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนส่งเสริมการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ตลอดมา เพื่อให้พี่น้องมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้รับความสะดวกสบาย ปลอดภัย และได้ประกอบศาสนกิจอันสําคัญยิ่งอย่างสมบูรณ์ ซึ่งการประกอบพิธีฮัจย์ นอกจากจะเป็นการไปประกอบศาสนกิจที่ได้ถูกกําหนดไว้ในหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว พี่น้องมุสลิมที่เดินทางไปครั้งนี้ จะได้มีส่วนร่วมในการไปช่วยเผยแพร่ส่งเสริมภาพลักษณ์อันดีงามของประเทศไทย และที่สําคัญที่สุดยังเป็นโอกาสอันดีของชีวิตที่จะได้ไปเจอเพื่อนร่วมศาสนิก และมีโอกาสในการที่จะศึกษาเรียนรู้ ประเพณีวัฒนธรรม และมีมิตรสหายเพิ่มขึ้น ในการที่ได้ไปทําพิธีฮัจย์ "ปีนี้เป็นปีที่พิเศษกว่าปีอื่น ๆ เพราะเป็นปีที่พี่น้องคนไทยได้รับความเอื้อเฟื้อจากผู้นําของประเทศซาอุดิอาระเบีย ในการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตเพิ่มพูนขึ้น เพราะสายใยความรักระหว่างพวกเราชาวไทยมุสลิมกับพี่น้องชาวซาอุดิอาระเบีย ดังนั้นโอกาสอันดีพิเศษที่เป็นเหมือนปฐมฤกษ์ ที่ความสัมพันธ์อันดี ความเป็นพี่เป็นน้อง ความมีมิตรภาพระหว่างกันที่เป็นทางการ ที่แข็งแกร่งเข้มข้นเพิ่มมากขึ้น จะได้รับการพัฒนาต่อยอดจากพี่น้องทุกคน ที่ได้รับโอกาสอันดี คือ การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ในวันนี้ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้แทน เป็นทูตวัฒนธรรมของประเทศไทยในการสร้างสันถวไมตรี และขอให้พี่น้องมุสลิมที่ไปประกอบพิธีฮัจย์ ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระมัดระวังตนเอง ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข ทําสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์อย่างสม่ําเสมอ" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) กรมการปกครอง จังหวัดสมุทรปราการ ตลอดจนหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน องค์กรศาสนา ภาคประชาสังคม กลุ่มอาสาสมัครต่าง ๆ และผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือภารกิจอันสําคัญนี้ทุกท่าน และขออํานวยพรให้พี่น้องมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ได้รับผลบุญ มีความสุข ความปลอดภัย ตลอดการเดินทางและช่วงที่ปฏิบัติศาสนกิจอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย และขอให้ทุกท่านเดินทางกลับสู่มาตุภูมิโดยสวัสดิภาพเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจอันสําคัญยิ่งของชีวิต ขอเป็นกําลังใจและขอให้พระเจ้าได้อวยพรทุกท่านตลอดไป ด้าน นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า หน่วยงานทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดําเนินงานกิจการฮัจย์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ต่างมุ่งหวังให้การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ของผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมทุกคนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถเดินทางไปประกอบพิธีได้ด้วยความสะดวก ปลอดภัย ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบียได้อย่างสะดวกสบาย และที่สําคัญ คือ ได้ปฏิบัติศาสนกิจได้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามหลักศาสนา นายอิศอม ศอเลียะห์ เอช. อัลญุฏอยลี อุปทูตราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียประจําประเทศไทย กล่าวว่า ถือเป็นเกียรติที่ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียได้ต้อนรับผู้แสวงบุญชาวไทยทุกท่านในการไปประกอบพิธีฮัจย์ ในปีฮิจเราะห์ศักราช 1443 ซึ่งจะมีผู้แสวงบุญจากทั่วโลก 180 ประเทศ เป็นจํานวนหลายล้านคน ซึ่งถือเป็นเกียรติของทางซาอุดิอาระเบียที่ได้เป็นผู้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ และถือเป็นหน้าที่ภารกิจในการที่จะเอื้ออํานวยให้เกิดความสะดวกกับบรรดาผู้แสวงบุญทุกท่านที่เข้าไปแสวงบุญที่ซาอุดิอาระเบีย สําหรับประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และสํานักจุฬาราชมนตรีในการอํานวยการให้กับผู้แสวงบุญชาวไทยได้เดินทางไปสู่ประเทศซาอุดิอาระเบีย และขอให้การแสวงบุญครั้งนี้ได้รับการตอบรับและมีความสะดวกง่ายดาย รวมทั้งขอให้ผู้แสวงบุญเตรียมความพร้อมเรื่องการหาข้อมูลความรู้และการปฏิบัติตนที่เหมาะสม และขอให้ทุกท่านประสบความสําเร็จจากการประกอบพิธีฮัจย์อย่างสมบูรณ์ นายอรุณ บุญชม ประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี กล่าวว่า พระอัลเลาะห์ผู้ประทานโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับพี่น้องทุกท่าน ทําให้ได้มีวันนี้ วันที่จะได้เดินทางไปยังแผ่นดินที่ศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็คือ แผ่นดินอันเป็นที่ที่พระองค์กําหนดไว้สําหรับมุสลิมทุกคนที่มีความสามารถในการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ อันเป็นคุณค่าของศรัทธาที่ก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ เพื่อสร้างภราดรภาพในมนุษยชาติโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ เชื้อชาติ ภาษา ภายใต้ร่มเงาแห่งรัก ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ไม่มีใครส่งอภิสิทธิ์เหนือใคร ณ เบื้องพระพักตร์แห่งพระผู้เป็นเจ้า มุสลิมทุกคนถูกกําหนดให้ละทิ้งการสร้างพฤติกรรมต่าง ๆ อันอาจนํามาสู่ความร้าวฉานในสายสัมพันธ์ของพี่น้อง โดยให้มุ่งความตั้งใจทั้งหมดไปยังอัลเลาะห์ เพื่อละวางกิเลสตัณหาในตัวตนลงไป ผู้ที่ประกอบพิธีฮัจย์อย่างตั้งใจและเข้าใจ จึงเป็นผู้ที่สามารถสร้างความรัก สันติภาพ และภราดรภาพได้อย่างแท้จริง นายอัษฎางค์ ขําคมกุล รองผู้อํานวยการท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ สายปฏิบัติการ 2 กล่าวว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้จัดเตรียมความพร้อมเพื่ออํานวยความสะดวกในการให้บริการด้านต่าง ๆ ให้กับพี่น้องชาวมุสลิมให้ได้รับความสะดวกมากที่สุด พร้อมทั้งได้ประสานความร่วมมือกับสายการบิน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ศุลกากร เพื่อจัดช่องทางพิเศษในการตรวจบัตรโดยสารและหนังสือเดินทาง พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวกและให้คําแนะนําให้กับผู้เดินทางไป - กลับ จากการแสวงบุญในทุกเที่ยวบิน ให้การเดินทางเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ปลัดมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งและอำนวยพรผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจำปี 2565 ฮิจเราะห์ศักราช 1443 พร้อมอำนวยพรให้พี่น้องมุสลิมผู้เดินทางไปประกอบพิธีได้รับผลบุญเดินทางปลอดภัย วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม 2565 ปลัดมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งและอํานวยพรผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2565 ฮิจเราะห์ศักราช 1443 พร้อมอํานวยพรให้พี่น้องมุสลิมผู้เดินทางไปประกอบพิธีได้รับผลบุญเดินทางปลอดภัย ปลัดมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งและอํานวยพรผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2565 ฮิจเราะห์ศักราช 1443 พร้อมอํานวยพรให้พี่น้องมุสลิมผู้เดินทางไปประกอบพิธีได้รับผลบุญเดินทางปลอดภัยกลับสู่มาตุภูมิโดยสวัสดิภาพ เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 65 เวลา 01.30 น. ที่ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีส่งและอํานวยพรผู้ไปประกอบพิธีฮัจย์ ประจําปี 2565 ฮิจเราะห์ศักราช 1443 โดยมี H.E. Mr. Essam Saleh H. Algetale (นายอิศอม ศอเลียะห์ เอช. อัลญุฏอยลี) อุปทูตราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียประจําประเทศไทย นายอรุณ บุญชม ประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี นายสมศักดิ์ เจริญไพฑูรย์ รองอธิบดีกรมการปกครอง นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายอัษฎางค์ ขําคมกุล รองผู้อํานวยการท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ สายปฏิบัติการ 2 นายเจนเจตน์ เจนนาวิน รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ นายประทีป นทีทวีวัฒน์ ปลัดจังหวัดสมุทรปราการ นายภูธนะ ชมภูมิ่ง หัวหน้าสํานักงานจังหวัดสมุทรปราการ นายสมศักดิ์ แก้วเสนา นายอําเภอบางพลี นายประสพ ภู่สําลี นายวุฒิวัย หวังบู่ ผู้แทนประธานกรรมการอิสลามประจํากรุงเทพมหานคร ผู้นําศาสนา ตลอดจนพี่น้องมุสลิมผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ร่วมในพิธี นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ของพี่น้องมุสลิม เป็นเรื่องที่สําคัญมาก เพราะเทศกาลฮัจย์ทุกปี จะมีพี่น้องมุสลิมทั่วทุกมุมโลกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ที่นครมักกะฮ์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ประมาณล้านคน ซึ่งรัฐบาลได้ให้การสนับสนุนส่งเสริมการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ตลอดมา เพื่อให้พี่น้องมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้รับความสะดวกสบาย ปลอดภัย และได้ประกอบศาสนกิจอันสําคัญยิ่งอย่างสมบูรณ์ ซึ่งการประกอบพิธีฮัจย์ นอกจากจะเป็นการไปประกอบศาสนกิจที่ได้ถูกกําหนดไว้ในหลักการของศาสนาอิสลามแล้ว พี่น้องมุสลิมที่เดินทางไปครั้งนี้ จะได้มีส่วนร่วมในการไปช่วยเผยแพร่ส่งเสริมภาพลักษณ์อันดีงามของประเทศไทย และที่สําคัญที่สุดยังเป็นโอกาสอันดีของชีวิตที่จะได้ไปเจอเพื่อนร่วมศาสนิก และมีโอกาสในการที่จะศึกษาเรียนรู้ ประเพณีวัฒนธรรม และมีมิตรสหายเพิ่มขึ้น ในการที่ได้ไปทําพิธีฮัจย์ "ปีนี้เป็นปีที่พิเศษกว่าปีอื่น ๆ เพราะเป็นปีที่พี่น้องคนไทยได้รับความเอื้อเฟื้อจากผู้นําของประเทศซาอุดิอาระเบีย ในการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตเพิ่มพูนขึ้น เพราะสายใยความรักระหว่างพวกเราชาวไทยมุสลิมกับพี่น้องชาวซาอุดิอาระเบีย ดังนั้นโอกาสอันดีพิเศษที่เป็นเหมือนปฐมฤกษ์ ที่ความสัมพันธ์อันดี ความเป็นพี่เป็นน้อง ความมีมิตรภาพระหว่างกันที่เป็นทางการ ที่แข็งแกร่งเข้มข้นเพิ่มมากขึ้น จะได้รับการพัฒนาต่อยอดจากพี่น้องทุกคน ที่ได้รับโอกาสอันดี คือ การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ในวันนี้ ในฐานะที่ท่านเป็นผู้แทน เป็นทูตวัฒนธรรมของประเทศไทยในการสร้างสันถวไมตรี และขอให้พี่น้องมุสลิมที่ไปประกอบพิธีฮัจย์ ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่กําหนดไว้อย่างเคร่งครัด รวมทั้งระมัดระวังตนเอง ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณสุข ทําสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์อย่างสม่ําเสมอ" นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ํา นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า ขอขอบคุณท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ บริษัท การบินไทย จํากัด (มหาชน) กรมการปกครอง จังหวัดสมุทรปราการ ตลอดจนหน่วยงานในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน องค์กรศาสนา ภาคประชาสังคม กลุ่มอาสาสมัครต่าง ๆ และผู้ที่มีส่วนช่วยเหลือภารกิจอันสําคัญนี้ทุกท่าน และขออํานวยพรให้พี่น้องมุสลิมที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ได้รับผลบุญ มีความสุข ความปลอดภัย ตลอดการเดินทางและช่วงที่ปฏิบัติศาสนกิจอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบีย และขอให้ทุกท่านเดินทางกลับสู่มาตุภูมิโดยสวัสดิภาพเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจอันสําคัญยิ่งของชีวิต ขอเป็นกําลังใจและขอให้พระเจ้าได้อวยพรทุกท่านตลอดไป ด้าน นายวันชัย คงเกษม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ กล่าวว่า หน่วยงานทุกภาคส่วนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการดําเนินงานกิจการฮัจย์ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ต่างมุ่งหวังให้การเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ของผู้แสวงบุญชาวไทยมุสลิมทุกคนเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถเดินทางไปประกอบพิธีได้ด้วยความสะดวก ปลอดภัย ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศซาอุดิอาระเบียได้อย่างสะดวกสบาย และที่สําคัญ คือ ได้ปฏิบัติศาสนกิจได้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามหลักศาสนา นายอิศอม ศอเลียะห์ เอช. อัลญุฏอยลี อุปทูตราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียประจําประเทศไทย กล่าวว่า ถือเป็นเกียรติที่ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียได้ต้อนรับผู้แสวงบุญชาวไทยทุกท่านในการไปประกอบพิธีฮัจย์ ในปีฮิจเราะห์ศักราช 1443 ซึ่งจะมีผู้แสวงบุญจากทั่วโลก 180 ประเทศ เป็นจํานวนหลายล้านคน ซึ่งถือเป็นเกียรติของทางซาอุดิอาระเบียที่ได้เป็นผู้ต้อนรับแขกผู้มีเกียรติ และถือเป็นหน้าที่ภารกิจในการที่จะเอื้ออํานวยให้เกิดความสะดวกกับบรรดาผู้แสวงบุญทุกท่านที่เข้าไปแสวงบุญที่ซาอุดิอาระเบีย สําหรับประเทศไทย ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และสํานักจุฬาราชมนตรีในการอํานวยการให้กับผู้แสวงบุญชาวไทยได้เดินทางไปสู่ประเทศซาอุดิอาระเบีย และขอให้การแสวงบุญครั้งนี้ได้รับการตอบรับและมีความสะดวกง่ายดาย รวมทั้งขอให้ผู้แสวงบุญเตรียมความพร้อมเรื่องการหาข้อมูลความรู้และการปฏิบัติตนที่เหมาะสม และขอให้ทุกท่านประสบความสําเร็จจากการประกอบพิธีฮัจย์อย่างสมบูรณ์ นายอรุณ บุญชม ประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี กล่าวว่า พระอัลเลาะห์ผู้ประทานโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับพี่น้องทุกท่าน ทําให้ได้มีวันนี้ วันที่จะได้เดินทางไปยังแผ่นดินที่ศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็คือ แผ่นดินอันเป็นที่ที่พระองค์กําหนดไว้สําหรับมุสลิมทุกคนที่มีความสามารถในการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ อันเป็นคุณค่าของศรัทธาที่ก้าวข้ามพรมแดนทางภูมิศาสตร์ เพื่อสร้างภราดรภาพในมนุษยชาติโดยไม่เลือกชั้นวรรณะ เชื้อชาติ ภาษา ภายใต้ร่มเงาแห่งรัก ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ไม่มีใครส่งอภิสิทธิ์เหนือใคร ณ เบื้องพระพักตร์แห่งพระผู้เป็นเจ้า มุสลิมทุกคนถูกกําหนดให้ละทิ้งการสร้างพฤติกรรมต่าง ๆ อันอาจนํามาสู่ความร้าวฉานในสายสัมพันธ์ของพี่น้อง โดยให้มุ่งความตั้งใจทั้งหมดไปยังอัลเลาะห์ เพื่อละวางกิเลสตัณหาในตัวตนลงไป ผู้ที่ประกอบพิธีฮัจย์อย่างตั้งใจและเข้าใจ จึงเป็นผู้ที่สามารถสร้างความรัก สันติภาพ และภราดรภาพได้อย่างแท้จริง นายอัษฎางค์ ขําคมกุล รองผู้อํานวยการท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ สายปฏิบัติการ 2 กล่าวว่า ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้จัดเตรียมความพร้อมเพื่ออํานวยความสะดวกในการให้บริการด้านต่าง ๆ ให้กับพี่น้องชาวมุสลิมให้ได้รับความสะดวกมากที่สุด พร้อมทั้งได้ประสานความร่วมมือกับสายการบิน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 2 ศุลกากร เพื่อจัดช่องทางพิเศษในการตรวจบัตรโดยสารและหนังสือเดินทาง พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่คอยอํานวยความสะดวกและให้คําแนะนําให้กับผู้เดินทางไป - กลับ จากการแสวงบุญในทุกเที่ยวบิน ให้การเดินทางเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56414
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบ "เดลตาครอน" 73 ราย รอ GISAID ยืนยัน ยังไม่พบแพร่เร็ว รุนแรง หรือหลบภูมิคุ้มกัน
วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 สธ.พบ "เดลตาครอน" 73 ราย รอ GISAID ยืนยัน ยังไม่พบแพร่เร็ว รุนแรง หรือหลบภูมิคุ้มกัน กระทรวงสาธารณสุข เผย การถอดรหัสพันธุกรรมโควิด 19 ทั้งตัวเจอลูกผสม "เดลตาครอน" 73 รายรอระบบฐานข้อมูลโลก GISAID วิเคราะห์ยืนยัน เบื้องต้นยังไม่พบข้อมูลว่ารุนแรง หลบภูมิคุ้มกัน หรือแพร่เร็วจนมาแทนที่การระบาดของโอมิครอนในไทยที่ขณะนี้พบสูงสุด 99.95% กระทรวงสาธารณสุข เผย การถอดรหัสพันธุกรรมโควิด 19 ทั้งตัวเจอลูกผสม "เดลตาครอน" 73 รายรอระบบฐานข้อมูลโลก GISAID วิเคราะห์ยืนยัน เบื้องต้นยังไม่พบข้อมูลว่ารุนแรง หลบภูมิคุ้มกัน หรือแพร่เร็วจนมาแทนที่การระบาดของโอมิครอนในไทยที่ขณะนี้พบสูงสุด 99.95% ส่วนสายพันธุ์เดลตาแทบจะไม่พบแล้ว โอกาสเกิดลูกผสมเป็นเดลตาครอนจึงน้อยมาก วันนี้ (23 มีนาคม 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ นพ.บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงความคืบหน้าการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 ในประเทศไทย โดย นพ.ศุภกิจกล่าวว่า จากการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 ระหว่างวันที่ 12-18 มีนาคม 2565 จํานวน 1,982 ราย พบสายพันธุ์เดลตาเพียง 1 ราย คิดเป็น 0.05% ที่เหลือ 1,981 รายเป็นสายพันธุ์โอมิครอน คิดเป็น 99.95% โดยส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ย่อย BA.2 ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแพร่เร็วกว่า แต่ยังไม่พบความแตกต่างเรื่องความรุนแรง ทั้งนี้ จากการสุ่มตรวจประชาชนทั่วไป ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ผู้ที่อาการรุนแรงและเสียชีวิต บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มที่มีค่า CT ต่ําหรือมีเชื้อในร่างกายมาก กลุ่มคลัสเตอร์ 50 คนขึ้นไป และกลุ่มที่ได้รับวัคซีนครบโดส พบว่ามีสัดส่วนการติดเชื้อ BA.2 ใกล้เคียงกันทุกกลุ่ม นพ.ศุภกิจกล่าวอีกว่า ส่วนกรณี "เดลตาครอน" เป็นการผสมกัน (Recombinant) ระหว่างเชื้อ 2 ตัวจนเกิดสายพันธุ์ที่ลักษณะเหมือนกับเชื้อทั้ง 2 ตัว คือ โอมิครอน BA.1 และเดลตา AY.4 ทั่วโลกมีการรายงานเข้า GISAID ประมาณ 4 พันกว่าราย แต่ GISAID วิเคราะห์ ตรวจสอบและยอมรับอย่างเป็นทางการ 64 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในฝรั่งเศส 50 กว่าราย ที่เหลืออีก 4 พันกว่าราย ซึ่งรวมข้อมูลที่ไทยส่งเข้าไปด้วย 73 ราย ยังต้องรอวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าใช่เดลตาครอนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการตรวจพบเดลตาครอนของไทยเป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงธันวาคม 2564 - มกราคม 2565 ซึ่งยังมีทั้งเดลตาและโอมิครอน ทําให้มีโอกาสเกิดลูกผสมได้มาก "ผู้ป่วยจากเดลตาครอนทั้ง 73 ราย รักษาหายดีแล้ว ไม่มีผู้เสียชีวิต และขณะนี้ในประเทศไทยแทบไม่มีสายพันธุ์เดลตาให้ไปเกิดลูกผสมกับโอมิครอนได้ และองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เดลตาครอนเป็นสายพันธุ์ที่ต้องติดตามข้อมูลเท่านั้น ยังไม่ได้จัดเป็นสายพันธุ์ที่น่าสนใจหรือน่ากังวล รวมถึงยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเรื่องการแพร่ได้เร็ว ความรุนแรง หรือความสามารถในการหลบภูมิ คุ้มกัน ดังนั้นจึงยังไม่ต้องกังวล และมาตรการป้องกันต่างๆ ยังใช้ป้องกันได้ทุกสายพันธุ์ รวมถึงกลุ่มเสี่ยง 608 ต้องเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น" นพ.ศุภกิจกล่าว ******************************************* 23 มีนาคม 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สธ.พบ "เดลตาครอน" 73 ราย รอ GISAID ยืนยัน ยังไม่พบแพร่เร็ว รุนแรง หรือหลบภูมิคุ้มกัน วันพุธที่ 23 มีนาคม 2565 สธ.พบ "เดลตาครอน" 73 ราย รอ GISAID ยืนยัน ยังไม่พบแพร่เร็ว รุนแรง หรือหลบภูมิคุ้มกัน กระทรวงสาธารณสุข เผย การถอดรหัสพันธุกรรมโควิด 19 ทั้งตัวเจอลูกผสม "เดลตาครอน" 73 รายรอระบบฐานข้อมูลโลก GISAID วิเคราะห์ยืนยัน เบื้องต้นยังไม่พบข้อมูลว่ารุนแรง หลบภูมิคุ้มกัน หรือแพร่เร็วจนมาแทนที่การระบาดของโอมิครอนในไทยที่ขณะนี้พบสูงสุด 99.95% กระทรวงสาธารณสุข เผย การถอดรหัสพันธุกรรมโควิด 19 ทั้งตัวเจอลูกผสม "เดลตาครอน" 73 รายรอระบบฐานข้อมูลโลก GISAID วิเคราะห์ยืนยัน เบื้องต้นยังไม่พบข้อมูลว่ารุนแรง หลบภูมิคุ้มกัน หรือแพร่เร็วจนมาแทนที่การระบาดของโอมิครอนในไทยที่ขณะนี้พบสูงสุด 99.95% ส่วนสายพันธุ์เดลตาแทบจะไม่พบแล้ว โอกาสเกิดลูกผสมเป็นเดลตาครอนจึงน้อยมาก วันนี้ (23 มีนาคม 2565) ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และ นพ.บัลลังก์ อุปพงษ์ รองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ แถลงความคืบหน้าการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 ในประเทศไทย โดย นพ.ศุภกิจกล่าวว่า จากการเฝ้าระวังสายพันธุ์โควิด 19 ระหว่างวันที่ 12-18 มีนาคม 2565 จํานวน 1,982 ราย พบสายพันธุ์เดลตาเพียง 1 ราย คิดเป็น 0.05% ที่เหลือ 1,981 รายเป็นสายพันธุ์โอมิครอน คิดเป็น 99.95% โดยส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ย่อย BA.2 ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากแพร่เร็วกว่า แต่ยังไม่พบความแตกต่างเรื่องความรุนแรง ทั้งนี้ จากการสุ่มตรวจประชาชนทั่วไป ผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ผู้ที่อาการรุนแรงและเสียชีวิต บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มที่มีค่า CT ต่ําหรือมีเชื้อในร่างกายมาก กลุ่มคลัสเตอร์ 50 คนขึ้นไป และกลุ่มที่ได้รับวัคซีนครบโดส พบว่ามีสัดส่วนการติดเชื้อ BA.2 ใกล้เคียงกันทุกกลุ่ม นพ.ศุภกิจกล่าวอีกว่า ส่วนกรณี "เดลตาครอน" เป็นการผสมกัน (Recombinant) ระหว่างเชื้อ 2 ตัวจนเกิดสายพันธุ์ที่ลักษณะเหมือนกับเชื้อทั้ง 2 ตัว คือ โอมิครอน BA.1 และเดลตา AY.4 ทั่วโลกมีการรายงานเข้า GISAID ประมาณ 4 พันกว่าราย แต่ GISAID วิเคราะห์ ตรวจสอบและยอมรับอย่างเป็นทางการ 64 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในฝรั่งเศส 50 กว่าราย ที่เหลืออีก 4 พันกว่าราย ซึ่งรวมข้อมูลที่ไทยส่งเข้าไปด้วย 73 ราย ยังต้องรอวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าใช่เดลตาครอนหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ข้อมูลการตรวจพบเดลตาครอนของไทยเป็นตัวอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงธันวาคม 2564 - มกราคม 2565 ซึ่งยังมีทั้งเดลตาและโอมิครอน ทําให้มีโอกาสเกิดลูกผสมได้มาก "ผู้ป่วยจากเดลตาครอนทั้ง 73 ราย รักษาหายดีแล้ว ไม่มีผู้เสียชีวิต และขณะนี้ในประเทศไทยแทบไม่มีสายพันธุ์เดลตาให้ไปเกิดลูกผสมกับโอมิครอนได้ และองค์การอนามัยโลก (WHO) จัดให้เดลตาครอนเป็นสายพันธุ์ที่ต้องติดตามข้อมูลเท่านั้น ยังไม่ได้จัดเป็นสายพันธุ์ที่น่าสนใจหรือน่ากังวล รวมถึงยังไม่มีข้อมูลเพียงพอเรื่องการแพร่ได้เร็ว ความรุนแรง หรือความสามารถในการหลบภูมิ คุ้มกัน ดังนั้นจึงยังไม่ต้องกังวล และมาตรการป้องกันต่างๆ ยังใช้ป้องกันได้ทุกสายพันธุ์ รวมถึงกลุ่มเสี่ยง 608 ต้องเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น" นพ.ศุภกิจกล่าว ******************************************* 23 มีนาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52874
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ออก 3 มาตรการเร่งด่วนเฉพาะกิจกับบริษัทประกันภัยที่ขายประกันภัยโควิด-19 เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค กรณีเรื่องร้องเรียนการจ่ายเคลมประกันโควิด-19
วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564 คปภ. ออก 3 มาตรการเร่งด่วนเฉพาะกิจกับบริษัทประกันภัยที่ขายประกันภัยโควิด-19 เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค กรณีเรื่องร้องเรียนการจ่ายเคลมประกันโควิด-19 ตามที่มีประชาชนจํานวนหนึ่งร้องเรียนกรณีบริษัทประกันภัยบางแห่งจ่ายเคลมประกันภัยโควิด-19 “แบบเจอจ่ายจบ” ล่าช้า โดยได้ยื่นเรื่องร้องเรียนทั้งที่สํานักงาน คปภ. และบริษัทประกันภัยโดยตรง รวมทั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่มีประชาชนจํานวนหนึ่งร้องเรียนกรณีบริษัทประกันภัยบางแห่งจ่ายเคลมประกันภัยโควิด-19 “แบบเจอจ่ายจบ” ล่าช้า โดยได้ยื่นเรื่องร้องเรียนทั้งที่สํานักงาน คปภ. และบริษัทประกันภัยโดยตรง รวมทั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งกรณีเรื่องร้องเรียนที่เกิดขึ้น สํานักงาน คปภ. ไม่ได้นิ่งนอนใจและมีความห่วงใยต่อประชาชนผู้เอาประกันภัย ได้กําชับให้บริษัทประกันภัยดําเนินการในเรื่องดังกล่าวโดยเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองตามสิทธิประโยชน์อันพึงจะได้รับตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย และไม่เป็นการซ้ําเติมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สํานักงาน คปภ. ได้หารือร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย เพื่อกําหนดมาตรการและแนวทางต่าง ๆ พร้อมทั้งได้ติดตามและประสานกับบริษัทประกันภัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรับทราบว่าปริมาณเรื่องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกันภัยที่ยื่นต่อบริษัทต่อวันมีจํานวนมาก ทําให้บริษัทประกันภัยไม่สามารถบริหารจัดการการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างทันท่วงที ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขเรื่องร้องเรียนกรณีดังกล่าว สํานักงาน คปภ. ได้ออก 3 มาตรการเร่งด่วนเป็นการเฉพาะกิจ ดังนี้ 1. มาตรการเข้าตรวจสอบบริษัท เพื่อประเมินความเสี่ยงของบริษัทและการดําเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 สํานักงาน คปภ. ได้เร่งจัดทีมเฉพาะกิจซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากสายตรวจสอบ สายวิเคราะห์ธุรกิจประกันภัยและสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ เข้าตรวจสอบ ณ ที่ทําการของบริษัทที่รับประกันภัยโควิด-19 จํานวน 4 บริษัท เพื่อประเมินความเสี่ยงของบริษัทและกํากับการดําเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย จากกรณีที่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความล่าช้าในการจ่ายผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย รวมถึงกระบวนการจัดการสินไหมทดแทน ของกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 ของบริษัททั้งระบบ จํานวนเรื่องที่คงค้างพิจารณาของบริษัท พร้อมทั้งเชิญผู้บริหารของบริษัทเข้าชี้แจงต่อสํานักงาน คปภ. ผ่านการประชุมทางจอภาพ ในประเด็นเกี่ยวกับฐานะการเงินและความมั่นคงของบริษัท ตลอดจน ติดตามการปฏิบัติตามกฎหมายในกระบวนการจ่ายผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 แต่ละบริษัทด้วย ทั้งนี้ สํานักงาน คปภ. กําชับให้ปรับปรุงวิธีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ตลอดจนชี้แจงให้บริษัทเข้าใจถึงมาตรการทางกฎหมายในการกํากับการดําเนินการของบริษัทให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยได้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น 2. มาตรการทางกฎหมาย สํานักงาน คปภ. ได้ออกคําสั่งสํานักงาน คปภ. เรื่อง ให้แก้ไขเพิ่มเติมคู่มือ ระบบงาน และกระบวนการดําเนินการพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2564 ซึ่งคําสั่งฯ ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ให้บริษัทประกันวินาศภัยที่มีปัญหาการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 ตั้งแต่ 100 เรื่องขึ้นไป ให้มีระบบงาน กระบวนการการดําเนินการพิจารณา และจ่ายค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 ดังนี้ • ให้บริษัทจัดให้มีหน่วยงานรับเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 เป็นการเฉพาะขึ้นภายในบริษัท • ให้บริษัทดําเนินการพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 ตามหลักเกณฑ์ดังนี้ 1) ตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสารหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนให้แล้วเสร็จ ภายใน 3 วันนับแต่วันที่ได้รับเอกสารหลักฐาน 2) กรณีผู้เอาประกันภัยยื่นเอกสารหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนครบถ้วน ให้บริษัทดําเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ภายใน 15 วัน และ 3) กรณีผู้เอาประกันภัยยื่นเอกสารหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไม่ครบถ้วน ให้แจ้งผู้เอาประกันภัยในวันเดียวกับที่ตรวจพบ และให้จ่ายค่าสินไหมทดแทน ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้ยื่นเอกสารหลักฐานครบถ้วนแล้ว • ในกรณีที่มีปัญหาการตีความหรือโต้แย้งเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 และยังหาข้อยุติไม่ได้ ให้บริษัทเสนอ ความเห็นต่อสํานักงาน คปภ. ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับเอกสารหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เพื่อดําเนินการต่อไป • ให้บริษัทรายงานข้อมูลเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 และผลการดําเนินการต่อสํานักงาน คปภ. ทุก 15 วัน การออกมาตรการทางกฎหมายเพิ่มเติมดังกล่าว เพื่อให้การดําเนินการพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 มีประสิทธิภาพ คุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยอย่างสะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการด้านสินไหมทดแทนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ประกอบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีความจําเป็นเร่งด่วนที่ต้องออกคําสั่ง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประชาชนในวงกว้าง และส่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของระบบประกันภัย สําหรับมาตรการบังคับใช้กฎหมาย สํานักงาน คปภ. อยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณาการประวิงจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันภัย หากปรากฏเอกสารหลักฐานว่ามีเจตนาประวิงการจ่ายสินไหมทดแทน จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป 3. มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเรื่องร้องเรียน โดยใช้กลไกของคณะทํางานเฉพาะกิจเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านประกันภัยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างสายงานที่เกี่ยวข้องในสํานักงาน คปภ. จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้ยอดเคลมประกันภัยโควิด-19 แบบเจอจ่ายจบ มีจํานวนเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้การจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันภัยเป็นไปด้วยความล่าช้า คณะทํางานฯ จึงได้จัดทําแผนบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนทั้งระบบ ซึ่งครอบคลุม ทั้งในส่วนเรื่องร้องเรียนที่ได้ยื่นมายังสํานักงาน คปภ. และเรื่องร้องเรียนที่ยื่นกับบริษัทประกันภัยโดยตรง โดยในแผนดังกล่าวได้กําหนดให้บริษัทต้องรายงานยอดการเรียกร้องและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อคณะทํางานฯ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรายงานสภาพปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อคณะทํางานฯ จะได้กําหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ในส่วนเรื่องร้องเรียนที่ยื่นมายังสํานักงาน คปภ. จะได้ดําเนินการแยกเรื่องร้องเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการพิจารณาเร่งแก้ไขเรื่องร้องเรียน โดยเรื่องร้องเรียนที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานการในการเคลม ก็จะแจ้งให้บริษัทดําเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยเร็ว ภายใน 3 วัน พร้อมทั้งรายงานผลต่อคณะทํางานฯ ทราบ กรณีเรื่องร้องเรียนที่ยังมีประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณา สํานักงาน คปภ. ได้เสริมเขี้ยวเล็บให้แก่คณะทํางานฯ ชุดดังกล่าว โดยมีการตั้งทีมย่อยอีก 4 ชุด ประกอบด้วยผู้แทนจากสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สายกฎหมายและคดี และสายกํากับผลิตภัณฑ์ประกันภัย ทําหน้าที่ช่วยในการกลั่นกรองเสนอความเห็น รวมทั้งตีความเงื่อนไขกรมธรรม์ที่มีปัญหาก่อนเสนอความเห็นต่อคณะทํางานฯ เพื่อพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ จะมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อรองรับในการให้บริการข้อมูลด้านประกันภัยผ่านสายด่วน คปภ. 1186 และติดตั้งระบบการจัดลําดับสายที่โทรเข้ามา รวมทั้งระบบเสียงแจ้งสถานะการรอสาย เป็นต้น “หวังว่า 3 มาตรการเร่งด่วนเฉพาะกิจดังกล่าว จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของพี่น้องประชาชน กรณีการจ่ายสินไหมทดแทนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 ให้กับประชาชนผู้เอาประกันภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน ยังมีผู้ติดเชื้อรายวันเป็นจํานวนมากและแนวโน้มยังคงมีความรุนแรง โดยการประกันภัยโควิด-19 ได้พัฒนาขึ้นเป็นการเฉพาะในช่วงสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อหวังเป็นหลักประกันให้กับประชาชนในการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการติดเชื้อโควิด-19 และมีประชาชนจํานวนมากให้ความสนใจซื้อประกันภัยดังกล่าว สํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกํากับ จะดูแลคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัยอย่างเต็มที่ และกํากับดูแลธุรกิจประกันภัยให้บริหารจัดการการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม เพื่อให้ระบบประกันภัยเข้ามาเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนผู้เอาประกันภัยในสถานการณ์นี้ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้มีความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องประกันภัยติดต่อได้ที่สายด่วนคปภ. 1186 หรือ Add Line Official@oicconnect หรือ website คปภ. www.oic.or.th” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-คปภ. ออก 3 มาตรการเร่งด่วนเฉพาะกิจกับบริษัทประกันภัยที่ขายประกันภัยโควิด-19 เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค กรณีเรื่องร้องเรียนการจ่ายเคลมประกันโควิด-19 วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564 คปภ. ออก 3 มาตรการเร่งด่วนเฉพาะกิจกับบริษัทประกันภัยที่ขายประกันภัยโควิด-19 เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค กรณีเรื่องร้องเรียนการจ่ายเคลมประกันโควิด-19 ตามที่มีประชาชนจํานวนหนึ่งร้องเรียนกรณีบริษัทประกันภัยบางแห่งจ่ายเคลมประกันภัยโควิด-19 “แบบเจอจ่ายจบ” ล่าช้า โดยได้ยื่นเรื่องร้องเรียนทั้งที่สํานักงาน คปภ. และบริษัทประกันภัยโดยตรง รวมทั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ตามที่มีประชาชนจํานวนหนึ่งร้องเรียนกรณีบริษัทประกันภัยบางแห่งจ่ายเคลมประกันภัยโควิด-19 “แบบเจอจ่ายจบ” ล่าช้า โดยได้ยื่นเรื่องร้องเรียนทั้งที่สํานักงาน คปภ. และบริษัทประกันภัยโดยตรง รวมทั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค ซึ่งกรณีเรื่องร้องเรียนที่เกิดขึ้น สํานักงาน คปภ. ไม่ได้นิ่งนอนใจและมีความห่วงใยต่อประชาชนผู้เอาประกันภัย ได้กําชับให้บริษัทประกันภัยดําเนินการในเรื่องดังกล่าวโดยเร่งด่วน เพื่อให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยได้รับความคุ้มครองตามสิทธิประโยชน์อันพึงจะได้รับตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย และไม่เป็นการซ้ําเติมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน เลขาธิการ คปภ. ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สํานักงาน คปภ. ได้หารือร่วมกับภาคธุรกิจประกันภัย เพื่อกําหนดมาตรการและแนวทางต่าง ๆ พร้อมทั้งได้ติดตามและประสานกับบริษัทประกันภัยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรับทราบว่าปริมาณเรื่องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกันภัยที่ยื่นต่อบริษัทต่อวันมีจํานวนมาก ทําให้บริษัทประกันภัยไม่สามารถบริหารจัดการการจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้อย่างทันท่วงที ดังนั้น เพื่อเป็นการแก้ไขเรื่องร้องเรียนกรณีดังกล่าว สํานักงาน คปภ. ได้ออก 3 มาตรการเร่งด่วนเป็นการเฉพาะกิจ ดังนี้ 1. มาตรการเข้าตรวจสอบบริษัท เพื่อประเมินความเสี่ยงของบริษัทและการดําเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2564 สํานักงาน คปภ. ได้เร่งจัดทีมเฉพาะกิจซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนจากสายตรวจสอบ สายวิเคราะห์ธุรกิจประกันภัยและสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ เข้าตรวจสอบ ณ ที่ทําการของบริษัทที่รับประกันภัยโควิด-19 จํานวน 4 บริษัท เพื่อประเมินความเสี่ยงของบริษัทและกํากับการดําเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย จากกรณีที่มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับความล่าช้าในการจ่ายผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ให้แก่ผู้เอาประกันภัย รวมถึงกระบวนการจัดการสินไหมทดแทน ของกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 ของบริษัททั้งระบบ จํานวนเรื่องที่คงค้างพิจารณาของบริษัท พร้อมทั้งเชิญผู้บริหารของบริษัทเข้าชี้แจงต่อสํานักงาน คปภ. ผ่านการประชุมทางจอภาพ ในประเด็นเกี่ยวกับฐานะการเงินและความมั่นคงของบริษัท ตลอดจน ติดตามการปฏิบัติตามกฎหมายในกระบวนการจ่ายผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 แต่ละบริษัทด้วย ทั้งนี้ สํานักงาน คปภ. กําชับให้ปรับปรุงวิธีการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง ตลอดจนชี้แจงให้บริษัทเข้าใจถึงมาตรการทางกฎหมายในการกํากับการดําเนินการของบริษัทให้เหมาะสมกับสภาพการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนผู้เอาประกันภัยได้รับผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น 2. มาตรการทางกฎหมาย สํานักงาน คปภ. ได้ออกคําสั่งสํานักงาน คปภ. เรื่อง ให้แก้ไขเพิ่มเติมคู่มือ ระบบงาน และกระบวนการดําเนินการพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ของบริษัทประกันวินาศภัย พ.ศ. 2564 ซึ่งคําสั่งฯ ดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2564 ให้บริษัทประกันวินาศภัยที่มีปัญหาการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 ตั้งแต่ 100 เรื่องขึ้นไป ให้มีระบบงาน กระบวนการการดําเนินการพิจารณา และจ่ายค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 ดังนี้ • ให้บริษัทจัดให้มีหน่วยงานรับเรื่องการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนและเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 เป็นการเฉพาะขึ้นภายในบริษัท • ให้บริษัทดําเนินการพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 ตามหลักเกณฑ์ดังนี้ 1) ตรวจสอบความครบถ้วนของเอกสารหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนให้แล้วเสร็จ ภายใน 3 วันนับแต่วันที่ได้รับเอกสารหลักฐาน 2) กรณีผู้เอาประกันภัยยื่นเอกสารหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนครบถ้วน ให้บริษัทดําเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ภายใน 15 วัน และ 3) กรณีผู้เอาประกันภัยยื่นเอกสารหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนไม่ครบถ้วน ให้แจ้งผู้เอาประกันภัยในวันเดียวกับที่ตรวจพบ และให้จ่ายค่าสินไหมทดแทน ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้ยื่นเอกสารหลักฐานครบถ้วนแล้ว • ในกรณีที่มีปัญหาการตีความหรือโต้แย้งเกี่ยวกับกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 และยังหาข้อยุติไม่ได้ ให้บริษัทเสนอ ความเห็นต่อสํานักงาน คปภ. ภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับเอกสารหลักฐานประกอบการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน เพื่อดําเนินการต่อไป • ให้บริษัทรายงานข้อมูลเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 และผลการดําเนินการต่อสํานักงาน คปภ. ทุก 15 วัน การออกมาตรการทางกฎหมายเพิ่มเติมดังกล่าว เพื่อให้การดําเนินการพิจารณาและจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยโควิด-19 มีประสิทธิภาพ คุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนให้ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ประกันภัยอย่างสะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรม รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการด้านสินไหมทดแทนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ประกอบกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีความจําเป็นเร่งด่วนที่ต้องออกคําสั่ง เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประชาชนในวงกว้าง และส่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของระบบประกันภัย สําหรับมาตรการบังคับใช้กฎหมาย สํานักงาน คปภ. อยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารหลักฐานประกอบการพิจารณาการประวิงจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันภัย หากปรากฏเอกสารหลักฐานว่ามีเจตนาประวิงการจ่ายสินไหมทดแทน จะบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป 3. มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเรื่องร้องเรียน โดยใช้กลไกของคณะทํางานเฉพาะกิจเพื่อคุ้มครองสิทธิประโยชน์ประชาชนด้านประกันภัยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างสายงานที่เกี่ยวข้องในสํานักงาน คปภ. จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทําให้ยอดเคลมประกันภัยโควิด-19 แบบเจอจ่ายจบ มีจํานวนเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้การจ่ายค่าสินไหมทดแทนของบริษัทประกันภัยเป็นไปด้วยความล่าช้า คณะทํางานฯ จึงได้จัดทําแผนบริหารจัดการเรื่องร้องเรียนทั้งระบบ ซึ่งครอบคลุม ทั้งในส่วนเรื่องร้องเรียนที่ได้ยื่นมายังสํานักงาน คปภ. และเรื่องร้องเรียนที่ยื่นกับบริษัทประกันภัยโดยตรง โดยในแผนดังกล่าวได้กําหนดให้บริษัทต้องรายงานยอดการเรียกร้องและการจ่ายค่าสินไหมทดแทนต่อคณะทํางานฯ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งรายงานสภาพปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นเพื่อคณะทํางานฯ จะได้กําหนดมาตรการในการแก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที ในส่วนเรื่องร้องเรียนที่ยื่นมายังสํานักงาน คปภ. จะได้ดําเนินการแยกเรื่องร้องเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการพิจารณาเร่งแก้ไขเรื่องร้องเรียน โดยเรื่องร้องเรียนที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานการในการเคลม ก็จะแจ้งให้บริษัทดําเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยโดยเร็ว ภายใน 3 วัน พร้อมทั้งรายงานผลต่อคณะทํางานฯ ทราบ กรณีเรื่องร้องเรียนที่ยังมีประเด็นปัญหาที่ต้องพิจารณา สํานักงาน คปภ. ได้เสริมเขี้ยวเล็บให้แก่คณะทํางานฯ ชุดดังกล่าว โดยมีการตั้งทีมย่อยอีก 4 ชุด ประกอบด้วยผู้แทนจากสายคุ้มครองสิทธิประโยชน์ สายกฎหมายและคดี และสายกํากับผลิตภัณฑ์ประกันภัย ทําหน้าที่ช่วยในการกลั่นกรองเสนอความเห็น รวมทั้งตีความเงื่อนไขกรมธรรม์ที่มีปัญหาก่อนเสนอความเห็นต่อคณะทํางานฯ เพื่อพิจารณาต่อไป นอกจากนี้ จะมีการเพิ่มเจ้าหน้าที่เพื่อรองรับในการให้บริการข้อมูลด้านประกันภัยผ่านสายด่วน คปภ. 1186 และติดตั้งระบบการจัดลําดับสายที่โทรเข้ามา รวมทั้งระบบเสียงแจ้งสถานะการรอสาย เป็นต้น “หวังว่า 3 มาตรการเร่งด่วนเฉพาะกิจดังกล่าว จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของพี่น้องประชาชน กรณีการจ่ายสินไหมทดแทนเกี่ยวกับประกันภัยโควิด-19 ให้กับประชาชนผู้เอาประกันภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน ยังมีผู้ติดเชื้อรายวันเป็นจํานวนมากและแนวโน้มยังคงมีความรุนแรง โดยการประกันภัยโควิด-19 ได้พัฒนาขึ้นเป็นการเฉพาะในช่วงสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อหวังเป็นหลักประกันให้กับประชาชนในการบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการติดเชื้อโควิด-19 และมีประชาชนจํานวนมากให้ความสนใจซื้อประกันภัยดังกล่าว สํานักงาน คปภ. ในฐานะหน่วยงานกํากับ จะดูแลคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนผู้เอาประกันภัยอย่างเต็มที่ และกํากับดูแลธุรกิจประกันภัยให้บริหารจัดการการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ถูกต้อง รวดเร็วและเป็นธรรม เพื่อให้ระบบประกันภัยเข้ามาเยียวยาความเดือดร้อนของประชาชนผู้เอาประกันภัยในสถานการณ์นี้ และมีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมให้มีความมั่นคงและยั่งยืนต่อไป ทั้งนี้ หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมเรื่องประกันภัยติดต่อได้ที่สายด่วนคปภ. 1186 หรือ Add Line Official@oicconnect หรือ website คปภ. www.oic.or.th” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45315
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการสินเชื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ
วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2565 โครงการสินเชื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลบรรเทาความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพของประชาชน โดยดําเนินโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ ให้สินเชื่อสูงสุด 50,000 บาท แก่ผู้ประกอบอาชีพช่างและผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ใช่ช่าง วงเงินสูงสุด 100,000 บาท แก่ผู้ขับขี่รถสาธารณะและผู้ประกอบการร้านค้าแฟรนไชส์ และวงเงินสูงสุด 300,000 บาทแก่ผู้ประกอบการขนาดเล็กที่มีสถานที่ตั้งที่แน่นอน ระยะเวลาชําระคืนสูงสุด 5 ปี ปลอดชําระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.99 ต่อปี กรณีกู้ไม่เกิน 100,000 บาทไม่ต้องมีหลักประกัน ปัจจุบันให้สินเชื่อแล้ว 1,447 ล้านบาท จากวงเงิน 5,000 ล้านบาท ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน หรือติดต่อที่สาขาทั่วประเทศ ภายในวันที่ 30 ก.ย.2565 “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โครงการสินเชื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2565 โครงการสินเชื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2565 ต่อจากนี้ไป ขอเชิญรับฟังไทยคู่ฟ้า ค่ะ รัฐบาลบรรเทาความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพของประชาชน โดยดําเนินโครงการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ ให้สินเชื่อสูงสุด 50,000 บาท แก่ผู้ประกอบอาชีพช่างและผู้ประกอบการรายย่อยที่ไม่ใช่ช่าง วงเงินสูงสุด 100,000 บาท แก่ผู้ขับขี่รถสาธารณะและผู้ประกอบการร้านค้าแฟรนไชส์ และวงเงินสูงสุด 300,000 บาทแก่ผู้ประกอบการขนาดเล็กที่มีสถานที่ตั้งที่แน่นอน ระยะเวลาชําระคืนสูงสุด 5 ปี ปลอดชําระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรก อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3.99 ต่อปี กรณีกู้ไม่เกิน 100,000 บาทไม่ต้องมีหลักประกัน ปัจจุบันให้สินเชื่อแล้ว 1,447 ล้านบาท จากวงเงิน 5,000 ล้านบาท ผู้สนใจดูรายละเอียดเพิ่มเติมและลงทะเบียนได้ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน หรือติดต่อที่สาขาทั่วประเทศ ภายในวันที่ 30 ก.ย.2565 “สื่อสารภารกิจรัฐบาล” กับสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53634
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต เข้าสภาฯ
วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565 ครม.เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต เข้าสภาฯ ครม.เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต เข้าสภาฯ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 ว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้เห็นชอบให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณารับหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... โดยเป็นร่างที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ซึ่งมีสาระเป็นการกําหนดให้ชาย หญิง หรือบุคคล 2 คน ซึ่งเป็นเพศเดียวกันสามารถหมั้นหรือสมรสกันได้ตามกฎหมาย ในเรื่องนี้ ครม.เห็นว่า มีหลักการใกล้เคียงกับร่างพระราชบัญญัติ คู่ชีวิต พ.ศ. .... และร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ.ฯ ที่ครม.เห็นชอบไปแล้ว และครอบคลุมหลายมิติ โดยขณะนี้ ทางมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้ดําเนินการศึกษาเพิ่มเติมตามที่คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายนนี้ ครม.จึงมีมติไม่รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรเสนอ และให้กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกันพิจารณาร่างพ.ร.บ.ของรัฐบาลประกอบผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยสุโขทัยฯ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม.เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต เข้าสภาฯ วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2565 ครม.เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต เข้าสภาฯ ครม.เร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.คู่ชีวิต เข้าสภาฯ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2565 ว่า ตามที่สภาผู้แทนราษฎรได้เห็นชอบให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณารับหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... โดยเป็นร่างที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ซึ่งมีสาระเป็นการกําหนดให้ชาย หญิง หรือบุคคล 2 คน ซึ่งเป็นเพศเดียวกันสามารถหมั้นหรือสมรสกันได้ตามกฎหมาย ในเรื่องนี้ ครม.เห็นว่า มีหลักการใกล้เคียงกับร่างพระราชบัญญัติ คู่ชีวิต พ.ศ. .... และร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ.ฯ ที่ครม.เห็นชอบไปแล้ว และครอบคลุมหลายมิติ โดยขณะนี้ ทางมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ได้ดําเนินการศึกษาเพิ่มเติมตามที่คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนเมษายนนี้ ครม.จึงมีมติไม่รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฏรเสนอ และให้กระทรวงยุติธรรมและกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกันพิจารณาร่างพ.ร.บ.ของรัฐบาลประกอบผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยสุโขทัยฯ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อผลักดันเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53071
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” ประกาศเดินหน้าพัฒนากรุงเทพสู่ “มหานครสีเขียว” มุ่งยกระดับ “สุขภาพคน-คุณภาพเมือง”
วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 “อลงกรณ์” ประกาศเดินหน้าพัฒนากรุงเทพสู่ “มหานครสีเขียว” มุ่งยกระดับ “สุขภาพคน-คุณภาพเมือง” “อลงกรณ์” ประกาศเดินหน้าพัฒนากรุงเทพสู่ “มหานครสีเขียว” มุ่งยกระดับ “สุขภาพคน-คุณภาพเมือง” ตอบโจทย์อนาคตกทม. ชูแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ตั้งกลไก 50 เขต ดีเดย์ 24 ธ.ค. คิกออฟโครงการวัดสีเขียว คลองสามวาสีเขียว นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง กล่าวในโอกาสร่วมบรรยายพิเศษในงาน Bangkok City Talk 2021 Bangkok Conference on Academic Argument ในหัวข้อ "เกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง : อนาคตของกรุงเทพมหานคร" ผ่านระบบออนไลน์ zoom meeting และ Facebook live ว่า ในปี 2562 ประเทศไทยมีประชากรในเมืองมากกว่าในชนบทเป็นครั้งแรก สะท้อนถึงการขยายตัวของเมือง (Urbanization) ในประเทศของเราและเป็นเหตุผลสําคัญที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในยุคปัจจุบันต้องเร่งขับเคลื่อนพัฒนาการเกษตรในเมือง (Urban Farming) โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด19 และยุคต่อไป (Next normal)ที่ต้องให้ความสําคัญระบบนิเวศน์เมืองเรื่องสุขภาพคนและคุณภาพเมือง สําหรับกรุงเทพมหานครมีการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว ทําให้พื้นที่เกษตรลดลงเหลือเพียงแสนกว่าไร่เป็นเมืองที่มีความมั่นคงทางอาหาร(Food Safety )น้อยมากและพื้นที่สีเขียวยังไม่ได้สัดส่วนกับจํานวนประชากร คณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงวางโครงสร้างและระบบเป็นกลไกแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาภาคการเกษตรในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ด้วยโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project : SUAD Project) ตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนซึ่งได้กําหนดยุทธศาสตร์ “3’s”(Safety-Security-Sustainability-เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยื) โดยโครงการดังกล่าวมุ่งเน้นการการพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็น “มหานครสีเขียวแห่งอนาคต” มีวัตถุประสงค์ 6 ประการได้แก่ 1. การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง 2. การเพิ่มพื้นที่สีเขียว 3. การลดPM2.5และลดก๊าซเรือนกระจก(Green House Gas) 4.การเพิ่มคุณภาพอากาศ 5.การอัพเกรดคุณภาพชีวิตของประชาชน และ 6.การสร้างเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของสหประชาชาติ ในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Climate Change) ของโลก และเป้าหมายของโครงการกรุงเทพสีเขียว 2030(Green Bangkok 2030)ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ เป็น 10 ตารางเมตรต่อคน สามารถเข้าถึงพื้นที่สีเขียวได้ในทุกระยะ 400 เมตร และเพิ่มพื้นที่ร่มไม้ต่อพื้นที่เมืองให้เป็น 1.3 แสนไร่ พร้อมทั้งพัฒนาการเกษตรและสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่เมือง รวมทั้งการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวเพิ่มรายได้และอาชีพในระดับชุมชนบนโมเดล BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy) ควบคู่ไปด้วยกัน นายอลงกรณ์ ในฐานะประธานโครงการกล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ได้จัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนใน 3 ระดับ ทั้งคณะกรรมการบริหารโครงการระดับประเทศ ระดับจังหวัด และระดับย่อยในพื้นที่ เป็นโครงสร้างและระบบครอบคลุมทั้งประเทศ โดยแบ่งพื้นที่ดําเนินการเป็น 2 ประเภทคือพื้นที่ของรัฐ (Public Space) เช่น บริเวณริมถนนและทางรถไฟ พื้นที่ใต้ทางด่วน เกาะกลางถนน สวนสาธารณะ สถานศึกษาของรัฐ พื้นที่ส่วนราชการ และพื้นที่สาธารณะว่างปล่า สําหรับ พื้นที่ส่วนบุคคล (Private space) เช่น บ้าน ชุมชน โครงการจัดสรร คอนโด อาคารสํานักงาน พื้นที่ของการเคหะแห่งชาติ วัด โรงเรียน สถานศึกษา โดยส่งเสริมให้ปลูกไม้ยืนต้นไม้พุ่มไม้เลื้อยหรือไม้ในร่มโดยมีการพัฒนาเมืองสีเขียวได้หลายรูปแบบเช่น ถนนสีเขียว(Green Road) หลักคาสีเขียว(Green Roof) ตึกสีเขียว(Green Building) สวนป่า(Forest Garden) มหาวิทยาลัยสีเขียว (Green Campus) ชุมชนสีเขียว (Green Community วัดสีเขียว(Green Temple) เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและการเรียนรู้กับการอยู่ร่วมกันแบบแบ่งปัน สําหรับการทําเกษตรในเมืองตามแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืนมี 5 ประเภท ได้แก่ เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน วนเกษตรและเกษตรธรรมชาติ ทั้งในรูปแบบสวนขนาดเล็กและสวนขนาดใหญ่ สําหรับชุมชนในกรุงเทพมหานครจะได้รับการสนับสนุนในการสร้างอาชีพเกษตรกรรมในเมืองเพื่อสร้างรายได้เสริมและลดค่าครองชีพอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้จะมีตลาดเกษตร (Farm Market)ทเป็นตลาดจําหน่ายสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ขณะนี้ได้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติ ระดับคลัสเตอร์ และระดับเมือง เช่น ได้จัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนกรุงเทพมหานครแล้วมีตนเป็นประธานและจะจัดตั้งคณะทํางานให้ครบทั้ง 50 เขตเป็นกลไกขับเคลื่อนระดับพื้นที่ เช่น กรีนตลิ่งชัน กรีนบางกะปิ กรีนบางนา กรีนห้วยขวาง กรีนบางแค และวันที่ 24 ธ.ค.นี้จะคิกออฟโครงการวัดสีเขียว คลองสามวาสีเขียว ที่วัดพระยาสุเรนทร์ เป็นที่แรกบนความร่วมมือระหว่างวัด บ้านและโรงเรียน (บ.ว.ร.) ในเขตคลองสามวา “โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองจะเป็นทิศทางใหม่ของการปฏิรูปภาคเกษตรกรรมของไทยและเป็นครั้งแรกของประเทศที่จะส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรรมในเมืองอย่างยั่งยืนในระดับนโยบายคู่ขนานไปกับการพัฒนาภาคเกษตรในชนบท อีกทั้งยังส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในระดับชุมชนด้วยซึ่งมหานครใหญ่ๆ ระดับ World City เช่น นิวยอร์ก ลอนดอน ปักกิ่ง สิงคโปร์ ปารีส โตเกียว ฯลฯ ก็กําลังหันมาให้ความสําคัญกับการพัฒนาเกษตรกรรมในเมืองด้วยเช่นกัน” นายอลงกรณ์ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” ประกาศเดินหน้าพัฒนากรุงเทพสู่ “มหานครสีเขียว” มุ่งยกระดับ “สุขภาพคน-คุณภาพเมือง” วันพุธที่ 22 ธันวาคม 2564 “อลงกรณ์” ประกาศเดินหน้าพัฒนากรุงเทพสู่ “มหานครสีเขียว” มุ่งยกระดับ “สุขภาพคน-คุณภาพเมือง” “อลงกรณ์” ประกาศเดินหน้าพัฒนากรุงเทพสู่ “มหานครสีเขียว” มุ่งยกระดับ “สุขภาพคน-คุณภาพเมือง” ตอบโจทย์อนาคตกทม. ชูแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง ตั้งกลไก 50 เขต ดีเดย์ 24 ธ.ค. คิกออฟโครงการวัดสีเขียว คลองสามวาสีเขียว นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง กล่าวในโอกาสร่วมบรรยายพิเศษในงาน Bangkok City Talk 2021 Bangkok Conference on Academic Argument ในหัวข้อ "เกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง : อนาคตของกรุงเทพมหานคร" ผ่านระบบออนไลน์ zoom meeting และ Facebook live ว่า ในปี 2562 ประเทศไทยมีประชากรในเมืองมากกว่าในชนบทเป็นครั้งแรก สะท้อนถึงการขยายตัวของเมือง (Urbanization) ในประเทศของเราและเป็นเหตุผลสําคัญที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในยุคปัจจุบันต้องเร่งขับเคลื่อนพัฒนาการเกษตรในเมือง (Urban Farming) โดยเฉพาะในสถานการณ์โควิด19 และยุคต่อไป (Next normal)ที่ต้องให้ความสําคัญระบบนิเวศน์เมืองเรื่องสุขภาพคนและคุณภาพเมือง สําหรับกรุงเทพมหานครมีการพัฒนาเมืองอย่างรวดเร็ว ทําให้พื้นที่เกษตรลดลงเหลือเพียงแสนกว่าไร่เป็นเมืองที่มีความมั่นคงทางอาหาร(Food Safety )น้อยมากและพื้นที่สีเขียวยังไม่ได้สัดส่วนกับจํานวนประชากร คณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จึงวางโครงสร้างและระบบเป็นกลไกแบบมีส่วนร่วมในการพัฒนาภาคการเกษตรในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ด้วยโครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง (Sustainable Urban Agriculture Development Project : SUAD Project) ตามนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืนซึ่งได้กําหนดยุทธศาสตร์ “3’s”(Safety-Security-Sustainability-เกษตรปลอดภัย เกษตรมั่นคงและเกษตรยั่งยื) โดยโครงการดังกล่าวมุ่งเน้นการการพัฒนากรุงเทพมหานครให้เป็น “มหานครสีเขียวแห่งอนาคต” มีวัตถุประสงค์ 6 ประการได้แก่ 1. การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง 2. การเพิ่มพื้นที่สีเขียว 3. การลดPM2.5และลดก๊าซเรือนกระจก(Green House Gas) 4.การเพิ่มคุณภาพอากาศ 5.การอัพเกรดคุณภาพชีวิตของประชาชน และ 6.การสร้างเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งสอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของสหประชาชาติ ในการรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ (Climate Change) ของโลก และเป้าหมายของโครงการกรุงเทพสีเขียว 2030(Green Bangkok 2030)ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวในกรุงเทพฯ เป็น 10 ตารางเมตรต่อคน สามารถเข้าถึงพื้นที่สีเขียวได้ในทุกระยะ 400 เมตร และเพิ่มพื้นที่ร่มไม้ต่อพื้นที่เมืองให้เป็น 1.3 แสนไร่ พร้อมทั้งพัฒนาการเกษตรและสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่เมือง รวมทั้งการสร้างเศรษฐกิจสีเขียวเพิ่มรายได้และอาชีพในระดับชุมชนบนโมเดล BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy) ควบคู่ไปด้วยกัน นายอลงกรณ์ ในฐานะประธานโครงการกล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ได้จัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนใน 3 ระดับ ทั้งคณะกรรมการบริหารโครงการระดับประเทศ ระดับจังหวัด และระดับย่อยในพื้นที่ เป็นโครงสร้างและระบบครอบคลุมทั้งประเทศ โดยแบ่งพื้นที่ดําเนินการเป็น 2 ประเภทคือพื้นที่ของรัฐ (Public Space) เช่น บริเวณริมถนนและทางรถไฟ พื้นที่ใต้ทางด่วน เกาะกลางถนน สวนสาธารณะ สถานศึกษาของรัฐ พื้นที่ส่วนราชการ และพื้นที่สาธารณะว่างปล่า สําหรับ พื้นที่ส่วนบุคคล (Private space) เช่น บ้าน ชุมชน โครงการจัดสรร คอนโด อาคารสํานักงาน พื้นที่ของการเคหะแห่งชาติ วัด โรงเรียน สถานศึกษา โดยส่งเสริมให้ปลูกไม้ยืนต้นไม้พุ่มไม้เลื้อยหรือไม้ในร่มโดยมีการพัฒนาเมืองสีเขียวได้หลายรูปแบบเช่น ถนนสีเขียว(Green Road) หลักคาสีเขียว(Green Roof) ตึกสีเขียว(Green Building) สวนป่า(Forest Garden) มหาวิทยาลัยสีเขียว (Green Campus) ชุมชนสีเขียว (Green Community วัดสีเขียว(Green Temple) เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและการเรียนรู้กับการอยู่ร่วมกันแบบแบ่งปัน สําหรับการทําเกษตรในเมืองตามแนวทางเกษตรกรรมยั่งยืนมี 5 ประเภท ได้แก่ เกษตรอินทรีย์ เกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรผสมผสาน วนเกษตรและเกษตรธรรมชาติ ทั้งในรูปแบบสวนขนาดเล็กและสวนขนาดใหญ่ สําหรับชุมชนในกรุงเทพมหานครจะได้รับการสนับสนุนในการสร้างอาชีพเกษตรกรรมในเมืองเพื่อสร้างรายได้เสริมและลดค่าครองชีพอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้จะมีตลาดเกษตร (Farm Market)ทเป็นตลาดจําหน่ายสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ขณะนี้ได้จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติ ระดับคลัสเตอร์ และระดับเมือง เช่น ได้จัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนกรุงเทพมหานครแล้วมีตนเป็นประธานและจะจัดตั้งคณะทํางานให้ครบทั้ง 50 เขตเป็นกลไกขับเคลื่อนระดับพื้นที่ เช่น กรีนตลิ่งชัน กรีนบางกะปิ กรีนบางนา กรีนห้วยขวาง กรีนบางแค และวันที่ 24 ธ.ค.นี้จะคิกออฟโครงการวัดสีเขียว คลองสามวาสีเขียว ที่วัดพระยาสุเรนทร์ เป็นที่แรกบนความร่วมมือระหว่างวัด บ้านและโรงเรียน (บ.ว.ร.) ในเขตคลองสามวา “โครงการพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมืองจะเป็นทิศทางใหม่ของการปฏิรูปภาคเกษตรกรรมของไทยและเป็นครั้งแรกของประเทศที่จะส่งเสริมและพัฒนาเกษตรกรรมในเมืองอย่างยั่งยืนในระดับนโยบายคู่ขนานไปกับการพัฒนาภาคเกษตรในชนบท อีกทั้งยังส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากในระดับชุมชนด้วยซึ่งมหานครใหญ่ๆ ระดับ World City เช่น นิวยอร์ก ลอนดอน ปักกิ่ง สิงคโปร์ ปารีส โตเกียว ฯลฯ ก็กําลังหันมาให้ความสําคัญกับการพัฒนาเกษตรกรรมในเมืองด้วยเช่นกัน” นายอลงกรณ์ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49745
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ปรับภาพลักษณ์ผู้บริหารยุคใหม่เก่งกฎหมายรอบด้าน รุกเปิดอบรมให้ความรู้กฎหมายเกี่ยวข้องงานของกระทรวงวัฒนธรรมแก่ผู้บริหาร-วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ
วันพุธที่ 26 มกราคม 2565 วธ.ปรับภาพลักษณ์ผู้บริหารยุคใหม่เก่งกฎหมายรอบด้าน รุกเปิดอบรมให้ความรู้กฎหมายเกี่ยวข้องงานของกระทรวงวัฒนธรรมแก่ผู้บริหาร-วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ วธ.ปรับภาพลักษณ์ผู้บริหารยุคใหม่เก่งกฎหมายรอบด้าน รุกเปิดอบรมให้ความรู้กฎหมายเกี่ยวข้องงานของกระทรวงวัฒนธรรมแก่ผู้บริหาร-วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ วธ.ปรับภาพลักษณ์ผู้บริหารยุคใหม่เก่งกฎหมายรอบด้าน รุกเปิดอบรมให้ความรู้กฎหมายเกี่ยวข้องงานของกระทรวงวัฒนธรรมแก่ผู้บริหาร-วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ ระดมวิทยากรจากสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักงาน ก.พ. และกรมบัญชีกลาง ให้ความรู้ ทํางานโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ตามระเบียบหรือกฎหมาย เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม 2565 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมให้ความรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของกระทรวงวัฒนธรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยมีนางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพฯ โดยโครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้ผู้ร่วมโครงการนําความรู้ที่ได้ไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ผู้เข้าร่วมโครงการนําความรู้ที่ได้ไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบของทางราชการ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการกระทําความผิด และเกิดความเสียหายจากการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมาย ต่อทั้งตัวเจ้าหน้าที่ และต่อหน่วยงาน และเพื่อให้บุคลากรมีศักยภาพและสมรรถนะสูง สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมืออาชีพตามนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรม ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อไปว่า สําหรับเนื้อหาสาระการอบรมครั้งนี้เน้นครอบคลุมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ ได้แก่ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ และการดําเนินการทางวินัยของข้าราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีกําหนดระยะเวลาการฝึกอบรม ๓ วัน ตั้งแต่วันที่ ๒๖ - ๒๘ มกราคม ๒๕๖๕ ณ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ชอฟเฟอริน กรุงเทพ มีผู้เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ วัฒนธรรมจังหวัด โดยได้รับความอนุเคราะห์วิทยากรจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักงาน ก.พ. และกรมบัญชีกลาง “การปฏิบัติราชการเพื่อขับเคลื่อนภารกิจต่าง ๆ ของกระทรวงวัฒนธรรม จําเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถปฏิบัติราชการได้อย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามระเบียบหรือกฎหมาย ดังนั้น การเป็นผู้บริหารยุคใหม่ จะต้องมีความรู้ความสามารถทุกด้าน มีความน่าเชื่อถือ ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานวัฒนธรรม จะมีประโยชน์ทั้งต่อตัวผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัดที่จะเติบโตในตําแหน่งที่สูงขึ้นต่อไป ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรมและจริยธรรม สามารถให้คําแนะนําผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ช่วยกันทําประโยชน์ต่อประชาชน ประเทศชาติและขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมต่อไป” ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.ปรับภาพลักษณ์ผู้บริหารยุคใหม่เก่งกฎหมายรอบด้าน รุกเปิดอบรมให้ความรู้กฎหมายเกี่ยวข้องงานของกระทรวงวัฒนธรรมแก่ผู้บริหาร-วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ วันพุธที่ 26 มกราคม 2565 วธ.ปรับภาพลักษณ์ผู้บริหารยุคใหม่เก่งกฎหมายรอบด้าน รุกเปิดอบรมให้ความรู้กฎหมายเกี่ยวข้องงานของกระทรวงวัฒนธรรมแก่ผู้บริหาร-วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ วธ.ปรับภาพลักษณ์ผู้บริหารยุคใหม่เก่งกฎหมายรอบด้าน รุกเปิดอบรมให้ความรู้กฎหมายเกี่ยวข้องงานของกระทรวงวัฒนธรรมแก่ผู้บริหาร-วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ วธ.ปรับภาพลักษณ์ผู้บริหารยุคใหม่เก่งกฎหมายรอบด้าน รุกเปิดอบรมให้ความรู้กฎหมายเกี่ยวข้องงานของกระทรวงวัฒนธรรมแก่ผู้บริหาร-วัฒนธรรมจังหวัดทั่วประเทศ ระดมวิทยากรจากสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักงาน ก.พ. และกรมบัญชีกลาง ให้ความรู้ ทํางานโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ตามระเบียบหรือกฎหมาย เมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม 2565 นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เป็นประธานเปิดโครงการฝึกอบรมให้ความรู้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานของกระทรวงวัฒนธรรม ประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 โดยมีนางยุถิกา อิศรางกูร ณ อยุธยา รองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัด และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ณ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพฯ โดยโครงการดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อให้ผู้ร่วมโครงการนําความรู้ที่ได้ไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ผู้เข้าร่วมโครงการนําความรู้ที่ได้ไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย และระเบียบของทางราชการ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการกระทําความผิด และเกิดความเสียหายจากการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ กฎหมาย ต่อทั้งตัวเจ้าหน้าที่ และต่อหน่วยงาน และเพื่อให้บุคลากรมีศักยภาพและสมรรถนะสูง สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมืออาชีพตามนโยบายของกระทรวงวัฒนธรรม ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวต่อไปว่า สําหรับเนื้อหาสาระการอบรมครั้งนี้เน้นครอบคลุมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติราชการ ได้แก่ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร ของราชการ พ.ศ. ๒๕๔๐ พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ และการดําเนินการทางวินัยของข้าราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีกําหนดระยะเวลาการฝึกอบรม ๓ วัน ตั้งแต่วันที่ ๒๖ - ๒๘ มกราคม ๒๕๖๕ ณ โรงแรมโกลเด้น ทิวลิป ชอฟเฟอริน กรุงเทพ มีผู้เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ วัฒนธรรมจังหวัด โดยได้รับความอนุเคราะห์วิทยากรจากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สํานักงานปลัดสํานักนายกรัฐมนตรี สํานักงาน ก.พ. และกรมบัญชีกลาง “การปฏิบัติราชการเพื่อขับเคลื่อนภารกิจต่าง ๆ ของกระทรวงวัฒนธรรม จําเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานเพื่อให้สามารถปฏิบัติราชการได้อย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ เป็นไปตามระเบียบหรือกฎหมาย ดังนั้น การเป็นผู้บริหารยุคใหม่ จะต้องมีความรู้ความสามารถทุกด้าน มีความน่าเชื่อถือ ปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่องกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับงานวัฒนธรรม จะมีประโยชน์ทั้งต่อตัวผู้บริหาร วัฒนธรรมจังหวัดที่จะเติบโตในตําแหน่งที่สูงขึ้นต่อไป ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรมและจริยธรรม สามารถให้คําแนะนําผู้ใต้บังคับบัญชา ให้ปฏิบัติตามระเบียบและกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ช่วยกันทําประโยชน์ต่อประชาชน ประเทศชาติและขับเคลื่อนงานวัฒนธรรมต่อไป” ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50910
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มิ่งขวัญ สิริมงคลพสกนิกร ทำขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร
วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มิ่งขวัญ สิริมงคลพสกนิกร ทําขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มิ่งขวัญ สิริมงคลพสกนิกร ทําขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร เริ่มต้นฤดูกาลเพาะปลูกข้าวและอาชีพเกษตรกรรม งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีซึ่งจัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลและบํารุงขวัญแก่เกษตรกรไทย กําหนดจัดขึ้นในเดือนหกของทุกปี ซึ่งระยะนี้เป็นระยะเหมาะสมที่จะเริ่มต้นการทํานา อันเป็นอาชีพหลักของประชาชนคนไทย แต่ไม่ได้กําหนดวันที่แน่นอนไว้เหมือนกับวันในพระราชพิธีอื่น ๆ ส่วนจะเป็นวันใดในเดือนหก หรือเดือนพฤษภาคมที่มีฤกษ์ยามที่เหมาะสมต้องตามประเพณี ให้จัดขึ้นในวันนั้น โดยพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีพระราชพิธี 2 พิธีรวมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคล อันเป็นพิธีสงฆ์ ซึ่งจะประกอบพระราชพิธีวันแรกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง กับพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (พิธีไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์ ซึ่งจะประกอบพระราชพิธีในวันรุ่งขึ้น ณ มณฑลพิธีสนามหลวง นับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเรื่อยมางานแรกนาขวัญมีแต่เพียงพิธีทางศาสนาพราหมณ์เท่านั้น จนกระทั่ง ถึงรัชสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีสงฆ์เพิ่มขึ้นในพระราชพิธีต่าง ๆ ทุกพิธี ดังนั้น พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญจึงได้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยได้จัดรวมกับพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ จึงมีชื่อเรียกรวมกันว่า “พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ” การจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ได้กระทําเต็มรูปบูรพประเพณีครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2479 แล้วว่างเว้นไปจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2503 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ฟื้นฟูพระราชพิธีขึ้นใหม่ และได้กระทําติดต่อกันมาทุกปีจนถึงปัจจุบัน ด้วยเห็นว่าเป็นการรักษาพระราชพิธีอันดีงาม มีผลในการบํารุงขวัญและจิตใจของเกษตรกรไทย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชกระแสให้ปรับปรุงพิธีการบางอย่างให้เหมาะสมกับยุคสมัย และเสด็จพระราชดําเนินมาเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีนี้ทุกปี สืบมามิได้ขาด โดยในปี พ.ศ. 2565 นี้ ได้กําหนด ให้วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เป็นวันประกอบพระราชพิธีพืชมงคล ซึ่งเป็นพิธีทําขวัญ พืชพันธุ์ธัญญาหารที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอธิษฐานเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบพระราชพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องจากข้าวนั้นถือว่าเป็นอาหารหลักของประชาชน ในภาษาบาลีเรียกว่า ปุพพัณณะ หรือ บุพพัณณะ หรือ บุพพัณณชาติ ส่วนพืชอื่น ๆ ที่เป็นอาหารเรียกว่า อปรัณณ หรือ อปรัณชาติ หมายถึงพืชจําพวก ถั่ว งา เป็นต้น ถ้าเรียกควบทั้งสองอย่างเรียกว่า บุพพัณณปรัณณชาติ ที่หมายถึงพืชที่เป็นอาหารทุกชนิด บุพพัณณปรัณณชาติ ที่นําเข้าพิธีพืชมงคลนั้น เป็นข้าวเปลือก มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้ มีเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ รวม 40 อย่าง แต่ละอย่างบรรจุถุงผ้าขาวกับเผือกมันต่าง ๆ สําหรับในวันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เป็นวันพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์ จะประกอบพระราชพิธี ณ มณฑลพิธีสนามหลวง ในแต่ละปีได้มีการกําหนดว่า ผู้ทําหน้าที่พระยาแรกนา คือ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยในปี พ.ศ. 2565 นี้ นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทําหน้าที่พระยาแรกนา และผู้ที่มาทําหน้าที่ เป็นเทพีทั้งหาบทองและหาบเงินนั้น จะมีหลักเกณฑ์การคัดเลือกเทพีในแต่ละปี ซึ่งจะดูที่ความเหมาะสมต่าง ๆ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ที่เป็นทางการ คือ พิจารณาคัดเลือกจากบรรดาข้าราชการหญิงโสด เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นโทขึ้นไป ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์แล้ว ที่ไม่เป็นทางการ คือ อายุพอสมควร สุขภาพดี ส่วนสูงพอเหมาะหรือสูงใกล้เคียงกัน สําหรับในปีนี้ เทพี คู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวณัฐชยา ศรีสุขสวัสดิ์ นักวิชาการปฏิรูปที่ดินชํานาญการพิเศษ สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และนางสาวอาทิตยา ทองแกมแก้ว นักวิชาการเกษตรชํานาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร เทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวกันยารัตน์ เศวตนันทิกุล นักทรัพยากรบุคคลชํานาญการพิเศษ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางสาวชลธิชา ทองอ่อน นายสัตวแพทย์ชํานาญการ กรมปศุสัตว์ สําหรับพระโคที่ใช้ในการประกอบพระราชพิธีฯ นั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมาย ให้กรมปศุสัตว์ เป็นหน่วยงานคัดเลือกพระโคเพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งได้ดําเนินการคัดเลือกพระโคตามหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม คือ จะต้องเป็นโคที่มีลักษณะดี รูปร่างสมบูรณ์ มีความสูงไม่น้อยกว่า 150 เซนติเมตร ความยาวลําตัวไม่น้อยกว่า 120 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอกไม่น้อยกว่า 180 เซนติเมตร โคทั้งคู่จะต้องมีสีเดียวกัน ผิวสวย ขนเป็นมัน กิริยามารยาทเรียบร้อย ฝึกง่าย สอนง่ายไม่ดุร้าย เขาลักษณะโค้งสวยงามเท่ากัน ตาแจ่มใส หูไม่มีตําหนิ หางยาวสวยงามดี มีขวัญหน้า ขวัญทัดดอกไม้ซ้ายขวา และขวัญหลังถูกต้อง มีขาและกีบข้อเท้าแข็งแรง มองดูด้านข้างลําตัวจะเป็นสี่เหลี่ยม ในปี พ.ศ. 2565นี้ กรมปศุสัตว์ได้ทําการคัดเลือกพระโค เพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ 2 คู่ เป็นพระโคแรกนาขวัญ 1 คู่ คือ พระโคพอ มีความสูง 165 เซนติเมตร ความยาวลําตัว 225 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอก 214 เซนติเมตร อายุ 10 ปี พระโคเพียง มีความสูง 169 เซนติเมตร ความยาวลําตัว 238 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอก 209 เซนติเมตร อายุ 10 ปี พระโคสํารอง 1 คู่ คือ พระโคเพิ่มและพระโคพูล ซึ่งเป็นโคพันธุ์ขาวลําพูน มีสีผิวขาวอมชมพู ขนสีขาวสะอาด ทั้งลําตัวไม่มีจุดด่างดําหรือสีอื่นบนลําตัว เขามีสีขาว เป็นลําเทียน เขาทั้งสองข้างมีลักษณะโค้งสวยงาม ดวงตาแจ่มใสสีน้ําตาลอ่อน ขนตาสีชมพู บริเวณจมูกขาว กีบสีขาว ขนหางเป็นพวง สีขาวยาว ลําตัวช่วงขาหลังและกีบมีความสมบูรณ์แข็งแรง เวลายืนและเดินสง่า โดยนายสมชาย ดําทะมิส ได้บริจาคทรัพย์ซื้อพระโคพอมอบให้กรมปศุสัตว์นําน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และนายอาคม วัฒนากูล บริจาคทรัพย์ซื้อพระโคเพียง มอบให้กรมปศุสัตว์นําน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ส่วนพันธุ์ข้าวที่นํามาประกอบในงานพระราชพิธี ฯ ซึ่งประชาชนทุกเพศทุกวัยมักเดินทางมายังลานแรกนาท้องสนามหลวงโดยมีความมุ่งหมายเดียวกัน เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวกลับไปเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคล โดยนับตั้งแต่ปี 2504 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ได้มาจากแปลงนาในสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวเปลือกที่หว่านในพิธีแรกนาในปีก่อนหน้า ที่ทรงโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสําหรับไว้ใช้ในงานพระราชพิธี ฯ โดยเฉพาะ ซึ่งในปี พ.ศ. 2565 นี้ เมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือกที่นําเข้าในพระราชพิธี มีทั้งหมด 6 สายพันธุ์ น้ําหนักรวมทั้งสิ้น 1,728 กิโลกรัม ประกอบด้วย 1) ขาวดอกมะลิ 105 เป็นข้าวเจ้าที่ทนแล้งได้ดีพอสมควร เมล็ดข้าวสารใส แกร่ง คุณภาพการสีดี คุณภาพการหุงต้มดี อ่อนนุ่ม มีกลิ่นหอม ทนต่อสภาพดินเปรี้ยว และดินเค็ม จํานวน 245 กิโลกรัม 2) ปทุมธานี 1 เป็นข้าวเจ้าผลผลิตสูง คุณภาพเมล็ดคล้ายพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาล และเพลี้ยกระโดดหลังขาว ต้านทานโรคไหม้ และโรคขอบใบแห้ง จํานวน 399 กิโลกรัม 3) กข 43 เป็นข้าวเจ้าไม่ไวต่อช่วงแสง คุณภาพของเมล็ดทางการหุงต้มรับประทาน ดี ข้าวสุกนุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อน ค่อนข้างต้านทานต่อโรคไหม้และเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาล จํานวน 125 กิโลกรัม 4) กข 6 เป็นข้าวเหนียวให้ผลผลิตสูง และทนแล้งดีกว่าพันธุ์เหนียวสันป่าตอง คุณภาพการหุงต้มดี มีกลิ่นหอม คุณภาพการสีดี ต้านทานโรคใบจุดสีน้ําตาล จํานวน 70 กิโลกรัม 5) กข 87 เป็นพันธุ์ข้าวประเภทพื้นนุ่ม ลักษณะเด่นพิเศษ ข้าวสุกนุ่ม ค่อนข้างเหนียว คุณภาพเมล็ดทางกายภาพดี ท้องไข่น้อย คุณภาพการสีดีมาก เหมาะสําหรับปลูกในพื้นที่นาชลประทานภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง จํานวน 300 กิโลกรัม และ 6) กข 85 เป็นข้าวเจ้าพื้นแข็ง เป็นข้าวเจ้าไม่ไวต่อช่วงแสง ปลูกได้ทั้งนาปี และนาปรัง ทนต่อสภาพอากาศเย็น คุณภาพการสีดีมาก ท้องไข่น้อย ให้ผลผลิตสูงถึง 862 กิโลกรัมต่อไร่ จํานวน 589 กิโลกรัม พันธุ์ข้าวดังกล่าว ส่วนหนึ่งใช้หว่านในระหว่างพิธี และจัดเป็น “พันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทาน” บรรจุใส่ซองขนาดเล็กเพื่อจัดส่งให้จังหวัดต่าง ๆ สําหรับใช้แจกจ่ายแก่เกษตรกรรับไปเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคล ในการประกอบอาชีพตามพระราชประสงค์ และเมล็ดพันธุ์ที่เหลือทั้งหมด กรมการข้าวขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตนําไปปลูกไว้ทําพันธุ์ในฤดูกาลปี พ.ศ. 2565 เพื่อเป็นต้นตระกูลของพืชพันธุ์ดีเผยแพร่สู่เกษตรกรต่อไป โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กรมการข้าว กองเมล็ดพันธุ์ข้าว ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-561-3794 ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวทั้ง 29 แห่ง ศูนย์วิจัยข้าวทั้ง 27 แห่ง และสถาบันวิทยาศาสตร์ข้าว จังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจสามารถรับเมล็ดพันธุ์พระราชทานผ่านการลงทะเบียนออนไลน์ได้ทางHYPERLINK ttps://rice.moac.go.thได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ซึ่งเมื่อลงทะเบียนออนไลน์แล้ว สามารถเดินทางไปรับพันธุ์ข้าวพระราชทานได้ที่สํานักงานเกษตรจังหวัด หรือสํานักงานเกษตรอําเภอใกล้บ้านท่าน หลังจากวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2565 เป็นต้นไป โดยจะได้รับเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทานคนละ 2 ซอง สําหรับการเสี่ยงทายในพระราชพิธีฯ จะมีการพยากรณ์ถึงความสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารของประเทศ ซึ่งแต่ละปีนั้น ประกอบด้วย 2 ช่วง คือ ช่วงแรก พระยาแรกนาจะตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงทายผ้านุ่งแต่งกาย ซึ่งแต่ละผืนล้วนมีความหมายแตกต่างกันออกไป เป็นผ้าลายมีด้วยกัน 3 ผืน คือ 6 คืบ 5 คืบ และ4 คืบ ผ้านุ่งนี้จะวางเรียงบนโตกมีผ้าคลุมเพื่อให้พระยาแรกนาหยิบ ถ้าหยิบได้ผืนใดนั้นจะมีคําทํานาย ไปตามนั้น คือ ถ้าหยิบได้ 4 คืบ พยากรณ์ว่า น้ําจะมากสักหน่อย นาในที่ดอนจะได้ผลบริบูรณ์ดี นาในที่ลุ่ม อาจจะเสียหายบ้างได้ผลไม่เต็มที่ ถ้าหยิบได้ 5 คืบ พยากรณ์ว่า น้ําในปีนี้จะมีปริมาณพอดี ข้าวกล้าในนาจะได้ผลบริบูรณ์ และผลาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์ดี ถ้าหยิบได้ผ้า 6 คืบ พยากรณ์ว่า น้ําจะน้อยนาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดีแต่นาในที่ดอนจะเสียหายบ้าง ไม่ได้ผลเต็มที่ ส่วนช่วงที่ 2 คือ ภายหลังจากการไถหว่านซึ่งจะเป็นการไถดะไปโดยรี 3 รอบ เพื่อพลิกดินให้เป็นก้อน ไถโดยขวาง 3 รอบ เพื่อย่อยดิน ให้ละเอียดพร้อมหว่านเมล็ดพันธุ์พืช และไถกลบอีก 3 รอบ เพื่อกลบเมล็ดพันธุ์พืชลงในดิน เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการไถแล้วจะเป็นการเสี่ยงทายของกิน 7 สิ่งตั้งเลี้ยงพระโค ได้แก่ ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่วเขียว งา เหล้า น้ํา และหญ้า เมื่อพระโคกินของสิ่งใดโหรหลวงจะถวายคําพยากรณ์ ดังนี้ ถ้าพระโคกินข้าวหรือข้าวโพด พยากรณ์ว่า ธัญญาหาร ผลาหาร จะบริบูรณ์ดี ถ้าพระโคกินถั่วหรืองา พยากรณ์ว่า ผลาหาร ภักษาหารจะอุดมสมบูรณ์ดี ถ้าพระโคกินน้ําหรือหญ้า พยากรณ์ว่า น้ําท่าจะบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหารผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์ดี และถ้าพระโคกินเหล้า พยากรณ์ว่า การคมนาคมสะดวกขึ้น การค้าขายกับต่างประเทศดีขึ้นทําให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง อนึ่ง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้วันพระราชพิธีพืชมงคลนี้เป็น “วันเกษตรกร” ประจําปี เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางการเกษตรพึงระลึกถึงความสําคัญของการเกษตร และ ร่วมมือกันประกอบพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่อาชีพของตน ทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศชาติ จึงได้จัดงานวันเกษตรกรควบคู่ไปกับงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญตลอดมา โดยในปี พ.ศ. 2565 เกษตรกรและบุคคลากรทางการเกษตรดีเด่นแห่งชาติ สถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ และสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ และปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ที่ผ่านการคัดเลือกได้รับรางวัลและยกย่องประกาศเกียรติคุณ พร้อมทั้งเผยแพร่ผลงานให้สาธารณชนทั่วไป ได้รู้จักและยึดถือเป็นแบบอย่างในแนวทางการปฏิบัติ โดยจะเข้ารับพระราชทานโล่ประกาศเกียรติคุณ ในประเภทต่าง ๆ ดังนี้ เกษตรกรและบุคคลากรทางการเกษตรดีเด่นแห่งชาติ จํานวน 16 ราย 1) อาชีพทํานา ได้แก่ นายพัด ไชยวงค์ จ.เชียงใหม่ 2) อาชีพทําสวน ได้แก่ นายวีรวัฒน์ จีรวงส์ จ.ชุมพร 3) อาชีพทําไร่ ได้แก่ นายรุ่งเรือง ไล้รักษา จ.ประจวบคีรีขันธ์ 4) อาชีพไร่นาสวนผสม ได้แก่ นางจิระวรรณ ยืนนาน จ.ชุมพร 5) อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ได้แก่ นางนิกร แก้ววิสัย จ.อุดรธานี 6) อาชีพเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ นายเกรียงศักดิ์ เสรีรัตน์ยืนยง จ.ยะลา 7) อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําจืด ได้แก่ นายประวัติ พิริยศาสน์ จ.ปราจีนบุรี 8) อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํากร่อย ได้แก่ นายอรรถพงษ์ บุญเลิศฟ้า จ.นครปฐม 9) อาชีพเพาะเลี้ยงปลาสวยงามและพรรณไม้น้ํา ได้แก่ นายวัลลภ วุ่นสุด จ.นครปฐม 10)อาชีพปลูกสวนป่า ได้แก่ นายสมพร โล่ห์จินดา จ.เชียงราย 11)สาขาบัญชีฟาร์ม ได้แก่ นายอดุลย์ วิเชียรชัย จ.ปทุมธานี 12)สาขาการพัฒนาที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ได้แก่ นายบรรจง แสนยะมูล จ.มหาสารคาม 13)สาขาการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับพืช ได้แก่ นายสานนท์ พรัดเมือง จ.สุราษฎร์ธานี 14)สาขาเกษตรอินทรีย์ ได้แก่ นางสุจารี ธนสิริธนากร จ.กาฬสินธุ์ 15)ที่ปรึกษายุวชนเกษตรกร ได้แก่ นางสาวประทุมรัตน์ จงคูณกลาง จ.นครราชสีมา 16)สมาชิกกลุ่มยุวชนเกษตรกร ได้แก่ นางสาวศิริมน พันธุ์พิริยะ จ.ตราด สถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ จํานวน 11 กลุ่ม 1) กลุ่มเกษตรกรทําสวน ได้แก่ กลุ่มเกษตรกรทําสวนยางค้อม จ.นครศรีธรรมราช 2) กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้เลี้ยงแพะแกะ อําเภอเมืองเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์ 3) กลุ่มเกษตรกรทําประมง หรือกลุ่มเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร ทําประมงพัฒนาเกษตรพอเพียง 49 จ.สมุทรสาคร 4) กลุ่มเกษตรกรแปรรูปสัตว์น้ํา ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนปลาส้มบ้านคํากลาง จ.อุบลราชธานี 5) กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ได้แก่ กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านทุ่งโฮ้งหมู่ 5 จ.แพร่ 6) กลุ่มยุวเกษตรกร ได้แก่ กลุ่มยุวเกษตรกรโรงเรียนบ้านบุเขว้า จ.นครราชสีมา 7) กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวตะเคียนงาม จ.กําแพงเพชร 8) สถาบันเกษตรกรผู้ใช้น้ําชลประทาน ได้แก่ กลุ่มบริหารการใช้น้ําระบบท่อส่งน้ํา บ้านชําตาเรือง จ.จันทบุรี 9) ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชน ประเภท ข้าวหอมมะลิ ได้แก่ ศูนย์ข้าวชุมชน ตําบลบัวงาม จ.อุบลราชธานี 10) ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชน ประเภท ข้าวอื่น ๆ ได้แก่ ศูนย์ข้าวชุมชนองค์กร เกษตรอินทรีย์สีคิ้ว จ.นครราชสีมา 11) วิสาหกิจชุมชน ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนพัฒนาผลิตภัณฑ์พืชผักสมุนไพรและผลไม้ จ.ลําพูน สหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ จํานวน 4 สหกรณ์ 1) สหกรณ์การเกษตร ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรกุดข้าวปุ้น จํากัด จ.อุบลราชธานี 2) สหกรณ์โคนม ได้แก่ สหกรณ์โคนมลําพูน จํากัด จ.ลําพูน 3) สหกรณ์ออมทรัพย์ ได้แก่ สหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลชัยภูมิ จํากัด จ.ชัยภูมิ 4) สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ได้แก่ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเลิงฮังสามัคคี จํากัด จ.สกลนคร ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน จํานวน 3 สาขา 1) สาขาปราชญ์เกษตรผู้ทรงภูมิปัญญาและมีคุณูปการต่อภาคการเกษตรไทย นายเอนก สีเขียวสด จ.อ่างทอง 2) สาขาปราชญ์เศรษฐกิจพอเพียง นายสงวน มงคลศรีพันเลิศ จ.กระบี่ 3) สาขาปราชญ์เกษตรดีเด่น นายสุพจน์ สิงห์โตศรี จ.ราชบุรี ทั้งนี้ เกษตรกร สถาบันเกษตรกร สหกรณ์ และปราชญ์เกษตรฯ ทั้งหมด จะเข้ารับพระราชทาน โล่ประกาศเกียรติคุณในวันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ณ พลับพลาที่ประทับมณฑลพิธีท้องสนามหลวง
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มิ่งขวัญ สิริมงคลพสกนิกร ทำขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2565 พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มิ่งขวัญ สิริมงคลพสกนิกร ทําขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มิ่งขวัญ สิริมงคลพสกนิกร ทําขวัญพืชพันธุ์ธัญญาหาร เริ่มต้นฤดูกาลเพาะปลูกข้าวและอาชีพเกษตรกรรม งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีซึ่งจัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคลและบํารุงขวัญแก่เกษตรกรไทย กําหนดจัดขึ้นในเดือนหกของทุกปี ซึ่งระยะนี้เป็นระยะเหมาะสมที่จะเริ่มต้นการทํานา อันเป็นอาชีพหลักของประชาชนคนไทย แต่ไม่ได้กําหนดวันที่แน่นอนไว้เหมือนกับวันในพระราชพิธีอื่น ๆ ส่วนจะเป็นวันใดในเดือนหก หรือเดือนพฤษภาคมที่มีฤกษ์ยามที่เหมาะสมต้องตามประเพณี ให้จัดขึ้นในวันนั้น โดยพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ มีพระราชพิธี 2 พิธีรวมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคล อันเป็นพิธีสงฆ์ ซึ่งจะประกอบพระราชพิธีวันแรกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง กับพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (พิธีไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์ ซึ่งจะประกอบพระราชพิธีในวันรุ่งขึ้น ณ มณฑลพิธีสนามหลวง นับตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเรื่อยมางานแรกนาขวัญมีแต่เพียงพิธีทางศาสนาพราหมณ์เท่านั้น จนกระทั่ง ถึงรัชสมัยของสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีสงฆ์เพิ่มขึ้นในพระราชพิธีต่าง ๆ ทุกพิธี ดังนั้น พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญจึงได้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยได้จัดรวมกับพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ จึงมีชื่อเรียกรวมกันว่า “พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ” การจัดงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ได้กระทําเต็มรูปบูรพประเพณีครั้งสุดท้ายในปี พ.ศ. 2479 แล้วว่างเว้นไปจนกระทั่งในปี พ.ศ. 2503 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ฟื้นฟูพระราชพิธีขึ้นใหม่ และได้กระทําติดต่อกันมาทุกปีจนถึงปัจจุบัน ด้วยเห็นว่าเป็นการรักษาพระราชพิธีอันดีงาม มีผลในการบํารุงขวัญและจิตใจของเกษตรกรไทย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชกระแสให้ปรับปรุงพิธีการบางอย่างให้เหมาะสมกับยุคสมัย และเสด็จพระราชดําเนินมาเป็นองค์ประธานในพระราชพิธีนี้ทุกปี สืบมามิได้ขาด โดยในปี พ.ศ. 2565 นี้ ได้กําหนด ให้วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เป็นวันประกอบพระราชพิธีพืชมงคล ซึ่งเป็นพิธีทําขวัญ พืชพันธุ์ธัญญาหารที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอธิษฐานเพื่อความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบพระราชพิธีในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องจากข้าวนั้นถือว่าเป็นอาหารหลักของประชาชน ในภาษาบาลีเรียกว่า ปุพพัณณะ หรือ บุพพัณณะ หรือ บุพพัณณชาติ ส่วนพืชอื่น ๆ ที่เป็นอาหารเรียกว่า อปรัณณ หรือ อปรัณชาติ หมายถึงพืชจําพวก ถั่ว งา เป็นต้น ถ้าเรียกควบทั้งสองอย่างเรียกว่า บุพพัณณปรัณณชาติ ที่หมายถึงพืชที่เป็นอาหารทุกชนิด บุพพัณณปรัณณชาติ ที่นําเข้าพิธีพืชมงคลนั้น เป็นข้าวเปลือก มีทั้งข้าวเจ้าและข้าวเหนียว นอกจากนี้ มีเมล็ดพันธุ์พืชต่าง ๆ รวม 40 อย่าง แต่ละอย่างบรรจุถุงผ้าขาวกับเผือกมันต่าง ๆ สําหรับในวันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 เป็นวันพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์ จะประกอบพระราชพิธี ณ มณฑลพิธีสนามหลวง ในแต่ละปีได้มีการกําหนดว่า ผู้ทําหน้าที่พระยาแรกนา คือ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยในปี พ.ศ. 2565 นี้ นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทําหน้าที่พระยาแรกนา และผู้ที่มาทําหน้าที่ เป็นเทพีทั้งหาบทองและหาบเงินนั้น จะมีหลักเกณฑ์การคัดเลือกเทพีในแต่ละปี ซึ่งจะดูที่ความเหมาะสมต่าง ๆ ทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ที่เป็นทางการ คือ พิจารณาคัดเลือกจากบรรดาข้าราชการหญิงโสด เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญชั้นโทขึ้นไป ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์แล้ว ที่ไม่เป็นทางการ คือ อายุพอสมควร สุขภาพดี ส่วนสูงพอเหมาะหรือสูงใกล้เคียงกัน สําหรับในปีนี้ เทพี คู่หาบทอง ได้แก่ นางสาวณัฐชยา ศรีสุขสวัสดิ์ นักวิชาการปฏิรูปที่ดินชํานาญการพิเศษ สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และนางสาวอาทิตยา ทองแกมแก้ว นักวิชาการเกษตรชํานาญการ กรมส่งเสริมการเกษตร เทพีคู่หาบเงิน ได้แก่ นางสาวกันยารัตน์ เศวตนันทิกุล นักทรัพยากรบุคคลชํานาญการพิเศษ สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนางสาวชลธิชา ทองอ่อน นายสัตวแพทย์ชํานาญการ กรมปศุสัตว์ สําหรับพระโคที่ใช้ในการประกอบพระราชพิธีฯ นั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมาย ให้กรมปศุสัตว์ เป็นหน่วยงานคัดเลือกพระโคเพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งได้ดําเนินการคัดเลือกพระโคตามหลักเกณฑ์ที่เหมาะสม คือ จะต้องเป็นโคที่มีลักษณะดี รูปร่างสมบูรณ์ มีความสูงไม่น้อยกว่า 150 เซนติเมตร ความยาวลําตัวไม่น้อยกว่า 120 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอกไม่น้อยกว่า 180 เซนติเมตร โคทั้งคู่จะต้องมีสีเดียวกัน ผิวสวย ขนเป็นมัน กิริยามารยาทเรียบร้อย ฝึกง่าย สอนง่ายไม่ดุร้าย เขาลักษณะโค้งสวยงามเท่ากัน ตาแจ่มใส หูไม่มีตําหนิ หางยาวสวยงามดี มีขวัญหน้า ขวัญทัดดอกไม้ซ้ายขวา และขวัญหลังถูกต้อง มีขาและกีบข้อเท้าแข็งแรง มองดูด้านข้างลําตัวจะเป็นสี่เหลี่ยม ในปี พ.ศ. 2565นี้ กรมปศุสัตว์ได้ทําการคัดเลือกพระโค เพื่อใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ 2 คู่ เป็นพระโคแรกนาขวัญ 1 คู่ คือ พระโคพอ มีความสูง 165 เซนติเมตร ความยาวลําตัว 225 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอก 214 เซนติเมตร อายุ 10 ปี พระโคเพียง มีความสูง 169 เซนติเมตร ความยาวลําตัว 238 เซนติเมตร ความสมบูรณ์รอบอก 209 เซนติเมตร อายุ 10 ปี พระโคสํารอง 1 คู่ คือ พระโคเพิ่มและพระโคพูล ซึ่งเป็นโคพันธุ์ขาวลําพูน มีสีผิวขาวอมชมพู ขนสีขาวสะอาด ทั้งลําตัวไม่มีจุดด่างดําหรือสีอื่นบนลําตัว เขามีสีขาว เป็นลําเทียน เขาทั้งสองข้างมีลักษณะโค้งสวยงาม ดวงตาแจ่มใสสีน้ําตาลอ่อน ขนตาสีชมพู บริเวณจมูกขาว กีบสีขาว ขนหางเป็นพวง สีขาวยาว ลําตัวช่วงขาหลังและกีบมีความสมบูรณ์แข็งแรง เวลายืนและเดินสง่า โดยนายสมชาย ดําทะมิส ได้บริจาคทรัพย์ซื้อพระโคพอมอบให้กรมปศุสัตว์นําน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และนายอาคม วัฒนากูล บริจาคทรัพย์ซื้อพระโคเพียง มอบให้กรมปศุสัตว์นําน้อมเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ส่วนพันธุ์ข้าวที่นํามาประกอบในงานพระราชพิธี ฯ ซึ่งประชาชนทุกเพศทุกวัยมักเดินทางมายังลานแรกนาท้องสนามหลวงโดยมีความมุ่งหมายเดียวกัน เพื่อเก็บเมล็ดพันธุ์ข้าวกลับไปเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคล โดยนับตั้งแต่ปี 2504 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ได้มาจากแปลงนาในสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวเปลือกที่หว่านในพิธีแรกนาในปีก่อนหน้า ที่ทรงโปรดเกล้า ฯ พระราชทานสําหรับไว้ใช้ในงานพระราชพิธี ฯ โดยเฉพาะ ซึ่งในปี พ.ศ. 2565 นี้ เมล็ดพันธุ์ข้าวเปลือกที่นําเข้าในพระราชพิธี มีทั้งหมด 6 สายพันธุ์ น้ําหนักรวมทั้งสิ้น 1,728 กิโลกรัม ประกอบด้วย 1) ขาวดอกมะลิ 105 เป็นข้าวเจ้าที่ทนแล้งได้ดีพอสมควร เมล็ดข้าวสารใส แกร่ง คุณภาพการสีดี คุณภาพการหุงต้มดี อ่อนนุ่ม มีกลิ่นหอม ทนต่อสภาพดินเปรี้ยว และดินเค็ม จํานวน 245 กิโลกรัม 2) ปทุมธานี 1 เป็นข้าวเจ้าผลผลิตสูง คุณภาพเมล็ดคล้ายพันธุ์ขาวดอกมะลิ 105 ต้านทานเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาล และเพลี้ยกระโดดหลังขาว ต้านทานโรคไหม้ และโรคขอบใบแห้ง จํานวน 399 กิโลกรัม 3) กข 43 เป็นข้าวเจ้าไม่ไวต่อช่วงแสง คุณภาพของเมล็ดทางการหุงต้มรับประทาน ดี ข้าวสุกนุ่ม มีกลิ่นหอมอ่อน ค่อนข้างต้านทานต่อโรคไหม้และเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาล จํานวน 125 กิโลกรัม 4) กข 6 เป็นข้าวเหนียวให้ผลผลิตสูง และทนแล้งดีกว่าพันธุ์เหนียวสันป่าตอง คุณภาพการหุงต้มดี มีกลิ่นหอม คุณภาพการสีดี ต้านทานโรคใบจุดสีน้ําตาล จํานวน 70 กิโลกรัม 5) กข 87 เป็นพันธุ์ข้าวประเภทพื้นนุ่ม ลักษณะเด่นพิเศษ ข้าวสุกนุ่ม ค่อนข้างเหนียว คุณภาพเมล็ดทางกายภาพดี ท้องไข่น้อย คุณภาพการสีดีมาก เหมาะสําหรับปลูกในพื้นที่นาชลประทานภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง จํานวน 300 กิโลกรัม และ 6) กข 85 เป็นข้าวเจ้าพื้นแข็ง เป็นข้าวเจ้าไม่ไวต่อช่วงแสง ปลูกได้ทั้งนาปี และนาปรัง ทนต่อสภาพอากาศเย็น คุณภาพการสีดีมาก ท้องไข่น้อย ให้ผลผลิตสูงถึง 862 กิโลกรัมต่อไร่ จํานวน 589 กิโลกรัม พันธุ์ข้าวดังกล่าว ส่วนหนึ่งใช้หว่านในระหว่างพิธี และจัดเป็น “พันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทาน” บรรจุใส่ซองขนาดเล็กเพื่อจัดส่งให้จังหวัดต่าง ๆ สําหรับใช้แจกจ่ายแก่เกษตรกรรับไปเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคล ในการประกอบอาชีพตามพระราชประสงค์ และเมล็ดพันธุ์ที่เหลือทั้งหมด กรมการข้าวขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตนําไปปลูกไว้ทําพันธุ์ในฤดูกาลปี พ.ศ. 2565 เพื่อเป็นต้นตระกูลของพืชพันธุ์ดีเผยแพร่สู่เกษตรกรต่อไป โดยสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่กรมการข้าว กองเมล็ดพันธุ์ข้าว ที่เบอร์โทรศัพท์ 02-561-3794 ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวทั้ง 29 แห่ง ศูนย์วิจัยข้าวทั้ง 27 แห่ง และสถาบันวิทยาศาสตร์ข้าว จังหวัดสุพรรณบุรี นอกจากนี้ ผู้ที่สนใจสามารถรับเมล็ดพันธุ์พระราชทานผ่านการลงทะเบียนออนไลน์ได้ทางHYPERLINK ttps://rice.moac.go.thได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ซึ่งเมื่อลงทะเบียนออนไลน์แล้ว สามารถเดินทางไปรับพันธุ์ข้าวพระราชทานได้ที่สํานักงานเกษตรจังหวัด หรือสํานักงานเกษตรอําเภอใกล้บ้านท่าน หลังจากวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ.2565 เป็นต้นไป โดยจะได้รับเมล็ดพันธุ์ข้าวพระราชทานคนละ 2 ซอง สําหรับการเสี่ยงทายในพระราชพิธีฯ จะมีการพยากรณ์ถึงความสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารของประเทศ ซึ่งแต่ละปีนั้น ประกอบด้วย 2 ช่วง คือ ช่วงแรก พระยาแรกนาจะตั้งสัตยาธิษฐานเสี่ยงทายผ้านุ่งแต่งกาย ซึ่งแต่ละผืนล้วนมีความหมายแตกต่างกันออกไป เป็นผ้าลายมีด้วยกัน 3 ผืน คือ 6 คืบ 5 คืบ และ4 คืบ ผ้านุ่งนี้จะวางเรียงบนโตกมีผ้าคลุมเพื่อให้พระยาแรกนาหยิบ ถ้าหยิบได้ผืนใดนั้นจะมีคําทํานาย ไปตามนั้น คือ ถ้าหยิบได้ 4 คืบ พยากรณ์ว่า น้ําจะมากสักหน่อย นาในที่ดอนจะได้ผลบริบูรณ์ดี นาในที่ลุ่ม อาจจะเสียหายบ้างได้ผลไม่เต็มที่ ถ้าหยิบได้ 5 คืบ พยากรณ์ว่า น้ําในปีนี้จะมีปริมาณพอดี ข้าวกล้าในนาจะได้ผลบริบูรณ์ และผลาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์ดี ถ้าหยิบได้ผ้า 6 คืบ พยากรณ์ว่า น้ําจะน้อยนาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดีแต่นาในที่ดอนจะเสียหายบ้าง ไม่ได้ผลเต็มที่ ส่วนช่วงที่ 2 คือ ภายหลังจากการไถหว่านซึ่งจะเป็นการไถดะไปโดยรี 3 รอบ เพื่อพลิกดินให้เป็นก้อน ไถโดยขวาง 3 รอบ เพื่อย่อยดิน ให้ละเอียดพร้อมหว่านเมล็ดพันธุ์พืช และไถกลบอีก 3 รอบ เพื่อกลบเมล็ดพันธุ์พืชลงในดิน เมื่อเสร็จสิ้นขั้นตอนการไถแล้วจะเป็นการเสี่ยงทายของกิน 7 สิ่งตั้งเลี้ยงพระโค ได้แก่ ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่วเขียว งา เหล้า น้ํา และหญ้า เมื่อพระโคกินของสิ่งใดโหรหลวงจะถวายคําพยากรณ์ ดังนี้ ถ้าพระโคกินข้าวหรือข้าวโพด พยากรณ์ว่า ธัญญาหาร ผลาหาร จะบริบูรณ์ดี ถ้าพระโคกินถั่วหรืองา พยากรณ์ว่า ผลาหาร ภักษาหารจะอุดมสมบูรณ์ดี ถ้าพระโคกินน้ําหรือหญ้า พยากรณ์ว่า น้ําท่าจะบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหารผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์ดี และถ้าพระโคกินเหล้า พยากรณ์ว่า การคมนาคมสะดวกขึ้น การค้าขายกับต่างประเทศดีขึ้นทําให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง อนึ่ง นับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้วันพระราชพิธีพืชมงคลนี้เป็น “วันเกษตรกร” ประจําปี เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางการเกษตรพึงระลึกถึงความสําคัญของการเกษตร และ ร่วมมือกันประกอบพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเพื่อเป็นสิริมงคลแก่อาชีพของตน ทั้งยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศชาติ จึงได้จัดงานวันเกษตรกรควบคู่ไปกับงานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญตลอดมา โดยในปี พ.ศ. 2565 เกษตรกรและบุคคลากรทางการเกษตรดีเด่นแห่งชาติ สถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ และสหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ และปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ที่ผ่านการคัดเลือกได้รับรางวัลและยกย่องประกาศเกียรติคุณ พร้อมทั้งเผยแพร่ผลงานให้สาธารณชนทั่วไป ได้รู้จักและยึดถือเป็นแบบอย่างในแนวทางการปฏิบัติ โดยจะเข้ารับพระราชทานโล่ประกาศเกียรติคุณ ในประเภทต่าง ๆ ดังนี้ เกษตรกรและบุคคลากรทางการเกษตรดีเด่นแห่งชาติ จํานวน 16 ราย 1) อาชีพทํานา ได้แก่ นายพัด ไชยวงค์ จ.เชียงใหม่ 2) อาชีพทําสวน ได้แก่ นายวีรวัฒน์ จีรวงส์ จ.ชุมพร 3) อาชีพทําไร่ ได้แก่ นายรุ่งเรือง ไล้รักษา จ.ประจวบคีรีขันธ์ 4) อาชีพไร่นาสวนผสม ได้แก่ นางจิระวรรณ ยืนนาน จ.ชุมพร 5) อาชีพปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ได้แก่ นางนิกร แก้ววิสัย จ.อุดรธานี 6) อาชีพเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ นายเกรียงศักดิ์ เสรีรัตน์ยืนยง จ.ยะลา 7) อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ําจืด ได้แก่ นายประวัติ พิริยศาสน์ จ.ปราจีนบุรี 8) อาชีพเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํากร่อย ได้แก่ นายอรรถพงษ์ บุญเลิศฟ้า จ.นครปฐม 9) อาชีพเพาะเลี้ยงปลาสวยงามและพรรณไม้น้ํา ได้แก่ นายวัลลภ วุ่นสุด จ.นครปฐม 10)อาชีพปลูกสวนป่า ได้แก่ นายสมพร โล่ห์จินดา จ.เชียงราย 11)สาขาบัญชีฟาร์ม ได้แก่ นายอดุลย์ วิเชียรชัย จ.ปทุมธานี 12)สาขาการพัฒนาที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ได้แก่ นายบรรจง แสนยะมูล จ.มหาสารคาม 13)สาขาการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสําหรับพืช ได้แก่ นายสานนท์ พรัดเมือง จ.สุราษฎร์ธานี 14)สาขาเกษตรอินทรีย์ ได้แก่ นางสุจารี ธนสิริธนากร จ.กาฬสินธุ์ 15)ที่ปรึกษายุวชนเกษตรกร ได้แก่ นางสาวประทุมรัตน์ จงคูณกลาง จ.นครราชสีมา 16)สมาชิกกลุ่มยุวชนเกษตรกร ได้แก่ นางสาวศิริมน พันธุ์พิริยะ จ.ตราด สถาบันเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ จํานวน 11 กลุ่ม 1) กลุ่มเกษตรกรทําสวน ได้แก่ กลุ่มเกษตรกรทําสวนยางค้อม จ.นครศรีธรรมราช 2) กลุ่มเกษตรกรเลี้ยงสัตว์ ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนกลุ่มผู้เลี้ยงแพะแกะ อําเภอเมืองเพชรบูรณ์ จ.เพชรบูรณ์ 3) กลุ่มเกษตรกรทําประมง หรือกลุ่มเกษตรกรเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา ได้แก่ กลุ่มเกษตรกร ทําประมงพัฒนาเกษตรพอเพียง 49 จ.สมุทรสาคร 4) กลุ่มเกษตรกรแปรรูปสัตว์น้ํา ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนปลาส้มบ้านคํากลาง จ.อุบลราชธานี 5) กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร ได้แก่ กลุ่มแม่บ้านเกษตรกรบ้านทุ่งโฮ้งหมู่ 5 จ.แพร่ 6) กลุ่มยุวเกษตรกร ได้แก่ กลุ่มยุวเกษตรกรโรงเรียนบ้านบุเขว้า จ.นครราชสีมา 7) กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ได้แก่ กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวตะเคียนงาม จ.กําแพงเพชร 8) สถาบันเกษตรกรผู้ใช้น้ําชลประทาน ได้แก่ กลุ่มบริหารการใช้น้ําระบบท่อส่งน้ํา บ้านชําตาเรือง จ.จันทบุรี 9) ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชน ประเภท ข้าวหอมมะลิ ได้แก่ ศูนย์ข้าวชุมชน ตําบลบัวงาม จ.อุบลราชธานี 10) ศูนย์ส่งเสริมและผลิตพันธุ์ข้าวชุมชน ประเภท ข้าวอื่น ๆ ได้แก่ ศูนย์ข้าวชุมชนองค์กร เกษตรอินทรีย์สีคิ้ว จ.นครราชสีมา 11) วิสาหกิจชุมชน ได้แก่ วิสาหกิจชุมชนพัฒนาผลิตภัณฑ์พืชผักสมุนไพรและผลไม้ จ.ลําพูน สหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติ จํานวน 4 สหกรณ์ 1) สหกรณ์การเกษตร ได้แก่ สหกรณ์การเกษตรกุดข้าวปุ้น จํากัด จ.อุบลราชธานี 2) สหกรณ์โคนม ได้แก่ สหกรณ์โคนมลําพูน จํากัด จ.ลําพูน 3) สหกรณ์ออมทรัพย์ ได้แก่ สหกรณ์ออมทรัพย์โรงพยาบาลชัยภูมิ จํากัด จ.ชัยภูมิ 4) สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ได้แก่ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนเลิงฮังสามัคคี จํากัด จ.สกลนคร ปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน จํานวน 3 สาขา 1) สาขาปราชญ์เกษตรผู้ทรงภูมิปัญญาและมีคุณูปการต่อภาคการเกษตรไทย นายเอนก สีเขียวสด จ.อ่างทอง 2) สาขาปราชญ์เศรษฐกิจพอเพียง นายสงวน มงคลศรีพันเลิศ จ.กระบี่ 3) สาขาปราชญ์เกษตรดีเด่น นายสุพจน์ สิงห์โตศรี จ.ราชบุรี ทั้งนี้ เกษตรกร สถาบันเกษตรกร สหกรณ์ และปราชญ์เกษตรฯ ทั้งหมด จะเข้ารับพระราชทาน โล่ประกาศเกียรติคุณในวันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ณ พลับพลาที่ประทับมณฑลพิธีท้องสนามหลวง
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54304
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” พอใจผลการเยือนลาวเพิ่มการขนส่งสินค้าเกษตรบนเส้นทางรถไฟ “จีน-ลาว”
วันเสาร์ที่ 23 เมษายน 2565 “อลงกรณ์” พอใจผลการเยือนลาวเพิ่มการขนส่งสินค้าเกษตรบนเส้นทางรถไฟ “จีน-ลาว” “อลงกรณ์” พอใจผลการเยือนลาวเพิ่มการขนส่งสินค้าเกษตรบนเส้นทางรถไฟ “จีน-ลาว” จับมือท่าบกท่านาแล้งเคลียร์ปัญหาคอขวด ตั้งเป้าร่นเวลาขนส่งจากเวียงจันทน์ถึงคุนหมิงไม่เกิน 2 วัน ภายใต้นโยบายอีสานเกตเวย์เชื่อมไทยเชื่อมลาวเชื่อมโลก นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยวันนี้ (23 เม.ย) ภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการเยือนสปป.ลาว ระหว่างวันที่ 21 - 22 เมษายน 2565 ว่า พอใจต่อผลการเจรจาความร่วมมือกับบริษัทเวียงจันทน์โลจิสติกส์ปาร์ คและบริษัทท่าบกท่านาแล้งในการเพิ่มศักยภาพระบบรถไฟ “ลาว-จีน” ในการขนส่งสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นและแก้ปัญหาคอขวดของระบบโลจิสติกส์ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายอีสานเกตเวย์เชื่อมไทย เชื่อมลาว เชื่อมโลก โดยความร่วมมือระหว่าง 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย-ลาว-จีน ในการพัฒนาการขนส่งระบบใหม่คือรถไฟลาว-จีนให้เป็นเส้นทางสําคัญสําหรับการค้าระหว่างประเทศ ด้วยระบบโลจิสติกส์ผสมผสาน “ราง-รถ” (Multi Modal Trasportation) ในการขนส่งสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรจากไทยไปสู่จีน เอเซียกลาง ตะวันออกกลางและยุโรปภายใต้การทํางานเชิงรุกร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า การเจรจากับนายจันทอน สิทธิชัย ประธานบริหารบริษัทเวียงจันทน์โลจิสปาร์ค (VLP) และคณะผู้บริหารบริษัทท่าบกท่านาแล้ง ร่วมกับนายสุวิทย์ รัตนจินดา ประธานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทยและนายณฐกร สุวรรณธาดา คณะทํางานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ที่นครหลวงเวียงจันทน์ได้เห็นพ้องต้องกันในการเพิ่มขบวนรถไฟ การเพิ่มตู้สินค้า การอํานวยความสะดวกการขนส่งสินค้าผ่านแดน การเชื่อมโยงท่าบกท่านาแล้วกับสถานีเวียงจันทน์ใต้ การพัฒนาสถานีขนถ่ายสินค้า (ICD) การพัฒนาระบบการจองขบวนรถสินค้าและการเพิ่มตู้คอนเทนเนอร์และการเปิดบริการด่านตรวจโรคพืชที่ด่านรถไฟโมฮ่าน ภายในเดือนมิถุนายนหรือพฤษภาคมปีนี้ จะทําให้การขนส่งผลไม้ภายใต้พิธีสารไทย-จีนด้วยระบบรางสะดวกรวดเร็วมากขึ้นโดยจะใช้เวลาเพียง 1 - 2 วันจากเวียงจันทน์ถึงคุนหมิง รวมไปถึงข้อเสนอเพิ่มเติมเรื่องการพัฒนาระบบเอกสารอีเล็กทรอนิคส์ระหว่างด่านหนองคายกับท่าบกท่านาแล้งเพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าของพิธีการเอกสารและการจราจรที่ติดขัดบริเวณพรมแดนซึ่งเป็นปัญหาคอขวดมานานโดยจะเร่งดําเนินการให้เร็วที่สุดรวมทั้งข้อเสนอให้เปิดด่าน 24 ชั่วโมงโดยจะรายงานผลการเจรจาให้กับดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีพาณิชย์ รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นายอลงกรณ์และคณะยังได้ตรวจเยี่ยมท่าบกท่านาแล้ง โครงการเวียงจันทน์โลจิสติกส์ปาร์ค ระบบการยกตู้สินค้าขึ้นขบวนรถไฟของสถานีเวียงจันทน์ใต้ สถานีรถไฟนครหลวงเวียงจันทน์ (สถานีรถไฟความเร็วสูง) และการก่อสร้างสถานีรถไฟคําสวาทที่ประเทศไทยสนับสนุนงบประมาณซึ่งเป็นสถานีรถไฟโดยสารจากไทยไปถึงนครหลวงเวียงจันทน์และจากนครหลวงเวียงจันทน์มาไทยจากเดิมที่จะสิ้นสุดที่สถานีรถไฟท่านาแล้งเพื่อรองรับนักเดินทางและนักท่องเที่ยวจากไทย ลาว จีนและนานาประเทศในอนาคต.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อลงกรณ์” พอใจผลการเยือนลาวเพิ่มการขนส่งสินค้าเกษตรบนเส้นทางรถไฟ “จีน-ลาว” วันเสาร์ที่ 23 เมษายน 2565 “อลงกรณ์” พอใจผลการเยือนลาวเพิ่มการขนส่งสินค้าเกษตรบนเส้นทางรถไฟ “จีน-ลาว” “อลงกรณ์” พอใจผลการเยือนลาวเพิ่มการขนส่งสินค้าเกษตรบนเส้นทางรถไฟ “จีน-ลาว” จับมือท่าบกท่านาแล้งเคลียร์ปัญหาคอขวด ตั้งเป้าร่นเวลาขนส่งจากเวียงจันทน์ถึงคุนหมิงไม่เกิน 2 วัน ภายใต้นโยบายอีสานเกตเวย์เชื่อมไทยเชื่อมลาวเชื่อมโลก นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยวันนี้ (23 เม.ย) ภายหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจการเยือนสปป.ลาว ระหว่างวันที่ 21 - 22 เมษายน 2565 ว่า พอใจต่อผลการเจรจาความร่วมมือกับบริษัทเวียงจันทน์โลจิสติกส์ปาร์ คและบริษัทท่าบกท่านาแล้งในการเพิ่มศักยภาพระบบรถไฟ “ลาว-จีน” ในการขนส่งสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นและแก้ปัญหาคอขวดของระบบโลจิสติกส์ ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายอีสานเกตเวย์เชื่อมไทย เชื่อมลาว เชื่อมโลก โดยความร่วมมือระหว่าง 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย-ลาว-จีน ในการพัฒนาการขนส่งระบบใหม่คือรถไฟลาว-จีนให้เป็นเส้นทางสําคัญสําหรับการค้าระหว่างประเทศ ด้วยระบบโลจิสติกส์ผสมผสาน “ราง-รถ” (Multi Modal Trasportation) ในการขนส่งสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าเกษตรจากไทยไปสู่จีน เอเซียกลาง ตะวันออกกลางและยุโรปภายใต้การทํางานเชิงรุกร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า การเจรจากับนายจันทอน สิทธิชัย ประธานบริหารบริษัทเวียงจันทน์โลจิสปาร์ค (VLP) และคณะผู้บริหารบริษัทท่าบกท่านาแล้ง ร่วมกับนายสุวิทย์ รัตนจินดา ประธานสมาพันธ์ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ไทยและนายณฐกร สุวรรณธาดา คณะทํางานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ที่นครหลวงเวียงจันทน์ได้เห็นพ้องต้องกันในการเพิ่มขบวนรถไฟ การเพิ่มตู้สินค้า การอํานวยความสะดวกการขนส่งสินค้าผ่านแดน การเชื่อมโยงท่าบกท่านาแล้วกับสถานีเวียงจันทน์ใต้ การพัฒนาสถานีขนถ่ายสินค้า (ICD) การพัฒนาระบบการจองขบวนรถสินค้าและการเพิ่มตู้คอนเทนเนอร์และการเปิดบริการด่านตรวจโรคพืชที่ด่านรถไฟโมฮ่าน ภายในเดือนมิถุนายนหรือพฤษภาคมปีนี้ จะทําให้การขนส่งผลไม้ภายใต้พิธีสารไทย-จีนด้วยระบบรางสะดวกรวดเร็วมากขึ้นโดยจะใช้เวลาเพียง 1 - 2 วันจากเวียงจันทน์ถึงคุนหมิง รวมไปถึงข้อเสนอเพิ่มเติมเรื่องการพัฒนาระบบเอกสารอีเล็กทรอนิคส์ระหว่างด่านหนองคายกับท่าบกท่านาแล้งเพื่อแก้ปัญหาความล่าช้าของพิธีการเอกสารและการจราจรที่ติดขัดบริเวณพรมแดนซึ่งเป็นปัญหาคอขวดมานานโดยจะเร่งดําเนินการให้เร็วที่สุดรวมทั้งข้อเสนอให้เปิดด่าน 24 ชั่วโมงโดยจะรายงานผลการเจรจาให้กับดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีพาณิชย์ รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป นายอลงกรณ์และคณะยังได้ตรวจเยี่ยมท่าบกท่านาแล้ง โครงการเวียงจันทน์โลจิสติกส์ปาร์ค ระบบการยกตู้สินค้าขึ้นขบวนรถไฟของสถานีเวียงจันทน์ใต้ สถานีรถไฟนครหลวงเวียงจันทน์ (สถานีรถไฟความเร็วสูง) และการก่อสร้างสถานีรถไฟคําสวาทที่ประเทศไทยสนับสนุนงบประมาณซึ่งเป็นสถานีรถไฟโดยสารจากไทยไปถึงนครหลวงเวียงจันทน์และจากนครหลวงเวียงจันทน์มาไทยจากเดิมที่จะสิ้นสุดที่สถานีรถไฟท่านาแล้งเพื่อรองรับนักเดินทางและนักท่องเที่ยวจากไทย ลาว จีนและนานาประเทศในอนาคต.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53843
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยผลโพล“วันวิสาขบูชา ปี 2565” ประชาชนส่วนใหญ่ทราบเป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและวันสำคัญสากลของโลก
วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565 วธ.เผยผลโพล“วันวิสาขบูชา ปี 2565” ประชาชนส่วนใหญ่ทราบเป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและวันสําคัญสากลของโลก วธ.เผยผลโพล“วันวิสาขบูชา ปี 2565” ประชาชนส่วนใหญ่ทราบเป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและวันสําคัญสากลของโลก ส่วนใหญ่สนใจร่วมกิจกรรมตักบาตร ทําบุญ ลด ละ เลิก อบายมุข เวียนเทียนและฟังพระธรรมเทศนา วธ.เผยผลโพล“วันวิสาขบูชา ปี 2565” ประชาชนส่วนใหญ่ทราบเป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและวันสําคัญสากลของโลก ส่วนใหญ่สนใจร่วมกิจกรรมตักบาตร ทําบุญ ลด ละ เลิก อบายมุข เวียนเทียนและฟังพระธรรมเทศนา ตั้งใจนําหลักธรรม“ศีล 5”และ“สติ”มาปฏิบัติในชีวิตประจําวัน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สํารวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชน และประชาชน (โพล) ที่มีต่อ “วันวิสาขบูชา ปี 2565” (15 พฤษภาคม 2565) จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ 7,865 คน ครอบคลุมทุกอาชีพและทุกภูมิภาค ซึ่งผลสํารวจพบว่า เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.28 คิดว่าวันวิสาขบูชามีความสําคัญ คือ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประสูติ รองลงมา ร้อยละ 67.15 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ร้อยละ 63.55 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน และร้อยละ 49.26 เป็นวันสําคัญสากลของโลก และผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 51.46 สนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันวิสาขบูชาในปีนี้ ขณะเดียวกันเมื่อถามถึงปัจจุบันอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ต้องการให้จัดกิจกรรมเนื่องในวันวิสาขบูชารูปแบบใด พบว่า ส่วนใหญ่อยากให้จัดกิจกรรมรูปแบบปกติและรูปแบบออนไลน์ควบคู่กัน ส่วนกิจกรรมเนื่องในวันวิสาขบูชา (ขึ้น 15 ค่ํา เดือน 6) ที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่สนใจเข้าร่วม 5 อันดับแรก คือ อันดับ 1 ตักบาตรพระสงฆ์ อันดับ 2 ทําบุญ ทําทาน อันดับ 3 ลด ละ เลิก อบายมุข อันดับ 4 เวียนเทียน และอันดับ 5 ฟังพระธรรมเทศนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า เมื่อสอบถามเด็ก เยาวชนและประชาชนในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนจะนําหลักธรรมใดมายึดถือปฏิบัติและนํามาใช้ในชีวิตประจําวันพบว่า ส่วนใหญ่ผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่า “ศีล 5”เป็นศีลพื้นฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ชาวพุทธทุกคนยึดถือปฏิบัติเป็นหลักของชีวิต รองลงมา “สติ” ความรู้สึกตัว ความระลึกได้ ความรับรู้ การเอาจิตไปรับรู้ ในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือปรากฏขึ้น ในปัจจุบัน “อริยสัจ 4” (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ อันเป็นหลักคําสอนสําคัญของพระพุทธศาสนา อิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) คุณธรรมแห่งความสําเร็จและหลักการครองงาน และท้ายสุดความกตัญญูกตเวที ความรู้และตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทําไว้ นอกจากนี้ ผลสํารวจได้สอบถามถึงวิธีการจูงใจให้เด็ก เยาวชน และประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันวิสาขบูชา มากขึ้น 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 พ่อ แม่/ปู่ย่า ตายาย/ญาติพี่น้อง พาลูกหลานเข้าร่วมกิจกรรมวันวิสาขบูชา อันดับ 2 เปิดแหล่งเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวันสําคัญทางพระพุทธศาสนาผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมหรือเรียนรู้ผ่านสื่อเทคโนโลยีออนไลน์ อันดับ 3 ผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ และการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมผ่านโซเชียลมีเดีย อันดับ 4 หน่วยงานรัฐ เอกชน ภาคประชาชนและคณะสงฆ์ ร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในมิติทางศาสนา ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และอันดับ 5 นําศิลปินดารา บุคคลที่มีชื่อเสียง มาร่วมรณรงค์/เชิญชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ส่วนกิจกรรม/ประเพณีทางพระพุทธศาสนาที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่า ควรสืบสาน รักษาไว้ให้คงอยู่คู่สังคมไทยตลอดไป เช่น ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ประเพณีเวียนเทียนกลางน้ํา ประเพณีพิธีสมโภช น้ําสรงพระบรมธาตุดอยสุเทพ (เตียวขึ้นดอย) รวมทั้งงานวันอัฏฐมีบูชา ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า หลังเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 8 วัน ตรงกับวันแรม 8 ค่ํา เดือนวิสาขะ (ตรงกับเดือน 6 ของไทย) เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ วธ.โดยกรมการศาสนา ขอเชิญชวนเด็ก เยาวชนและประชาชน ร่วมกิจกรรมเนื่องในวันวิสาขบูชา ปี 2565 ในกิจกรรมตามรอย Buddha ตอบปัญหาธรรมะที่เวบไซต์ www.วันสําคัญทางพระพุทธศาสนา.com วันที่ 15 พฤษภาคม 2565 เวลา 08.30 - 16.30 น. ผู้ตอบปัญหาธรรมะผ่าน 5 ข้อขึ้นไป 100 คนแรก จะได้รับของที่ระลึกจากกรมการศาสนา
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.เผยผลโพล“วันวิสาขบูชา ปี 2565” ประชาชนส่วนใหญ่ทราบเป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและวันสำคัญสากลของโลก วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2565 วธ.เผยผลโพล“วันวิสาขบูชา ปี 2565” ประชาชนส่วนใหญ่ทราบเป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและวันสําคัญสากลของโลก วธ.เผยผลโพล“วันวิสาขบูชา ปี 2565” ประชาชนส่วนใหญ่ทราบเป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและวันสําคัญสากลของโลก ส่วนใหญ่สนใจร่วมกิจกรรมตักบาตร ทําบุญ ลด ละ เลิก อบายมุข เวียนเทียนและฟังพระธรรมเทศนา วธ.เผยผลโพล“วันวิสาขบูชา ปี 2565” ประชาชนส่วนใหญ่ทราบเป็นวันประสูติ-ตรัสรู้-ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและวันสําคัญสากลของโลก ส่วนใหญ่สนใจร่วมกิจกรรมตักบาตร ทําบุญ ลด ละ เลิก อบายมุข เวียนเทียนและฟังพระธรรมเทศนา ตั้งใจนําหลักธรรม“ศีล 5”และ“สติ”มาปฏิบัติในชีวิตประจําวัน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม(วธ.) ร่วมกับสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ได้สํารวจความคิดเห็นเด็ก เยาวชน และประชาชน (โพล) ที่มีต่อ “วันวิสาขบูชา ปี 2565” (15 พฤษภาคม 2565) จากกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ 7,865 คน ครอบคลุมทุกอาชีพและทุกภูมิภาค ซึ่งผลสํารวจพบว่า เด็ก เยาวชน และประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.28 คิดว่าวันวิสาขบูชามีความสําคัญ คือ เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงประสูติ รองลงมา ร้อยละ 67.15 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ร้อยละ 63.55 เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน และร้อยละ 49.26 เป็นวันสําคัญสากลของโลก และผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 51.46 สนใจเข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันวิสาขบูชาในปีนี้ ขณะเดียวกันเมื่อถามถึงปัจจุบันอยู่ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ต้องการให้จัดกิจกรรมเนื่องในวันวิสาขบูชารูปแบบใด พบว่า ส่วนใหญ่อยากให้จัดกิจกรรมรูปแบบปกติและรูปแบบออนไลน์ควบคู่กัน ส่วนกิจกรรมเนื่องในวันวิสาขบูชา (ขึ้น 15 ค่ํา เดือน 6) ที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่สนใจเข้าร่วม 5 อันดับแรก คือ อันดับ 1 ตักบาตรพระสงฆ์ อันดับ 2 ทําบุญ ทําทาน อันดับ 3 ลด ละ เลิก อบายมุข อันดับ 4 เวียนเทียน และอันดับ 5 ฟังพระธรรมเทศนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวอีกว่า เมื่อสอบถามเด็ก เยาวชนและประชาชนในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชนจะนําหลักธรรมใดมายึดถือปฏิบัติและนํามาใช้ในชีวิตประจําวันพบว่า ส่วนใหญ่ผู้ตอบแบบสอบถามเห็นว่า “ศีล 5”เป็นศีลพื้นฐานที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้ชาวพุทธทุกคนยึดถือปฏิบัติเป็นหลักของชีวิต รองลงมา “สติ” ความรู้สึกตัว ความระลึกได้ ความรับรู้ การเอาจิตไปรับรู้ ในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือปรากฏขึ้น ในปัจจุบัน “อริยสัจ 4” (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ อันเป็นหลักคําสอนสําคัญของพระพุทธศาสนา อิทธิบาท 4 (ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา) คุณธรรมแห่งความสําเร็จและหลักการครองงาน และท้ายสุดความกตัญญูกตเวที ความรู้และตอบแทนอุปการคุณที่ผู้อื่นทําไว้ นอกจากนี้ ผลสํารวจได้สอบถามถึงวิธีการจูงใจให้เด็ก เยาวชน และประชาชน เข้าร่วมกิจกรรมส่งเสริมพระพุทธศาสนา เนื่องในวันวิสาขบูชา มากขึ้น 5 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 พ่อ แม่/ปู่ย่า ตายาย/ญาติพี่น้อง พาลูกหลานเข้าร่วมกิจกรรมวันวิสาขบูชา อันดับ 2 เปิดแหล่งเรียนรู้ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวันสําคัญทางพระพุทธศาสนาผ่านการเข้าร่วมกิจกรรมหรือเรียนรู้ผ่านสื่อเทคโนโลยีออนไลน์ อันดับ 3 ผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ และการส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมผ่านโซเชียลมีเดีย อันดับ 4 หน่วยงานรัฐ เอกชน ภาคประชาชนและคณะสงฆ์ ร่วมกันขับเคลื่อนกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรมในมิติทางศาสนา ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และอันดับ 5 นําศิลปินดารา บุคคลที่มีชื่อเสียง มาร่วมรณรงค์/เชิญชวนผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ส่วนกิจกรรม/ประเพณีทางพระพุทธศาสนาที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่า ควรสืบสาน รักษาไว้ให้คงอยู่คู่สังคมไทยตลอดไป เช่น ประเพณีแห่ผ้าขึ้นธาตุ ประเพณีเวียนเทียนกลางน้ํา ประเพณีพิธีสมโภช น้ําสรงพระบรมธาตุดอยสุเทพ (เตียวขึ้นดอย) รวมทั้งงานวันอัฏฐมีบูชา ซึ่งเป็นวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า หลังเสด็จดับขันธปรินิพพานได้ 8 วัน ตรงกับวันแรม 8 ค่ํา เดือนวิสาขะ (ตรงกับเดือน 6 ของไทย) เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้น้อมระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ทั้งนี้ วธ.โดยกรมการศาสนา ขอเชิญชวนเด็ก เยาวชนและประชาชน ร่วมกิจกรรมเนื่องในวันวิสาขบูชา ปี 2565 ในกิจกรรมตามรอย Buddha ตอบปัญหาธรรมะที่เวบไซต์ www.วันสําคัญทางพระพุทธศาสนา.com วันที่ 15 พฤษภาคม 2565 เวลา 08.30 - 16.30 น. ผู้ตอบปัญหาธรรมะผ่าน 5 ข้อขึ้นไป 100 คนแรก จะได้รับของที่ระลึกจากกรมการศาสนา
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54556
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯพอใจ ผู้ประกอบการไก่แช่แข็งของไทยสามารถส่งสินค้าไปจีนได้พร้อมขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยติดตามผลักดันจนคืบหน้า
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯพอใจ ผู้ประกอบการไก่แช่แข็งของไทยสามารถส่งสินค้าไปจีนได้พร้อมขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยติดตามผลักดันจนคืบหน้า โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯพอใจ ผู้ประกอบการไก่แช่แข็งของไทยสามารถส่งสินค้าไปจีนได้พร้อมขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยติดตามผลักดันจนคืบหน้า นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีกับความสําเร็จในการเจรจา ทําให้ปัจจุบันมีโรงงานผลิตและแปรรูปเนื้อสัตว์ปีกและผลพลอยได้ไก่แช่แข็งของไทยสามารถส่งสินค้าไปจีนได้แล้วจํานวน 20 แห่ง ทั้งนี้กรมความปลอดภัยอาหารเพื่อการนําเข้าส่งออก สํานักงานการศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (General Administration of Customs of the People's Republic China: GACC) ยกเลิกการระงับคุณสมบัติส่งออกจีนของบริษัทผู้ผลิตและแปรรูปเนื้อสัตว์ปีกและผลพลอยได้ไก่แช่แข็งของไทยเพิ่มอีกจํานวน 5 แห่ง โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ถือเป็นผลมาจากความจริงจังของรัฐบาล โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เดินหน้าช่วยเหลือทุกปัญหาของเกษตรกร โดยครั้งนี้ เป็นความสําเร็จจากการเจรจาหารือความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการยกเลิกการห้ามนําเข้าสําหรับบริษัทไทยที่ได้ดําเนินการสอดคล้องตามข้อบังคับที่ทางสาธารณรัฐประชาชนจีนกําหนด มีการบริหารจัดการควบคุมคุณภาพมาตรฐานการผลิต และมีมาตรการควบคุมป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคโควิด-19 ในกระบวนผลิตสินค้าปศุสัตว์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลสําเร็จดังกล่าวทําให้เกิดประโยชน์ส่งเสริมการค้าและพัฒนาความร่วมมือด้านการเกษตรอย่างเป็นรูปธรรมอีกทั้ง นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ํานโยบายในการสนับสนุน และดูแลนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รัฐบาลได้ดําเนินการติดตามความร่วมมือ และออกมาตรการต่าง ๆ เช่น โครงการ Factory Sandbox เพื่อสร้างความมั่นใจและลดผลกระทบให้แก่ผู้ประกอบการ ให้สามารถดําเนินกิจการได้อย่างสะดวก “นายกรัฐมนตรียินดี และขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ช่วยผลักดันเจรจากับจีนอย่างเต็มที่ มีการติดตาม ประเมินผลต่อเนื่อง ทําให้เกิดความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ผู้ประกอบการของไทยสามารถส่งออกไก่ไทยไปยังจีนเพิ่มได้ นับเป็นอีกหนึ่งความสําเร็จของทุกฝ่าย พร้อมกําชับให้ทุกฝ่ายเดินหน้าสร้างความมั่นใจให้กับประเทศผู้นําเข้ารายอื่นอย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามหลักสากล ตามหลักการเศรษฐศาสตร์คู่กับสาธารณสุข” นายธนกรฯ กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯพอใจ ผู้ประกอบการไก่แช่แข็งของไทยสามารถส่งสินค้าไปจีนได้พร้อมขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยติดตามผลักดันจนคืบหน้า วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม 2565 โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯพอใจ ผู้ประกอบการไก่แช่แข็งของไทยสามารถส่งสินค้าไปจีนได้พร้อมขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยติดตามผลักดันจนคืบหน้า โฆษกรัฐบาลเผย นายกฯพอใจ ผู้ประกอบการไก่แช่แข็งของไทยสามารถส่งสินค้าไปจีนได้พร้อมขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยติดตามผลักดันจนคืบหน้า นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดีกับความสําเร็จในการเจรจา ทําให้ปัจจุบันมีโรงงานผลิตและแปรรูปเนื้อสัตว์ปีกและผลพลอยได้ไก่แช่แข็งของไทยสามารถส่งสินค้าไปจีนได้แล้วจํานวน 20 แห่ง ทั้งนี้กรมความปลอดภัยอาหารเพื่อการนําเข้าส่งออก สํานักงานการศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (General Administration of Customs of the People's Republic China: GACC) ยกเลิกการระงับคุณสมบัติส่งออกจีนของบริษัทผู้ผลิตและแปรรูปเนื้อสัตว์ปีกและผลพลอยได้ไก่แช่แข็งของไทยเพิ่มอีกจํานวน 5 แห่ง โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า ถือเป็นผลมาจากความจริงจังของรัฐบาล โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เดินหน้าช่วยเหลือทุกปัญหาของเกษตรกร โดยครั้งนี้ เป็นความสําเร็จจากการเจรจาหารือความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาชนจีน ในการยกเลิกการห้ามนําเข้าสําหรับบริษัทไทยที่ได้ดําเนินการสอดคล้องตามข้อบังคับที่ทางสาธารณรัฐประชาชนจีนกําหนด มีการบริหารจัดการควบคุมคุณภาพมาตรฐานการผลิต และมีมาตรการควบคุมป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรคโควิด-19 ในกระบวนผลิตสินค้าปศุสัตว์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผลสําเร็จดังกล่าวทําให้เกิดประโยชน์ส่งเสริมการค้าและพัฒนาความร่วมมือด้านการเกษตรอย่างเป็นรูปธรรมอีกทั้ง นายกรัฐมนตรียังเน้นย้ํานโยบายในการสนับสนุน และดูแลนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วยการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รัฐบาลได้ดําเนินการติดตามความร่วมมือ และออกมาตรการต่าง ๆ เช่น โครงการ Factory Sandbox เพื่อสร้างความมั่นใจและลดผลกระทบให้แก่ผู้ประกอบการ ให้สามารถดําเนินกิจการได้อย่างสะดวก “นายกรัฐมนตรียินดี และขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ช่วยผลักดันเจรจากับจีนอย่างเต็มที่ มีการติดตาม ประเมินผลต่อเนื่อง ทําให้เกิดความคืบหน้าอย่างใกล้ชิด ส่งผลให้ผู้ประกอบการของไทยสามารถส่งออกไก่ไทยไปยังจีนเพิ่มได้ นับเป็นอีกหนึ่งความสําเร็จของทุกฝ่าย พร้อมกําชับให้ทุกฝ่ายเดินหน้าสร้างความมั่นใจให้กับประเทศผู้นําเข้ารายอื่นอย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามหลักสากล ตามหลักการเศรษฐศาสตร์คู่กับสาธารณสุข” นายธนกรฯ กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57450
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรฯ จับมือ กระทรวงเกษตรฯ และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 สมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรฯ จับมือ กระทรวงเกษตรฯ และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรฯ จับมือ กระทรวงเกษตรฯ และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเวทีแบบ ไฮบริด มีตติ้ง สัมมนาครั้งยิ่งใหญ่ “Disruptive Change : เกษตรไทยต้องเปลี่ยนโฉม” สมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดสัมมนาวิชาการ “Disruptive Change: เกษตรไทย ต้องเปลี่ยนโฉม” รูปแบบ ไฮบริด มีตติ้ง สอดรับยุค New Normal โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน พร้อมปาฐกถาพิเศษ นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการนําเสนอการปรับตัวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ร่วมด้วยคณะวิทยากรทั้งจากภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา เกษตรกร และผู้แทน Start up ถ่ายทอดสดผ่านระบบ ZOOM และ Facebook live ส่งตรงจากอาคารนวัตกรรม สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร โอกาสนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสรุปว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสําคัญในการเดินหน้าผลักดันให้เกษตรกรไทยสามารถประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างมั่นคง และหลุดพ้นจากความยากจน โดยเน้นแนวทางการดําเนินการในทุกมิติ ยึดเกษตรกรเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาทุกด้าน พัฒนาให้เป็นเกษตรกรมืออาชีพ พัฒนาฐานข้อมูล Big Data เชื่อมโยงการทํางานระหว่างศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) กับ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ให้เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีทางการเกษตร เพื่อยกระดับสู่การทําเกษตรสมัยใหม่และเกษตรแบบแม่นยํา (Precision Agriculture) สร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับ นํากรอบแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio – Circular – Green Economy: BCG Economy) มาใช้ในการพัฒนา การส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกร หรือผู้ประกอบการ Startup เป็นผู้ให้บริการทางการเกษตร (Agricultural Service Providers) ขณะที่ด้านการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตร กระทรวงเกษตรฯ ได้มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มและตอบโจทย์รูปแบบการบริโภคในอนาคต และอาหารเพื่อสุขภาพ สินค้าเกษตรเพื่อพลังงานและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมถึงสร้างความสมดุลด้วยการบริหารจัดการสินค้าเกษตร ภายใต้หลัก ตลาดนําการผลิต เพื่อแก้ปัญหาสินค้าล้นตลาดและราคาสินค้าตกต่ํา พัฒนาระบบโลจิสติกส์และช่องทางการตลาดให้หลากหลาย และสิ่งสําคัญคือ สร้างภูมิคุ้มกันและสร้างความมั่นคงแก่เกษตรกร โดยมีระบบประกันภัยพืชผล และการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกษตรกรประสบภัยพิบัติต่าง ๆอย่างครอบคลุมด้วยเช่นกัน “ภาคการเกษตรของไทยจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการวางระบบ วางเป้าหมายทิศทางให้ชัดเจน ซึ่งเชื่อมั่นว่าผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนสามารถทําได้ เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพของพี่น้องเกษตรกรและพี่น้องข้าราชการ นอกจากนี้ ยังมีภาคเอกชนที่ต้องให้ความสําคัญ เพราะไม่ว่าอย่างไร การเกษตรคือธุรกิจ วันนี้เป็นวันที่ทุกภาคส่วนจะต้องจับมือและกําหนดทิศทางและเป้าหมายที่จะเดินไปข้างหน้าร่วมกัน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับพี่น้องเกษตรกร อย่างไรก็ตาม ปัญหาในภาคเกษตรกรรมที่ผ่านมา เช่น อุทกภัยหรือภัยแล้ง เป็นปัญหาซ้ําซากของเกษตรกรไทย รวมถึงปัญหาในเรื่องของตลาด ราคาสินค้า ผลผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน และปริมาณที่ไม่อยู่ในจุดที่คุ้มทุน เราจึงต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงแก้ไข ทั้งในส่วนของตัวเกษตรกร การผลิต รวมถึงการตลาด นอกจากนี้ การเติบโตในภาคการเกษตรต้องมีการขับเคลื่อน การพัฒนาในด้านต่าง ๆ ทั้งงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ต้องนํามาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด และต้องนําไปถ่ายทอดให้กับพี่น้องเกษตรกร เพื่อเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน การรักษาอัตลักษณ์ของสินค้าพื้นถิ่น รวมถึงรองรับการท่องเที่ยวและการบริการ ถ้าเราฟื้นภาคการเกษตรได้ จะทําให้คนในระบบมีเข้มแข็ง มีรายได้เพิ่มขึ้น และจะทําให้ระบบเศรษฐกิจมั่นคง ประเทศชาติก็จะมั่นคงตามไปด้วย” ดร.เฉลิมชัย กล่าว ด้าน ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวถึง แนวทางการปรับตัวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สู่ “Next normal 2022” ว่า บุคลากรในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือฟันเฟืองสําคัญที่ต้องปรับตัว เพื่อให้สอดรับกับบริบทที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตเช่นเดียวกัน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เน้นการสร้าง Service mind ในการบริการ เพราะเกษตรกรคือลูกค้าคนสําคัญ บุคลากรต้องเป็น Smart Officer มีความรอบรู้ สามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้เพื่อถ่ายทอดให้กับเกษตรกรด้วยช่องทางที่หลากหลาย มีการพัฒนากระบวนการทํางานด้วยเทคโนโลยี สร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เปิดโอกาสให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในด้านต่างๆ โดยเฉพาะงานวิจัย ตลอดจนถ่ายทอดงานวิจัยไปสู่เกษตรกร เช่น การใช้พื้นที่จริงหรือฟาร์มของเกษตรกรเป็นแปลงทดลองหรือพื้นที่ศึกษาวิจัย เกษตรกรรายย่อยสามารถนําผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ ผ่านการถ่ายทอดจากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) 882 ศูนย์ และศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) และสถาบันการศึกษาที่มีอยู่ทั้ง 77 จังหวัด นอกจากนี้ คือการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ ให้เกิดการพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน ครอบคลุมทุกด้านทั้งสินค้า การตลาด และทรัพยากร และนําไปใช้วางแผนการผลิตอย่างเป็นระบบ ซึ่งเชื่อมั่นว่า การขับเคลื่อนทั้งด้านการพัฒนาคน พัฒนากระบวนการทํางาน การศึกษาและวิจัย รวมไปถึงสร้างความร่วมมือในการพัฒนาภาคเกษตรจากทุกภาคส่วน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะสามารถพัฒนาการเกษตรของไทยให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมั่งคงและยั่งยืนต่อไป “กระทรวงเกษตรฯ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่จะทําให้ถึงเป้าหมาย คือ 1) การพัฒนากําลังพลภาคการเกษตร ทุกมิติ ทั้งเกษตรกรรายย่อย กลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่ เป็นต้น 2) พัฒนากระบวนการทํางาน ต้องกําหนดแผนให้ชัดเจน มีกรอบการทํางาน ลดขั้นตอนการดําเนินงาน และวางแผนให้ชัดเจนในระดับพื้นที่ 3) ผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมทางการเกษตร และ 4) ยกระดับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม ต้องมองตลอดห่วงโซ่ ทั้งการผลิต การแปรรูป และการตลาด กระทรวงเกษตรฯ ทํางานทั้งวิชาการและบริการประชาชน จึงพร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลง และปรับตัว เพื่อให้การขับเคลื่อนการดําเนินงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด” ดร.ทองเปลว กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรฯ จับมือ กระทรวงเกษตรฯ และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 สมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรฯ จับมือ กระทรวงเกษตรฯ และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรฯ จับมือ กระทรวงเกษตรฯ และ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเวทีแบบ ไฮบริด มีตติ้ง สัมมนาครั้งยิ่งใหญ่ “Disruptive Change : เกษตรไทยต้องเปลี่ยนโฉม” สมาคมเศรษฐศาสตร์เกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมกับ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดสัมมนาวิชาการ “Disruptive Change: เกษตรไทย ต้องเปลี่ยนโฉม” รูปแบบ ไฮบริด มีตติ้ง สอดรับยุค New Normal โดยมี ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน พร้อมปาฐกถาพิเศษ นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และการนําเสนอการปรับตัวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดย ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรฯ ร่วมด้วยคณะวิทยากรทั้งจากภาครัฐ เอกชน สถาบันการศึกษา เกษตรกร และผู้แทน Start up ถ่ายทอดสดผ่านระบบ ZOOM และ Facebook live ส่งตรงจากอาคารนวัตกรรม สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร โอกาสนี้ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวปาฐกถาพิเศษ นโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสรุปว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้ความสําคัญในการเดินหน้าผลักดันให้เกษตรกรไทยสามารถประกอบอาชีพเกษตรกรรมได้อย่างมั่นคง และหลุดพ้นจากความยากจน โดยเน้นแนวทางการดําเนินการในทุกมิติ ยึดเกษตรกรเป็นศูนย์กลางในการพัฒนาทุกด้าน พัฒนาให้เป็นเกษตรกรมืออาชีพ พัฒนาฐานข้อมูล Big Data เชื่อมโยงการทํางานระหว่างศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) กับ ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) ให้เป็นแหล่งรวบรวมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีทางการเกษตร เพื่อยกระดับสู่การทําเกษตรสมัยใหม่และเกษตรแบบแม่นยํา (Precision Agriculture) สร้างมาตรฐานสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับ นํากรอบแนวทางเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio – Circular – Green Economy: BCG Economy) มาใช้ในการพัฒนา การส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกร หรือผู้ประกอบการ Startup เป็นผู้ให้บริการทางการเกษตร (Agricultural Service Providers) ขณะที่ด้านการผลิตและแปรรูปสินค้าเกษตร กระทรวงเกษตรฯ ได้มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มและตอบโจทย์รูปแบบการบริโภคในอนาคต และอาหารเพื่อสุขภาพ สินค้าเกษตรเพื่อพลังงานและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมถึงสร้างความสมดุลด้วยการบริหารจัดการสินค้าเกษตร ภายใต้หลัก ตลาดนําการผลิต เพื่อแก้ปัญหาสินค้าล้นตลาดและราคาสินค้าตกต่ํา พัฒนาระบบโลจิสติกส์และช่องทางการตลาดให้หลากหลาย และสิ่งสําคัญคือ สร้างภูมิคุ้มกันและสร้างความมั่นคงแก่เกษตรกร โดยมีระบบประกันภัยพืชผล และการให้ความช่วยเหลือเมื่อเกษตรกรประสบภัยพิบัติต่าง ๆอย่างครอบคลุมด้วยเช่นกัน “ภาคการเกษตรของไทยจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องมีการวางระบบ วางเป้าหมายทิศทางให้ชัดเจน ซึ่งเชื่อมั่นว่าผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนสามารถทําได้ เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพของพี่น้องเกษตรกรและพี่น้องข้าราชการ นอกจากนี้ ยังมีภาคเอกชนที่ต้องให้ความสําคัญ เพราะไม่ว่าอย่างไร การเกษตรคือธุรกิจ วันนี้เป็นวันที่ทุกภาคส่วนจะต้องจับมือและกําหนดทิศทางและเป้าหมายที่จะเดินไปข้างหน้าร่วมกัน เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับพี่น้องเกษตรกร อย่างไรก็ตาม ปัญหาในภาคเกษตรกรรมที่ผ่านมา เช่น อุทกภัยหรือภัยแล้ง เป็นปัญหาซ้ําซากของเกษตรกรไทย รวมถึงปัญหาในเรื่องของตลาด ราคาสินค้า ผลผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน และปริมาณที่ไม่อยู่ในจุดที่คุ้มทุน เราจึงต้องร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงแก้ไข ทั้งในส่วนของตัวเกษตรกร การผลิต รวมถึงการตลาด นอกจากนี้ การเติบโตในภาคการเกษตรต้องมีการขับเคลื่อน การพัฒนาในด้านต่าง ๆ ทั้งงานวิจัย เทคโนโลยี และนวัตกรรม ต้องนํามาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด และต้องนําไปถ่ายทอดให้กับพี่น้องเกษตรกร เพื่อเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน การรักษาอัตลักษณ์ของสินค้าพื้นถิ่น รวมถึงรองรับการท่องเที่ยวและการบริการ ถ้าเราฟื้นภาคการเกษตรได้ จะทําให้คนในระบบมีเข้มแข็ง มีรายได้เพิ่มขึ้น และจะทําให้ระบบเศรษฐกิจมั่นคง ประเทศชาติก็จะมั่นคงตามไปด้วย” ดร.เฉลิมชัย กล่าว ด้าน ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้กล่าวถึง แนวทางการปรับตัวของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สู่ “Next normal 2022” ว่า บุคลากรในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ คือฟันเฟืองสําคัญที่ต้องปรับตัว เพื่อให้สอดรับกับบริบทที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตเช่นเดียวกัน โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เน้นการสร้าง Service mind ในการบริการ เพราะเกษตรกรคือลูกค้าคนสําคัญ บุคลากรต้องเป็น Smart Officer มีความรอบรู้ สามารถประยุกต์ใช้องค์ความรู้เพื่อถ่ายทอดให้กับเกษตรกรด้วยช่องทางที่หลากหลาย มีการพัฒนากระบวนการทํางานด้วยเทคโนโลยี สร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เปิดโอกาสให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในด้านต่างๆ โดยเฉพาะงานวิจัย ตลอดจนถ่ายทอดงานวิจัยไปสู่เกษตรกร เช่น การใช้พื้นที่จริงหรือฟาร์มของเกษตรกรเป็นแปลงทดลองหรือพื้นที่ศึกษาวิจัย เกษตรกรรายย่อยสามารถนําผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ ผ่านการถ่ายทอดจากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) 882 ศูนย์ และศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) และสถาบันการศึกษาที่มีอยู่ทั้ง 77 จังหวัด นอกจากนี้ คือการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่างๆ ให้เกิดการพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน ครอบคลุมทุกด้านทั้งสินค้า การตลาด และทรัพยากร และนําไปใช้วางแผนการผลิตอย่างเป็นระบบ ซึ่งเชื่อมั่นว่า การขับเคลื่อนทั้งด้านการพัฒนาคน พัฒนากระบวนการทํางาน การศึกษาและวิจัย รวมไปถึงสร้างความร่วมมือในการพัฒนาภาคเกษตรจากทุกภาคส่วน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จะสามารถพัฒนาการเกษตรของไทยให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมั่งคงและยั่งยืนต่อไป “กระทรวงเกษตรฯ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง สิ่งที่จะทําให้ถึงเป้าหมาย คือ 1) การพัฒนากําลังพลภาคการเกษตร ทุกมิติ ทั้งเกษตรกรรายย่อย กลุ่มเกษตรกร ผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่ เป็นต้น 2) พัฒนากระบวนการทํางาน ต้องกําหนดแผนให้ชัดเจน มีกรอบการทํางาน ลดขั้นตอนการดําเนินงาน และวางแผนให้ชัดเจนในระดับพื้นที่ 3) ผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมทางการเกษตร และ 4) ยกระดับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน อย่างไรก็ตาม ต้องมองตลอดห่วงโซ่ ทั้งการผลิต การแปรรูป และการตลาด กระทรวงเกษตรฯ ทํางานทั้งวิชาการและบริการประชาชน จึงพร้อมที่จะรับความเปลี่ยนแปลง และปรับตัว เพื่อให้การขับเคลื่อนการดําเนินงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุด” ดร.ทองเปลว กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47535
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง เผยข่าวดี ตลาดแรงงานไต้หวันเปิดแล้ว! พร้อมรับแรงงานภาคการผลิต และภาคก่อสร้างจำนวนมาก
วันอังคารที่ 21 มิถุนายน 2565 รมว.เฮ้ง เผยข่าวดี ตลาดแรงงานไต้หวันเปิดแล้ว! พร้อมรับแรงงานภาคการผลิต และภาคก่อสร้างจํานวนมาก นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงานมีนโยบายส่งเสริมการมีงานทําให้กับคนไทยทุกกลุ่มทั้งการทํางานอย่างมั่นคงภายในประเทศไทย และการเพิ่มโอกาสของแรงงานไทยในต่างประเทศหลังสถานทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย ซึ่งตลาดแรงงานไต้หวันเป็นอีก 1 ตลาดที่เริ่มเปิดรับแรงงานไทยกลับเข้าไปทํางานในประเทศ โดยข้อมูลจากสนร.ไทเปและเกาสงระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 64 - 16 มิ.ย. 65 มีนายจ้าง/สถานประกอบการ ทั้งสิ้นจํานวน 2,374 ราย ยื่นเอกสารขอจ้างแรงงานไทย จํานวน 20,195 ราย แบ่งเป็นแรงงานไทยภาคการผลิต 15,941 ราย ภาคก่อสร้าง 4,099 ราย ภาคเกษตร 83 ราย และผู้อนุบาล 67 ราย โดยหลังจากนี้คาดว่ายังมีความต้องการแรงงานทั้งภาคการผลิตและภาคก่อสร้างจํานวนมาก เนื่องจากไต้หวันมีการสร้างและพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ทั้งการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร อาคารท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน รถไฟฟ้าสายสีเขียว และโรงไฟฟ้า “ปัจจุบัน ไต้หวันมีมาตรการให้แรงงานต่างชาติ เมื่อเดินทางไปถึงจะต้องกักตัว 3 วัน และสังเกตอาการอีก 4 วัน รวมวันกักตัวเป็น 7วัน ตามมาตรการของศูนย์บัญชาการควบคุมโรคไต้หวัน (CECC)โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 มิ.ย. 65) มีแรงงานไทย จํานวน 39 คน เดินทางไปทํางานเป็นพนักงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กับนายจ้างต่างประเทศ Pan Jit International ซึ่งประกอบกิจการประเภทอุตสาหกรรม การผลิต ซ่อมแซมและติดตั้งเครื่องจักรกลไฟฟ้าหรืออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีระยะเวลาการทํางาน 3 ปี มีรายได้เดือนละ 25,250 เหรียญไต้หวัน หรือประมาณ 29,886 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น) โดยก่อนเดินทางแรงงานทั้งหมดได้ผ่านการอบรมคนหางานก่อนการเดินทางไปทํางานต่างประเทศกับกรมการจัดหางาน และซื้อกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ นอกจากนี้จะมีการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานภาคก่อสร้างในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2565 อีกกว่า 90 คน”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า ขอฝากถึงแรงงานไทยทุกคนที่ประสงค์เดินทางไปทํางานไต้หวันและประเทศอื่นๆ เลือกเดินทางอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมี 5 วิธี ได้แก่ บริษัทจัดหางานจัดส่ง กรมการจัดหางานจัดส่ง เดินทางด้วยตนเอง นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทํางาน และนายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างไปฝึกงาน ซึ่งในกรณีของไต้หวัน มักเป็นการไปทํางานโดยบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง ขอให้คนหางานตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาต ทาง www.doe.go.th/ipd นอกจากนี้ยังแนะนําให้คนหางาน สมัครเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ เพราะหากประสบปัญหาในต่างประเทศ อาทิ เจ็บป่วย ถูกเลิกจ้าง ถูกทอดทิ้งในต่างประเทศ ประสบปัญหาจากภัยสงคราม โรคระบาด หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตในต่างประเทศ หลังตรวจสอบและพบว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์สมาชิกกองทุนที่ยังอยู่ในความคุ้มครองจะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.เฮ้ง เผยข่าวดี ตลาดแรงงานไต้หวันเปิดแล้ว! พร้อมรับแรงงานภาคการผลิต และภาคก่อสร้างจำนวนมาก วันอังคารที่ 21 มิถุนายน 2565 รมว.เฮ้ง เผยข่าวดี ตลาดแรงงานไต้หวันเปิดแล้ว! พร้อมรับแรงงานภาคการผลิต และภาคก่อสร้างจํานวนมาก นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงานมีนโยบายส่งเสริมการมีงานทําให้กับคนไทยทุกกลุ่มทั้งการทํางานอย่างมั่นคงภายในประเทศไทย และการเพิ่มโอกาสของแรงงานไทยในต่างประเทศหลังสถานทั่วโลกเริ่มคลี่คลาย ซึ่งตลาดแรงงานไต้หวันเป็นอีก 1 ตลาดที่เริ่มเปิดรับแรงงานไทยกลับเข้าไปทํางานในประเทศ โดยข้อมูลจากสนร.ไทเปและเกาสงระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 64 - 16 มิ.ย. 65 มีนายจ้าง/สถานประกอบการ ทั้งสิ้นจํานวน 2,374 ราย ยื่นเอกสารขอจ้างแรงงานไทย จํานวน 20,195 ราย แบ่งเป็นแรงงานไทยภาคการผลิต 15,941 ราย ภาคก่อสร้าง 4,099 ราย ภาคเกษตร 83 ราย และผู้อนุบาล 67 ราย โดยหลังจากนี้คาดว่ายังมีความต้องการแรงงานทั้งภาคการผลิตและภาคก่อสร้างจํานวนมาก เนื่องจากไต้หวันมีการสร้างและพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ทั้งการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร อาคารท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน รถไฟฟ้าสายสีเขียว และโรงไฟฟ้า “ปัจจุบัน ไต้หวันมีมาตรการให้แรงงานต่างชาติ เมื่อเดินทางไปถึงจะต้องกักตัว 3 วัน และสังเกตอาการอีก 4 วัน รวมวันกักตัวเป็น 7วัน ตามมาตรการของศูนย์บัญชาการควบคุมโรคไต้หวัน (CECC)โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 มิ.ย. 65) มีแรงงานไทย จํานวน 39 คน เดินทางไปทํางานเป็นพนักงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์กับนายจ้างต่างประเทศ Pan Jit International ซึ่งประกอบกิจการประเภทอุตสาหกรรม การผลิต ซ่อมแซมและติดตั้งเครื่องจักรกลไฟฟ้าหรืออิเล็กทรอนิกส์ โดยมีระยะเวลาการทํางาน 3 ปี มีรายได้เดือนละ 25,250 เหรียญไต้หวัน หรือประมาณ 29,886 บาท (ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น) โดยก่อนเดินทางแรงงานทั้งหมดได้ผ่านการอบรมคนหางานก่อนการเดินทางไปทํางานต่างประเทศกับกรมการจัดหางาน และซื้อกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ นอกจากนี้จะมีการจัดส่งแรงงานไทยไปทํางานภาคก่อสร้างในช่วงเดือนกรกฎาคม – สิงหาคม 2565 อีกกว่า 90 คน”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางานกล่าวว่า ขอฝากถึงแรงงานไทยทุกคนที่ประสงค์เดินทางไปทํางานไต้หวันและประเทศอื่นๆ เลือกเดินทางอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งมี 5 วิธี ได้แก่ บริษัทจัดหางานจัดส่ง กรมการจัดหางานจัดส่ง เดินทางด้วยตนเอง นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างไปทํางาน และนายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างไปฝึกงาน ซึ่งในกรณีของไต้หวัน มักเป็นการไปทํางานโดยบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง ขอให้คนหางานตรวจสอบรายชื่อบริษัทจัดหางานที่ได้รับอนุญาต ทาง www.doe.go.th/ipd นอกจากนี้ยังแนะนําให้คนหางาน สมัครเป็นสมาชิกกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ เพราะหากประสบปัญหาในต่างประเทศ อาทิ เจ็บป่วย ถูกเลิกจ้าง ถูกทอดทิ้งในต่างประเทศ ประสบปัญหาจากภัยสงคราม โรคระบาด หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตในต่างประเทศ หลังตรวจสอบและพบว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์สมาชิกกองทุนที่ยังอยู่ในความคุ้มครองจะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทํางานในต่างประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/55913
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีม One Home พม.บุรีรัมย์ ช่วยเหลือแล้ว หญิงป่วยซึมเศร้าพร้อมครอบครัวถูกฟ้องขับไล่ออกจากบ้าน
วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565 ทีม One Home พม.บุรีรัมย์ ช่วยเหลือแล้ว หญิงป่วยซึมเศร้าพร้อมครอบครัวถูกฟ้องขับไล่ออกจากบ้าน ทีม One Home พม.บุรีรัมย์ ช่วยเหลือแล้ว หญิงป่วยซึมเศร้าพร้อมครอบครัวถูกฟ้องขับไล่ออกจากบ้าน วันที่ 2 มีนาคม2565เวลา 18.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยว่า ขณะนี้ ทีมเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. One Home จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือหญิง อายุ 41 ปี ป่วยซึมเศร้าและมีอาการเครียดถึงขั้นเคยคิดสั้นหนีปัญหา เนื่องจากถูกนายทุนฟ้องขับไล่ออกจากบ้านที่อาศัยอยู่กับครอบครัว หลังจากนําโฉนดบ้าน - ที่ดินไปขายฝากเพื่อใช้หนี้ธนาคาร โดยศาลมีคําสั่งให้ย้ายออกจากบ้านภายในวันที่ 4 มี.ค. 65 ในเบื้องต้น ได้จัดหาที่อยู่อาศัยในศูนย์พักพึ่งแก่ผู้ประสบปัญหาทางสังคมและดําเนินเรื่องขอเงินสงเคราะห์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าอีกทั้งช่วยตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินในเขตพระราชกฤษฎีกา และเตรียมพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่างๆ ตามภารกิจของกระทรวง พม. ต่อไป นอกจากนี้ เทศบาลตําบลบึงเจริญจะนําเรื่องเข้าสู่กระบวนการของศูนย์ยุติธรรมชุมชนและยุติธรรมจังหวัด และอําเภอบ้านกรวดที่จะให้คําปรึกษาแนะนําด้านกฎหมายและเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยผู้ถือครองที่ดินตามเอกสารสิทธิ์ สําหรับหญิงดังกล่าวอาศัยอยู่กับมารดา อายุ 72 ปี ในพื้นที่อําเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมกับลูก 2 คน อายุ 20 ปี ทํางานรับจ้างอยู่จังหวัดชลบุรี และอายุ 14 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.2 รวมทั้งหลานอีก 1 คน ต้องรับภาระเลี้ยงดูครอบครัว โดยประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป รายได้ไม่แน่นอน อีกทั้งยังต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชเป็นเวลา 7 - 8 ปี
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ทีม One Home พม.บุรีรัมย์ ช่วยเหลือแล้ว หญิงป่วยซึมเศร้าพร้อมครอบครัวถูกฟ้องขับไล่ออกจากบ้าน วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม 2565 ทีม One Home พม.บุรีรัมย์ ช่วยเหลือแล้ว หญิงป่วยซึมเศร้าพร้อมครอบครัวถูกฟ้องขับไล่ออกจากบ้าน ทีม One Home พม.บุรีรัมย์ ช่วยเหลือแล้ว หญิงป่วยซึมเศร้าพร้อมครอบครัวถูกฟ้องขับไล่ออกจากบ้าน วันที่ 2 มีนาคม2565เวลา 18.00 น.นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.)เปิดเผยว่า ขณะนี้ ทีมเจ้าหน้าที่กระทรวง พม. One Home จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านเพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือหญิง อายุ 41 ปี ป่วยซึมเศร้าและมีอาการเครียดถึงขั้นเคยคิดสั้นหนีปัญหา เนื่องจากถูกนายทุนฟ้องขับไล่ออกจากบ้านที่อาศัยอยู่กับครอบครัว หลังจากนําโฉนดบ้าน - ที่ดินไปขายฝากเพื่อใช้หนี้ธนาคาร โดยศาลมีคําสั่งให้ย้ายออกจากบ้านภายในวันที่ 4 มี.ค. 65 ในเบื้องต้น ได้จัดหาที่อยู่อาศัยในศูนย์พักพึ่งแก่ผู้ประสบปัญหาทางสังคมและดําเนินเรื่องขอเงินสงเคราะห์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเฉพาะหน้าอีกทั้งช่วยตรวจสอบเอกสารสิทธิ์ที่ดินในเขตพระราชกฤษฎีกา และเตรียมพิจารณาให้ความช่วยเหลือต่างๆ ตามภารกิจของกระทรวง พม. ต่อไป นอกจากนี้ เทศบาลตําบลบึงเจริญจะนําเรื่องเข้าสู่กระบวนการของศูนย์ยุติธรรมชุมชนและยุติธรรมจังหวัด และอําเภอบ้านกรวดที่จะให้คําปรึกษาแนะนําด้านกฎหมายและเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยผู้ถือครองที่ดินตามเอกสารสิทธิ์ สําหรับหญิงดังกล่าวอาศัยอยู่กับมารดา อายุ 72 ปี ในพื้นที่อําเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมกับลูก 2 คน อายุ 20 ปี ทํางานรับจ้างอยู่จังหวัดชลบุรี และอายุ 14 ปี เรียนอยู่ชั้น ม.2 รวมทั้งหลานอีก 1 คน ต้องรับภาระเลี้ยงดูครอบครัว โดยประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป รายได้ไม่แน่นอน อีกทั้งยังต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวชเป็นเวลา 7 - 8 ปี
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52141
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ร่วมกับ IOM เปิดตัว คู่มือสำหรับภาคธุรกิจวิธีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงาน มุ่งป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน
วันเสาร์ที่ 18 กันยายน 2564 กสร. ร่วมกับ IOM เปิดตัว คู่มือสําหรับภาคธุรกิจวิธีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงาน มุ่งป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน กสร. ร่วมกับ IOM ประเทศไทย จัดทําคู่มือสําหรับภาคธุรกิจวิธีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานภายใต้กฎหมายแรงงานไทย สนับสนุนการปฏิบัติตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGP) รวมถึงมาตรการการแก้ไขเยียวยาสําหรับแรงงานข้ามชาติ นางโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีและโฆษกกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมกับ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ประเทศไทย จัดทําคู่มือสําหรับภาคธุรกิจวิธีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานภายใต้กฎหมายแรงงานไทย เพื่อส่งเสริมบทบาทของนายจ้างและสนับสนุนลูกจ้างให้เข้าถึงกลไกการร้องทุกข์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รวมทั้งผลักดันให้ภาคธุรกิจตระหนักในบทบาทของตนเองในการเคารพกฎหมายแรงงาน อันเป็นสิ่งจําเป็นในการสนับสนุนการปฏิบัติตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGP) รวมถึงมาตรการในการยกระดับการเข้าถึงการแก้ไขเยียวยาสําหรับแรงงานทุกสัญชาติรวมไปถึงแรงงานข้ามชาติ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมภาคธุรกิจในการยกระดับแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติให้ได้รับการดูตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยมอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทําหน้าที่ในการผลักดันสนับสนุนผู้ว่าจ้างไทย เจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ล่าม และพนักงานในบริษัท ที่ทํางานกับแรงงานข้ามชาติโดยตรงในการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานด้านสิทธิแรงงาน รวมถึงการทําความเข้าใจและการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมในการดําเนินงานทางธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น โฆษก กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายของแรงงานข้ามชาติเกือบ 4 ล้านคน ทั้งจากประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนมา และเวียดนามซึ่งต่างช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยคู่มือสําหรับภาคธุรกิจวิธีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานภายใต้กฎหมายแรงงานไทย ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะสนับสนุนให้แรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติได้รับทราบข้อมูลพื้นฐานภายใต้ข้อกําหนดของกฎหมายแรงงาน ส่งผลให้การรวมกันของแรงงานที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอยู่ร่วมกันโดยได้รับการคุ้มครอง มีสภาพการจ้าง และสภาพการทํางานที่ดี ได้รับการยอมรับและเคารพในสิทธิมนุษยชน มีขวัญกําลังใจในการทํางาน และรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า นํามาซึ่งความร่วมมือในการพัฒนาให้องค์กรเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยสถานประกอบกิจการภาคธุรกิจสามารถประสานรับข้อมูลได้ที่ https://publications.iom.int หรือ Facebook IOM Thailand
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กสร. ร่วมกับ IOM เปิดตัว คู่มือสำหรับภาคธุรกิจวิธีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงาน มุ่งป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน วันเสาร์ที่ 18 กันยายน 2564 กสร. ร่วมกับ IOM เปิดตัว คู่มือสําหรับภาคธุรกิจวิธีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงาน มุ่งป้องกันและแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน กสร. ร่วมกับ IOM ประเทศไทย จัดทําคู่มือสําหรับภาคธุรกิจวิธีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานภายใต้กฎหมายแรงงานไทย สนับสนุนการปฏิบัติตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGP) รวมถึงมาตรการการแก้ไขเยียวยาสําหรับแรงงานข้ามชาติ นางโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีและโฆษกกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ร่วมกับ องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ประเทศไทย จัดทําคู่มือสําหรับภาคธุรกิจวิธีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานภายใต้กฎหมายแรงงานไทย เพื่อส่งเสริมบทบาทของนายจ้างและสนับสนุนลูกจ้างให้เข้าถึงกลไกการร้องทุกข์ของกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน รวมทั้งผลักดันให้ภาคธุรกิจตระหนักในบทบาทของตนเองในการเคารพกฎหมายแรงงาน อันเป็นสิ่งจําเป็นในการสนับสนุนการปฏิบัติตามหลักการชี้แนะแห่งสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGP) รวมถึงมาตรการในการยกระดับการเข้าถึงการแก้ไขเยียวยาสําหรับแรงงานทุกสัญชาติรวมไปถึงแรงงานข้ามชาติ ซึ่งการดําเนินการดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายของนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมภาคธุรกิจในการยกระดับแรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติให้ได้รับการดูตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยมอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทําหน้าที่ในการผลักดันสนับสนุนผู้ว่าจ้างไทย เจ้าหน้าที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคล ล่าม และพนักงานในบริษัท ที่ทํางานกับแรงงานข้ามชาติโดยตรงในการปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานด้านสิทธิแรงงาน รวมถึงการทําความเข้าใจและการเคารพความหลากหลายทางวัฒนธรรมในการดําเนินงานทางธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น โฆษก กสร. กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยเป็นจุดหมายของแรงงานข้ามชาติเกือบ 4 ล้านคน ทั้งจากประเทศกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมียนมา และเวียดนามซึ่งต่างช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยคู่มือสําหรับภาคธุรกิจวิธีไกล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานภายใต้กฎหมายแรงงานไทย ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะสนับสนุนให้แรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติได้รับทราบข้อมูลพื้นฐานภายใต้ข้อกําหนดของกฎหมายแรงงาน ส่งผลให้การรวมกันของแรงงานที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมอยู่ร่วมกันโดยได้รับการคุ้มครอง มีสภาพการจ้าง และสภาพการทํางานที่ดี ได้รับการยอมรับและเคารพในสิทธิมนุษยชน มีขวัญกําลังใจในการทํางาน และรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า นํามาซึ่งความร่วมมือในการพัฒนาให้องค์กรเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน โดยสถานประกอบกิจการภาคธุรกิจสามารถประสานรับข้อมูลได้ที่ https://publications.iom.int หรือ Facebook IOM Thailand
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45949
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดพิมพ์หนังสือ ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง
วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565 วธ.จัดพิมพ์หนังสือ ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วธ.จัดพิมพ์หนังสือ ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2565 วธ.จัดพิมพ์หนังสือ ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มุ่งขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการสืบสานงานศิลปวัฒนธรรมของชาติตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในการอนุรักษ์และส่งเสริมการใช้ผ้าไทย ผ้าพื้นถิ่นและการรณรงค์ส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นไทย รวมทั้งผลักดันยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน “Soft Power” วธ.จึงดําเนินการจัดทําหนังสือ “ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด” โดยมอบหมายให้สํานักงานวัฒนธรรม 76 จังหวัดทั่วประเทศ ดําเนินการค้นหาผ้าลายอัตลักษณ์ประจําจังหวัด ซึ่งมีทั้งจังหวัดที่มีลายผ้าดั้งเดิมที่เป็นลายผ้าประจําจังหวัดอยู่แล้ว และจังหวัดที่ยังไม่มีลายผ้าประจําจังหวัดให้ดําเนินการเชิญภาคีเครือข่ายร่วมกันคิดค้นลายอัตลักษณ์ขึ้นใหม่ ให้มีความโดดเด่น บ่งบอกถึงอัตลักษณ์และภูมิปัญญาประจําถิ่น โดยผ้าลายอัตลักษณ์ทั้ง 76 ลาย ได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ทุกจังหวัดจะมีลายผ้าอัตลักษณ์ประจําจังหวัด การจัดทําหนังสือ “ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด” ของ วธ. ในครั้งนี้ เป็นการสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเสริมสร้างความภาคภูมิใจให้กับประชาชนในจังหวัดที่จะได้มีผ้าลายอัตลักษณ์ของตนเอง และหันกลับมาส่งเสริมการใช้ผ้าไทยให้ใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถนําลายผ้าอัตลักษณ์มาพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ของใช้ ของฝาก ของที่ระลึกประจําจังหวัดได้ด้วย ทั้งยังสามารถช่วยชุมชนและผู้ประกอบการด้านผ้าทอให้มีรายได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน โดยเนื้อหาภายในเล่มประกอบด้วย พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ความเป็นมาของผ้าโบราณ ที่มาและกระบวนผลิตผ้าลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด รวมถึงผลงานของศิลปินแห่งชาติสาขาทัศน์ศิลป์ในด้านผ้าทอและด้านการออกแบบแฟชั่น ทั้งนี้สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ร่วมสนับสนุนการถ่ายภาพผ้าลายอัตลักษณ์ ในการจัดทําหนังสือเฉลิมพระเกียรติฯ ในครั้งนี้ เมื่อจัดพิมพ์แล้วเสร็จจะแจกจ่ายหนังสือไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ รวมถึงสถาบันเกี่ยวกับสิ่งทอต่อไป สําหรับผู้สนใจสามารถติดตามอ่านได้ในรูปแบบ e-book ในเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th และ ทางเฟสบุ๊ก ThaiMCulture อีกด้วย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ.จัดพิมพ์หนังสือ ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565 วธ.จัดพิมพ์หนังสือ ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง วธ.จัดพิมพ์หนังสือ ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2565 วธ.จัดพิมพ์หนังสือ ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด ครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2565 นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) มุ่งขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลในการสืบสานงานศิลปวัฒนธรรมของชาติตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงในการอนุรักษ์และส่งเสริมการใช้ผ้าไทย ผ้าพื้นถิ่นและการรณรงค์ส่งเสริมอัตลักษณ์ความเป็นไทย รวมทั้งผลักดันยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน “Soft Power” วธ.จึงดําเนินการจัดทําหนังสือ “ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด” โดยมอบหมายให้สํานักงานวัฒนธรรม 76 จังหวัดทั่วประเทศ ดําเนินการค้นหาผ้าลายอัตลักษณ์ประจําจังหวัด ซึ่งมีทั้งจังหวัดที่มีลายผ้าดั้งเดิมที่เป็นลายผ้าประจําจังหวัดอยู่แล้ว และจังหวัดที่ยังไม่มีลายผ้าประจําจังหวัดให้ดําเนินการเชิญภาคีเครือข่ายร่วมกันคิดค้นลายอัตลักษณ์ขึ้นใหม่ ให้มีความโดดเด่น บ่งบอกถึงอัตลักษณ์และภูมิปัญญาประจําถิ่น โดยผ้าลายอัตลักษณ์ทั้ง 76 ลาย ได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ทุกจังหวัดจะมีลายผ้าอัตลักษณ์ประจําจังหวัด การจัดทําหนังสือ “ผ้าไทยลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด” ของ วธ. ในครั้งนี้ เป็นการสืบสานพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และเสริมสร้างความภาคภูมิใจให้กับประชาชนในจังหวัดที่จะได้มีผ้าลายอัตลักษณ์ของตนเอง และหันกลับมาส่งเสริมการใช้ผ้าไทยให้ใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถนําลายผ้าอัตลักษณ์มาพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ของใช้ ของฝาก ของที่ระลึกประจําจังหวัดได้ด้วย ทั้งยังสามารถช่วยชุมชนและผู้ประกอบการด้านผ้าทอให้มีรายได้ มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น นําไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน โดยเนื้อหาภายในเล่มประกอบด้วย พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ความเป็นมาของผ้าโบราณ ที่มาและกระบวนผลิตผ้าลายอัตลักษณ์ 76 จังหวัด รวมถึงผลงานของศิลปินแห่งชาติสาขาทัศน์ศิลป์ในด้านผ้าทอและด้านการออกแบบแฟชั่น ทั้งนี้สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ร่วมสนับสนุนการถ่ายภาพผ้าลายอัตลักษณ์ ในการจัดทําหนังสือเฉลิมพระเกียรติฯ ในครั้งนี้ เมื่อจัดพิมพ์แล้วเสร็จจะแจกจ่ายหนังสือไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เอกชน ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ รวมถึงสถาบันเกี่ยวกับสิ่งทอต่อไป สําหรับผู้สนใจสามารถติดตามอ่านได้ในรูปแบบ e-book ในเว็บไซต์ของกระทรวงวัฒนธรรม www.m-culture.go.th และ ทางเฟสบุ๊ก ThaiMCulture อีกด้วย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56231
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดซ้อมใหญ่ขั้นตอนรับผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ เตรียมความพร้อมตามนโยบายเปิดประเทศ 1 พ.ย. 2564
วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดซ้อมใหญ่ขั้นตอนรับผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ เตรียมความพร้อมตามนโยบายเปิดประเทศ 1 พ.ย. 2564 ... ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กระทรวงคมนาคม เช็คความพร้อมทุกด้านเพื่อรองรับการเปิดประเทศ ทั้งขั้นตอนบริการผู้โดยสารภายใน - ระหว่างประเทศ เตรียมโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอํานวยความสะดวก ตามแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 เข้มงวด นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อํานวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด(มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ประกาศนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นั้น ในวันที่ 27 ตุลาคม 2564 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ได้ร่วมกับทุกหน่วยงานที่ปฏิบัติงาน ณ ทสภ. จัดฝึกซ้อมใหญ่การให้บริการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ให้เป็นไปตามแนวทางที่กําหนดภายใต้มาตรฐานการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ การให้บริการ ณ ทสภ. ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 กรณีของผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ทสภ.จะเปิดให้บริการผู้โดยสารทั้งอาคารเทียบเครื่องบินด้านทิศตะวันออก (Concourse C) และด้านทิศตะวันตก (Concourse E,F,G) โดยจะมีขั้นตอนเริ่มตั้งแต่ผู้โดยสารลงจากอากาศยานแล้ว จะได้รับการตรวจคัดกรองจากเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ แยกเป็น 2 ส่วน คือ ผู้โดยสารบางส่วนจะยังต้องตรวจด้วยระบบใบอนุญาตเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry :COE) อีกส่วนจะตรวจด้วยวิธีการสแกน QR Code ของระบบ Thailand Pass ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทย ซึ่งในอนาคตจะเข้ามาแทนการใช้ระบบ COE จากนั้นผู้โดยสารเดินตามเส้นทางที่กําหนด ผ่านการตรวจคัดกรองอุณหภูมิ หากผู้โดยสารอุณหภูมิเกิน 37.3 องศาเซลเซียส หรือเข้าเกณฑ์ PUI เจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคฯ จะกันผู้โดยสารดังกล่าวไปดําเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ถ้าอุณหภูมิไม่เกิน 37.3 องศาเซลเซียส ก็เข้าสู่กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง หลังจากนั้น ผู้โดยสารรับสัมภาระและผ่านพิธีการศุลกากรกรณีมีของสําแดง แต่หากไม่มีของสําแดงจะมีเจ้าหน้าที่นําผู้โดยสารไปพบตัวแทนโรงแรมที่เป็นสถานที่กักตัวทางเลือกที่ผู้โดยสารจองมาล่วงหน้าแล้ว บริเวณโถงผู้โดยสารขาเข้าชั้น 2 จากนั้นผู้โดยสารขึ้นรถของโรงแรมซึ่งมีการจัดให้มีที่กั้นระหว่างพนักงานขับกับผู้โดยสารเป็นไปตามมาตรฐานการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เพื่อไปดําเนินการตรวจ RT-PCR ตามกําหนด ณ โรงแรมที่พักต่อไป ทางด้านผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เมื่อผู้โดยสารทําการเช็คอินที่เคาน์เตอร์เช็คอิน เจ้าหน้าที่ สายการบินจะทําการตรวจสอบเอกสารตามที่ประเทศปลายทางกําหนดก่อนออกบัตรโดยสาร (Boarding Pass) จากนั้นก็สามารถเข้าสู่ขั้นตอนตรวจหนังสือเดินทางตามปกติต่อไป นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ในส่วนของผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ ปัจจุบัน ทสภ. ก็มีการให้บริการภายใต้มาตรการเฝ้าระวังโรคที่เข้มงวด เมื่อผู้โดยสารทําการเช็คอินจะต้องเตรียมเอกสารตามที่จังหวัดปลายทางกําหนด โดยสายการบินจะตรวจสอบเอกสารต่างๆ เช่น เอกสารยืนยันการได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ หรือเอกสารแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR หรือ Antigen Test Kit(ATK) เมื่อออกบัตรโดยสารแล้วผู้โดยสารจะผ่านขั้นตอนการคัดกรองตามปกติก่อนออกเดินทางต่อไป ส่วนผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ เมื่อผู้โดยสารลงจากอากาศยานจะผ่านเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิเมื่อเข้ามาภายในอาคาร ก่อนรับกระเป๋าที่สายพานและเดินทางออกจากท่าอากาศยาน นายกิตติพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อผู้โดยสารมาใช้บริการที่ ทสภ. ก่อนจะเข้าอาคารผู้โดยสาร ทสภ. ได้มีการติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดขนาดเล็ก (Thermoscan) และติดตั้งป้ายสแกน QR Code ไทยชนะ บริเวณประตูทางเข้า ซึ่งจะเปิดให้ผู้โดยสารเข้าที่ประตู 1,3,5,7,9 โดยหากผู้โดยสารมีอุณหภูมิร่างกายเกิน 37.3 องศาเซลเซียส จะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าใช้บริการ พร้อมกันนี้ ทสภ. ยังได้เตรียมความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอํานวยความสะดวกให้เป็นไปตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A ตามหลักการ COVID-Free Setting และ Universal Prevention อย่างเคร่งครัด โดยบริเวณเคาน์เตอร์เช็คอิน มีการนําเครื่องเช็คอินอัตโนมัติ (Common Use Self Service : CUSS) ระบบรับสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop : CUBD) มาให้บริการเพื่อลดการสัมผัสมีการจัดให้เว้นระยะห่าง มีการเพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดรถเข็นกระเป๋า บันไดเลื่อน ลิฟท์ ห้องน้ํา เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรค ในส่วนของพื้นที่จอดรถ ได้เตรียมอาคารและลานจอดที่พอเพียงต่อการใช้บริการของผู้โดยสาร จัดบริการรถ shuttle bus ให้บริการทั้งภายใน ทสภ.และระหว่างทสภ.กับ ทดม. ขณะที่ร้านค้าและร้านอาหารที่ปิดให้บริการไปในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ทยอยกลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ส่วนพื้นที่เขตการบินโดยมีการตรวจสอบและบํารุงรักษาพื้นผิวทางวิ่ง ทางขับ และลานจอดอากาศยานให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัย โดยปัจจุบันได้ให้บริการทางวิ่ง 2 เส้นทาง และมีหลุมจอดอากาศยาน 120 หลุมจอด ทางด้านความพร้อมด้านของบุคลากร ผู้ปฏิบัติงานจากทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติงานใน ทสภ. ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาจํานวน 34,000 คน และขณะนี้อยู่ระหว่างดําเนินการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งคาดว่า ณ สิ้นเดือนตุลาคมทั้ง 34,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 95 ของบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ณ ทสภ.จะได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม นายกิตติพงศ์ กล่าวในตอนท้ายว่า จากการประสานงานกับทุกหน่วยงาน ณ ทสภ. และได้ร่วมกันซักซ้อม ในขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อรองรับผู้โดยสารทั้งในส่วนย่อยและซ้อมใหญ่ล่าสุด ยืนยันว่า ทสภ. มีความพร้อมในการให้บริการ ภายใต้มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคที่เข้มงวด พร้อมร่วมเป็นกลไกสําคัญกับรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ ทั้งนี้ ทสภ. คาดว่าภายหลังที่มีการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนแล้ว จะมีปริมาณเที่ยวบินต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 480 เที่ยวบิน จากปัจจุบัน 320 เที่ยวบิน และจํานวนผู้โดยสารต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 38,000 คน จากปัจจุบัน 15,000 คน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดซ้อมใหญ่ขั้นตอนรับผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ เตรียมความพร้อมตามนโยบายเปิดประเทศ 1 พ.ย. 2564 วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม 2564 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดซ้อมใหญ่ขั้นตอนรับผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ เตรียมความพร้อมตามนโยบายเปิดประเทศ 1 พ.ย. 2564 ... ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กระทรวงคมนาคม เช็คความพร้อมทุกด้านเพื่อรองรับการเปิดประเทศ ทั้งขั้นตอนบริการผู้โดยสารภายใน - ระหว่างประเทศ เตรียมโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอํานวยความสะดวก ตามแนวทางป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 เข้มงวด นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อํานวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด(มหาชน) (ทอท.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ประกาศนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 นั้น ในวันที่ 27 ตุลาคม 2564 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ได้ร่วมกับทุกหน่วยงานที่ปฏิบัติงาน ณ ทสภ. จัดฝึกซ้อมใหญ่การให้บริการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ให้เป็นไปตามแนวทางที่กําหนดภายใต้มาตรฐานการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของกระทรวงสาธารณสุข ทั้งนี้ การให้บริการ ณ ทสภ. ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 กรณีของผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ทสภ.จะเปิดให้บริการผู้โดยสารทั้งอาคารเทียบเครื่องบินด้านทิศตะวันออก (Concourse C) และด้านทิศตะวันตก (Concourse E,F,G) โดยจะมีขั้นตอนเริ่มตั้งแต่ผู้โดยสารลงจากอากาศยานแล้ว จะได้รับการตรวจคัดกรองจากเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคระหว่างประเทศ แยกเป็น 2 ส่วน คือ ผู้โดยสารบางส่วนจะยังต้องตรวจด้วยระบบใบอนุญาตเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry :COE) อีกส่วนจะตรวจด้วยวิธีการสแกน QR Code ของระบบ Thailand Pass ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มใหม่เพื่ออํานวยความสะดวกให้กับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศไทย ซึ่งในอนาคตจะเข้ามาแทนการใช้ระบบ COE จากนั้นผู้โดยสารเดินตามเส้นทางที่กําหนด ผ่านการตรวจคัดกรองอุณหภูมิ หากผู้โดยสารอุณหภูมิเกิน 37.3 องศาเซลเซียส หรือเข้าเกณฑ์ PUI เจ้าหน้าที่ด่านควบคุมโรคฯ จะกันผู้โดยสารดังกล่าวไปดําเนินการตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข ถ้าอุณหภูมิไม่เกิน 37.3 องศาเซลเซียส ก็เข้าสู่กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง หลังจากนั้น ผู้โดยสารรับสัมภาระและผ่านพิธีการศุลกากรกรณีมีของสําแดง แต่หากไม่มีของสําแดงจะมีเจ้าหน้าที่นําผู้โดยสารไปพบตัวแทนโรงแรมที่เป็นสถานที่กักตัวทางเลือกที่ผู้โดยสารจองมาล่วงหน้าแล้ว บริเวณโถงผู้โดยสารขาเข้าชั้น 2 จากนั้นผู้โดยสารขึ้นรถของโรงแรมซึ่งมีการจัดให้มีที่กั้นระหว่างพนักงานขับกับผู้โดยสารเป็นไปตามมาตรฐานการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค เพื่อไปดําเนินการตรวจ RT-PCR ตามกําหนด ณ โรงแรมที่พักต่อไป ทางด้านผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ เมื่อผู้โดยสารทําการเช็คอินที่เคาน์เตอร์เช็คอิน เจ้าหน้าที่ สายการบินจะทําการตรวจสอบเอกสารตามที่ประเทศปลายทางกําหนดก่อนออกบัตรโดยสาร (Boarding Pass) จากนั้นก็สามารถเข้าสู่ขั้นตอนตรวจหนังสือเดินทางตามปกติต่อไป นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า ในส่วนของผู้โดยสารขาออกภายในประเทศ ปัจจุบัน ทสภ. ก็มีการให้บริการภายใต้มาตรการเฝ้าระวังโรคที่เข้มงวด เมื่อผู้โดยสารทําการเช็คอินจะต้องเตรียมเอกสารตามที่จังหวัดปลายทางกําหนด โดยสายการบินจะตรวจสอบเอกสารต่างๆ เช่น เอกสารยืนยันการได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ หรือเอกสารแสดงผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 โดยวิธี RT-PCR หรือ Antigen Test Kit(ATK) เมื่อออกบัตรโดยสารแล้วผู้โดยสารจะผ่านขั้นตอนการคัดกรองตามปกติก่อนออกเดินทางต่อไป ส่วนผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศ เมื่อผู้โดยสารลงจากอากาศยานจะผ่านเครื่องตรวจวัดอุณหภูมิเมื่อเข้ามาภายในอาคาร ก่อนรับกระเป๋าที่สายพานและเดินทางออกจากท่าอากาศยาน นายกิตติพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อผู้โดยสารมาใช้บริการที่ ทสภ. ก่อนจะเข้าอาคารผู้โดยสาร ทสภ. ได้มีการติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิแบบอินฟราเรดขนาดเล็ก (Thermoscan) และติดตั้งป้ายสแกน QR Code ไทยชนะ บริเวณประตูทางเข้า ซึ่งจะเปิดให้ผู้โดยสารเข้าที่ประตู 1,3,5,7,9 โดยหากผู้โดยสารมีอุณหภูมิร่างกายเกิน 37.3 องศาเซลเซียส จะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าใช้บริการ พร้อมกันนี้ ทสภ. ยังได้เตรียมความพร้อมทั้งโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอํานวยความสะดวกให้เป็นไปตามมาตรการสาธารณสุข D-M-H-T-T-A ตามหลักการ COVID-Free Setting และ Universal Prevention อย่างเคร่งครัด โดยบริเวณเคาน์เตอร์เช็คอิน มีการนําเครื่องเช็คอินอัตโนมัติ (Common Use Self Service : CUSS) ระบบรับสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop : CUBD) มาให้บริการเพื่อลดการสัมผัสมีการจัดให้เว้นระยะห่าง มีการเพิ่มความถี่ในการทําความสะอาดรถเข็นกระเป๋า บันไดเลื่อน ลิฟท์ ห้องน้ํา เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรค ในส่วนของพื้นที่จอดรถ ได้เตรียมอาคารและลานจอดที่พอเพียงต่อการใช้บริการของผู้โดยสาร จัดบริการรถ shuttle bus ให้บริการทั้งภายใน ทสภ.และระหว่างทสภ.กับ ทดม. ขณะที่ร้านค้าและร้านอาหารที่ปิดให้บริการไปในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้ทยอยกลับมาเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ส่วนพื้นที่เขตการบินโดยมีการตรวจสอบและบํารุงรักษาพื้นผิวทางวิ่ง ทางขับ และลานจอดอากาศยานให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้อย่างปลอดภัย โดยปัจจุบันได้ให้บริการทางวิ่ง 2 เส้นทาง และมีหลุมจอดอากาศยาน 120 หลุมจอด ทางด้านความพร้อมด้านของบุคลากร ผู้ปฏิบัติงานจากทุกภาคส่วนที่ปฏิบัติงานใน ทสภ. ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็ม ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาจํานวน 34,000 คน และขณะนี้อยู่ระหว่างดําเนินการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งคาดว่า ณ สิ้นเดือนตุลาคมทั้ง 34,000 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 95 ของบุคลากรผู้ปฏิบัติงาน ณ ทสภ.จะได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม นายกิตติพงศ์ กล่าวในตอนท้ายว่า จากการประสานงานกับทุกหน่วยงาน ณ ทสภ. และได้ร่วมกันซักซ้อม ในขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อรองรับผู้โดยสารทั้งในส่วนย่อยและซ้อมใหญ่ล่าสุด ยืนยันว่า ทสภ. มีความพร้อมในการให้บริการ ภายใต้มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคที่เข้มงวด พร้อมร่วมเป็นกลไกสําคัญกับรัฐบาลในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของประเทศ ทั้งนี้ ทสภ. คาดว่าภายหลังที่มีการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนแล้ว จะมีปริมาณเที่ยวบินต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 480 เที่ยวบิน จากปัจจุบัน 320 เที่ยวบิน และจํานวนผู้โดยสารต่อวันเพิ่มขึ้นเป็น 38,000 คน จากปัจจุบัน 15,000 คน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/47504
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต จากเหตุไฟไหม้ผับชลบุรี สั่ง “คุ้มครองสิทธิ” เร่งเยียวยาผู้เสียชีวิต-ผู้บาดเจ็บ
วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต จากเหตุไฟไหม้ผับชลบุรี สั่ง “คุ้มครองสิทธิ” เร่งเยียวยาผู้เสียชีวิต-ผู้บาดเจ็บ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต จากเหตุไฟไหม้ผับชลบุรี สั่ง “คุ้มครองสิทธิ” เร่งเยียวยาผู้เสียชีวิต-ผู้บาดเจ็บ เผย มีสิทธิได้เงินเยียวยาคนละ 110,000 บาท ขออนุกรรมการพิจารณาระดับจังหวัด เร่งอนุมัติ วันที่ 5 สิงหาคม 2565 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีเหตุไฟไหม้สถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 14 รายว่า ขอแสดงความเสียใจกับญาติของผู้เสียชีวิตทุกคน ซึ่งตนติดตามสถานการณ์ และได้เห็นคลิปเหตุการณ์แล้ว ต้องยอมรับว่า เป็นเหตุสะเทือนใจมาก ตนจึงได้สั่งการเป็นการเร่งด่วนที่สุด ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ลงพื้นที่เพื่อเยียวยา และแจ้งสิทธิช่วยเหลือญาติของผู้เสียชีวิต รวมถึงผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว โดยนายสุรไกร นวลศิริ ผู้อํานวยการสํานักงานยุติธรรม จังหวัดชลบุรี ได้ลงพื้นที่สถานีตํารวจภูธร ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อรับคําขอผู้เสียหายในคดีอาญาแล้ว นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า กรณีผู้เสียชีวิต มีสิทธิได้รับการเยียวยา ตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 รวมเป็นเงินจํานวน 110,000 บาท แบ่งเป็น ค่าตอบแทนกรณีถึงแก่ความตาย จํานวน 50,000 บาท ค่าจัดการศพ 20,000 บาท และค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ จะได้รับการเยียวยา โดยมีค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 40,000 บาท ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 20,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ในระหว่างที่ไม่สามารถทํางานได้ตามปกติ ให้จ่ายในอัตราค่าจ้างขั้นต่ําของจังหวัดชลบุรี วันละ 336 บาท ไม่เกิน 1 ปี และค่าตอบแทนความเสียหายอื่น ไม่เกิน 50,000 บาท แต่การพิจารณาการเยียวยา ต้องรอคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายในระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน อนุมัติก่อน กรมคุ้มครองสิทธิฯ ถึงจะจ่ายเงินได้ “จากกรณีนี้ ผมเห็นใจผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และญาติของผู้เสียชีวิตเป็นอย่างมาก ที่ต้องมาสูญเสียคนที่เรารัก ผมในฐานะกํากับดูแลกระทรวงยุติธรรม จึงพร้อมเข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพราะเรามีหน้าที่ ที่ต้องดูแลความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ดังนั้น สําหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือ ครอบครัวผู้เสียชีวิต ที่ยังไม่รู้จะดําเนินการต่ออย่างไร สามารถติดต่อสายด่วนยุติธรรมได้ที่เบอร์ 1111 กด 77 ผมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่รอช่วยเหลือกรณีนี้ แบบเร่งด่วนที่สุด เพราะความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ไม่สามารถรอได้ และผมอยากขอให้อนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายระดับจังหวัด เร่งพิจารณาเงินเยียวยาด้วย เพราะตนยากช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องประชาชน ให้เร็วที่สุด” รมว.ยุติธรรม กล่าว
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต จากเหตุไฟไหม้ผับชลบุรี สั่ง “คุ้มครองสิทธิ” เร่งเยียวยาผู้เสียชีวิต-ผู้บาดเจ็บ วันศุกร์ที่ 5 สิงหาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต จากเหตุไฟไหม้ผับชลบุรี สั่ง “คุ้มครองสิทธิ” เร่งเยียวยาผู้เสียชีวิต-ผู้บาดเจ็บ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต จากเหตุไฟไหม้ผับชลบุรี สั่ง “คุ้มครองสิทธิ” เร่งเยียวยาผู้เสียชีวิต-ผู้บาดเจ็บ เผย มีสิทธิได้เงินเยียวยาคนละ 110,000 บาท ขออนุกรรมการพิจารณาระดับจังหวัด เร่งอนุมัติ วันที่ 5 สิงหาคม 2565 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีเหตุไฟไหม้สถานบันเทิงแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 14 รายว่า ขอแสดงความเสียใจกับญาติของผู้เสียชีวิตทุกคน ซึ่งตนติดตามสถานการณ์ และได้เห็นคลิปเหตุการณ์แล้ว ต้องยอมรับว่า เป็นเหตุสะเทือนใจมาก ตนจึงได้สั่งการเป็นการเร่งด่วนที่สุด ให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ลงพื้นที่เพื่อเยียวยา และแจ้งสิทธิช่วยเหลือญาติของผู้เสียชีวิต รวมถึงผู้ได้รับบาดเจ็บแล้ว โดยนายสุรไกร นวลศิริ ผู้อํานวยการสํานักงานยุติธรรม จังหวัดชลบุรี ได้ลงพื้นที่สถานีตํารวจภูธร ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อรับคําขอผู้เสียหายในคดีอาญาแล้ว นายสมศักดิ์ กล่าวต่อว่า กรณีผู้เสียชีวิต มีสิทธิได้รับการเยียวยา ตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทน และค่าใช้จ่ายแก่จําเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 รวมเป็นเงินจํานวน 110,000 บาท แบ่งเป็น ค่าตอบแทนกรณีถึงแก่ความตาย จํานวน 50,000 บาท ค่าจัดการศพ 20,000 บาท และค่าขาดอุปการะเลี้ยงดู 40,000 บาท ส่วนผู้ได้รับบาดเจ็บ จะได้รับการเยียวยา โดยมีค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 40,000 บาท ค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจ เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 20,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ในระหว่างที่ไม่สามารถทํางานได้ตามปกติ ให้จ่ายในอัตราค่าจ้างขั้นต่ําของจังหวัดชลบุรี วันละ 336 บาท ไม่เกิน 1 ปี และค่าตอบแทนความเสียหายอื่น ไม่เกิน 50,000 บาท แต่การพิจารณาการเยียวยา ต้องรอคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายในระดับจังหวัด ที่มีผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธาน อนุมัติก่อน กรมคุ้มครองสิทธิฯ ถึงจะจ่ายเงินได้ “จากกรณีนี้ ผมเห็นใจผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และญาติของผู้เสียชีวิตเป็นอย่างมาก ที่ต้องมาสูญเสียคนที่เรารัก ผมในฐานะกํากับดูแลกระทรวงยุติธรรม จึงพร้อมเข้าไปช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพราะเรามีหน้าที่ ที่ต้องดูแลความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ดังนั้น สําหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือ ครอบครัวผู้เสียชีวิต ที่ยังไม่รู้จะดําเนินการต่ออย่างไร สามารถติดต่อสายด่วนยุติธรรมได้ที่เบอร์ 1111 กด 77 ผมได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่รอช่วยเหลือกรณีนี้ แบบเร่งด่วนที่สุด เพราะความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน ไม่สามารถรอได้ และผมอยากขอให้อนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายระดับจังหวัด เร่งพิจารณาเงินเยียวยาด้วย เพราะตนยากช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องประชาชน ให้เร็วที่สุด” รมว.ยุติธรรม กล่าว
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57694
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประเดิมโคราช จัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค พร้อมควงหน่วยงานในสังกัด กระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่บริการประชาชนเต็มรูปแบบ
วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประเดิมโคราช จัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค พร้อมควงหน่วยงานในสังกัด กระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่บริการประชาชนเต็มรูปแบบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประเดิมโคราช จัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค พร้อมควงหน่วยงานในสังกัด กระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่บริการประชาชนเต็มรูปแบบ คาดสางหนี้ได้ไม่ต่ํากว่า 800 ล้านบาท นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงยุติธรรมมีแผนการจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน (4 ภูมิภาค) และยุติธรรมพบประชาชน ประจําปี 2565 ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือระหว่างกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพและกรมบังคับคดี โดยจะเริ่มที่ตลาดเทิดไท ตาลคู่ จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 18 มีนาคม ซึ่งที่เราจัดที่ จังหวัดนครราชสีมานั้น จะมีประชาชนจากบุรีรัมย์และชัยภูมิ มาร่วมงานด้วย โดยจะเชิญลูกหนี้ 12,587 ราย แบ่งเป็นลูกหนี้ก่อนฟ้อง 9,114 ราย มูลค่าทรัพย์ 677 ล้านบาท และลูกหนี้หลังฟ้อง 3,473 ราย มูลค่าทรัพย์ 95 ล้านบาท โดยมีจะทั้งสถาบันที่ร่วมงาน อาทิ กยศ. ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกรุงเทพ บริษัทบริหารสินทรัพย์ เจ และบริษัท JMT แคปปิตอล เป็นต้น นอกจากนี้ ภายในงานจะมีบูธกิจกรรมของหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวง อาทิ กรมราชทัณฑ์ ป.ป.ส. ดีเอสไอ กองทุนยุติธรรม เพื่อให้ความรู้คําปรึกษา รับเรื่องร้องเรียน และจะมีการมอบเงินเยียวยาผู้เสียหาย จําเลยในคดีอาญา และมอบป้ายศูนย์ไกล่เกลี่ยในพื้นที่อีกด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากประสบการณ์จัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ ในงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครั้งที่ 1 กรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ศูนย์ประชุมไบเทคบางนา เมื่อวันที่ 25-26 ก.พ. เราช่วยเหลือลูกหนี้ได้ 5,000 กว่าราย มูลค่า 921 ล้านบาท ผมจึงอยากให้ลูกหนี้เข้าร่วมงานดังกล่าวนี้ โดยตั้งเป้าทั้งหมดไว้ว่า ประชาชนที่เป็นหนี้จะเข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ย ไม่น้อยกว่า 100,000 ราย จํานวนทุนทรัพย์ที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท "ในงานนี้กระทรวงยุติธรรม ยกทุกหน่วยงานลงมาเพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชน ทั้งยังได้ทําหนังสือถึงผู้ว่าราชการ ประชาสัมพันธ์จังหวัด นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้านและผู้นําท้องถิ่น เพื่อแจ้งประชาชนในพื้นที่ตัวเองเพื่อให้เข้ามาร่วมงาน เพราะผมอยากช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่ทําได้ แม้จะไม่ใช่หน้าที่หลักของกระทรวงยุติธรรม แต่เราก็พยายามบูรณาการที่จะบริการและช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุด และผมหวังว่างานมหกรรมไกล่เกลี่ยครั้งนี้ จะมีประชาชนเดินทางมาจํานวนมากเพื่อให้เราช่วยเหลือ ผมขอยืนยันว่ากระทรวงยุติธรรมในยุคของผมภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะยืนเคียงข้างช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุด"นายสมศักดิ์ กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 23 มีนาคม นายสมศักดิ์และคณะ จะลงพื้นที่ จังหวัดสงขลา และวันที่ 1 เมษายน ที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยในงานจะเป็นเรื่องของการให้ความรู้เรื่องพืชกระท่อม การไกล่เกลี่ยหนี้สินและรับเรื่องร้องทุกข์ ทั้งนี้ กําหนดการของนายสมศักดิ์ จากนี้จะลงพื้นที่ต่อเนื่องในทุกภาคเพื่อช่วยเหลือประชาชน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประเดิมโคราช จัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค พร้อมควงหน่วยงานในสังกัด กระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่บริการประชาชนเต็มรูปแบบ วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประเดิมโคราช จัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค พร้อมควงหน่วยงานในสังกัด กระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่บริการประชาชนเต็มรูปแบบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ประเดิมโคราช จัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ 4 ภาค พร้อมควงหน่วยงานในสังกัด กระทรวงยุติธรรม ลงพื้นที่บริการประชาชนเต็มรูปแบบ คาดสางหนี้ได้ไม่ต่ํากว่า 800 ล้านบาท นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า กระทรวงยุติธรรมมีแผนการจัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครัวเรือน (4 ภูมิภาค) และยุติธรรมพบประชาชน ประจําปี 2565 ภายใต้การบูรณาการความร่วมมือระหว่างกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพและกรมบังคับคดี โดยจะเริ่มที่ตลาดเทิดไท ตาลคู่ จังหวัดนครราชสีมา ในวันที่ 18 มีนาคม ซึ่งที่เราจัดที่ จังหวัดนครราชสีมานั้น จะมีประชาชนจากบุรีรัมย์และชัยภูมิ มาร่วมงานด้วย โดยจะเชิญลูกหนี้ 12,587 ราย แบ่งเป็นลูกหนี้ก่อนฟ้อง 9,114 ราย มูลค่าทรัพย์ 677 ล้านบาท และลูกหนี้หลังฟ้อง 3,473 ราย มูลค่าทรัพย์ 95 ล้านบาท โดยมีจะทั้งสถาบันที่ร่วมงาน อาทิ กยศ. ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกรุงเทพ บริษัทบริหารสินทรัพย์ เจ และบริษัท JMT แคปปิตอล เป็นต้น นอกจากนี้ ภายในงานจะมีบูธกิจกรรมของหน่วยงานต่างๆ ในกระทรวง อาทิ กรมราชทัณฑ์ ป.ป.ส. ดีเอสไอ กองทุนยุติธรรม เพื่อให้ความรู้คําปรึกษา รับเรื่องร้องเรียน และจะมีการมอบเงินเยียวยาผู้เสียหาย จําเลยในคดีอาญา และมอบป้ายศูนย์ไกล่เกลี่ยในพื้นที่อีกด้วย นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากประสบการณ์จัดงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้ ในงานมหกรรมไกล่เกลี่ยหนี้สินครั้งที่ 1 กรุงเทพฯและปริมณฑล ที่ศูนย์ประชุมไบเทคบางนา เมื่อวันที่ 25-26 ก.พ. เราช่วยเหลือลูกหนี้ได้ 5,000 กว่าราย มูลค่า 921 ล้านบาท ผมจึงอยากให้ลูกหนี้เข้าร่วมงานดังกล่าวนี้ โดยตั้งเป้าทั้งหมดไว้ว่า ประชาชนที่เป็นหนี้จะเข้าร่วมงานมหกรรมไกล่เกลี่ย ไม่น้อยกว่า 100,000 ราย จํานวนทุนทรัพย์ที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท ไม่น้อยกว่า 1,500 ล้านบาท "ในงานนี้กระทรวงยุติธรรม ยกทุกหน่วยงานลงมาเพื่ออํานวยความสะดวกให้ประชาชน ทั้งยังได้ทําหนังสือถึงผู้ว่าราชการ ประชาสัมพันธ์จังหวัด นายอําเภอ กํานัน ผู้ใหญ่บ้านและผู้นําท้องถิ่น เพื่อแจ้งประชาชนในพื้นที่ตัวเองเพื่อให้เข้ามาร่วมงาน เพราะผมอยากช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่ทําได้ แม้จะไม่ใช่หน้าที่หลักของกระทรวงยุติธรรม แต่เราก็พยายามบูรณาการที่จะบริการและช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุด และผมหวังว่างานมหกรรมไกล่เกลี่ยครั้งนี้ จะมีประชาชนเดินทางมาจํานวนมากเพื่อให้เราช่วยเหลือ ผมขอยืนยันว่ากระทรวงยุติธรรมในยุคของผมภายใต้การนําของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะยืนเคียงข้างช่วยเหลือประชาชนให้มากที่สุด"นายสมศักดิ์ กล่าว ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 23 มีนาคม นายสมศักดิ์และคณะ จะลงพื้นที่ จังหวัดสงขลา และวันที่ 1 เมษายน ที่ จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยในงานจะเป็นเรื่องของการให้ความรู้เรื่องพืชกระท่อม การไกล่เกลี่ยหนี้สินและรับเรื่องร้องทุกข์ ทั้งนี้ กําหนดการของนายสมศักดิ์ จากนี้จะลงพื้นที่ต่อเนื่องในทุกภาคเพื่อช่วยเหลือประชาชน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” สำรวจอาคาร Sat1 สุวรรณภูมิ เตรียมทำ รพ.สนามยกระดับ 5 พันเตียง
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2564 “อนุทิน” สํารวจอาคาร Sat1 สุวรรณภูมิ เตรียมทํา รพ.สนามยกระดับ 5 พันเตียง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่สํารวจอาคาร Satellite 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีจัดทําโรงพยาบาลสนามยกระดับ 5 พันเตียง ดูแลผู้ป่วยโควิดอาการหนักได้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่สํารวจอาคารSatellite 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีจัดทําโรงพยาบาลสนามยกระดับ 5 พันเตียง ดูแลผู้ป่วยโควิดอาการหนักได้ วันนี้ (6 กรกฎาคม 2564) ที่อาคารSatellite 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย และนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ลงพื้นที่สํารวจสถานที่จัดทําโรงพยาบาลสยามยกระดับรองรับผู้ป่วยโควิด 19 นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการเมื่อสัปดาห์ก่อนให้เตรียมจัดหาสถานที่จัดตั้งโรงพยาบาลสนามยกระดับ เพื่อดูแลผู้ป่วยโควิด 19 อาการสีเหลืองขึ้นไปให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าระบบการดูแลผู้ป่วยจะไม่ขาดแคลนเตียง ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจึงประสานให้กระทรวงสาธารณสุขเข้ามาสํารวจอาคารSatellite 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เนื่องจากการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยยินดีให้ใช้สถานที่จัดทําโรงพยาบาลสนามรองรับ เนื่องจากเป็นอาคารที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จ ยังไม่เปิดบริการอยู่ระหว่างการทดสอบระบบ และเป็นอาคารที่แยกออกมา ไม่ได้ใกล้ชิดกับอาคารอื่นๆ นายอนุทินกล่าวต่อว่า อาคารแห่งนี้มีพื้นที่ 1 แสนตารางเมตร ความยาว 1 กิโลเมตร สามารถรองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 5 พันเตียง มีจํานวน 4 ชั้น สามารถแยกชั้นสําหรับเตียงสีเขียว สีเหลือง และทําไอซียูยูนิตสีแดงเหมือนมณฑลทหารบกที่ 11 ได้ โดยจะมอบกรมสนับสนุนบริการสุขภาพไปออกแบบทําโรงพยาบาลสนาม โดยเน้นเป็นการน็อกดาวน์และบิวท์อิน ถอดออกได้เมื่อเสร็จภารกิจ ไม่ให้กระทบหรือสร้างความเสียหายแก่สถานที่ “วันนี้มาสํารวจสถานที่ถือว่าน่าพอใจ ต้องขอบคุณการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยที่จะสนับสนุนให้ใช้สถานที่ ถ้าจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามได้ ผู้ป่วยจะได้รักษาตัวอย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น เราพยายามทําให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีมากที่สุด โดยจะนําเรื่องนี้เรียนนายกรัฐมนตรี ถ้าได้รับการสนับสนุนก็ดําเนินการได้ ถือเป็นสถานที่เสริมเพิ่มจากโรงพยาบาลบุษราคัมที่ให้บริการทางการแพทย์ระดับสูง ดูแลผู้ป่วยหนักได้” นายอนุทินกล่าว *********************************** 6 กรกฎาคม 2564 *************************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“อนุทิน” สำรวจอาคาร Sat1 สุวรรณภูมิ เตรียมทำ รพ.สนามยกระดับ 5 พันเตียง วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม 2564 “อนุทิน” สํารวจอาคาร Sat1 สุวรรณภูมิ เตรียมทํา รพ.สนามยกระดับ 5 พันเตียง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่สํารวจอาคาร Satellite 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีจัดทําโรงพยาบาลสนามยกระดับ 5 พันเตียง ดูแลผู้ป่วยโควิดอาการหนักได้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่สํารวจอาคารSatellite 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีจัดทําโรงพยาบาลสนามยกระดับ 5 พันเตียง ดูแลผู้ป่วยโควิดอาการหนักได้ วันนี้ (6 กรกฎาคม 2564) ที่อาคารSatellite 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุขนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย และนายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ลงพื้นที่สํารวจสถานที่จัดทําโรงพยาบาลสยามยกระดับรองรับผู้ป่วยโควิด 19 นายอนุทินให้สัมภาษณ์ว่า นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการเมื่อสัปดาห์ก่อนให้เตรียมจัดหาสถานที่จัดตั้งโรงพยาบาลสนามยกระดับ เพื่อดูแลผู้ป่วยโควิด 19 อาการสีเหลืองขึ้นไปให้มากที่สุด เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าระบบการดูแลผู้ป่วยจะไม่ขาดแคลนเตียง ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมจึงประสานให้กระทรวงสาธารณสุขเข้ามาสํารวจอาคารSatellite 1 ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เนื่องจากการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยยินดีให้ใช้สถานที่จัดทําโรงพยาบาลสนามรองรับ เนื่องจากเป็นอาคารที่เพิ่งก่อสร้างเสร็จ ยังไม่เปิดบริการอยู่ระหว่างการทดสอบระบบ และเป็นอาคารที่แยกออกมา ไม่ได้ใกล้ชิดกับอาคารอื่นๆ นายอนุทินกล่าวต่อว่า อาคารแห่งนี้มีพื้นที่ 1 แสนตารางเมตร ความยาว 1 กิโลเมตร สามารถรองรับผู้ป่วยได้ประมาณ 5 พันเตียง มีจํานวน 4 ชั้น สามารถแยกชั้นสําหรับเตียงสีเขียว สีเหลือง และทําไอซียูยูนิตสีแดงเหมือนมณฑลทหารบกที่ 11 ได้ โดยจะมอบกรมสนับสนุนบริการสุขภาพไปออกแบบทําโรงพยาบาลสนาม โดยเน้นเป็นการน็อกดาวน์และบิวท์อิน ถอดออกได้เมื่อเสร็จภารกิจ ไม่ให้กระทบหรือสร้างความเสียหายแก่สถานที่ “วันนี้มาสํารวจสถานที่ถือว่าน่าพอใจ ต้องขอบคุณการท่าอากาศยานแห่งประเทศไทยที่จะสนับสนุนให้ใช้สถานที่ ถ้าจัดตั้งเป็นโรงพยาบาลสนามได้ ผู้ป่วยจะได้รักษาตัวอย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น เราพยายามทําให้คุณภาพชีวิตผู้ป่วยดีมากที่สุด โดยจะนําเรื่องนี้เรียนนายกรัฐมนตรี ถ้าได้รับการสนับสนุนก็ดําเนินการได้ ถือเป็นสถานที่เสริมเพิ่มจากโรงพยาบาลบุษราคัมที่ให้บริการทางการแพทย์ระดับสูง ดูแลผู้ป่วยหนักได้” นายอนุทินกล่าว *********************************** 6 กรกฎาคม 2564 *************************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43518
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. จับมือพันธมิตรร้านค้าภายในสถานีขนส่งหมอชิต 2 มอบส่วนลดราคาค่าเครื่องดื่ม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 บขส. จับมือพันธมิตรร้านค้าภายในสถานีขนส่งหมอชิต 2 มอบส่วนลดราคาค่าเครื่องดื่ม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 และมอบคะแนนสะสมพิเศษ 100 คะแนน ให้ลูกค้าที่สมัครเป็นสมาชิก บขส. Card ตั้งแต่บัดนี้ - 31 มกราคม 2565 นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า บขส. ได้ร่วมกับพันธมิตรร้านค้าภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) มอบสิทธิพิเศษส่วนลดค่าเครื่องดื่ม 5 บาท เมื่อแสดงตั๋วโดยสารของ บขส. และสแกน QR Code รับสิทธิ์ ได้ที่ร้านกาแฟมวลชน และร้านโนบิชา สาขาสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) โดยตั๋วโดยสาร 1 ใบ สามารถใช้เป็นส่วนลดเครื่องดื่มได้ 1 รายการเท่านั้น และไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชันอื่น ๆ ได้ ตั้งแต่บัดนี้ - 31 ธันวาคม 2565 สําหรับประชาชนที่สนใจสมัครเป็นสมาชิก บขส. Card ตั้งแต่บัดนี้ - 31 มกราคม 2565 จะได้รับคะแนนสะสมพิเศษ 100 คะแนน เพื่อใช้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ตามที่บริษัทกําหนด ส่วนสมาชิก บขส. Card เดิม ที่ได้สมัครสมาชิก ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2559 - 31 พฤษภาคม 2564 ต้องแจ้งยืนยันตัวตนผ่านระบบออนไลน์ที่ https://tcl99web.transport.co.th หรือ Application บขส. E-ticket เพื่อรับคะแนนสะสมพิเศษ 100 คะแนน รวมทั้งต้องแจ้งแก้ไขข้อมูลลงทะเบียนเพื่อรับรหัสผู้ใช้งานได้ที่งานการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 0 2537 8737 ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ ในวันและเวลาทําการ สําหรับขั้นตอนการสมัครสมาชิก บขส. Card มีรายละเอียดดังนี้ 1. กดเข้า Website : https://tcl99web.transport.co.th หรือ Application บขส. E-ticket 2. กรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กําหนดให้ครบถ้วน 3. เมื่อกรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว กดยอมรับเพื่อลงทะเบียนและบันทึกข้อมูลสมัครสมาชิกในระบบ 4. กดยืนยันตัวตนทาง e-mail ที่ลงทะเบียนไว้ 5. กดยืนยันการทํารายการตามลิงก์ใน e-mail แจ้งการลงทะเบียนสมาชิก เพื่อรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ของทาง บขส. 6. เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ที่ได้กําหนดไว้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-บขส. จับมือพันธมิตรร้านค้าภายในสถานีขนส่งหมอชิต 2 มอบส่วนลดราคาค่าเครื่องดื่ม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 วันศุกร์ที่ 14 มกราคม 2565 บขส. จับมือพันธมิตรร้านค้าภายในสถานีขนส่งหมอชิต 2 มอบส่วนลดราคาค่าเครื่องดื่ม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 และมอบคะแนนสะสมพิเศษ 100 คะแนน ให้ลูกค้าที่สมัครเป็นสมาชิก บขส. Card ตั้งแต่บัดนี้ - 31 มกราคม 2565 นายสัญลักข์ ปัญวัฒนลิขิต กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ขนส่ง จํากัด (บขส.) กระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า บขส. ได้ร่วมกับพันธมิตรร้านค้าภายในสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) มอบสิทธิพิเศษส่วนลดค่าเครื่องดื่ม 5 บาท เมื่อแสดงตั๋วโดยสารของ บขส. และสแกน QR Code รับสิทธิ์ ได้ที่ร้านกาแฟมวลชน และร้านโนบิชา สาขาสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (จตุจักร) โดยตั๋วโดยสาร 1 ใบ สามารถใช้เป็นส่วนลดเครื่องดื่มได้ 1 รายการเท่านั้น และไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชันอื่น ๆ ได้ ตั้งแต่บัดนี้ - 31 ธันวาคม 2565 สําหรับประชาชนที่สนใจสมัครเป็นสมาชิก บขส. Card ตั้งแต่บัดนี้ - 31 มกราคม 2565 จะได้รับคะแนนสะสมพิเศษ 100 คะแนน เพื่อใช้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ตามที่บริษัทกําหนด ส่วนสมาชิก บขส. Card เดิม ที่ได้สมัครสมาชิก ระหว่างวันที่ 1 มิถุนายน 2559 - 31 พฤษภาคม 2564 ต้องแจ้งยืนยันตัวตนผ่านระบบออนไลน์ที่ https://tcl99web.transport.co.th หรือ Application บขส. E-ticket เพื่อรับคะแนนสะสมพิเศษ 100 คะแนน รวมทั้งต้องแจ้งแก้ไขข้อมูลลงทะเบียนเพื่อรับรหัสผู้ใช้งานได้ที่งานการตลาดและลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 0 2537 8737 ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ ในวันและเวลาทําการ สําหรับขั้นตอนการสมัครสมาชิก บขส. Card มีรายละเอียดดังนี้ 1. กดเข้า Website : https://tcl99web.transport.co.th หรือ Application บขส. E-ticket 2. กรอกข้อมูลตามแบบฟอร์มที่กําหนดให้ครบถ้วน 3. เมื่อกรอกข้อมูลเรียบร้อยแล้ว กดยอมรับเพื่อลงทะเบียนและบันทึกข้อมูลสมัครสมาชิกในระบบ 4. กดยืนยันตัวตนทาง e-mail ที่ลงทะเบียนไว้ 5. กดยืนยันการทํารายการตามลิงก์ใน e-mail แจ้งการลงทะเบียนสมาชิก เพื่อรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ของทาง บขส. 6. เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน ที่ได้กําหนดไว้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50536
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการคัดเลือก "รางวัลอุตสาหกรรม" ประจำปี 2565
วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการคัดเลือก "รางวัลอุตสาหกรรม" ประจําปี 2565 สมัครเข้ารับการคัดเลือก "รางวัลอุตสาหกรรม" ประจําปี 2565 สแกน QR Code ดูรายละเอียดการรับสมัครได้ที่ https://industryaward.industry.go.th/th กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการคัดเลือก "รางวัลอุตสาหกรรม" ประจําปี 2565 รางวัลแห่งเกียรติยศของอุตสาหกรรมไทย (The Prime Minister's Industry Award 2022) รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม 1 รางวัล รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 9 ประเภทรางวัล 1. การเพิ่มผลผลิต 2. การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3. การบริหารความปลอดภัย 4. การบริหารงานคุณภาพ 5. การจัดการพลังงาน 6. การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน 7. อุตสาหกรรมศักยภาพ 8. ความรับผิดชอบต่อสังคม 9. เศรษฐกิจหมุนเวียน รางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น 5 ประเภทรางวัล 1. การบริหารจัดการ 2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ 3. การจัดการเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม 4. บริหารธุรกิจสู่สากล 5. การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน สมัครได้มากกว่า 2 ประเภทรางวัล ตั้งแต่บัดนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2565 คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก: ธันวาคม 2564 - มิถุนายน 2565 ประกาศผล: กรกฎาคม 2565 มอบรางวัล: กันยายน 2565 สแกน QR Code ดูรายละเอียดการรับสมัครได้ที่ https://industryaward.industry.go.th/th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 0 2430 6833 ต่อ 2310 สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ และ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1-11
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการคัดเลือก "รางวัลอุตสาหกรรม" ประจำปี 2565 วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการคัดเลือก "รางวัลอุตสาหกรรม" ประจําปี 2565 สมัครเข้ารับการคัดเลือก "รางวัลอุตสาหกรรม" ประจําปี 2565 สแกน QR Code ดูรายละเอียดการรับสมัครได้ที่ https://industryaward.industry.go.th/th กระทรวงอุตสาหกรรม ขอเชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสมัครเข้ารับการคัดเลือก "รางวัลอุตสาหกรรม" ประจําปี 2565 รางวัลแห่งเกียรติยศของอุตสาหกรรมไทย (The Prime Minister's Industry Award 2022) รางวัลอุตสาหกรรมยอดเยี่ยม 1 รางวัล รางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 9 ประเภทรางวัล 1. การเพิ่มผลผลิต 2. การรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม 3. การบริหารความปลอดภัย 4. การบริหารงานคุณภาพ 5. การจัดการพลังงาน 6. การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน 7. อุตสาหกรรมศักยภาพ 8. ความรับผิดชอบต่อสังคม 9. เศรษฐกิจหมุนเวียน รางวัลอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมดีเด่น 5 ประเภทรางวัล 1. การบริหารจัดการ 2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงสร้างสรรค์ 3. การจัดการเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรม 4. บริหารธุรกิจสู่สากล 5. การจัดการโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน สมัครได้มากกว่า 2 ประเภทรางวัล ตั้งแต่บัดนี้ - 28 กุมภาพันธ์ 2565 คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือก: ธันวาคม 2564 - มิถุนายน 2565 ประกาศผล: กรกฎาคม 2565 มอบรางวัล: กันยายน 2565 สแกน QR Code ดูรายละเอียดการรับสมัครได้ที่ https://industryaward.industry.go.th/th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม 0 2430 6833 ต่อ 2310 สํานักงานอุตสาหกรรมจังหวัดทั่วประเทศ และ ศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 1-11
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49655
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. โชว์ความงดงาม “จินตลีลาพัสตราภรณ์ มโนราห์บัลเลต์” แรงบันดาลใจจาก “ผ้าไทย” อันเนื่องมาจากพระราชปณิธานและบทเพลงทรงโปรด 17 บทเพลง
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2565 วธ. โชว์ความงดงาม “จินตลีลาพัสตราภรณ์ มโนราห์บัลเลต์” แรงบันดาลใจจาก “ผ้าไทย” อันเนื่องมาจากพระราชปณิธานและบทเพลงทรงโปรด 17 บทเพลง วธ. โชว์ความงดงาม “จินตลีลาพัสตราภรณ์ มโนราห์บัลเลต์” แรงบันดาลใจจาก “ผ้าไทย” อันเนื่องมาจากพระราชปณิธานและบทเพลงทรงโปรด 17 บทเพลง วธ. โชว์ความงดงาม “จินตลีลาพัสตราภรณ์ มโนราห์บัลเลต์” แรงบันดาลใจจาก “ผ้าไทย” อันเนื่องมาจากพระราชปณิธานและบทเพลงทรงโปรด 17 บทเพลง เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในงาน “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” ฯ วันที่ 11 – 12 ส.ค. 65 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีพระวิริยอุตสาหะ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการส่งเสริมเรื่อง “ผ้าไทย” เป็นที่ประจักษ์มายาวนาน ประกอบกับคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันผ้าไทยแห่งชาติ รัฐบาล โดยวธ. ได้ร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายทางวัฒนธรรมทั่วประเทศ จัดงาน “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 วันที่ 11-14 สิงหาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน จัดแสดงและจําหน่ายผ้าไทยครั้งใหญ่แห่งปี เพื่อให้ประชาชนเกิดจิตสํานึกในการอนุรักษ์ สืบสาน และต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทยของบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น นําทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนมาต่อยอดเป็นสินค้าและบริการ เพิ่มการสร้างรายได้ให้กับชุมชนและเครือข่ายผู้ประกอบการทางด้านวัฒนธรรม สามารถแข่งขันได้ในตลาดทั้งในและต่างประเทศเกิดการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในมิติใหม่ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ นายอิทธิพล กล่าวว่า ภายในงานมีกิจกรรมเกี่ยวกับผ้าไทย ทั้งการจัดนิทรรศการ สาธิต เสวนา ออกร้านจําหน่ายผ้าไทยและผลิตภัณฑ์จากผ้า และโดยเฉพาะการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยที่หาชมได้ยาก ได้แก่ การแสดง “จินตลีลาพัสตราภรณ์ : มโนราห์บัลเลต์” ประกอบด้วย 1.การแสดง ชุด “เฉลิมราชพัสตรา” เป็นการแสดงนาฏศิลป์ไทยร่วมสมัย โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก “ผ้าไทย” อันเนื่องมาจากพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์และส่งเสริมผ้าไทยเพื่อให้ประชาชนมีรายได้ และรักษาภูมิปัญญาอันล้ําค่าไม่ให้สูญหาย 2.การแสดง “บัลเล่ต์ มโนราห์” การผสมผสานของศิลปวัฒนธรรมทางตะวันตกและตะวันออกอย่างสวยงาม ซึ่งถือกําเนิดในแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ประกอบเพลงพระราชนิพนธ์ 3.การแสดงดนตรีและขับร้อง ชุด “บทเพลงในความทรงจํา” ที่รวบรวมบทเพลงทรงโปรดของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผ่านการบรรเลงดนตรีโดยวงดนตรีเฉลิมราชย์ โดยมีอาจารย์วิรัช อยู่ถาวร ศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ควบคุมวง และขับร้องโดยศิลปิน นักร้องมากมาย จํานวน 17 บทเพลง ได้แก่ 1) ความฝันอันสูงสุด (เพลงเปิด) สันติ ลุนเผ่ (ศิลปินแห่งชาติ) 2) สายโลหิต สุทธิพงษ์ วัฒนจัง 3) ตํารวจตระเวนชายแดน อิสริยา คูประเสริฐ 4) พระจันทร์แทนใจ วิภู กําเหนิดดี 5) La vie en rose กันยารัตน์ กุยสุวรรณ 6) If you love me สมา สวยสด 7) ป่ากามเทพ อภิภู โสรพิมาย 8) ลาก่อนคนดี อิสริยา คูประเสริฐ 9) รักเธอนิรันดร์ วิภู กําเหนิดดี 10) ความในใจ สุทธิพงษ์ วัฒนจัง 11) Don't cry for Me Argentina กันยารัตน์ กุยสุวรรณ 12) You're my world สมา สวยสด 13) ยอยศพระลอ (การแสดงประกอบ) อภิภู โสรพิมาย 14) แผ่นดินของเรา สันติ ลุนเผ่ (ศิลปินแห่งชาติ) 15) เกียรติศักดิ์ทหารเสือ สันติ ลุนเผ่, สมา สวยสด, วิภู กําเหนิดดี 16) รักเธอประเทศไทย นักร้องประสานเสียงดุริยางค์ 4 เหล่าทัพ (ดุริยางค์ทหารบก ดุริยางค์ทหารอากาศ ดุริยางค์ทหารเรือ และดุริยางค์ตํารวจ) และ17) สมเด็จฯ ศิลปินขับร้องหมู่ และดุริยางค์ 4 เหล่าทัพ ทั้งนี้ มีการแสดง 2 รอบ คือ วันที่ 11 สิงหาคม 2565 เวลา 14.30 – 16.00 น. และวันที่ 12 สิงหาคม 2565 เวลา 17.00 – 18.30 น. ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สําหรับการแสดง “จินตลีลาพัสตราภรณ์ : มโนราห์บัลเลต์” เป็นการถ่ายทอดและเผยแพร่ให้กับประชาชนทั่วไป ได้รับชมและซึมซับมรดกอันล้ําค่าของชาติ ผ่านศิลปะการแสดงแนวร่วมสมัย เป็นการส่งเสริม สนับสนุนการแสดงศิลปวัฒนธรรม และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักปลูกจิตสํานึกให้ตระหนักถึงคุณค่าและความสําคัญของภูมิปัญญาและร่วม รักสืบสาน รักษา ต่อยอดศิลปวัฒนธรรมให้คงอยู่คู่ชาติไทยสืบไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม 1765
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-วธ. โชว์ความงดงาม “จินตลีลาพัสตราภรณ์ มโนราห์บัลเลต์” แรงบันดาลใจจาก “ผ้าไทย” อันเนื่องมาจากพระราชปณิธานและบทเพลงทรงโปรด 17 บทเพลง วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม 2565 วธ. โชว์ความงดงาม “จินตลีลาพัสตราภรณ์ มโนราห์บัลเลต์” แรงบันดาลใจจาก “ผ้าไทย” อันเนื่องมาจากพระราชปณิธานและบทเพลงทรงโปรด 17 บทเพลง วธ. โชว์ความงดงาม “จินตลีลาพัสตราภรณ์ มโนราห์บัลเลต์” แรงบันดาลใจจาก “ผ้าไทย” อันเนื่องมาจากพระราชปณิธานและบทเพลงทรงโปรด 17 บทเพลง วธ. โชว์ความงดงาม “จินตลีลาพัสตราภรณ์ มโนราห์บัลเลต์” แรงบันดาลใจจาก “ผ้าไทย” อันเนื่องมาจากพระราชปณิธานและบทเพลงทรงโปรด 17 บทเพลง เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในงาน “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” ฯ วันที่ 11 – 12 ส.ค. 65 ณ ศูนย์การค้าสยามพารากอน นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เปิดเผยว่า เพื่อน้อมสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงมีพระวิริยอุตสาหะ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการส่งเสริมเรื่อง “ผ้าไทย” เป็นที่ประจักษ์มายาวนาน ประกอบกับคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้วันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันผ้าไทยแห่งชาติ รัฐบาล โดยวธ. ได้ร่วมมือกับภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายทางวัฒนธรรมทั่วประเทศ จัดงาน “ภูษาศิลป์ จากท้องถิ่นสู่สากล” เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 90 พรรษา 12 สิงหาคม 2565 วันที่ 11-14 สิงหาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน จัดแสดงและจําหน่ายผ้าไทยครั้งใหญ่แห่งปี เพื่อให้ประชาชนเกิดจิตสํานึกในการอนุรักษ์ สืบสาน และต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทยของบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น นําทุนทางวัฒนธรรมของชุมชนมาต่อยอดเป็นสินค้าและบริการ เพิ่มการสร้างรายได้ให้กับชุมชนและเครือข่ายผู้ประกอบการทางด้านวัฒนธรรม สามารถแข่งขันได้ในตลาดทั้งในและต่างประเทศเกิดการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในมิติใหม่ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายทั้งในและต่างประเทศ นายอิทธิพล กล่าวว่า ภายในงานมีกิจกรรมเกี่ยวกับผ้าไทย ทั้งการจัดนิทรรศการ สาธิต เสวนา ออกร้านจําหน่ายผ้าไทยและผลิตภัณฑ์จากผ้า และโดยเฉพาะการแสดงศิลปวัฒนธรรมไทยที่หาชมได้ยาก ได้แก่ การแสดง “จินตลีลาพัสตราภรณ์ : มโนราห์บัลเลต์” ประกอบด้วย 1.การแสดง ชุด “เฉลิมราชพัสตรา” เป็นการแสดงนาฏศิลป์ไทยร่วมสมัย โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก “ผ้าไทย” อันเนื่องมาจากพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการอนุรักษ์และส่งเสริมผ้าไทยเพื่อให้ประชาชนมีรายได้ และรักษาภูมิปัญญาอันล้ําค่าไม่ให้สูญหาย 2.การแสดง “บัลเล่ต์ มโนราห์” การผสมผสานของศิลปวัฒนธรรมทางตะวันตกและตะวันออกอย่างสวยงาม ซึ่งถือกําเนิดในแผ่นดินรัชกาลที่ 9 ประกอบเพลงพระราชนิพนธ์ 3.การแสดงดนตรีและขับร้อง ชุด “บทเพลงในความทรงจํา” ที่รวบรวมบทเพลงทรงโปรดของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผ่านการบรรเลงดนตรีโดยวงดนตรีเฉลิมราชย์ โดยมีอาจารย์วิรัช อยู่ถาวร ศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้ควบคุมวง และขับร้องโดยศิลปิน นักร้องมากมาย จํานวน 17 บทเพลง ได้แก่ 1) ความฝันอันสูงสุด (เพลงเปิด) สันติ ลุนเผ่ (ศิลปินแห่งชาติ) 2) สายโลหิต สุทธิพงษ์ วัฒนจัง 3) ตํารวจตระเวนชายแดน อิสริยา คูประเสริฐ 4) พระจันทร์แทนใจ วิภู กําเหนิดดี 5) La vie en rose กันยารัตน์ กุยสุวรรณ 6) If you love me สมา สวยสด 7) ป่ากามเทพ อภิภู โสรพิมาย 8) ลาก่อนคนดี อิสริยา คูประเสริฐ 9) รักเธอนิรันดร์ วิภู กําเหนิดดี 10) ความในใจ สุทธิพงษ์ วัฒนจัง 11) Don't cry for Me Argentina กันยารัตน์ กุยสุวรรณ 12) You're my world สมา สวยสด 13) ยอยศพระลอ (การแสดงประกอบ) อภิภู โสรพิมาย 14) แผ่นดินของเรา สันติ ลุนเผ่ (ศิลปินแห่งชาติ) 15) เกียรติศักดิ์ทหารเสือ สันติ ลุนเผ่, สมา สวยสด, วิภู กําเหนิดดี 16) รักเธอประเทศไทย นักร้องประสานเสียงดุริยางค์ 4 เหล่าทัพ (ดุริยางค์ทหารบก ดุริยางค์ทหารอากาศ ดุริยางค์ทหารเรือ และดุริยางค์ตํารวจ) และ17) สมเด็จฯ ศิลปินขับร้องหมู่ และดุริยางค์ 4 เหล่าทัพ ทั้งนี้ มีการแสดง 2 รอบ คือ วันที่ 11 สิงหาคม 2565 เวลา 14.30 – 16.00 น. และวันที่ 12 สิงหาคม 2565 เวลา 17.00 – 18.30 น. ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สําหรับการแสดง “จินตลีลาพัสตราภรณ์ : มโนราห์บัลเลต์” เป็นการถ่ายทอดและเผยแพร่ให้กับประชาชนทั่วไป ได้รับชมและซึมซับมรดกอันล้ําค่าของชาติ ผ่านศิลปะการแสดงแนวร่วมสมัย เป็นการส่งเสริม สนับสนุนการแสดงศิลปวัฒนธรรม และเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักปลูกจิตสํานึกให้ตระหนักถึงคุณค่าและความสําคัญของภูมิปัญญาและร่วม รักสืบสาน รักษา ต่อยอดศิลปวัฒนธรรมให้คงอยู่คู่ชาติไทยสืบไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนวัฒนธรรม 1765
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57426
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบที่ปรึกษา ลุยพระราม 2 ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ม.33
วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2564 รมว.สุชาติ มอบที่ปรึกษา ลุยพระราม 2 ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ม.33 รมว.สุชาติ มอบที่ปรึกษา ลุยพระราม 2 ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ม.33 เมื่อวันที่23กรกฎาคม2564นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์อังกินันทน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19สําหรับผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานครณศูนย์ฉีดวัคซีนบริษัท27วิศวกรรมจํากัดถนนพระราม2แขวงแสมดําเขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ในความดูแลของสํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่7มีศักยภาพการฉีดวันละ700คนมีทีมแพทย์พยาบาลเภสัชกรจากโรงพยาบาลบางปะกอก8เป็นผู้ดําเนินการโดยนางธิวัลรัตน์กล่าวว่าตามที่รัฐบาลภายใต้การนําของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และท่านพล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงานได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19และกําหนดให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาตินั้นและท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบหมายสํานักงานประกันสังคมบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยโดยกรุงเทพมหานครกระทรวงสาธารณสุขโดยสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)กระทรวงการคลังโดยธนาคารกรุงไทยและสถานพยาบาลเครือข่ายประกันสังคมทั้งภาครัฐและเอกชนให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19ให้กับผู้ประกันตนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้กระจายออกสู่วงกว้างทั้งในโรงงานและสถานประกอบการในเบื้องต้นได้กําหนดจัดการฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนมาตรา33ในพื้นที่กรุงเทพมหานครสําหรับศูนย์ฉีดวัคซีนแห่งนี้เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่15ก.ค.-13ส.ค.64เป้าหมายฉีดวันละ700คนฉีดให้ผู้ประกันตนที่ลงทะเบียนผ่านระบบe – serviceทั้งนี้ยอดรวมตั้งแต่วันที่7มิ.ย.- 22ก.ค.ได้ฉีดไปแล้ว51,083คน “ในวันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานท่านสุชาติชมกลิ่นได้มอบหมายให้ดิฉันและคณะลงพื้นที่จุดบริการฉีดโควิด-19สําหรับผู้ประกันตนมาตรา33อาคารบริษัท27วิศวกรรมจํากัดซึ่งที่นี้มีศักยภาพการฉีด700คนต่อวันเพื่อตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนรวมทั้งให้กําลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งการฉีดวัคซีนโควิด-19ให้กับผู้ประกันตนมาตรา33เป็นหนึ่งในมาตรการที่กระทรวงแรงงานให้การป้องกันรักษาโดยเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนตามนโยบายรัฐบาลเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มแรงงานเพื่อให้กิจการเดินหน้าต่อไปได้”นางธิวัลรัตน์กล่าวในท้ายสุด +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 23กรกฎาคม2564
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รมว.สุชาติ มอบที่ปรึกษา ลุยพระราม 2 ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ม.33 วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม 2564 รมว.สุชาติ มอบที่ปรึกษา ลุยพระราม 2 ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ม.33 รมว.สุชาติ มอบที่ปรึกษา ลุยพระราม 2 ตรวจเยี่ยมการฉีดวัคซีนผู้ประกันตน ม.33 เมื่อวันที่23กรกฎาคม2564นายสุชาติชมกลิ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานมอบหมายให้นางธิวัลรัตน์อังกินันทน์ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการการกระทรวงแรงงานลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนโควิด-19สําหรับผู้ประกันตนในพื้นที่กรุงเทพมหานครณศูนย์ฉีดวัคซีนบริษัท27วิศวกรรมจํากัดถนนพระราม2แขวงแสมดําเขตบางขุนเทียนกรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ในความดูแลของสํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครเขตพื้นที่7มีศักยภาพการฉีดวันละ700คนมีทีมแพทย์พยาบาลเภสัชกรจากโรงพยาบาลบางปะกอก8เป็นผู้ดําเนินการโดยนางธิวัลรัตน์กล่าวว่าตามที่รัฐบาลภายใต้การนําของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม และท่านพล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณรองนายกรัฐมนตรีซึ่งกํากับดูแลกระทรวงแรงงานได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปจากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19และกําหนดให้การฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาตินั้นและท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบหมายสํานักงานประกันสังคมบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยโดยกรุงเทพมหานครกระทรวงสาธารณสุขโดยสํานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)กระทรวงการคลังโดยธนาคารกรุงไทยและสถานพยาบาลเครือข่ายประกันสังคมทั้งภาครัฐและเอกชนให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19ให้กับผู้ประกันตนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดไม่ให้กระจายออกสู่วงกว้างทั้งในโรงงานและสถานประกอบการในเบื้องต้นได้กําหนดจัดการฉีดวัคซีนให้กับผู้ประกันตนมาตรา33ในพื้นที่กรุงเทพมหานครสําหรับศูนย์ฉีดวัคซีนแห่งนี้เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่15ก.ค.-13ส.ค.64เป้าหมายฉีดวันละ700คนฉีดให้ผู้ประกันตนที่ลงทะเบียนผ่านระบบe – serviceทั้งนี้ยอดรวมตั้งแต่วันที่7มิ.ย.- 22ก.ค.ได้ฉีดไปแล้ว51,083คน “ในวันนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานท่านสุชาติชมกลิ่นได้มอบหมายให้ดิฉันและคณะลงพื้นที่จุดบริการฉีดโควิด-19สําหรับผู้ประกันตนมาตรา33อาคารบริษัท27วิศวกรรมจํากัดซึ่งที่นี้มีศักยภาพการฉีด700คนต่อวันเพื่อตรวจเยี่ยมการให้บริการฉีดวัคซีนรวมทั้งให้กําลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งการฉีดวัคซีนโควิด-19ให้กับผู้ประกันตนมาตรา33เป็นหนึ่งในมาตรการที่กระทรวงแรงงานให้การป้องกันรักษาโดยเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้แก่ผู้ประกันตนตามนโยบายรัฐบาลเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19และสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในกลุ่มแรงงานเพื่อให้กิจการเดินหน้าต่อไปได้”นางธิวัลรัตน์กล่าวในท้ายสุด +++++++++++++++++++ กองเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ 23กรกฎาคม2564
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44049
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมบูธกรุงไทย “ติดปีกไทย สู่ความยั่งยืน” ในงาน “Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม”
วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมบูธกรุงไทย “ติดปีกไทย สู่ความยั่งยืน” ในงาน “Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเยี่ยมชมบูธธนาคารกรุงไทย “ติดปีกไทย สู่ความยั่งยืน ในงานเสวนา “Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเยี่ยมชมบูธธนาคารกรุงไทย “ติดปีกไทย สู่ความยั่งยืน ในงานเสวนา “Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยมี ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ให้การต้อนรับ ภายในงานมีการนําเสนอผลิตภัณฑ์และผลงานของธนาคาร ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและส่งเสริมนโยบายภาครัฐ ผ่านยุทธศาสตร์ X2G2X ต่อยอดธุรกิจจากคู่ค้าของลูกค้า และโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ “5 Ecosystems” ที่มีส่วนสําคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมนําเสนอจุดแข็งการให้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่ครอบคลุมทั่วประเทศผ่านโครงการสําคัญๆ ของภาครัฐ นอกจากนี้ ยังมีการประชาสัมพันธ์โครงการช่วยเหลือลูกค้าประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากการ แพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งการแจกชุดตรวจโควิด-19 (ATK) ผ่านกระเป๋าสุขภาพบนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” บริการคลินิกแก้หนี้ และมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและยั่งยืน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมบูธกรุงไทย “ติดปีกไทย สู่ความยั่งยืน” ในงาน “Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม” วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤษภาคม 2565 นายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมบูธกรุงไทย “ติดปีกไทย สู่ความยั่งยืน” ในงาน “Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเยี่ยมชมบูธธนาคารกรุงไทย “ติดปีกไทย สู่ความยั่งยืน ในงานเสวนา “Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้เกียรติเยี่ยมชมบูธธนาคารกรุงไทย “ติดปีกไทย สู่ความยั่งยืน ในงานเสวนา “Better Thailand Open Dialogue ถามมา-ตอบไป เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่าเดิม” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 พฤษภาคม 2565 ณ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยมี ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย ให้การต้อนรับ ภายในงานมีการนําเสนอผลิตภัณฑ์และผลงานของธนาคาร ที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและส่งเสริมนโยบายภาครัฐ ผ่านยุทธศาสตร์ X2G2X ต่อยอดธุรกิจจากคู่ค้าของลูกค้า และโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์การสร้างระบบนิเวศทางเศรษฐกิจ “5 Ecosystems” ที่มีส่วนสําคัญในการผลักดันเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมนําเสนอจุดแข็งการให้บริการทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ ที่ครอบคลุมทั่วประเทศผ่านโครงการสําคัญๆ ของภาครัฐ นอกจากนี้ ยังมีการประชาสัมพันธ์โครงการช่วยเหลือลูกค้าประชาชน ที่ได้รับผลกระทบจากการ แพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งการแจกชุดตรวจโควิด-19 (ATK) ผ่านกระเป๋าสุขภาพบนแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” บริการคลินิกแก้หนี้ และมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและยั่งยืน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54740
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 2,000 ล้านบาท ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เร่งแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 3,425 ราย
วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565 ครม. อนุมัติ 2,000 ล้านบาท ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เร่งแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 3,425 ราย ครม. อนุมัติ 2,000 ล้านบาท ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เร่งแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 3,425 ราย วันที่ 1 มี.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติงบกลาง วงเงิน 2,000 ล้านบาท รายการเงินสํารองจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อดําเนินการ ดังนี้ -ค่าใช้จ่ายในการบริหารสํานักงานฯ ไตรมาสที่ 3-4 (งบบุคลากร งบดําเนินงาน) วงเงิน 230.38 ล้านบาท -การแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 3,425 ราย วงเงิน 1,500 ล้านบาท -การฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร 42,034 ราย 776 องค์กร วงเงิน 267.62 ล้านบาท กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรจัดตั้งโดย พ.ร.บ. กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. 2542 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ส่งเสริมและสนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาของเกษตรกร 2) ส่งเสริมและสนับสนุนการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม 3) พัฒนาความรู้ด้านเกษตรกรรม และ 4) พัฒนาศักยภาพในการพึ่งพาตนเองของเกษตรกร และแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกร เป็นต้น ซึ่งในระยะเวลา 3 ปี ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 2563-2565 กองทุนฯ ไม่ได้รับจัดสรรงบฯ จึงทําให้ในปี 65 นี้ กองทุนฯ มีงบฯ ไม่เพียงพอในการดําเนินการ จึงจําเป็นต้องขอรับสนับสนุนงบกลางฯ กรอบวงเงิน 2,000 ล้านบาท เพื่อดําเนินการดังกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของพี่น้องเกษตรกร ตามนโยบายและข้อสั่งการของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อย่างเร่งด่วนต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ครม. อนุมัติ 2,000 ล้านบาท ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เร่งแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 3,425 ราย วันอังคารที่ 1 มีนาคม 2565 ครม. อนุมัติ 2,000 ล้านบาท ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เร่งแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 3,425 ราย ครม. อนุมัติ 2,000 ล้านบาท ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เร่งแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 3,425 ราย วันที่ 1 มี.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผย ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติอนุมัติงบกลาง วงเงิน 2,000 ล้านบาท รายการเงินสํารองจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร เพื่อดําเนินการ ดังนี้ -ค่าใช้จ่ายในการบริหารสํานักงานฯ ไตรมาสที่ 3-4 (งบบุคลากร งบดําเนินงาน) วงเงิน 230.38 ล้านบาท -การแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย 3,425 ราย วงเงิน 1,500 ล้านบาท -การฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร 42,034 ราย 776 องค์กร วงเงิน 267.62 ล้านบาท กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรจัดตั้งโดย พ.ร.บ. กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร พ.ศ. 2542 มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ส่งเสริมและสนับสนุนการรวมกลุ่มของเกษตรกรในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและแก้ไขปัญหาของเกษตรกร 2) ส่งเสริมและสนับสนุนการฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพเกษตรกรรม 3) พัฒนาความรู้ด้านเกษตรกรรม และ 4) พัฒนาศักยภาพในการพึ่งพาตนเองของเกษตรกร และแก้ไขปัญหาหนี้เกษตรกร เป็นต้น ซึ่งในระยะเวลา 3 ปี ผ่านมา คือตั้งแต่ปี 2563-2565 กองทุนฯ ไม่ได้รับจัดสรรงบฯ จึงทําให้ในปี 65 นี้ กองทุนฯ มีงบฯ ไม่เพียงพอในการดําเนินการ จึงจําเป็นต้องขอรับสนับสนุนงบกลางฯ กรอบวงเงิน 2,000 ล้านบาท เพื่อดําเนินการดังกล่าว เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของพี่น้องเกษตรกร ตามนโยบายและข้อสั่งการของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อย่างเร่งด่วนต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/52070
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเผย บริษัทมูดี้ส์ คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศ “มีเสถียรภาพ” บีโอไอชี้ ต่างชาติขอรับการส่งเสริมการลงทุนครึ่งปีแรก กว่า 3.8 แสนล้าน เพิ่ม 158% ลุยเพิ่มสิทธิประโยชน์
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม 2564 รัฐบาลเผย บริษัทมูดี้ส์ คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศ “มีเสถียรภาพ” บีโอไอชี้ ต่างชาติขอรับการส่งเสริมการลงทุนครึ่งปีแรก กว่า 3.8 แสนล้าน เพิ่ม 158% ลุยเพิ่มสิทธิประโยชน์ รัฐบาลเผย บริษัทมูดี้ส์ คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศ “มีเสถียรภาพ” บีโอไอชี้ ต่างชาติขอรับการส่งเสริมการลงทุนครึ่งปีแรก กว่า 3.8 แสนล้าน เพิ่ม 158% ลุยเพิ่มสิทธิประโยชน์ดึงนักลงทุนเพิ่ม วันที่ 26 ส.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นับตั้งแต่ปีที่แล้ว เศรษฐกิจประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นเดียวกับประเทศอื่นทั่วโลก อย่างไรก็ตาม จากการประเมินสถานการณ์ทางการเงินการคลังล่าสุด บริษัท Moody’s Investors Service ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) จากปัจจัยสําคัญ คือ ไทยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่และหลากหลาย ภาครัฐมีฐานการเงินที่เข้มแข็ง ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความแข็งแกร่ง หนี้ระยะสั้นอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 8 สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศอยู่ในระดับต่ํามาก คือ น้อยกว่าร้อยละ 2 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลทุนสํารองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง และอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ําและมีเสถียรภาพ ขณะเดียวกัน ตัวเลขมูลค่าการส่งออกและการลงทุนในประเทศ เป็นอีกสองตัวชี้วัดถึงโอกาสฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า การส่งออกในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค.ปี 64 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 16.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเกินดุลการค้าอยู่ 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ สําหรับการลงทุนในประเทศ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานภาวะการลงทุนครึ่งปีแรกของปี 64 ว่า มีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน 801 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 3.86 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 158% ประเทศที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนที่มีมูลค่าลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และจีน และเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้มาลงทุนในประเทศมากขึ้นอีก BOI ได้ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ประกอบด้วย 1) การทําวิจัยและพัฒนา (R&D) ยกเว้นภาษีฯ 300% 2) สนับสนุนกองทุนด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากร สถาบันการศึกษา ศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกเว้นภาษีฯ 100% 3) ฝึกอบรมหรือฝึกการทํางาน เพื่อพัฒนาทักษะเทคโนโลยี และนวัตกรรมให้กับนักศึกษาฝึกงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกเว้นภาษีฯ 200% 4) ค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิเทคโนโลยีที่พัฒนาในประเทศ ยกเว้นภาษีฯ 200% 5) การฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ยกเว้นภาษีฯ 200% 6) พัฒนาผู้ผลิตวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนในประเทศ ยกเว้นภาษีฯ 200% 7) การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ยกเว้นภาษีฯ 200% โดยจะได้รับระยะเวลายกเว้นภาษีสูงสุด 3 ปี นางสาวรัชดา กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ และยังได้รับการประเมินทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ หลังจากผ่านช่วงโควิด-19 นี้ไป มูดี้ส์ ยังคาดว่าการลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะช่วยเพิ่มการลงทุน การจ้างงานของภาคเอกชนและอุปสงค์ภายในประเทศอีกมาก และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างแน่นอน ควบคู่กันไป รัฐบาลได้เดินหน้านโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SME และเร่งแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ที่สําคัญ หวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมกันแสดงความเห็นต่างทางการเมืองอยู่บนวิถีประชาธิปไตยในกรอบกฎหมาย เพื่อไม่ให้กระทบโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจ และบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนของประเทศ
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเผย บริษัทมูดี้ส์ คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศ “มีเสถียรภาพ” บีโอไอชี้ ต่างชาติขอรับการส่งเสริมการลงทุนครึ่งปีแรก กว่า 3.8 แสนล้าน เพิ่ม 158% ลุยเพิ่มสิทธิประโยชน์ วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม 2564 รัฐบาลเผย บริษัทมูดี้ส์ คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศ “มีเสถียรภาพ” บีโอไอชี้ ต่างชาติขอรับการส่งเสริมการลงทุนครึ่งปีแรก กว่า 3.8 แสนล้าน เพิ่ม 158% ลุยเพิ่มสิทธิประโยชน์ รัฐบาลเผย บริษัทมูดี้ส์ คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศ “มีเสถียรภาพ” บีโอไอชี้ ต่างชาติขอรับการส่งเสริมการลงทุนครึ่งปีแรก กว่า 3.8 แสนล้าน เพิ่ม 158% ลุยเพิ่มสิทธิประโยชน์ดึงนักลงทุนเพิ่ม วันที่ 26 ส.ค.64 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 นับตั้งแต่ปีที่แล้ว เศรษฐกิจประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นเดียวกับประเทศอื่นทั่วโลก อย่างไรก็ตาม จากการประเมินสถานการณ์ทางการเงินการคลังล่าสุด บริษัท Moody’s Investors Service ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ Baa1 หรือเทียบเท่า BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) จากปัจจัยสําคัญ คือ ไทยมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดใหญ่และหลากหลาย ภาครัฐมีฐานการเงินที่เข้มแข็ง ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความแข็งแกร่ง หนี้ระยะสั้นอยู่ในระดับต่ําที่ร้อยละ 8 สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลสกุลเงินต่างประเทศอยู่ในระดับต่ํามาก คือ น้อยกว่าร้อยละ 2 ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลทุนสํารองระหว่างประเทศอยู่ในระดับสูง และอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ําและมีเสถียรภาพ ขณะเดียวกัน ตัวเลขมูลค่าการส่งออกและการลงทุนในประเทศ เป็นอีกสองตัวชี้วัดถึงโอกาสฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยกระทรวงพาณิชย์รายงานว่า การส่งออกในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ค.ปี 64 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 16.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเกินดุลการค้าอยู่ 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ สําหรับการลงทุนในประเทศ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) รายงานภาวะการลงทุนครึ่งปีแรกของปี 64 ว่า มีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน 801 โครงการ มูลค่าเงินลงทุน 3.86 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 158% ประเทศที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนที่มีมูลค่าลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และจีน และเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้มาลงทุนในประเทศมากขึ้นอีก BOI ได้ปรับปรุงสิทธิประโยชน์ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขัน ประกอบด้วย 1) การทําวิจัยและพัฒนา (R&D) ยกเว้นภาษีฯ 300% 2) สนับสนุนกองทุนด้านการพัฒนาเทคโนโลยีและบุคลากร สถาบันการศึกษา ศูนย์ฝึกอบรมเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกเว้นภาษีฯ 100% 3) ฝึกอบรมหรือฝึกการทํางาน เพื่อพัฒนาทักษะเทคโนโลยี และนวัตกรรมให้กับนักศึกษาฝึกงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ยกเว้นภาษีฯ 200% 4) ค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิเทคโนโลยีที่พัฒนาในประเทศ ยกเว้นภาษีฯ 200% 5) การฝึกอบรมด้านเทคโนโลยีขั้นสูง ยกเว้นภาษีฯ 200% 6) พัฒนาผู้ผลิตวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนในประเทศ ยกเว้นภาษีฯ 200% 7) การออกแบบผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ ยกเว้นภาษีฯ 200% โดยจะได้รับระยะเวลายกเว้นภาษีสูงสุด 3 ปี นางสาวรัชดา กล่าวว่า ประเทศไทยยังคงเป็นประเทศที่น่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติ และยังได้รับการประเมินทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ หลังจากผ่านช่วงโควิด-19 นี้ไป มูดี้ส์ ยังคาดว่าการลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะช่วยเพิ่มการลงทุน การจ้างงานของภาคเอกชนและอุปสงค์ภายในประเทศอีกมาก และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้อย่างแน่นอน ควบคู่กันไป รัฐบาลได้เดินหน้านโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่ม SME และเร่งแก้ปัญหาขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะ ที่สําคัญ หวังว่าทุกฝ่ายจะร่วมกันแสดงความเห็นต่างทางการเมืองอยู่บนวิถีประชาธิปไตยในกรอบกฎหมาย เพื่อไม่ให้กระทบโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจ และบรรยากาศที่เอื้อต่อการค้าและการลงทุนของประเทศ
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/45175
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“โฆษก ศบศ.” มั่นใจมาตรการลดค่าเทอมนักเรียน-นักศึกษา บรรเทาค่าใช้จ่ายผู้ปกครองได้มาก ย้ำ “บิ๊กตู่”เร่งดูแลเยียวยาทุกกลุ่ม
วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2564 “โฆษก ศบศ.” มั่นใจมาตรการลดค่าเทอมนักเรียน-นักศึกษา บรรเทาค่าใช้จ่ายผู้ปกครองได้มาก ย้ํา “บิ๊กตู่”เร่งดูแลเยียวยาทุกกลุ่ม “โฆษก ศบศ.” มั่นใจมาตรการลดค่าเทอมนักเรียน-นักศึกษา บรรเทาค่าใช้จ่ายผู้ปกครองได้มาก ย้ํา “บิ๊กตู่”เร่งดูแลเยียวยาทุกกลุ่ม นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจําศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ครม. เห็นชอบมาตรการมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครองและนักเรียนนักศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประจําปีการศึกษา 1/2564 ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีแนวทางการช่วยเหลือ 2 มาตรการ ได้แก่ 1) มาตรการให้ความช่วยเหลือฯ ของกระทรวงศึกษาธิการ และ 2) มาตรการให้ความช่วยเหลือฯ ของกระทรวงการอุดมศึกษาฯ โดยประมาณการกรอบวงเงินในการเยียวยาช่วยเหลือทั้งสองมาตรการ จํานวน 33,000 ล้านบาท โฆษก ศบศ. กล่าวอีกว่า มาตรการให้ความช่วยเหลือฯ ของกระทรวงศึกษาธิการ มีแนวทาง ดังนี้ (1) สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้ปกครอง 2,000 บาทต่อนักเรียน 1 คน เพื่อบรรเทาค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองที่เพิ่มขึ้นจากการปรับรูปแบบการเรียนการสอน ซึ่งจากการสํารวจขณะนี้นักเรียนในระบบ จํานวน10,793,975 คน ประมาณการค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 21,587,950,000 บาท (2) จัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยสถานศึกษา เพื่อลดค่าใช้จ่ายของครูในการดูแลนักเรียน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ครูมีภาระในการติดตามและการจัดการการสอนภายใต้สถานการณ์โควิด (3) ลดหรือชะลอการเรียนเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ปกครองในโรงเรียนเอกชน เป็นการดําเนินการโดยอาศัยอํานาจตามความใน มมาตรา 32 และ มาตรา 34 ของ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 โดยลดค่าใช้จ่ายหรือตรึงค่าใช้จ่ายในภาคเรียนที่ 1 ของปีการศึกษา 2564 ให้เท่ากับปีการศึกษา 2563 ซึ่งที่ผ่านมาโรงเรียนเอกชนในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ได้ดําเนินการคืนค่าธรรมเนียมให้กับผู้ปกครองแล้ว จํานวน 2,275.27 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่างบประมาณของมาตรการนี้อยู่ที่ 23,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมการศึกษาของนิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและภาคเอกชน โดยของภาครัฐ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ (1) ลดค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียม ส่วนที่ไม่เกิน 50,000 บาท ร้อยละ 50 (2) ส่วนที่ 50,001-100,000 บาท ลดร้อยละ 30 และ (3) ส่วนที่เกิน 100,00 บาทขึ้นไป ลดร้อยละ 10 ซึ่งการให้ส่วนลดจะเป็นการความจ่ายระหว่างรัฐบาลและสถาบันอุดมศึกษาในอัตรา 6:4 โดยรัฐบาลจะสนับสนุน ร้อยละ 60 และสถาบันอุดมศึกษาสมทบ ร้อยละ 40 ทั้งนี้ นายธนกร กล่าวต่อว่า ในส่วนของ สถาบันอุดมศึกษาภาคเอกชน รัฐบาลจะสนับสนุนลดค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมให้คนละ 5,000 บาท และให้ทางสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแต่ละแห่งพิจารณาสนับสนุนมาตรการอื่นเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เช่น ขยายเวลาผ่อนชําระหรือผ่อนจ่ายค่าธรรมเนียม การจัดหาอุปกรณ์/โปรแกรมคอมพิวเตอร์สําหรับยืมเรียนออนไลน์ การลดค่าหอพักนักศึกษา เป็นต้น โดยคาดว่าการดําเนินการดังกล่าวภายใต้กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ครม. ได้มอบให้กระทรวงศึกษา และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม จัดทําขอเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนแหล่งเงินในการดําเนินการ และย้ําการกําหนดกลไกตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่จะดั้บความช่วยเหลือและการจ่ายเงินผ่านบัญชีธนาคาร โดยให้เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจถึงหลักการ และแนวทางให้ความช่วยเหลือต่อไป อย่างไรก็ตามตนมั่นใจว่ามาตราการดังกล่าวจะช่วยผู้ปกครองได้มาก โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการกลาโหมจะดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ขอให้ทุกฝ่ายอดทนและช่วยกันเราจะผ่านมันไปได้
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“โฆษก ศบศ.” มั่นใจมาตรการลดค่าเทอมนักเรียน-นักศึกษา บรรเทาค่าใช้จ่ายผู้ปกครองได้มาก ย้ำ “บิ๊กตู่”เร่งดูแลเยียวยาทุกกลุ่ม วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2564 “โฆษก ศบศ.” มั่นใจมาตรการลดค่าเทอมนักเรียน-นักศึกษา บรรเทาค่าใช้จ่ายผู้ปกครองได้มาก ย้ํา “บิ๊กตู่”เร่งดูแลเยียวยาทุกกลุ่ม “โฆษก ศบศ.” มั่นใจมาตรการลดค่าเทอมนักเรียน-นักศึกษา บรรเทาค่าใช้จ่ายผู้ปกครองได้มาก ย้ํา “บิ๊กตู่”เร่งดูแลเยียวยาทุกกลุ่ม นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจําศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เปิดเผยว่า ตามที่ครม. เห็นชอบมาตรการมาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครองและนักเรียนนักศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประจําปีการศึกษา 1/2564 ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีแนวทางการช่วยเหลือ 2 มาตรการ ได้แก่ 1) มาตรการให้ความช่วยเหลือฯ ของกระทรวงศึกษาธิการ และ 2) มาตรการให้ความช่วยเหลือฯ ของกระทรวงการอุดมศึกษาฯ โดยประมาณการกรอบวงเงินในการเยียวยาช่วยเหลือทั้งสองมาตรการ จํานวน 33,000 ล้านบาท โฆษก ศบศ. กล่าวอีกว่า มาตรการให้ความช่วยเหลือฯ ของกระทรวงศึกษาธิการ มีแนวทาง ดังนี้ (1) สนับสนุนค่าใช้จ่ายให้ผู้ปกครอง 2,000 บาทต่อนักเรียน 1 คน เพื่อบรรเทาค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองที่เพิ่มขึ้นจากการปรับรูปแบบการเรียนการสอน ซึ่งจากการสํารวจขณะนี้นักเรียนในระบบ จํานวน10,793,975 คน ประมาณการค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 21,587,950,000 บาท (2) จัดสรรค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยสถานศึกษา เพื่อลดค่าใช้จ่ายของครูในการดูแลนักเรียน โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลที่ครูมีภาระในการติดตามและการจัดการการสอนภายใต้สถานการณ์โควิด (3) ลดหรือชะลอการเรียนเก็บค่าใช้จ่ายจากผู้ปกครองในโรงเรียนเอกชน เป็นการดําเนินการโดยอาศัยอํานาจตามความใน มมาตรา 32 และ มาตรา 34 ของ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ. 2550 โดยลดค่าใช้จ่ายหรือตรึงค่าใช้จ่ายในภาคเรียนที่ 1 ของปีการศึกษา 2564 ให้เท่ากับปีการศึกษา 2563 ซึ่งที่ผ่านมาโรงเรียนเอกชนในสังกัดสํานักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน ได้ดําเนินการคืนค่าธรรมเนียมให้กับผู้ปกครองแล้ว จํานวน 2,275.27 ล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่างบประมาณของมาตรการนี้อยู่ที่ 23,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมการศึกษาของนิสิตนักศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐและภาคเอกชน โดยของภาครัฐ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ (1) ลดค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียม ส่วนที่ไม่เกิน 50,000 บาท ร้อยละ 50 (2) ส่วนที่ 50,001-100,000 บาท ลดร้อยละ 30 และ (3) ส่วนที่เกิน 100,00 บาทขึ้นไป ลดร้อยละ 10 ซึ่งการให้ส่วนลดจะเป็นการความจ่ายระหว่างรัฐบาลและสถาบันอุดมศึกษาในอัตรา 6:4 โดยรัฐบาลจะสนับสนุน ร้อยละ 60 และสถาบันอุดมศึกษาสมทบ ร้อยละ 40 ทั้งนี้ นายธนกร กล่าวต่อว่า ในส่วนของ สถาบันอุดมศึกษาภาคเอกชน รัฐบาลจะสนับสนุนลดค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมให้คนละ 5,000 บาท และให้ทางสถาบันอุดมศึกษาเอกชนแต่ละแห่งพิจารณาสนับสนุนมาตรการอื่นเพิ่มเติมตามความเหมาะสม เช่น ขยายเวลาผ่อนชําระหรือผ่อนจ่ายค่าธรรมเนียม การจัดหาอุปกรณ์/โปรแกรมคอมพิวเตอร์สําหรับยืมเรียนออนไลน์ การลดค่าหอพักนักศึกษา เป็นต้น โดยคาดว่าการดําเนินการดังกล่าวภายใต้กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท ทั้งนี้ ครม. ได้มอบให้กระทรวงศึกษา และกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม จัดทําขอเสนอเพื่อขอรับการสนับสนุนแหล่งเงินในการดําเนินการ และย้ําการกําหนดกลไกตรวจสอบยืนยันตัวตนของผู้ที่จะดั้บความช่วยเหลือและการจ่ายเงินผ่านบัญชีธนาคาร โดยให้เร่งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจถึงหลักการ และแนวทางให้ความช่วยเหลือต่อไป อย่างไรก็ตามตนมั่นใจว่ามาตราการดังกล่าวจะช่วยผู้ปกครองได้มาก โดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการกลาโหมจะดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม ขอให้ทุกฝ่ายอดทนและช่วยกันเราจะผ่านมันไปได้
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44260
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ.ยัน 2 รัฐมนตรีสาธารณสุขทำงานร่วมกัน เพื่อควบคุมโรคโควิด 19
วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2564 โฆษก สธ.ยัน 2 รัฐมนตรีสาธารณสุขทํางานร่วมกัน เพื่อควบคุมโรคโควิด 19 โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ยันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขทํางานร่วมกันเป็นทีม แบ่งภารกิจช่วยกันขับเคลื่อนงาน เพื่อควบคุมโรคโควิด 19 โดยเร็ว ด้วยการให้เกียรติ ไม่มีความกดดัน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ยันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขทํางานร่วมกันเป็นทีม แบ่งภารกิจช่วยกันขับเคลื่อนงาน เพื่อควบคุมโรคโควิด 19 โดยเร็ว ด้วยการให้เกียรติ ไม่มีความกดดัน วันนี้ (16 กรกฎาคม 2564) นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามในการสร้างกระแสข่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีการดําเนินงานควบคุมโรคโควิด 19 ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขเราทํางานเป็นทีมเดียวกัน โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้แบ่งงานและมอบหมายภารกิจสําคัญกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะงานด้านการดูแลเรื่องเตียงรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19ร่วมกับกรมการแพทย์และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด 19 เข้าถึงการรักษา เช่น การร่วมมือกับโรงพยาบาล 5 เครือข่าย ได้แก่ กรมการแพทย์ โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลเอกชน กทม. และทหารตํารวจเพื่อขยายเตียงโควิด 19 ในทุกระดับอาการ หรือมาตรการดูแลรักษาที่บ้าน (Home Isolation) และการดูแลรักษาที่ชุมชน (Community Isolation) เป็นต้น “การทํางานของรัฐมนตรีทั้งสองท่านเป็นไปด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทํางานด้วยความสุข และไม่มีความกดดัน มีการปรึกษาหารือการขับเคลื่อนงานควบคุมโรคโควิด 19 ร่วมกันตลอด เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีเป้าหมายเพื่อควบคุมโรคโควิด 19 โดยเร็ว” นายแพทย์รุ่งเรืองกล่าว ***********************************
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-โฆษก สธ.ยัน 2 รัฐมนตรีสาธารณสุขทำงานร่วมกัน เพื่อควบคุมโรคโควิด 19 วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม 2564 โฆษก สธ.ยัน 2 รัฐมนตรีสาธารณสุขทํางานร่วมกัน เพื่อควบคุมโรคโควิด 19 โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ยันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขทํางานร่วมกันเป็นทีม แบ่งภารกิจช่วยกันขับเคลื่อนงาน เพื่อควบคุมโรคโควิด 19 โดยเร็ว ด้วยการให้เกียรติ ไม่มีความกดดัน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ยันรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขทํางานร่วมกันเป็นทีม แบ่งภารกิจช่วยกันขับเคลื่อนงาน เพื่อควบคุมโรคโควิด 19 โดยเร็ว ด้วยการให้เกียรติ ไม่มีความกดดัน วันนี้ (16 กรกฎาคม 2564) นายแพทย์รุ่งเรือง กิจผาติ ที่ปรึกษาระดับกระทรวง และโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามในการสร้างกระแสข่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ ดร.สาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีการดําเนินงานควบคุมโรคโควิด 19 ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกันนั้น ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากกระทรวงสาธารณสุขเราทํางานเป็นทีมเดียวกัน โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้แบ่งงานและมอบหมายภารกิจสําคัญกับรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข โดยเฉพาะงานด้านการดูแลเรื่องเตียงรักษาผู้ป่วยโรคโควิด 19ร่วมกับกรมการแพทย์และกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เพื่อให้ผู้ป่วยโควิด 19 เข้าถึงการรักษา เช่น การร่วมมือกับโรงพยาบาล 5 เครือข่าย ได้แก่ กรมการแพทย์ โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลเอกชน กทม. และทหารตํารวจเพื่อขยายเตียงโควิด 19 ในทุกระดับอาการ หรือมาตรการดูแลรักษาที่บ้าน (Home Isolation) และการดูแลรักษาที่ชุมชน (Community Isolation) เป็นต้น “การทํางานของรัฐมนตรีทั้งสองท่านเป็นไปด้วยการให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทํางานด้วยความสุข และไม่มีความกดดัน มีการปรึกษาหารือการขับเคลื่อนงานควบคุมโรคโควิด 19 ร่วมกันตลอด เพื่อให้การดําเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกัน มีเป้าหมายเพื่อควบคุมโรคโควิด 19 โดยเร็ว” นายแพทย์รุ่งเรืองกล่าว ***********************************
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/43836
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าฟื้นฟูภาคท่องเที่ยวทั้งในประเทศ เร่งสร้างความเชื่อมั่นกระตุ้นผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม สายการบินตอบรับนโยบายเพิ่มเที่ยวบินสู่เมืองท่องเที่ยว
วันพุธที่ 6 ตุลาคม 2564 รัฐบาลเดินหน้าฟื้นฟูภาคท่องเที่ยวทั้งในประเทศ เร่งสร้างความเชื่อมั่นกระตุ้นผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม สายการบินตอบรับนโยบายเพิ่มเที่ยวบินสู่เมืองท่องเที่ยว รัฐบาลเดินหน้าฟื้นฟูภาคท่องเที่ยวทั้งในประเทศ เร่งสร้างความเชื่อมั่นกระตุ้นผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม สายการบินตอบรับนโยบายเพิ่มเที่ยวบินสู่เมืองท่องเที่ยว วันที่ 6 ต.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เร่งเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว ทั้งรับนักท่องเที่ยวในประเทศและจากต่างประเทศ ทั้งนี้ ในส่วนของการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศในช่วงไฮซีซัน ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 และไตรมาสแรกของปี 2565 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้เร่งรัดการดําเนินกิจกรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด วันที่ 6 ต.ค. 2564 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดโครงการ “เที่ยวบินพิเศษ (Special flight) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางภายในประเทศ” โดยร่วมกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย นําคณะผู้บริหารส่วนราชการต่าง ๆ ทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นําโดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทยบูรณาการความร่วมมือกับผู้บริหารภาคเอกชน เช่น หอการค้าไทยและสภาหอหารค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว สมาคมโรงแรม สื่อมวลชนกว่า 30 คน เดินทางไปที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับมาตรการทางด้านสาธารณสุข ทั้งสายการบิน โรงแรมที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร สปา แหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนระบบขนส่ง ตามมาตรการ Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) และ SHA+ ของ ททท. น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กิจกรรมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวและกระตุ้นการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการนี้จะเริ่มที่จังหวัดเชียงใหม่ก่อน และขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวในระยะที่ 2 ซึ่งนอกจากเชียงใหม่ (อ.เมือง แม่ริม ดอยเต่า) แล้ว ยังมีกรุงเทพฯ ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) เพชรบุรี (ชะอํา) และชลบุรี (พัทยา บางละมุง สัตหีบ) ต่อไป นอกจากนี้ ตั้งแต่กลางเดือน ต.ค. 2564 เป็นต้นไป สายการบินแอร์เอเชียจะมีการเพิ่มเที่ยวบินไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวทั้งเชียงใหม่ ภูเก็ต และหัวหิน เพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นทั้งจากเป็นช่วงไฮซีซัน สถานการณ์โควิด-19 ที่ดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นไม่ว่าจะเป็นเราเที่ยวด้วยกัน ทัวร์เที่ยวไทย ที่เริ่มมีผลบังคับแล้ว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ททท. ประเมินว่าในปี 2565 จะสามารถกระตุ้นให้เกิดการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวไทยจํานวนประมาณ 160 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้สู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 882,000 ล้านบาท “กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ททท. ได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติว่า ผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวของพื้นที่เปิดรับนักท่องเที่ยว มีความพร้อมให้บริการภายใต้มาตรการ SHA และ SHA+ ซึ่งความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวมีการวางแผนการท่องเที่ยว สนับสนุนให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ตามเป้าหมาย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สําหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรีและรมว.กลาโหม มีข้อสั่งการให้หน่วยงานเกี่ยวข้องเตรียมการในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการอํานวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวให้พร้อม โดยนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคโควิด-19 (ศบศ.) เมื่อไม่นานมานี้ ให้ ททท. ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาการอํานวยความสะดวกกับนักท่องเที่ยวในการขอหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry :COE) รวมถึงการพิจารณาผ่อนปรนให้สามารถยื่นขอ COE ล่วงหน้าได้ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อศรษฐกิจและสังคมเร่งพัฒนาระบบตรวจสอบเอกสารวัคซีนพาสปอร์ต รวมถึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมความเป็นไปได้ในการใช้งานแอปพลิเคชันของสมาคมขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) หรือ IATA Travel Pass เพื่อช่วยลดการตรวจเอกสารเพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวในการเดินทางเข้าประเทศไทย
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลเดินหน้าฟื้นฟูภาคท่องเที่ยวทั้งในประเทศ เร่งสร้างความเชื่อมั่นกระตุ้นผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม สายการบินตอบรับนโยบายเพิ่มเที่ยวบินสู่เมืองท่องเที่ยว วันพุธที่ 6 ตุลาคม 2564 รัฐบาลเดินหน้าฟื้นฟูภาคท่องเที่ยวทั้งในประเทศ เร่งสร้างความเชื่อมั่นกระตุ้นผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม สายการบินตอบรับนโยบายเพิ่มเที่ยวบินสู่เมืองท่องเที่ยว รัฐบาลเดินหน้าฟื้นฟูภาคท่องเที่ยวทั้งในประเทศ เร่งสร้างความเชื่อมั่นกระตุ้นผู้ประกอบการเตรียมความพร้อม สายการบินตอบรับนโยบายเพิ่มเที่ยวบินสู่เมืองท่องเที่ยว วันที่ 6 ต.ค. 2564 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้รัฐบาลโดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้เร่งเตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับการฟื้นฟูภาคการท่องเที่ยว ทั้งรับนักท่องเที่ยวในประเทศและจากต่างประเทศ ทั้งนี้ ในส่วนของการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศในช่วงไฮซีซัน ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 และไตรมาสแรกของปี 2565 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ได้เร่งรัดการดําเนินกิจกรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด วันที่ 6 ต.ค. 2564 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดโครงการ “เที่ยวบินพิเศษ (Special flight) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการเดินทางภายในประเทศ” โดยร่วมกับสายการบินไทยแอร์เอเชีย นําคณะผู้บริหารส่วนราชการต่าง ๆ ทั้งกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นําโดยนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทยบูรณาการความร่วมมือกับผู้บริหารภาคเอกชน เช่น หอการค้าไทยและสภาหอหารค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว สมาคมโรงแรม สื่อมวลชนกว่า 30 คน เดินทางไปที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการให้สอดคล้องกับมาตรการทางด้านสาธารณสุข ทั้งสายการบิน โรงแรมที่พัก ร้านค้า ร้านอาหาร สปา แหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนระบบขนส่ง ตามมาตรการ Amazing Thailand Safety & Health Administration (SHA) และ SHA+ ของ ททท. น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า กิจกรรมสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวและกระตุ้นการเตรียมความพร้อมของผู้ประกอบการนี้จะเริ่มที่จังหวัดเชียงใหม่ก่อน และขยายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวในระยะที่ 2 ซึ่งนอกจากเชียงใหม่ (อ.เมือง แม่ริม ดอยเต่า) แล้ว ยังมีกรุงเทพฯ ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) เพชรบุรี (ชะอํา) และชลบุรี (พัทยา บางละมุง สัตหีบ) ต่อไป นอกจากนี้ ตั้งแต่กลางเดือน ต.ค. 2564 เป็นต้นไป สายการบินแอร์เอเชียจะมีการเพิ่มเที่ยวบินไปยังพื้นที่ท่องเที่ยวทั้งเชียงใหม่ ภูเก็ต และหัวหิน เพื่อรองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวที่จะเพิ่มขึ้นทั้งจากเป็นช่วงไฮซีซัน สถานการณ์โควิด-19 ที่ดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นไม่ว่าจะเป็นเราเที่ยวด้วยกัน ทัวร์เที่ยวไทย ที่เริ่มมีผลบังคับแล้ว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ททท. ประเมินว่าในปี 2565 จะสามารถกระตุ้นให้เกิดการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวไทยจํานวนประมาณ 160 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้สู่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไม่น้อยกว่า 882,000 ล้านบาท “กระทรวงการท่องเที่ยวฯ ททท. ได้ร่วมกับหน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนจัดกิจกรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติว่า ผู้ประกอบการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยวของพื้นที่เปิดรับนักท่องเที่ยว มีความพร้อมให้บริการภายใต้มาตรการ SHA และ SHA+ ซึ่งความเชื่อมั่นที่เกิดขึ้นจะกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวมีการวางแผนการท่องเที่ยว สนับสนุนให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ตามเป้าหมาย” น.ส.ไตรศุลี กล่าว น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สําหรับการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมตรีและรมว.กลาโหม มีข้อสั่งการให้หน่วยงานเกี่ยวข้องเตรียมการในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการอํานวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวให้พร้อม โดยนายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดของโรคโควิด-19 (ศบศ.) เมื่อไม่นานมานี้ ให้ ททท. ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาการอํานวยความสะดวกกับนักท่องเที่ยวในการขอหนังสือรับรองการเดินทางเข้าประเทศไทย (Certificate of Entry :COE) รวมถึงการพิจารณาผ่อนปรนให้สามารถยื่นขอ COE ล่วงหน้าได้ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อศรษฐกิจและสังคมเร่งพัฒนาระบบตรวจสอบเอกสารวัคซีนพาสปอร์ต รวมถึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมความเป็นไปได้ในการใช้งานแอปพลิเคชันของสมาคมขนส่งสินค้าทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) หรือ IATA Travel Pass เพื่อช่วยลดการตรวจเอกสารเพื่ออํานวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวในการเดินทางเข้าประเทศไทย
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/46622
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียม การเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง)
วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียม การเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ครั้งที่ 3/2565 ในวันที่ 27 เมษายน 2565 เพื่อรับทราบแผนการเพิ่มรายได้โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง การดําเนินการด้านปริมาณผู้โดยสารในโครงการฯ และติดตามผลการดําเนินการด้านระบบตั๋วโดยสาร โดยในที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าการดําเนินงาน ดังนี้ 1. ด้านสถานีรถไฟ จากการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์และป้ายโฆษณา บริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อ และสถานีรถไฟซานเมืองสายสีแดงทั้ง 12 สถานี ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอขออนุมัติจาก การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อออกประกาศเชิญชวน และคาดว่าสามารถออกประกาศขายซองได้ภายในเดือนมิถุนายน 2565 ทั้งนี้เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2565 รฟท. ได้ทดลองนํารถไฟทางไกลดีเซลวิ่งทดสอบในเส้นทาง สถานีกลางบางซื่อ - ดอนเมือง บนโครงสร้างยกระดับพบว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่พบอุปสรรค โดยขบวนรถสามารถขึ้นโครงสร้างยกระดับเข้าสถานีกลางบางซื่อได้ และได้ทดสอบระบบอาณัติสัญญาณ European Train Control System (ETCS) Level 1 เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากการควบคุมรถของพนักงาน โดยรถจะหยุดอัตโนมัติ เมื่อขบวนรถผ่านสัญญาณไฟสี และเมื่อเข้าใกล้ขบวนรถไฟคันหน้าเกินกว่าระยะที่กําหนดซึ่ง รฟท. ได้เริ่มนําร่องติดตั้งบนขบวนรถแล้ว 2. ด้านการเดินรถ ในระหว่างวันที่ 26 มีนาคม- 6 เมษายน 2565 พื้นที่สถานีกลางบางซื่อได้จัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ โดยมีผู้เข้างาน จํานวนรวม 715,603 คน ซึ่งเป็นผลให้จํานวนผู้โดยสารเฉลี่ยของรถไฟฟ้าสายสีแดง เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.86 จากปกติเฉลี่ย วันละ 8,216 คน/เที่ยว เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 10, 833 คน/เที่ยว โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการ ดังนี้ 1) ให้พิจารณาปรับเส้นทาง Feeder ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ของผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีแดง รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้คนมาใช้งานพื้นที่สถานีกลางบางซื่อ เช่น การจัดนิทรรศการที่เป็นไฮไลต์ อาทิ นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการดึงภาคเอกชนร่วมจัดงานในลักษณะการทํา Event List และแนวทางการทําค่าโดยสารราคาเดียว (Single Fare) ระหว่างผู้ให้บริการขนส่งในระบบต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้ผู้โดยสารมาใช้บริการมากขึ้น และเพิ่มช่องทางการจําหน่ายบัตรให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าสามารถหาซื้อได้ง่าย ได้แก่ การเปิดช่องทางจําหน่ายในร้านค้าสวัสดิการ ร้านค้าสหกรณ์ภายในมหาวิทยาลัย เป็นต้น รวมถึงการชักชวนให้กลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ช่วยประชาสัมพันธ์ โดยการทําโปรโมชัน เป็นต้น และ 2) ให้ รฟท. เร่งรัดดําเนินการต่อขยายระบบการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดง ทั้ง 3 เส้นทาง สายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน - ศาลายา และตลิ่งชัน - ศิริราช และสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต - ธรรมศาสตร์รังสิต และทํา Timeline และ Action Plan เพื่อให้สามารถเดินตามแผนที่คาดว่าจะขออนุมัติในเดือน ตุลาคม 2565 โดยเร็ว 3. ด้านราคาค่าโดยสาร ปัจจุบันผู้โดยสารสามารถใช้บัตรโดยสาร EMV กับเรือโดยสาร รถโดยสารสาธารณะขององค์การขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ขสมก.) รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน และรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงได้แล้ว ซึ่งจะมีการยกเว้นค่าแรกเข้าในการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน สายสีม่วง และสายสีแดง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน และจะสามารถใช้กับรถไฟฟ้าสายสีแดงได้ในเดือน พฤษภาคม 2565 โดยบัตรโดยสารรายเดือนประเภท 30 วัน 30 เที่ยว ราคา 750 บาท เฉลี่ย 25 บาทต่อเที่ยว ได้เริ่มจําหน่ายตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้เตรียมออกบัตรโดยสารรายเดือนร่วมกับรถโดยสารปรับอากาศของ ขสมก. ราคา 2,000 บาท โดยสามารถใช้บริการสายสีแดงได้ จํานวน 50 เที่ยว และใช้รถโดยสารได้ไม่จํากัดจํานวนเที่ยว ขณะนี้อยู่ระหว่างนําเสนอคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง คาดว่าจะสามารถจําหน่ายได้เดือน มิถุนายน 2565 นอกจากนี้ยังได้เปิดรับฟังความเห็นของประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อนํามาปรับปรุงการให้บริการ โดยที่ผ่านมา ได้มีข้อเสนอแนะของผู้ใช้บริการที่สําคัญ ได้แก่ การเพิ่มตู้เติมเงินบัตรอัตโนมัติ การเพิ่มบริการให้สามารถเติมเงินบัตรประเภท 30 วัน 30 เที่ยวได้ การเพิ่มความถี่ในการเดินรถ การจัดรถสาธารณะเชื่อมต่อกับสถานีรองรับการเดินทางให้เพียงพอต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้คนมาใช้บริการเพิ่มขึ้น และการปรับปรุงป้ายบอกทางให้ชัดเจน เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถอดบทเรียนด้านการประชาสัมพันธ์ที่เป็นปัญหาในโครงการอื่น ๆ เพื่อนํามาปรับปรุงแนวทางในการดําเนินการด้านประชาสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียม การเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) วันพุธที่ 27 เมษายน 2565 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียม การเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเตรียมการเปิดให้บริการและการบริหารโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และสถานีกลางบางซื่อ ครั้งที่ 3/2565 ในวันที่ 27 เมษายน 2565 เพื่อรับทราบแผนการเพิ่มรายได้โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง การดําเนินการด้านปริมาณผู้โดยสารในโครงการฯ และติดตามผลการดําเนินการด้านระบบตั๋วโดยสาร โดยในที่ประชุมได้รายงานความคืบหน้าการดําเนินงาน ดังนี้ 1. ด้านสถานีรถไฟ จากการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์และป้ายโฆษณา บริเวณอาคารสถานีกลางบางซื่อ และสถานีรถไฟซานเมืองสายสีแดงทั้ง 12 สถานี ซึ่งอยู่ระหว่างเสนอขออนุมัติจาก การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อออกประกาศเชิญชวน และคาดว่าสามารถออกประกาศขายซองได้ภายในเดือนมิถุนายน 2565 ทั้งนี้เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2565 รฟท. ได้ทดลองนํารถไฟทางไกลดีเซลวิ่งทดสอบในเส้นทาง สถานีกลางบางซื่อ - ดอนเมือง บนโครงสร้างยกระดับพบว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่พบอุปสรรค โดยขบวนรถสามารถขึ้นโครงสร้างยกระดับเข้าสถานีกลางบางซื่อได้ และได้ทดสอบระบบอาณัติสัญญาณ European Train Control System (ETCS) Level 1 เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากการควบคุมรถของพนักงาน โดยรถจะหยุดอัตโนมัติ เมื่อขบวนรถผ่านสัญญาณไฟสี และเมื่อเข้าใกล้ขบวนรถไฟคันหน้าเกินกว่าระยะที่กําหนดซึ่ง รฟท. ได้เริ่มนําร่องติดตั้งบนขบวนรถแล้ว 2. ด้านการเดินรถ ในระหว่างวันที่ 26 มีนาคม- 6 เมษายน 2565 พื้นที่สถานีกลางบางซื่อได้จัดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ โดยมีผู้เข้างาน จํานวนรวม 715,603 คน ซึ่งเป็นผลให้จํานวนผู้โดยสารเฉลี่ยของรถไฟฟ้าสายสีแดง เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.86 จากปกติเฉลี่ย วันละ 8,216 คน/เที่ยว เพิ่มขึ้นเป็นวันละ 10, 833 คน/เที่ยว โดย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มีข้อสั่งการ ดังนี้ 1) ให้พิจารณาปรับเส้นทาง Feeder ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ของผู้ใช้รถไฟฟ้าสายสีแดง รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมให้คนมาใช้งานพื้นที่สถานีกลางบางซื่อ เช่น การจัดนิทรรศการที่เป็นไฮไลต์ อาทิ นวัตกรรมยานยนต์ไฟฟ้า รวมถึงการดึงภาคเอกชนร่วมจัดงานในลักษณะการทํา Event List และแนวทางการทําค่าโดยสารราคาเดียว (Single Fare) ระหว่างผู้ให้บริการขนส่งในระบบต่าง ๆ เพื่อจูงใจให้ผู้โดยสารมาใช้บริการมากขึ้น และเพิ่มช่องทางการจําหน่ายบัตรให้ประชาชนมีความรู้สึกว่าสามารถหาซื้อได้ง่าย ได้แก่ การเปิดช่องทางจําหน่ายในร้านค้าสวัสดิการ ร้านค้าสหกรณ์ภายในมหาวิทยาลัย เป็นต้น รวมถึงการชักชวนให้กลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ช่วยประชาสัมพันธ์ โดยการทําโปรโมชัน เป็นต้น และ 2) ให้ รฟท. เร่งรัดดําเนินการต่อขยายระบบการเดินรถไฟฟ้าสายสีแดง ทั้ง 3 เส้นทาง สายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน - ศาลายา และตลิ่งชัน - ศิริราช และสายสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต - ธรรมศาสตร์รังสิต และทํา Timeline และ Action Plan เพื่อให้สามารถเดินตามแผนที่คาดว่าจะขออนุมัติในเดือน ตุลาคม 2565 โดยเร็ว 3. ด้านราคาค่าโดยสาร ปัจจุบันผู้โดยสารสามารถใช้บัตรโดยสาร EMV กับเรือโดยสาร รถโดยสารสาธารณะขององค์การขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (ขสมก.) รถไฟฟ้า MRT สายสีน้ําเงิน และรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงได้แล้ว ซึ่งจะมีการยกเว้นค่าแรกเข้าในการเดินทางเชื่อมต่อระหว่างรถไฟฟ้าสายสีน้ําเงิน สายสีม่วง และสายสีแดง เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน และจะสามารถใช้กับรถไฟฟ้าสายสีแดงได้ในเดือน พฤษภาคม 2565 โดยบัตรโดยสารรายเดือนประเภท 30 วัน 30 เที่ยว ราคา 750 บาท เฉลี่ย 25 บาทต่อเที่ยว ได้เริ่มจําหน่ายตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ทั้งนี้ กระทรวงฯ ได้เตรียมออกบัตรโดยสารรายเดือนร่วมกับรถโดยสารปรับอากาศของ ขสมก. ราคา 2,000 บาท โดยสามารถใช้บริการสายสีแดงได้ จํานวน 50 เที่ยว และใช้รถโดยสารได้ไม่จํากัดจํานวนเที่ยว ขณะนี้อยู่ระหว่างนําเสนอคณะกรรมการขนส่งทางบกกลาง คาดว่าจะสามารถจําหน่ายได้เดือน มิถุนายน 2565 นอกจากนี้ยังได้เปิดรับฟังความเห็นของประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ เพื่อนํามาปรับปรุงการให้บริการ โดยที่ผ่านมา ได้มีข้อเสนอแนะของผู้ใช้บริการที่สําคัญ ได้แก่ การเพิ่มตู้เติมเงินบัตรอัตโนมัติ การเพิ่มบริการให้สามารถเติมเงินบัตรประเภท 30 วัน 30 เที่ยวได้ การเพิ่มความถี่ในการเดินรถ การจัดรถสาธารณะเชื่อมต่อกับสถานีรองรับการเดินทางให้เพียงพอต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้คนมาใช้บริการเพิ่มขึ้น และการปรับปรุงป้ายบอกทางให้ชัดเจน เป็นต้น ทั้งนี้ ที่ประชุมได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถอดบทเรียนด้านการประชาสัมพันธ์ที่เป็นปัญหาในโครงการอื่น ๆ เพื่อนํามาปรับปรุงแนวทางในการดําเนินการด้านประชาสัมพันธ์ให้มีประสิทธิภาพเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53993
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สบน. ยืนยัน ระดับ "หนี้สาธารณะ" ไม่ได้ทำให้ไทยเสี่ยงล้มละลาย ย้ำ! รัฐบาลมีความสามารถในการชำระหนี้ (Debt affordability)
วันพุธที่ 20 เมษายน 2565 สบน. ยืนยัน ระดับ "หนี้สาธารณะ" ไม่ได้ทําให้ไทยเสี่ยงล้มละลาย ย้ํา! รัฐบาลมีความสามารถในการชําระหนี้ (Debt affordability) ..... กรณีที่มีข่าวเผยแพร่ข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับหนี้สาธารณะในประเด็นการกู้เงินของรัฐบาล อัตราดอกเบี้ย การชําระคืนหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ประเทศ หรือประเทศไทยเสี่ยงล้มละลาย ผ่านสื่อต่าง ๆ นั้น . สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เผยว่า ระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาการคลังแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลยังคงมีความสามารถในการชําระหนี้ (Debt affordability) . โดย สบน. ได้ติดตามสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ประจําปีอย่างใกล้ชิด และประมาณการสัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลต่อรายได้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 65 คาดว่าอยู่ที่ประมาณร้อยละ 8 และในอีก 5 ปีข้างหน้า ยังคงต่ํากว่าระดับเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กําหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 10 . นอกจากนี้ บริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ และมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) (8 เม.ย. 65) . เชื่อมั่นว่า แม้หนี้รัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น แต่ตัวชี้วัดภาคการคลังและหนี้สาธารณะยังคงแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน และมีแนวโน้มที่จะรักษาระดับความแข็งแกร่งดังกล่าวได้ต่อไป . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53702 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สบน. ยืนยัน ระดับ "หนี้สาธารณะ" ไม่ได้ทำให้ไทยเสี่ยงล้มละลาย ย้ำ! รัฐบาลมีความสามารถในการชำระหนี้ (Debt affordability) วันพุธที่ 20 เมษายน 2565 สบน. ยืนยัน ระดับ "หนี้สาธารณะ" ไม่ได้ทําให้ไทยเสี่ยงล้มละลาย ย้ํา! รัฐบาลมีความสามารถในการชําระหนี้ (Debt affordability) ..... กรณีที่มีข่าวเผยแพร่ข้อมูลและความคิดเห็นเกี่ยวกับหนี้สาธารณะในประเด็นการกู้เงินของรัฐบาล อัตราดอกเบี้ย การชําระคืนหนี้ การปรับโครงสร้างหนี้ประเทศ หรือประเทศไทยเสี่ยงล้มละลาย ผ่านสื่อต่าง ๆ นั้น . สํานักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เผยว่า ระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาการคลังแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลยังคงมีความสามารถในการชําระหนี้ (Debt affordability) . โดย สบน. ได้ติดตามสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ประจําปีอย่างใกล้ชิด และประมาณการสัดส่วนภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลต่อรายได้ ณ สิ้นปีงบประมาณ 65 คาดว่าอยู่ที่ประมาณร้อยละ 8 และในอีก 5 ปีข้างหน้า ยังคงต่ํากว่าระดับเกณฑ์มาตรฐานสากลที่กําหนดไว้ไม่เกินร้อยละ 10 . นอกจากนี้ บริษัท Moody’s Investors Service (Moody’s) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ และมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) (8 เม.ย. 65) . เชื่อมั่นว่า แม้หนี้รัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น แต่ตัวชี้วัดภาคการคลังและหนี้สาธารณะยังคงแข็งแกร่ง เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน และมีแนวโน้มที่จะรักษาระดับความแข็งแกร่งดังกล่าวได้ต่อไป . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53702 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53737
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. เดินหน้าฟังความเห็นเอกชนเชิญชวนร่วมลงทุนโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง
วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2565 รฟท. เดินหน้าฟังความเห็นเอกชนเชิญชวนร่วมลงทุนโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง เมื่อวันพุธที่ 27 เมษายน 2565 เวลา 08.30 – 12.00 น. ณ ห้องเมย์แฟร์ บอลรูม เอบี ชั้น 11 โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ํา กรุงเทพฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน (Market Sounding) ครั้งที่ 2 โครงการศึกษา ทบทวน และวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ จัดทําเอกสารประกวดราคา และการดําเนินงาน ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุน ระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ของโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) โดยมี นายจเร รุ่งฐานีย รองผู้ว่าการกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานรฟท. เป็นประธานเปิดการสัมมนา พร้อมด้วย คณะผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาฯ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) เป็นระบบขนส่งมวลชนที่เชื่อมโยงการเดินทางจากพื้นที่ในเขตปริมณฑลสู่ใจกลางกรุงเทพฯ และเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่งมวลชนทางราง ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2561-2580) ของรัฐบาล ภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ของกระทรวงคมนาคม ภายใต้การนําของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทางให้แก่ประชาชน รฟท. จึงต้องหาแนวทางในการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการลงทุนโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และส่วนต่อขยายทั้ง 4 เส้น ทั้งการบริหารการเดินรถและซ่อมบํารุง รวมถึงการบริหารสถานีกลางบางซื่อและสถานีในโครงข่ายรถไฟชานเมืองสายสีแดงตลอดแนวเส้นทาง ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน โดยได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดําเนินโครงการศึกษา ทบทวน และวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ จัดทําเอกสารประกวดราคาและการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุน ระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ของโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และได้จัดงานสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน (Market Sounding) ขึ้น เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง งานสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน หรือ Market Sounding ในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยที่ผ่านมา โครงการฯ ได้จัดสัมมารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน ครั้งที่ 1 ไปแล้ว เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564 ส่วนงานสัมมนาในวันนี้ จะเป็นครั้งที่ 2 เพื่อนําเสนอสาระสําคัญของโครงการ มูลค่าการลงทุน ผลการศึกษาและวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจการเงิน แนวทางการร่วมลงทุน รวมถึงข้อมูลด้านการจัดทําร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสําหรับการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ภาคธุรกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําความเห็นและข้อเสนอแนะมาประกอบใช้ในการดําเนินโครงการให้มีความเหมาะสม ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพสูงสุด สําหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) แบ่งการดําเนินงานออกเป็น 3 ระยะ โดยระยะแรก คือการให้บริการส่วนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ได้แก่ ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน สําหรับระยะที่ 2 คือ การให้บริการรวมส่วนต่อขยาย 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ส่วนระยะที่ 3 คือ การให้บริการโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) เต็มรูปแบบ รวมถึงช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก-หัวลําโพง โดยระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ยังสามารถเชื่อมต่อการเดินทางกับระบบขนส่งอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งทางราง ทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางต่อเนื่องหลายรูปแบบ ในลักษณะของ Multimodal Transport เพื่อยกระดับการเดินทาง และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รฟท. เดินหน้าฟังความเห็นเอกชนเชิญชวนร่วมลงทุนโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน 2565 รฟท. เดินหน้าฟังความเห็นเอกชนเชิญชวนร่วมลงทุนโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง เมื่อวันพุธที่ 27 เมษายน 2565 เวลา 08.30 – 12.00 น. ณ ห้องเมย์แฟร์ บอลรูม เอบี ชั้น 11 โรงแรม เดอะ เบอร์เคลีย์ ประตูน้ํา กรุงเทพฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กระทรวงคมนาคม จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน (Market Sounding) ครั้งที่ 2 โครงการศึกษา ทบทวน และวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ จัดทําเอกสารประกวดราคา และการดําเนินงาน ตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุน ระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ของโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) โดยมี นายจเร รุ่งฐานีย รองผู้ว่าการกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานรฟท. เป็นประธานเปิดการสัมมนา พร้อมด้วย คณะผู้บริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาฯ หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมงาน โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) เป็นระบบขนส่งมวลชนที่เชื่อมโยงการเดินทางจากพื้นที่ในเขตปริมณฑลสู่ใจกลางกรุงเทพฯ และเป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่งมวลชนทางราง ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (2561-2580) ของรัฐบาล ภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580) ของกระทรวงคมนาคม ภายใต้การนําของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เพื่อเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการเดินทางให้แก่ประชาชน รฟท. จึงต้องหาแนวทางในการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการลงทุนโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และส่วนต่อขยายทั้ง 4 เส้น ทั้งการบริหารการเดินรถและซ่อมบํารุง รวมถึงการบริหารสถานีกลางบางซื่อและสถานีในโครงข่ายรถไฟชานเมืองสายสีแดงตลอดแนวเส้นทาง ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชน โดยได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดําเนินโครงการศึกษา ทบทวน และวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ จัดทําเอกสารประกวดราคาและการดําเนินงานตามพระราชบัญญัติการร่วมลงทุน ระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ของโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) และได้จัดงานสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน (Market Sounding) ขึ้น เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง งานสัมมนารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน หรือ Market Sounding ในวันนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินงานด้านการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยที่ผ่านมา โครงการฯ ได้จัดสัมมารับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชน ครั้งที่ 1 ไปแล้ว เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2564 ส่วนงานสัมมนาในวันนี้ จะเป็นครั้งที่ 2 เพื่อนําเสนอสาระสําคัญของโครงการ มูลค่าการลงทุน ผลการศึกษาและวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจการเงิน แนวทางการร่วมลงทุน รวมถึงข้อมูลด้านการจัดทําร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสําหรับการคัดเลือกเอกชน และร่างสัญญาร่วมลงทุน เพื่อรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ภาคธุรกิจ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อนําความเห็นและข้อเสนอแนะมาประกอบใช้ในการดําเนินโครงการให้มีความเหมาะสม ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพสูงสุด สําหรับโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) แบ่งการดําเนินงานออกเป็น 3 ระยะ โดยระยะแรก คือการให้บริการส่วนที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ได้แก่ ช่วงบางซื่อ-รังสิต และช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน สําหรับระยะที่ 2 คือ การให้บริการรวมส่วนต่อขยาย 3 ช่วง ได้แก่ ช่วงรังสิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา และช่วงตลิ่งชัน-ศิริราช ส่วนระยะที่ 3 คือ การให้บริการโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) เต็มรูปแบบ รวมถึงช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก-หัวลําโพง โดยระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ยังสามารถเชื่อมต่อการเดินทางกับระบบขนส่งอื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งทางราง ทางบก ทางน้ํา และทางอากาศ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางต่อเนื่องหลายรูปแบบ ในลักษณะของ Multimodal Transport เพื่อยกระดับการเดินทาง และเสริมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชาชน.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/54007
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ออกซ์ฟอร์ด" เผย วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า "เข็มกระตุ้น" ป้องกันโอมิครอนได้
วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2564 "ออกซ์ฟอร์ด" เผย วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า "เข็มกระตุ้น" ป้องกันโอมิครอนได้ ..... น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ได้เผยแพร่ข้อมูลการศึกษาจากห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ชี้ว่าการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่เป็นวัคซีนกระตุ้น เข็ม 3 นั้น สามารถเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอนได้ . และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ได้รับวัคซีนในระดับที่สูงกว่าผู้ที่เคยติดเชื้อและหายป่วยได้เอง ขณะนี้ บริษัทฯ กําลังอยู่ระหว่างการพัฒนาประสิทธิภาพของวัคซีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านสายพันธุ์โอมิครอน . สําหรับแผนการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลในปี 65 นั้น มีจํานวน 120 ล้านโดส เป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจํานวน 60 ล้านโดส . โดยรัฐบาลมีข้อตกลงกับบริษัทผู้ผลิตว่า สําหรับวัคซีนที่จัดส่งให้แก่ประเทศไทยนั้น จะต้องเปลี่ยนเป็นวัคซีน Generation ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และรองรับการกลายพันธุ์ของไวรัสทันทีที่งานวิจัยต่าง ๆ เสร็จสิ้น . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49832 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-"ออกซ์ฟอร์ด" เผย วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า "เข็มกระตุ้น" ป้องกันโอมิครอนได้ วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2564 "ออกซ์ฟอร์ด" เผย วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า "เข็มกระตุ้น" ป้องกันโอมิครอนได้ ..... น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เผยว่า บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ได้เผยแพร่ข้อมูลการศึกษาจากห้องปฏิบัติการของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ชี้ว่าการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าที่เป็นวัคซีนกระตุ้น เข็ม 3 นั้น สามารถเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์โอมิครอนได้ . และช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ผู้ได้รับวัคซีนในระดับที่สูงกว่าผู้ที่เคยติดเชื้อและหายป่วยได้เอง ขณะนี้ บริษัทฯ กําลังอยู่ระหว่างการพัฒนาประสิทธิภาพของวัคซีนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านสายพันธุ์โอมิครอน . สําหรับแผนการจัดหาวัคซีนของรัฐบาลในปี 65 นั้น มีจํานวน 120 ล้านโดส เป็นวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจํานวน 60 ล้านโดส . โดยรัฐบาลมีข้อตกลงกับบริษัทผู้ผลิตว่า สําหรับวัคซีนที่จัดส่งให้แก่ประเทศไทยนั้น จะต้องเปลี่ยนเป็นวัคซีน Generation ใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด และรองรับการกลายพันธุ์ของไวรัสทันทีที่งานวิจัยต่าง ๆ เสร็จสิ้น . อ่านเพิ่มเติม คลิกhttps://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49832 #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49907
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการเป็นเจ้าภาพเอเปค ค.ศ. 2023 - 2024
วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ถ้อยแถลง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการเป็นเจ้าภาพเอเปค ค.ศ. 2023 - 2024 กรุงเทพมหานคร วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ปีนี้ ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก หรือเอเปค ซึ่งเป็นช่วงที่ภูมิภาคของเราตั้งเป้าหมายจะฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างยั่งยืน และครอบคลุม โดยในสัปดาห์หน้า ผู้แทนของเขตเศรษฐกิจเอเปคจะเริ่มต้นการหารือรอบแรกของปี เพื่อวางแผนงานสําหรับปีนี้ และผลักดันการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการอาโอทีอาโรอา ซึ่งได้รับความเห็นชอบเมื่อปีที่แล้วเพื่อการบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. 2040 โดยวิสัยทัศน์นี้จะกําหนดแนวทางการดําเนินงานของเอเปคในอีก 20 ปีข้างหน้า หัวข้อหลักของการเป็นเจ้าภาพเอเปค ปี 2565 คือ เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล โดยประเด็นสําคัญคือการทําให้เอเปคเปิดกว้างสู่ทุกโอกาส เชื่อมโยงในทุกมิติ และสร้างสมดุลในทุกด้าน ภายใต้วิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาความไม่สมดุลที่เห็นเด่นชัดขึ้นจากวิกฤติโรคระบาด และการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคด้วยการนําแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเป็นโมเดลที่บูรณาการแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 ข้อเข้าด้วยกันมาใช้ประโยชน์ ภารกิจของเอเปคเป็นงานระยะยาวที่ต้องการความร่วมมือและความพยายามอย่างต่อเนื่อง ความมุ่งมั่นของสมาชิกเอเปคที่มีต่อการพัฒนาภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิกจะถูกสานต่อโดยเจ้าภาพเอเปคในปีต่อ ๆ ไป โดยผมมีความยินดีที่จะประกาศว่า สหรัฐอเมริกาจะเป็นเจ้าภาพเอเปคในปี ค.ศ. 2023 และเปรูจะเป็น เจ้าภาพเอเปคในปี ค.ศ. 2024 ด้วยความร่วมมือกัน พวกเราจะเติมเต็มเป้าหมายร่วมในการสร้างประชาคมเอเชีย - แปซิฟิกที่เปิดกว้าง มีพลวัต พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง และมีสันติภาพ เพื่อประชาชนของเราทุกคนและคนรุ่นหลัง ผมรอที่จะต้อนรับผู้นําเอเปคทุกท่านสู่ประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งทุกท่านจะได้เป็นส่วนหนึ่งของการกําหนดเป้าหมายที่สําคัญสําหรับภูมิภาคของพวกเราร่วมกัน * * * * *
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-ถ้อยแถลง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการเป็นเจ้าภาพเอเปค ค.ศ. 2023 - 2024 วันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ถ้อยแถลง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เรื่องการเป็นเจ้าภาพเอเปค ค.ศ. 2023 - 2024 กรุงเทพมหานคร วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 ปีนี้ ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก หรือเอเปค ซึ่งเป็นช่วงที่ภูมิภาคของเราตั้งเป้าหมายจะฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างยั่งยืน และครอบคลุม โดยในสัปดาห์หน้า ผู้แทนของเขตเศรษฐกิจเอเปคจะเริ่มต้นการหารือรอบแรกของปี เพื่อวางแผนงานสําหรับปีนี้ และผลักดันการดําเนินการตามแผนปฏิบัติการอาโอทีอาโรอา ซึ่งได้รับความเห็นชอบเมื่อปีที่แล้วเพื่อการบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ปุตราจายา ค.ศ. 2040 โดยวิสัยทัศน์นี้จะกําหนดแนวทางการดําเนินงานของเอเปคในอีก 20 ปีข้างหน้า หัวข้อหลักของการเป็นเจ้าภาพเอเปค ปี 2565 คือ เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล โดยประเด็นสําคัญคือการทําให้เอเปคเปิดกว้างสู่ทุกโอกาส เชื่อมโยงในทุกมิติ และสร้างสมดุลในทุกด้าน ภายใต้วิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาความไม่สมดุลที่เห็นเด่นชัดขึ้นจากวิกฤติโรคระบาด และการสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคด้วยการนําแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเป็นโมเดลที่บูรณาการแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจ 3 ข้อเข้าด้วยกันมาใช้ประโยชน์ ภารกิจของเอเปคเป็นงานระยะยาวที่ต้องการความร่วมมือและความพยายามอย่างต่อเนื่อง ความมุ่งมั่นของสมาชิกเอเปคที่มีต่อการพัฒนาภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิกจะถูกสานต่อโดยเจ้าภาพเอเปคในปีต่อ ๆ ไป โดยผมมีความยินดีที่จะประกาศว่า สหรัฐอเมริกาจะเป็นเจ้าภาพเอเปคในปี ค.ศ. 2023 และเปรูจะเป็น เจ้าภาพเอเปคในปี ค.ศ. 2024 ด้วยความร่วมมือกัน พวกเราจะเติมเต็มเป้าหมายร่วมในการสร้างประชาคมเอเชีย - แปซิฟิกที่เปิดกว้าง มีพลวัต พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง และมีสันติภาพ เพื่อประชาชนของเราทุกคนและคนรุ่นหลัง ผมรอที่จะต้อนรับผู้นําเอเปคทุกท่านสู่ประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งทุกท่านจะได้เป็นส่วนหนึ่งของการกําหนดเป้าหมายที่สําคัญสําหรับภูมิภาคของพวกเราร่วมกัน * * * * *
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/51408
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ชวนอาชีพอิสระวัยทำงานอายุ 30 ปี วางแผนการออมเงินวันละ 30 บาท รับบำนาญประมาณเดือนละ 3,000 บาท”
วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 “กอช. ชวนอาชีพอิสระวัยทํางานอายุ 30 ปี วางแผนการออมเงินวันละ 30 บาท รับบํานาญประมาณเดือนละ 3,000 บาท” กอช. ชวนอาชีพอิสระ วางแผนออมเงินเพื่ออนาคต ขณะอยู่ในวัยทํางาน เริ่มออมเงินเมื่ออายุ 30 ปี วันละ 30 บาท เมื่ออายุ 60 ปีบริบูรณ์ จะได้รับบํานาญประมาณเดือนละ 3,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการเงินเป็นสิ่งสําคัญ กอช. ขอชวนสมาชิกและประชาชนผู้ประกอบอาชีพอิสระ วางแผนการออมเงิน ขณะอยู่ในวัยทํางาน เริ่มออมเมื่ออายุ 30 ปี วันละ 30 บาท จะมีเงินออมรวมประมาณปีละ 10,800 บาท พร้อมได้รับเงินสมทบจาก กอช. เพิ่มตามช่วงอายุ 600 บาท สูงสุด 1,200 บาทต่อปี หากคิดเงินสมทบเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยได้รับเพิ่มโดยประมาณ 3.5% ต่อปี เมื่ออายุ 60 ปีบริบูรณ์ จะได้รับบํานาญตลอดชีพประมาณเดือนละ 3,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถออกแบบเงินบํานาญด้วยตนเอง ผ่านแอปพลิเคชัน (Application) “กอช.” โดยเข้าแอป กอช. เลือกเมนู “คํานวณบํานาญ” เลือกรูปแบบคํานวณยอดเงินที่ต้องการ ยอดเงินที่ต้องการส่งเงินออมสะสม หรือ ยอดเงินบํานาญที่ต้องการได้รับ กรอกอายุที่เริ่มส่งเงินออมสะสม จํานวนเงินออมตามกําลังส่งของสมาชิก ทั้งนี้ยังช่วยให้สมาชิกสามารถวางแผนการส่งเงินออมสะสมเพื่อให้ได้รับเงินบํานาญ และเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิก กอช. ทั้งนี้สามารถสมัครสมาชิกหรือส่งเงินออมสะสมได้ที่หน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้านท่าน อาทิ ที่ว่าการอําเภอทั่วประเทศ สํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน ตัวแทน กอช. ประจําหมู่บ้าน หรือ ธนาคารของรัฐ อาทิ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ทุกสาขา รวมทั้งไปรษณีย์ไทย สหกรณ์ชุมชนที่เข้าร่วม เคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ตู้บุญเติม และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ”
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-“กอช. ชวนอาชีพอิสระวัยทำงานอายุ 30 ปี วางแผนการออมเงินวันละ 30 บาท รับบำนาญประมาณเดือนละ 3,000 บาท” วันจันทร์ที่ 24 มกราคม 2565 “กอช. ชวนอาชีพอิสระวัยทํางานอายุ 30 ปี วางแผนการออมเงินวันละ 30 บาท รับบํานาญประมาณเดือนละ 3,000 บาท” กอช. ชวนอาชีพอิสระ วางแผนออมเงินเพื่ออนาคต ขณะอยู่ในวัยทํางาน เริ่มออมเงินเมื่ออายุ 30 ปี วันละ 30 บาท เมื่ออายุ 60 ปีบริบูรณ์ จะได้รับบํานาญประมาณเดือนละ 3,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สะท้อนให้เห็นถึงการบริหารจัดการเงินเป็นสิ่งสําคัญ กอช. ขอชวนสมาชิกและประชาชนผู้ประกอบอาชีพอิสระ วางแผนการออมเงิน ขณะอยู่ในวัยทํางาน เริ่มออมเมื่ออายุ 30 ปี วันละ 30 บาท จะมีเงินออมรวมประมาณปีละ 10,800 บาท พร้อมได้รับเงินสมทบจาก กอช. เพิ่มตามช่วงอายุ 600 บาท สูงสุด 1,200 บาทต่อปี หากคิดเงินสมทบเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยได้รับเพิ่มโดยประมาณ 3.5% ต่อปี เมื่ออายุ 60 ปีบริบูรณ์ จะได้รับบํานาญตลอดชีพประมาณเดือนละ 3,000 บาท ผู้ที่สนใจสามารถออกแบบเงินบํานาญด้วยตนเอง ผ่านแอปพลิเคชัน (Application) “กอช.” โดยเข้าแอป กอช. เลือกเมนู “คํานวณบํานาญ” เลือกรูปแบบคํานวณยอดเงินที่ต้องการ ยอดเงินที่ต้องการส่งเงินออมสะสม หรือ ยอดเงินบํานาญที่ต้องการได้รับ กรอกอายุที่เริ่มส่งเงินออมสะสม จํานวนเงินออมตามกําลังส่งของสมาชิก ทั้งนี้ยังช่วยให้สมาชิกสามารถวางแผนการส่งเงินออมสะสมเพื่อให้ได้รับเงินบํานาญ และเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิก กอช. ทั้งนี้สามารถสมัครสมาชิกหรือส่งเงินออมสะสมได้ที่หน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้านท่าน อาทิ ที่ว่าการอําเภอทั่วประเทศ สํานักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน ตัวแทน กอช. ประจําหมู่บ้าน หรือ ธนาคารของรัฐ อาทิ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ทุกสาขา รวมทั้งไปรษณีย์ไทย สหกรณ์ชุมชนที่เข้าร่วม เคาน์เตอร์เซอร์วิส เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ตู้บุญเติม และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000 “คุณออม รัฐช่วยออม คุณได้บํานาญ”
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/50808
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเข้าพบ
วันพุธที่ 20 เมษายน 2565 นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเข้าพบ เพื่อหารือขอให้เร่งรัดดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ตามหลักการของแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ นางพรรณี พุ่มพันธ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมหารือกับนายบุญมา ป๋งมา รักษาการประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) และตัวแทนสมาคมพัฒนารถร่วมบริการเอกชน เกี่ยวกับการขอให้เร่งรัดดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีตามหลักการของแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในวันที่ 20 เมษายน 2565 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม นายวิรัช พิมพะนิตย์ กล่าวว่า สร.ขสมก. ได้มาขอพบเพื่อยื่นหนังสือขอให้กระทรวงฯ พิจารณาเร่งรัดให้ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2562 ที่ได้เห็นชอบในหลักการของแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. สําหรับการดําเนินการตามกลยุทธ์และแนวทางต่าง ๆ พร้อมมีการกําหนดจัดหารถโดยสารใหม่ จํานวน 3,000 คัน และ ขสมก. ได้รับผลกระทบจากการที่ไม่ได้ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเส้นทาง 28 เส้นทางที่หายไป โดยมีข้อเสนอสรุปได้ดังนี้ 1. เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการให้แผนฟื้นฟู (ฉบับปรับปรุง) ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว 2. ประชาชนและพนักงาน ขสมก. อาจได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าโดยสารจากเดิมเก็บค่าโดยสาร 8 บาท กรมการขนส่งทางบกได้ให้สัมปทานรายใหม่โดยเก็บค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 15 - 25 บาท 3. การประกาศข้อกําหนดของกรมการขนส่งทางบกที่ให้เปิดประมูสเส้นทางนั้นไม่มีความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการรายเดิม เนื่องจากมีทรัพย์สินที่ต้องบริหารจัดการ จึงขอให้กรมการขนส่งทางบกชะลอการบังคับใช้ และเปิดโอกาสให้นํารถเก่าที่มีอยู่นํามาปรับปรุงเครื่องยนต์ หรือเปลี่ยนเป็น EV 4. ให้ สร.ขสมก. เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพนักงาน ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงฯ รับทราบข้อเสนอของ สร.ขสมก. และไม่ได้นิ่งนอนใจโดยเร่งดําเนินการในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบ โดยจะทําเป็นข้อสรุปประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา เพื่อนําเสนอในประชุมที่คณะกรรมการบริหารกิจการ ขสมก. ในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเข้าพบ วันพุธที่ 20 เมษายน 2565 นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ให้สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพเข้าพบ เพื่อหารือขอให้เร่งรัดดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ตามหลักการของแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ นายวิรัช พิมพะนิตย์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก นายกิตติกานต์ จอมดวง จารุวรพลกุล ผู้อํานวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ นางพรรณี พุ่มพันธ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมประชุมหารือกับนายบุญมา ป๋งมา รักษาการประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (สร.ขสมก.) และตัวแทนสมาคมพัฒนารถร่วมบริการเอกชน เกี่ยวกับการขอให้เร่งรัดดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีตามหลักการของแผนฟื้นฟูกิจการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ในวันที่ 20 เมษายน 2565 ณ ห้องประชุมกระทรวงคมนาคม นายวิรัช พิมพะนิตย์ กล่าวว่า สร.ขสมก. ได้มาขอพบเพื่อยื่นหนังสือขอให้กระทรวงฯ พิจารณาเร่งรัดให้ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2562 ที่ได้เห็นชอบในหลักการของแผนฟื้นฟูกิจการ ขสมก. สําหรับการดําเนินการตามกลยุทธ์และแนวทางต่าง ๆ พร้อมมีการกําหนดจัดหารถโดยสารใหม่ จํานวน 3,000 คัน และ ขสมก. ได้รับผลกระทบจากการที่ไม่ได้ดําเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเส้นทาง 28 เส้นทางที่หายไป โดยมีข้อเสนอสรุปได้ดังนี้ 1. เร่งรัดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดําเนินการให้แผนฟื้นฟู (ฉบับปรับปรุง) ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีโดยเร็ว 2. ประชาชนและพนักงาน ขสมก. อาจได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าโดยสารจากเดิมเก็บค่าโดยสาร 8 บาท กรมการขนส่งทางบกได้ให้สัมปทานรายใหม่โดยเก็บค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 15 - 25 บาท 3. การประกาศข้อกําหนดของกรมการขนส่งทางบกที่ให้เปิดประมูสเส้นทางนั้นไม่มีความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการรายเดิม เนื่องจากมีทรัพย์สินที่ต้องบริหารจัดการ จึงขอให้กรมการขนส่งทางบกชะลอการบังคับใช้ และเปิดโอกาสให้นํารถเก่าที่มีอยู่นํามาปรับปรุงเครื่องยนต์ หรือเปลี่ยนเป็น EV 4. ให้ สร.ขสมก. เข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และแก้ปัญหาความเดือดร้อนของพนักงาน ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงฯ รับทราบข้อเสนอของ สร.ขสมก. และไม่ได้นิ่งนอนใจโดยเร่งดําเนินการในส่วนที่อยู่ในความรับผิดชอบ โดยจะทําเป็นข้อสรุปประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณา เพื่อนําเสนอในประชุมที่คณะกรรมการบริหารกิจการ ขสมก. ในการหาแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันต่อไป
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/53761
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. เชิญชวน ผู้ประกันตนม.40 สมัครสมาชิก รับสิทธิประโยชน์ 2 ต่อ
วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 กอช. เชิญชวน ผู้ประกันตนม.40 สมัครสมาชิก รับสิทธิประโยชน์ 2 ต่อ .... มาแล้ว...อีกหนึ่งช่องทางวางแผนเงินออมสําหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ ล่าสุด กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เชิญชวนผู้ประกันตนตาม ม.40 ทางเลือก 1 (จ่าย 70 บาท/เดือน) สมัครออมเงินควบคู่ไปกับ กอช. เพื่อเติมเต็มเงินออมไว้ใช้รายเดือนหลังอายุ 60 ปี . เพียงออมเงินขั้นต่ํา 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี . สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ • ได้รับเงินสมทบเพิ่มตามช่วงอายุสมาชิก สูงสุด 100% ไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี • ผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการลงทุน ซึ่งได้รับค้ําประกันผลตอบแทน ไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจําธนาคาร 12 เดือน • สามารถออมเงินได้เมื่อมีเงิน ไม่ต้องออมเงินเท่ากันทุกเดือน แต่ยังได้สิทธิเป็นสมาชิก กอช. อยู่ . ที่สําคัญ สมาชิกจะได้สวัสดิการจาก 2 หน่วยงานในระหว่างการทํางาน โดยจะได้เงินทดแทนรายได้กรณีประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ ค่าทําศพจากสํานักงานประกันสังคม และเมื่ออายุ 60 ปีไปแล้ว จะได้บํานาญรายเดือนจาก กอช. และยังได้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามเกณฑ์อีกด้วย . ผู้ที่สนใจสามารถสมัครสมาชิกได้ที่ แอปพลิเคชัน “กอช.” หรือหน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้าน เช่น ที่ว่าการอําเภอทั่วประเทศ, สํานักงานคลังจังหวัด, สถาบันการเงินชุมชน, ตัวแทน กอช. ประจําหมู่บ้าน, ธ.ออมสิน, ธ.ก.ส. , ธอส. และธ.กรุงไทย ทุกสาขา รวมทั้งเคาน์เตอร์เซอร์วิส, เทสโก้โลตัส, บิ๊กซี, ตู้บุญเติม เป็นต้น หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนเงินออม โทร. 0 2049 9000 #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ prev next ข่าวที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลเข้ม... แจ้งเตือน... อย่าแชร์... กรุงเทพฯ... ปลื้ม...
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-กอช. เชิญชวน ผู้ประกันตนม.40 สมัครสมาชิก รับสิทธิประโยชน์ 2 ต่อ วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม 2564 กอช. เชิญชวน ผู้ประกันตนม.40 สมัครสมาชิก รับสิทธิประโยชน์ 2 ต่อ .... มาแล้ว...อีกหนึ่งช่องทางวางแผนเงินออมสําหรับผู้ประกอบอาชีพอิสระ ล่าสุด กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เชิญชวนผู้ประกันตนตาม ม.40 ทางเลือก 1 (จ่าย 70 บาท/เดือน) สมัครออมเงินควบคู่ไปกับ กอช. เพื่อเติมเต็มเงินออมไว้ใช้รายเดือนหลังอายุ 60 ปี . เพียงออมเงินขั้นต่ํา 50 บาท สูงสุด 13,200 บาทต่อปี . สิทธิประโยชน์ที่ได้รับ • ได้รับเงินสมทบเพิ่มตามช่วงอายุสมาชิก สูงสุด 100% ไม่เกิน 1,200 บาทต่อปี • ผลตอบแทนเพิ่มเติมจากการลงทุน ซึ่งได้รับค้ําประกันผลตอบแทน ไม่น้อยกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจําธนาคาร 12 เดือน • สามารถออมเงินได้เมื่อมีเงิน ไม่ต้องออมเงินเท่ากันทุกเดือน แต่ยังได้สิทธิเป็นสมาชิก กอช. อยู่ . ที่สําคัญ สมาชิกจะได้สวัสดิการจาก 2 หน่วยงานในระหว่างการทํางาน โดยจะได้เงินทดแทนรายได้กรณีประสบอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย เงินทดแทนการขาดรายได้กรณีทุพพลภาพ ค่าทําศพจากสํานักงานประกันสังคม และเมื่ออายุ 60 ปีไปแล้ว จะได้บํานาญรายเดือนจาก กอช. และยังได้เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุตามเกณฑ์อีกด้วย . ผู้ที่สนใจสามารถสมัครสมาชิกได้ที่ แอปพลิเคชัน “กอช.” หรือหน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้าน เช่น ที่ว่าการอําเภอทั่วประเทศ, สํานักงานคลังจังหวัด, สถาบันการเงินชุมชน, ตัวแทน กอช. ประจําหมู่บ้าน, ธ.ออมสิน, ธ.ก.ส. , ธอส. และธ.กรุงไทย ทุกสาขา รวมทั้งเคาน์เตอร์เซอร์วิส, เทสโก้โลตัส, บิ๊กซี, ตู้บุญเติม เป็นต้น หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนเงินออม โทร. 0 2049 9000 #ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19 ------------------- อัลบั้มภาพ prev next ข่าวที่เกี่ยวข้อง รัฐบาลเข้ม... แจ้งเตือน... อย่าแชร์... กรุงเทพฯ... ปลื้ม...
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/44221
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 4 ขยายเครือข่ายรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ ช่วยผู้ป่วยรอการปลูกถ่ายเข้าถึงบริการมากขึ้น
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565 เขตสุขภาพที่ 4 ขยายเครือข่ายรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ ช่วยผู้ป่วยรอการปลูกถ่ายเข้าถึงบริการมากขึ้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานขยายเครือข่ายความร่วมมือการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เขตสุขภาพที่ 4 มุ่งสร้างทัศนคติในการบริจาคอวัยวะและดวงตา ขยายเครือข่ายผู้ประชาสัมพันธ์การรับบริจาค ไปยังชุมชนและท้องถิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานขยายเครือข่ายความร่วมมือการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เขตสุขภาพที่ 4 มุ่งสร้างทัศนคติในการบริจาคอวัยวะและดวงตา ขยายเครือข่ายผู้ประชาสัมพันธ์การรับบริจาค ไปยังชุมชนและท้องถิ่น เพื่อเพิ่มการส่งต่ออวัยวะและดวงตาจากผู้ที่มีภาวะสมองตายไปสู่ผู้ป่วยที่รอคอยการปลูกถ่ายอวัยวะ ช่วยให้เข้าถึงบริการมากขึ้น วันนี้ (25 กรกฎาคม 2565) ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ จ.พระนครศรีอยุธยานายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน “ขยายเครือข่ายความร่วมมือการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เขตสุขภาพที่ 4” โดยมี นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4 นพ.สมยศ ศรีจารนัย สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 4 ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ภาคีเครือข่ายสนับสนุนงานรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตา ทั้งภาครัฐและเอกชน ภาคประชาชนกาชาดจังหวัด ท้องถิ่น อสม. 8 จังหวัดในเขตสุขภาพที่ 4 รวม 1,100 คน ร่วมงาน นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญในการดําเนินงานบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ โดยบรรจุเป็นสาขาหนึ่งในแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ของกระทรวง และมีนโยบายให้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศ พร้อมทั้งพัฒนาทีมจัดเก็บอวัยวะและศูนย์ผ่าตัดปลูกถ่ายไต ในทุกเขตสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัดได้มีโอกาสเข้าถึงบริการปลูกถ่ายอวัยวะที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยเฉพาะการปลูกถ่ายไตและดวงตา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยปัจจุบันอวัยวะและดวงตาบริจาคจากผู้ที่เสียชีวิตยังไม่เพียงพอต่อการนําไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วย จากข้อมูลศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย วันที่ 30 ธันวาคม 2564 ยังมีผู้รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะถึง 5,817 ราย ขณะที่มีผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะเพียง 429 ราย ส่วนผู้ป่วยกระจกตาพิการ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีผู้ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตาไปแล้ว 5,049 ราย แต่ยังมีผู้รอคอยการปลูกถ่ายอีกจํานวนมากถึง 17,464 ราย ทั้งนี้ เขตสุขภาพที่ 4 ได้มีการขยายเครือข่ายความร่วมมือการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตาใน 2 ส่วนคือ 1) ชุมชน ได้แก่ อสม. และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น2) หน่วยบริการ ได้แก่ โรงพยาบาลชุมชน และ รพ.สต. โดยมุ่งเน้นให้ร่วมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ แนะนําช่องทางการแสดงความจํานงบริจาคอวัยวะและดวงตา ค้นหาและแจ้งพยาบาลผู้ประสานการรับบริจาคฯ เข้าเจรจาให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจบริจาค โดยเฉพาะดวงตาที่แม้จะเสียชีวิตที่บ้านก็สามารถบริจาคได้ เพราะผู้บริจาคเสียชีวิตสมองตาย 1 ราย สามารถให้อวัยวะได้หลายรายการ ได้แก่ หัวใจ ตับ ไต ปอด (ซ้าย-ขวา) ลิ้นหัวใจ ตับอ่อน ผิวหนัง กระดูกและเส้นเอ็น และกระจกตา ด้าน นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4 กล่าวว่า เขตสุขภาพที่ 4ได้พัฒนางานรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตามาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการรับบริจาคอวัยวะและดวงตาจากผู้บริจาคเสียชีวิตสมองตาย ข้อมูลตั้งแต่ปี 2562 ถึง มิถุนายน 2565 ได้รับบริจาคอวัยวะและดวงตาจากผู้บริจาคเสียชีวิตสมองตายแล้ว 101 ราย ที่สภากาชาดไทยจะได้นําไปจัดสรรให้กับผู้ป่วยที่รอคิวรับบริจาคอวัยวะและดวงตาต่อไปซึ่งเขตสุขภาพที่4 มีโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการปลูกถ่ายไต ได้แก่ โรงพยาบาลศูนย์สระบุรี และเครือข่ายโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในเขตร่วมด้วย คือ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ส่วนศูนย์ปลูกถ่ายกระจกตา มีโรงพยาบาลศูนย์พระนั่งเกล้า นนทบุรี, โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี, ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ที่ร่วมดําเนินโครงการ “พาผู้ป่วยกลับบ้าน” ต่อเนื่องมาถึงโครงการ “ดวงตาสดใสใกล้บ้าน” ทําให้ผู้ป่วยกระจกตาพิการในเขตสุขภาพได้กลับมาผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาใกล้บ้านตั้งแต่ปี 2560 สามารถปลูกถ่ายกระจกตาได้แล้วถึง 206 ดวงตา ซึ่งการดําเนินการขยายเครือข่ายความร่วมมือการรับบริจาคและปลูกถ่ายและดวงตาของเขตสุขภาพที่ 4 ในครั้งนี้ จะสามารถเพิ่มจํานวนผู้บริจาคอวัยวะและดวงตาที่จะนําไปช่วยผู้ป่วยที่รอคอยการปลูกถ่ายได้อีกจํานวนมาก ***************************************** 25 กรกฎาคม 2565
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-เขตสุขภาพที่ 4 ขยายเครือข่ายรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ ช่วยผู้ป่วยรอการปลูกถ่ายเข้าถึงบริการมากขึ้น วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม 2565 เขตสุขภาพที่ 4 ขยายเครือข่ายรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ ช่วยผู้ป่วยรอการปลูกถ่ายเข้าถึงบริการมากขึ้น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานขยายเครือข่ายความร่วมมือการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เขตสุขภาพที่ 4 มุ่งสร้างทัศนคติในการบริจาคอวัยวะและดวงตา ขยายเครือข่ายผู้ประชาสัมพันธ์การรับบริจาค ไปยังชุมชนและท้องถิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดงานขยายเครือข่ายความร่วมมือการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เขตสุขภาพที่ 4 มุ่งสร้างทัศนคติในการบริจาคอวัยวะและดวงตา ขยายเครือข่ายผู้ประชาสัมพันธ์การรับบริจาค ไปยังชุมชนและท้องถิ่น เพื่อเพิ่มการส่งต่ออวัยวะและดวงตาจากผู้ที่มีภาวะสมองตายไปสู่ผู้ป่วยที่รอคอยการปลูกถ่ายอวัยวะ ช่วยให้เข้าถึงบริการมากขึ้น วันนี้ (25 กรกฎาคม 2565) ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ จ.พระนครศรีอยุธยานายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน “ขยายเครือข่ายความร่วมมือการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ เขตสุขภาพที่ 4” โดยมี นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4 นพ.สมยศ ศรีจารนัย สาธารณสุขนิเทศก์ เขตสุขภาพที่ 4 ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ภาคีเครือข่ายสนับสนุนงานรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตา ทั้งภาครัฐและเอกชน ภาคประชาชนกาชาดจังหวัด ท้องถิ่น อสม. 8 จังหวัดในเขตสุขภาพที่ 4 รวม 1,100 คน ร่วมงาน นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขให้ความสําคัญในการดําเนินงานบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะ โดยบรรจุเป็นสาขาหนึ่งในแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ของกระทรวง และมีนโยบายให้จัดตั้งศูนย์รับบริจาคอวัยวะในโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไปทั่วประเทศ พร้อมทั้งพัฒนาทีมจัดเก็บอวัยวะและศูนย์ผ่าตัดปลูกถ่ายไต ในทุกเขตสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ในต่างจังหวัดได้มีโอกาสเข้าถึงบริการปลูกถ่ายอวัยวะที่มีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยเฉพาะการปลูกถ่ายไตและดวงตา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยปัจจุบันอวัยวะและดวงตาบริจาคจากผู้ที่เสียชีวิตยังไม่เพียงพอต่อการนําไปปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วย จากข้อมูลศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย วันที่ 30 ธันวาคม 2564 ยังมีผู้รอรับการปลูกถ่ายอวัยวะถึง 5,817 ราย ขณะที่มีผู้ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะเพียง 429 ราย ส่วนผู้ป่วยกระจกตาพิการ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีผู้ได้รับการปลูกถ่ายกระจกตาไปแล้ว 5,049 ราย แต่ยังมีผู้รอคอยการปลูกถ่ายอีกจํานวนมากถึง 17,464 ราย ทั้งนี้ เขตสุขภาพที่ 4 ได้มีการขยายเครือข่ายความร่วมมือการรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตาใน 2 ส่วนคือ 1) ชุมชน ได้แก่ อสม. และองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น2) หน่วยบริการ ได้แก่ โรงพยาบาลชุมชน และ รพ.สต. โดยมุ่งเน้นให้ร่วมเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ แนะนําช่องทางการแสดงความจํานงบริจาคอวัยวะและดวงตา ค้นหาและแจ้งพยาบาลผู้ประสานการรับบริจาคฯ เข้าเจรจาให้ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจบริจาค โดยเฉพาะดวงตาที่แม้จะเสียชีวิตที่บ้านก็สามารถบริจาคได้ เพราะผู้บริจาคเสียชีวิตสมองตาย 1 ราย สามารถให้อวัยวะได้หลายรายการ ได้แก่ หัวใจ ตับ ไต ปอด (ซ้าย-ขวา) ลิ้นหัวใจ ตับอ่อน ผิวหนัง กระดูกและเส้นเอ็น และกระจกตา ด้าน นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 4 กล่าวว่า เขตสุขภาพที่ 4ได้พัฒนางานรับบริจาคและปลูกถ่ายอวัยวะและดวงตามาอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นการรับบริจาคอวัยวะและดวงตาจากผู้บริจาคเสียชีวิตสมองตาย ข้อมูลตั้งแต่ปี 2562 ถึง มิถุนายน 2565 ได้รับบริจาคอวัยวะและดวงตาจากผู้บริจาคเสียชีวิตสมองตายแล้ว 101 ราย ที่สภากาชาดไทยจะได้นําไปจัดสรรให้กับผู้ป่วยที่รอคิวรับบริจาคอวัยวะและดวงตาต่อไปซึ่งเขตสุขภาพที่4 มีโรงพยาบาลที่มีศักยภาพในการปลูกถ่ายไต ได้แก่ โรงพยาบาลศูนย์สระบุรี และเครือข่ายโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยในเขตร่วมด้วย คือ โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ส่วนศูนย์ปลูกถ่ายกระจกตา มีโรงพยาบาลศูนย์พระนั่งเกล้า นนทบุรี, โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ, ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี, ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ ที่ร่วมดําเนินโครงการ “พาผู้ป่วยกลับบ้าน” ต่อเนื่องมาถึงโครงการ “ดวงตาสดใสใกล้บ้าน” ทําให้ผู้ป่วยกระจกตาพิการในเขตสุขภาพได้กลับมาผ่าตัดปลูกถ่ายกระจกตาใกล้บ้านตั้งแต่ปี 2560 สามารถปลูกถ่ายกระจกตาได้แล้วถึง 206 ดวงตา ซึ่งการดําเนินการขยายเครือข่ายความร่วมมือการรับบริจาคและปลูกถ่ายและดวงตาของเขตสุขภาพที่ 4 ในครั้งนี้ จะสามารถเพิ่มจํานวนผู้บริจาคอวัยวะและดวงตาที่จะนําไปช่วยผู้ป่วยที่รอคอยการปลูกถ่ายได้อีกจํานวนมาก ***************************************** 25 กรกฎาคม 2565
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57245
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจับมือ 4 ประเทศเพื่อนบ้าน กวาดล้างยาเสพติดพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำต่อเนื่อง ปี 64 ยึดสารตั้งต้นยาเสพติด 482 ตัน ยาบ้ากว่า 618 ล้านเม็ด
วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2565 รัฐบาลจับมือ 4 ประเทศเพื่อนบ้าน กวาดล้างยาเสพติดพื้นที่สามเหลี่ยมทองคําต่อเนื่อง ปี 64 ยึดสารตั้งต้นยาเสพติด 482 ตัน ยาบ้ากว่า 618 ล้านเม็ด รัฐบาลจับมือ 4 ประเทศเพื่อนบ้าน กวาดล้างยาเสพติดพื้นที่สามเหลี่ยมทองคําต่อเนื่อง ปี 64 ยึดสารตั้งต้นยาเสพติด 482 ตัน ยาบ้ากว่า 618 ล้านเม็ด วันที่ 27 กรกฎาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ (26 กรกฎาคม 2565) ว่า ครม.อนุมัติโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทําลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ของสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สํานักงาน ป.ป.ส.) ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 โดยสนับสนุนงบประมาณสําหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา เช่น ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าจัดซื้อยานพาหนะ ค่าอุปกรณ์ตรวจสารเสพติด ให้กับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา 5.10 ล้านบาท ลาว 6.15 ล้านบาท กัมพูชา 2.15 ล้านบาท และเวียดนาม 2.60 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 16 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณ พ.ศ.2565 งบเงินอุดหนุนของสํานักงาน ป.ป.ส. โครงการนี้ สํานักงาน ป.ป.ส. ได้จัดทําขึ้นภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายและการควบคุมยาเสพติด กับหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 4 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการสกัดกั้นยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ตั้งแต่ต้นทางไม่ให้เข้าสู่แหล่งผลิตในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา และสกัดกั้นยาเสพติดจากแหล่งผลิตสู่ไทยและประเทศอื่นๆ นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่า ผลการดําเนินโครงการในปี 2564 ที่ผ่านมา หน่วยปฏิบัติการด้านยาเสพติดสามารถจับกุมคดียาเสพติดรายสําคัญได้ 1,217 คดี มีผู้ต้องหา 2,148 คน และตรวจยึดยาเสพติดได้จํานวนมาก อาทิ สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ 482.3 ตัน ยาบ้า 618.3 ล้านเม็ด ไอซ์ 25.4 ตัน เฮโรอีน 6.9 ตัน คีตามีน 4.4 ตัน
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-รัฐบาลจับมือ 4 ประเทศเพื่อนบ้าน กวาดล้างยาเสพติดพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำต่อเนื่อง ปี 64 ยึดสารตั้งต้นยาเสพติด 482 ตัน ยาบ้ากว่า 618 ล้านเม็ด วันพุธที่ 27 กรกฎาคม 2565 รัฐบาลจับมือ 4 ประเทศเพื่อนบ้าน กวาดล้างยาเสพติดพื้นที่สามเหลี่ยมทองคําต่อเนื่อง ปี 64 ยึดสารตั้งต้นยาเสพติด 482 ตัน ยาบ้ากว่า 618 ล้านเม็ด รัฐบาลจับมือ 4 ประเทศเพื่อนบ้าน กวาดล้างยาเสพติดพื้นที่สามเหลี่ยมทองคําต่อเนื่อง ปี 64 ยึดสารตั้งต้นยาเสพติด 482 ตัน ยาบ้ากว่า 618 ล้านเม็ด วันที่ 27 กรกฎาคม 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวานนี้ (26 กรกฎาคม 2565) ว่า ครม.อนุมัติโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทําลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจําปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ของสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สํานักงาน ป.ป.ส.) ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 โดยสนับสนุนงบประมาณสําหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา เช่น ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าจัดซื้อยานพาหนะ ค่าอุปกรณ์ตรวจสารเสพติด ให้กับประเทศเพื่อนบ้าน 4 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา 5.10 ล้านบาท ลาว 6.15 ล้านบาท กัมพูชา 2.15 ล้านบาท และเวียดนาม 2.60 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 16 ล้านบาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณ พ.ศ.2565 งบเงินอุดหนุนของสํานักงาน ป.ป.ส. โครงการนี้ สํานักงาน ป.ป.ส. ได้จัดทําขึ้นภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายและการควบคุมยาเสพติด กับหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านทั้ง 4 ประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการสกัดกั้นยาเสพติด สารตั้งต้น และเคมีภัณฑ์ ตั้งแต่ต้นทางไม่ให้เข้าสู่แหล่งผลิตในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคํา และสกัดกั้นยาเสพติดจากแหล่งผลิตสู่ไทยและประเทศอื่นๆ นางสาวรัชดากล่าวด้วยว่า ผลการดําเนินโครงการในปี 2564 ที่ผ่านมา หน่วยปฏิบัติการด้านยาเสพติดสามารถจับกุมคดียาเสพติดรายสําคัญได้ 1,217 คดี มีผู้ต้องหา 2,148 คน และตรวจยึดยาเสพติดได้จํานวนมาก อาทิ สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ 482.3 ตัน ยาบ้า 618.3 ล้านเม็ด ไอซ์ 25.4 ตัน เฮโรอีน 6.9 ตัน คีตามีน 4.4 ตัน
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/57319
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มีผลแล้ว! บังคับใช้ระเบียบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กรณีถูกนายจ้างเลิกจ้างเพราะโควิด ยื่นเรื่องขอรับเงินสงเคราะห์ได้
วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 มีผลแล้ว! บังคับใช้ระเบียบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กรณีถูกนายจ้างเลิกจ้างเพราะโควิด ยื่นเรื่องขอรับเงินสงเคราะห์ได้ ..... นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว. แรงงาน เผยปัญหาการเลิกจ้างของสถานประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีสถานประกอบการหลายแห่ง ไม่จ่ายค่าจ้าง และค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามที่กฎหมายกําหนด ทําให้ลูกจ้างได้รับความเดือดร้อน ล่าสุด เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ให้จ่ายเงินสงเคราะห์ได้เพิ่มขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ถูกเลิกจ้าง เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 16 ธ.ค. 64 เป็นต้นไป และให้มีผลย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 63 ครอบคลุมไปถึงวันที่ 28 ก.พ. 65 โดยให้ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์จากอัตราเดิม ดังนี้ . กรณีลูกจ้างที่อายุงาน 120 วัน แต่ไม่เกิน 3 ปี ปรับจ่ายเงินสงเคราะห์จาก 30 เท่า เป็น 60 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํารายวัน ลูกจ้างที่อายุงาน 3 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี ปรับจ่ายเงินจาก 50 เท่า เป็น 80 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํารายวัน ลูกจ้างที่อายุงาน 10 ปีขึ้นไป ปรับจ่ายเงินจาก 70 เท่า เป็น 100 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํารายวัน . ส่วนกรณีเงินอื่นนอกจากค่าชดเชย ให้ปรับจากอัตรา 60 เท่า เป็น 100 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา . ลูกจ้างที่เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตามระเบียบดังกล่าว สามารถขอรับเงินสงเคราะห์ ได้ที่สํานักงานสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด และสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 - 10 หรือสอบถามเพิ่มเติมที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 . อ่านประกาศฉบับเต็ม คลิกhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/.../2564/E/307/T_0009.PDF #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-มีผลแล้ว! บังคับใช้ระเบียบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กรณีถูกนายจ้างเลิกจ้างเพราะโควิด ยื่นเรื่องขอรับเงินสงเคราะห์ได้ วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม 2564 มีผลแล้ว! บังคับใช้ระเบียบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง กรณีถูกนายจ้างเลิกจ้างเพราะโควิด ยื่นเรื่องขอรับเงินสงเคราะห์ได้ ..... นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว. แรงงาน เผยปัญหาการเลิกจ้างของสถานประกอบการในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีสถานประกอบการหลายแห่ง ไม่จ่ายค่าจ้าง และค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างตามที่กฎหมายกําหนด ทําให้ลูกจ้างได้รับความเดือดร้อน ล่าสุด เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศ คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง ให้จ่ายเงินสงเคราะห์ได้เพิ่มขึ้น เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ถูกเลิกจ้าง เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 16 ธ.ค. 64 เป็นต้นไป และให้มีผลย้อนหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 63 ครอบคลุมไปถึงวันที่ 28 ก.พ. 65 โดยให้ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์จากอัตราเดิม ดังนี้ . กรณีลูกจ้างที่อายุงาน 120 วัน แต่ไม่เกิน 3 ปี ปรับจ่ายเงินสงเคราะห์จาก 30 เท่า เป็น 60 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํารายวัน ลูกจ้างที่อายุงาน 3 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี ปรับจ่ายเงินจาก 50 เท่า เป็น 80 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํารายวัน ลูกจ้างที่อายุงาน 10 ปีขึ้นไป ปรับจ่ายเงินจาก 70 เท่า เป็น 100 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํารายวัน . ส่วนกรณีเงินอื่นนอกจากค่าชดเชย ให้ปรับจากอัตรา 60 เท่า เป็น 100 เท่าของอัตราค่าจ้างขั้นต่ํา . ลูกจ้างที่เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์ตามระเบียบดังกล่าว สามารถขอรับเงินสงเคราะห์ ได้ที่สํานักงานสวัสดิการ และคุ้มครองแรงงานจังหวัดทุกจังหวัด และสํานักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานกรุงเทพมหานคร พื้นที่ 1 - 10 หรือสอบถามเพิ่มเติมที่สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร. 1506 . อ่านประกาศฉบับเต็ม คลิกhttp://www.ratchakitcha.soc.go.th/.../2564/E/307/T_0009.PDF #ไทยคู่ฟ้า#ร่วมต้านโควิด19 -------------------
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/49651
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรยกเว้น VAT ส่งเสริมการลงทุนใน Data Centre
วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565 สรรพากรยกเว้น VAT ส่งเสริมการลงทุนใน Data Centre ครม.อนุมัติหลักการมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในกิจการศูนย์ข้อมูล โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับการให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาค่าบริการ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในกิจการศูนย์ข้อมูล (Data Centre) โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สําหรับการให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Data Hosting Service) เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาค่าบริการ” นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรเห็นถึงความสําคัญของธุรกิจ Data Centre ซึ่งมีลักษณะเป็นการให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อันเป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน และเพื่อผลักดันการลงทุนในระดับ Hyperscale ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... เพื่อยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับการให้บริการ Data Hosting Service ดังต่อไปนี้ (1) การให้บริการพื้นที่ของเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการจัดเก็บ ประมวลผล และเชื่อมต่อข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (2) การให้บริการสนับสนุนการให้บริการตามข้อ (1) ดังนี้ การให้บริการสํารองข้อมูล เพื่อป้องกันเหตุขัดข้องอันทําให้ข้อมูลเกิดความเสียหาย (Disaster Recovery Site), การให้บริการเชื่อมต่อเครือข่ายกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือผู้ให้บริการคลาวด์ และการให้บริการบริหารจัดการระบบและการรักษาความปลอดภัยทางสารสนเทศ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว จะต้องเป็นผู้ประกอบกิจการ Data Centre ที่มีคุณสมบัติและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขครบถ้วนตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกําหนด และได้แจ้งความประสงค์เพื่อขอใช้สิทธิต่ออธิบดีกรมสรรพากรภายใน 5 ปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ” หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 The Revenue Department exempts VAT to promote data centre investment Mr. Arkhom Termpittayapaisith, Minister of Finance, has announced that the Cabinet of Thailand has today approved in principle tax measure to promote data centre investment which provides Value Added Tax (VAT) exemption on data hosting service in order to attract data centre investment to Thailand and increase the country’s competitiveness in data hosting service pricing. Mr. Lavaron Sangsnit, Director-General of the Revenue Department, has said that the Revenue Department, Ministry of Finance has recognised the importance of the data centre industry and data hosting service which are growing rapidly. He has added that with an effort to spur hyperscale data centre investment for Thailand to become a regional digital hub, the Revenue Department has proposed the draft Royal Decree issued under the Revenue Code Regarding Value Added Tax Exemption (No. ..) B.E. .... to provide VAT exemption on the following services: (1) Server and related equipment services for storing, computing, and connecting electronic data over the internet; (2) Supporting services of the above services which are disaster recovery site, connection with internet service provider or cloud service provider, and system management and security services. A VAT registrant applying for the exemption shall be a data centre business operator which meets eligibility requirements and complies with regulations prescribed by the Director-General of the Revenue Department as well as notifies the Director-General of its application for the exemption within 5 years from the day that the Royal Decree comes into force. For further inquiries, please contact Area Revenue Offices nationwide or RD Intelligence Center, dial 1161.
รัฐบาลไทย-ข่าวทำเนียบรัฐบาล-สรรพากรยกเว้น VAT ส่งเสริมการลงทุนใน Data Centre วันอังคารที่ 28 มิถุนายน 2565 สรรพากรยกเว้น VAT ส่งเสริมการลงทุนใน Data Centre ครม.อนุมัติหลักการมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในกิจการศูนย์ข้อมูล โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับการให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาค่าบริการ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า “คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในกิจการศูนย์ข้อมูล (Data Centre) โดยยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สําหรับการให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Data Hosting Service) เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุนและเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้านราคาค่าบริการ” นายลวรณ แสงสนิท อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวเพิ่มเติมว่า “กระทรวงการคลัง โดยกรมสรรพากรเห็นถึงความสําคัญของธุรกิจ Data Centre ซึ่งมีลักษณะเป็นการให้บริการพื้นที่เก็บข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อันเป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน และเพื่อผลักดันการลงทุนในระดับ Hyperscale ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค จึงได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกา ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ .. ) พ.ศ. .... เพื่อยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสําหรับการให้บริการ Data Hosting Service ดังต่อไปนี้ (1) การให้บริการพื้นที่ของเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการจัดเก็บ ประมวลผล และเชื่อมต่อข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (2) การให้บริการสนับสนุนการให้บริการตามข้อ (1) ดังนี้ การให้บริการสํารองข้อมูล เพื่อป้องกันเหตุขัดข้องอันทําให้ข้อมูลเกิดความเสียหาย (Disaster Recovery Site), การให้บริการเชื่อมต่อเครือข่ายกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือผู้ให้บริการคลาวด์ และการให้บริการบริหารจัดการระบบและการรักษาความปลอดภัยทางสารสนเทศ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว จะต้องเป็นผู้ประกอบกิจการ Data Centre ที่มีคุณสมบัติและปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขครบถ้วนตามที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกําหนด และได้แจ้งความประสงค์เพื่อขอใช้สิทธิต่ออธิบดีกรมสรรพากรภายใน 5 ปี นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกามีผลใช้บังคับ” หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดได้ที่สํานักงานสรรพากรทุกแห่งทั่วประเทศ หรือศูนย์สารนิเทศสรรพากร (RD Intelligence Center) โทร. 1161 The Revenue Department exempts VAT to promote data centre investment Mr. Arkhom Termpittayapaisith, Minister of Finance, has announced that the Cabinet of Thailand has today approved in principle tax measure to promote data centre investment which provides Value Added Tax (VAT) exemption on data hosting service in order to attract data centre investment to Thailand and increase the country’s competitiveness in data hosting service pricing. Mr. Lavaron Sangsnit, Director-General of the Revenue Department, has said that the Revenue Department, Ministry of Finance has recognised the importance of the data centre industry and data hosting service which are growing rapidly. He has added that with an effort to spur hyperscale data centre investment for Thailand to become a regional digital hub, the Revenue Department has proposed the draft Royal Decree issued under the Revenue Code Regarding Value Added Tax Exemption (No. ..) B.E. .... to provide VAT exemption on the following services: (1) Server and related equipment services for storing, computing, and connecting electronic data over the internet; (2) Supporting services of the above services which are disaster recovery site, connection with internet service provider or cloud service provider, and system management and security services. A VAT registrant applying for the exemption shall be a data centre business operator which meets eligibility requirements and complies with regulations prescribed by the Director-General of the Revenue Department as well as notifies the Director-General of its application for the exemption within 5 years from the day that the Royal Decree comes into force. For further inquiries, please contact Area Revenue Offices nationwide or RD Intelligence Center, dial 1161.
https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/56257